หางโจว (Hangzhou) อีกหนึ่งเมืองในจีนที่ช่วงหลังมานี้ คนไทยไปเที่ยวกันเยอะมากเนื่องจากเป็นเมืองที่เดินทางง่ายจากเซี่ยงไฮ้นั่นเอง โดยหางโจวเป็นเมืองที่มีที่เที่ยวครบรสชาติมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรม ช้อปปิ้ง ไปจนถึงอาหารรสชาติดีๆ ท่ามกลางบรรยากาศเมืองที่ไม่ได้พลุกพล่านอย่างในเมืองใหญ่ๆ ทำให้ หางโจว (Hangzhou) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมมาดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดสงบ ทว่าก็มีชีวิตชีวาในเวลาเดียวกัน ซึ่งรีวิวนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวแลนด์มาร์คดังของเมืองเค้า ทั้งไปเดินเล่นในทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ตามเก็บเจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมายาวนาน ไปจนถึงเดินเล่นตลาดกลางคืนแบบจัดเต็ม ที่ก๊อตเชื่อว่าเมื่อทุกคนอ่านรีวิวนี้จบแล้ว จะได้เปิดมุมมองของจีนกับเมืองใหม่ๆ ไปด้วยกัน ดังนั้น เราไปเริ่มกันเลย
รู้จักกับ หางโจว (Hangzhou)
หางโจว (Hangzhou) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง (Yangtze River Delta) โดยอยู่ห่างจากเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 180 กิโลเมตร ถือเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของจีนตะวันออกที่เชื่อมโยงภูมิภาคชายฝั่งทะเลกับพื้นที่ตอนในของประเทศเข้าไว้ด้วยกัน โดยหางโจวรายล้อมไปด้วยแนวเทือกเขา และมี ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ชื่อตั้งอยู่ใจกลางเมือง นั่นทำให้ หางโจว (Hangzhou) กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่บรรยากาศสวยงาม และเงียบสงบ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสุดป๊อบสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติเลย
หางโจว (Hangzhou) มีประวัติศาสตร์ที่ต้องย้อนกลับไปถึงปี 221 ก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงราชวงศ์ฉิน (Qin Dynasty) ขณะนั้นเมืองมีชื่อว่า เฉียนถัง (Qiantang County) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น หางโจว (Hangzhou) ในช่วงสมัยราชวงศ์สุย (ค.ศ. 581-618) อีกทั้งในปี ค.ศ. 609 มีการสร้างคลองใหญ่ (Grand Canal) ขึ้นมาภายในเมือง ส่งผลให้ หางโจว (Hangzhou) กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจและการค้าของจีนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ หางโจว (Hangzhou) เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในฐานะศูนย์กลางการค้า และด้วยความที่เมืองมีคลองขนาดใหญ่ ทำให้ที่นี่เป็นเหมือนแหล่งรวมผู้คน วัฒนธรรม และสินค้าต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะสินค้าประเภทผ้าไหม ชา และงานหัตถกรรมนั้นหางโจวได้ชื่อว่าเป็นเดอะเบสเลย ซึ่งปัจจุบันนี้ เมืองแห่งนี้ก็ไม่เคยหยุดพัฒนา ไม่ว่าจะมีสิ่งปลูกสร้างที่ทันสมัยเข้ามามากแค่ไหน หางโจวยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ใครที่ชื่นชอบการเที่ยวเมืองเก่าที่ผสมผสานเข้ากับความสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว อยากให้ลองเปิดใจมาเที่ยวที่นี่ดู รับรองว่าจะต้องชอบกันอย่างแน่นอน
แนะนำที่พักในหางโจว (Hangzhou)
