บรัสเซลส์ (Brussels) เมืองหลวงของเบลเยียม (Belgium) ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างอันเลอค่า แถมยังมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่อยู่คู่กับยุโรปมาอย่างยาวนาน สถานที่เที่ยวต่างๆ ก็สวยจับใจเหมือนเราได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งเทพนิยาย เกริ่นกันมาขนาดนี้ แน่นอนว่าก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวและตามเก็บแลนด์มาร์คดังของบรัสเซลส์แทบทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็น จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) ที่เลื่องลือว่าเป็นจตุรัสที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป พร้อมไปส่องเจ้าหนู แมนเนเกน พิส (Manneken Pis) รูปปั้นเด็กผู้ชายยืนฉี่ที่กิ๊บเก๋ด้วยชุดที่เปลี่ยนตามเทศกาลไม่ซ้ำกันกว่า 800 ชุด ไปจนถึงอโตเมียม (Atomium) หนึ่งในสัญลักษณ์ของบรัสเซลส์ (Brussels) ที่อยู่เคียงคู่กับเมืองมาเกือบ 70 ปี แถมทริปนี้ก๊อตยังไปช่วงปลายปีที่มีตลาดคริสต์มาสและการตกแต่งคริสต์มาสทั่วเมืองเต็มไปหมด เรียกได้ว่ารีวิวนี้เราเที่ยวกันแบบจัดเต็มแน่นอน
รู้จักกับ บรัสเซลส์ (Brussels)
บรัสเซลส์ (Brussels) ถือเป็นเมืองหลวงของประเทศเบลเยียม (Belgium) ที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความสำคัญทางการเมือง โดยเมืองแห่งนี้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นเมืองครั้งแรกในปี ค.ศ. 979 ก่อนจะกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญเนื่องจากทำเลเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแซนน์ (Senne River) จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 18 เมืองได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสเปนและออสเตรีย ทำให้สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมภายในของบรัสเซลส์นั้นได้รับอิทธิพลจากทั้งสองประเทศไปด้วย
โดยในปีค.ศ. 1830 เบลเยียม (Belgium) ได้แยกตัวอย่างเป็นทางการจากเนเธอร์แลนด์ และได้สถาปนาบรัสเซลส์ (Brussels) ขึ้นเป็นเมืองหลวงของประเทศ โดยในศตวรรษที่ 20 เมืองได้มีการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายมาเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสถาบันของสหภาพยุโรปและสำนักงานใหญ่ของนาโต (NATO) นั่นเลยทำให้ที่นี่เป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งในยุโรปเลย
สำหรับทริปนี้ก๊อตจะพาทุกคนเที่ยว บรัสเซลส์ (Brussels) กันแบบแทบจะครบทั้งเมือง ซึ่งช่วงที่ก๊อตไปนั้น เป็นช่วงที่ทั้งเมืองประดับประดาตกแต่งต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสอยู่พอดี ดังนั้น รีวิวนี้นอกจากทุกคนจะได้ชมสถานที่เที่ยวแบบจัดเต็มแล้ว ยังจะได้อบอุ่นใจไปกับบรรยากาศคริสต์มาสไปด้วยกันอีกด้วย
ที่เที่ยวใน บรัสเซลส์ (Brussels)
- จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place)
- อนุสาวรีย์เอเวอราร์ด ที เซอร์เคลส์ (Everard ‘T Serclaes)
- Tintin Comic Mural
- แมนเนเกน พิส (Manneken Pis)
- เนินเขาแห่งศิลปะ / มงต์เดซาร์ (Mont des Arts)
- พระราชวังศาลยุติธรรม (Palace of Justice)
- Belgian Beer World Experience
- ศูนย์การค้าแกลเลอรี รอยัล แซ็ง อูแบร์ (Galeries Royales Saint Hubert)
- ร้านหนังสือ Tropismes
- แฟรงค์ (Frank)
- รูปปั้นเจนเนเค พิส (Jeanneke Pis)
- ตลาดคริสต์มาส (Winter Wonders and Christmas Market)
- โบสถ์นักบุญแคเธอริน (Church of Saint Catherine)
- อโตเมียม (Atomium)
- รถไฟใต้ดินแพนเนนฮุยส์ (Metro Pannenhuis)
- มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา (Cathedral of St. Michael and St. Gudula)
- พาสเซอเรล ทอนโด (Passerelle Tondo)
เริ่มเที่ยว บรัสเซลส์ (Brussels) กันเล้ยย
จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place)
จุดแรกที่จะต้องมาเช็คอินในบรัสเซลส์เลยก็คือ จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) แลนด์มาร์คดังที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถือเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่สวยงาม และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ถึงขั้นที่ว่า วิกเตอร์ อูโก (Victor Hugo) นักเขียนชาวฝรั่งเศสเคยเรียก จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) ว่าเป็น “จัตุรัสที่สวยงามที่สุดในโลก” รวมถึงจตุรัสแห่งนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี ค.ศ. 1998 อีกด้วย เรียกได้ว่า ที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แลนด์มาร์คของเมือง แต่ยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเบลเยียมที่ห้ามพลาดเลย
