เมลเบิร์น (Melbourne) ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดของโลก แถมยังขึ้นชื่อเรื่องกาแฟระดับโลกที่อร่อยโคตร อาหารมีให้เลือกกินหลากหลายสไตล์ เพราะคนที่นี่เค้าอพยพกันมาหลากหลายเชื้อชาติ เมลเบิร์นเลยชิคด้วยบ้านเมืองที่เป็นระเบียบ ผู้คนเฟรนด์ลี่ สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และสตรีทอาร์ทคูลๆ โอ้ย ให้ตายเหอะ ครบเครื่องกลมกล่อมแบบนี้ ซึ่งก๊อตขอออกตัวก่อนเลยว่า เมลเบิร์น (Melbourne) คือเมืองที่ก๊อตรัก และอยากมาเรื่อยๆ ซ้ำๆ มากที่สุดในออสเตรเลียแล้ว คือมันดีย์มาก และอยากให้ทุกคนได้มาจริงๆ เด้อ
รีวิวออสเตรเลียของก๊อตจัดเต็มนะจ๊ะ เพราะนอกจากรีวิวในตัวเมืองของเมลเบิร์นแล้ว เรายังมีรีวิวเที่ยวรอบๆ ตัวเมลเบิร์นอีก เที่ยวต่อได้ยาวเลยๆ ใครท่ีคิดจะมาเที่ยวที่นี่แบบสั้นๆ แปปเดียวล่ะก็ เดี๋ยวจับตีเลย พลาดไฮไลท์เด็ดแน่นอน!
ทริปเที่ยวเมลเบิร์น (Melbourne) และเมืองรอบๆ 8 วัน 7 คืน
นี่จะบอกว่าการมาเที่ยว เมลเบิร์น (Melbourne) ไม่ได้มีแต่เมลเบิร์นนะเออ! เพราะนอกจากตัวเมืองที่กิ๊บเก๋มีสีสันและกาแฟเริ่ดแล้ว รอบนอกตัวเมืองของเมลเบิร์นนี่ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะ และสวยมากกก ซึ่งถ้าใครที่เป็นสายธรรมชาตินี่ต้องห้ามพลาดเลยอย่าง Great Ocean Road ที่เป็นเส้นทางโรดทริปที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพื่อไปดูเสาหิน Twelve Apostles ที่ตั้งอยู่กลางทะเลที่ให้บรรยากาศเสมือนเราอยู่ในหนังไซไฟอะไรอย่างนั้น ซึ่งถ้าเรามีเวลาเที่ยวพอที่จะไปรอบนอกของตัวเมืองเมลเบิร์นนั้น Great Ocean Road คือจุดหมายแรกที่ต้องเติมเข้าไปในแพลนเที่ยวเลย
ส่วนใครที่มีเวลาเหลือมากกว่านี้อีก ก๊อตแนะนำให้เราเพิ่ม เกาะฟิลลิป (Phillip Island) เข้าไปด้วย ซึ่งอันนี้เป็นเดย์ทริปแบบชิลๆ ที่หลายคนน่าจะชอบ เพราะเราจะได้เห็นโคอาล่าแบบเต็มๆ แถมยังได้ดูเพนกวินที่ตัวเล็กที่สุดในโลกกำลังเดินขึ้นฝั่งเพื่อกลับเข้าไปยังรังของพวกมันอีก อันนี้คือดีย์ และสุดท้ายสำหรับคนที่เวลาเหลือไปอีก และเป็นสายรักธรรมชาติ ก๊อตแนะนำให้เราไปเดินเทรลสวยๆ ที่ อุทยานแห่งชาติแกรมเปี้ยน (Grampians National Park) กันต่อโลด ซึ่งที่นี่เป็นอีกที่ที่เราจะได้หลบออกจากเมืองที่วุ่นวาย เพื่อไปสงบสติอารมณ์และเอ็นจอยกับการเดินเทรลที่สวยงามเด้อ เอาล่ะ ใครที่กำลังแพลนทริปอยู่ คลิกดูแพลนเที่ยวแบบเต็มๆ ด้านล่างได้เลย
แพลนเที่ยวเมลเบิร์น (Melbourne)
วันที่ | สถานที่ท่องเที่ยว |
1 | ตัวเมืองเมลเบิร์น / ย่านใจกลางเมือง (CBD: Central Business District) เมืองที่พัก: เมลเบิร์น (Melbourne) |
2 | ตัวเมืองเมลเบิร์น / ย่านใจกลางเมือง (CBD: Central Business District) เมืองที่พัก: เมลเบิร์น (Melbourne) |
3 | ตัวเมืองเมลเบิร์น เมืองที่พัก: เมลเบิร์น (Melbourne) |
พักย่านไหนดีในเมลเบิร์น คัดมาให้แล้วเน้นๆ!
สำหรับคนที่ยังไม่มีไอเดียว่าเราจะเลือกพักนอนแถวไหนในเมลเบิร์นดี ก๊อตเลยขอไกด์ง่ายๆ โดยแบ่งกลุ่มคนตามไลฟ์สไตล์ รวมถึงคนที่มาเที่ยวครั้งแรกว่าควรนอนย่านไหนกันบ้างเนอะ
#1 ย่าน CBD : สำหรับคนมาเที่ยวเมลเบิร์นครั้งแรก
CBD เป็นย่านที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมากที่สุด มีรถแทรมฟรีใน CBD ร้านอาหาร-บาร์ และห้างให้ช้อปปิ้งเยอะและจัดจ้านมากที่สุดของเมลเบิร์นแล้ว
– โรงแรมสายลักชู + บูทีค (ราคา 6,000 บาท/คืน ++): QT Melbourne, Ovolo Laneways, The Westin Melbourne
– โรงแรมดี ราคาเหมาะสม (ราคา 3,000-6,000 บาท/คืน): Radisson on Flagstaff Gardens Melbourne, Ibis Melbourne Central
– โรงแรมราคาไม่แรง คุ้มค่าตัว (ราคาต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): The Victoria Hotel, Best Western Melbourne City
– โฮสเทล (ห้องรวม + ห้องเดี่ยวราคาดี): Selina CBD Melbourne, Space Hotel, Queen Victoria Hostel
#2 ย่าน Southbank : โรงแรมใกล้ CBD ในราคาที่ถูกกว่า
Southbank เป็นย่านที่อยู่ติด CBD โดยมีแม่น้ำยาร์รา (Yarra River) กั้นไว้ ย่านนี้เป็นอีกย่านที่ดีมากเลย สำหรับขาช็อป ที่นี่มี Outlet Mall อย่าง DFO South Wharf แถมอยู่ใกล้ตลาด South Melbourne Market ที่ของกินเยอะ และเดินทางไป CBD ได้ง่ายมากกก
– โรงแรมสายลักชู + บูทีค (ราคา 6,000 บาท/คืน ++): The Langham, Quay West Suites Melbourne
