เกาะฟิลลิป หรือ Phillip Island คือเกาะเล็กๆน่ารัก ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมลเบิร์น ซึ่งถ้าหากใครยังไม่รู้จัก ขอบอกเลยว่าเกาะฟิลลิปเกาะนี้แม่งดีโคตร เป็นเกาะที่เราจะได้เจอสัตว์ท้องถิ่นออสเตรเลียแบบคิ้วท์ๆ ไม่ว่าจะเป็นหมีโคอาล่า เพนกวินที่ตัวเล็กที่สุดในโลก หรือแม้แต่จิงโจ้เองก็ตาม .. นอกจากสัตว์แล้ว ธรรมชาติที่นี่ก็ถือว่าดีงามสวยระดับสิบ ที่ตัวผมเองรู้สึกประทับใจมากเลยทีเดียวชนิดที่ว่าใครที่มาเที่ยวเมลเบิร์นต้องห้ามพลาดเลย .. เชียร์ขนาดนี้ มาอ่านรีวิวแล้วตามไปเที่ยวด้วยกันดีกว่า 🙂
เกริ่นภาพรวมทริปออสเตรเลีย 3 รัฐ
Victoria → Tasmania→ New South Wales
จริงๆ ตอนแรกผมอยู่เมลเบิร์นมาก่อน 2 เดือน ทีนี้ด้วยความที่ผมจะกลับไทย ก็เลยเกิดทริปเที่ยวออสเตรเลียทริปใหญ่ก่อนกลับ ใช้เวลาเดินทางเที่ยวทั้งหมด 20 วัน รวม 3 รัฐ คือ Victoria → Tasmania→ New South Wales ซึ่งจะประกอบไปด้วยเมืองใหญ่ๆที่ทุกคนน่าจะรู้จักอย่าง เมลเบิร์น (Melbourne) โฮบาร์ท (Hobart) และ ซิดนีย์ (Sydney) นอกจากสามเมืองใหญ่นี้ ยังมีทริปเมืองเล็ก เมืองน้อยรอบข้างเยอะแยะที่น่าไปอีก ซึ่งผมจะทยอยเขียนรีวิวมาให้ได้ตามรอยกันอย่างแน่นอน ฮิ้วว // สามารถดูรีวิวออสเตรเลียทั้งหมดได้ในตอนท้ายรีวิวเลยจ้า ❤
เกาะฟิลลิป (Phillip Island) ไปยังไง? ไปกี่วัน?
ไปเที่ยวเกาะฟิลลิป (Phillip Island) ยังไง?
การไป เกาะฟิลลิป มีสองตัวเลือก นั่นคือซื้อทัวร์ไป หรือไม่ก็ขับรถไปเที่ยวเอง ซึ่งแน่นอนว่าผมจะแนะนำให้ขับรถไปเที่ยวเองดีกว่า เพราะมันสบาย อยากไปไหนก็ไป ไม่มีเวลามาบังคับ และที่สำคัญ การขับรถในประเทศออสเตรเลียนั้นง่ายมาก พวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา ถนนดี คนออสซี่มีมารยาทในการขับรถดีมาก กฎจราจรเข้มงวด และ ใบขับขี่ไทยที่มีภาษาอังกฤษสามารถใช้ยื่นเพื่อเช่ารถขับได้เลยโดยที่เราไม่ต้องมีใบขับขี่สากล (อันนี้ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าใช้ได้เลย)
การเช่ารถขับมาเที่ยว เกาะฟิลลิป ยิ่งเพื่อนเยอะ ยิ่งหารกันถูกเด้อ ค่าเช่ารถต่อวัน ตกประมาณ $30-$60 แล้วแต่รุ่น ส่วนค่าน้ำมันตกอยู่ประมาณ $40-$60 ต่อหนึ่งถัง ถึงมากันแค่สองคนก็ยังถูกกว่าซื้อทัวร์ เพราะทัวร์หนึ่งวันตกคนละประมาณ $80-$120 จย้าา
เที่ยวคนเดียว หรือไม่สะดวกขับรถ แนะนำให้ไปทัวร์ดีกว่า!