คนที่กำลังหาที่พักในหางโจว (Hangzhou) อยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปนอนย่านไหนดี เพื่อให้ตอบโจทย์การเที่ยวของตัวเองมากที่สุด ก๊อตจะแนะนำย่านที่พักให้ โดยขอแบ่งแยกออกเป็นย่านต่างๆ ตามนี้เลย ซึ่งแต่ละย่านเค้าจะมีจุดเด่นและความสะดวกสบายต่างกันออกไป รวมถึงราคาที่พักที่เหวี่ยงขึ้นลงตามแต่ละพื้นที่อีกด้วย ยังไงทุกคนลองดูตามที่ก๊อตแนะนำก่อนได้ พยายามคัดมาให้แล้ว
⚡️ดูแนะนำที่พักและโรงแรมในหางโจว (Hangzhou) ฉบับเต็ม คลิกที่นี่
ย่านริมทะเลสาบซีหูฝั่งตะวันออก (East of West Lake)
ย่านริมทะเลสาบซีหูฝั่งตะวันออก (East of West Lake) ถือเป็นย่านที่ดีที่สุดและเป็นย่านเดียวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยในการเลือกที่พักในเมืองหางโจวเลย เพราะครบจบทั้งเรื่องเที่ยว ช้อปปิ้ง กิน และการเดินทางที่สะดวกที่สุดของเมืองที่เราสามารถไปที่เที่ยวต่างๆ ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะทะเลสาบซีหู (West Lake / Xihu) ที่ถือเป็นไฮไลท์ที่เราเดินไปแปปเดียวก็ถึงแล้ว สามารถเลียบทะเลสาบชิลๆ ชมวิวสะพานโบราณ หรือแวะถ่ายรูปกับเกาะเล็กๆ ที่สวยเหมือนฉากในซีรีส์จีน บอกเลยว่าฟิน
ส่วนเรื่องการเดินทางในย่านนี้ก็สะดวกสุดๆ เพราะมีสถานีหลงเซียงเฉียว (Longxiangqiao Station) สถานีรถไฟฟ้าสาย 1 ที่ถือเป็นจุดศูนย์กลางของย่านนี้ หากเราเดินทางมาจากเซี่ยงไฮ้ หรือจะกลับเซี่ยงไฮ้ ก็สามารถใช้รถไฟสาย 1 จากสถานีนี้ เพื่อเดินทางไปยัง Hangzhou Railway Station ได้แบบง่ายมากๆ อีกด้วย
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (4,000 ++ บาท/คืน): Grand Hyatt Hangzhou / Midtown Shangri-La Hangzhou / Canopy by Hilton Hangzhou West Lake
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมถึงได้ (2,000-4,000 บาท/คืน): Friendship Hotel Hangzhou / Hangzhou Xinqiao Hotel
- โรงแรม / โฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 2,000 บาท/คืน): Home Inn Plus Hangzhou West Lake Lakeside Pedestrian Street / Atour X Hotel Hangzhou Xihu Hubin Yan’an Road / Merchant Marco Hotel
แนะนำโรงแรมลักชูตัวท็อปในหางโจว (Hangzhou)
- Four Seasons Hotel Hangzhou at West Lake: โรงแรมนี้คือที่สุดของความลักชูในหางโจว กับ Four Seasons Hotel Hangzhou at West Lake ตั้งอยู่ริมทะเลสาบซีหู ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกสไตล์หมู่บ้านจีนโบราณ ห้องพักมีเพียง 80 ยูนิต เน้นความเป็นส่วนตัว พร้อมวิวทะเลสาบและสวน โดยก๊อตแนะนำเลือกเป็น Premier Room / Governor Suite ที่มีอ่างอาบน้ำหันวิวทะเลสาบเลย
- Banyan Tree Hangzhou: รีสอร์ตหรูในบรรยากาศหมู่บ้านริมน้ำโบราณ ตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์ Xixi Wetlands ที่สงบและรายล้อมด้วยลำคลอง ที่พักเป็นวิลล่าส่วนตัวพร้อมสระว่ายน้ำและสวน เหมาะกับการพักผ่อนแบบไพรเสทสุดๆ โดนจุดเด่นของที่นี่คือ Banyan Tree Spa ที่รวมศาสตร์บำบัดแบบไทย-จีน รวมถึงยังมีชั้นเรียนโยคะเฉพาะแขกโรงแรม แบะ Bai Yun ห้องอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งแท้ๆ
- Amanfayun: รีสอร์ตลักชูที่รีโนเวตจากหมู่บ้านจีนโบราณ ตั้งอยู่ใกล้วัด Lingyin และยังคงบรรยากาศของหมู่บ้านจีนไว้ครบถ้วน บ้านพักแต่ละหลังสร้างจากอิฐไม้ สไตล์มินิมอลหรูตามแบบฉบับ Aman ไฮไลท์คือ Tea House ที่เสิร์ฟชาหายากกับติ่มซำสูตรโบราณ และ Aman Spa ที่มีทรีทเมนต์สมุนไพรจีนสุดขึ้นเลื่องชื่อคอยให้บริการ