สำหรับ จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11 เพื่อใช้เป็นพื้นที่ตลาดสำหรับการค้าขาย ทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดร้านขายของกันพรึ่บพรั่บ แต่พอเวลาผ่านไป จัตุรัสแห่งนี้ได้ถูกพัฒนามาเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจของเมืองบรัสเซลส์ กระทั่งในปี ค.ศ. 1695 ระหว่างสงครามเก้าปี (Nine Years’ War) จตุรัสได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีของฝรั่งเศส หลังเหตุการณ์นั้น ทางเมืองจึงได้มีการบูรณะพื้นที่ ส่งผลให้จัตุรัสมีสถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่โดดเด่นมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับ จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) ยังคงถูกใช้เป็นพื้นที่จัดงานตามเทศกาลต่างๆ อยู่ตลอดทั้งปี โดยช่วงที่ก๊อตไปใกล้คริสต์มาสพอดี ทั่วทั้งจตุรัสถูกตกแต่งต้อนรับธีมคริสต์มาส ใจกลางของลานจตุรัสมีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านรายล้อมไปด้วยอาคารมากมาย ซึ่งอาคารที่โดดเด่นจนเรียกว่าเป็นศูนย์กลางของจตุรัสได้เลยก็คือ ศาลาว่าการกรุงบรัสเซลส์ (Brussels Town Hall) ที่ผลงานชิ้นเอกสไตล์โกธิค ที่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1401-1455 เป็นอาคารที่มีหอคอยสูง 96 เมตร และมีรูปปั้นเซนต์ไมเคิล (Saint Michael) นักบุญอุปถัมภ์ของเมืองประดับอยู่บนยอด มุมนี้เลยจะเป็นอีกจุดที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปกันแบบคึกคักอยู่แทบตลอดทั้งวัน
ส่วนตัวก๊อตนั้นไม่ได้เข้าไปด้านในศาลาว่าการเมืองนะ แต่เราเน้นถ่ายรูปเก็บวิวบริเวณลานพลาซ่าด้านนอกแทน ซึ่งภาพที่ได้ออกมาก็สวยสับมาก ความตึกและอาคารแบบเว่อร์วังด้วยลวดลายอันวิจิตร ตัดกับสีทองจากของประดับตกแต่ง บวกกับมู้ดของเทศกาลคริสต์มาส ก๊อตบอกเลยว่าไวบ์โดยรวมเป็นอะไรที่ฟูลฟีลใจมากเลย ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต้องมาเช็คอินให้ได้ ไม่งั้นมันจะเหมือนเรามาเที่ยวไม่ถึงบรัสเซลส์เค้าจริงๆ
อนุสาวรีย์เอเวอราร์ด ที เซอร์เคลส์ (Everard ‘T Serclaes)
ไม่ไกลจาก จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) มีอีกหนึ่งจุดที่ควรแวะเช็คอิน คือ อนุสาวรีย์เอเวอราร์ด ที เซอร์เคลส์ (Everard ‘T Serclaes) ประติมากรรมสำริดอันเลื่องชื่อที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องเมืองบรัสเซลส์ โดยอนุสาวรีย์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมอันกล้าหาญของ Everard ‘t Serclaes ขุนนางผู้ทวงคืนเมืองบรัสเซลส์จากการยึดครองของเคานต์แห่งฟลานเดอร์สในศตวรรษที่ 14
เรื่องราวของ เอเวอราร์ด ที เซอร์เคลส์ (Everard ‘T Serclaes) เริ่มต้นจากการเป็นสมาชิกสภากรุงบรัสเซลส์ จนกระทั่งเคานต์แห่งแฟลนเดอร์ส (Count of Flanders) ได้เข้ายึดครองเมือง ส่งผลให้ผู้คนต่างอยู่กันอย่างยากลำบาก กระทั่งในปี ค.ศ. 1356 เอเวอราร์ดได้นำกองกำลัง และนำทัพบุกโจมตีและปลดปล่อยเมืองจากการถูกควบคุมได้ ทำให้เค้ากลายมาเป็นวีรบุรุษและได้รับการยกย่องในฐานะผู้ปลดปล่อยเมือง แต่ในปี ค.ศ. 1388 เอเวอราร์ด ที เซอร์เคลส์ (Everard ‘T Serclaes) กลับถูกลอบสังหาร โดยมีรายงานในขณะนั้นว่าถูกวางยาพิษโดยคู่แข่งทางการเมือง
และเพื่อรำลึกถึงการจากไป ประชาชนจึงได้ร่วมกันสร้างอนุสาวรีย์สำริดของเขาขึ้นในปี ค.ศ. 1902 โดยมี จูเลียน ดิลเลนส์ (Julien Dillens) เป็นผู้ออกแบบ ซึ่งรูปปั้นนั้นตั้งยึดติดกำแพงใต้ซุ้มประตูแบบโกธิคในบ้านแห่งดวงดาว (Maison de l’Étoile) มีลักษณะนอนอยู่บนเตียง ล้อมรอบด้วยลวดลายที่สื่อถึงความกล้าหาญและการปกป้องเมืองบรัสเซล โดยมีความเชื่อกันว่า หากเราได้มาลูบรูปปั้น จะนำความโชคดีและสุขภาพดีมาให้ รวมถึงจะได้กลับมาที่บรัสเซลส์อีกครั้ง ซึ่งตอนที่ก๊อตไป ก๊อตก็ขอไปลูบบ้างเหมือนกัน เผื่ออนาคตเราจะได้กลับมาที่นี่อีก 5555
รูปปั้นของจริงที่ก๊อตเห็นนั้นเงาวิบวับมากโดยเฉพาะช่วงท่อนแขน เนื่องจากมีคนมาลูบอยู่แทบทุกวัน มันเลยทำให้รูปปั้นเงากริบ แบบที่ว่า ถ้าเราไม่อ่านประวัติมาก่อน นี่ไม่รู้เลยว่า เป็นรูปปั้นที่มีอายุร้อยกว่าปีมาแล้ว
Tintin Comic Mural
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเบลเยียมได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงของการ์ตูนฝรั่งเศส-เบลเยียม (Franco-Belgian Comics) โดยหนึ่งในการ์ตูนที่โด่งดังระดับโลกและมีต้นกำเนิดจากที่นี่ก็คือ Tintin หรือชื่อเต็ม The Adventures of Tintin ที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘การผจญภัยของตินติน’
การ์ตูนเรื่องนี้ถูกสร้างสรรค์โดย ฌอร์ฌ พร็อสแปร์ เรอมี (Georges Prosper Remi) นักวาดการ์ตูนชาวเบลเยียม ผู้ใช้นามปากกา แอร์เฌ (Hergé) ซึ่งตินตินถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาฝรั่งเศสใน Le Petit Vingtième (ฉบับเยาวชนของหนังสือพิมพ์ Le Vingtième Siècle) เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1929 หลังจากนั้น เรื่องราวของนักข่าวหนุ่มและสุนัขคู่ใจ Snowy ก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องตลอดศตวรรษที่ 20 จนกระทั่งได้รับการแปลออกไปกว่า 80 ภาษา และมียอดขายทั่วโลกมากกว่า 350 ล้านเล่ม
นอกจาก Tintin แล้ว เบลเยียมยังเป็นแหล่งกำเนิดของการ์ตูนดังอีกหลายเรื่อง เช่น ในปี ค.ศ. 1958 ศิลปินชาวเบลเยียมชื่อเปโย (Peyo) ได้สร้างการ์ตูนเรื่อง The Smurfs ขึ้นมา นั่นยิ่งตอกย้ำให้เบลเยียมได้รับการยอมรับในฐานะเมืองหลวงของการ์ตูนยุโรป คนที่นี่เค้าเลยจะภาคภูมิใจในการ์ตูนกันมาก อย่างใน บรัสเซลส์เอง มีโปรเจ็กต์ที่เรียกว่า Comic Book Route (La Route de la Bande Dessinée) เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 ซึ่งเป็นการแต่งแต้มจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับตัวละครการ์ตูนชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Tintin, The Smurfs, Lucky Luke และ Gaston Lagaffe ไปตามกำแพงและอาคารหลายจุดในเมือง จนกลายเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเลย
ซึ่งเดิมทีโครงการนี้เริ่มต้นด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังเพียง 10 รูป เท่านั้น แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น กว่า 60 ภาพ ครอบคลุมพื้นที่ใน 19 เขต ของเมือง โดยครั้งนี้ก๊อตมาตามรอยภาพจิตรกรรมฝาผนัง The Calculus Affair หนึ่งในฉากสำคัญของ Tintin ที่ปรากฏภาพ Tintin, Captain Haddock และ Snowy กำลังเดินลงบันไดอย่างระมัดระวัง โดยภาพนี้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินยอดฮิตที่ใครๆ ก็มาถ่ายรูปลงโซเชียล เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งมุมที่คนรัก Tintin ไม่ควรพลาดเลยล่ะ
สำหรับคนที่เดินส่องผลงานศิลปะจนพอใจแล้ว อยากได้ของที่ระลึกเกี่ยวกับตินติน หรือการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ตรงบริเวณติดกันกับกำแพงที่มีฉาก The Calculus Affair วาดอยู่นั้น เค้ามีร้านขายของที่ระลึกให้เราได้แวะซื้อสินค้าของ Tintin รวมถึงการ์ตูนอื่นๆ อย่างเจ้าชายน้อยก็มีอีกด้วยนะ เรียกได้ว่าคอการ์ตูนมาแล้วมีล้มละลายได้แน่นอน
แมนเนเกน พิส (Manneken Pis)
มาถึงอีกหนึ่งรูปปั้นอันโด่งดังและเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของเมืองที่ต้องมาถ่ายรูปเลยก็คือ แมนเนเกน พิส (Manneken Pis) ที่ภาษาดัตช์มีความหมายตรงตัวเลยว่า “เด็กผู้ชายตัวน้อยที่ฉี่” ตั้งอยู่หัวมุมถนนเลทุฟ (Rue de l’Étuve) ตัดกับถนนแซน (Rue du Chêne) รูปปั้นสุดเก๋ที่มีชุดใส่ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละเทศกาล ซึ่งใครหลายคนมาแล้วอาจจะเอ๊ะว่าคนเค้ามาดูอะไรกัน แต่ก๊อตจะบอกมาลองรู้จักกับประวัติของเค้าก่อน บอกเลยว่าเริ่ดไม่เบา
แมนเนเกน พิส (Manneken Pis) ถูกออกแบบโดย เจอโรม ดูเกสนอย (Jérôme Duquesnoy) ช่างหล่อชาวเบลเยียม โดยมีตำนานเล่าหลากหลายแบบ แต่เรื่องที่ดังที่สุดคือ ในช่วงที่บรัสเซลส์ถูกล้อมโจมตี มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อจูลส์ (Jules) ได้ฉี่รดชนวนระเบิดที่ศัตรูวางไว้เพื่อจุดไฟเผาเมือง ทำให้เมืองรอดพ้นจากการถูกทำลาย ชาวเมืองจึงสร้างรูปปั้นนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงความกล้าหาญของเขาในปี ค.ศ. 1619 และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองบรัสเซลส์จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งรูปปั้นที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ไม่ใช่รูปปั้นดั้งเดิมของ แมนเนเกน พิส (Manneken Pis) เนื่องจากรูปปั้นหล่อทองแดงของจริงถูกขโมยไปหลายต่อหลายครั้ง แถมยังถูกทำลายมานับครั้งไม่ถ้วน รูปปั้นอันปัจจุบันนี้จึงเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1965 ซึ่งคนในเมืองเค้าจะมีธรรมเนียมสืบต่อกันมาว่า ในแต่ละเทศกาลจะต้องแต่งตัวให้กับ แมนเนเกน พิส (Manneken Pis) ให้เข้ากับธีมไปเรื่อยๆ ซึ่งเค้ามีชุดมากกว่า 800 ตัว และบางชุดยังถูกนำไปจัดแสดงใน Museum of the City of Brussels อีกด้วยนะ
นอกการมาดูรูปปั้นน้องแล้ว บริเวณใกล้เคียงยังมีร้านขายของฝากและของที่ระลึก แมนเนเกน พิส (Manneken Pis) อยู่อีกด้วยนะ ใครที่อยากช้อปเป็นของฝากกลับไทยก็แวะซื้อได้ แต่ถ้าไม่สะดวกหอบกลับ จะมาลองกินขนมรูปคล้ายจู๋น้องดูก็ได้ มันเป็นเหมือนชูโรสแต่ก็ไม่ใช่ หน้าตาเหมือนจุ๊ดจู๋มาก แบบมองแล้วเอ็นดูสุดๆ 5555555
เนินเขาแห่งศิลปะ / มงต์เดซาร์ (Mont des Arts)
หนึ่งในจุดชมวิวเมืองบรัสเซลส์ (Brussels) ที่หลายคนต้องแวะมาเก็บภาพสวยๆ เลยก็คือ เนินเขาแห่งศิลปะ / มงต์เดซาร์ (Mont des Arts) สวนสีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ที่แม้จะอยู่ท่ามกลางความคึกคัก แต่กลับมีบรรยากาศสงบร่มรื่น ด้วยการจัดสรรพื้นที่อย่างลงตัว ทั้งโซนนั่งเล่น สวนดอกไม้ตามฤดูกาล และมุมพักผ่อนท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีและแสงไฟหลากสีในยามค่ำคืน ท่ามกลางอาคารสวยๆ สุดอลังการ
เนินเขาแห่งศิลปะ / มงต์เดซาร์ (Mont des Arts) เป็นโครงการที่เริ่มตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามแผนการของกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 ที่ต้องการสร้างย่านศิลปะและวัฒนธรรมเพื่อสะท้อนถึงความมั่งคั่งและอำนาจของเมืองบรัสเซลส์ผ่านงานนิทรรศการนานาชาติบรัสเซลส์ในปี ค.ศ. 1910 แต่ทว่าการสร้างไม่เป็นตามแผนและไม่ทันงาน ในช่วงเวลานั้น Jules Vacherot เลยสร้างสวนชั่วคราวอันงดงามแทนเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนงานนิทรรศการ และหลังจากนั้น พื้นที่ดังกล่าวก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปจนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ. 1956-1958 ที่นี่ได้ถูกปรับปรุงใหม่โดยสถาปนิก Gaston Brunfaut โดยปรับพื้นที่สวนและภูมิทัศน์ใหม่ให้กลายเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงเป็นจุดพักผ่อนยอดนิยมใจกลางบรัสเซลส์อย่างแท้จริง
ใครที่อยากมานั่งพักใจท่ามกลางสวนสวยๆ พร้อมได้ภาพน่ารักๆ กลับไปเป็นของแถม ลองมาเดินเล่นที่เนินเขาแห่งศิลปะ / มงต์เดซาร์ (Mont des Arts) บรรยากาศดีงาม อีกทั้งยังถ่ายรูปออกมาแล้วสวยสุดๆ เลยล่ะ