ส่วนใครที่มาคนเดียว หรือมาหลายคนแต่ไม่สามารถขับรถเที่ยวได้ เราสามารถซื้อทัวร์มาเที่ยวเกาะฟิลลิป (Phillip) แบบวันเดย์ทริปจากเมลเบิร์นได้นะเว้ย ซึ่งก็มีตัวเลือกทัวร์หลากหลายที่เราสามารถซื้อออนไลน์ผ่าน KLOOK เค้าได้เลย แต่ก่อนซื้อของจาก KLOOK นั้น แนะนำให้ดูส่วนลดประจำเดือนของเค้ากันก่อนนะ เพราะเราจะได้ราคาที่ถูกลงตามโปรโมชั่นในแต่ละเดือนนั่นเอง ดูส่วนลด KLOOK คลิก
เที่ยวเกาะฟิลลิป (Phillip Island) กี่วันดี?
เรื่องนี้ไม่ต้องคิดมาก แนะนำให้ไปเที่ยวแบบวันเดย์ทริป ไปเช้า-เย็นกลับก็พอ เพราะที่เที่ยวมันไม่ได้มีเยอะถึงขนาดต้องค้างคืน และเราสามารถขับรถไปเที่ยวจากเมลเบิร์นแบบชิลๆ ใช้เวลาขับแค่ 2 ชั่วโมงเอ๊ง ฟีลเหมือนขับรถไปเที่ยวพัทยาอ่ะ ฮ่าๆ
ซื้อบัตร Park Pass
ก่อนจะไปเที่ยวเกาะฟิลลิป แนะนำให้ลิสต์สถานที่ที่เราจะไปเที่ยวก่อนว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง เพราะที่เที่ยวเกือบทั้งหมดบนเกาะนี้คือเราต้องเสียค่าเข้านาจา แล้วค่าเข้าไม่ใช่ถูกๆ ราคาค่อนข้างแรงเลยแกร๊ ซึ่งวิธีที่เราจะประหยัดได้มากขึ้น คือการซื้อ Park Pass ที่ขายบัตรหลายที่มัดรวมกันจ่ายทีเดียวนั่นเอง ราคาลดลงแถมเรายังไม่ต้องไปเสียเวลาซื้อบัตรแยกแต่ละที่อีกด้วย
สำหรับรีวิวนี้ นี่ตั้งใจจะไปทั้งหมด 3 ที่ นั่นคือ เกาะฟาร์มเชอร์ชิล, ศูนย์อนุรักษ์โคอาล่า และดูเพนกวินพาเหรด ถ้าเราซื้อแยกแต่ละสถานที่ ราคาค่าเข้าจะอยู่ที่ $51 โชคดีที่เค้ามีขายบัตรมัดรวมแบบ 3 Parks Pass เหลือราคา $43 เท่านั้น ลดไปตั้ง $8 แน่ะ เยอะอยู่นะ // บัตรเพนกวินนี่ซื้อแบบถูกสุดนะ คือบัตรแบบ General Viewing
นอกจาก 3 ที่นี้แล้ว จริงๆบนเกาะฟิลลิปยังมีที่เที่ยวที่เค้าโปรโมทหนักๆ อีก 2 ที่ นั่นคือ Antarctic Journey กับ EcoBoat Tour ซึ่งทั้งหมดมีขายบัตร Park Pass แบบมัดรวมเหมือนกัน ถ้าอยากไปทั้งหมด ก็ซื้อแบบ 5 Parks Pass แม่มเลย ใครอยากรู้รายละเอียดพวกนี้เพิ่มเติม ให้ไปดูที่เว็บเค้าที่นี่ penguins.org.au/buy-tickets/ (เว็บเค้าซื้ออนไลน์ได้) แต่ส่วนตัวคิดว่าซื้อผ่าน KLOOK ดีกว่า เพราะถูกกว่า และมีส่วนลดประจำเดือนอีก // ดูส่วนลด KLOOK คลิก
เกาะฟาร์มเชอร์ชิล (Churchill Island Heritage Farm)
ด้วยความที่ว่าวันที่จะมาเที่ยวเกาะฟิลลิปนั้น ตื่นค่อนข้างสายและขี้เกียจอยู่หน่อยๆ กว่าจะขับรถจากเมลเบิร์นมาถึงที่เที่ยวแรก เกาะฟาร์มเชอร์ชิล (Churchill Island Heritage Farm) เล่นเอาไปเกือบ 11 โมง ก่อนเข้าไปด้านใน ให้เราซื้อบัตร Parks Pass จากที่นี่ได้เลย คอนเซ็ปการซื้อบัตรคือไปที่ไหนก่อนให้ซื้อ Park Pass ที่นั่น มีขายทุกที่