– โรงแรมดี ราคาเหมาะสม (ราคา 3,000-6,000 บาท/คืน): Ink Hotel Melbourne Southbank
#3 ย่าน Fitzroy : ย่านฮิปคนคูล ร้านกิ๊บเก๋เยอะ ใกล้ CBD
Fitzroy ถือเป็นหนึ่งย่านฮิปที่สุดของเมลเบิร์น มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่เก๋ๆ ร้านเสื้อผ้ามือหนึ่งแบบบูทีค-มือสองคูลๆ แล้วยังมีสตรีทอาร์ทตามมุมถนนที่โคตรเท่อีก ถือว่าไม่มีย่านไหนจัดจ้านเท่าย่านนี้อีกแล้วแหละ ใครที่มาเมลเบิร์นรอบสอง-รอบสาม มาพักแถวนี้ก็ดีนะ ชิลๆ
– โรงแรมสายลักชู + บูทีค (ราคา 6,000 บาท/คืน ++): Park Hyatt Melbourne (ใกล้ Fitzroy แบบเดินได้)
– โฮสเทล (ห้องรวม + ห้องเดี่ยวราคาดี): The Nunnery Accommodation
เข้าเมืองเมลเบิร์น จากสนามบินด้วย SkyBus
วิธีเดินทางเข้าเมืองจากสนามบินเมลเบิร์น ทัลลามารีน (Melbourne Tullmarine Airport : MEL) ที่ง่ายที่สุดคือการนั่งรถบัส SkyBus เข้าเมือง ซึ่งเค้าจะมีทั้งหมดอยู่ประมาณ 6 สาย แต่สายที่นักท่องเที่ยวมักจะขึ้นมีอยู่ 3 สาย นั่นคือ Melbourne City, Southbank Docklands และ St Kilda ทีนี้ การที่เราจะรู้ว่าเราจะขึ้นสายไหนนั้น ก็ต้องดูแหละว่าเราพักอยู่แถวไหน
- สาย Melbourne City Express: รับที่สนามบิน ลงที่ปลายทางจุดเดียวคือ สถานีรถไฟ Southern Cross Station ใจกลาง CBD // ใครที่พักอยู่ใน CBD ทั้งหมด แนะนำให้ขึ้นสายนี้
- สาย Southbank Docklands: รับที่สนามบิน มีจุดลงหลายจุดในย่าน Docklands กับ Southbank ซึ่งเป็นย่านที่อยู่ติดกับ CBD
- สาย St Kilda: รับที่สนามบิน มีจุดลงหลายจุดแถวๆ เซนต์กิลดา (St Kilda) ตั้งแต่ ใจกลางย่านเซนต์กิลดา (St. Kilda), ท่าเรือเซนต์กิลดา (St. Kilda Pier) และ ย่านฟิตซรอย (Fitzroy)
ส่วนวิธีการซื้อนั้น เราจะไปซื้อหน้าสนามบินตรงบูธ SkyBus ก็ได้ สามารถซื้อแบบ Walk-in ได้เลย แต่ถ้าใครที่รู้วันแน่นอนแล้วว่าจะขึ้นวันไหน และอยากราคาที่ถูกกว่า นี่แนะนำให้ซื้อบัตร SkyBus ผ่าน Klook ได้เลยจ้า เพราะมันถูกกว่าหน้าร้าน แถมแต่ละเดือนยังมีส่วนลดมาแบบจุกๆ ตลอดทั้งเดือนอีกด้วย นี่แนะนำให้ซื้อบัตรแบบไป-กลับ ไปเลย เพราะราคามันถูกกว่าเที่ยวเดียว แถมยังกำหนดวันเดินทางแค่ขาแรก ส่วนขาที่สองเราจะใช้เมื่อไหร่ก็ได้เด้อ > ซื้อบัตร SkyBus [ผ่าน Klook] [ผ่าน KKday]
รถรับ-ส่งสนามบินส่วนตัว ในเมลเบิร์น
สำหรับใครที่อยากได้รถรับ-ส่งสนามบินส่วนตัว สามารถเข้าไปที่เว็บ Klook แล้วหาผู้ให้บริการได้เลย ราคาเริ่มต้นแค่พันนิดๆ ต่อรอบเท่านั้นเอง ถือว่าดีและสะดวกสบายสำหรับคนที่มาหลายคน หรือสัมภาระเยอะเน้อ > คลิกหารถรับ-ส่งสนามบินส่วนตัวผ่าน Klook
การเดินทางในเมลเบิร์น
สำหรับการเดินทางในตัวเมลเบิร์นนั้น เราสามารถขั้นได้ทั้งรถแทรม รถเมล์ รถไฟ และสกู๊ตเตอร์ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นครอบคลุมทั่วทั้งเมือ เอาจริงๆ คือเราไม่ต้องพึ่งแท็กซี่เลยแหละ ทีนี้มีสิ่งที่ต้องอธิบายเพิ่มเติมกันหน่อยโดยเฉพาะตัวฟรีแทรมโซน (Free Tram Zone) ที่เราสามารถขึ้นรถแทรมได้ฟรีภายในย่าน CBD, การคิดราคาค่าโดยสารตามโซน 1 และ 2 รวมถึงบัตรการเดินทางที่ทุกคนต้องซื้อเพื่อใช้เดินทางขนส่งสาธารณะ นั่นคือบัตร Myki เด้อ
ฟรีแทรมโซน (Free Tram Zone)
สำหรับใครที่พักหรือเที่ยวเฉพาะแถว ฟรีแทรมโซน (Free Tram Zone) ในย่าน CBD นี่ คือสบายและประหยัดไปได้เยอะม๊าก เพราะเราสามารถกระโดดขึ้นแทรมทุกสายในย่านนี้ได้ฟรี โดยที่เราไม่ต้องแตะบัตร Myki ใดๆ ทั้งสิ้น โดยเราสามารถเช็คขอบเขตพื้นที่ฟรีแทรมโซนได้จากแผนที่ด้านล่างเลย // ปล. อันนี้ฟรีเฉพาะแทรมนะเว้ย รถเมล์ รถไฟไม่เกี่ยว เรายังต้องเสียเงินเหมือนเดิมนะ ฮ่าๆ (คลิกที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่ได้)
บัตร Myki Card
ทุกคนที่มาเที่ยวเมลเบิร์น แนะนำให้ทุกคนซื้อบัตร Myki Card ไว้เพื่อความสะดวกในการเดินทางทุกอย่างในเมลเบิร์นเน้อ คือถ้าไม่ซื้อและกะจะจ่ายเงินสด บอกเลยว่าโคตรลำบาก รถไฟ หรือรถเมล์ เราอาจจะตั๋วที่สถานีหรือจ่ายกับคนขับได้ แต่อย่างรถแทรมเค้าจะมีตู้ซื้ออยู่ไม่กี่ป้ายเท่านั้น ป้ายทั่วไปแทบจะไม่มีตู้ให้ซื้อบัตรนาจา ซึ่งบัตร Myki Card นั้น จะมีมัดจำอยู่ที่ $6 เท่านั้น และจำนวนเงินในบัตรจะอยู่ที่จำนวนในการเติมเงินเข้าไปแล้วแต่คนเลย ซึ่งเราสามารถซื้อได้ทุกสถานีรถไฟ, บูทรถ SkyBus และ 7-Eleven ทุกสาขา
สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา นี่แนะนำให้ซื้อ Myki Card แบบ Myki Explorer ราคา $16 ที่เค้าจะมีบัตร myki (ที่มีค่ามัดจำ $6) มาให้ พร้อมเงินในบัตร $10 ที่เพียงพอต่อการเที่ยวในหนึ่งวัน แถมยังมีส่วนลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งเราสามารถซื้อได้ที่บูทรถ SkyBus และ เคาท์เตอร์ PTV สถานีรถไฟเซาท์เทิร์นครอสส (Southern Cross Station) เน้อ // ส่วนลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมลเบิร์น คลิกดูที่นี่
ราคาการคิดค่าโดยสารในเมลเบิร์น
ไม่ว่าจะเป็นรถแทรม รถเมล์ รถไฟ ทุกรูปแบบของการเดินทาง เค้าจะคิดค่าโดยสารเหมารวมเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเดินทางด้วยอะไร ผสมกันแบบไหน ก็คิดเหมือนกันโดยที่เราไม่ต้องปวดหัว จะมีก็แต่เรื่อง Zone ของพื้นที่ รวมถึงราคาเหมาค่าโดยสารสองชั่วโมงแรก และเหมาทั้งวันนั่นเอง
ทีนี้เรื่อง Zone ของพื้นที่นั้น เราไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะพื้นที่ที่เราเที่ยวส่วนมาก มักจะอยู่ในโซน 1 (ตัวเมืองหลักของเมลเบิร์น) โดยวิธีการคิดค่าโดยสารนั้น เค้าจะเหมาแบบโซน 1+2 ไปเลย (ไม่มีการคิดแค่โซน 1 อย่างเดียว) โดย 2 ชั่วโมงแรก ในวันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์ เค้าจะคิดเหมารวมที่ $4.4 ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว แต่ถ้าเรามีการใช้มากกว่า 2 ชั่วโมงเมื่อไหร่ ราคาจะเปลี่ยนเป็นเหมารายวันทันทีที่ $8.8 ในวันธรรมดา และ $6.4 ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
วิธีการคิดที่เราใช้รถสาธาณะมากกว่า 2 ชั่วโมง ไม่ใช่การที่เรานั่งยาวมากกว่า 2 ชั่วโมงอย่างเดียวนะ แต่เค้าหมายถึงการเริ่มแตะบัตรขึ้นรถโดยสารครั้งแรก และจบการนับเวลาสุดท้ายที่การแตะบัตรออกครั้งสุดท้ายของวัน นั่นหมายถึง สมมุตเราขึ้นรถตอนเช้าเวลา 8 โมงเช้า และอีกรอบตอน 11 โมง แบบนี้คือการเหมาค่าโดยสารหนึ่งวันเรียบร้อยจ้า ไม่ยากเนอะ 5555
ความรู้พื้นฐานแน่นแล้ว เริ่มต้นเที่ยวเมลเบิร์นกันเลย!
เมลเบิร์น วันที่ 1:
ย่านใจกลางเมือง (CBD: Central Business District) / แม่น้ำยาร์รา (Yarra River)
สำหรับวันแรกของการเที่ยวเมลเบิร์น (Melbourne) นั้น เราจะมาทำความรู้จักและคุ้นเคยกับเมลเบิร์นกันก่อนโดยเริ่มจากโซนกลางเมืองย่านธุรกิจ หรือที่เค้าเรียกกันว่า Central Business District หรือที่เรียกสั้นๆว่า CBD นั่นเอง โซนนี้เหมือนเป็นโซนที่คับคั่งด้วยตึกสูงทั้งคอนโด สำนักงาน ร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้งหลักของเมลเบิร์น คือเป็นศูนย์กลางทุกอย่างจริงๆ ซึ่งถ้าใครกำลังหาและเลือกที่พักล่ะก็ นี่แนะนำให้เราพักโซน CBD เพราะนอกจากเราจะสะดวกเพราะทุกอย่างมันอยู่ตรงนี้แล้ว เรายังสามารถขึ้นรถแทรมในโซน CBD ได้อีกนะเออ บอกเลยว่าประหยัดไปได้มากกกก
หลังจากที่นี่ฝากของที่โรงแรม เราก็มาเริ่มตะลุยเมลเบิร์นกันเลยจ้า โดยจุดๆ แรกที่เราจะไปตั้งหลักกันก่อนนั่นคือตรง แม่น้ำยาร์รา (Yarra River) ตรงด้านล่างของเขต CBD นั่นเอง ซึ่งเหตุผลที่ก๊อตมาเริ่มตรงนี้ เพราะเราสามารถมองเห็นวิวใจเมืองเมลเบิร์นสวยๆ ได้ โดยการเดินข้ามแม่น้ำยาร์รา (Yarra River) มายังฝั่งเซาท์แบงค์ (Southbank) และเดินเล่นเลียบแม่น้ำ จากนั้นแนะนำให้เราเดินข้ามกลับไปยังฝั่ง CBD ตรงสะพาน Princes Bridge เพื่อต่อไปยัง สถานีรถไฟฟลินเดอร์สตรีท (Flinders Street Railway Station) นั่นเอง
สถานีรถไฟฟลินเดอร์สตรีท (Flinders Street Railway Station)
เดินข้าม Princess Bridge มา เราจะมาจ๊ะเอ๋กับ สถานีรถไฟฟลินเดอร์สตรีท (Flinders Street Railway Station) กับสถานีรถไฟที่เป็นไอคอนิคแลนด์มาร์คของเมลเบิร์น เพราะนอกจากที่นี่จะเป็นสถานีรถไฟแห่งแรกของออสเตรเลียแล้ว รูปร่างและสีสันของหน้าตึกสถานีรถไฟยังจัดจ้านสวยงามด้วยโดมบอลลูนสีเขียวมรกตและตัวตึกสีเหลือง ทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สุดของเมลเบิร์นเลย
เห็นเมลเบิร์นเป็นเมืองเกิดใหม่แบบนี้ สถานีรถไฟฟลินเดอร์สตรีท (Flinders Street Railway Station) เคยเป็นสถานีรถไฟที่หนาแน่นมากที่สุดของโลกในปี 1926 เลยนะแกร คือผู้โดยสารแน่นจนทะลุ 200,000 คน/วัน แซงหน้าสถานีรถไฟเซนต์ลาซาร์ (Gare Saint-Lazare) ที่ปารีส, สถานีรถไฟแกรนด์เซ็นทรัล (Grand Central Terminal) ที่นิวยอร์ค เลยนาจา
