ใครที่เป็นขาประจำที่ชอบออกไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น นี่เชื่อว่าหลายคนต้องคุ้นชื่อของ Hotel Nikko (โรงแรมนิกโก้) แน่ๆ เพราะโรงแรมนี้ถือเป็นอีกเชนโรงแรมหนึ่งที่ใหญ่มากในญี่ปุนเลยแหละ ใหญ่ถึงขั้นขนาดมี Hotel Nikko ตั้งอยู่เกือบทุกภูมิภาคของญี่ปุ่นเลย และที่น่าดีใจตอนนี้ก็คือ Hotel Nikko เค้าได้มาเปิดอย่างเป็นทางครั้งแรกในประเทศไทยแล้วกับ Hotel Nikko Bangkok (โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพ) ซึ่งครั้งแรกของเค้าก็ไม่ธรรมดา เพราะตั้งอยู่บนทำเลทองหล่อ ซึ่งดีที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพ จัดเต็มทุกการตกแต่ง สิ่งอำนวยความสะดวก และห้องอาหารทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบอินเตอร์กันเลยเดียว
ครั้งนี้ก๊อตได้ไปเข้าพักในห้องแบบ Nikko Executive Suite จำนวน 3 วัน 2 คืน พร้อมรับประทานอาหารเช้าทั้ง 2 แบบรวมถึงยังได้ทานอาหาร Dine Buffer ของที่นี่ครบทั้งห้องอาหาร The Oasis และ Hishou อีกด้วย ความดีงามของ Hotel Nikko Bangkok (โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพ) จะดีขนาดไหน เดี๋ยวก๊อตจะพาไปดูให้หมดทุกซอกทุกมุมเล้ย
ห้องพักแบบ Nikko Executive Suite
เริ่มต้นกันที่ห้องพักกันก่อน ซึ่งการมาพักที่ Hotel Nikko Bangkok (โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพ) ครั้งนี้ ก๊อตได้นอนในห้องแบบ Nikko Executive Suite ซึ่งถ้านับระดับเทียร์ของห้องนั้น ห้องนี้จะใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของที่นี่เลย โดยจัดมาในห้องขนาดกว้างกว่า 79 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นห้องทานข้าว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำ บอกเลยว่าใหญ่มากกกกก แถมตำแหน่งที่ตั้งของห้องยังทำเลดีอีก เนื่องจากห้องตั้งอยู่ฝั่งติดถนนสุขุมวิท ซึ่งเราสามารถมองเห็นวิวกรุงเทพได้กว้างมาก ตั้งแต่ช่วงปากซอยทองหล่อไปยังฝั่งสยาม สุดลูกหูลูกตาไปจนถึงย่านพระราม 9 เลย วิวกรุงเทพจากห้อง Nikko Executive Suite คือโคตรสวยเลยแหละ
หากเราเปิดประตูเข้ามายังตัวห้อง เราจะเจอกับห้องทานข้าวก่อน โดยเค้าจะมีทั้ง Welcome Dessert and Fruits เป็นมาการอง และผลไม้ไทยต่างๆ จัดเรียงต้อนรับอยู่ นี่จะบอกว่ามาการองอร่อยม๊ากก หวานกำลังดี กัดแล้วนุ่มจริง นอกจากนี้เค้ายังมีเครื่องงทำกาแฟแคปซูลจาก Nescafe Dolce Gusto อีกด้วย ซึ่งแคปซูลทำกาแฟนี้ เค้าจะเติมให้ตลอดเลยนะเออ