อีฟาร์มเกาะเชอร์ชิลนี่มันจะเป็นติ่งเกาะเล็กๆที่เคยเชื่อมกับเกาะฟิลลิป ถือเป็นเกาะที่มีคนยุโรปช่วงแรกๆอพยพเข้ามาในรัฐวิคตอเรีย แล้วเริ่มทำเกษตรกรรมที่นี่จนตอนนี้กลายเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย เปิดเป็นฟาร์มเกษตรให้คนเข้ามาเยี่ยมชมซะเลย ซึ่งฟาร์มเค้าจะมีสถานที่หลักๆอยู่ตรงกลาง ตรงที่เราซื้อตั๋วนั่นแหละ ทีนี้ .. ฟาร์มเค้าจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับฟาร์มให้เราดูอย่างพวก รีดนมวัว ไถขนแกะ ขี่ม้าอะไรประมาณนี้ ถือเป็นที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวที่พาเด็กๆมาอย่างแท้จริง
แต่ด้วยความงง คือตอนแรกไม่รู้ว่ามันจะมีแค่ฟาร์มที่คนส่วนมากเค้าเที่ยวกันแค่ตรงกลาง เออ .. เดินไปไหนไม่ถูกว่ะ นี่เลยเดินงงๆ มาตรงเส้นทางให้เดินรอบเกาะที่เรียกว่า Island Churchill Walk จากตอนแรกที่คิดว่าจะเดินแปปๆ นี่เลยเดินไปเรื่อยๆประมาณ 20 นาทีจนเจอแผนที่ทางเดินบอกว่า ใช้เวลาเดินชั่วโมงครึ่ง ตอนนั้นฟีลประมาณว่า กูเดินมาแล้ว เดินแม่งไปเลยแล้วกัน โอ้ย จำใจเดินต่อจ้า 555555555
Island Churchill Walk มันจะเป็นทางเดินรอบเกาะให้เราเดินดูธรรมชาติ และสัตว์ที่อยู่รอบๆ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง ไฮไลท์ทางเดินนี้คือการมาส่องนกแหละ ใครมีเวลาก็เดิน ถ้ารีบก็ไม่ต้องเดินก็ได้ ฮ่าๆ // เค้าแนะนำว่าให้เอากล้องส่องทางไกลมาดูนกด้วย ซึ่งนี่ก็ไม่มีป่ะ 55555
เดินไปเรื่อยๆ มันก็ชิลๆดี มีลมพัด อากาศไม่ร้อน แต่แดดแรงมาก .. วิวไม่ได้พีค แต่ก็ไม่ได้แย่ แต่ที่ผมชอบคือ เราจะได้เห็นสัตว์เยอะอยู่ อย่างพวกเป็ด (ไม่รู้เป็ดสายพันธ์ไหน) นก หรือแม้แต่วัวไฮแลนด์ (Highland Cow) เป็นวัวขนยาวมีเขาซึ่งอันนี้เซอร์ไพรส์มากกก มันกำลังนอนเคี้ยวหงึบๆอยู่เป็นฝูง ซึ่งหาดูวัวแบบนี้ในไทยไม่ได้แน่นอน น่ารักมากกกก
หลังจากเดินรอบเกาะเสร็จ แล้วเดินกลับมายังตรงฟาร์มตรงกลาง ณ ตอนนั้นคือเหลือกิจกรรมในฟาร์มแค่อันเดียวคือ โชว์ถอนขนแกะ ซึ่งนี่ก็ไปนั่งดู เพราะเสียตังค์เข้ามาแล้ว หมดจากนี้ก็ไม่มีไรโชว์และ เพราะมันหมดแล้ว ทีนี้ก็เดินเล่นในฟาร์มอีกนิดหน่อยดูม้า ดูแกะ ดูกระต่าย 555555 .. จากนั้นไม่นานก็ออกไปที่อื่นต่อ
ศูนย์อนุรักษ์โคอาล่า (Koala Conservation Centre)