โฮซิเออร์ เลน (Hosier Lane)
เดินจากสถานีรถไฟฟลินเดอร์สตรีท (Flinders Street Railway Station) มานิดหน่อย เราจะมากันต่อที่ โฮซิเออร์ เลน (Hosier Lane) ที่ดังเรื่องถนนเลนที่มีสตรีทอาร์ท และกราฟฟิตี้ที่จี๊ดจ๊าดในซอยมากที่สุดของเมลเบิร์น ซึ่งนี่บอกก่อนว่า นอกจากเมลเบิร์นจะดังเรื่องกาแฟที่เป็นเจ้าพ่อระดับโลกแล้ว สตรีทอาร์ทคืออีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เมลเบิร์นดัง และทำให้มีสีสันกระจายอยู่ทั่วเมือง ซึ่งสตรีทอาร์ทอันที่คนมาถ่ายรูปมากที่สุด นั่นคือที่ โฮซิเออร์ เลน (Hosier Lane) แถมความเก๋ของสตรีทอาร์ทที่นี่คือ กำแพงที่เห็นทั้งหมดตรงนี้ ข้างในคือมีทั้งบาร์ ร้านอาหาร และร้านกาแฟ ใครที่มาค่ำหน่อยนี่ มานั่งชิลได้เลย
สำหรับใครยังไม่เต็มอิ่มกับสตรีทอาร์ทตรง โฮซิเออร์ เลน (Hosier Lane) ล่ะก็ นี่แนะนำให้ไปต่อกันที่ AC/DC Lane Graffiti ที่เดินไปอีกนิดหน่อย รับรอง รูปตรึม ถ่ายกันจนเบื่อไปเลยแม่ 5555555
ห้องอาบน้ำไบรท์ตัน – หาดไบร์ทตัน (Brighton Bathing Boxes – Brighton Beach)
สุดท้ายของวันแรก นี่จะพาไปอีกสถานที่ที่ขึ้นชื่อมากกกก ของเมลเบิร์นนั่นคือ ห้องอาบน้ำไบรท์ตัน (Brighton Bathing Boxes) ที่หาดไบร์ทตัน (Brighton Beach) ซึ่งนี่เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้เคยเห็นรูปพวกบ้านเล็กๆ สีๆ ตั้งเรียงรายอยู่ริมหาด ซึ่งรูปที่พวกแกรเห็นนั้นก็คือที่หาดไบรท์ตัน (Brighton Beach) . นั่นเองเด้อ และสำหรับวิธีการไปยังที่นี่นั้นอาจจะต้องออกไปนอกย่าน CBD ซักหน่อย แต่นี่บอกเลยว่าไม่ยาก เพราะเราสามารถนั่งรถไฟจาก CBD สถานี Southern Cross เพื่อไปยังสถานี Middle Brighton Station แล้วเดินอีกนิดหน่อย ก็ถึงล้าวว
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ไอ้ห้องอาบน้ำสีสันพวกนี้ยังใช้จริงอยู่หรือเปล่า นี่ตอบก่อนว่าไม่ได้ใช้แล้ว เพราะตอนนี้เค้านำห้องอาบน้ำทั้งหมดจำนวน 96 หลังที่มีดีไซน์โดดเด่นแตกต่างกันไป มาตั้งเรียงรายเพื่อเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวชื่อดังของเมลเบิร์นให้คนมาถ่ายรูปนั่นแหละ แต่ถึงกระนั้น นี่ก็ยังสงสัยว่ามันต้องมีห้องอาบน้ำ ห้องแต่งตัวด้วยหรอ คือทำเป็นที่โล่งๆ มีฝักบัวเฉยๆอะไรงี้ก็ได้ แถมฝรั่งเค้าก็ไม่ค่อยจะอายในเรือนร่างอะไรเท่าไหร่ไง
คำตอบคือ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1860 ความเจริญของเมืองเริ่มแผ่ขยายไปตามชายฝั่ง ทีนี้พวกห้องอาบน้ำ/ห้องแต่งตัวก็เริ่มมีขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะว่าเมื่อก่อนเค้าไม่ให้แก้ผ้าหรือเปลี่ยนชุดว่ายน้ำกลางแจ้งตรงหาด หรือแม้แต่การเดินใส่ชุดว่ายไปน้ำไปตามถนนก็ทำไม่ได้ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีบ้านพวกนี้ขึ้นมานั่นแหละ หลังจากนั้นเมื่อจบหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ห้องอาบน้ำเค้าก็พังยับหลายแห่ง เลยมีการรวบรวมห้องอาบน้ำพวกนี้มาไว้ตรงหาดไบร์ทตัน และซ่อมแซมใหม่จนกลายมาเป็นบ้านสีสันหลายหลังตรงนี้
เบิร์กสตรีทมอลล์ (Bourke Street Mall)
สำหรับสายช้อปปิ้ง จุดที่ช้อปปิ้งสนุกที่สุดของเมลเบิร์นนี่ขอยกให้กับ เบิร์กสตรีทมอลล์ (Bourke Street Mall) เลยจ้าแม่ เพราะถนนเส้นนี้เค้าปิดเป็นถนนคนเดินและรถแทรมอย่างเดียว เรียงรายด้วยร้านค้าแน่นหนาอย่าง H&M และ Zara ที่เป็นสาขาแฟล็กชิพสโตร์ รวมถึงมี Cotton On แบรนด์ออสเตรเลียชื่อดัง และมีห้างเริ่ดหรู ที่ด้านในเต็มไปด้วยแบรนด์เนมอย่าง Myer และ David Jones ให้ช้อปปิ้งเต็มพื้นที่หลายบล็อกเลย ทั้งหมดของเมลเบิร์น ตรงนี้ช้อปปิ้งครบเครื่องที่สุดล้าว จากนี้ก็ไม่พูดมาก ช้อปปิ้งโลดจ้า
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
เมลเบิร์น วันที่ 2:
Higher Ground Cafe
ตื่นสายๆ วันที่สอง เราจะไปหา Brunch ทานกันสวยๆ ชิคๆ ซึ่งร้านที่เราจะไปนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่พักเราเท่าไหร่ นั่นคือร้านคาเฟ่กิ๊บเก๋ที่ตกแต่งด้วยความดิบแบบอิฐๆ ‘Higher Ground Cafe’ แถวสถานีรถไฟเซาท์เทิร์นครอส (Southern Cross Station) นั่นเองจ้า พี่จ๋า ร้านเค้าเสิร์ฟทั้งกาแฟ ที่เค้าเคลมตัวเองว่าเป็น Specialty Coffee รวมถึงอาหารทั้งแบบ Brunch และ Main Course พร้อมทั้งมีไวน์เรียงเป็นตับอีกด้วย บรรยากาศคือดีมาก มีความเบลนด์กันดีมากระหว่างความดิบของอิฐและเฟอรนิเจอร์ด้านในแบบ Temporary เออ มันดีว่ะ