- Park Hyatt Hangzhou: โรงแรมตอบโจทย์สายโมเดิร์นที่ตั้งอยู่ในย่าน Qianjiang New Town เป็นหนึ่งในโรงแรมที่สูงที่สุดในเมือง ห้องพักหรูโมเดิร์น พร้อมกระจกเต็มบาน สามารถชมวิวแม่น้ำ และเมืองได้แบบพาโนราม่า ที่เด็ดสุดคือ Living Room บาร์ชั้น 48 สำหรับจิบค็อกเทลพร้อมชมวิว และ The Dining Room ที่เสิร์ฟอาหารตะวันตกฟิวชั่นที่ตกแต่งจานมาอย่างสวยงาม
- Conrad Hangzhou: โรงแรมใหม่ล่าสุดในเครือคอนราด ที่เพิ่งเปิดตัวในหางโจว ที่นี่ตั้งอยู่ในอาคารคู่ที่เป็นแลนด์มาร์กสูงเสียดฟ้าของย่าน Qianjiang New Town ทำให้ทุกห้องพักการันตีวิวแม่น้ำเฉียนถังจากห้องพักทุกห้อง ดีไซน์ห้องพักออกแบบในสไตล์โมเดิร์นลักชู และที่พลาดไม่ได้คือ ‘Li Feng’ ห้องอาหารจีนสไตล์โมเดิร์นที่ได้รับการรีวิวว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารจีนที่ดีที่สุดในหางโจว และยังมี ‘Blue Willow’ บาร์บนดาดฟ้าที่เสิร์ฟค็อกเทลและอาหารทาปาสพร้อมวิวเมืองแบบ 360 องศา อีกด้วย
ข้อมูลแน่นแล้ว ไปเริ่มเที่ยว หางโจว (Hangzhou) กันเล้ยย
ถนนประวัติศาสตร์อู่หลิวโหลว (Wuliuxiang History Block)
เรามาเริ่มต้นเที่ยวหางโจวกันที่ ถนนประวัติศาสตร์อู่หลิวโหลว (Wuliuxiang History Block) ย่านเก่าแก่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอดีต ใครที่อยากเดินเล่น ช้อป กินของอร่อย ท่ามกลางอาคารโบราณและบรรยากาศย้อนยุคแบบจีนๆ ต้องแวะมาที่นี่ให้ได้เลย โดยย่านแห่งนี้เรียกได้ว่ามีความเก่าแก่ และอยู่คู่กับเมืองมายาวนานมาก โดยย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ. 1127–1279) พื้นที่นี้เคยเป็นที่ตั้งของสวนอู่หลิ่ว (Wuliu Garden) ซึ่งเป็นสวนหลวงในสมัยนั้น ทำให้ภายในบริเวณย่านเต็มไปด้วยบ้านพักของขุนนางตั้งอยู่มากมาย
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายยุคหลายสมัย บ้านพักเหล่านี้ก็กลายมาเป็นย่านที่พักอาศัยของผู้คนทั่วไป โดยมีช่างฝีมือและพ่อค้าเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศในย่านคึกคักและมีกิจการต่างๆ เปิดตัวขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ด ยิ่งในช่วงปี ค.ศ. 1907 (สมัยราชวงศ์ชิง) เมื่อความพัฒนาเข้ามาเยือน และมีการสร้างสถานีรถไฟหางโจวขึ้นมา นั่นยิ่งทำให้ ถนนประวัติศาสตร์อู่หลิวโหลว (Wuliuxiang History Block) กลายเป็นแลนด์มาร์คของเมืองที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน นักท่องเที่ยว และร้านรวงมากมายนั่นเอง
สำหรับบรรยากาศภายใน ถนนประวัติศาสตร์อู่หลิวโหลว (Wuliuxiang History Block) จะเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนทอดยาวอยู่ตามสองฝั่งของถนน โดยมีโซนที่ร้านค้าตั้งเลียบไปตามคลองสายเล็กๆ ท่ามกลางต้นไม้เขียวๆ ให้ได้มาเดินอีกด้วย โดยมู้ดของโซนนี้ค่อนข้างเงียบกว่าด้านนอก ผู้คนไม่พลุกพล่าน เป็นเหมือนเวิ้งอาร์ตเล็กๆ น่ารักๆ ที่เราสามารถเดินเล่นได้แบบชิลๆ