หลังจากเดินขึ้นมายังจุดชมวิวบนเนินมงต์เดซาร์ (Mont des Arts) แล้ว อย่าลืมเดินต่อไปอีกนิดเพื่อแวะไปสำรวจ ด้านหลังจุดชมวิว เพราะที่นั่นยังมี อาคารเก่าแก่สไตล์ยุโรป ตั้งตระหง่านเรียงรายให้เราได้เก็บภาพกันแบบจุใจ แต่ละตึกโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่าง นีโอเรอเนสซองส์และอาร์ตนูโว ที่ให้ความรู้สึกขลังและคลาสสิคสุดๆ เดินผ่านแล้วยังไงก็ต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย เพราะมุมนี้คือสวยทุกองศา ถ่ายรูปออกมาแล้วได้ฟีลเหมือนอยู่ในฉากหนังยุโรปเลยทีเดียว
พระราชวังศาลยุติธรรม (Palace of Justice)
พาทุกคนมาเที่ยวชมสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่และเลอค่าที่สุดอีกแห่งหนึ่งของยุโรปกับ พระราชวังศาลยุติธรรม (Palace of Justice) อาคารศาลยุติธรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางกฎหมายและความยุติธรรมของเบลเยียม โดยศาลแห่งนี้สร้างตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่เราสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลในตัวเมืองบรัสเซลส์ ยังอาคารศาลนี้ยังถูกใช้งานจริง โดยเฉพาะในส่วนของศาลอาญาและศาลแพ่งอีกด้วยนะ
พระราชวังศาลยุติธรรม (Palace of Justice) ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1866 จากการออกแบบของโจเซฟ โพลเลิร์ต (Joseph Poelaert) สถาปนิกชาวเบลเยียม แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จ เขาก็เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1879 ถึงอย่างนั้นทางเมืองก็ยังคงสร้างศาลแห่งนี้ต่อ จนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1883 ในสไตล์ Eclectic Style ที่ผสมผสานความยิ่งใหญ่แบบคลาสสิก บาร็อค และเรอเนซองส์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว อีกทั้งยังมีโดมขนาดใหญ่ที่ตั้งสูงตระหง่านถึง 104 เมตรเลยทีเดียว
ปัจจุบันอาคารของ พระราชวังศาลยุติธรรม (Palace of Justice) เริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ถึงขั้นที่ว่ามีหินหลุดออกมา โดยในปี 2016 มีการประกาศโครงการบูรณะอย่างเป็นทางการ และมีกำหนดการเสร็จสิ้นในปี 2026 เลยทีเดียว ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจหากใครมาเที่ยวที่นี่แล้ว จะได้เห็นโครงเหล็กและนั่งร้านปกคลุมตัวอาคารบางส่วนนั่นเอง
สำหรับการมาเที่ยวของก๊อตนั้น ความตั้งใจคือการที่เราได้มาเดินชมและถ่ายรูปสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ของอาคารศาลหลังนี้ ซึ่งจากที่ก๊อตไปนั้น เรายังได้เห็นเหล่าทนายและผู้คนต่างๆ เดินกันแบบขวักไขว่ ด้วยความที่อาคารศาลแห่งนี้ยังถูกใช้งานเป็นศาลยุติธรรมหลักของเมืองบรัสเซลส์อยู่นั่นเอง ใครที่ชอบดูความสวยงาของสถาปัตยกรรมคลาสสิกและอาคารที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลย
Belgian Beer World Experience
นอกจากเบลเยียมจะโด่งดังในฐานะเมืองหลวงของการ์ตูนยุโรปแล้ว ที่นี่ยังโด่งดังและเป็นแหล่งกำเนิดของเบียร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ถึงขนาดที่ วัฒนธรรมการหมักและดื่มเบียร์ของเบลเยียมได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) โดย UNESCO ในปี 2016 เลยทีเดียว
ทริปนี้ ก๊อตได้มีโอกาสไปค้นหาเคล็ดลับเกี่ยวกับเบียร์เบลเยียมที่ Belgian Beer World Experience ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์บรัสเซลส์ (La Bourse) ซึ่งเค้าเพิ่งเปิดให้คนทั่วไปได้เข้ามาเยี่ยมชมเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา โดยที่นี่มีนิทรรศการที่นำเสนอเรื่องราวและวัฒนธรรมเบียร์อันเลื่องชื่อของประเทศให้เราได้เรียนรู้กันแบบถึงพริกถึงขิงกันเลยทีเดียว
ภายใน Belgian Beer World Experience ถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 โซน ได้แก่ “Savour the Belgitude” โซนที่จะทำให้เราได้เห็นถึงความพิเศษของเบียร์เบลเยียม ตั้งแต่ขั้นตอนการเฟ้นหาวัตถุดิบไปจนถึงกระบวนการหมัก ต่อมาจะเป็น “Discover the Untold Stories” โซนที่ 2 ที่จำลองโรงหมักเบียร์ขนาดย่อม ให้เราได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศเสมือนจริง ราวกับได้เดินอยู่ในโรงงานผลิตเบียร์จริงๆ เลย
ส่วนโซนที่ 3 จะเป็น “Diving into the Mind of a Brewer” เป็นโซนที่จะมีหัวคนขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมคำถามให้เราได้มาทดสอบความรู้เกี่ยวกับเบียร์ที่เราได้เดินชมผ่านมาทั้งหมด ถัดมากับโซนที่ 4 “Witness the Magic” ที่มีมุมให้เราทำแบบสอบถามความชอบส่วนตัว แล้วระบบจะบอกว่าเบียร์แบบไหนที่น่าจะเหมาะกับเรา ซึ่งเราสามารถนำชื่อนั้นไปสั่งซื้อดื่มได้ที่ช็อปด้านล่างได้เลย
สำหรับโซนที่ 5 และ 6 คือ “Explore Your Taste Preferences” โซนที่เราจะได้ลิ้มรสชาติของเบียร์เบลเยียมแบบจุใจ และ “Inspire the World” โซนที่จะพาเราเข้าไปสำรวจวัฒนธรรมเบียร์จากทั่วโลก ให้เราได้เปิดโลกเรื่องเบียร์มากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือโซนที่อยู่ภายใน Belgian Beer World Experience ที่ก๊อตเอาบรรยากาศมาฝากกัน
