เกนต์ (Ghent) หากใครกำลังมองหาเมืองเก่าที่มีเสน่ห์ครบเครื่องในเบลเยียม ที่นี่เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ก๊อตไม่อยากให้มองข้าม เพราะที่นี่ไม่ได้มีแค่เพียงปราสาทเก่าแก่ท่ามกลางเรื่องราวความรุ่งเรืองของยุคกลาง หรืองานศิลปะระดับตำนานที่จัดแสดงอยู่ในโบสถ์และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เท่านั้น แต่เมืองนี้ยังรายล้อมไปด้วยคลองที่ลัดเลาะไปตามอาคารประวัติศาสตร์ ชวนให้คนที่มาเยือนได้สัมผัสกับบรรยากาศที่เหมือนพาเราหลุดเข้าไปในเทพนิยายปรัมปรา โดยรีวิวนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปเดินเที่ยวในเมือง ท่ามกลางบรรยากาศแสนจะโรแมนติก พร้อมกับผู้คนที่เป็นมิตร และวัฒนธรรมที่ยังมีชีวิต ผ่านย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งวาฟเฟิลชื่อดัง ไปจนถึงการนั่งชิลเลียบแม่น้ำแบบไม่ต้องเร่งรีบ ใครที่ชอบไวบ์เมืองเก่าแต่ก็ยังอยากได้ความทันสมัยแบบกลมกล่อม ก๊อตบอกเลยว่าถ้าได้มาเที่ยว เกนต์ (Ghent) แล้วจะต้องตกหลุมรักแบบไม่รู้ตัวแน่นอน
รู้จักกับ เกนต์ (Ghent)
เกนต์ (Ghent) เมืองหลวงของฟลานเดอร์สตะวันออก (East Flanders) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเบลเยียม บริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำเลอิ (Leie River) และแม่น้ำสเกลต์ (Schelde River) ซึ่งในอดีตเคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าขาย ก่อนที่ปัจจุบันจะถูกพัฒนาเพื่อใช้คมนาคมทางเรือเป็นหลัก โดย เกนต์ (Ghent) เคยเป็นหนึ่งในเมืองหลักของเคาน์ตีฟลานเดอร์ (County of Flanders) ในยุคกลาง ซึ่งปกครองโดยขุนนางผู้มีตำแหน่งเป็นเคานต์ (Count) ก่อนจะยกระดับเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเหนือ ในช่วงศตวรรษที่ 13 และมีชื่อเสียงไปทั่วยุโรปมาจนถึงปัจจุบัน
ต้นกำเนิดของเกนต์ ต้องย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 10 เมื่อเศรษฐกิจของแคว้นฟลานเดอร์เริ่มเติบโต เมืองเริ่มขยายตัวจากริมฝั่งแม่น้ำเลอิ (Leie River) ภายใต้การคุ้มครองของปราสาทของเคานต์แห่งฟลานเดอร์ส จนกระทั่งในศตวรรษที่ 12-13 เกนต์กลายเป็นเมืองที่โดดเด่นในยุโรปเหนือ ด้วยชื่อเสียงด้านการผลิตผ้าขนสัตว์ที่โด่งดังไปไกลถึงขั้นต้องนำเข้าขนแกะจากอังกฤษ มาผลิตเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ การค้าผ้าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้สร้างความมั่งคั่งมหาศาล จนทำให้เกนต์กลายเป็นเมืองที่มีอำนาจทางการเมืองสูงมากในยุคนั้น ถึงขั้นเป็นเมืองกึ่งอิสระจากเคานต์ผู้ปกครองเลยทีเดียว
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1500 เมื่อ จักรพรรดิชาร์ลที่ 5 (Charles V) แห่งจักรวรรดิโรมัน (Holy Roman Emperor) ประสูติขึ้นในปราสาท Prinsenhof ของ เกนต์ (Ghent) ซึ่งต่อมาพระองค์คือจักรพรรดิผู้ครองอาณาจักรที่กว้างขวางที่สุดในยุโรป ทั้งสเปน ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และอาณานิคมในอเมริกาใต้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปในช่วงปี ค.ศ. 1539 ประชาชนเริ่มไม่พอใจจากการเรียกเก็บภาษีจำนวนมาก ทำให้จักรพรรดิชาร์ลต้องยกทัพเข้ามาปราบปรามประชาชนด้วยตนเอง ถึงขั้นมีตำนานเล่าว่าพระองค์ลงโทษผู้นำเมืองโดยให้เดินเท้าเปล่า สวมเสื้อผ้านักโทษ และคล้องบ่วงเชือกที่คอ ซึ่งตำนานนี้ก็ถูกเล่าขานมาถึงปัจจุบันกันเลยทีเดียว
