ล่าสุดก๊อตได้ไป Staycation ที่ Sheraton Grande Sukhumvit (โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท) ซึ่งเป็น 1 ใน 2 โรงแรมแบรนด์ The Luxury Collection ในกรุงเทพ ของเครือ Marriott ที่ก๊อตคิดว่า เราควรค่าแก่การไปนอนซักครั้งมากกกก เรื่องความหรูหรา การบริการ และความดีงามของห้องพักคือชนะเลิศ เพราะนี่คือโรงแรมระดับห้าดาว อีกหนึ่งตัวท็อปของโรงแรมในกรุงเทพ ที่มาพร้อมด้วยห้องอาหารและบาร์ จำนวน 7 ห้อง โดยมีอันเด็ดอย่าง Rossini’s ที่ได้รางวัล The Michelin Plate และยังมี Le Petit Chef กับเชฟตัวจิ๋วชื่อดังก้องโลกอีกด้วย เรามาดูกันว่าจะดีเริ่ดขนาดไหนในแต่ส่วนของโรงแรม ซึ่งรีวิวนี้ก๊อตขอเขียนแบบละเอียดจัดเต็มไปเลย
ห้องพักแบบ Luxury Suite, 1 Bedroom Suite
สำหรับการเข้าพักที่ Sheraton Grande Sukhumvit รอบนี้ ก๊อตได้พักห้องแบบ Luxury Suite, 1 Bedroom Suite ที่มีขนาดห้องใหญ่ประมาณ 70 ตารางเมตร แบ่งสัดส่วนห้องมาได้อย่างดีม๊ากก เปิดประตูห้องเข้ามา มีตั้งแต่ฟัวเย (Foyer) หรือห้องโถงก่อนเข้าสู่ตัวห้องพักที่เริ่มตั้งแต่ห้องนั่งเล่น ที่สามารถนั่งทำงานได้มีความสุขมากแหละ เพราะมีทั้งโต๊ะทำงาน พร้อมเครื่องทำกาแฟด้านหลัง มีทีวีด้านหน้า คือเปรมสุดจริง ฮ่าๆ
⚡️ ความปังของการเข้าพักห้องแบบ Luxury Suite คือ เราจะมี Luxury Benefits ที่เราสามารถโทรสั่งชาและกาแฟ (พร้อมคุ้กกี้) มาเสิร์ฟที่ห้องได้ฟรีตลอดวัน อีกทั้งเรายังสามารถส่งเสื้อผ้าไปซักที่ Laundry ได้ฟรีวันละ 2 ชิ้นด้วย คุ้มค่าห้องสุดอะไรสุด
The Luxury Collection เป็นแบรนด์โรงแรมที่มีอยู่ทั่วเอเชีย ตั้งแต่อินเดีย จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมถึงประเทศไทยบ้านเรา โดยในแต่ละจุดหมายปลายทางก็จะมีเอกลักษณ์และความแปลกใหม่ในแบบฉบับของตัวเองจากของสะสมท้องถิ่น อาหาร และวัฒนธรรมที่พร้อมให้เราได้ค้นหา
บอกเลยว่า ก๊อตตั้งหน้าตั้งตาที่จะไปสัมผัส Hidden Gems และเข้าพักโรงแรมอื่นๆ ใน The Luxury Collection อีกแน่นอน! สำหรับใครที่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับ The Luxury Collection สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย https://theluxurycollection-apac.com/
จากห้องนั่งเล่น จะมีประตูเข้ามาอีกเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ มีทั้งที่นั่งเล่น โต๊ะกระจกไว้แต่งหน้า รวมถึงเตียงนอนที่ก๊อตกล้านอนยันว่า นอนสบายมากกกก! ผ้าปูที่นอน ผ้านวม และปลอกหมอน นุ่มลื่น คือสัมผัสได้ว่าใช้ของดีแบบหลายเส้นด้าย นอกจากนี้ หมอนยังนอนหลับสบาย ไม่ปวดคออีกด้วยแหละ ถือว่าประทับใจมากกับการล้มตัวลงนอนที่นี่ แทบไม่อยากลุกไปไหนเลย 55555555
สุดท้ายที่ห้องน้ำขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน มีอ่างอาบน้ำ และห้องอาบน้ำแยกที่มี Rain Shower ที่ก๊อตรักมาก เพราะน้ำแรงดีมาก แต่ในห้องอาบน้ำเองยังมีที่นั่งสำหรับอาบน้ำด้วย ส่วนตัว Amenities ในเรื่องของสบู่ ยาสระผมต่างๆ เค้าจะใช้ของ THANN เกือบทั้งหมด ของดีไม่พูดเยอะ เพราะกลิ่นหอมและผ่อนคลายมากเลยแหละ