ส่วนของที่ขายกันใน ถนนประวัติศาสตร์อู่หลิวโหลว (Wuliuxiang History Block) หลักๆ นั้น มีแทบทุกประเภทเลยก็ว่าได้ ทั้งของกินเล่น อาหาร คาเฟ่ และร้านค้าที่ขายของประเภทงานศิลปะอยู่อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนผสมผสานความเก่าแก่ของพื้นที่เข้ากับความทันสมัยของเครื่องไม้เครื่องมือและของตกแต่งได้อย่างลงตัว นั่นทำให้ก๊อตใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในย่านแห่งนี้ได้ยาวๆ เพราะนอกจากเราจะเก็บภาพสวยๆ มาฝากทุกคนแล้ว ก๊อตยังมีแวะกินและหามุมนั่งชิลๆ อีกด้วย ซึ่งใครที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศและวัฒนธรรมดั้งเดิมของหางโจว ที่เที่ยวแรกที่ควรมาเลยก็คือ ถนนประวัติศาสตร์อู่หลิวโหลว (Wuliuxiang History Block) รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน
ถนนคนเดินเหอฟางเจี่ย (Qinghefang Ancient Street)
มาเที่ยวกันต่อที่ ถนนคนเดินเหอฟางเจี่ย (Qinghefang Ancient Street) อีกหนึ่งถนนคนเดินที่มาในบรรยากาศคึกคัก แถมยังมีสารพัดของขายตั้งแต่ของฝาก ของกินไปจนถึงของฝากให้เราได้เลือกช้อปกันเพลินตามาก ใครอยากละลายทรัพย์ขั้นสุดต้องมาต่อที่นี่เลย
สำหรับต้นกำเนิดของ ถนนคนเดินเหอฟางเจี่ย (Qinghefang Ancient Street) ต้องเล่าย้อนกลับไปในช่วงราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ. 1127-1279) ในยุคนั้น หางโจวเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก จึงเกิดถนนเส้นนี้ขึ้นมา ซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านยา และคาเฟ่ชา รวมถึงที่อยู่อาศัยของบุคคลสำคัญต่างๆ อยู่มากมาย นอกจากนี้อาคารที่ปลูกสร้างกันเป็นแนวตามสองฝั่งของถนนนั้น ยังเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนดั้งเดิมที่โดดเด่นด้วยโทนสีไม้ ซึ่งในบางหลังมีลวดลายของการแกะสลักไม้เอาไว้อย่างงดงามให้เราได้เดินส่องกันอีกด้วย
มาถึง ถนนคนเดินเหอฟางเจี่ย (Qinghefang Ancient Street) ต้องมาเช็คอินที่ ร้านขายยาจีนชื่อดังอย่าง หูชิงหยู่ตัง (Hu Qingyutang) ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1874 โดยหู เซวียน (Hu Xueyan) ตัวร้านมีกำแพงสูงใหญ่ ข้างในทำเป็นเหมือนโรงเตี๊ยมขายยาจีนสารพัดชนิด ซึ่งบรรยากาศในตอนที่ก๊อตไป บอกเลยว่าคนแตกแตนมาก เพราะนอกจากเค้าจะขายยาจีนแล้ว ทางร้านเค้ามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวยา รวมถึงมีน้ำสมุนไพรให้ได้กินฟรีอีกด้วย ด้านในจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของยาจีนคละคลุ้งไปทั่วเลย
นอกจากร้านขายยาจีนชื่อดังแล้ว ในถนนสายนี้ยังเต็มไปด้วยของกินและของฝากแบบเยอะมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายชุดจีนพริ้วๆ เครื่องประดับ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิว หน้า ไปจนถึงเส้นผม ผสมปนเปไปกับร้านขายของที่ระลึก ทั้งสินค้าฟีลโอท็อปบ้านเค้า อย่างพวกพัดลายจีนๆ ปิ่นปักผม กำไลหยกแบบนั้น ส่วนของกินมีให้เลือกเยอะไม่น้อยหน้ากันเลย อย่างถังหูลู่ หมาล่า ชาผลไม้ ผลไม้อบแห้ง และอีกสารพัดก็มีให้ได้เลือกกินเพียบ ซึ่งตัวร้านค้าในถนนสายนี้ เค้าจะตั้งอยู่ในอาคารไม้สไตล์จีนแบบดั้งเดิมๆ เรียงรายกันเป็นแนวยาวตอนลึกให้เราได้ค่อยๆ เดินเที่ยวกัน ใครที่อยากมาหาของฝาก หรือของกินเล่น ก๊อตว่าถนนสายนี้มีให้ได้เลือกเยอะกว่าถนนเส้นก่อนหน้าที่ก๊อตไปมามาก แต่เอาเป็นว่าให้ทุกคนเลือกเดินตามสะดวกได้เลย แต่ถ้ามีเวลาเหลือๆ ก็เดินมันทั้งสองถนนไปโลด
ย่านหลงเซียงเฉียว (Longxiangqiao)
ย่านหลงเซียงเฉียว (Longxiangqiao) อีกหนึ่งย่านกินเที่ยวช้อปที่ให้ฟีลความเป็นเมืองใหม่ เหมือนเราเดินเล่นในสยามบ้านเรา ไม่ว่าจะช้อปของแบรนด์ดัง เดินห้าง ก๊อตแนะนำให้ปักหมุดมาเลยที่ ย่านหลงเซียงเฉียว (Longxiangqiao) ได้เลย โดยย่านี้เป็นแหล่งรวมร้านค้าตั้งแต่ราคาย่อมเยาไปจนถึงแบรนด์ดัง อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าหลากหลายตึกอีกด้วย ดังนั้น มาที่นี่แล้วเราจะได้ช้อปกันแบบถึงใจแน่นอน