แม้จะเคยรุ่งเรืองมากเพียงใด แต่ เกนต์ (Ghent) เกนต์ก็เผชิญกับยุคมืดในปลายศตวรรษที่ 15 เมื่ออุตสาหกรรมสิ่งทอเริ่มถดถอย อำนาจการปกครองตกไปอยู่ในมือของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน และสถานการณ์ของเมืองยิ่งแย่ลงด้วยความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างโปรเตสแตนต์และคาทอลิก อีกทั้งเมืองยังกลายเป็นสมรภูมิในช่วงสงครามแปดสิบปี (ค.ศ. 1568-1648) ทำให้บทบาทของเมืองต้องเปลี่ยนจากเมืองอุตสาหกรรมมาเป็นเมืองการค้าทางเรือ พร้อมทั้งดำเนินกิจการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมศตวรรษที่ 19 โดยมีการก่อตั้งโรงงานใหม่ๆ เช่น โรงกลั่นน้ำตาล โรงทอผ้าฝ้าย ทำให้ เกนต์ (Ghent) กลับคืนสู่ความสงบสุขและความมั่งคั่งอีกครั้ง และยังคงทิ้งร่องรอยของมรดกทางอุตสาหกรรมไว้ให้เห็นจนถึงปัจจุบันเกนต์ (Ghent) จึงไม่ใช่แค่เมืองสวยริมคลอง แต่คือหนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่มีเรื่องเล่าแน่นขนัดทุกมุมถนนเลยทีเดียว
ที่เที่ยวใน เกนต์ (Ghent)
การเดินทางจากบรัสเซลส์ (Brussels) มายัง เกนต์ (Ghent)
วิธีเดินทางมายัง เกนต์ (Ghent) ที่ก๊อตคิดว่าสะดวกมากที่สุดนั้น คือการนั่งรถไฟ SNCB ซึ่งเป็นบริษัทรถไฟแห่งชาติของประเทศเบลเยียม โดยใช้เวลานั่งประมาณ 36 นาที ค่าตั๋วอยู่ที่คนละ 10.20 ยูโร (~400 บาท) สามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์หรือเครื่องขายตั๋วของ SNCB ซึ่งรอบรถไฟนั้นจะมีถี่ยิบทุกๆ 15 นาทีเลย เรียกได้ว่าอยากมาตอนไหนก็จัดได้เลย
- เดินทางด้วยรถไฟ: นั่งรถไฟจากสถานีต้นทางในบรัสเซลส์ ได้ทั้งสถานี Brussels-Central Station, Brussels-Midi Station, และ Brussels-Nord Station โดยมาลงที่สถานี Gent-Sint-Pieters Station จากนั้นสามารถเดินเที่ยวต่อได้เลย
เริ่มเที่ยว เกนต์ (Ghent) กันเล้ยย
สะพานเซนต์ไมเคิล (Saint Michael’s Bridge)
ก่อนอื่นเลย การมาเที่ยวเกนต์ของก๊อต คือการมาเดินเล่นชิลๆ ในย่านเมืองเก่าแบบไปเช้า-เย็นกลับโดยนั่งรถไฟมาจาก บรัสเซลล์ (Brussels) โดยจุดแรกเริ่มต้นที่ สะพานเซนต์ไมเคิล (Saint Michael’s Bridge) จุดแลนด์มาร์กที่ไม่ว่าใครก็ต้องมายืนเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ บนสะพานแห่งนี้กันทั้งนั้น โดยที่นี่ไม่ได้เป็นแค่สะพานธรรมดาที่ทอดข้ามแม่น้ำเลอิ (Leie River) เท่านั้น แต่คือแลนด์มาร์กสำคัญที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่กว่าจะกลายมาเป็นสะพานหินสุดคลาสสิกคู่เมืองอย่างที่เห็น ต้องขอเล่าย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1905 ซึ่งเป็นปีที่สะพานแห่งนี้เริ่มต้นการก่อสร้างขึ้นภายใต้การออกแบบของ หลุยส์ โคลเคต์ (Louis Cloquet) สถาปนิกชื่อดังของเบลเยียม ในสไตล์อาร์ตนูโว (Art Nouveau) ก่อนจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1909 โดยสะพานถูกสร้างขึ้นเพื่อแทนสะพานแบบหมุนเดิม เพื่อรองรับการสัญจรในยุคสมัยใหม่พร้อมกับยกระดับทัศนียภาพของเกนต์ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยโครงสร้างหินโค้งได้รูปของตัวสะพานที่ประณีตด้วยรายละเอียด และลวดลายแกะสลักที่ทั้งแข็งแรงและสวยงามในเวลาเดียวกัน
