กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ใครอยากเที่ยวต่างประเทศในงบสบายกระเป๋า แถมยังบินตรงจากบ้านเราไปเพียง 2 ชั่วโมงนิดๆ ครบเครื่องทั้งที่เที่ยวและคาเฟ่เก๋ๆ อีกทั้งอาหารยังจัดจ้านถูกจริตคนไทย ก๊อตแนะนำให้มาเที่ยว กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ประเทศมาเลเซีย (Malaysia) ได้เลย โดยรีวิวนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปเช็คอินแลนด์มาร์คทั้ง ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) ไอคอนิกของเมืองที่ต้องมาแช๊ะภาพคู่กับตึกสูง 88 ชั้น หรือจะเป็น สะพานซาโลมา (Saloma Link) สุดเก๋ รวมถึงไปตะลุยกินคาเฟ่และร้านอาหารชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น ‘Pause’ คาเฟ่ใจกลางย่านอันพลุกพล่านที่โดดเด่นในเรื่องของบรรยากาศอันเงียบสงบ ‘Restoran Wong Mei Kee’ ร้านอาหารระดับตำนานที่เพิ่งคว้ารางวัล Bib Gourmand จากมิชลินมาหมาดๆ นอกจากนี้ใครที่เป็นสายช้อป ก๊อตจะบอกว่าที่มาเลเซียหลายๆ แบรนด์ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า ราคาถูกกว่าบ้านเรามาก เรียกได้ว่าการมาเที่ยว กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) นั้นครบเครื่องอย่างแน่นอน
รู้จักกับ กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur)
กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า KL ที่นี่เป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย (Malaysia) ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีชีวิตชีวาและเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม การเงิน เศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีความสำคัญทางประวัติศาตร์ของมาเลเซียอีกด้วย โดย กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) นั้น เริ่มก่อร่างขึ้นในปี ค.ศ. 1857 ซึ่งในขณะนั้น ที่นี่เป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ที่ขุดพบเหมืองแร่ ก่อนจะดึงดูดนักลงทุนและคนงานเข้ามายังเมืองจนทำให้เมืองพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด โดยชื่อของ กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) มีความหวายว่า “จุดบรรจบของโคลน” ซึ่งหมายถึงที่ตั้งของเมือง ซึ่งอยู่ในบริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำกลัง (Klang River) และแม่น้ำกอมบัก (Gombak River) ซึ่งปัจจุบันนี้แม่น้ำทั้งสองสายยังคงไหลพาดผ่านพื้นที่ของ กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) เอาไว้
หลังจากการปกครองของอาณานิคมอังกฤษสิ้นสุดลง มาเลเซีย (Malaysia) ได้รับเอกราชในวันที่ 31 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1957 โดยมี กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) เป็นเมืองหลวงของประเทศ และนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา เมืองแห่งนี้ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเศรษฐกิจมีความเติบโต รวมถึงเมืองที่ขยายมากขึ้น ทำให้มีอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น และมีการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและวัฒนธรรมของประเทศนั่นเอง
ที่เที่ยวกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur)
- Pause
- Ho Kow Hainam Kopitiam
- Kwai Chai Hong
- ถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling)
- REXKL
- BookXcess RexKL
- River of Life
- จัตุรัสเมอร์เดกา (Dataran Merdeka)
- อาคารสุลต่านอับดุลซาหมัด (Sultan Abdul Samad Building)
- วัดเทียนหัว (Thean Hou Temple)
- หอคอยกัวลาลัมเปอร์ (KL Tower)
- After One
- ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower)
- สวนเคแอลซีซี พาร์ค (KLCC Park)
- ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang)
- พาวิลเลี่ยน กัวลาลัมเปอร์ (Pavilion Kuala Lumpur)
- ถนนสตรีทฟู้ดจาลันอลอร์ (Jalan Alor Food Street)
- สะพานซาโลมา (Saloma Link)
- Ilham Gallery
- Restoran Wong Mei Kee
- ถ้ำบาตู (Batu Caves)
ที่พัก
เริ่มเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) กันเล้ย
Pause Cafe
ก๊อตขอเริ่มต้นการเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) วันแรกด้วยการมาเติมพลังและความสดชื่นกันที่ Pause คาเฟ่สุดน่ารักที่ตั้งอยู่ในย่านกัมปุง อัตทัป (Kampung Attap) ที่ได้ชื่อว่าเป็น Hidden Gem Cafe ท่ามกลางเมืองอันแสนวุ่นวาย ซึ่งบรรยากาศของร้านเป็นอาคารเก่าแก่ที่ถูกทาด้วยสีเหลืองสดใส ด้านในตกแต่งด้วยสไตล์โฮมมี่ชวนให้รู้สึกเหมือนเรามากินกาแฟบ้านเพื่อน แต่ก็มีความมินิมอลในเวลาเดียวกัน ด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งโทนสีขาวและไม้ รวมไปถึงการจัดวางต้นไม้จริงเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับลูกค้าที่มาเยือนอีกด้วย
สำหรับตัวคาเฟ่นั้น เราจะต้องเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 2 ของอาคาร โดยเปิดเข้ามาจะเจอกับมุมที่นั่งที่ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนได้อย่างน่ารัก พร้อมกับตัวบาร์สำหรับสั่งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มจะอยู่ด้านในสุด
โดยเมนูที่ก๊อตสั่งมา จะเป็นเค้กที่ทางร้านเค้าแนะนำอย่าง Panban Gula Melaka (14 ริงกิต / ~109 บาท) ขนมเค้กที่ทำจากน้ำตาลมะพร้าวของคนมาเลย์ที่เรียกกันว่า Gula Melaka ตัวเค้กทำเป็นเลเยอร์สอดไส้ครีมหอมๆ ด้านบนท็อปมาด้วยน้ำตาลนวลๆ ที่พอกินรวมๆ กันแล้วไม่ได้หวานเลี่ยน แต่มีความหอมมันของมะพร้าวและน้ำตาลอย่างกลมกล่อม ยิ่งกินคู่กับเครื่องดื่ม Summer Shine (16 ริงกิต / ~125 บาท) รสซ่าๆ เปรี้ยวหวานด้วยชาสูตรพรีเมียมที่ผสมเข้ากับโซดาและเนื้อของเกรปฟรุตที่ให้มาแบบจุกๆ บอกเลยว่าเข้ากันมาก
นอกจากนี้ก๊อตยังได้ลองเมนูดังที่เห็นหลายคนรีวิวรวมถึงเป็นเมนูขนมซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง Tiramisu in Cup โดยก๊อตเลือกแบบออรจินัล (18 ริงกิต / ~140 บาท) ที่เค้าเสิร์ฟมาในแก้วสไตล์จีน บอกเลยว่าตัวเนื้อเค้กของเค้านวลละมุนลิ้นมาก เลเยอร์ล่างสุดเป็นเนื้อเค้กที่ฉ่ำไปด้วยกาแฟหอมๆ เข้ากับครีมชีสนัวๆ ด้านบนที่พอเอาเข้าไปปากแล้วแทบละลายโดยไม่ต้องเคี้ยวกันเลย ซึ่งก๊อตสั่งมากินคู่กับ Gui Fu Latte (16 ริงกิต / ~125 บาท) เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านที่ขายกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 เป็นเอสเพรสโซ่ผสมนมนัวๆ ที่หอมไม่เหมือนใครด้วยน้ำเชื่อมไซรัปกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ โดยด้านบนท็อปมาด้วยดอกหอมหมื่นลี้อบแห้งที่เวลายกดื่มแล้ว ความหอมหวานจะกระจายไปทั่วโพรงปากเลย ถือเป็นเมนูกาแฟที่ก๊อตว่าคนไม่ดื่มกาแฟสั่งมาลองได้สบายๆ
โดยรวมแล้ว Pause ถือเป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ก๊อตแนะนำเลยว่าควรมาตามรอย นอกจากราคาของอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ได้แรงมากแล้ว ปริมาณและรสชาติที่ได้ก็คุ้มค่าสุดๆ เครื่องดื่มแต่ละแก้วที่เราสั่งมาอร่อยมาก ส่วนขนมเค้กก็ชิ้นบิ้กเบิ้ม รสชาติเข้มข้นนี่ว่าคนไทยเลิฟแน่นอน ใครที่อยากได้ฟีลมานั่งพักให้หายเมื่อย ท่ามกลางบรรยากาศสงบๆ เหมือนได้หลีกหนีออกมาจากความวุ่นวายของเมือง Pause ตอบโจทย์นี้ที่สุดแล้ว
Ho Kow Hainam Kopitiam
เติมของหวานและคาเฟอีนเรียบร้อยแล้ว ไม่ไกลจากจากร้าน Pause มากนักในย่านไชน่าทาวน์ จะมี Brunch เจ้าดังอย่าง Ho Kow Hainam Kopitiam ที่คนมาเลนิยมมากินกันเยอะมาก จนเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารตัวตึงของกัวลาลัมเปอร์เลยก็ว่าได้ โดยเมนูของเค้าก็จะมีตั้งแต่ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ชา ไปจนถึงกาแฟให้ได้มาเลือกกิน