ถัดมาเป็นห้องนั่งเล่นที่มีกระจกวิวกรุงเทพแบบพาโนรามา โซฟายาวขนาดใหญ่ ทีวี โต๊ะทำงาน รวมถึงมินิบาร์ที่เราสามารถกินได้เลยโดยทางโรงแรมจะไม่ชาร์จราคาเพิ่มแต่อย่างไร ซึ่งเค้าจัดมาทั้งน้ำผลไม้ เบียร์ น้ำอัดลม และน้ำเปล่า เพียงพอและไม่ต้องลงไปหาร้านสะดวกซื้อด้านล่างเลยล่ะ
ความพิเศษของห้อง Nikko Executive Suite คือ เราจะได้รับการจัดเตรียมชุดยูกาตะแบบญี่ปุ่นไว้ให้ สำหรับใช้สวมใส่ในห้องนอน รวมถึงยังมีกิมมิคน่ารักๆอย่างนกกระดาษ ที่ทำให้เราคลับคล้ายให้นึกถึงความเป็นญี่ปุ่นอีกด้วย คือน่ารักม๊าก สำหรับเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอนนั้นจัดมาทั้งเตียงขนาดใหญ่พิเศษ นอนสบาย โซฟาเบดสองตัวให้เราได้พักผ่อน
ส่วนห้องน้ำที่อยู่ติดกันนั้น จะเป็นห้องน้ำตามแบบฉบับของญี่ปุ่นที่แบ่งห้องขับถ่ายและห้องอาบน้ำแยกออกจากกัน โดยระหว่างห้องจะมีอ่างล้างหน้าจำนวน 2 อ่าง ซึ่งส่วนตัวนี่ค่อนข้างชอบห้องน้ำสไตล์นี้มาก เพราะมันถูกแบ่งแยกการใช้ห้องน้ำเป็นสัดส่วนชัดเจน
ที่เก๋ของห้องนี้คือห้องอาบน้ำจะมีทั้งเรนโชว์เวอร์ และอ่างอาบน้ำที่เป็นกระจกบานใหญ่ขนานกับเตียงนอน ใครที่มากับแฟนคือฟินและโรแมนติกสุดๆ ไปเล้ย หรือถ้าใครมากับครอบครัวหรือเพื่อน ไม่ต้องห่วง เพราะเราสามารถเลื่อนม่านลงมาปิดได้นั่นเอง
Executive Lounge
สำหรับใครที่มานอนห้องพักแบบ Nikko Executive Suite หรือ Nikko Grand Suite เราจะได้สิทธิพิเศษสำหรับการเข้าใช้ Executive Lounge บนชั้น 23 ด้วย ซึ่งห้องนี้เป็นห้องพิเศษที่บริการลูกค้าตั้งแต่การเช็คอินแบบไพรเวท พื้นที่สำหรับการนั่งเล่น อ่านหนังสือ หรือนั่งทำงานได้ตลอดทั้งวัน ฟรีห้องประชุม 2 ชั่วโมง แถมยังฟรีทั้งน้ำดื่ม ชา กาแฟต่างๆ อีกด้วย บอกเลยว่าใครที่ชอบความเงียบสงบ และอยากนั่งทำงานในบรรยากาศดีๆ ที่ตกแต่งแบบสวยงาม ได้ดูวิวกรุงเทพดีๆ Executive Lounge คือตอบโจทย์สุดๆ
ส่วนที่เก๋กู๊ดกว่านั้นของ Executive Lounge คือ ใครที่อยากกินอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์แบบไพรเวท ที่ไม่ต้องวุ่นวายกับลูกค้าคนอื่นๆ Executive Lounge ยังมีบริการอาหารเช้าที่เลาจน์แห่งนี้อีกด้วย แถมยังมีชั่วโมงพิเศษอย่าง Afternoon Tea ช่วงเวลา 14.00น. – 16.00น. และยังมี Evening Cocktail กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่อั้นอีกในช่วง 5 โมงครึ่ง จนถึง 1 ทุ่มครึ่งอีก คือคุ้มมากก
สำหรับใครที่ไม่ได้พักห้องแบบ Nikko Executive Suite หรือ Nikko Grand Suite แล้วอยากเข้าใช้บริการ Executive Lounge บ้าง จะต้องทำยังไง เอ้อ เราสามารถบอกพนักงานเซอร์วิสเค้าได้เลย โดยเค้าจะคิดค่าบริการเพิ่มเติมที่ 1,500++ ต่อคนเท่านั้น เท่านี้เราก็จะได้บริการพิเศษแบบนี้ได้ทุกอย่างเช่นกัน