สำหรับใครที่อยากถ่ายภาพวิวแบบคนไม่เยอะ ก๊อตแนะนำให้มาแต่เช้าตรู่ เพราะแทบไม่มีคนเลย ซึ่งก๊อตเองก็เดินเก็บภาพมุมต่างๆ แบบเต็มอิ่ม โดยถ้าเราเดินมาจนถึงใจกลางสะพาน จะเจอเข้ากับรูปหล่อบรอนซ์ของ นักบุญไมเคิล (Saint Michael the Archangel) สวมชุดเกราะพร้อมปีกและดาบ กำลังอยู่ในท่าทางต่อสู้กับมังกรที่สยบอยู่ใต้เท้า ตัวชิ้นงานรายล้อมไปด้วยแนวรั้วกั้นลวดลายงดงาม ท่ามกลางเสาไฟโบราณรอบๆ ที่ช่วยเสริมกลิ่นอายความเก่าแก่ให้กับสะพานดูมีมนตร์ขลังยิ่งขึ้น โดยงานศิลปะชิ้นนี้เปี่ยมไปด้วยพลัง อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและการคุ้มครองอีกด้วย
และที่พีคที่สุดคือ วิวจากด้านบน สะพานเซนต์ไมเคิล ยังขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมวิวพาโนรามาที่ดีที่สุดของเกนต์ เพราะจากตรงนี้เราจะมองเห็น “หอคอยสามพี่น้อง” อันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเรียงตัวในแนวเดียวกันแบบเป๊ะปัง ทั้ง โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Saint Nicholas’ Church) หอระฆังแห่งเกนต์ (Belfry of Ghent) และ อาสนวิหารเซนต์บาโว (Saint Bavo’s Cathedral) กลายเป็นมุมมหาชนที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเช็คอินว่าเรามาถึงเกนต์แล้วจริงๆ
ไม่หมดแค่นั้นนะ หากเราหันไปทางทิศเหนือของสะพาน จะพบกับภาพงดงามของสองถนนเลียบคลองสุดโรแมนติกอย่าง กราสเลย์ (Graslei) และ โคเรนเลย์ (Korenlei) ที่เต็มไปด้วยอาคารยุคกลางสุดคลาสสิกตั้งเรียงรายท่ามกลางแม่น้ำที่สวยจนนึกว่าอยู่ในภาพวาดยุคเรเนซองส์ก็ไม่ปาน และถ้ามองไกลออกไปอีกนิด จะเห็น ปราสาทกราเวินสตีน (Gravensteen) ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ อีกด้วย ส่วนฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสะพาน ก็จะเจอกับโบสถ์เซนต์ไมเคิล (Saint Michael’s Church) ที่งดงามไม่แพ้กัน
เรียกได้ว่า สะพานแห่งนี้คือจุดที่ดีที่สุดในการซึมซับเสน่ห์ของเกนต์ในบรรยากาศยุคกลาง ยิ่งใครที่มาช่วงเช้าๆ หรือตอนโพล้เพล้ แสงไฟที่เริ่มส่องจากอาคารเก่าๆ ทั่วเมือง จะยิ่งช่วยทำให้บรรยากาศโดยรอบเหมือนเดินอยู่ในโลกแฟนตาซีที่ไม่คิดว่าจะมีจริงในชีวิตจริง ซึ่งในมุมของก๊อตนั้น ไม่ว่าจะมาเดินเที่ยวบนสะพานในเวลากลางวันหรือกลางคืน สะพานเซนต์ไมเคิล ก็ให้ความทรงจำที่แสนประทับใจได้หมดเลย เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวในเกนต์ที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด
ตลาดคริสต์มาสเกนต์ (Ghent Christmas Market)
ความโชคดีของก๊อตคือช่วงที่ไปเที่ยวตรงกับเทศกาลคริสต์มาสพอดี เราเลยมีโอกาสได้มาเดินเล่น ตลาดคริสต์มาสเกนต์ (Ghent Christmas Market) ซึ่งเขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งในตลาดคริสต์มาสที่ดีที่สุดของเบลเยียม โดยเค้าจะเนรมิตบ้านไม้กว่า 150 หลัง ตั้งเรียงรายตั้งแต่จัตุรัสซินต์บาฟส์ (Sint-Baafsplein) ไล่ไปตามแนวถนนโบเตอร์มาร์กต์ (Botermarkt) และ ถนนไคลน์ เติร์กเคเยอ (Klein Turkije) ไปจนสุดที่ จัตุรัสโคเรนมาร์กต์ (Korenmarkt) ทั่วทั้งย่านจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเทศกาลสุดอบอุ่น ชวนให้ผู้คนและนักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสความสุขแห่งการเฉลิมฉลองกันแบบเต็มอิ่มเลยทีเดียว