สำหรับเมนูที่ก๊อตสั่งนั้น Braised Mushrooms with Fried Polenta, Poached Egg and Sourdough ($22) นั่นก็คือเห็ดโรยหน้าขนมปังเปรี้ยวพร้อมไข่ดาวน้ำ ซึ่งอันนี้อร่อยมากเลยแหละ โดยเฉพาะเห็ด คือดีย์ ส่วนอีกจานคือ Slow Cooked Tasmanian Salmon ($28.5) ที่เป็นปลาแซลมอนแทสมาเนีย ทานคู่กับครีมจิ้มบีทรูท และไข่ดาวน้ำ ตัวนี้ก็อร่อยดี แต่ส่วนตัวคิดว่าแซลมอนมันทำให้อร่อยกว่านี้ได้ แถมแซลมอลยังเล็กไปนิด ทั้งๆที่แซลมอนที่ออสถูกมาก เราเลยให้จานเห็ดชนะเลิศกว่า 555555
สำหรับตัวกาแฟนั้น เชื่อใจคาเฟ่เกือบทุกที่ในเมลเบิร์นได้เลยว่าดีถึงดีมาก ร้านนี้ก็เช่นกัน อย่างก๊อตสั่ง Flat White ($4.2) ซึ่งร้านเค้าก็ทำได้ดีตามสไตล์เมลเบิร์น หอมกรุ่นอบอวล ซึ่งนี่ก็ไม่มีอะไรจะติจ้า ได้แต่ชมเชย ฮ่า 55555
ตลาดควีนวิคตอเรีย (Queen Victoria Market)
สำหรับใครที่ชอบเดินตลาดและอยากสัมผัสชีวิตของคนโลคอลที่นี่ ก๊อตแนะนำให้เรามาเดินเล่น ตลาดควีนวิคตอเรีย (Queen Victoria Market) ที่ถือเป็นตลาดยุคเก่าแก่แบบ Open-air ที่ใหญ่ที่สุดของเมลเบิร์น มีอายุมากกว่า 140 ปี และมีมากกว่า 700 ร้านค้าเลยทีเดียว และด้วยขนาดที่ใหญ่โตของตลาด ที่นี่เลยมีของให้เราเดินดูเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นของขายทั่วไปอย่างเสื้อผ้า ของใช้ ของมือสอง งานคราฟท์ งานฝีมือ และยังมีตลาดสดทั้งขายผัก ขายเนื้อ และอาหารเยอะแยะ รวมถึงมีฟู๊ดคอร์ทสำหรับคนที่อยากหาอะไรกินง่ายๆอีกด้วย ใครที่ชอบจ่ายตลาดนี่ ให้รีบมาเลย เพราะราคาของที่นี่ถือว่าถูกมากกก เมื่อเทียบกับพวกซุปเปอร์มาร์เก็ตนะเออ // ก๊อตนี่ได้ถุงเท้ามาเยอะมาก ลายโคตรน่ารัก อีกทั้งราคายังถูกมากเช่นกัน 55555
ตลาดควีนวิคตอเรีย (Queen Victoria Market) นี่เปิดทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์และวันพุธเนอะ ที่เก๋คือที่นี่มีตลาดกลางคืนด้วย ซึ่งเค้าจะจัดเฉพาะวันพุธ ตอน 5 โมงเย็นถึงสี่ทุ่ม ช่วงซัมเมอร์ เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม และช่วงฤดูหนาว เดือนมิถุนายน-สิงหาคม ใครที่มาช่วงนี้ก็ลองมาแวะเวียนและเดินเล่นกันได้ เค้าบอกกันว่าบรรยากาศอย่างดีย์ มีทั้งฟู๊ดทรัค ดนตรีสด ด้วยแหละ
Market Lane Coffee : Queen Vic Market – Victoria ST
เดินเล่นตลาดควีนวิคตอเรีย (Queen Victoria Market) จนเมื่อยตุ้ม ก่อนออกจากตลาด นี่เลยขอแวะร้านกาแฟชื่อดัง Market Lane Coffee ที่ตอนนี้เค้ามีสาขาอยู่ประมาณ 6 แห่งทั่วเมลเบิร์น โดยสาขาที่เราจะไปก็คืออยู่ในตลาด นั่นคือสาขา Queen Vic Market – Victoria ST ที่มีฟีลน่ารักแบบโฮมมี่ๆ ในอาคารหลังไม้ที่ตั้งหลบอยู่ในตลาดนั่นเองง
Market Lane Coffee ถือเป็นร้าน Specialty Coffee ที่ค่อนข้างมีชื่อของเมลเบิร์นเลยนะแกร เพราะเค้าเป็นคนที่เสาะหาเมล็ดพันธุ์กาแฟดีๆ จากทั่วโลก เพื่อนำมาคั่วเอง ทำเองทุกกระบวนการ จนออกมาเป็นกาแฟดีย์ๆ ที่เราควรไปต้องไปลอง นอกจากนี้เค้ายังขายทั้งเมล็ดกาแฟ เครื่องทำกาแฟทั้งหลายแหล่ รวมถึงเปิดคลาสสอนทำกาแฟอีกด้วย
สำหรับกาแฟที่ก๊อตสั่งนั้น สั่งเป็นแบบ Espresso กับ Hot Latte ($5.5) ซึ่งเค้าจะมาในแก้วสีขาวมินิมอล พิมพ์ลายด้วยประโยคชิคๆ ที่ถ่ายรูปแล้วสวย 5555 // ตัวกาแฟถือว่าดีย์ กลิ่นหอมและรสชาติของตัวกาแฟคือดี ส่วนตัวนี่ชอบมากทั้งตัวกาแฟและบรรยากาศร้านที่น่ารัก ส่วนราคานี่อาจจะแพงกว่าชาวบ้านไปนิด แต่ถือว่ารับได้เด้อ เอาเป็นว่าแนะนำให้มา ถ้าเรามาเที่ยวตลาด แต่ถ้าใครไม่ได้มาตลาด ก็ลองหาสาขาอื่นๆดูได้ เพราะมันเหมือนกันจ้า
หอศิลป์แห่งชาติวิคตอเรีย (National Gallery of Victoria: NGV)
ถ้าให้พูดถึงหอศิลป์ของออสเตรเลียล่ะก็ จะบอกว่าที่ หอศิลป์แห่งชาติวิคตอเรีย (National Gallery of Victoria: NGV) นี่คือแชมป์ทั้งในเรื่องความเก่าแก่ ความใหญ่โตอลังการ และยังเป็นแกลอรี่ที่มีคนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุดของเมลเบิร์นแล้วแหละ ซึ่งที่นี่เค้ารวบรวมชิ้นงานและนิทรรศการทุกแขนงที่เกี่ยวกับอาร์ท ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด แฟชั่นและสิ่งทอ ภาพถ่าย รวมถึงศิลปะหลากหลายสายทั่วโลกนะเออ เอาเป็นว่า ทุกรอบที่เราไปที่นี่ คือมีนิทรรศการระดับโลกคอยต้อนรับเราอยู่แน่นอน อย่างครั้งแรกที่ได้ไป มีนิทรรศกาลของ Dior อยู่ ส่วนรอบล่าสุดในรีวิวนี้ที่ได้เจอคือ งานของ KAWS เด้อ ทั้งหมดคืองานดีๆ งานเจ๋งๆ ทั้งนั้น