ขับรถออกจากเกาะฟาร์มเชอร์ชิล รีบไปกันต่อที่ ศูนย์อนุรักษ์โคอาล่า (Koala Conservation Centre) ซึ่งชื่อมันบอกอยู่แล้วว่าที่นี่เป็นที่สำหรับอนุรักษ์และเพาะพันธุ์โคอาล่าไม่ให้สูญพันธ์ โดยเมื่อเราเข้าไปในตัวตึกจะมีห้องนิทรรศการที่ให้ความรู้กับเกี่ยวกับโคอาล่า ซึ่งเป็นสัตว์ท้องถิ่นที่เราสามารถหาเจอได้ในออสเตรเลียเท่านั้นแหละ
มันมีสองอย่างที่เป็น Must Things To Do ใน Koala Conservation Centre ที่นี่คือการเดินใน Wood Land Boardwalk และ Koala Boardwalk นอกนั้นไม่มีอะไรและ เสร็จจากสองที่นี้แล้วออกจากที่นี่ได้ 55555
สองอันนี้มันเป็นทางเดินดูโคอาล่าที่ถูกจัดอยู่ในที่เลี้ยงไว้สำหรับเพาะพันธุ์โคอาล่าโดยเฉพาะ นอกจากโคอาล่าแล้ว ที่นี่ยังมีวัลลาบีด้วย แต่นานๆจะออกมาให้เห็น ฮ่าๆ ส่วนทางเดินอยู่ตรงไหนนั้น หลังจากเราออกมาจากห้องนิทรรศการที่เป็น Visitor Center จะเจอกับแผนที่ เดินตามนั้นเลยเด้อ
Wood Land Boardwalk
Wood Land Boardwalk คือทางเดินที่ยกระดับให้เราสามารถเดินดูโคอาล่าได้แบบใกล้ชิดมากกกก คือทางเดินมันยกสูงจนเกือบเท่ากับกิ่งไม้ที่โคอาล่ามันนอนเกาะกิ่งไม้อยู่ จำได้ลางๆว่าในนี้จะมีอยู่ 5 ตัว ให้เราเดินมองหาโคอาล่ากัน
โคอาล่าแม่มน่ารักมากก หลายคนอาจจะไม่รู้ว่ามันไม่ใช่สัตว์พวกเดียวกับหมี จริงๆแล้วมันเป็นสัตว์ประเภทเดียวกับจิงโจ้และวัลลาบีที่มีกระเป๋าหน้าท้อง แล้วโคอาล่ามันจะนอนอย่างนั้นทั้งวัน จะตื่นก็ต่อเมื่อมันหิว แล้วหาใบยูคาลิปตัสมากินแค่นั้น พอนี่เจอโคอาล่ามันนอนนิ่งอยู่ คือน่ารักมาก ขนาดนอนหลับยังน่ารักเลย ❤
Koala Boardwalk
อีกทางเดินหนึ่งคือ Koala Boardwalk ที่เป็นคอกสำหรับเพาะพันธ์โคอาล่าโดยเฉพาะ โดยคอกนี้จะมีโคอาล่าตัวผู้ 1 ตัว และโคอาล่าตัวเมียอีก 4 ตัว โอ้โหว .. ฮาเร็มสึสๆ 555555555 // ทางเดินอันนี้เราจะเห็นโคอาล่าแบบไกลๆ เพราะทางมันไม่ค่อยยกระดับ แถมมันยังเกาะอยู่บนกิ่งต้นไม้ที่สูงมาก
หมดอายุ: 10-10-2024
หมดอายุ: 10-10-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
นอกจากโคอาล่าแล้ว Koala Boardwalk ยังมี Wetland ที่เหมือนเป็นบึงที่เป็นที่อยู่อาศัยของนกหลากหลายชนิดด้วย ฝรั่งออสซี่หลายคนที่มาเที่ยว เค้าพกกล้องส่องทางไกลมาดูนกกันแบบจริงจังมากเว้ย
สรุปคือ ค่อนข้างชอบที่นี่นะ ได้ดูโคอาล่าแบบเพลินๆ เพราะมันน่ารักมาก เสร็จจากการเดินสองที่นี้ เราจะขับยาวตรงไปจุดที่เรียกว่า เดอะน็อบบี้ (The Nobbies) กันต่อ
เดอะน็อบบี้ (The Nobbies)