บรรยากาศตอนก๊อตไป แม้จะเป็นช่วงเวลากลางวัน แต่ทั้งย่านก็สว่างไสวไปด้วยไฟประดับและการตกแต่งที่ตระการตา โดยร้านค้าแต่ละหลังจัดเต็มแบบไม่มีกั๊ก เพื่อต้อนรับคริสต์มาสกันแบบสุดจึ้ง โดยเฉพาะบริเวณ จัตุรัสเซนต์บาโว (St. Bavo’s Square) ซึ่งจะมีแสงไฟหลากสี ท่ามกลางต้นคริสต์มาสยักษ์ ให้มู้ดอบอุ่นน่าหลงใหล เหมือนเป็นจุดที่บอกผู้คนที่มาเยือนว่าพวกเค้าได้มาถึง ตลาดคริสต์มาสเกนต์ กันแล้วนะ
พอเราเริ่มเดินลัดเลาะเข้าไปในตลาด ก็จะได้เพลิดเพลินกับแผงขายของและบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างน่ารัก ทั้งต้นคริสต์มาสที่มีลูกบอลหลากสีห้อยเอาไว้อย่างดงาม บางร้านก็จัดเต็มด้วยตุ๊กตาถัก งานเซรามิกแฮนด์เมด ไปจนถึงพวงมาลัยคริสต์มาสที่ห้อยแต่งไว้แบบน่ารักฉ่ำใจ ซึ่งของที่ขายในตลาดส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานทำมือจากช่างฝีมือท้องถิ่น ขนมพื้นบ้านของเบลเยียม และของตกแต่งตามฤดูกาล ทั้งของประดับเล็กๆ ผ้าถักแฮนด์เมด และช็อกโกแลตเบลเยียมสูตรต้นตำรับ ที่ขนกันมาแบบแน่นๆ หรือถ้าใครเป็นสายดื่ม ก็มีร้านไวน์คอยเสิร์ฟและเลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านได้อีกด้วย
และถ้าถามว่ามาถึงตลาดคริสต์มาสแล้วควรกินอะไร ก๊อตขอแนะนำ วาฟเฟิลอุ่นๆ กับช็อกโกแลตร้อน คือที่สุด ความละมุนที่ได้กินวาฟเฟิลหนานุ่มในอากาศหนาวมันฟินเกินจะบรรยาย หรือใครอยากลิ้มรสอาหารอื่นๆ ในตลาดก็มีให้เลือกชิมจนตาลาย บอกเลยว่าการได้เดินทอดน่องกินวาฟเฟิลอุ่นๆ ท่ามกลางร้านรวงที่ประดับไฟเข้าธีมคริสต์มาส มันให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังอยู่ในความฝันที่แสนหวาน ซึ่งก๊อตเองก็เดินเพลินกันไปเรื่อยๆ จนสุดทาง เพราะบรรยากาศมันน่ารักไม่ไหวจนต้องหยิบกล้องขึ้นมาทุกสองก้าวเลย
โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Saint Nicholas’ Church)
จากตลาดคริสต์มาส ก๊อตเดินต่อมาที่ โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Saint Nicholas’ Church) อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง ที่ไม่ได้เป็นแค่โบสถ์สำหรับประกอบพิธีทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเป็นพยานของเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์เมืองเกนต์มาตั้งแต่ยุคกลาง
สำหรับการก่อสร้าง โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Saint Nicholas’ Church) เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 13 เพื่อทดแทนโบสถ์แบบโรมานเนสก์ดั้งเดิมที่เคยตั้งอยู่ก่อนหน้า ตัวอาคารใหม่ถูกสร้างขึ้นในสไตล์ ‘Scheldt Gothic’ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมโกธิกท้องถิ่นจากลุ่มแม่น้ำสเกลต์ ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวไม่เหมือนที่ไหนในยุโรป โดดเด่นด้วยเส้นสายแนวดิ่งและหินบลูเกรย์จากตูร์เน (Tournai) ทำให้โบสถ์ดูสูงส่ง สง่างาม และเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งพลังศรัทธา โดยตอนที่สร้างแล้วเสร็จนั้น ว่ากันว่าในยุคนั้น โบสถ์แห่งนี้เป็น “โบสถ์ของพ่อค้า” เพราะนอกจากจะอุทิศให้กับ นักบุญนิโคลัส ผู้เป็นองค์อุปถัมภ์ของพ่อค้า นักเดินทาง และชาวเรือแล้ว โบสถ์ยังตั้งอยู่ใจกลางย่านค้าขาย โดยในยุคนั้นบรรดาพ่อค้าทั้งหลายยังมี “Chapel” หรือโบสถ์ย่อยของตนเองอยู่ภายในอาคารหลัก เพื่อใช้ประกอบพิธีและแสดงสถานะของแต่ละกลุ่มอีกด้วย ดังนั้น ศิลปะภายในโบสถ์จึงหลากหลายและอลังการจนบรรยากาศในโบสถ์ดูคล้ายแกลเลอรีที่พ่อค้าแต่ละกลุ่มเอาไว้โชว์ความปัง แข่งกันแต่งแบบไม่มีใครยอมใคร