เสียดายนิดๆ ที่รอบนี้ก๊อตเดินอยู่นิดหน่อย เพราะต้องรีบไปที่อื่นต่อ แต่ถ้าใครที่มีเวลาเยอะพอสมควรและสนใจในเรื่องอาร์ทล่ะก็ แนะนำให้เผื่อเวลาชมซักหน่อย เพราะเค้ามีนิทรรศการเยอะมาก จัดทีพร้อมกันเป็นสิบๆ งาน ซึ่งถ้าเราดูทุกงานนี่อาจจะใช้เวลาครึ่งวันเลยทีเดียว เรื่องค่าเข้าชมนั้น 60% เป็นส่วนที่เราเข้าชมได้ฟรี ส่วนงานโชว์พิเศษเจ๋งๆ หลายอันต้องเสียค่าเข้าแยก อย่างเช่นงาน KAWS นี่ก็มีค่าตั๋วเข้าชมเช่นกัน ฮ่าๆ
หอสมุดแห่งรัฐวิคตอเรีย (The State Library of Victoria)
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าตอนนี้ หอสมุดแห่งรัฐวิคตอเรีย (The State Library of Victoria) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวฮิตของเมลเบิร์นที่นักท่องเที่ยวต้องเข้าไปเยี่ยมชม เพราะนี่จะบอกว่าสถาปัตยกรรมด้านในของหอสมุดนั้นสวยและมีเอกลักษณ์ม๊ากก และที่เจ๋งของหอสมุดนี้คือ เป็นหอสมุดสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศออสเตรเลียที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1854 แถมยังเป็นหอสมุดสาธารณะที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าฟรีเป็นที่แรกของโลกอีกด้วย
ไฮไลท์ที่อยากให้เข้าไปดูด้านในของ หอสมุดแห่งรัฐวิคตอเรีย (The State Library of Victoria) คือ ห้องอ่านหนังสือลาโทรบ (La Trobe Reading Room) ที่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ โดยชั้นล่างจะเป็นโต๊ะอ่านหนังสือกว่า 320 โต๊ะ เรียงรายเป็นรูป 8 แฉก โคตรสวย ซึ่งถ้าใครที่อยากเห็นท็อปวิวของห้องอ่านหนังสืออันนี้ เราสามารถขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น 6 เพื่อมองลงมาได้เลย อันนี้คือต้องมาดูนะเว้ย อย่าพลาดเลยเชียว
นอกจากห้องอ่านหนังสือสวยเก๋เมื่อกี้แล้ว ที่หอสมุดแห่งนี้ยังมีทั้งห้องแกลอรี่ที่จัดแสดงโชว์ถาวร รวมถึงห้องอ่านและยืมหนังสืออีกหลากหลายห้อง ซึ่งถ้าใครว่างและชอบห้องสมุดหรืออ่านหนังสือ นี่แนะให้หาหนังสือซักเล่มที่ชอบ แล้วหาที่ว่างนั่งลงอ่านหนังสือชิลๆ ได้เลยเด้อ บรรยากาศคือได้มากจริงๆ
เมลเบิร์น วันที่ 3:
Lune Croissanterie CBD
ออกจากโรงแรมตอนสายๆ สิ่งแรกที่จะทำในวันนี้คือการออกหากินเลยจ่ะ เมื่อเพื่อนที่เคยมาเที่ยวเมลเบิร์นหลายคนได้ทักมาว่า ได้กินครัวซองค์ชื่อดังของเมลเบิร์น ‘Lune Croissanterie‘ แล้วหรือยัง? นี่ถึงกับอึกอัก เพราะยังไม่ได้ไปเลยจ้า วันสุดท้ายนี่พอมีเวลาว่างพอดี นี่เลยมาที่ร้านตามคำแนะนำของเพื่อนๆ เลย ซึ่งสาขาของ Lune Croissanterie ที่เราจะไป คือสาขาที่อยู่ใน CBD นี่แหละ ง่ายดี ไม่ต้องไปไกล ฮ่า // อีกสาขานึงของ Lune Croissanterie อยู่ย่านฟิตซรอย (Fitzroy) เน้อ
ส่วนตัวคิดว่า Lune Croissanterie เป็นร้านครัวซองค์ + คาเฟ่ที่โคตรเก๋ ทุกคนที่จะมากินนี่ เค้าตั้งแถวต่อคิวซื้อตั้งแต่แคชเชียร์ออกมายังหน้าร้าน ส่วนด้านในร้านนั้น จะมีก็แต่เคาท์เตอร์บาร์สำหรับการทานด้านในร้าน ซึ่งอันนี้คือเก๋เวอร์ เค้าไม่มีที่นั่งให้นะแจ๊ะแกร ยืนเรียงกินกันแบบคูลๆเลย อันนี้ชอบ บรรยากาศร้านมันดีด้วยแหละ แถมโลโก้ยังเท่ห์ชิบ เป็นรูปจรวดครัวซองค์ โอ้ย ชอบ
สำหรับครัวซองค์ของเค้าก็จะมีหลากหลายชนิดและรสชาติให้เราเลือกกิน โดยอันที่ก๊อตเลือกคือ Almond Croissant ($9.5) พร้อมกาแฟ Flat White ($4.5) ซึ่งตัวอัลมอลครัวซองค์นั้น คืออร่อยเลยแหละ แต่นี่รู้สึกผิดหวังนิดๆ เพราะอาจจะคาดหวังมากเกินไปจากคำชมเชยอันเว่อร์วังจากเพื่อนๆ 55555555
คือที่คิดไว้ ถ้ามันอุ่นร้อนๆหน่อย อาจจะนุ่มหอมหวนและชวนอร่อยมากกว่านี้ ส่วนกาแฟนี่อร่อยเลยแหละ รสชาติตัวกาแฟละมุน กินเข้ากับครัวซองค์ได้อย่างดิบดี เอาเป็นว่า ยังไงนี่ก็แนะนำให้มาลองกินนะ มันดีย์ แต่ติดนิดๆที่ ราคาครัวซองค์แม่งแรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน 55555
พิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น (Melbourne Museum)
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่อยากให้มามากในเมลเบิร์น คือ พิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น (Melbourne Museum) ที่เค้ารวบรวมนิทรรศการหลากหลายแขนงที่น่าสนใจโดยเฉพาะทางด้านธรรมชาติและประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม มาจัดแสดงให้เราได้ดูแบบฟรีๆ (บางอันก็เสียเงิน แต่น้อยมาก) ซึ่งถ้าใครเป็นสายเข้าพิพิธภัณฑ์ หรือ มิวเซียมแล้วล่ะก็ นี่จะบอกว่าที่นี่คือดีและน่าสนใจมาก และเป็นอีกพิพิธภัณฑ์หนึ่งของออสเตรเลียที่ก๊อตคิดว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของเค้าเลยก็ว่าได้