นอกจากโซนทั้ง 6 แล้ว ที่นี่เค้ายังมี ช็อปขายสินค้าเกี่ยวกับเบียร์ตั้งอยู่ด้วย ที่ไม่ได้มีแค่เบียร์เท่านั้น แต่ยังมีพวกวัตถุดิบในการหมักเบียร์ขายอีกด้วย ใครที่ชื่นชอบและเป็นคอเบียร์ แล้วอยากเห็นเคล็ดไม่ลับกว่าจะมาเป็นเบียร์แต่ละขวด มีความเป็นมาอย่างไร ก๊อตบอกเลยว่าทุกคำถามที่สงสัยนั้น เราสามารถมาหาคำตอบได้ที่ Belgian Beer World Experience ได้เลย
สำหรับใครจะมา Belgian Beer World Experience ก๊อตแนะนำให้เผื่อเวลาอยู่ในนั้นซัก 2-3 ชั่วโมง เพราะแต่ละโซนมีรายละเอียดน่าสนใจค่อนข้างเยอะ รวมถึงการที่เราจะได้ดื่มด่ำไปกับรสชาติเบียร์แบบจุใจนั่นเอง ใครจะมาตามรอยกัน ที่นี่มีค่าเข้าคนละ 17 ยูโร (~605 บาท) นา ราคานี้คุ้มเกินคุ้มกับประสบการณ์ที่ได้มาเรียนรู้เรื่องราวของเบียร์เบลเยียมอย่างถึงแก่นเลยทีเดียว
ศูนย์การค้าแกลเลอรี รอยัล แซ็ง อูแบร์ (Galeries Royales Saint Hubert)
ถ้าใครเคยดูฉากในหนังยุโรปที่มีตัวละครเดินอยู่ในอาคารสุดหรูสไตล์เรอเนสซองส์ ก๊อตจะบอกเลยว่า ศูนย์การค้าแกลเลอรี รอยัล แซ็ง อูแบร์ (Galeries Royales Saint Hubert) ในกรุงบรัสเซลส์คือสถานที่ที่ให้ฟีลแบบนั้นเป๊ะๆ เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมร้านค้า ช็อปแบรนด์ดัง ร้านอาหารสุดหรู ไปจนถึงโรงละครและโรงแรมไว้ในที่เดียว
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
โครงการนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1845 โดยฌอง ปิแอร์ คลูเซเนียร์ (Jean-Pierre Cluysenaar) สถาปนิกหนุ่มชาวเบลเยียมชื่อดังในยุคสมัยนั้น ซึ่งมีแนวคิดในการฟื้นฟูย่านเสื่อมโทรมให้กลายเป็นย่านการค้าหรูหราแห่งแรกในยุโรป โดยเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1846 ก่อนจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1847 ต่อหน้าพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 1 (Leopold I.)
ภายหลังเปิดให้บริการ ย่านที่เคยซบเซาก็กลับมาคึกคักและมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ผู้คนมีงานทำ รวมถึงมีเม็ดเงินหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันนี้ Galeries Royales Saint Hubert มีคนมาเยือนมากถึง 6 ล้านคนต่อปี โดยบรรยากาศด้านในของเค้าโอ่อ่าด้วยหลังคาแก้วโปร่งแสงขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมตลอดแนวทางเดิน สไตล์นีโอเรอเนสซองส์ (Neo-Renaissance)
โดยช่วงที่ก๊อตไปนั้น พอดีกับช่วงเทศกาลคริสต์มาส พื้นที่ทั้งแกลเลอรีจึงตกแต่งไปด้วยต้นคริสต์มาส หน้าร้านต่างๆ ตกแต่งด้วยของสารพัดน่ารักปุ๊กปิ๊ก ทั้งต้นคริสต์มาส ซานตาคอส พวงมาลัย กระดิ่งวางเรียงรายกันอยู่ คือเดินแล้วจอยไวบ์เฟสทีฟสุดๆ ใครที่มาเที่ยวบรัสเซลส์ บอกเลยว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ห้ามพลาด เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกภาพยนตร์เลยจริงๆ ยิ่งมาในช่วงเทศกาลคริสต์มาสแบบก๊อตแล้ว คือยิ่งฟิน ถ่ายรูปมุมไหนก็ดีไปหมดเลยล่ะ
ร้านหนังสือ Tropismes
ใครที่เดินอยู่ใน Galeries Royales Saint Hubert แล้วอยากได้มุมถ่ายรูปปังๆ แบบคนเก๋ลูกคุณ ให้ตรงดิ่งมายังร้านหนังสือ Tropismes ได้เลย ที่นี่เป็นร้านหนังสือฝรั่งเศสสุดคลาสสิก ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 และนับตั้งแต่นั้นมา ที่นี่กลายเป็นร้านหนังสือที่ขึ้นชื่อเรื่องบรรยากาศสุดอบอุ่นและการตกแต่งที่สวยหรู เพราะนอกจากจะขายหนังสือหลากหลายหมวดแล้ว เค้ายังมีมุมนั่งพักผ่อนและจิบกาแฟ ให้คนรักหนังสือได้ใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินไม่มีเบื่อ
จากที่ก๊อตได้เข้าไปสำรวจบรรยากาศของร้านหนังสือเค้าโอ่อ่าแบบผู้ดีมาก ด้วยความที่ร้านเค้าทำผนังเป็นกระจกสะท้อน พร้อมเสาโรมันสีทองที่มีลวดลายวิจิตร นั่นเลยทำให้ร้านเค้าดูโอ่โถงและสวยคลาสสิกสุดๆ ใครที่อยากได้รูปเก๋ๆ กับบรรยากาศสุดละมุนและกองหนังสือสูงๆ ลองแวะมาเช็คอินที่นี่ได้เลย ทุกมุมคือถ่ายรูปออกมาแล้วเริ่ดทุกมุม
แฟรงค์ (Frank)
ใครอยากหาบรันช์อร่อยๆ ที่มาทานแล้วไม่ผิดหวัง ก๊อตแนะนำให้มาลองที่ แฟรงค์ (Frank) ได้เลย เพราะที่นี่มีเมนูบรันช์ที่หลากหลาย อีกทั้งยังมีวัตถุดิบออร์แกนิกและผักตามฤดูกาล ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งร้านที่มีคนมาต่อแถวรอกันตั้งแต่ก่อนร้านเปิดเลยล่ะ
สำหรับบรรยาการของร้านจะเป็นฟีลโฮมมี่มีความเป็นกันเองมาด โดยที่นั่งเค้าจะมี 2 โซนหลัก ทั้งโซนนอกร้านที่เราสามารถกินบรันช์ท่ามกลางเมืองบรัสเซลส์แบบใกล้ชิด หรืออีกโซนที่เป็นแบบอินดอร์ ที่เราสามารถนั่งมองบาริสต้าชงกาแฟได้แบบเพลินๆ พร้อมกับการตกแต่งร้านในสไตล์มินิมอลที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนนั่งอยู่บ้านขนานแท้
โดยอาหารที่ก๊อตสั่งจะเป็นเมนูฮิตของร้านอย่าง “Eggs Benedict” เมนูซิกเนเจอร์ที่เสิร์ฟพร้อมซอสฮอลแลนเดสเข้มข้นและเบคอนกรอบ นอกจากนี้ยังมี “Savoury Stack” แพนเค้กในรูปแบบสเต็กที่สอดไส้หมูรมควันหั่นบางๆ และเบคอนสไลด์เพิ่มความนัว เสิร์ฟมาพร้อมผักอบและซอสเข้มข้น ที่พอกินรวมเข้าด้วยกันแล้วอร่อยมาก ถือเป็นจานตัวท็อปที่ก๊อตชอบมาก ยังไม่หมดเท่านั้น ก๊อตยังสั่ง “Pulled Mushroom & Pork” หมูย่างรมควันและเห็ดนางรมตุ๋นในซอสบัฟฟาโลรสเผ็ดถึงใจ กินคู่กับเครื่องเคียงคือเข้ากันสุดๆ
นอกจากเมนูบรันช์แล้ว แฟรงค์ (Frank) ยังมีเมนูมื้อค่ำที่มาพร้อมไวน์ดีๆ ให้เลือกจิบได้อีกด้วย ใครที่อยากมานั่งชิลในบรรยากาศสบายๆ พร้อมอาหารรสชาติอร่อย ก๊อตบอกเลยว่าต้องแวะมาที่ แฟรงค์ (Frank) ให้ได้เลย!