หนึ่งในไฮไลท์ของโบสถ์แห่งนี้ คือ หอคอยทรงโคม (Lantern Tower) ที่ไม่ได้ตั้งอยู่เหนือทางเข้าแบบโบสถ์ทั่วไป แต่กลับตั้งอยู่ตรงจุดตัดกลางโบสถ์พอดี ทำหน้าที่เหมือนโคมไฟธรรมชาติที่เปิดรับแสงจากด้านบนให้ส่องลงมาภายในตัวอาคาร ท่ามกลางการประดับประดาและตกแต่งด้วยลวดลายหินที่ละเอียดซับซ้อน ว่ากันว่าการก่อสร้างโบสถ์หลังนี้กินเวลาหลายศตวรรษ และมีการต่อเติมดัดแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตัวอาคารที่เราเห็นในปัจจุบันเป็นการผสมผสานองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว จนกลายมาเป็นความงดงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ โบสถ์แห่งนี้จึงกลายเป็นตัวที่บอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของเกนต์ผ่านโครงสร้างของโบสถ์ได้อย่างลึกซึ้งนั่นเอง
นอกจากนี้ภายในโบสถ์ยังเต็มไปด้วยผลงานศิลปะจากศิลปินหลากหลายยุค ทั้งภาพเขียนและประติมากรรม ซึ่งสะท้อนถึงมรดกศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของภูมิภาค และเปิดมุมมองให้ผู้คนได้เข้าใจถึงความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมของผู้คนในอดีต เมื่อเดินเข้ามาภายในเราจะเจอเข้ากับออร์แกนโบราณ ที่สร้างในปี ค.ศ. 1856 โดย Aristide Cavaillé-Coll ตั้งอยู่เหนือประตูทางเข้าฝั่งตะวันตก ถือเป็นมรดกทางดนตรีที่ทรงคุณค่า
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ถัดเข้ามาจะเจอกับเพดานโค้งสูงที่ประดับด้วยหน้าต่างกระจกสี และลวดลายหินแกะสลักที่วิจิตรงดงาม ช่วยเติมความยิ่งใหญ่ให้กับโถงภายในแบบสุดๆ โดยบรรยากาศข้างในโบสถ์คือขลังและเต็มไปด้วยผลงานศิลป์ให้เราได้ชมเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น หน้าต่างกระจกสี (Stained Glass Windows) ออกแบบโดย Capronnier ศิลปินชื่อดังแห่งยุค ที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของพระแม่มารี และเหตุการณ์การตรึงกางเขนของพระเยซูออกมาได้อย่างงดงามแบบจับใจ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหน้าต่างกระจกสมัยใหม่ที่ออกแบบโดย Herman Blondeel ที่เล่าเรื่องพิธีศีลทั้งเจ็ดในมุมมองร่วมสมัย เรียกว่าผสมผสานความเก่าและใหม่ได้ลงตัวแบบไม่ขัดเขิน
เดินลึกเข้าไปจนถึงบริเวณด้านในสุดของโบสถ์ จะเจอกับแท่นบูชาหลัก (Main Altar) ที่ประดับด้วยภาพวาดของ Nicolas De Liemaecker จิตรกรคนสำคัญแห่งศตวรรษที่ 17 ซึ่งเคยได้รับคำชมจากรูเบนส์ (Rubens) มาแล้วอีกด้วย โดยภาพที่ประดับอยู่ตรงนี้ถ่ายทอดเรื่องราวการแต่งตั้งนักบุญนิโคลัสให้เป็นบิชอปแห่งไมราออกมาได้อย่างสง่างามและสมบูรณ์แบบ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ยืนมองแล้วต้องอึ้ง เพราะทั้งรายละเอียดและพลังศรัทธามันแรงมากจริงๆ