Ho Kow Hainam Kopitiam เดิมทีเค้าเป็นร้านเล็กๆ ที่เปิดขายอยู่ริมถนนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 แต่ในปี ค.ศ. 2018 ทางร้านได้รับหนังสือให้ย้ายที่ขาย เค้าจึงได้ย้ายมาเปิดที่อาคารหลังปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะมาพร้อมกับพื้นที่ร้านที่กว้างขวาง มีที่นั่งถึง 2 ชั้น แต่ทางร้านยังคงเสน่ห์และเอกลักษณ์ของการตกแต่งแบบวินเทจเอาไว้ ดังนั้นคนที่เข้ามากินอาหารและเครื่องดื่มจะได้สัมผัสกับความสะดวกสบายที่ทันสมัย แต่ยังคงให้มู้ดเหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีตของมาเลเซียอีกด้วย
สำหรับเมนูอาหารที่ก๊อตสั่งมาคือ Half Boiled Egg Curry Banjir Toast (5.80 ริงกิต / ~46 บาท) ที่เสิร์ฟกันมาจานใหญ่ๆ กับขนมปังโทสกรอบนอกนุ่มในวางมาบนซอสแกงกะหรี่รสนัวหอมเครื่องเทศ โปะด้านบนมาด้วยไข่ลวกแบบลาวาที่กินรวมกันแล้วรสชาติของแกงกะหรี่ไม่ได้โดดนำ แต่เรายังได้กลิ่นความหอมของขนมปังและรสนัวๆ ของไข่ไปพร้อมๆ กัน เป็นจานที่ก๊อตว้าวมาก เพราะไม่คิดว่ามันจะเข้ากันได้ขนาดนี้ เมนูต่อมาคือ Dried Chicken Curry (13.90 ริงกิต / ~109 บาท) โดยจานนี้เค้าจะมีเส้นให้เราเลือก 3 แบบ ก๊อตเลือกเป็นเส้น Meehon ที่เป็นเหมือนเส้นบะหมี่แต่มีความเรียวเล็กมากกว่า ตัวเส้นมีความนัวจากน้ำซอสสูตรของทางร้าน กินคู่กับไก่ชิ้นโตๆ ที่คลุกเคล้ากับซอสแกงกะหรี่ โดยรวมรสชาติกลมกล่อม กินง่าย แถมให้มาเยอะแบบพูนจานเลย
ส่วนเมนูของคาวสุดท้ายที่ก๊อตลองคือ Colourful Rol (5 ริงกิต / ~39 บาท) เมนูนี้เป็นเหมือนติ่มซำที่เสิร์ฟมาในถ้วยใบจิ๋ว เป็นโรลที่ไส้ข้างในมีเนื้อมีผัก ห่อด้วยแผ่นโรลบางๆ กัดเข้าไปแล้วฉ่ำเหมือนกินขนมจีบกุ้งที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ ถือเป็นเมนูกินเล่น แต่อร่อยเอาเรื่อง ส่วนเครื่องดื่มที่ก๊อตลองนั้น นี่สั่งเป็น Honey Lemon รสเปรี้ยวหวานกำลังดี และ Kumquats Chenpi เครื่องดื่มที่เราจิ้มเพราะเค้ามีรูปเบ้อเริ้มอยู่ในหน้าเมนู แก้วนี้รสชาติเหมือนน้ำบ๊วยมีความเปรี้ยวหวานเค็มเบาๆ โดยทั้งสองแก้วราคาเท่ากันอยู่ที่ (5.70 ริงกิต / ~45 บาท) นั่นเอง
สรุปเลย Ho Kow Hainam Kopitiam ถือเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่ราคาน่ารักมาก แถมอาหารยังเสิร์ฟกันแบบจานใหญ่ ชามโต โดยร้านเค้าคิวยาวก็จริง แต่ระบบของทางร้านรันคิวได้เร็วมาก พอถึงโต๊ะเราก็สแกนสั่งอาหาร รอไม่นานทุกอย่างก็มาเสิร์ฟ คือถึงแม้จะไปถึงหน้าร้านแล้วเห็นคนออกันเยอะ แต่ไปรอได้เลย มันไม่ได้ใช้เวลารอนานขนาดนั้น แป๊บๆ ได้เข้าไปนั่งกินแล้ว
Kwai Chai Hong
กินอิ่มแล้ว ก๊อตขอพาทุกคนย้อนเวลากลับไปสู่ยุคทองของไชนาทาวน์ ในช่วงทศวรรษ 1960 แห่งกรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปด้วยกันกับ Kwai Chai Hong ตรอกเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ระหว่างซอยโลรองพังกุง (Lorong Panggung) และถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมมาเช็กอินและถ่ายภาพกันแบบแตกแตน ซึ่งเราสามารถเดินเชื่อมมาจาก Ho Kow Hainam Kopitiam ได้เลย ตัวตรอกจะอยู่ด้านข้างร้านแบบเดินมาได้สบาย
โดยชื่อ Kwai Chai Hong มาจากภาษากวางตุ้ง ของจีน มีความว่า “ตรอกผีน้อย” ซึ่งคนเค้าเชื่อกันว่าคำนี้หมายถึงเด็กเกเรที่เคยเล่นอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ส่วนประวัติความเป็นมาของ Kwai Chai Hong ต้องย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บริเวณแห่งนี้เปรียบเหมือนศูนย์กลางสำหรับผู้อพยพชาวจีน ทำให้มีร้านค้าและตรอกเล็กๆ ผุดขึ้นมากมาย แต่ภายหลังช่วงสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป Kwai Chai Hong ก็ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ เหล่าอาคารที่เคยรุ่งเรืองต่างก็ทรุดโทรมลง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2018 กลุ่มผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้เริ่มโครงการฟื้นฟูและบูรณะ Kwai Chai Hong ให้กลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง
โครงการนี้นำมาด้วยการปรับปรุงอาคารพาณิชย์จำนวน 10 หลัง พร้อมทั้งตรอกที่สามารถเดินเชื่อมต่อกันได้ อีกทั้งเค้ายังได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรม และเพิ่มภาพจิตรกรรมฝาผนังสีสันสดใสที่แสดงถึงชีวิตในย่านไชนาทาวน์ในช่วงทศวรรษ 1960 เข้ามาตามผนังของอาคารและมุมต่างๆ อีกด้วย บรรยากาศภายในเลยเหมือนเราได้ย้อนวันวานกลับไปในช่วงที่ตรอกแห่งนี้ที่เคยรุ่งเรืองเมื่อในอดีต ผ่านอาคารที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส พร้อมกับพร๊อพต่างๆ อย่างโต๊ะ เก้าอี้ ไปจนถึงอุปกรณ์สำหรับเล่นกิจกรรมในยุคนั้นที่ชวนให้นึกอดีตได้ไม่ยาก โดยเราสามารถเดินเที่ยวชมได้แบบทุกซอกทุกซอยเลยนะ
ซึ่งปัจจุบันนี้ Kwai Chai Hong เรียกได้ว่ากลายมาเป็นสถานที่เที่ยวสุดป๊อบที่จะทำให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับเมืองมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากเราจะได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของที่นี่ผ่านภาพจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ภายในตรอกยังมีร้านอาหาร คาเฟ่น่ารักๆ ซ่อนตัวอยู่อีกด้วย ใครที่อยากมาถ่ายรูปกับอาคารเก่าท่ามกลางงานอาร์ตสวยๆ ห้ามพลาดที่นี่เลย
ถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling)
ไปต่อกันที่ ถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling) ถนนช้อปปิ้งที่ให้ฟีลเหมือนเดินสำเพ็งบ้านเรามาก ใครที่อยากมาช้อปสินค้าราคาเบาๆ ครบทุกหมวดหรืออยากมาเดินหาอะไรกิน สามารถแวะมาที่นี่ได้ โดย ถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling) ตั้งอยู่ในย่าน China Town เราสามารถเดินตามแมพมาจาก Kwai Chai Hong ได้เลย ใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึงแล้ว
สำหรับที่มาของ ถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling) ต้องเล่าย้อนกลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ขณะนั้นเป็นช่วงที่กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) กำลังพัฒนาให้เมืองกลายมาเป็นศูนย์กลางเหมืองแร่ดีบุก โดยพื้นที่ของ ถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling) มีชุมชนชาวจีนอาศัยอยู่เยอะมาก โดยเฉพาะชุมชนชาวจีนกวางตุ้งและฮกเกี้ยน ทีนี่ก็มีการค้าขายเกิดมาเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 20 พื้นที่ของถนนได้ถูกพัฒนาให้เป็นตลาดที่ขายกันตั้งแต่สินค้าทั่วไป ตั้งแต่เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ยันของแต่งบ้าน ไปจนถึงอาหารริมทาง และยาจีนโบราณ ทั้งหมดเลยทำให้ ถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling) คึกคักและมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอยู่ตลอดนั่นเอง
บรรยากาศตอนที่ก๊อตไปนั้น แม้จะเป็นช่วงเวลากลางวัน แต่ร้านค้าตามสองข้างทางต่างก็เปิดเรียงรายขายของกันพรึ่บพรั่บ โดยส่วนใหญ่ของที่ขายจะเป็นสินค้าที่มาจากจีน มีทั้งขายส่งและปลีก ซึ่งตัวถนนเค้าไม่ได้ยาวมากนัก เราเดินกันแป๊บเดียวก็หมดแล้ว ส่วนตัวก๊อตคิดว่า ถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling) เหมาะกับการมาเดินดูของเบ็ดเตล็ดทั่วไป สินค้าที่ขายมีความหลากหลาย เดินส่องได้เพลินๆ เลย
REXKL