สรุปแล้ว ก๊อตหลงรักการนอนที่ห้อง Luxury Suite, 1 Bedroom Suite มาก ทุกอย่างเป็นสัดส่วนแบบโคตรดี ซึ่งเลย์เอาท์ห้องคือเต็มสิบไม่หัก เสมือนอยู่บ้าน แยกโซนชัดเจนและมีประตูกั้นทุกห้องอย่างดิบดี ปลั๊กมีเยอะมากเกือบทุกมุมห้อง อีกเรื่องที่รักสุดคือเตียงนอน อันนี้คือดีจริง นอนหลับสบายจริง ทั้งหมดนี้ให้เต็มสิบเลย 🧡
รัชดาสวีท (Rachada Suite)
ห้อง Luxury Suite ที่ก๊อตพักนั้น จะออกแนวโมเดิร์นหน่อย แต่ถ้าใครที่อยาก Discovery ความเป็นไทยตามแบบฉบับของแบรนด์ The Luxury Collection ก๊อตแนะนำให้เราจองห้องสไตล์ไทยที่มีอยู่ไม่กี่ห้องใน Sheraton Grande Sukhumvit โดยห้องที่ก๊อตขออนุญาตทางโรงแรมเข้าไปดูนั้น คือห้อง รัชดาสวีท (Rachada Suite) ที่โคตรสวยย งานวัสดุห้องเกือบ 90% ตกแต่งด้วยไม้ทั้งหมด แบ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มาด้วยห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องอาบน้ำกับอ่างจากุซซี่วงกลม ชานนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยต้นไม้สไตล์ร้อนชื้นสวยๆ คือโคตรดีและสวยมากกกก
รัชดาสวีท (Rachada Suite) คือ 1 ใน 3 ห้องสไตล์ไทยๆ ที่เป็น Signature ของ The Luxury Collection ที่นี่ ใครที่อยากค้นหาความสวยงามของสามห้องนี้ สามารถจองได้เลย รัชดาสวีท (Rachada Suite) รามาสวีท (Rama Suite) และ ราชาสวีท (Rajah Suite) นะจ๊ะ
อาหารเช้า / All-day Dining ที่ Orchid Café
สำหรับอาหารเช้า (Breakfast) เนื่องจากตอนที่ก๊อตเข้าพักนั้น ทางโรงแรมพึ่ง Re-opening ใหม่จากสถานการณ์โควิด ทำให้คนเข้าพักยังไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ทางโรงแรมจึงจัดอาหารเช้าเป็นแบบเซ็ตอาหาร A La Carte ในวันธรรมดา ส่วนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ทางโรงแรมจะจัดเป็นบุฟเฟต์แบบเดิม แต่ไม่ต้องห่วงนะ ก๊อตได้รับอัพเดทจากโรงแรมแล้วว่า ตอนนี้เค้าเสิร์ฟเป็นบุฟเฟต์ทุกวันเรียบร้อย ซึ่งเราสามารถมาทานอาหารเช้าได้ที่ Orchid Café ตั้งแต่ 6.30-10.30น. ในวันจันทร์-ศุกร์ และ 6.30 – 11.00น. ในวันเสาร์-อาทิตย์ ได้เลย
สำหรับอาหารแบบเซ็ต A La Carte มีให้เลือกหลากหลายอยู่ โดยให้เลือกเนื้อหนึ่ง และเมนูไข่อีกหนึ่ง ซึ่งก๊อตเลือกเป็นข้าวเสต็กปลาแซลมอนและอ็อมเล็ต นอกจากเซ็ตอาหารแล้ว เค้ายังมีไลน์บุฟเฟต์เล็กๆ น้อยๆ อย่างติ่มซำ สารพัดขนมปัง และชา กาแฟที่เราสั่งได้ตลอดเวลาเด้อ
นอกจากช่วงอาหารเช้าแล้ว Orchid Café ยังเป็นห้องอาหารแบบ All-day Dining ที่เราสามารถสั่งอาหารทานได้ตลอดทั้งวันอีกด้วย ซึ่งรอบนี้ก๊อตก็ไม่ได้ออกไปไหน ขลุกอยู่แต่ในโรงแรม รวมถึงได้สั่งอะไรกรุบกริบเช่นเดียวกัน อย่างสลัดปลาดิบ Salmon Hamachi Tataki, Hokkaido Scallop Ceviche (620 บาท++) ที่ให้เนื้อปลามาเยอะ และชิ้นหนามาก อันนี้อย่างเซอร์ไพรส์ ถือว่าดีมากกก