โซนสัตว์ป่า (Wild Animal) คืออันหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ซึ่งตัวก๊อตเองไม่รู้ว่ามันเป็นหุ่นที่สร้างขึ้นมาจำลอง หรือเป็นสัตว์สต๊าฟของจริง แต่เค้าจัดแสดงมาครบทั้งนก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ครึ่งบนครึ่งน้ำ บอกเลยว่าเด็กน้อย น้องๆ หนูๆ น่าจะดี๊ด๊า กรี๊ดกร๊าดมาก
นอกเรื่องนิด ส่วนตัวว่าที่เมลเบิร์น ดีแล้วนะ แต่เราเคยเจอที่อลังการงานสร้างกว่านี้มากแล้ว ซึ่งที่ ‘Natural History Museum’ ที่ลอนดอน ก็สู้ไม่ได้ นั่นคือที่ Shanghai Natural History Museum เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน อันนั้นคืออลังการเว่อร์วังมาก ใครที่ชอบแบบนี้ และมีโอกาสได้ไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ ต้องไปนะเออ ลองดูรีวิวเซี่ยงไฮ้จากก๊อตก็ได้
อีกโซนที่เซอร์ไพรส์ และตื่นเต้นมากของมิวเซียมที่นี่ คือ โซนแมลง Bugs Alive! ที่เค้ารวบรวมแมลงตัวจริงๆ ให้เราดูเยอะมากกก เอาจริง ส่วนตัวคิดว่าโซนนี้คือโคตรเปิดโลกให้กับตัวก๊อตเองโคตรๆ เค้ามีทั้งแมลง ผีเสื้อ หรือแม้แต่แมลงสาบหลายร้อยชนิดให้เราดูตั้งแต่ขั้นธรรมดาจนถึงขั้นหาดูยากสุด อันนี้คือดีย์มาก ตัวก๊อตเองนี่เดินเล่นอยู่นานเลย เพลินสุดๆ
นอกจากสองโซนที่กล่าวไป เค้ายังมีอีกหลายโซนที่น่าสนใจมาก ตั้งแต่แนววิทยาศาสตร์ในเรื่องของจิตใจ (The Mind) และความรู้สึกนึกคิด สัญชาติญาณ (Gut Feelings) โลกของไดโนเสาร์ (Dinosaur Walk) และ โซนความลับของป่าไม้ (Forest Secrets) ซึ่งเราจะเห็นได้เลยว่านิทรรศการเค้าคือหลากหลายมาก และที่ดีมากๆ ของพิพิธภัณฑ์นี้คือ ทั้งหมดที่ก๊อตกล่าวมาคือเข้าฟรี! สุดๆ ไปเลยจ้าพี่ โคตรดีย์และอยากแนะนำ
สวนฟิตซรอย (Fitzroy Garden)
ด้วยความที่ว่าง และวันนี้ไม่ค่อยได้มีอะไรให้ทำมาก นี่ก็เลยเดินมายังสวนฟิตซรอย (Fitzroy Garden) เพื่อชมสวนดอกไม้ ต้นไม้ ใบหญ้าเค้าหน่อย ซึ่งใครที่ชอบการเดินสวนสาธารณะนี่ สวนฟิตซรอย (Fitzroy Garden) คืออีกตัวเลือกหนึ่งในการเดินเล่นที่ดีของเมลเบิร์นเลยแหละ ต้นไม้เยอะ สนามหญ้ากว้างงง แถมยังมีดอกไม้ประปรายตามถนนอีก ถือว่าดีเลยแหละ
ในสวนฟิตซรอย (Fitzroy Garden) เค้ายังมี กระท่อมของกัปตันเจมส์ คุก (Cook’s Cottage) ที่เป็นนักสำรวจและนักเดินเรือชาวอังกฤษที่ค้นพบแผ่นดินออสเตรเลีย และประกาศให้ออสเตรเลียเป็นอาณานิคมของอังกฤษนั่นเอง ซึ่งกระท่อมอันนี้คือของจริงที่เคยตั้งอยู่ที่เมืองยอร์กเชอร์ (Yorkshire) ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้เป็นของขวัญแก่ออสเตรเลีย และมาตั้งไว้ตรงนี้นั่นแหละ โดยกระท่อมนี่เราสามารถเข้าไปดูได้ด้วย แต่นี่ไม่ได้เข้าไป เพราะมันเสียตังค์ 55555
นอกจากกระท่อมของคุก (Cook’s Cottage) แล้ว เรายังสามารถเดินเล่นดู Model Tudor Village ซึ่งเป็นโมเดลจำลองหมู่บ้านเล็กๆ คิวท์ๆ ได้อีก โดยโมเดลพวกนี้คือของขวัญที่ออสเตรเลียได้รับมาจากเมืองแลมเบิร์ธ (Lambith) ประเทศอังกฤษ จากการที่ออสเตรเลียช่วยส่งอาหารช่วยเหลืออังกฤษตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง เดินเล่นๆ ชิลๆ เปื่อยๆ อยู่ซักพัก ก็ออกไปด้านนอกต่อได้
สวนสนุกลูน่าพาร์ค เมลเบิร์น (Luna Park Melbourne)
ถ้าให้พูดถึงสวนสนุกในเมลเบิร์น นี่นึกอะไรไม่ออกเลยนอกจาก ลูน่าพาร์ค เมลเบิร์น (Luna Park Melbourne) ที่เก๋ไก๋ด้วยประตูทางเข้ารูปหน้าตัวตลกที่เราต้องเดินเข้าผ่านทางปากเพื่อเข้าไปยังตัวสวนสนุก บรรยากาศคือแม่งโคตรคลาสสิกเหมือนในหนังฝรั่งที่มีพวกสวนสนุกหรือพวกคัลนิวัลอะไรอย่างนั้น คือบรรยากาศเหมือนอย่างนั้นเป๊ะเลยแหละ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ลูน่าพาร์ค (Luna Park) นี่มีอยู่ทั่วโลก โดยตัวออริจินอลที่แรกอยู่ที่นิวยอร์กและขยายสาขาไปทั่วโลกรวมถึงในออสเตรเลียตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อีก จนตอนนี้ก็เจ๊งไปเยอะแหละ ซึ่งลูน่าพาร์ค (Luna Park) ที่ยังหลงเหลืออยู่ในออสเตรเลียมีอยู่ 2 ที่ นั่นคือที่เมลเบิร์น และซิดนีย์ เด้อ เก่าแก่และคลาสสิคมากนะ ขอบอก!