จากถนนเปอตาลิง (Jalan Petaling) มานิดหน่อย เรามาต่อกันที่ REXKL โรงภาพยนตร์เก่าที่ครั้งหนึ่งเคยฟู่ฟ่าและยิ่งใหญ่สุดๆ แถมยังเป็นอาคารเก่าแก่อีกแห่งของเมือง ที่ปัจจุบันนี้ถูกเนรมิตและปรับปรุงให้กลายมาเป็นเหมือนคอมมูนิตี้ที่ข้างในอัดแน่นไปด้วยร้านค้า บาร์ ร้านหนังสือ พื้นที่แฮงเอาท์ให้คนได้มาทำกิจกรรมร่วมกันคล้ายฟีลเหมือน The Commons ในกรุงเทพบ้านเรานั่นเอง
โดย REXKL ถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1947 ขณะนั้นใช้ชื่อว่า Rex Cinema ซึ่งเป็นโรงหนังชั้นนำของเมืองเลยก็ว่าได้ แต่ในปี ค.ศ. 1972 เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้น โรงหนังก็ได้รับความเสียหายและได้มีการสร้างขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1976 โดยเป็นโรงหนังจอเดียวที่มาพร้อมกับที่นั่งกว่า 1,000 ที่นั่ง แต่สุดท้ายในปี ค.ศ. 2002 ได้เกิดไฟไหม้ซ้ำอีกครั้ง คราวนี้โรงหนังได้ปิดตัวลง จนปี ค.ศ. 2019 ได้มีการปรับปรุงอาคารอีกรอบ โดยได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า REXKL ทำหน้าที่เป็นศูนย์วัฒนธรรมชุมชนที่มุ่งฟื้นฟูพื้นที่โดยยังคงรักษาแก่นแท้ทางประวัติศาสตร์เอาไว้
บรรยากาศด้านในของ REXKL สัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ของอาคารที่ถูกรักษาเอาไว้ โดยไม่ได้ปรับปรุงและต่อเติมไปแทบทั้งหมด ตามพื้นทางเดิน แนวกระเบื้อง หรือเสาในมุมต่างๆ ยังคงเผยให้เห็นถึงร่องรอยการแตกหัก หลุดร่อนออกไป มันทำให้ก๊อตจินตนาการไปถึงภาพบรรยากาศของโรงหนังเมื่อครั้งที่เฟื่องฟูและยังไม่ถูกไฟไหม้ได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันนี้การตกแต่งของอาคารด้านในมาในสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ด้วยปูนเปลือยและโครงสร้างเหล็กเสริมที่ดูมีความคลาสสิกทว่าก็เก๋ในเวลาเดียวกัน
นอกจากการตกแต่งที่โดดเด่นแล้ว ภายใน Rex Cinema ยังถูกเนรมิตให้กลายมาเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงมีร้านอาหารและบาร์ให้ได้มานั่งดื่มนั่งกินผ่านโซน The Background ในชั้นแรก ซึ่งเดิมทีเคยเป็นพื้นที่ในส่วนของโรงภาพยนตร์ โซนนี้จะมีร้านมาให้บริการอาหาร และเครื่องดื่มแบบเต็มเอี๊ยด ทั้งอาหารมาเลเซีย อาหารนานาชาติกันเลยทีเดียว
ยังไม่หมดเท่านั้นที่ Rex Cinema ยังมีคาเฟ่ และร้านขายสินค้ากิ๊บเก๋อยู่อีกด้วย ทั้งร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับจักรยาน ร้านขายเสื้อผ้าสไตล์มาเลเซีย รวมถึงยังมีพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิทรรศการศิลปะ การแสดงดนตรีสด และเวิร์กช็อป เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมและศิลปะในชุมชนอีกด้วย เรียกได้ว่าเค้าแบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยออกมาได้คุ้มค่ามาก
BookXcess RexKL
BookXcess RexKL อีกหนึ่งสถานที่สุดกิ๊บเก๋ที่ต้องมาเช็คอินกับร้านขายหนังสือที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน REXKL หนึ่งในอาคารเก่าแก่ประจำเมือง ที่เราจะได้เดินเลือกซื้อหนังสือท่ามกลางบรรยากาศสุดวินเทจ โดยร้านเค้ามีหนังสือให้เรามาเดินดูและเลือกซื้อมากกว่า 80,000 เล่มกันเลยทีเดียว
โดยที่มาที่ไปของร้านนั้น ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 2021 ร้านหนังสือ BookXcess ซึ่งเป็นร้านหนังสือของมาเลเซียที่ขึ้นชื่อเรื่องการขายหนังสือราคาไม่แพง ได้มาเปิดสาขาที่ 16 ภายใน RexKL โดยร้านหนังสือ BookXcess RexKL สาขานี้มีพื้นที่ประมาณ 10,708 ตารางฟุต ตั้งอยู่บนชั้นสอง ชั้นลอย และชั้นสามของอาคารนั่นเอง สำหรับบรรยากาศภายในนั้นค่อนข้างเงียบสงบ มีโซนหนังสือที่จัดวางเป็นหมวดหมู่ไปตามชั้นไม้ที่ทำเป็นบล็อกตั้งเรียงรายกันไป บางมุมชั้นวางสูงแทบจรดเพดานมันเลยทำให้มู้ดโดยรวมกิ๊บเก๋อย่าบอกใคร
ซึ่งใครที่เป็นหนอนหนังสือตัวยงแล้วอยากได้หนังสือในราคาย่อมเยา ที่ BookXcess RexKL บอกเลยว่ามีหนังสือให้เราเลือกซื้อจนตาลาย คือเข้ามาแล้วเหมือนเป็นสวรรค์ของเหล่าหนอนหนังสือเลย
River of Life
สำหรับใครที่อ่านหนังสือจนหนำใจแล้วอยากมาเดินเล่นชิลๆ รับลมเย็นๆ เลียบไปตามแม่น้ำ อีกหนึ่งสถานที่ที่ก๊อตแนะนำเลยก็คือ River of Life โครงการที่เพิ่งเปิดตัวกันเมื่อปี ค.ศ. 2011 ภายใต้แนวคิดในการปรับเปลี่ยนแม่น้ำกลัง (Klang River) และแม่น้ำกอมบัก (Gombak River) ให้กลายมาเป็นแม่น้ำที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่อาศัย โดยว่ากันว่า River of Life ตั้งอยู่ในจุดที่เป็นต้นกำเนิดของเมืองกัวลาลัมเปอร์อีกด้วยนะ ที่นี่เลยกลายเป็นเหมือนสถานที่สำคัญที่ทำให้ผู้คนระลึกถึงที่มาที่ไปของเมืองกัวลาลัมเปอร์เลยก็ว่าได้
นอกจากเค้าจะปรับเปลี่ยนแม่น้ำให้มีชีวิตชีวาและน่าเที่ยวมากขึ้นแล้ว น้ำที่ไหลผ่านตัวเมืองนี้ยังถูกบำบัดให้สะอาดขึ้นอีกด้วย มากไปกว่านั้น ยังมีการพัฒนาภูมิทัศน์รอบๆ River of Life ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทางเดินเท้าให้ผู้คนได้มาเดินเล่นไปกับสายน้ำ การติดตั้งไฟและสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ ทั้งลานกว้าง และที่นั่งให้ได้มาพักผ่อนหย่อนใจกันอีกด้วย
บรรยากาศภายใน River of Life เลยจะร่มรื่นไปด้วยต้นไม่ใหญ่ บางจุดก็มีที่นั่งให้ได้มานั่งจอยๆ ชมวิวของแม่น้ำสองสายที่ไหลมาบรรจบกัน โดยความพิเศษคือ แม่น้ำทั้งสองสายนี้มีสีที่ต่างกัน พอเค้าไหลมารวมกันมันเลยเหมือนกับเรากำลังดูแม่น้ำสองสี ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะแก่การมานั่งพักผ่อนชิลๆ มาก
จัตุรัสเมอร์เดกา (Dataran Merdeka)
ถ้าให้ก๊อตพูดถึงสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของกัวลาลัมเปอร์ หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ จัตุรัสเมอร์เดกา (Dataran Merdeka) อยู่อย่างแน่นอน เพราะที่นี่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในแลนด์มาร์คของเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนกันแบบแตกแตน
โดยชื่อของ จัตุรัสเมอร์เดกา (Dataran Merdeka) มีความหมายว่า “จัตุรัสอิสรภาพ” เดิมที่เป็นส่วนหนึ่งของสโมสร Selangor Club Padang ซึ่งเป็นสนามคริกเก็ตและพื้นที่สำหรับเจ้าหน้าที่อาณานิคมของอังกฤษและสังคมชั้นสูงในยุคอาณานิคมสมัยนั้น จนกระทั่งวันที่ 31 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1957 มาเลเซียได้ประกาศอิสรภาพจากการปกครองของอาณานิคมอังกฤษ พร้อมทั้งได้มีการชักธงชาติของประเทศขึ้นไปยังเสาธงที่สูงที่สุดในโลกถึง 95 เมตร จัตุรัสแห่งนี้จึงเปรียบเหมือนกับอนุสรณ์สถานในการประกาศอิสรภาพของคนมาเลเซียทั้งประเทศนั่นเอง
บรรยากาศของ จัตุรัสเมอร์เดกา (Dataran Merdeka) ในปัจจุบันนี้ จะเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยโครงสร้างอาคารสมัยอาณานิคม รวมถึงยังเป็นที่ทำการของ Royal Selangor Club ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของสถาปัตยกรรมสไตล์ทิวดอร์ (Tudor-Style) นอกจากนี้ยังเป็นมีอาสนวิหารเซนต์แมรี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในโบสถ์แองกลิกันที่เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซียอยู่อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองที่ต้องมาเยือนเลย
แถมมุมถ่ายรูปใน จัตุรัสเมอร์เดกา (Dataran Merdeka) ให้อีกนิด หากใครที่ถ่ายรูปรอบๆ จตุรัสเสร็จแล้ว ก๊อตแนะนำให้เดินไปตามทางเดินด้านหลังที่ตั้งเสาธงชาติ เค้าจะมีป้าย I ❤️ KL สีแดงอันใหญ่ให้เรามาถ่ายรูปอีกด้วย ถือเป็นการมาเช็คอินแบบถึงสถานที่จริงๆ ให้เรารู้ว่ามาถึง KL แล้วของแท้
อาคารสุลต่าล อับดุล ซาหมัด (Sultan Abdul Samad)