นอกจากสลัดปลาดิบแล้ว ก๊อตยังมีสั่ง Ink Spaghetti (420 บาท++) ที่ก๊อตเปลี่ยนจากการใส่หอยแมลงภู่มาเป็นกุ้งแทน ซึ่งกุ้งที่เค้าให้นั้นก็เต็มเนื้อเต็มคำ คลุกเคล้ากับเส้นสปาเก็ตตี้และซอสอาราเบียตต้าได้ดีมาก ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง Chocolate Pave’, Chocolate Ganache (260 บาท++) ที่อร่อยมากก โดยเฉพาะตัวช็อคโกแลตที่มีเนื้อละมุนสุด บอกเลยว่า ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้คือกินไม่หยุดจริงๆ ฮ่าๆ
สิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities)
ฟิตเนส / สปา / สระว่ายน้ำ
โรงแรม Sheraton Grande Sukhumvit ครบด้วย Facilities อย่างฟิตเนส สปา และสระว่ายน้ำที่เป็นห้องอาหารภายในตัว โดยทั้งสามอย่างนี้จะอยู่ชั้นเดียวกัน และอยู่ติดกันหมดด้วย อันที่อยากชมเชยมากคือตัว Fitness Club ที่ค่อนข้าง Full Function มากพอสมควร แบ่งเป็นเครื่องคาร์ดิโออย่างลู่วิ่งที่มีให้เราใช้เยอะอยู่ โซนเวทเทรนนิ่งที่อุปกรณ์เยอะมากทั้งแมชชีน และฟรีเวท รวมถึงห้อง Group Fitness Class ที่รองรับกิจกรรมคลาสต่างๆ โดยแขกเข้าพักสามารถเข้ามาใช้บริการได้ฟรี ส่วนใครที่ติดใจฟิตเนสที่นี่และอาศัยอยู่กรุงเทพ เราสามารถสมัครเป็นเมมเบอร์ฟิตเนสที่นี่ได้เช่นกัน
หากใครที่อยากคลายเครียด หรือปวดเมื่อย การมาทำสปา นวดน้ำมันอโรม่า หรือนวดไทย ใน The Grand Spa ที่ Sheraton Grande Sukhumvit ก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ จากที่ก๊อตได้นวดน้ำมันมานั้น ถือว่าสบายมาก และสามารถมองให้เค้าเน้นจุดตามที่เราต้องการได้ด้วย อีกทั้งห้องด้านในยังดูสะอาด มีความเป็นส่วนตัวพร้อมห้องอาบน้ำอีกด้วยแหละ
สุดท้ายสำหรับสระว่ายน้ำที่ The Sala ที่เป็นห้องอาหารไทย ตกแต่งด้วยศาลาไทยตามชื่อ ผสมด้วยต้นไม้ร้อนชื้นแบบบ้านเรา ทำให้กลิ่นอายของบรรยากาศดูเป็น Thai Exotic ที่คนต่างชาติหลายคนเค้าชอบมากแหละ แขกที่เข้าพักนั้น สามารถมานั่งหรือว่ายน้ำเล่นที่ริมสระได้เลย โดยสระเค้าจะเป็นแบบฟรีฟอร์มให้เราแช่ได้ชิลๆ อีกทั้งใต้น้ำในสระยังมีเสียงเพลงอีกด้วย อันนี้ต้องไปลองว่ายกันดูเอง ฮ่าๆ
The Living Room All-day Lobby Lounge
The Living Room ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นห้องนั่งเล่นที่ส่วนตัวก๊อตเองมานั่งขลุกอยู่ที่นี่บ่อยมาก ด้วยความที่ The Living Room เสมือนเป็นห้องนั่งเล่นที่เปิดทั้งวันให้แขกได้เข้ามานั่งชิล พร้อมทานเครื่องดื่มหลากหลายชนิด ตั้งแต่กาแฟ ชา น้ำผลไม้ เบียร์ รวมถึงค็อกเทลต่างๆ ในบรรยากาศแบบ Jazz Lounge ที่มีทั้งเวทีให้เหล่าคนเล่นดนตรีแจ๊สได้มาบรรเลงเพลง อีกทั้งตรงบาร์เองก็ยังตกแต่งด้วยรูปศิลปินแจ๊สชื่อดังมากมายอีกด้วย
ด้วยความที่ก๊อตพักห้องแบบ Luxury Suite นั่นทำให้ก๊อตได้สิทธิประโยชน์ Luxury Benefits จากการเข้าพักห้องนี้ นั่นคือ เราสามารถมานั่งเล่นที่ The Living Room ได้ทั้งวันโดยที่เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม (ที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์) ได้ฟรีตลอดเวลา แต่ที่พีคสุดคือ ในช่วงเวลา 6 โมงถึง 2 ทุ่ม เราสามารถสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ฟรีแบบไม่อั้นเช่นกัน ทั้งค็อกเทลและเบียร์ ให้เราได้กินจนกรึ่ม นอนหลับสบายไปได้เลย บอกเลยว่าอันนี้ คือคุ้มมากกกกกกก!