โดยย่านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบซีหู (West Lake) และเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟใต้ดินหลงเซียงเฉียว (Longxiangqiao Station) ทำให้ ย่านหลงเซียงเฉียว (Longxiangqiao) เป็นเหมือนศูนย์กลางของเมืองที่คักคักอยู่ตลอดทั้งวัน โดยชื่อของ ย่านหลงเซียงเฉียว (Longxiangqiao) ซึ่งแปลว่า “สะพานมังกรเหิน” ชี้ให้เห็นว่าในอดีตอาจเคยมีสะพานอยู่ในบริเวณย่านแห่งนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เค้าไม่ได้มีข้อมูลระบุที่แน่ชัดนะว่ามีสะพานอยู่ตรงไหน รวมถึงไม่ได้มีข้อมูลลงลึกว่าย่านมันเกิดมาตั้งแต่ยุคไหนสมัยไหนอีกด้วย แต่ในปัจจุบันนี้หากใครมาเที่ยว หางโจ แล้วอยากมาเดินช้อปฟีลห้างและร้านค้าใหม่ๆ คือต้องมาที่นี่เลย
บรรยากาศย่านนี้ บอกเลยว่าคึกคักมาก ยิ่งบริเวณที่เป็นใจกลางย่านตรงสี่แยก ซึ่งมีห้าง City Center และ in77 ตั้งอยู่หัวมุมนั้น พอถึงเวลาไฟเขียวที คนข้ามถนนไปมากันให้ว่อนอย่างกับมด ซึ่งใครอยากเข้าไปช้อปในห้าง ก๊อตแนะนำเลย เพราะมีพวกช็อปอยู่เยอะมาก ทั้งแบรนด์ Nike, Adidas, Uniqlo, Sephora, MUJI, Zara ไปจนถึงช็อปของ Miniso ขนาดใหญ่อีกด้วย เรียกได้ว่ามีของให้ช้อปเพียบ
นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ตั้งของช็อป Apple Store ขนาดใหญ่ และช็อปแบรนด์หรูทั้งเครื่องประดับและเครื่องสำอางอย่าง Louis Vuitton, Gucci, Chanel, Prada อีกด้วย ส่วนใครที่เดินจนเมื่อยแล้ว จะแวะกลับเเข้าห้างไปรับลมแอร์เย็นๆ แล้วหาอะไรกินปิดท้ายได้นะ ถือเป็นย่านที่มาแล้วครบจบเรื่องช้อปปิ้งในที่เดียวเลย
ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake)
หากให้ก๊อตพูดถึงแลนด์มาร์คของ หางโจว (Hangzhou) จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่ที่ ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในจีน ความเว่อร์วังคือเค้าเป็นทะเลสาบที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี อีกทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ. 2011 อีกด้วย
สำหรับ ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) เดิมทีเป็นเพียงทะเลสาบธรรมชาติขนาดเล็ก ต่อมาได้มีการพัฒนาให้กลายมาเป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการชลประทาน จนในปี ค.ศ. 822 สมัยราชวงศ์ถัง ไป่จวีอี้ (Bai Juyi) ผู้ว่าราชการในขณะนั้น ได้เริ่มขุดลอกทะเลสาบครั้งใหญ่เพื่อป้องกันน้ำท่วมและปรับปรุงระบบชลประทาน ทะเลสาบเลยกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960-1279) ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ยังคงได้รับการดูแลและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างวัด เจดีย์ และสวนต่างๆ ขึ้นรอบๆ พื้นที่มากมาย ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดพักผ่อนสำหรับคนในเมืองไปโดยปริยาย กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1089 ซูซือ (Su Shi) หรือ ซูตงโพ กวีและผู้ว่าราชการเมืองในช่วงเวลานั้น ได้ดำเนินการขุดลอกทะเลสาบครั้งใหญ่อีกหน และครั้งนี้เค้าได้สร้างคันดิน หรือที่เรียกกันว่า สะพานซู (Su Causeway) ซึ่งมีความยาว 2.8 กิโลเมตร ขึ้นมา ท่ามกลางการปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ นั่นเลยทำให้ทะเลสาบฮิตมากกว่าเดิมอีกด้วย