และนี่ก็คือภาพรวมของ โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Saint Nicholas’ Church) ซึ่งปัจจุบันนี้ยังคงเปิดให้ทุกคนได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศภายในได้ฟรี ที่นี่เปรียบเหมือนเป็นสถานที่พักใจกลางเมืองเกนต์อย่างแท้จริง และก๊อตไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโบสถ์แห่งนี้ถึงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพราะความอลังการของสถาปัตยกรรมและศิลปะที่อยู่ภายใน มันสวยเลอค่าเกินบรรยายจริงๆ แบบต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจ
ถนนครานเลย์ (Kraanlei) เลียบแม่น้ำเลอิ (Leie River)
หลังจากเดินออกมาจากโบสถ์ จุดหมายต่อไปของก๊อตก็คือร้านขนมหวานชื่อดังประจำเมือง ซึ่งระหว่างทางเดินไปร้านนั้น เราได้เดินเลียบมาตาม ถนนครานเลย์ (Kraanlei) ถนนเส้นเล็กๆ ริมแม่น้ำเลอิ (Leie River) อีกฟากของเกนต์ที่เงียบสงบแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ละมุนละไม ผสมกลิ่นอายย้อนยุคไม่แพ้ถนนฝั่งกราสเลย์ (Graslei) และ โคเรนเลย์ (Korenlei) แต่ความต่างก็คือ ถนนครานเลย์ (Kraanlei) ไม่ได้อยู่ในโซนนักท่องเที่ยวพลุกพล่านมากนัก ที่นี่เลยกลายเป็นเหมือนจุด Hidden Gem ที่ซ่อนความสวยไว้แบบไม่ต้องพยายาม ใครเดินผ่านเป็นต้องยกกล้องแน่นอน
บรรยากาศระหว่างทางที่ก๊อตเดินผ่าน ถนนเส้นนี้ไม่กว้างนัก พื้นทางเดินปูด้วยหินก้อนเล็กเรียงกันอย่างคลาสสิก ให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ทุกย่างก้าวชวนให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินย้อนเวลากลับไปในยุคกลาง โดยวิวข้างทางคือแนวอาคารเก่าแก่ที่เรียงรายตามแนวคลอง ซึ่งอาคารที่เห็นส่วนใหญ่ในอดีตเคยเป็นบ้านของเหล่าพ่อค้า และหากเราสังเกตดีๆ จะเห็นว่าบางหลังมีป้ายชื่อเก่าแก่ติดอยู่ด้วย ถือเป็นดีเทลเล็กๆ ที่น่ารักมาก
ใครที่อยากได้รูปสวยๆ แบบไม่ติดคนมาก หรืออยากเดินเล่นแบบสงบๆ ไม่เร่งรีบ ก๊อตบอกเลยว่าถนนเส้นนี้คือเหมาะมาก ยิ่งใครมาช่วงที่มีแสงแดดอ่อนๆ ตกกระทบลงสู่อาคารเก่า แล้วสะท้อนเงาลงบนผิวน้ำในคลอง มันสวยจนเกินคำบรรยาย เหมือนเราได้สัมผัสเกนต์ในอีกแง่มุม ที่ยังคงงดงามแต่ไม่ได้ถูกกลืนหายไปกับความวุ่นวายของฝูงชน
ร้านขนมหวานเทมเมอร์มัน (Confiserie Temmerman)
หลังจากเดินเล่นจนเพลิน ก๊อตขอพาทุกคนมาพักเหนื่อยกันที่ ร้านขนมหวานเทมเมอร์มัน (Confiserie Temmerman) ร้านเก่าแก่ที่อยู่คู่เมืองเกนต์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 โดยเริ่มต้นจากฝีมือของคุณเบอร์ธา มอฟแฟร์ต (Bertha Moffaert) และสามีของเธอ ที่ทำขนมขิงกับลูกอมสูตรโบราณกันเองในครัวเล็กๆ ที่ต่อมาได้กลายเป็นขนมประจำเมืองเกนต์ไปโดยปริยาย ซึ่งปัจจุบัน ร้านขนมหวานเทมเมอร์มัน ยังดำเนินกิจการต่อเนื่องโดยทายาทรุ่นที่ 5 ของตระกูลเทมเมอร์มัน (Temmerman) ที่ไม่เพียงแต่สืบทอดสูตรขนมแบบเป๊ะทุกขั้นตอน แต่ยังพาร้านเติบโตไปถึงระดับประเทศ ขยายสาขาไปทั่วเบลเยียมและต่างประเทศอีกด้วย


บรรยากาศภายในร้านให้ฟีลโฮมมี่สุดๆ เหมือนหลุดเข้าไปในห้องปรุงขนมของพ่อมดแม่มดในเทพนิยาย ทุกมุมอบอวลไปด้วยกลิ่นหวานๆ จากขนมสดใหม่ที่เรียงรายอยู่แน่นร้านจนแทบเลือกไม่ถูก โดยขนมซิกเนเจอร์ที่ไม่ควรพลาดคือ “Cuberdons” หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า “Neuzekes” ขนมทรงหยดน้ำหน้าตาเก๋ สีสันจัดจ้าน ที่ทำจากน้ำตาลผสมไซรัป ด้านนอกกรอบเบาๆ ด้านในนุ่มหนึบแบบละลายในปาก หอมหวานกำลังดี และบางชิ้นยังมีรูปเป็นหน้ากากหลากหลายแบบ ถือเป็นของฝากที่ทั้งน่ารักและมีเอกลักษณ์สุดๆ