อันนี้คือดีงามเต็มสิบของจริง เพราะจากการที่ก๊อตมานั่งเล่นใน The Living Room เกือบทั้งวันนั้น ก๊อตไม่ต้องเสียเงินซักบาทเดียว จากสิทธิ์ Luxury Benefits นี้ ใครที่อยากคุ้มค่าห้องแบบก๊อต นี่แนะนำให้เราจองเข้าพักห้อง Luxury ขึ้นไป เพราะมันคุ้มจริง ทั้งราคาค็อกเทลและเบียร์ต่างๆ อาจจะเกินราคาค่าห้องไปอีกนั่นเอง ไอเลิฟ
Le Petit Chef Dining
ถัดจาก The Living Room เข้าไปด้านในของ The Library ตรงนี้มีห้องลับอันนึงที่เป็นที่ซ่อนตัวของเชฟตัวจิ๋ว ชื่อดังก้องโลกอย่าง Le Petit Chef (เลอ เปอติต์ เชฟ) ที่เค้าจะมาทำอาหารให้เราทานด้วยเรื่องราวที่โคตรน่าตื่นเต้น ผ่านอนิเมชั่นในรูปแบบของ 3D Mapping Projectector ที่เราจะได้เห็นเชฟจิ๋วตัวน้อย เริ่มต้นตั้งแต่การหาวัตถุดิบ รวมถึงปรุงอาหารให้เรากิน จนสุดท้ายกลายมาเป็นจานอาหารที่เสิร์ฟพร้อมให้เราได้ทานตรงหน้าจริงๆ
บอกเลยว่า Le Petit Chef โครตว้าว และเจ๋งมากนะ เพราะมันไม่ใช่การทานอาหารแบบธรรมดาทั่วไป แต่เราจะได้อิ่มเอมทั้งแสง สี เสียง อีกทั้งยังตื่นเต้นกับเรื่องราวของอนิเมชั่นตรงหน้าว่าเชฟจิ๋วเค้าจะทำอาหารอะไรออกมาให้เราทาน ซึ่งอาหารนั้นจะเป็นไปตามคอร์สที่เราเลือก ที่มีตั้งแต่ราคา 2,200-4,500++ บาท/คน
เรื่องราวและเมนูต่างๆ ก๊อตจะขอไม่เล่าเนอะ เพราะถ้าเล่าหมด ความตื่นเต้นคงจะหายไปแน่ๆ ตรงนี้ก๊อตอยากให้ทุกคนได้ลองเข้าไปสัมผัสกันเองดู โดยในประเทศไทยจะมี Le Petit Chef อยู่ 2 ที่ โดยที่ Sheraton Grande Sukhumvit คือแห่งที่สองที่พึ่งเริ่มต้นได้ไม่นานมานี้เอง ซึ่งก๊อตแนะนำให้เราไปกินซักครั้งในชีวิต ไม่ผิดหวังแน่นอนนนน ยังไงก๊อตแนะนำให้เราจองก่อน เพราะห้องอาหารรองรับคนได้ไม่เยอะ และเต็มเร็วมากเด้อ
Rossini’s Dining
อีกห้องอาหารหนึ่งที่ก๊อตได้ลองจากการเข้าพักที่ Sheraton Grande Sukhumvit คือ ห้องอาหารอิตาเลียน Rossini’s ที่มีรางวัล The Michelin Plate ที่การันตีถึงความอร่อยและคุณภาพของอาหาร และบรรยากาศที่ดีงาม เหมาะแก่การพาคุณแฟนมากินมากกก เพราะไวบ์ของร้านถูกออกแบบเสมือนเราอยู่ในวิลล่าแถบทัสคานีในอิตาลี่ ที่ให้ความรู้สึกหรูหราผสมความโรแมนติกอย่างที่สุดเลยแหละ