บรรยากาศภายใน ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ก๊อตต้องบอกก่อนว่าพื้นที่เค้าโอ่อ่ากว้างขวางมาก คือครอบคลุมพื้นที่กว่า 6.5 ตารางกิโลเมตรเลย ซึ่งภายในนั้นจะแบ่งโซนให้เราได้เดินเที่ยวเล่นกันเยอะมาก อย่างก๊อตเองจะเดินเลียบทะเลสาบจากย่านย่านหลงเซียงเฉียว (Longxiangqiao) แล้วลัดเลาะไปทางทิศใต้นั่นเอง โดยบริเวณแรกที่ก๊อตเดินเข้ามาจะเป็นลานกว้างๆ มีต้นไม้ใหญ่ปลูกอยู่เป็นจุดๆ ที่เราสามารถนั่งชิล ถ่ายรูปกับนกพิราบท่ามกลางวิวทะเลสาบ โดยจากจุดนี้เราสามารถมองออกไปเห็นวิวของ เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) ที่อยู่ไม่ไกลได้อีกด้วย นอกจากนี้ใครที่อยากแต่งตัวเหมือนหลุดเข้าไปในหนังจีน แล้วออกไปล่องเรือบนทะเลสาบ ในโซนนี้เค้ามีล่องเรือให้บริการด้วยนะ
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
เดินเลียบทะเลสาบเข้ามาหน่อยจะเจอกับจุดไฮไลท์หลักของทะเลสาบอย่าง ศาลาจี่เซียน (Jixian Pavilion) ศาลาจีนดั้งเดิมหลังคาซ้อนสองชั้นที่ตั้งกลางน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลสาบ ใครที่อยากได้ภาพมุมสวยๆ สามารถเดินลงไปเก็บภาพกันได้ จากนั้นเราก็เดินเลียบทะเลสาบลงไปเรื่อยๆ โดยตลอดเส้นทางจะมีทั้งร้านค้า มุมนั่งเล่น ให้เราได้พักผ่อนหย่อนใจ โดยบริเวณนี้จะเริ่มสัมผัสได้ถึงความสดชื่นจากเหล่าต้นไม้เขียวๆ เหมาะกับการมานั่งพักชิลๆ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ แถมคนยังไม่เยอะมากอีกด้วย
หลังจากถ่ายรูปตรงศาลาเสร็จแล้ว ก๊อตก็เดินมาตามเส้นทางผ่านโซนนั่งพักผ่อน และสนามหญ้าเข้ามาไม่ไกลมาก เราจะเจอกับเส้นทางที่เดินเลียบอยู่บนทะเลสาบ โดยเป็นทางปูนยกระดับทอดยาวคดเคี้ยวไปเรื่อยๆ ความดีย์งามของเส้นทางนี้ คือเราจะได้เดินส่องธรรมชาติบนทะเลสาบ ท่ามกลางฝั่งหนึ่งที่เป็นแนวต้นไม้เขียวๆ และอีกฝั่งเป็นเวิ้งทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ที่เราสามารถมองย้อนกลับไปดูวิวฝั่งศาลาและจุดแรกที่เดินเข้ามาได้ ซึ่งระหว่างทางก็จะมีพี่สาวชาวจีนใส่ชุดกรุยกรายมาถ่ายรูปสวยๆ อยู่ประปราย ถือเป็นเส้นทางที่เหมาะกับการมาเดินเล่นเล่นชิลๆ รับลมเย็นๆ และถ่ายรูปเป็นที่สุด
ไฮไลท์ของทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) อีกหนึ่งจุดจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่ สะพานหยงจิน (Yongjin Bridge) สะพานหินที่โดดเด่นด้วยรูปทรงโค้งเหนือผิวน้ำ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบ โดยตัวสะพานเค้าทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลสาบซีหู เข้ากับสระหย่งจิน (Yongjin Pond) นั่นเอง ซึ่งหากใครอยู่เที่ยวที่นี่จนถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ก๊อตอยากให้เดินมาตรงสะพานนี้มาก เพราะเค้าเป็นจุดที่ดูพระอาทิตย์ตกดินได้สวยที่สุดเลย โดยเราจะได้ดื่มด่ำกับภาพของพระอาทิตย์สีส้มทองที่ส่องแสงตกกระทบลงบนผิวน้ำของทะเลสาบ เกิดเป็นภาพระยิบระยิบให้ความรู้สึกสึกโรแมนติกและเงียบสงบนั่นเอง