รูปปั้นเจนเนเค พิส (Jeanneke Pis)
ถ้าใครเดินเล่นอยู่ใกล้กับย่าน Îlot Sacré ไม่ไกลจากจตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) มีอีกหนึ่งรูปปั้นที่โด่งดังและเป็นคู่ล้อเลียนของ Manneken Pis แบบที่ว่าใครมาเที่ยวบรัสเซลส์จะต้องแวะมาถ่ายรูปด้วย นั่นก็คือ รูปปั้นเจนเนเค พิส (Jeanneke Pis) รูปปั้นสำริดรูปเด็กผู้หญิงนั่งฉี่ ขนาด 50 เซนติเมตร ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1987 โดยเดนิส อาเดรียน เดอบูรี (Denis-Adrien Debouvrie) ศิลปินและยังเป็นเจ้าของร้านอาหารหลายแห่งในย่าน Îlot Sacré
รูปปั้นเจนเนเค พิส (Jeanneke Pis) เป็นรูปปั้นเล็กๆ ที่มีน้ำพุขนาดจิ๋วพวยพุ่งออกมาราวกับว่าเด็กผู้หญิงกำลังนั่งฉี่จริงๆ ซึ่งรูปปั้นนี้ไม่ได้สร้างเพื่ออิงกับประวัติศาสตร์เหมือน Manneken Pis แต่ศิลปินเค้าต้องการสร้างรูปปั้นเพื่อล้อเลียนเชิงขบขันและสะท้อนให้ผู้คนได้เห็นถึงความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมเยียนย่านนี้กันมากขึ้น ใครมาเดินเล่นแถวๆ นี้ก็อย่าลืมแวะมาแช๊ะภาพน้องเค้าล่ะ
ตลาดคริสต์มาส (Winter Wonders and Christmas Market)
สำหรับใครที่มาเที่ยวบรัสเซลส์ (Brussels) ช่วงปลายปีถึงต้นปีที่ใจกลางเมืองตั้งแต่ช่วง จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) ไล่ยาวมาตาม วิสเมิร์ก (Vismet), บูลวาร์ด อ็องสปาค (Bd Anspach) , อาคารตลาดหลักทรัพย์บรัสเซลส์ (Bourse Beurs) จนถึงถนนเดอลามาเดอลีน (Rue de la Madeleine) เค้าจะมี ตลาดคริสต์มาส (Winter Wonders and Christmas Market) จัดอยู่เต็มพื้นที่ ใครอยากมาสัมผัสบรรยากาศเฉลิมฉลองคริสต์มาสแบบอบอุ่น อีกทั้งยังได้มาเดินกิน เที่ยว ช้อป พร้อมทำกิจกรรมสนุกๆ ก๊อตแนะนำให้มาเดินเที่ยวที่นี่ได้เลย
โดย ตลาดคริสต์มาส (Winter Wonders and Christmas Market 2024) เป็นเหมือนอีเวนต์ที่เค้าจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยบรรยากาศด้านในตลาดคึกคักมาก เริ่มตั้งแต่ร้านค้าและร้านอาหารที่ยกขบวนมาเปิดขายให้เราได้เดินซื้อกันมากกว่า 200 ร้าน จะของคาว ของหวาน หรือของฝากคือมีหมดเลย นอกจากนี้เค้ายังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้คนที่มางานได้ทำอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการมาขึ้นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่บริเวณ วิสเมิร์ก (Vismet) ที่ประดับไปด้วยแสงไฟสวยงาม ม้าหมุนสุดคิ้วท์ที่แค่ไปยืนถ่ายรูปคู่ก็น่ารักและตะโกนคำว่าคริสต์มาสสุดๆ หรือถ้าใครอยากลองเล่นไอซ์สเก็ต ที่ตลาดเค้าก็มีโซน ลานสเกตน้ำแข็ง (Place de Brouckère) อยู่ด้วยนะ เรียกได้ว่ายกกิจกรรมมาให้ทำกันแบบจัดเต็ม
นอกจากนี้บริเวณ จตุรัสกรองด์ปลาซ (Grand Place) ยังมีต้นคริสต์มาสขนาดบิ๊กเบิ้มตั้งอยู่ ตรงนี้ถือเป็นจุดที่คนมารวมตัวกันเยอะมาก ความต้นคริสต์มาสที่ระยิบระยับไปด้วยแสงจากดวงไฟตกกระทบเข้ากับของตกแต่งสุดปุ๊กปิ๊กมันให้มู้ดแบบเนี่ย เรามาถึงเทศกาลคริสต์มาสแล้วจริงๆ บรรยากาศอบอุ่นทว่าโรแมนติกในเวลาเดียวกัน เป็นอีกมุมที่ไม่ควรพลาดมาตามเก็บภาพสวยๆ เลยทีเดียว
ส่วนตัวก๊อตก็เดินเก็บภาพบรรยากาศตามมุมต่างๆ ไปเรื่อยๆ คือตอนที่อยู่ในนั้นเดินเพลินมาก ให้ทุกคนลองนึกภาพตามอากาศหนาวๆ ใส่เสื้ออุ่นๆ รอบตัวรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย ท่ามกลางบรรยากาศของคริสต์มาส อย่างกับเดินอยู่ในฉากหนังรักแบบนั้นเลย บอกเลยว่า Winter Wonders and Christmas Market เป็นอีกหนึ่งอีเวนต์น่ารักๆ ที่ใครมาเที่ยวช่วงปลายปี ก๊อตอยากให้มากัน
โบสถ์นักบุญแคเธอริน (Church of Saint Catherine)
ด้วยความบังเอิญจากการเดินเล่นใน ตลาดคริสต์มาส (Winter Wonders and Christmas Market 2024) ทำให้ก๊อตมาเจอกับ โบสถ์นักบุญแคเธอริน (Church of Saint Catherine) ที่เห็นจากด้านนอกแล้วมันตั้งเด่นเป็นสง่า เราเลยเข้าไปส่องบรรยากาศภายในกันหน่อย โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1854-1859 บนท่าเรือเก่าที่เคยถูกถมแล้ว ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของท่าเรือบรัสเซลส์ โดยมีสถาปนิกชื่อดังผู้ที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบ “Palace of Justice” อย่างโจเซฟ โพลเลิร์ต (Joseph Poelaert) ได้มาออกแบบโบสถ์แห่งนี้ในสไตล์โกธิคและบาโรก รวมถึงได้แรงบันดาลใจมาจากโบสถ์ฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 16 อีกด้วย