สระว่ายน้ำ และ ฟิตเนส
สำหรับสิ่งที่ขาดไม่ได้ของโรงแรม 5 ดาว คือสระว่ายน้ำและฟิตเนส ซึ่งส่วนตัวก๊อตค่อนข้างให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะฟิตเนสเพราะก๊อตเป็นคนที่ออกกำลังกายบ่อยและเป็นประจำอยู่แล้วนั่นเอง ซึ่งสระว่ายน้ำและฟิตเนสที่นี่จะตั้งอยู่ชั้น 6 ชั้นเดียวกับห้องอาหาร The Oasis โดยสระว่ายน้ำจะเป็นแบบ Open-air กลางแจ้งติดกับห้องอาหาร และยังมีส่วนของจากุชชี่สำหรับคนที่อยากแช่น้ำผ่อนคลายโดยเฉพาะอีกด้วย ส่วนตัวก๊อตไม่ได้ลงเล่นน้ำแหละ เนื่องจากอากาศช่วงนี้แปรปรวน เดี๋ยวแดดแรง เดี๋ยวฝนตก ก๊อตเลยขอดื่มด่ำบรรยากาศในห้องนอนและ Executive Lounge แทนดีกว่า ฮ่าๆ
ส่วนฟิตเนสนี่พลาดไม่ได้จริงๆ เพราะปกติเป็นคนออกกำลังกายประจำอยู่แล้ว และความดีย์ของฟิตเนสที่ Hotel Nikko Bangkok คือ ตัวฟิตเนสเปิดตลอดเวลา 24 ชั่วโมง แถมเค้ายังมีคลาสประจำในแต่ละวันด้วย อย่างเช่น Zumba และยังมีเทรนเนอร์ที่คอยดูแลช่วยแขกที่เข้ามาออกกำลังกายอีกด้วย ส่วนเครื่องเล่นออกกำลังกายต้องบอกว่าครบครันและเหลือเฟือ ทั่งลู่วิ่ง เครื่องปั่นจักรยานไว้สำหรับคาร์ดิโอ และยังมีโซนเวทเทรนนิ่ง ทั้งชุดดัมเบล รวมถึงเครื่องแมชชีนสำหรับเล่นอก-ไหล่ และเครื่อง Smith Machine อีก ใครที่เป็นสายเล่นเวทแบบก๊อต รับรองว่าดีงาม สามารถเล่นครบได้ทุกส่วนแน่นอน อันนี้โคตรเลิฟ
ห้องอาหารที่ Hotel Nikko Bangkok
ห้องอาหารที่ Hotel Nikko Bangkok หลักๆ นั้นจะมีอยู่ 2 ที่แหละ ซึ่งที่แรกคือห้องอาหาร The Oasis ที่เสิร์ฟอาหารแบบอินเตอร์โดยเน้นความหลากหลาย และถูกปากสำหรับทุกคน ซึ่งห้องอาหารแห่งนี้จะตั้งอยู่ที่ชั้น 6 ของตึกโรงแรม ชั้นเดียวกับสระว่ายน้ำและฟิตเนสนั่นเอง ส่วนอีกห้องอาหารจะมีชื่อเรียกว่า Hishou ซึ่งตั้งอยู่ชั้น 1 ของโรงแรม โดยห้องอาหารนี้จะเน้นความเป็นญี่ปุ่นขนานแท้ เสมือนเราไปกินที่ญี่ปุ่นจริงๆ
อย่างที่เกริ่นก่อนไปตอนแรก ใครที่มาพักที่ Hotel Nikko Bangkok เราจะมีตัวเลือกสำหรับการกินอาหารเช้าได้ 2 ที่ คือที่ห้องอาหาร The Oasis และ Hishou ใครชอบแบบไหน ลองอ่านรีวิวแล้วเลือกตามความชอบของตัวเองได้เลย ส่วนใครที่พัก Nikko Executive Suite เราจะมีตัวเลือกเพิ่มมาอีกหนึ่งที่คือที่ Executive Lounge อย่างที่อ่านไปแล้วด้านบน ซึ่งส่วนตัวก๊อตคิดว่า นี่คือจุดแข็งของ Hotel Nikko Bangkok สุดๆ ที่มีตัวเลือกหลากหลายให้แขกได้เลือกทานอาหารเช้า คือดีย์และต้องยอมเค้าจริงๆ