บริเวณติดกันกับ จัตุรัสเมอร์เดกา (Dataran Merdeka) มีสถานที่หนึ่งที่ป๊อบในหมู่นักท่องเที่ยว และมีผู้คนนิยมมาถ่ายภาพอยู่แทบจะตลอดเวลาเลยก็คือ อาคารสุลต่าล อับดุล ซาหมัด (Sultan Abdul Samad) ที่ตั้งอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามกับสนามหญ้าของจตุรัส โดยอาคารที่ตั้งเรียงรายไปตามแนวถนนนี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1897 โดดเด่นด้วยยอดโดมและหอนาฬิกาที่สูงสง่ามองเห็นมาแต่ไกล ตามอาคารมีลวดลายทางสถาปัตยกรรมที่วิจิตรบรรจง
โดยคนเค้านิยมมายืนถ่ายภาพจากสนามหญ้าแล้วให้มีอาคารสุลต่านเป็นพื้นหลัง ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้น ทัวร์ลงฉ่ำมาก ใครที่อยากได้ฟีลยืนเดี่ยวๆ ไม่ติดผู้คนบอกเลยว่ายาก เพราะคนเข้าออกตลอดเวลา อาจจะต้องเดินหลบมุมไปสักหน่อย แต่บอกเลยว่ารูปที่ได้นั้น สวยเว่อร์วังมากถือเป็นอีกจุดที่ต้องมาเช็คอินและถ่ายรูปกันเลยล่ะ
วัดเทียนหัว (Thean Hou Temple)
เริ่มต้นวันที่สองด้วยการมามูเตลูกันที่ วัดเทียนหัว (Thean Hou Temple) หรือ วัดเจ้าแม่ทับทิม วัดจีนเก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่นี่อุทิศให้กับ “เทียนหัว” เทพธิดาแห่งท้องทะเล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “มาจู่” ซึ่งเป็นเทพที่คนจีนจากทั่วโลกเคารพบูชานั่นเอง
สำหรับ วัดเทียนหัว (Thean Hou Temple) ตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลาง กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1981 โดยชุมชนชาวไหหลำ ที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย ซึ่งเป็นชุมชนที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อเทียนหัว เทพเจ้าผู้เป็นที่รักของพวกเขา ซึ่งวัดได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยสถาปัตยกรรมจีนสมัยใหม่ที่ผสมผสานสไตล์ดั้งเดิมและร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่ง วัดเทียนหัว (Thean Hou Temple) เปิดให้ผู้คนเข้ามาสักการะครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1989 โดยคนเค้าเชื่อกันว่า เทียนหัว เป็นเทพเจ้าที่จะคอยปกป้องชาวประมงและลูกเรือ ซึ่งคนที่มาขอพรมักจะขอในเรื่องความปลอดภัย ความเจริญรุ่งเรือง และโชคลาภ
นอกจากนี้ ที่ วัดเทียนหัว (Thean Hou Temple) ยังเคารพบูชาเจ้าแม่กวนอิม (Guan Yin) เทพธิดาแห่งความเมตตา และเทพเจ้าซุนเฟิงเอ๋อ (Shun Feng Er) เทพเจ้าแห่งความเจริญรุ่งเรืองอยู่อีกด้วย ซึ่งภายในวัดมีเทพทั้งสององค์ประดิษฐานเอาไว้ภายในอาคารหลักให้เราได้มาเห็นกันอย่างใกล้ชิด รวมถึงได้มาขอพรเพื่อเสริมสิริมงคล เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของคนจีนเค้าเลยก็ว่าได้
บรรยากาศภายในวัดนั้นมีพื้นที่กว้างขวาง พอเราเดินเข้ามาจากบริเวณทางเข้าหน้าวัด เค้าจะเป็นทางเดินโล่งๆ ที่ทอดยาวไปสู่ตัววัด ซึ่งจะสร้างสูงขึ้นไปจากพื้นดินปกติ โดยจะมีบันไดคู่ขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าให้เราเดินเพื่อขึ้นไปยังด้านบน เมื่อขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ จนถึงตัวอาคารหลักของวัด บรรยากาศบนนี้ค่อนข้างโอ่อ่าด้วยอาคารหลักสไตล์จีนขนาดใหญ่ที่วิจิตรงดงามด้วยลวดลายมังกร และการแกะสลักแบบจีนดั้งเดิม ตามหลังคามีชายคาที่ประดับประดาด้วยรูปปั้นนกฟีนิกซ์และมังกร ซึ่งสื่อถึงความสามัคคีและพลังอยู่อีกด้วย นอกจากนี้เสาสีแดงที่เราเห็นอยู่ในวัดยังสื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองและโชคลาภอีกต่างหาก คือแทบทุกมุมของวัดล้วนแต่มีความหมายถึงสิ่งดีๆ ทั้งนั้น
บริเวณด้านในของอาคารหลักเป็นที่ประดิษฐานองค์เทพทั้ง 3 คือ เทพเทียนหัว เจ้าแม่กวนอิม และ เทพเจ้าซุนเฟิงเอ๋อ ซึ่งใครที่อยากจะเข้าไปไหว้นั้น ก่อนอื่นให้เราหยิบธูปที่ด้านหน้าอาคารกันก่อน โดยเค้าจะมีจุดให้เราบริจาคเงินให้กับทางวัด จากนั้นให้หยิบธูปกันคนละ 4 ดอก (ในวัดเค้าเขียนไว้ให้หยิบ 4 ดอก แต่ก๊อตเห็นหลายคนเค้าหยิบกันแค่ 3 ดอกเท่านั้นนะ ฮ่าๆ) เมื่อไหว้ตามจุดต่างๆ เสร็จแล้วก็นำธูปมาปักลงกระถางที่ด้านหน้าอาคาร
จากนั้นใครที่อยากมาลองเสี่ยงเซียมซี ที่ด้านในอาคารหลักมีเซียมซีให้เราได้มาลองด้วยนะ แต่วิธีการเสี่ยงจะแตกต่างจากที่เราเคยเห็นโดยทั่วไป เพราะที่นี่เค้าจะเป็นกล่องกระบอกเซียมซีขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนแท่นสูงประมาณอก โดยวิธีการเสี่ยงเราจะต้องจับไม้เซียมซีทุกอันขึ้นมาจากกล่องไม้ แต่ไม่ได้ดึงจนมันหลุดออกมาจากกัน แค่ยกสูงขึ้นเท่านั้น จากนั้นก็ปล่อยทั้งหมดกลับลงไปในกล่องไม้ตามเดิม หากเซียมซีอันไหนอยู่สูงกว่าเพื่อน ให้เราดึงขึ้นมาเพื่อดูตัวเลข แล้วค่อยไปหยิบใบทำนายตามหมายเลขที่ได้ แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว
หากใครที่อยากมาตามรอยก๊อตที่ วัดเทียนหัว (Thean Hou Temple) ก๊อตแนะนำว่าให้มาช่วงเช้าๆ ด้วยความที่วัดเค้าโด่งดังสุดๆ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง แน่นอนว่าคนมาเยือนต่อวันมหาศาลเลยล่ะ ดังนั้น ใครที่อยากได้ภาพสวยๆ ไม่ค่อยติดผู้คนมากนัก มาช่วงเช้าๆ จะดีมาก ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ควรมาเยือนเลย
หอคอยกัวลาลัมเปอร์ (KL Tower)
หอคอยกัวลาลัมเปอร์ (KL Tower) อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองกัวลาลัมเปอร์ที่สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1995 ถือเป็นหอคอยอิสระที่สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก และสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงเวลานั้น โดยมีความสูง 421 เมตร (1,381 ฟุต) ทำหน้าที่เป็นหอส่งสัญญาณ รองรับบริการกระจายเสียงและโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ และเครือข่ายมือถือ โดยความสูงและตำแหน่งที่ตั้งอันเหมาะสมทำให้ หอคอยกัวลาลัมเปอร์ (KL Tower) เหมาะสำหรับการส่งสัญญาณที่ชัดเจนในพื้นที่กว้างอีกด้วย
โดยสถาปัตยกรรมของ หอคอยกัวลาลัมเปอร์ (KL Tower) มีการผสมผสานองค์ประกอบของการออกแบบแบบอิสลาม ซึ่งสะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนาของมาเลเซีย เห็นได้ชัดจากรูปแบบการตกแต่งของหอคอย อักษรอาหรับ และหลังคาโดมของโครงสร้าง ซึ่งปัจจุบันนี้ หอคอยยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางโทรคมนาคมที่สำคัญในขณะเดียวกันก็ที่เที่ยวป๊อปๆ ของกัวลาลัมเปอร์อีกด้วย
สำหรับการมาเที่ยว หอคอยกัวลาลัมเปอร์ (KL Tower) ก๊อตแนะนำให้เราซื้อบัตรแบบรวม Sky Box มาด้วย เพราะนอกจากเราจะได้เข้าไปถ่ายรูปสวยๆ ในกล่องกระจกแก้ว Sky Box ที่เป็นไฮไลท์แล้ว ชั้นนี้เองยังถือเป็นชั้นที่สูงที่สุดบนความสูง 300 เมตร โดยเป็นเอาท์ดอร์บนหอคอย โดยเราสามารถมองเห็น วิวเมืองกัวลาลัมเปอร์แบบพาโนราม่าได้ไกลแบบสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งยังมองเห็นตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) และ ตึกเมอร์เดกา 118 (Merdeka 118) สองตึกแลนด์มาร์คของมาเลเซียได้อีกด้วย
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
และที่ปังสุดของการมาเที่ยว หอคอยกัวลาลัมเปอร์ (KL Tower) คือ เจ้า Sky Box โดยเค้าทำแยกออกเป็น 2 ฝั่ง ความเริ่ดคือฝั่งหนึ่งสามารถถ่ายภาพกับตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) ได้แบบเต็มสายตา ส่วนอีกฝั่งก็สามารถมองเห็น ตึกเมอร์เดกา 118 (Merdeka 118) ได้นั่นเอง บอกเลยว่ารูปออกมาเก๋กู๊ดและหวาดเสียวมากเลย 55555
สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อบัตรแบบรวม Sky Box มา เราสามารถขึ้นมายังจุดชมวิวเฉพาะชั้น TH04 บนความสูง 294 เมตรเท่านั้น โดยชั้นนี้จะเป็นจุดชมวิวในอาคารที่ผนังรอบๆ เป็นกระจกใสบานใหญ่ให้เราได้เดินส่องวิวเมืองกันแบบ 360 องศา ได้แบบเพลินๆ เลย