บอกเลยว่าความเนี้ยบของร้านนี้คือขนมของเค้าทุกชิ้นทำมาจาก กัมอารบิก (Gum Arabic) ที่ได้จากต้นอาคาเซียธรรมชาติ 100% แบบไม่พึ่งเจลาตินเลยแม้แต่นิดเดียว สายเจหรือวีแกนจึงสามารถทานได้อย่างสบายใจเลย นอกจากนี้เค้ายังมีขนมผิงสูตรต้นตำรับ ที่ใช้น้ำผึ้งแท้ผลิตแบบดั้งเดิม คือขนมทุกชิ้นเค้าใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบยันขั้นตอนการทำเลยทีเดียว ดังนั้นเรามั่นใจได้เลยว่า รสชาติจะเป๊ะตามสูตรโบราณที่ส่งต่อกันมากว่าร้อยปี



ยังไม่หมดเท่านั้น ร้านนี้เค้ายังมีขนมอีกกว่า 140 ชนิด ให้เลือกกิน อีกทั้งยังมีพราลีนที่ทำจากถั่วและน้ำตาลเคี่ยว ช็อกโกแลตเบลเยียมสูตรคลาสสิก ไปจนถึงใบชาเกรดพรีเมียมมากกว่า 60 ชนิด ที่ทางร้านคัดสรรมาอย่างดีเพื่อให้ทานคู่กับขนมหวานได้อย่างลงตัว หรือจะเลือกซื้อเป็นชุดของขวัญกลับไปก็ดีต่อใจสุดๆ ใครที่อยากสัมผัสกลิ่นอายของเกนต์ผ่านรสชาติขนมหวานที่มี เรื่องเล่ากว่า 100 ปี และยังคงไว้ซึ่งความพิถีพิถันแบบต้นตำรับ ก๊อตบอกเลยว่า ร้านขนมหวานเทมเมอร์มัน คืออีกหนึ่งร้านในเกนต์ที่ห้ามพลาดเลย
In Choc Gent
In Choc Gent อีกหนึ่งคาเฟ่เล็กๆ สุดอบอุ่นใจกลางเมืองเกนต์ ที่นี่เป็นเสมือนเป็นบ้านหลังน้อยของเหล่าเมนูช็อกโกแลต ขนมอบ และเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ทั้งเข้มข้นและละมุนลิ้น รวมถึงยังมีอาหารเช้า แซนด์วิชสูตรต้นตำรับ กาแฟรสชาติดีๆ และขนมอบโฮมเมด พร้อมสินค้าท้องถิ่นอีกมากมาย ทุกอย่างล้วนสะท้อนความใส่ใจและรสชาติแบบต้นตำรับของเกนต์ได้อย่างไร้ที่ติ ใครแวะมาแล้วจะต้องหลงรักความอร่อยแบบเรียบง่าย ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง อบอุ่นเหมือนมาบ้านเพื่อน แบบที่ทำให้เราแฮปปี้ตั้งแต่ก้าวเท้าแรกเข้าร้าน จนถึงตอนเดินออกไปเลยทีเดียว



สำหรับคาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับปราสาทกราเวนสตีน (Gravensteen) แลนด์มาร์กกลางเมืองเกนต์ ช่วงเช้าๆ จะมีการเสิร์ฟอาหารเช้าแสนอร่อย ส่วนใครที่เดินมาช่วงเที่ยง ที่คาเฟ่ยังมีเมนูอาหารกลางวันให้เลือกแบบจัดเต็ม แต่หากเรามาที่นี่ช่วงบ่ายๆ ในร้านก็จะมีขนมหวานและเมนูของหวานอีกเพียบให้ได้อร่อยกันแบบเต็มอิ่ม
ซึ่งเมนูเลื่องชื่อของเค้าเลยก็คือ วาฟเฟิลหอมกรุ่น ที่ใครมาเบลเยียมจะต้องลอง เพราะมันเป็นขนมขึ้นชื่อของประเทศเค้าเลย โดยที่ In Choc Gent จะเสิร์ฟกันมาแบบกรอบนอกนุ่มใน แถมยังมีท็อปปิ้งให้เราเลือกหลากหลายหน้า ซึ่งก๊อตลองทั้งที่เป็นแบบปกติ และแบบที่มีผลไม้ รสชาติคืออร่อยมาก มันมีความกรอบกำลังดี เนื้อด้านในนุ่ม กัดเข้าไปแล้วหอมละมุน ยิ่งได้กินคู่กับกาแฟร้อน ท่ามกลางวิวของปราสาทกราเวนสตีน (Gravensteen)ที่ช่วยให้วาฟเฟิลอร่อยขึ้นสองเท่าตัวเลย ใครที่เป็นสายของหวาน และอยากหาร้านอร่อยๆ ก๊อจแนะนำให้มาลองมานั่งร้านนี้ได้ นอกจากขนมและเครื่องดื่มอร่อยแล้ว ยังมีอาหาร และมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้ได้แช๊ะภาพกันแบบตาแตก




สะพานโฮฟด์บรุก (Hoofdbrug)
หลังจากอิ่มกับของหวาน ก๊อตก็เดินทอดน่องชมบรรยากาศเมืองเกนต์ไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับ สะพานโฮฟด์บรุก (Hoofdbrug) อีกหนึ่งมุมไม่ลับที่อยากให้ทุกคนปักหมุดไว้ เพราะถ่ายรูปออกมาแล้วสวยจับใจมากจริงๆ โดยบริเวณนี้จะอยู่ริมถนนเลียบคลองสายเล็กๆ ที่สามารถเดินต่อมาจากปราสาทกราเวนสตีน (Gravensteen) ได้แบบชิลๆ