อาหารเช้าบุฟเฟต์ The Oasis
เริ่มต้นอาหารเช้าบุฟเฟต์ที่แรกกับ The Oasis ที่ชูความเป็นห้องอาหารแบบอินเตอร์โดยจัดสรรอาหารหลากหลายชนิด โดยมีทั้งแบบตะวันตกและแบบเอเชียคละทั้งจีน ไทย ญี่ปุ่น ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยว สารพัดเมนูไข่ ข้าวผัด ซูชิ สลัดบาร์ ขนมปังหลากหลายชนิด รวมถึงบาร์น้ำผลไม้แยกกากเพื่อสุขภาพ ซึ่งบุฟเฟต์แบบนี้ ข้อดีคือ เราสามารถเลือกกินได้ตามชอบในสไตล์ของแต่ละคนได้เลย รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าดี หยิบนั่นนิด หยิบนี่หน่อย เลยทำให้อาหารเช้าของที่นี่ไม่น่าเบื่อ
ด้วยความที่ตัวเลือกของอาหารค่อนข้างเยอะและหลากหลายมาก แขกโรงแรมโดยเฉพาะคนจีน รวมถึงคนไทยเลยเลือกที่จะกินอาหารเช้าบุฟเฟต์ที่ The Oasis ค่อนข้างที่จะเยอะมากกว่าห้องอาหาร Hishou ที่จะพาไปดูต่อไปนี่แหละ แต่ถึงคนจะเยอะ แต่เค้าห้องอาหาร The Oasis ก็ใหญ่ตามความต้องการของแขก ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่ามันจะแออัดเนอะ มีที่ว่างตลอดเวลา และอาหารก็เติมตลอดเวลาเช่นกัน
อาหารเช้าบุฟเฟต์ Hishou
ต่อกันอีกหนึ่งห้องอาหารบุฟเฟต์ตอนเช้าที่ห้องอาหาร Hishou ซึ่งเป็นเช้าอีกวันที่ก๊อตได้เข้าไปกิน โดยไลน์อาหารเช้าของที่นี่จะเป็นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมแบบจริงจัง โดยอาหารจะถูกจัดเรียงบนบาร์ตรงกลางอย่างสวยงาม
ที่นี่มีทั้งแซลมอนซาซิมิ แซลมอนและปลาซาบะย่างที่เราสามารถย่างได้เองตามระดับความชอบ ซูชิหน้าต่างๆ ข้าวญี่ปุ่นพร้อมผักดองหลายอย่าง รวมถึงถั่วเน่าญี่ปุ่น ข้าวแกงกะหรี่ และไข่หวานทามาโกยากิ ที่เชฟทำแบบสดๆ ร้อนๆ พร้อมเสิร์ฟที่โต๊ะ
จากที่ได้กินอาหารเช้าบุฟเฟต์ที่ Hishou ไลน์อาหารคือญี่ปุ่นจริงๆ จะไม่มีอาหารตะวันตกหรือเอเชียอื่นๆที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นเลย ซึ่งส่วนมากคนที่มากินห้องอาหารนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแขกคนญี่ปุ่นที่ได้พักที่นี่นั่นเอง บรรยากาศของที่นี่เลยค่อนข้างสงบและคนน้อยกว่า The Oasis ที่มีตัวเลือกหลากหลายกว่า ใครที่ชอบกินอาหารญี่ปุ่นเป็นชีวิตแนะนำ แนะนำว่าเลือกกินที่ Hishou นะจ๊ะ
อาหารค่ำบุฟเฟต์
Tempura Order Buffet at Hishou
สำหรับการรีวิวอาหารค่ำแบบบุฟเฟต์ ก๊อตขอเจิมด้วยการกิน Tempura Order Buffet ที่ห้องอาหาร Hishou ที่เค้าเคลมว่าที่นี่คือบุฟเฟต์เทมปุระเจ้าแรกในประเทศไทยเลยนะ ซึ่งจริงๆ ในตัวไลนท์ของบุฟเฟต์ Tempura Order Buffet เองไม่ได้มีแต่ตัวเทมปุระเท่านั้น แต่ยังรวมบุฟเฟต์โอบันไซ (Obanzai) อาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมจากเกียวโต ที่มีให้เลือกหลายมากมาย และยังตักได้ไม่อั้นอีกด้วย ดังนั้น ใครคิดว่าจะกินแต่เทปุระแล้วจะเบื่อ หายห่วงได้ เพราะเค้ามีมากกว่าเทมปุระเด้อ