After One
มาเติมพลังกันต่อที่ After One คาเฟ่สุดมินิมอลที่ได้ชื่อว่าเป็น Hidden Gem ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง KL โดยเค้ามาในคอนเซ็ปต์อาหารดีๆ กับผู้คนดีๆ (GOOD FOOD with GOOD PEOPLE) ซึ่งร้านเค้าจะเน้นเสิร์ฟอาหารเฮลท์ตี้ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารเมดิเตอร์เรเนียน โดยเชฟที่ร้านเค้าเคยไปฝึกฝนทักษะของตนเองในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ก่อนจะมาทำที่ After One อีกด้วยนะ ดังนั้นเราจึงมั่นใจได้เลยว่าอาหารที่ทุกจานที่เสิร์ฟมานั้น รสชาติดี วัตถุดิบถูกคัดสรรมาอย่างดีงามเลยล่ะ
สำหรับชื่อของคาเฟ่ After One เค้ายังได้รับแรงบันดาลใจมาจากช่วงเวลาบรันช์ ที่จะช่วยให้ทุกคนที่มาเยือนสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ผ่อนคลายและสงบสุขผ่านอาหารมังสวิรัติ และอาหารเพื่อสุขภาพอีกด้วย โดยบรรยากาศของ After One เค้าได้เนรมิตบ้านสองชั้นให้กลายมาเป็นคาเฟ่สุดโฮมมี่ บริเวณรอบๆ ร้านรายล้อมไปด้วยสวนเขียวๆ ที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม โดยมีมุมให้นั่งกินทั้งแบบอินดอร์และเอ้าท์ดอร์บริเวณชั้นแรก รวมไปถึงยังมีดาดฟ้าบนชั้นสองให้ได้มานั่งรับลมเย็นๆ อีกด้วย
สำหรับอาหารที่ก๊อตสั่งมาจะเป็น Mushroom Cheese Toastie (32 ริงกิต / ~250 บาท) เมนูสุดบิ้กเบิ้มที่เสิร์ฟกันมาบนจานไม้ขนาดใหญ่ ตัวโทสต์เนื้อขนมปังข้างนอกกรอบๆ ตัวไส้ด้านในนัวๆ ด้วยชีสถึง 3 ชนิด ทั้งเชดด้าชีส มอสเซเรลล่าชีส และเกาด้าชีส ที่คลุกเคล้ามากับเห็ดได้อย่างลงตัว กินคู่กับมันฝรั่งหวานที่เอามาทอดแบบเฟรนฟรายและซุปมะเขือเทศรสเปรี้ยวหวานกลมกล่อมคือลงตัวสุดๆ
ส่วนอีกเมนูคือ Shrimp & Egg Porridge (34 ริงกิต / ~265 บาท) กุ้งกระเทียมตัวโตๆ ที่คลุกเคล้ามากับซอสรสนวลๆ กลมกล่อม จานนี้มีผักมาหลายชนิด ทั้งมะเขือเทศ กระเจี๊ยบ เห็ดออรินจิ ต้นหอม รวมถึงผักสีเขียวๆ ที่โปะมารอบๆ ไข่ดาว โดยรวมจานนี้อร่อยมาก ผักสดกรอบ และที่เลิฟเลยคือเค้าให้กุ้งตัวใหญ่มาเยอะแบบเด้งกรุบในปากมาก ถือเป็นเมนูที่ก๊อตกินจนเกลี้ยงจานเลย
นอกจากอาหารอร่อยๆ แล้ว เค้ายังมีเสริฟเครื่องด้วยเช่นกัน อย่างก๊อตเองลองเป็น Jawa Pandan Coffee (17 ริงกิต / ~133 บาท) ที่บอกเลยอร่อยมาก ตัวเอสเพรซโซ่นมหอมกรุ่นไม่หวานมาก พอคนเข้ากันกับตัวน้ำตาลโฮมเมดของทางร้านมันเลยจะหอมหวานกำลังดี ส่วนอีกเมนูเผื่อใครชอบกาแฟส้มเหมือนกัน แนะนำเป็น Valencia Sunset (18 ริงกิต / ~140 บาท) ได้เลย ตัวนี้เป็นเอสเพรซโซ่เข้มๆ ที่ราดมาบนน้ำส้ม ท็อปด้วยส้มอบแห้ง พอดื่มพร้อมกันแล้ว อร่อยสดชื่นมาก ด้วยความที่น้ำส้มของเค้าไม่ได้เปรี้ยวจัด มันมีความอมหวานละมุนๆ ตอนดื่มเลยรู้สึกกะปรี้กะเปร่า ดื่มง่าย แป๊บเดียวหมดแก้วแล้ว
เอาเป็นว่าใครที่ชอบคาเฟ่ไวบ์ดี ฟีลมากินข้าวบ้านเพื่อน แถมอาหารยังอร่อย วัตถุดิบดีงาม เรื่องรสชาติไม่ต้องสาธยายมาก นี่แนะนำให้ปักหมุดมาฝากท้องที่ After One เค้าได้เลย
ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower)
หนึ่งในแลนด์มาร์คของเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นไอคอนิกของมาเซีย ขอยกให้กับ ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) เค้าเลย โดยที่นี่ถือเป็นผลงานทางวิศวกรรมที่โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก และเป็นความภาคภูมิใจของคนมาเลเซียเลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่ถือเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกได้ถึงการเติบโตของมาเลเซียในฐานะประเทศอุตสาหกรรมนั่นเอง
สำหรับ ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1993 และแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1996 ภายใต้การออกแบบของ César Pelli สถาปนิกชาวอาร์เจนตินา-อเมริกัน ที่ได้นำเอาองค์ประกอบของศิลปะอิสลาม ซึ่งสะท้อนถึงชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในมาเลเซีย ด้วยหน้าตัดของหอคอยที่มีลักษณะคล้ายดาวแปดแฉก เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันทั่วไปในเรขาคณิตของศาสนาอิสลามมาร่วมในการออกแบบ โดย ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1999 และก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่และทันสมัยของมาเลเซียไปเป็นที่เรียบร้อย
ความเว่อร์คือ หอคอยแต่ละหลัง ถูกสร้างโดยผู้รับเหมาคนละเจ้า อย่างหอคอย 1 สร้างโดยกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นที่นำโดย Hazama Corporation ส่วนหอคอย 2 สร้างโดยบริษัทเกาหลีใต้ Samsung Engineering & Construction ซึ่งพอสร้างแล้วเสร็จ ตึกแฝดถือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998-2004 และยังคงเป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูง 451.9 เมตร อีกด้วย ซึ่งแต่ละตึกมีทั้งหมด 88 ชั้น โดยชื่อของตึกแฝดนั้น ได้รับการตั้งชื่อตามปิโตรนาส ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติของมาเลเซีย ทำให้ภายในตึกมีสำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ด้วย
แน่นอนว่า มาเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ทั้งที จะพลาดมาถ่ายรูปคู่กับ ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) ก็เสียดายแย่ อย่างสี่แยกหน้าตึกแฝดเองก็ถือเป็นอีกจุดที่ถ่ายรูปคู่กับตึกแฝดได้สวยๆ เลย หรือเราจะเดินเล่นบริเวณรอบๆ ของตึกเพื่อถ่ายรูปก็สวยเช่น บอกเลยว่าใครเป็นสายสถาปัตยกรรมหรือชอบเที่ยวดูตึกล่ะก็ คือดีมาก
สวนเคแอลซีซี พาร์ค (KLCC Park)
นอกจากมุมถ่ายรูปกลางสี่แยกหน้าตึกและบริเวณตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) แล้ว ใครที่อยากมาเดินถ่ายภาพของตึกแฝดอีกมุมท่ามกลางสวนสวยๆ ก๊อตแนะนำให้เดินมายัง สวนเคแอลซีซี พาร์ค (KLCC Park) ที่อยู่ด้านหลังของตึกต่อได้เลย
สวนเคแอลซีซี พาร์ค (KLCC Park) ถือเป็นโอเอซิสใจกลางเมืองกัวลาลัมเปอร์ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 127 ไร่ เป็นสวนที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างธรรมชาติและโครงสร้างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของ KL ซึ่งโดดเด่นด้วยทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ รวมถึงมีสระว่ายน้ำ สนามเด็กเล่นสำหรับเด็กๆ และมุมนั่งพักผ่อนอยู่เต็มไปหมด ทำให้เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ผู้คนเค้านิยมพาเด็กๆ มาเดินเล่น ทำกิจกรรมร่วมกันนั่นเอง
โดยมุมที่ถ่ายรูปแล้วเห็นตึกแฝดแบบชัดเจนที่ก๊อตแนะนำเลยจะเป็นบริเวณทางเดินเลียบสระว่ายน้ำ ซึ่งหากใครเดินมาจากฝั่งด้านหลังของตึกแฝด เราจะต้องเดินตัดสวนขึ้นมาหน่อยนะ โดยบริเวณนี้จะสามารถถ่ายรูปเห็นตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) ได้แบบเต็มสายตา ท่ามทะเลสาบที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวๆ เป็นจุดที่ก๊อตคิดว่าถ่ายรูปออกมาแล้วอลังการมาก ถือเป็นจุดถ่ายรูปตึกแฝดที่ก๊อตชอบมากที่สุดเล้ย
ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang)
สำหรับย่านที่ได้ชื่อว่าคึกคักและมีชีวิตชีวามากที่สุด รวมถึงยังเป็นแหล่งรวมห้างสรรพสินค้าและความบันเทิงขนาดใหญ่ของ กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่ ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) โดยย่านนี้เค้าจะมีฟีลเหมือนแถวๆ สยามบ้านเราที่รวมเอาห้างสรรพสินค้าสุดลักชู ร้านแบรนด์เนม รวมไปถึง ถนนช้อปปิ้งริมถนนที่ฟู่ฟ่า และสถานบันเทิงยามค่ำคืนสุดจี๊ดจ๊าดเอาไว้ ใครที่อยากมาดื่มด่ำกับแสงสีเสียงแบบจัดเต็ม รวมถึงได้ละลายทรัพย์ช้อปสารพัดแบรนด์ ต้องมาเช็กอินที่นี่เลย
ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) เดิมทีเป็นย่านที่เริ่มต้นมาจากเขตชานเมืองอันเงียบสงบ โดยคำว่า Bukit Bintang ในภาษามาเลเซียหมายความว่า “Star Hill” ซึ่งย่านนี้ได้ถูกพัฒนาในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยพื้นที่ต่างๆ ของย่านเริ่มขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว มีการก่อสร้างโรงภาพยนตร์ โรงแรม และร้านค้าปลีก จนช่วงเวลานั้น ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางด้านความบันเทิงและการค้าใน กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) เลยทีเดียว จนกระทั่งในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) ได้รับการพัฒนาใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ มีการปรับปรุงภาพลักษณ์ของสถานที่ต่างๆ ให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น นั่นยิ่งทำให้ย่านแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางที่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวมาเยือนกันแบบแตกแตนนั่นเอง
ยิ่งใครที่มา ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) ในช่วงเวลากลางคืน บอกเลยว่าที่นี่เค้าคึกคักมาก เพราะผู้คนจะแห่แหนมาเดินช้อปปิ้ง หาของกินกันแบบพรึ่บพรั่บ โดยห้างที่ต้องมาเดินในย่านนี้เลยก็คือ พาวิลเลี่ยน กัวลาลัมเปอร์ (Pavilion Kuala Lumpur) ที่ได้ชื่อว่าเป็นห้างสุดหรูที่ข้างในนั้น เต็มไปด้วยแบรนด์ลักชูตัวท็อประดับโลกอยู่เพียบ ยังไม่หมดเท่านั้น ใครที่อยากมาเดินหาของอร่อยๆ ฟีลสตรีทฟู้ด ต้องไปต่อที่ ถนนสตรีทฟู้ดจาลันอลอร์ (Jalan Alor Food Street) กันด้วย เพราะที่นี่รวมสารพัดอาหาร ทั้งอาหารมาเลเซีย อาหารไทย จีน อินเดีย ให้ได้กินกันจนพุงกาง ซึ่งก๊อตจะพาทุกคนสำรวจกันแบบทุกซอกทุกมุมด้านล่างนี้ด้วยนะ เอาเป็นว่าใครที่อยากมากินเที่ยว ช้อป ไม่มีที่ไหนเก๋ไก๋ เพียบพร้อมเท่ากับ ย่านบูกิตบินตัง (Bukit Bintang) อีกแล้ว
พาวิลเลี่ยน กัวลาลัมเปอร์ (Pavilion Kuala Lumpur)
อีกหนึ่งห้างที่ใหญ่ หรูหรา และโด่งดังสุดของมาเลเซียที่สายช้อปต้องมาเลยก็คือ พาวิลเลี่ยน กัวลาลัมเปอร์ (Pavilion Kuala Lumpur) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Pavilion KL ในย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang)ใครที่อยากมาช้อปแบรนด์ไฮเอนด์ต่างๆ ก๊อตบอกเลยว่าที่ Pavilion KL มีครบทุกแบรนด์
สำหรับ Pavilion KL โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัยและทันสมัยที่ผสมผสานเข้ากับพื้นที่ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีน้ำพุคริสตัลพาวิลเลียน ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซียอยู่ด้วย คนมายืนถ่ายรูปหน้าเพียบ
ภายใน Pavilion KL เป็นที่ตั้งของร้านค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Chanel, Gucci, Prada และ Louis Vuitton ที่นี่เค้าก็มีช็อปขนาดใหญ่ให้เราได้ช้อปแบบสะใจ นอกจากนี้ยังมีพวกแบรนด์แฟชันชั้นนำ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ความงาม และอื่นๆ อยู่เยอะมาก เรียกได้ว่าจะสายช้อปแบบไหนที่ Pavilion KL เค้าตอบโจทย์ครอบคลุมทุกความชอบของทุกคนแน่นอน
ถนนสตรีทฟู้ดจาลันอลอร์ (Jalan Alor Food Street)
หลังจากที่เราช้อปกันกระจายแล้ว ไม่ไกลจาก Pavilion KL เราสามารถเดินมาหาอะไรอร่อยๆ กินได้ที่ ถนนสตรีทฟู้ดจาลันอลอร์ (Jalan Alor Food Street) ได้เลย โดยที่นี่ตั้งอยู่ในใจกลางย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งและความบันเทิงยอดฮิตของกัวลาลัมเปอร์ โดยถนนเค้าปิดเป็นถนนคนเดินที่ทอดยาวไปหลายช่วงตึกพร้อมผู้คนที่สุดแสนจะคึกคักในตอนกลางคืน บอกเลยว่าใครที่อยากลิ้มรสอาหารมาเลเซียขนานแท้ๆ ต้องมาที่นี่ เพราะอาหารหลักร้อยร้านมาให้เราเลือกทานกันแบบอิ่มท้องเลย
ก่อนจะมาเป็นถนนสตรีทฟู้ดชื่อดังแบบนี้ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ถนนสตรีทฟู้ดจาลันอลอร์ (Jalan Alor Food Street) สายนี้เป็นเพียงย่านที่อยู่อาศัยและย่านโคมแดงเท่านั้น จนกระทั่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เหล่าพ่อค้าแม่ค้าและแผงลอยเริ่มเข้ามาตั้งแผงขายอาหารเพื่อรองรับความต้องการอาหารมื้อดึกที่เพิ่มขึ้นในใจกลางเมือง ถนนสายนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักในเรื่องของอาหารมากยิ่งขึ้น จากที่เคยเป็นเพียงถนนเงียบๆ ก็เริ่มมีผู้คนพลุ่กพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งในกัวลาลัมเปอร์เลยก็ว่าได้
ซึ่งอาหารที่ขายกันนั้นก็จะมีตั้งแต่อาหารมาเลเซียแบบดั้งเดิม อาหารอินเดีย จีน ไปจนถึงอาหารไทย โดยอาหารที่เค้าขายกันขึ้นชื่อว่าราคาถูกมาก โดยเฉพาะตอนค่ำเป็นต้นไป คนเดินขวักไขว่กันเต็มถนน สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านอาหารทั้งแบบมีที่นั่งกิน และร้านรถเข็นให้ซื้อแล้วเดินกินได้เลย โดยอาหารที่ขายส่วนใหญ่จะมีทั้งของคาวไปจนถึงของหวาน ของกินเล่น แต่ที่ก๊อตเห็นเยอะเลยจะเป็นสารพัดอาหารทะเล หมาล่า รวมถึงมีผลไม้ อย่างเช่นทุเรียนที่วางขายกันเป็นตับ ซึ่งทุเรียนที่ขายส่วนใหญ่จะลูกไม่ใหญ่มาก เค้าจะมีทั้งที่ขายยกลูก และแกะขายเรียบร้อย ใครอยากลองก็เลือกซื้อได้เลย
สำหรับอาหารที่ก๊อตกิน คือเมนูซิกเนเจอร์มาเลเซียอย่าง Nasi Lemak Crispy Chicken (25 ริงกิต / ~195 บาท) ซึ่งเป็นเมนูข้าวที่เสิร์ฟมาพร้อมกับน่องไก่ทอดชิ้นใหญ่สุดกรอบ กินคู่กับไข่ต้ม เครื่องเคียงและน้ำพริกที่รสชาติเหมือนน้ำพริกเผาบ้านเรา พอกินรวมๆ แล้วอร่อย ตัวไก่มีความนัวแบบหมักเข้าถึงเนื้อมาก ใครที่กลัวไม่อิ่ม บอกเลยว่าจานนี้ให้มาไซซ์ใหญ่สุด
ส่วนของหวานก๊อตลองเป็น Combo Ice Cream (RM 15 / ~117 บาท) ไอศกรีมรสมะม่วงและกะทิที่ให้มาจุกๆ ในลูกมะพร้าว ตัวไอศกรีมทั้งสองนั้น รสชาติถูกต้องมาก มีความกะทิหวานมัน และรสเปรี้ยวหวานของมะม่วงที่พอกินเข้ากับขนมปังกรอบๆ และและถั่วบดที่โรยมา รสชาติดันเข้ากันอร่อยเฉยเลย ใครหิวๆ ก็มาฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ได้เลย บอกเลยว่าใครที่อยากมาเดินหาของกินฟีลอาหารสตรีทฟู้ด ก๊อตแนะนำเลยว่าต้องมาที่ ถนนสตรีทฟู้ดจาลันอลอร์ (Jalan Alor Food Street) ให้ได้เลย
สะพานซาโลมา (Saloma Link)
กินอิ่มแล้ว ก๊อตก็นั่งรถมากันต่อที่ สะพานซาโลมา (Saloma Link) หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันอีกชื่อว่า Laluan Pejalan Kaki Saloma สะพานที่มีความยาว 370 เมตร ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อย่านเมืองเก่ากำปง บารู (Kampung Baru) เข้ากับใจกลางเมืองกัวลาลัมเปอร์ (KLCC) โดยสะพานเปิดให้ผู้คนใช้งานครั้งแรกเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2020 ความเริ่ดของสะพานแห่งนี้ คือเค้าช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางเข้าสู่เมืองจากเดิมที่ต้องขับรถจากย่านเมืองเก่าเข้าเมืองราวๆ 30 นาที ปัจจุบันนี้ผู้คนสามารถเดินเท้าผ่านสะพานเข้าเมืองได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
สำหรับดีไซน์ของ สะพานซาโลมา (Saloma Link) ที่เราเห็นว่ากิ๊บเก๋หน้าตาไม่เหมือนใครนี้ เค้าได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างมาจาก Sirih Junjung ซึ่งเป็นการจัดใบพลูแบบดั้งเดิมที่เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความเจริญรุ่งเรืองในวัฒนธรรมของมาเลเซีย โดยเค้ามักจะจัดเป็นช่อดอกไม้แล้วใช้ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลเซีย ซึ่งหากมองจากภาพมุมสูงเราจะเห็นว่าตัวสะพานมีรูปร่างคล้ายกับการเอาใบพลูมาห่อพับวางซ้อนกันนั่นเอง