ความเว่อร์วังคือ จากมุมนี้เราสามารถเก็บภาพย้อนกลับไปเห็นหอระฆังแห่งเกนต์ (Belfry of Ghent) ที่โผล่ขึ้นมาไกลๆ เป็นฉากหลังที่ที่สวยจนต้องหยุดถ่ายซ้ำหลายรอบ และตอนที่ก๊อตไปเป็นช่วงปลายปี วิวยังมีชิงช้าสวรรค์สีขาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางเมือง ช่วยเสริมกลิ่นอายเทศกาลคริสต์มาสเข้าไปอีกด้วย
นั่งชิลริมแม่น้ำเลอิ (Leie River)
ถ้าอยากเที่ยวเกนต์ให้ครบสูตร ต้องมีช่วงเวลาสงบๆ โดยการมานั่งชิลริมแม่น้ำเลอิ (Leie River) กันสักหน่อย และนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ก๊อตเลือกทำก่อนจากเมืองนี้ โดยเราแวะซื้อขนมกรุบกริบกับไวน์สักขวดจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวสะพานเซนต์ไมเคิล (Saint Michael’s Bridge) แล้วมาหามุมเงียบๆ นั่งปล่อยใจลอยไปกับสายน้ำพร้อมดื่มด่ำกับวิถีชีวิตผู้คนและวิวของเมืองเก่าแก่ที่กำลังเล่านิทานของตัวเองให้เราฟังเงียบๆ ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวันที่ได้ความโรแมนติกขั้นสุด
โดยแม่น้ำเลอิ (Leie River) นั้น เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของเกนต์มาตั้งแต่ยุคกลาง เป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงทั้งการค้า วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่มาหลายศตวรรษ โดยในอดีตแม่น้ำสายนี้เคยเป็นท่าเทียบเรือของพ่อค้าเกลือ ผ้า และเบียร์ ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตของคนเมือง ที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จิตวิญญาณของแม่น้ำก็ยังคงอยู่ไม่จางหาย
สำหรับการเอาขนมและเครื่องดื่มมานั่งกินชิลๆ เลียบแม่น้ำนั้น ถือเป็นช่วงเวลาชิลๆ ที่คนที่นี่ใช้พักฮีลใจจากวันวุ่นวายด้วยความเรียบง่ายแต่ได้พลังสุดๆ ซึ่งบรรยากาศช่วงพลบค่ำนั้นตรึงตาตรึงใจมาก ด้วยภาพของแสงเย็นสีส้มทองที่สะท้อนลงบนผิวน้ำ พร้อมภาพเงาของอาคารและสถาปัตยกรรมต่างๆ ทำให้รู้สึกสบายตา ยิ่งมีเสียงดนตรีคลอเคลียมาตามสายลมเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีเปิดหมวกด้วยแล้วยิ่งทำให้มู้ดของที่นี่เหมาะแก่การนั่งชิลเป็นที่สุด คือใครรู้สึกว่าวันทั้งวันเดินเที่ยวมาเยอะแล้ว อยากนั่งพักจริงๆ ได้อยู่กับตัวเอง ให้ลองมาตรงนี้ได้ ก๊อตเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยจะต้องตกหลุมรักวิวของแม่น้ำสายนี้เหมือนที่ก๊อตรู้สึกแน่นอน
สรุปการมาเที่ยว เกนต์ (Ghent)
หลังจากก๊อตได้พาทุกคนไปตะลุยเมือง เกนต์ (Ghent) ทั้งการสำรวจสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ชมงานศิลปะล้ำค่า เดินเล่นตามตรอกซอกซอย ไปจนถึงการตะลุยกินขนมหวานและวาฟเฟิล ก๊อตเชื่อว่าทุกคนคงสัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้กัน ถือเป็นอีกหนึ่งเมือง Hidden Gem ที่ครบรสและงดงามแบบที่ไม่ต้องเติมแต่งอะไรเลย เพราะสิ่งที่เมืองนี้เป็น มันก็พอดีอยู่แล้ว เอาเป็นว่า หากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศออกมาจากเมืองใหญ่ แล้วอยากตามหาความเป็นเบลเยียมแท้ๆ ที่มีชีวิต มีศิลปะ มีประวัติศาสตร์ และมีความอินดี้แบบชาวเมืองจริงๆ เกนต์ (Ghent) คือเมืองที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตเลย
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