เดอะน็อบบี้ หรือ The Nobbies คือจุดที่อยู่ทางฝั่งซ้ายสุดของเกาะ เป็นจุดที่สวยพีคมากกกก ตรงนี้มันจะเป็นทางเดินดูวิวยาวๆ มองออกไปจะเห็นเป็นเกาะเล็กๆอยู่ ซึ่งจริงๆหลังเกาะนี้จะมีอีกเกาะนึงซึ่งเป็นที่อยู่ของแมวน้ำทั้งเกาะ เกาะนั้นเรามองไม่เห็นจากตรงนี้ แต่เราสามารถซื้อทัวร์นั่งเรือไปดูได้นะ เห็นเค้าบอกว่าดีย์งามมาก แต่แพงชิบหายเลยไม่ได้ไป
เอาเว้ย วิวตรงนี้คือสวยก็คุ้มแล้ว แถมไม่ต้องเสียตังค่าเข้าอะไรอีกด้วย แนะนำให้มาตรงนี้ช่วงเย็นๆ ก่อนไปดูเพนกวิน เพราะแสงพระอาทิตย์บ่ายแก่ๆแม่งช่วยให้ที่นี่สวยมากขึ้นไปอีก ฮ่าๆ
ตอนที่เราขับมาที่ The Nobbies คือแนะนำให้ใช้เส้นถนนหลักหมายเลข 473 ที่ชื่อว่า Ventnor ทีนี้เมื่อเราเสร็จจาก The Nobbies แล้วต่อไปยัง Phillip Island Nature Parks แนะนำให้ใช้อีกเส้นทาง เป็นทางไม่มีหมายเลขที่มีชื่อว่า The Blvd ถนนเส้นนี้แม่งสวยโคตร เป็นถนนเลียบชายฝั่งที่ข้างถนนเป็นทุ่งหญ้าสีเหลือง สวยจริงๆ แนะนำให้ขับมาเส้นนี้
นอกจากทางที่มันสวยโคตรแล้วๆ วิวข้างทางก็ยังดีงามอีกด้วย // ตอนที่นี่ขับมาคือไม่มีคนขับบนถนนเส้นนี้เลย เลยจอดรถลงไปถ่ายรูปเล่น
ดูพาเหรดเพนกวิน
โผล่มายัง Phillip Island Nature Parks ที่เป็นไฮไลท์สุดของทริปนี้ เพราะเราจะมาดูเพนกวินที่ตัวเล็กที่สุดในโลกเดินขึ้นจากทะเลมาบ้านของมันบนเกาะในศูนย์เพนกวินนี่แหละ ซึ่งการมาดูเพนกวินนั่น เราต้องจัดโปรแกรมเที่ยวให้มาอยู่อันสุดท้าย เพราะกว่าเพนกวินมันจะขึ้นฝั่งมาคือตอนพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น ดังนั้น เช็คเวลาที่เว็บเค้าให้ดีๆ เพราะแต่ละฤดู พระอาทิตย์ตกคนละเวลากัน อย่างหน้าหนาวห้าโมงเย็นพระอาทิตย์ก็ตกแล้วนะ ส่วนตอนที่ผมไปคือไปเที่ยวช่วงหน้าร้อน พระอาทิตย์ตกสองทุ่มโน้น .. และจะบอกว่ารีบมาก็ดี เพราะคนเยอะโคตร ใครมาก่อนได้จองที่นั่งด้านหน้าก่อนนะแจ๊ะ
บัตรดูเพนกวินมี 3 แบบตั้งแต่ General Viewing ($25.70), Penguins Plus ($50) และ Underground ($65) ซึ่งราคาแตกต่างกันชิบหาย ด้วยความจน นี่เลยเลือกอันถูกสุดตามที่ซื้อ Parks Pass ไป คือดูบนอัฒจรรย์ที่เป็นที่นั่งกว้างๆ มองเห็นเพนกวินได้ไกลๆ (แม่งไกลจริง) ถ้าใครอยากดูเพนกวินเดินกลับบ้านแบบใกล้ชิดมากขึ้น ก็ให้เลือกแบบ Penguin Plus ซึ่งราคามันแพงดับเบิ้ลไปเลย หรือไม่งั้นอาจจะเลือกดูแบบ Underground ที่เราจะแอบดูเพนกวินใต้ดินไปเลย 5555555
ภายใน Phillip Island Nature Parks ก็มีจะห้องนิทรรศการเยอะแยะมากมายที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเพนกวิน รวมถึงบอกชนิดของเพนกวินต่างๆที่มีอยู่บนโลก รวมถึงบอกว่า .. เจ้าเพนกวินที่เราจะได้ดูคือเพนกวินที่มีขนาดตัวเล็กที่สุดในโลกแล้วนะ! ดูกันเสร็จแล้ว รีบเดินออกไปจองที่นั่งบนอัฒจรรย์ได้เลย แต่บอกก่อนเลยว่าให้เตรียมเสื้อหนาวดีๆ เพราะหนาวมากกก .. แล้วคือเราต้องนั่งตรงนั้นเป็นชั่วโมงเพื่อรอเพนกวินออกมาจากทะเลนี่แหละ