สำหรับตัว Tempura Order จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ 2 ราคาด้วยกัน คือ Aya Tempura (1,100++ บาท) ที่มีสารพัดเทมปุระแบบมาตรฐาน ตั้งแต่กุ้ง ปลาหมึก มันหวาน ผักต่างๆ และไอศครีมเทมปุระ (ตัวนี้เด็ดมาก) แต่ถ้าใครอยากกินแบบพรีเมี่ยมที่มีวัตถุตัวท็อปที่มากกว่า เค้าจะมีอีกแบบคือ Hishou Tempura (1,900++ บาท) เพิ่มเติมมาอีกหลายอย่าง แต่ที่เด็ดคือ กุ้งลายเสือ ปลาไหล ปูหิมะ หอยนางรม หอยเชลล์ และแซลมอลนั่นเอง
แน่นอนว่าก๊อตเลือกกินแบบ Hishou Tempura เพราะรีวิวทั้งทีก็ต้องจัดเต็ม และลองทุกตัวที่เชฟเค้ามีในรายการอาหาร โดยเราสามารถสั่งตัวที่อยากกินได้เลย และด้วยความที่ก๊อตได้นั่งติดกับสเตชั่นที่เชฟเค้าทอดเทมปุระกันสด นี่เลยได้เห็นวัตถุดิบทอดกับน้ำมันใหม่เอี่ยมสีเหลืองอร่อยน่ากินมาก และเมื่อเชฟทอดเสร็จพร้อมเสิร์ฟ เราสามารถเลือกจิ้มกับซอมเทมปุระที่เราคุ้นตา หรือจะจิ้มกับเกลือหลากหลายรสอย่างเช่น ผงกะหรี่ บ้วย วาซาบิ รากบัว ที่ทางโรงแรมนำเข้ามาจากญี่ปุ่นเอง ซึ่งถ้าจะให้แนะนำ บอกเลยว่าจิ้มเกลืออร่อยกว่ามากเลยแหละ
ส่วนตัวเทมปุระเด็ดของ Tempura Order Buffet ที่ก๊อตคิดว่าอร่อยมากกก คือ กุ้งลายเสือ ปูหิมะ อโวคาโด หอยเชลล์ ชีส แซลมอน ปลาหมึก มันหวาน ฟักทอง และไอศครีมเทมปุระ // 10 อย่างนี้คือ เทมปุระที่ก๊อตชอบมากที่สุดจากทั้งหมด 31 รายการ แนะนำว่าให้สั่งจากเชฟโลด
A La Carte Dinner Buffet at The Oasis
มื้ออาหารเย็นอีกวัน ก๊อตขอกลับไปยังห้องอาหาร The Oasis บ้าง เพราะที่นี่ก็มีจัดอาหารบุฟเฟต์เช่นเดียวกันกับ A La Carte Dinner Buffet at The Oasis ที่เน้นอาหารแบบนานาชาติ โดยเฉพาะใครที่ชอบกิน Grilled Steaks รวมถึงอาหารทะเลสดๆ กับ Seafood On Ice ที่เราสามารถตักกินได้เลย มีทั้งหอยนางรมสด กุ้งแชบ๊วย กุ้งแก้วและหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ นี่บอกเลยว่าห้ามพลาด เพราะของเค้าดี แถมยังจัดเต็ม สั่งได้ไม่อั้น แถมยังราคาดีอีกด้วย
ในส่วนของ Grilled Steaks เราสามารถเลือกชนิดของเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัววากิว เนื้อแกะ เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลาแซลมอล ปลาคอด ปลาหมึกหรืออื่นๆแล้วแต่ที่เราชอบ ให้เชฟเค้าปรุงอาหารไม่ว่าจะเป็นแบบย่างหรือลวก โดยเสิร์ฟพร้อมกับซอสหรือน้ำจิ้มที่เชฟแนะนำได้เลย หรือถ้าเราอยากเลือกทานซอสหรือน้ำจิ้มเอง ทางห้องอาหารเค้าเตรียมสารพัดน้ำจิ้มมาให้เราเลือกเลยจ้า จัดเต็มโดยมาตั้งมาเป็นสเตชั่นเลยทีเดียว ฮ่าๆ