เมนูที่แนะนำให้ลองทานกัน คือเหล่าเมนู Signature ของ Rossini’s ที่ทางร้านเค้าแนะนำนี่แหละ เริ่มด้วย Appertizer อย่างตัว Hokkaido Scallops (720 บาท++) มีความพิเศษที่ใช้หอยเชลล์ฮอกไกโด ราดด้วยซอสแอปเปิ้ล เข้ากันได้อย่างลงตัว
กินหอยเชลล์รองท้องเรียบร้อยแล้ว ยังมีทั้ง Seafood Soup (520 บาท++) และสปาเก็ตตี้กุ้งตัวโตๆ อย่าง Spaghetti with Sicily Red Prawns (880 บาท++) กินเพิ่มเติมอีก คือจัดเต็มที่สุดแล้วมื้อนี้ 5555
ส่วนอีกอันที่รู้สึกชอบคือ Carnaroli Rice, Parmigiano Reggiano Seasonal Mushroom Risotto and Black Truffle (690 บาท++) กับข้าวรีซอตโต้ที่เค้าเอามาคลุกเคล้ากับชีสและเห็ดทรัฟเฟิ้ลให้เราทานตรงโต๊ะเราเลย ซึ่งถ้าใครที่ชอบกินชีสแบบก๊อต นี่แนะนำให้สั่งมากกก เพราะหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า อาหารอิตาเลียนมีข้าวด้วย แถมยังอร่อย หอมชีส และเหมาะเป็นจานที่ควรรับประทานก่อนเข้าจานเนื้อสัตว์ ซึ่งอันนี้ถือว่าดี ส่วนใครที่ไม่ค่อยชอบทานชีส หรือไม่ชอบทานอะไรเลี่ยนๆ อาจจะแนะนำให้เลี่ยงจานนี้ ฮ่าๆ
สำหรับตัว Main Course ที่อยากให้สั่งมาทานมากคือ Miyaaki Wagyu Sirloin and Potatoes Puree’ (2,450 บาท++) กับเนื้อสันนอกวากิวมิยากิในขนาดพอดี เมื่อพอเรากินเข้าไป จะได้รสเค็มนิดๆ จากการย่าง แต่ความเค็มนี้คืออร่อยและหอมมากเลย ก๊อตแนะนำให้เราสั่งไวน์แดงเพื่อมากินแพร์ริ่งด้วย ถือว่าเริ่ด และเป็นจานที่ก๊อตชอบมากที่สุดใน Rossini’s เลยล่ะ
สรุป ใครที่แฟนอาหารสไตล์โมเดิร์นอิตาเลี่ยน แนะนำให้มาลองทานที่ Rossini’s เพราะบรรยากาศดีมาก ส่วนเรื่องอาหารนั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะพัง เพราะเค้ามีรางวัลการันตีด้วยอีก ถ้าใครอยากทานดินเนอร์ปังๆแบบนี้ ก๊อตแนะนำให้เราโทรจองโต๊ะที่เบอร์ 02 649 8364 ก่อนได้เลย เค้าจะได้จัดโต๊ะที่ดีเริ่ดที่สุดของร้าน ให้เราได้นั่งทานกันแบบฟินๆ ไปเลย
ทำเลและกิจกรรมรอบๆ Sheraton Grande Sukhumvit
ถ้าให้พูดเรื่องทำเลของโรงแรม Sheraton Grande Sukhumvit ล่ะก็ ก๊อตขอให้คะแนนเต็มสิบไม่หัก ตั้งแต่เรื่องการเดินทางที่อยู่ติดทั้งรถไฟฟ้า BTS และรถไฟใต้ดิน MRT กันเลยทีเดียว ซึ่งนี่ทำให้เราสามารถเดินทางไปที่อื่นนอกจากแยกอโศกได้อีกเยอะมาก จะไปช้อปปิ้งแถวสยาม หรือจะไปแฮงค์เอาท์ที่ทองหล่อ หรือเอกมัย ก็ไม่ต้องกลัวรถติด เดินทางยาก เพราะทำเลตรงนี้คือสุดปังแล้วของจริง!