หลังจากเดินตามข้ามสะพานมาแล้ว ก๊อตก็เดินเก็บภาพบรรยากาศของสวนรอบๆ อีกนิดหน่อย จากนั้นเราก็เดินมาพักเหนื่อย หาอะไรเย็นๆ กินกันที่ Starbucks ซึ่งจะอยู่ในย่านซีหู เทียนตี้ (Xihu Tiandi) ศูนย์รวมความบันเทิงที่รวมเอา ร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหารเก๋ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ภายในคอมเพล็กซ์ที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมจีนโบราณเหมือนพาเราย้อนยุคกลับไปในอดีต โดยสตาบัคส์ที่ก๊อตมานั่งกันนั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวๆ เลียบกับทะเลสาบ สามารถมองเห็นผู้คนเดินเล่นและทำกิจกรรมอยู่ภายในได้ เป็นอีกจุดที่ใครอยากแวะพักคลายเหนื่อย ก๊อตแนะนำเลย
ซึ่งพอเรามีเอเนอจี้แล้ว ก๊อตก็เรียกแท็กซี่จากตรงนี้ แล้วไปเที่ยวที่ต่อไป โดยรวมแล้ว ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) นั้น บอกเลยว่า ของจริงคือเว่อร์วังอลังการมาก ใครจะมาตามรอย ก๊อตแนะนำให้พกน้ำดื่มมาด้วย เพราะเส้นทางเดินในนั้นค่อนข้างกว้าง หรือจะมาซื้อรอบทะเลสาบก็ได้นะ เพราะเค้ามีร้านขายน้ำและขนมกรุบกริบให้ได้ซื้ออยู่ โดยรวมแล้วที่นี่ธรรมชาติสวยงามมาก เหมาะกับวันพักผ่อนชิลๆ นั่งเล่นชมนกชมไม้สุดๆ
เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda)
เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองหางโจว ตั้งอยู่บนยอดเขาเหลยเฟิง (Leifeng Peak) บนเนินเขาซีเจา (Sunset Hill) ทางตอนใต้ของทะเลสาบซีหู โดยที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญที่อยู่คู่กับเมืองมาอย่างช้านานเลยก็ว่าได้ ซึ่งเราสามารถมาเที่ยวที่นี่ต่อหลังจากเที่ยวทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ได้เลย ความเริ่ดคือจากด้านบนยอดของเจดีย์สามารถมองเห็นวิวมุมสูงของทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ได้อย่างงดงามตระการตา
สำหรับเรื่องราวความเป็นมาของ เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) มีประวัติเล่าเอาไว้ว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้นในปีที่ 2 แห่งรัชศกไท่ผิงซิงกั๋ว (ค.ศ. 977) สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (ค.ศ. 960-1127) โดยพระเจ้าของอาณาจักรอู๋เยว่ได้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการตั้งครรภ์ของฮวางเฟย นางสนมที่ท่านโปรดปรานนักหนา ถึงขนาดที่ว่าเมื่อสร้างเจดีย์เสร็จแล้ว ได้ตั้งชื่อชื่อเจดีย์ว่า เจดีย์ฮวางเฟย (Huangfei Pagoda) เลยทีเดียว จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมาหลายช่วงสมัย ผ่านการปกครองจากราชวงศ์มามากหน้าหลายตา เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) เริ่มได้รับความเสียหายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากการถูกเผาไหม้ และสงคราม ยิ่งในช่วงสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1522-1566) ช่วงรัชกาลเจียจิ้ง โจรสลัดญี่ปุ่นได้บุกโจมตีหางโจวและทำการเผาเจดีย์ เพราะเกรงว่าจะมีทหารซ่อนตัวอยู่ภายใน ส่งผลให้โครงสร้างไม้ของเจดีย์ทั้งหมดถูกทำลาย เหลือเพียงโครงสร้างของอิฐเท่านั้น