กินอาหารแบบ Main Course และ Side Dish จนอิ่มพุงกางเสร็จเรียบร้อย หันมามองดูโซนของหวาน อื้มหืม เค้าจัดเต็มไม่แพ้กัน มาทั้งเค้กหลากหลายแบบ อีกทั้งยังมีคัสตาร์ด ขนมโมจิ ขนมดังโหงะที่เราสามารถปิ้งได้เองตามสไตล์ญี่ปุ่น และที่พีคสุดคือ ตู้ Homemade Ice Cream ที่มีไอติมหลากหลายรสชาติ และโรงแรมเค้าทำเองกับมือ ซึ่งอันที่พีคที่สุดคือ Hokkaido Milk ที่อร่อยมากกกก ได้รสชาติของนมฮอกไกโดจริง มีความเหนียวนุ่มของเนื้อไอศครีม และยังได้รสชาตินมฮอกไกโดที่ไม่หวานแบบพอดี อันนี้มาร์คไว้เลยว่าต้องกินนะจ๊ะ
เรื่องค่าใช้จ่ายในการกิน A La Carte Dinner Buffet ที่ The Oasis ราคาจะอยู่ที่ 780++ บาท/คน โดยเปิดทุกวันที่ชั้น 6, Hotel Nikko Bangkok (โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพ) ตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่มครึ่ง นะจ๊ะ ส่วนตัวคิดว่าราคาดีย์ เมื่อเทียบราคากับคุณภาพอาหารแล้ว ต้องบอกว่าคุ้มจริง
สรุป Hotel Nikko Bangkok
Hotel Nikko Bangkok (โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพ) โรงแรมนิกโก้แห่งแรกในไทย ไม่ทำให้ก๊อตผิดหวังจริงๆ เพราะนอกจากจะตั้งอยู่ในโลเคชั่นชั้นยอดอย่างทองหล่อแล้ว เรายังสามารถสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นที่ถูกปรับแบบมาจากต้นฉบับของญี่ปุ่นให้เข้ากับเมืองไทยได้อย่างดิบดี ทั้งเลย์เอาท์และฟังก์ชั่นของห้องพัก การบริการที่สุภาพแบบญี่ปุ่นจากพนักงานโรงแรม และอาหารที่ต้องยกนิ้วให้ในเรื่องของความหลากหลายที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความชอบของตัวเอง โดยเฉพาะห้องอาหาร Hishou ที่เราสัมผัสได้ถึงความญี่ปุ่นแท้ ตั้งแต่บรรยากาศการตกแต่งของร้าน และรสชาติอาหารแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งก๊อตขอยกให้เป็นอีกโรงแรมที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้มาสัมผัสของจริง ไม่ว่าจะเป็นการมานอนพักหรือรับประทานห้องอาหารก็ตาม
สำหรับใครที่อยากจองห้องพักหรืออยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hotel Nikko Bangkok (โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพ) สามารถเข้าไปในเว็บไซต์ของโรงแรมได้เลย www.nikkobangkok.com, อีเมล info@nikkobangkok.com หรือทางโทรศัพท์ +66 (2) 080 2111