ด้านในโบสถ์มีบรรยากาศที่เงียบสงบ ทำให้เราได้สัมผัสความสวยงามของโถงใจกลางของโบสถ์สูงสง่าที่สร้างด้วยหินโกแบร์ตังจ์ (Gobertange) ขนาบข้างด้วยเสาค้ำยันที่ช่วยสร้างความสมดุลให้อย่างประณีต ผนังด้านในดูเรียบง่ายด้วยโทนสีขาวครีม มาพร้อมหน้าต่างกระจกบานใส พร้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์นีโอเรอเนซองส์ที่แทรกตัวตามมุมต่างๆ ก๊อตใช้เวลาถ่ายรูปกันอยู่ไม่นานก็กลับออกมาเดินเล่นงานคริสต์มาสมาร์เก็ตต่อ ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เจอด้วยความบังเอิญ แต่กลับได้ความประทับใจเกินคาดเลยจริงๆ
อโตเมียม (Atomium)
หนึ่งในผลงานสถาปัตยกรรมชื่อดังของบรัสเซลส์ที่ตอนนี้กลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองเค้า ต้องยกให้กับ อโตเมียม (Atomium)ที่เค้าสร้างขึ้นเพื่อจุดไฮไลท์ในงานนิทรรศการโลกที่บรัสเซลส์ 1958 (Expo 58) โดยทำหน้าที่เสมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และสถาปัตยกรรมในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเมื่องานเอ็กซ์โปจบลงเรียบร้อย ผลงานชิ้นนี้เลยได้กลายมาเป็นเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวสุดป๊อบของบรัสเซลส์ไปโดยปริยาย
โดยเจ้าลูกกลมๆ สีเงินตรงหน้าเรานี้ เป็นผลงานออกแบบของ อังเดร วอเตอร์เคน (André Waterkeyn) วิศวกรชาวเบลเยียม โดยมีสองพี่น้องสถาปนิก อังเดร (André) และ ฌอง โพแล็ก (Jean Polak) ร่วมออกแบบโครงสร้างและรูปทรงสถาปัตยกรรมด้วย โดยการออกแบบนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก โครงสร้างผลึกของอะตอมเหล็ก (Iron Crystal Molecule) ที่ถูกขยายขนาดขึ้น 165 พันล้านเท่า
สำหรับโครงสร้างของ อโตเมียม (Atomium) ประกอบด้วยสแตนเลสทรงกลม 9 ลูก ซึ่งแต่ละลูกมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 18 เมตร ที่เชื่อมกันด้วยท่อ 20 ท่อ ซึ่งโครงสร้างทั้งหมดมีความสูงกว่า 102 เมตร โดยในปัจจุบัน ที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คและสถานที่ท่องเที่ยวที่ด้านในมีทั้งนิทรรศการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ พื้นที่จัดแสดงศิลปะ และจุดชมวิวแบบ 360 องศาอีกด้วย
โดยตอนที่ก๊อตไปนั้น ก๊อตเน้นเดินเล่นและถ่ายรูปอยู่บริเวณรอบๆ แทน ซึ่งก็มีผู้คนมาถ่ายรูปอยู่ไม่ขาดสาย ด้วยความที่มันเป็นทั้งสัญลักษณ์แห่งยุคทองของวิทยาศาสตร์และการออกแบบสมัยใหม่ ที่ยังคงสร้างความประทับใจให้กับคนรุ่นหลังมาจนถึงทุกวันนี้นี่แหละ
สถานีรถไฟใต้ดิน แพนเนนฮุยส์ (Metro Pannenhuis)
หากใครเป็นสายถ่ายรูปแนวสตรีทจ๋าๆ ผสมกลิ่นอายไซไฟล้ำๆ สถานีรถไฟใต้ดิน แพนเนนฮุยส์ (Metro Pannenhuis) คือสถานีรถไฟใต้ดินที่ไม่ควรพลาด เพราะที่นี่โดดเด่นด้วยการตกแต่งภายในที่ล้ำยุคและคูลสุดด้วยหลอดไฟสีส้มและสีแดงสดใสตลอดทางเดินและชานชาลา ทำให้ไวบ์เหมือนเราเดินหลุดเข้าไปในโลกไซไฟแบบในหนังเลยล่ะ
อินทีเรียของ สถานีรถไฟใต้ดินแพนเนนฮุยส์ (Metro Pannenhuis) ที่ก๊อตชอบมีอยู่สองจุดคือตรงบันไดเลื่อนและตรงชานชาลารถไฟ โดยเพดานตรงบันไดเลื่อนนั้นเต็มไปด้วยท่อสีส้มขนาดเล็กใหญ่สลับกันไป ที่พอแสงไฟจากหลอดไฟกระทบพื้นและสะท้อนกลับขึ้นมา มันสร้างมิติแปลกตาที่ให้ฟีลล้ำยุคสุดๆ
นอกจากตรงบันไดเลื่อนแล้ว บริเวณด้านล่างชานชาลาก็ทำอินทีเรียได้เก๋ไม่แพ้กัน ด้วยหลอดไฟวงกลมสีส้มเรียงยาวพร้อมเก้าอี้นั่งทั้งสองฝั่ง ทำให้ภาพตรงนี้มีความสมมาตรที่สวยเอามากๆ พอเราได้ไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูปก็ได้ฟีลภาพสตรีทที่โคตรคูลเลยล่ะ ใครชอบความไซไฟเหมือนอยู่ในโลกอนาคต ผสมกับความสตรีทจ๋าๆ แนะนำให้เราแวะมาถ่ายภาพตรงนี้ได้เลย สถานีนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก อโตเมียม (Atomium) มากนัก สามารถแวะมาถ่ายรูปจึ้งๆ ได้ง่ายๆ เลยล่ะ
มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา (Cathedral of St. Michael and St. Gudula)
เรามาเที่ยวกันต่อที่ มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา (Cathedral of St. Michael and St. Gudula) ถือเป็นโบสถ์สไตล์โกธิคที่โดดเด่นและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในบรัสเซลส์ ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเซนต์ไมเคิล (St. Michael) และเซนต์กูดูลา (St. Gudula) ซึ่งเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของกรุงบรัสเซลส์ โดยทำหน้าที่เป็นทั้งศูนย์กลางทางศาสนาและสถานที่จัดพิธีสำคัญต่างๆ ของราชวงศ์เบลเยียม ใครที่ชื่นชอบการเดินดูสถาปัตยกรรมโบสถ์ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ไม่ควรพลาดเลย
มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา (Cathedral of St. Michael and St. Gudula) เดิมทีเคยเป็นโบสถ์เล็กๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และต่อมาได้รับการปรับปรุงเป็นโบสถ์แบบโรมาเนสก์ (Romanesque Church) ในศตวรรษที่ 11 โดยการก่อสร้างโบสถ์ในสไตล์โกธิคแบบที่เห็นในปัจจุบัน เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1226 ภายใต้การสนับสนุนของดยุคเฮนรีที่ 1 แห่งบราบันต์ (Duke Henry I of Brabant) แต่กว่าที่จะสร้างเสร็จสมบูรณ์ต้องใช้เวลาหลายศตวรรษ โดยหอคอยคู่ด้านหน้ามหาวิหารซึ่งออกแบบโดยฟาน รูสโบรค (Jan Van Ruysbroeck) เพิ่งแล้วเสร็จใน ศตวรรษที่ 15 ซึ่งตั้งโดดเด่นเหนือเส้นขอบฟ้าของบรัสเซลส์ที่เราสามารถมองเห็นได้แต่ไกล ส่วนผนังด้านหน้าของอาคารมีการแกะสลักหินอย่างประณีต พร้อมประดับด้วยช่องหน้าต่างกระจกสีขนาดใหญ่ ซึ่งถ่ายรูปออกมาแล้วสวยอย่างกับอยู่ในเทพนิยาย
สำหรับการเข้าชม มหาวิหารเซนต์ไมเคิลและเซนต์กูดูลา (Cathedral of St. Michael and St. Gudula) เราสามารถเดินเข้ามาชมได้ฟรี เมื่อก้าวเข้าสู่มหาวิหาร บรรยากาศภายในนั้นโปร่งสบายด้วยช่องกระจกใสบานใหญ่ที่ช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ส่วนตรงกลางเป็นทางเดินรายล้อมไปด้วยที่นั่งไม้ยาวและเสาโกธิคสูงตระหง่าน ตามผนังเต็มไปด้วยกระจกสีมากมายที่ได้รับการออกแบบจากเบอร์นาร์ด แวน ออร์ลีย์ (Bernard van Orley) ช่างผู้เชี่ยวชาญที่นำเสนอเรื่องราวของฉากในพระคัมภีร์และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ออกมาสู่ภาพบนกระจกสีได้อย่างงดงาม ทำให้เรามองเห็นภาพของเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน เหมือนได้ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์กันเลย
ด้านในสุดของมหาวิหารจะเป็นพื้นที่ทำพิธีที่มาพร้อมแท่นบูชา ซึ่งสร้างโดยเฮนดริก ฟรานส์ เวอร์บรูกเกน (Hendrik Frans Verbruggen) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 โดยแท่นแห่งนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะบาโรกกันเลยทีเดียว ซึ่งของจริงที่ก๊อตมองด้วยตา คืองดงามและละเอียดประณีตมาก มันแบบอิ่มเอมใจบอกไม่ถูก จากบรรยากาศภายในมหาวิหาร ก๊อตบอกเลยว่า ที่นี่ถือเป็นอีกสถานที่ที่ต้องมาให้ได้ เพราะนอกจากความอลังการแล้ว ยังได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์และศิลปะชั้นยอดของเบลเยียมไปพร้อมกันอีกด้วย
พาสเซอเรล ทอนโด (Passerelle Tondo)
ปิดท้ายที่เที่ยวในบรัสเซลส์ (Brussels) กันที่ พาสเซอเรล ทอนโด (Passerelle Tondo) หรือจะเรียกอีกชื่อว่า สะพานคนเดินทอนโดก็ได้ โดยความเก๋ไก๋ของที่นี่คือดีไซน์สะพานรูปทรงวงกลม ที่ตั้งโดดเด่นเตะตามาแต่ไกล โดยตัวสะพานเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา ทำหน้าที่เป็นทางเชื่อมระหว่างอาคารรัฐสภาสองฝั่งของถนนรู เดอ ลูแว็ง (Rue de Louvain) ได้แก่ อาคารฟอรัมแห่งใหม่ (Forum Building) และ อาคารรัฐสภาประวัติศาสตร์ (Historic Chamber) ซึ่งเป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแห่งเบลเยียม
ความเก๋ของพาสเซอเรล ทอนโด (Passerelle Tondo) คือการที่สะพานถูกออกแบบมาเพื่อ สะท้อนสภาพแวดล้อมรอบข้าง โดยเวลาเราเดินอยู่บนสะพาน เราจะได้เห็นภาพสะท้อนของอาคารรัฐสภาและเมืองบรัสเซลส์จากมุมมองที่ไม่เหมือนใคร เป็นดีไซน์ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมและงานศิลปะได้อย่างลงตัวเลย
ใครที่ชื่นชอบงานออกแบบดีไซน์ล้ำๆ และต้องการรูปถ่ายเก๋ๆ กับตัวสะพานโมเดิร์นที่คอนทราสต์กับสถาปัตยกรรมของตึก ก๊อตบอกเลยว่า Passerelle Tondo เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะได้ภาพสวยๆ กลับไปแล้ว ยังได้สัมผัสบรรยากาศการเชื่อมต่อระหว่างอดีตและปัจจุบันผ่านงานสถาปัตยกรรมแห่งนี้อีกด้วย
สรุปการมาเที่ยว บรัสเซลส์ (Brussels)
ทั้งหมดนี้คือแพลนเที่ยวทั้งหมดที่ก๊อตไปตามเก็บมาใน บรัสเซลส์ (Brussels) โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของก๊อตที่ได้มาเยือนเบลเยียม ส่วนตัวประทับใจเมืองเค้ามาก ด้วยความที่เมืองเค้ามันเล็กๆ น่ารักๆ ทำให้เราสามารถเดินเที่ยวไปยังแต่ละสถานที่ได้ ซึ่งก๊อตแนะนำเลยว่า การเดินเล่นใน บรัสเซลส์ (Brussels) เป็นอะไรที่โรแมนติกมาก มู้ดเมืองมันมีความอบอุ่นหนุบหนับใจสุด แถมอาคารสถาปัตยกรรมภายในเมืองของเค้าก็เลอค่า สวยอลังแบบที่ถ่ายรูปมุมไหนก็ออกมาสวยสับไปหมด ใครชอบเมืองน่ารักๆ ในยุโรป ก๊อตแนะนำ บรัสเซลส์ (Brussels) มาแล้วใจฟู และมีอะไรให้ทำมากกว่าที่เราคิดมากเลยล่ะ
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