ความดีงามของ สะพานซาโลมา (Saloma Link) ไม่ว่าเราจะมาถ่ายช่วงเวลาไหนก็สวยสับไปหมด แต่หากใครมาเยือนในตอนกลางคืนเหมือนก๊อต เราจะได้เห็นบรรยากาศของสะพานที่อลังการด้วยแสงจากไฟซึ่งเค้าจะเปลี่ยนสี โดยในบางช่วงแสงไฟสะท้อนเป็นลายธงชาติมาเลเซียให้เราได้ชมกันอีกด้วย
โดยไฮไลท์ที่ทำให้สะพานแห่งนี้กลายเป็นที่เที่ยวยอดฮิตสำหรับการถ่ายรูป เพราะเราสามารถมองเห็นสะพานตั้งตระหง่านเคียงคู่กับตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Tower) ด้านหลังแบบอลังการงานสร้าง ซึ่งก๊อตแนะนำให้มาช่วงกลางคืน เพราะทั้งสะพานและตึกแฝดนั้น เค้าเปล่งแสงวิบวับได้สวยจับใจมากจริงๆ
Ilham Gallery
สำหรับใครที่เป็นสายอาร์ตนั้น มาเลเซียเค้าก็มีแกลอรีเก๋ๆ ที่เราสามารถมาเดินส่องงานศิลป์ให้ฉ่ำใจที่ Ilham Gallery หอศิลป์สาธารณะที่มีความมุ่งมั่นจะสนับสนุนการพัฒนา ความเข้าใจ และผลักดันงานศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัยของมาเลเซียให้อยู่ในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยที่นี่เค้าต้องการนำผู้คนมาสัมผัสและเข้าถึงแนวคิดของผลงานศิลปะ และศิลปิน มากยิ่งขึ้น ผ่านนิทรรศการที่จัดแสดงอยู่นั่นเอง ซึ่งความดีงามของที่นี่คือเค้าเป็นแกลเลอรี่ที่เราสามารถเข้าได้ฟรีเลย
โดย Ilham Gallery ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ปี ค.ศ. 2018 เพื่อสนับสนุนวงการศิลปะของมาเลเซีย ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับศิลปินในการจัดแสดงผลงานและมีส่วนร่วมกับสาธารณชน โดยหอศิลป์แห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 3 และ 5 ของ ILHAM Tower ภายในมีการออกแบบที่นำเอาองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มาผสมผสานเข้ากับความดั้งเดิมของมาเลเซียได้อย่างลงตัว
สำหรับนิทรรศการที่จัดแสดงอยู่ภายในนั้น จะเป็นนิทรรศการหมุนเวียนที่มีทั้งศิลปินที่มีชื่อเสียงและศิลปินหน้าใหม่มาเข้าร่วม โดยผลงานที่นำมาจัดแสดงมีหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ประติมากรรม ภาพถ่าย และการติดตั้งมัลติมีเดีย ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้น เป็นช่วงที่เค้าจัดแสดงนิทรรศการ Boom Boom Bang: Play & Parody in 1990s K.L. นิทรรศการที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิดีโอสารคดีเรื่อง Boom Boom Bang ซึ่งกำกับและผลิตโดย Zakiah Omar และ Hanno Baethe จากเบอร์ลิน โดยนิทรรศการนี้ได้นำเสนอผลงานศิลปะจากหลากหลายศิลปินที่เจาะลึกเรื่องราวอันซับซ้อนของเมืองกัวลาลัมเปอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1990 นำเสนอผ่านภาพถ่าย วัตถุ บันทึกวิดีโอ ภาพร่าง จดหมาย โปสเตอร์ ไปจนถึงโบรชัวร์จากเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่จะทำให้เราเข้าใจถึงความเป็นมาและอัตลักษณ์ของเมือง พร้อมทั้งได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียนั่นเอง ถือเป็นอีกหนึ่งนิทรรศการที่ทำออกมาได้ดีมากๆ เลย
นอกจากนี้ ILHAM Gallery ยังมีคาเฟ่ และร้านขายของที่ระลึกที่ข้างในอัดแน่นไปด้วยผลงานจากเหล่าศิลปินที่เคยจัดแสดงอยู่ในแกลเลอรี่อีกด้วย ใครที่อยากได้ของฝากน่ารักๆ หรืออยากสะสมงานอาร์ตที่แต่ละชิ้นราคาไม่ได้แรงมากนัก ก๊อตแนะนำให้เดินมาที่ร้านขายของที่ระลึกได้เลย โดยเค้าจะอยู่ที่ชั้น 5 แต่เราจะต้องเดินออกมาโซนเอ้าท์ดอร์แล้วเดินเชื่อมไปยังร้านกันนะ บอกเลยว่าสายอาร์ตมาแล้วมีล้มละลายส่งท้ายทริปแน่นอน
Restora Wong Mei Kee
หลังออกมาจากแกลเลอรี่ เวลาตอนนั้นจะเที่ยงพอดี ก๊อตเลยนั่งรถมากินมื้อเที่ยงกันที่ Restoran Wong Mei Kee ร้านอาหารเก่าแก่ที่เค้าเพิ่งได้รับรางวัล Bib Gourmand (บิบ กูร์มองด์: ร้านอาหารอร่อยคุ้มค่าในราคาย่อมเยา) จากมิชลินกัวลาลัมเปอร์และปีนัง ปี 2024 นี้โดยที่นี่เปิดให้บริการมากว่า 3 ทศวรรษ โด่งดังในเรื่องของหมู่ย่างสไตล์มาเลเซียแท้ๆ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เมนูนี้ก็ยังขึ้นชื่อและเป็นนัมเบอร์วันของทางร้านอยู่เสมอ
โดย Restoran Wong Mei Kee ตั้งอยู่ในย่านปูดู (Pudu) ก่อตั้งโดย Wong Peng Hui เจ้าของร้านที่เค้าเริ่มต้นเส้นทางการทำอาหารในบ้านเกิดของตัวเองที่มะละกา (Malacca) โดยช่วงเวลานั้นเขาได้ช่วยทำลูกชิ้นข้าวมันไก่ไหหลำ จนในช่วงทศวรรษ 1980 ได้ย้ายมาอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ ก่อนจะสั่งสมประสบการณ์ทางด้านอาหารต่อ จนในที่สุดเขาก็ได้เปิดร้านข้าวมันไก่ โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านในปัจจุบันมากนัก
แต่เส้นทางร้านอาหารของ Wong Peng Hui ก็ไม่ได้ราบเรียบ เค้าต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเงิน แต่สุดท้ายก็สู้มาจนสามารถเปิดร้าน Wong Mei Kee ในทำเลปัจจุบันเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1990 ได้สำเร็จ โดยจานเด็ดของร้านคือหมู่ย่างสไตล์มาเลเซีย หรือที่เรียกว่า ซิวแอก (Siew Yoke) หมูย่างซีอิ๊วแดงที่ขึ้นชื่อในเรื่องความกรอบของหนังและเนื้อที่ชุ่มฉ่ำ ด้วยขั้นตอนการทำที่พิถีพิถัน จากการใช้ส่วนผสมของเกลือ 5 ชนิดที่ผสมเองและวิธีคั่วถ่านแบบดั้งเดิม โดยอาหารที่ขายกันจะทำใหม่แบบวันต่อวัน ทำให้ลูกค้าที่มากินนั้นได้ลิ้มลองอาหารอร่อยๆ ที่สดใหม่และมีคุณภาพ โดยร้านเค้าจะเปิดเฉพาะช่วงเวลา 12:00-15:00 น. เท่านั้นนะ และหยุดวันจันทร์ ดังนั้น ใครที่จะวางแผนมากินนั้น ลองดูเวลาดีๆ ด้วยล่ะ เพราะร้านเค้าเปิดขายแค่ 3 ชั่วโมงเอง
สำหรับเมนูที่ก๊อตสั่งมาลอง อย่างแรกเลยก็คือ หมูย่าง ที่มีความฉ่ำกรอบนอกนุ่มใน ยิ่งส่วนที่ติดมันย่างมาเกรียมๆ นิดหน่อยนะ ตอนกัดเข้าไป ความหอม ความนัว ความฉ่ำกระจายเต็มปากเต็มคำสุดๆ เป็นหมูย่างที่อร่อยฉ่ำจนอยากเอากลับบ้านไปด้วยเลย
อีกเมนูที่ต้องด้วยก็คือ หมูกรอบ ที่อร่อยจนแสงออกปาก ตัวหนังมีความกรอบ แต่ก็ร่วนในยามที่เคี้ยว ไม่ได้กรอบแข็ง ตรงเนื้อและมันก็นุ่ม จิ้มกับซอสของทางร้านเข้ากันสุดๆ และเมนูสุดท้ายคือไก่ย่าง โดยก๊อตสั่งเป็น 1 ส่วน 4 ตัว เสิร์ฟกันมาอลังมาก นี่นึกว่าให้มาเป็นตัวๆ เพราะจานใหญ่เว่อร์ สำหรับไก่ย่างก๊อตให้ปกติ กินกับน้ำจิ้มจะอร่อยขึ้น แต่ด้วยปริมาณถือว่าคุ้มค่า โดยทั้งหมดนี้ก๊อตสั่งมากินกับข้าวมัน คือทุกอย่างมันลงตัวอร่อยไปหมดเลย
ใครที่ชอบกินหมูกรอบ หมูย่างฟีลหมูแดง นี่แนะนำเลยว่าให้มาลอง มันอร่อยมาก แต่ถ้าไม่อยากรอคิวนาน แนะนำมาช่วงบ่ายสอง คนจะบางลง แต่อาจจะต้องเสี่ยงว่าอาหารบางอย่างจะหมดหรือเปล่า แต่ถ้าใครรอไหว จะมาถึงก่อนเที่ยงแบบก๊อตก็ได้ รับรองว่าได้กินทุกอย่าง แต่แลกกับการที่คนมารอกันแบบร้านแทบแตกของจริง
ถ้ำบาตู (Batu Caves)
ปิดท้ายทริปกัวลาลัมเปอร์กันด้วยการพาทุกคนมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ ถ้ำบาตู (Batu Caves) ซึ่งเค้าจะเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ที่ตั้งอยู่ที่ รัฐเซอลาโงร์ (Selangor) โดยจะอยู่ห่างออกมาจากกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 40-50 นาที ซึ่งที่นี่ถือเป็นศาลเจ้าฮินดูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งนอกประเทศอินเดีย และเป็นสถานที่ทางศาสนาที่สำคัญสำหรับชุมชนชาวทมิฬในมาเลเซียอีกด้วย
โดย ถ้ำบาตู (Batu Caves) มีอายุกว่า 400 ล้านปี เป็นโพรงถ้ำที่เกิดขึ้นมาภายในภูเขาหินปูน โดยศตวรรษที่ 19 วิลเลียม ฮอร์นาเดย์ (William Hornaday) นักธรรมชาติวิทยาชาวอเมริกันได้ค้นพบถ้ำแห่งนี้ แต่ก็ไม่ได้มีการทำอะไรกับถ้ำจนในปี ค.ศ. 1890 ได้มีพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตเห็นรูปร่างของถ้ำหลักที่มีลักษณะคล้ายกับเวล ซึ่งเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์ของ เทพเจ้ามุรุกัน ซึ่งเป็นเทพเจ้าของชาวฮินดู พ่อค้าคนนี้จึงได้ตัดสินใจสร้างวัดขึ้นมาภายในโพรงถ้ำที่ใหญ่ที่สุด โดยภายในนั้นอุทิศให้กับเทพเจ้ามุรุกัน และเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าฮินดูอีกหลายองค์ ทำให้ ถ้ำบาตู (Batu Caves) กลายเป็นสถานที่แสวงบุญสำหรับชาวฮินดูจากทั่วโลก