การดูเพนกวินที่นี่ เค้าจะไม่ให้เราถ่ายรูปนะ เพราะบางครั้งที่เราถ่ายรูปแล้วแฟลชมันเปรี้ยงออกมา แสงแฟลชสามารถทำลายการมองเห็นของเพนกวินได้ และเป็นผลให้เพนกวินเดินหลงทางที่จะเข้ารัง ซึ่งรู้มั้ยว่า ในหลายๆรังนั้นมีลูกน้อยของเพนกวินที่กำลังรออาหารจากพ่อแม่ของมันอยู่ โดยตัวผมเองไม่ได้ถ่ายรูปเลยตอนเพนกวินออกมา เจ้าหน้าที่บอกว่า .. ใครอยากได้รูปให้ไปโหลดในเว็บเอานะจ๊ะ
ประกาศห้ามถ่ายรูปหลายรอบขนาดนี้ มันจะมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มแอบเอากล้องมือถือออกมาถ่าย แล้วแสงแฟลชออกมาพรึมๆ โดนคนมองแถมคำด่าด้วยนะจ๊ะ ฝรั่งเค้าด่ากันเลย ซึ่งนี่ก็หงุดหงิดพวกคนที่แอบถ่ายเหมือนกัน อีห่า เค้าประกาศกันปาวๆ มึงไม่รู้เรื่องหรอ ถ่ายรูปไปก็ถ่ายไม่ชัดอยู่ดี เพราะตรงนั้นมันมืดมาก พอมืดมาก แฟลชแม่งก็ออกอัตโนมัติไง
(รูปจาก penguins.org.au/photo-gallery)
สรุป การดูเพนกวินมันคุ้มมั้ย? มันก็เป็นประสบการณ์การเที่ยวที่แปลกใหม่ดี
แนะนำให้มามั้ย? ถ้าขับมาถึงเกาะฟิลลิปแล้ว ก็มาดูเถอะจ้า แหม๊ 😅
หลังจากดูเสร็จคนก็กรูกันออกมา ทำให้รถติดกันเลยทีเดียว
และนี่แหละ คือการเที่ยววันเดย์ทริปที่ เกาะฟิลลิป (Phillip Island) สำหรับผม ผมว่าดีย์ ชอบบบบ
รีวิวเที่ยวออสเตรเลีย ทั้งหมดจาก HASHCORNER
— SYDNEY (NSW) SERIES —
► รีวิว Sydney / ซิดนีย์ (EP1)
► รีวิว Blue Mountains / บลูเมาเท่น (EP2)
— MELBOURNE (VIC) SERIES —
► รีวิว Melbourne / เมลเบิร์น (EP1)
► รีวิว Grampiants / แกรมเปี้ยน (EP2)
► รีวิว Phillip Island / ฟิลลิปไอส์แลนด์ (EP3)
► รีวิว Great Ocean Road / เกรทโอเชี่ยนโรด (EP4)
— QUEENSLAND (QLD) SERIES —
► รีวิว Brisbane – Gold Coast / บริสเบน – โกลด์โคสต์ (EP1)
— TASMANIA (TAS) ROAD TRIP SERIES —
► รีวิว Hobart + Bruney Island (EP1)
► รีวิว Mount Field National Park + Lake Pedder (EP2)
► รีวิว Tassman National Park + Freycinet National Park (EP3)
► รีวิว Bay of Fires + Launceston (EP4)
► รีวิว Cradle Mountain National Park (EP5)
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡
1 comment
อยากทราบค่าใช้จ่ายๆคร่าวๆ ตอนไปเมลเบิร์นกับซิดนีย์อ่าคับ พอจำได้มั้ยคับ