แต่ถ้าใครขี้เกียจไปย่านอื่น ย่านอโศก รอบโรงแรม Sheraton Grande Sukhumvit ก็ชิคและเริ่ดอยู่ ตั้งแต่ห้าง Terminal 21 ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ที่เราสามารถไปเดินช้อปปิ้ง หาของกินได้ง่าย แต่ถ้าใครเบื่อห้างและอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากความจำเจ เราสามารถไปสัมผัสความเกาที่ Korea Town ได้อีก กับร้านอาหาร ร้านขนมเยอะแยะ ในระยะเดินได้จากโรงแรมแค่ 160 เมตร เท่านั้น แต่ถ้าใครที่อยากวิ่งออกกำลังกาย หรือเดินเล่นสวนสาธารณะ ด้านหลังของโรงแรมก็มี สวนเบญจกิติ ให้เราได้ผ่อนคลายกับต้นไม้ สระขนาดใหญ่ กับวิวดีๆ ของกรุงเทพอีก ทั้งหมดดีงามขนาดนี้ ก็ต้องยกเรื่องทำเลเต็มสิบให้กับโรงแรมนี้เค้าแล้วจริงๆ แหละ
โปรโมชั่น Free Dreams, 7 Wishes
สุดท้ายกับโปรโมชั่นการจองโรงแรมในเครือแมริออท และ Sheraton Grande Sukhumvit, a Luxury Collection Hotel (โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท) ที่พึ่ง Re-opening ใหม่สดๆ ร้อนๆตอนนี้ กับโปร ‘Free Dreams, 7 Wishes – สเตย์สั้นๆ คืนเดียวกับเบเนฟิตปังๆ’ ที่ต้องบอกว่าคุ้มค่ามากที่สุด ณ ตอนนี้ สำหรับการนอน และเอ็นจอยประสบการณ์โรงแรมดีๆซักครั้งเนอะ เพราะเค้าเตรียมของขวัญเพิ่มเติมให้เราถึง 7 อย่าง เพื่อให้เราได้เพลิดเพลินกับการเข้าพักที่โรงแรมได้อย่างเต็มที่มากที่สุด
Free Dreams, 7 Wishes – สเตย์สั้นๆ คืนเดียวกับเบเนฟิตปังๆ
เทศกาลแห่งความสุขเริ่มต้นแล้ว! ของขวัญสุดพิเศษให้คุณ กับโปรโมชั่น “Free Dreams, 7 Wishes” เมื่อจอง ระหว่างวันนี้ – 4 ม.ค. 2564 สำหรับการเข้าพักตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 – 31 มีนาคม 2564 จะได้รับ 7 ข้อเสนอพิเศษฟรี!
* ฟรี ขยายระยะเวลาเช็กอิน ตั้งแต่เวลา 08:00 น.
* ฟรี ขยายระยะเวลาเช็กเอาต์ จนถึงเวลา 18:00 น.
* ฟรี เครดิตมูลค่าสูงสุดถึง 1,500 บาทต่อคืน สำหรับนำมาใช้กับสปา อาหารและเครื่องดื่มตลอดการเข้าพัก (ไม่สามารถใช้กับภาษีมูลค่าเพิ่ม, เซอร์วิสชาร์จ, ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์หรือแลกเป็นเงินสดได้, เครดิตนี้จะหมดอายุทันทีเมื่อเช็คเอาท์)
* ฟรี คะแนนแมริออท บอนวอย 1,000 คะแนนต่อคืน และ 5,000 คะแนนต่อคืน เมื่อเข้าพักในห้องพักระดับ Luxury Room
* ฟรี ยกเลิกการจองได้ 24 ชั่วโมงล่วงหน้าก่อนการเช็กอิน
* ฟรี อาหารเช้าสำหรับผู้ใหญ่ 2 ท่าน
* ฟรี อาหารเช้าสำหรับเด็กอายุ 12 ปี หรือต่ำกว่าเมื่อมากับผู้ใหญ่ 1 ท่าน (ไม่สามารถใช้กับบริการรูมเซอร์วิสได้)
ติดต่อ Sheraton Grande Sukhumvit, a Luxury Collection Hotel (โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท)
T. 02 649 8888
E. Reservations.SGS@luxurycollection.com
W. https://www.marriott.com/hotels/travel/bkklc-sheraton-grande-sukhumvit-a-luxury-collection-hotel-bangkok