โดยรูปปั้นที่ตั้งโดดเด่นอยู่หน้าทางขึ้นถ้ำนั้น คือ ‘เทพเจ้ามุรุกัน’ โดยมีความสูงถึง 42.7 เมตร ถือเป็นรูปปั้นพระเจ้ามุรุกันที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย อันนี้บอกเลยว่าองค์จริงคือยิ่งใหญ่ อลังการจนไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาเปรียบเปรยได้เลย
สำหรับการจะขึ้นไปด้านบนของถ้ำนั้น เราจะต้องเดินผ่านบันไดจำนวน 272 ขั้น ที่เค้าสร้างขึ้นมาครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 1920 โดยมีความเชื่อกันว่าจำนวนขั้นของบันไดนั้น อยู่ในความสูงที่ใกล้เคียงกับสวรรค์ ซึ่งพอเวลาผ่านมาตามยุคตามสมัย ได้มีการทาสีของบันได้ให้ฉูดฉาดมากยิ่งขึ้น โดยมันช่วยดึงดูดสายตาของนักท่องเที่ยวและเพิ่มความนิยมให้กับสถานที่ได้เป็นอย่างดี
คนที่จะมาเที่ยวถ้ำบาตู (Batu Caves) ก๊อตแนะนำให้ใส่รองเท้าที่ทะมัดทะแมงเดินง่าย เพราะขั้นบันไดมีความกว้างที่ต่างกัน อีกทั้งบริเวณรอบๆ มีลิงอยู่เยอะมาก ซึ่งคนเค้าจะซื้อกล้วยมาให้ลิง ทีนี้น้องๆ ก็จะกินแล้วทิ้งเปลือกลงตามขั้นบันได ดังนั้น ให้มองทางดีๆ แล้วค่อยๆ เดินกันนะ สำหรับผู้หญิงนั้น ก๊อตแนะนำให้เราใส่ขายาว เนื่องจากทางวัดนั้นไม่อนุญาตให้คนที่ใส่ขาสั้นเดินขึ้นถ้ำนะเอ้ออ
พอเราเดินขึ้นไต่บันไดมาถึงด้านบน บรรยากาศภายในถ้ำจะลึกเข้าไปเป็นแนวยาว โดยตัวอาคารหลักของวัด ที่ภายในนั้นมีผู้คนมาสักการะกราบไหว้เทพเจ้ามุรุกัน ซึ่งพอเราเดินผ่านเข้ามาอีกหน่อย จะเจอกับบันไดขึ้นไปยังโพรงถ้ำด้านบนอีกหนึ่งชั้น ซึ่งบนนี้จะมีศาลาสำหรับใช้ทำพิธีกรรมตั้งอยู่ ท่ามกลางโพรงถ้ำที่เป็นรูมองออกไปเห็นต้นไม้และท้องฟ้าด้านบนนั่นเอง โดยรวมแล้ว ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวกัวลาลัมเปอร์เลย ถือเป็นการจบทริปเที่ยว กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ของก๊อตแบบคอมพลีทสุดๆ
ที่พักใน กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur)
Crystal Suites at Eaton, KLCC
สำหรับที่พักใน กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ที่ก๊อตเลือกมาพักในทริปนี้ เรานอนกันที่ Crystal Suites at Eaton, KLCC อพาร์ตเมนท์ที่ใครอยากได้วิวของ ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) แบบเว่อร์วังอลังการ ท่ามกลางสระว่ายน้ำบนชั้น 51 ก๊อตแนะนำให้มาพักตามได้เลย เพราะนอกจากวิวที่เริ่ดแล้ว ด้วยทำเลที่เค้าตั้งอยู่ใจกลางเมือง มันเลยทำให้เราสามารถเดินทางไปยังแลนด์มาร์คต่างๆ ของเมืองได้ง่ายมาก
Crystal Suites at Eaton, KLCC เป็นอพาร์ตเมนท์ขนาดใหญ่ที่มาด้วยกันถึง 51 ชั้น โดยห้องพักของที่นี่จะเป็นเหมือน Airbnb ที่เจ้าของแต่ละห้องพักเอามาปล่อยให้คนเข้าพัก โดยก๊อตจองมาได้ราคาประมาณ 1,600 บาท/คืน ซึ่งเป็นห้องขนาด 80 ตารางเมตร ภายในตกแต่งสไตล์คอนโดเหมือนบ้านเรา โดยแบ่งออกเป็น 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องน้ำ และโซนครัว มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม ทั้งไมโครไวฟ เตาไฟฟ้า เตารีด ไดร์เป่าผม ทีวี Wi-fi โซฟานอน และอุปกรณ์อาบน้ำแบบครบครัน ใครที่มากันเป็นครอบครัวใหญ่บอกเลยว่าห้องไทป์นี้ตอบโจทย์มาก
✨ จอง Crystal Suites at Eaton, KLCC + เปรียบเทียบราคา Agoda / Booking.com
บรรยากาศภายในห้องพักของก๊อตนั้น โออ่ากว้างขวางสุดๆ อีกทั้งยังโปร่งสบาย เพราะในบริเวณโซนห้องนั่งเล่นเค้ามีหน้าต่างประจกใสที่สูงจากพื้นจรดเพดาน ซึ่งเราสามารถมองออกไปเห็นวิวเมือง กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ได้แบบเต็มสายตาเลย ยิ่งใครที่อยู่ชั้นสูงๆ เรายิ่งจะมองเห็นเมืองได้ไกลลิบลิ่ว อีกทั้งยังมองเห็น ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) ได้ด้วยนะ อย่างห้องของก๊อตก็จะมองเห็นนิดหน่อย นับว่าเรื่องวิวห้องเค้าเริ่ดเอาเรื่อง
แต่ที่เริ่ดสุดแบบที่ว่าถ่ายรูปมุมนี้ลงไอจีแล้วโซเชียลแทบแตก คนทักข้อความมาถามก๊อตเยอะมาก ว่าพักที่ไหน เห็นจะเป็นบริเวณสระว่ายน้ำบนชั้น 51 ที่เกริ่นไปตอนต้น เพราะนอกจากเค้าจะเป็นสระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ที่เราสามารถมองเห็นวิวเมืองแล้ว มันยังมองเห็น ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Twin Tower) ได้แบบเต็มสายตาอีกด้วย ให้ทุกคนนึกภาพเราว่ายน้ำในสระขนาดใหญ่ที่พอแสงแดดตกกระทบลงบนผิวน้ำสะท้อนแสงระยิบระยับ มีฉากหลังเป็นตึกแฝด แกรเอ้ย บอกเลยว่า ที่พักหลักพันแต่วิวสวยหลักล้านมาก ถือเป็นไฮไลท์ของ Crystal Suites at Eaton, KLCC ที่คนเค้ามากันเลยล่ะ
และนอกจากสระว่ายน้ำที่วิวสวยสับแล้ว ที่ Crystal Suites at Eaton, KLCC ยังมีสปา ฟิตเนส ให้เราได้เข้าใช้บริการอีกด้วยนะ เรียกได้ว่าเป็นที่พักที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมาก แต่ที่ต้องบอกอีกอย่าง คือที่นี่เค้าไม่มีอาหารเช้าให้ แต่ทุกคนไม่ต้องห่วง เราสามารถออกไปหาอะไรกินจากข้างนอก หรือจะสั่งอาหารมากินที่ห้องได้ คือพักที่นี่ไม่ต้องกลัวอดเลย โดยรวมแล้วเป็นที่พักที่ราคาคุ้มค่ามาก แถมห้องพักก็ใหญ่อยู่สบาย ยิ่งวิวของสระว่ายน้ำที่เราถ่ายเห็นตึกแฝดใกล้ๆ ด้วยแล้ว มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้มบอกเลย คือถ้าในอนาคตก๊อตกลับมาเที่ยวที่ กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) อีกครั้ง ก๊อตก็จะเข้าพักที่นี่เหมือนเดิม มันดีย์งามมาก
สรุปการมาเที่ยว กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur)
และนี่ก็คือรีวิวเที่ยว กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ฉบับอัปเดตล่าสุดที่ก๊อตบอกเลยว่า ครั้งนี้ถือเป็นการกลับมาเยือนมาเลเซียในรอบหลายปีของก๊อต บ้านเมืองเค้าเจริญและมีตึกสูงกันแบบละลานตา สถานที่เที่ยวถูกพัฒนาให้สวยงาม พวกแลนด์มาร์คดังๆ ของจริงก็งดงามตระการตาสุดๆ แถมยังไปไหนมาไหนก็ง่าย เดินสะดวก อาหารการกินก็อร่อยถูกปาก ราคาไม่แรง ยิ่งขนมในคาเฟ่ที่เราไปมาคือให้กันมาชิ้นใหญ่คุ้มกับราคามากจริงๆ
ส่วนเรื่องช้อปปิ้งก็สนุกสุดๆ เพราะของหลายอย่างคือราคาถูกกว่าบ้านเรามาก อย่างพวกเครื่องสำอาง ถ้าใครมาห้างก๊อตแนะนำให้เข้าไป Sephora ได้เลย เพราะแบรนด์ป๊อบๆ จากเหล่าคนดังอย่าง Rare Beauty จากเซเรน่า โกเมซ, Fenty Beauty ของคุณแม่ค้ารีฮันน่า หรือจะเป็นแบรนด์ดังสุดฮิตตลอดกาลอย่าง Tarte ที่ใครเป็นสาวกคอนซีลเลอร์เค้าอยู่ ที่นี่คือราคาถูกกว่าไทยหลายร้อยเลย หรือจะลองเข้าร้านดักสโตร์ทั่วไป สกินแคร์ น้ำหอมก็ราคาเบากว่าไทยอยู่มาก แถมยังมีหลายตัวที่บ้านเราไม่มีขาย คือมาแล้วช้อปกันเพลินแน่นอน
ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำให้การมาเที่ยว กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ของก๊อตนั้นแฮปปี้สุดๆ อยากให้ใครก็ตามที่กำลังอยากมาเที่ยวต่างประเทศ แต่ไม่ได้อยากนั่งเครื่องนานๆ มาแล้วค่าครองชีพไม่ได้แพงมาก แถมอาอาหารยังอร่อยถูกปากอีก บอกเลยว่า กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ประเทศมาเลเซีย ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ก๊อตจะเชียร์ให้มาเที่ยวกัน เพราะที่นี่เค้าครบเครื่องทั้ง กิน เที่ยว ช้อป จริงๆ เลย
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลกหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