ตัวก๊อตเอง ตั้งใจจะไม่เล่นเครื่องเล่นอยู่แล้ว เพียงแต่อยากเข้าไปดูบรรยากาศและถ่ายรูปเล่นเฉยๆ ซึ่งค่าเข้าสวนสนุกนั้นจะอยู่ที่ $5 นะ ส่วนค่าเล่นเครื่องเล่นแต่ละอัน เราสามารถซื้อหน้าเครื่องเล่นได้เลย และที่โชคดีตอนนั้นที่ไปคือ ก๊อตไปถึงเย็นมากกกก นางเลยไม่เก็บค่าเข้าแล้ว ปล่อยให้ก๊อตเข้าฟรีๆเลยจ้า 555555555 // สวนสนุกมันก็เลยจะโหวงเหวงหน่อย สวนสนุกไม่ได้ใหญ่มาก แต่บรรยากาศคือได้มาก และถ่ายรูปสวยเลยแหละ ซึ่งถ้าใครว่างนี่ ที่นี่เป็นอีกที่นึงที่น่ามาถ่ายรูปเล่นนะจ๊ะ
หาดเซนต์กิลดา (St. Kilda Beach)
สุดท้าย ท้ายสุดของการเที่ยวตัวเมืองเมลเบิร์น เรามาเดินเล่นชิลๆกันที่ หาดเซนต์กิลดา (St. Kilda Beach) ดีกว่า โดยในช่วงเย็นๆของหาดที่นี่คือดีมาก บรรยากาศและไวบ์ของหาดคือมีชีวิตมีชีวา หลายคนพาลูก พาแฟน หรือแม้แต่พาน้องมาเดินเล่นกัน ใกล้ๆยังมีกลุ่มฝรั่งเล่นวอลเล่ย์บอลชายหาด โอย บรรยากาศมันดีจริงๆ หรือถ้าใครขี้เกียจจะเดินเล่นล่ะก็ เลียบๆ ชายหาดเค้ายังมีร้านอาหารและคาเฟ่เยอะแยะให้เรานั่งชิลด้วยเน้อ
นอกจากตรงหาดเซนต์กิลดา (St. Kilda Beach) แล้ว นี่แนะนำให้เราเดินไปยังท่าเรือเซนต์กิลดา (St. Kilda Pier) ด้วย โดยเฉพาะการดูพระอาทิตย์ตกนี่คือสวยเว่อร์วัง และช่วงเย็นๆ ค่ำๆนี่ ตรงนี้จะมีเหล่าเพนกวินตัวน้อยที่ขึ้นจากทะเลกลับเข้ารังมันด้วยนะ ใครที่โชคดีก็จะเห็น บอกเลยว่าโคตรน่ารัก (จากที่เห็นที่เกาะฟิลลิปมา ไม่ได้เห็นที่นี่ 555555) ส่วนตัวคิดว่าการมาเดินเล่นที่ ถือว่าเป็นการปิดทริปตัวเมืองเมลเบิร์นได้อย่างดิบดี และทำให้เราชอบเมลเบิร์นมากขึ้นอีกเป็นกองเล้ย
รีวิวที่พักในเมลเบิร์น
City Tempo – Lonsdale St
สำหรับที่พักที่ก๊อตเลือกในเมลเบิร์นนั้น คือที่ City Tempo – Lonsdale St ที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Southern Cross โดยเหตุผลที่เลือกตรงนี้ สำคัญที่สุดเลยคือเรื่องของทำเล เพราะมันใกล้กับสถานีรถไฟ รถแทรม และจุดขึ้น-ลง Skybus จากสนามบินนั่นเอง ทำให้เราไม่ต้องลากหรือแบกกระเป๋าขึ้นรถแทรมให้เสียแรงและเสียเวลา นั่นทำให้เราสามารถเดินชิลๆ มาที่ตัวโรงแรมได้เลย และที่ดีมากๆ อีกเรื่องคือทำเลตรงนี้ยังล้อมรอบด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ ซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Coles และแถมยังอยู่ใน Free Tram Zone ที่ทำให้เราขึ้นรถแทรมฟรีไปที่ต่างๆอีกด้วย คือดีมากกก ทำเลโคตรเทพ
มากันที่เรื่องของตัวห้องพักกันบ้าง อันนี้คือดีและอยากบอกต่อมากๆ เพราะ City Tempo – Lonsdale St มันเป็นตึกคอนโดที่แบ่งส่วนหนึ่งมาทำโรงแรม ทำให้ห้องพักของเรานั้นเป็นคอนโดเลยแหละ โดยก๊อตเองนั้นมากัน 3 คน ซึ่งห้องที่ได้จองนั้นมีขนาดใหญ่มาก แบ่งห้องนอนออกเป็นสองห้อง และยังมีพื้นที่ตรงกลางของห้องที่เป็นห้องนั่งเล่นและห้องครัวส่วนตัวภายในห้องอีก
โดยรวมคือห้องสะอาดกิ๊ง นอนสบาย ไวไฟดี พื้นที่กว้างขวาง แถมชั้นที่ก๊อตได้พักนั้นคือชั้น 20 กว่าๆ วิวเลยโคตรสวย และสวยสุดในตอนกลางคืน เออ แม่งดีย์ ดีมากๆ และโคตรอยากแนะนำ เอาเป็นว่า ใครที่ยังไม่รู้จะไปพักที่ไหน ตัวก๊อตแนะนำที่นี่แบบไม่คิดเลยจ้า 5555555
ราคาห้องพักเริ่มต้น 6,000 บาท/คืน ดูเรทและจอง ซิตี้ เทมโป – ลอนสเดล สตรีท (City Tempo – Lonsdale St) สามารถคลิกลิงค์ด้านล่าง เพื่อดูเรทราคาและจองผ่าน OTA ที่ชอบได้เลย
ดูเรทและจองผ่าน Agoda / ดูเรทและจองผ่าน Booking / ดูเรทและจองผ่าน Expedia
เที่ยวตัวเมืองเมลเบิร์น (Melbourne) เสร็จ ไปไหนต่อ?
อย่างที่บอกไปตอนต้น เมลเบิร์น (Melbourne) ไม่ได้มีแต่เมลเบิร์น เพราะมันยังมีที่เที่ยวรอบอีกโคตรเยอะ ซึ่งอันที่ก๊อตไปมาก็มีหลักๆเลย คือ เกรทโอเชียนโรด (Great Ocean Road), เกาะฟิลลิป (Phillip Island) และ แกรมเปี้ยน (Grampiants) ยังไงก็ตามรอยต่อกันได้เลยเด้อ หรือถ้าใครเก็บแถวนี้ครบหมดแล้ว การบินไปเที่ยวต่อที่ ซิดนีย์ (Sydney) หรือแทสมาเนีย (Tasmania) โดยการบินไปลงที่เมือง โฮบาร์ท (Hobart) ก็เก๋ไม่เบานะแกร ฮ่า
รีวิวเที่ยวออสเตรเลีย ทั้งหมดจาก HASHCORNER
— SYDNEY (NSW) SERIES —
► รีวิว Sydney / ซิดนีย์ (EP1)
► รีวิว Blue Mountains / บลูเมาเท่น (EP2)
— MELBOURNE (VIC) SERIES —
► รีวิว Melbourne / เมลเบิร์น (EP1)
► รีวิว Grampiants / แกรมเปี้ยน (EP2)
► รีวิว Phillip Island / ฟิลลิปไอส์แลนด์ (EP3)
► รีวิว Great Ocean Road / เกรทโอเชี่ยนโรด (EP4)
— QUEENSLAND (QLD) SERIES —
► รีวิว Brisbane – Gold Coast / บริสเบน – โกลด์โคสต์ (EP1)
— TASMANIA (TAS) ROAD TRIP SERIES —
► รีวิว Hobart + Bruney Island (EP1)
► รีวิว Mount Field National Park + Lake Pedder (EP2)
► รีวิว Tassman National Park + Freycinet National Park (EP3)
► รีวิว Bay of Fires + Launceston (EP4)
► รีวิว Cradle Mountain National Park (EP5)
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