กระทั่งในช่วงปลายราชวงศ์ชิงถึงต้นยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน (ค.ศ. 1644-1949) ชาวบ้านเชื่อว่าอิฐจากเจดีย์มีพลังขจัดสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมบารมีให้มีลูกหลานได้มาก จึงได้แอบเข้ามารื้อถอนเอาอิฐออกไปใช้งานเรื่อยๆ จนในที่สุดเจดีย์ก็ได้พังทลายลงเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1924 และถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น จนช่วงปี ค.ศ. 2000-2001 พื้นที่โดยรอบของเจดีย์ได้รับการขุดแต่งและได้มีการขุดพบห้องใต้ดินของเจดีย์ ซึ่งมีวัตถุโบราณจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปสัมฤทธิ์เคลือบทอง กระจกสัมฤทธิ์ เหรียญโบราณ เครื่องประดับหยก และสถูปทองคำขนาดเล็กที่บรรจุอยู่ในกล่องเหล็ก ทางการจีนเลยประกาศให้มีการวางรากฐานของเจดีย์ใหม่ ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2000 ก่อนจะทำการบูรณะและก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2002 นั่นเอง
เรื่องราวของเจดีย์ยังไม่หมดเท่านี้นะทุกคน เพราะที่นี่ยังมีตำนานที่เป็นเรื่องราวของนางพญางูขาวกับชายหนุ่มมนุษย์ธรรมดาที่ได้มาตกหลุมรักกัน ซึ่งตำนานเล่าเอาไว้ว่า มีงูขาวและงูเขียวที่บำเพ็ญเพียรจนสามารถกลายร่างเป็นหญิงสาวสวยชื่อ ไป๋ซู่เจิน และ เสี่ยวชิง อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พวกนางได้เที่ยวอยู่ในทะเลสาบซีหู ฝนได้ตกลงมาอย่างกะทันหัน พวกนางทั้งสองจึงได้พบกับชายหนุ่มที่ชื่อ สวี่เซียน (Xu Xi’an) บนสะพานหัก และเขาให้ไป๋ซู่เจิน หรือนางพญางูขาวยืมร่ม ทำให้พวกเขาทั้งสองคนตกหลุมรักกันทันที และได้ตกลงแต่งงานกันในเวลาต่อมา แต่พระภิกษุที่ชื่อ ฝาไห่ (Fa Hai) พยายามแยกทั้งคู่ออกจากกัน แถมยังได้จับสวี่เซียนไปกักขังเอาไว้ ไป๋ซู่เจินจึงพยายามช่วยสามีอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่พอนางยังถูกฝาไห่จับขังไว้ใต้เจดีย์เหลยเฟิงอีกด้วย ต่อมา เสี่ยวชิง หรือนางพญางูเขียว จึงได้ฝึกฝนวิชาอย่างสุดความสามารถ จนในที่สุดก็มาต่อสู้กับฝาไห่และทลายเจดีย์ลงมาได้ พร้อมทั้งได้ช่วยเหลือไป๋ซู่เจินและสวี่เซียนได้สำเร็จ ทำให้ทั้งสองได้ครองรักกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สำหรับการมาเที่ยว เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) จะมีค่าเข้าอยู่ที่คนละ 30-40 หยวน (~150-200 บาท) ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เราไปเที่ยว โดยตั๋วเราสามารถมาซื้อที่หน้างานได้เลย ซึ่งสะดวกสบายมาก โดยการเดินเที่ยวใน เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) เราเริ่มต้นด้วยการเดินเล่นรอบๆ บริเวณด้านล่างก่อน เพราะเค้ามีโซนสวนและมุมถ่ายรูปสวยๆ อยู่เยอะเลย จากนั้นจึงจะเดินขึ้นไปตามเนินเขาเรื่อยๆ เพื่อขึ้นไปยังเจดีย์ที่ตั้งอยู่ด้านบน ซึ่งในปัจจุบันนี้ เจดีย์ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ ฐาน ตัวเจดีย์ และยอด รวมความสูงทั้งหมด 72 เมตร โดยแบ่งจัดแสดงให้เราได้เข้าชมทั้งหมด 4 ชั้น ซึ่งจะมีชั้นใต้ดินและส่วนที่เป็นโดมแยกออกมาอีกด้วย
เรามาเริ่มสำรวจเจดีย์จากชั้นใต้ดิน ซึ่งจะเป็นชั้นที่จัดแสดงอิฐโบราณของเจดีย์ดั้งเดิม ตรงนี้อลังการมาก เพราะเราจะได้เห็นอิฐมากมายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนประกอบของเจดีย์ ที่แม้ว่าปัจจุบันนี้จะอยู่ในสภาพพังทลาย แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่อยู่ดี มาต่อที่ชั้น 1 โซนนี้จะเป็นเล่าเรื่องตำนานนางพญางูขาวใน 6 ตอน ซึ่งจัดแสดงอยู่ภายในให้ได้เดินชมผ่านชิ้นงานศิลปะที่ประณีต ทำให้เราเข้าใจความเป็นมาของตำนานแห่งนี้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ส่วนชั้น 2 จะเป็นงานจิตรกรรมและแกะสลักเกี่ยวกับการสร้างเจดีย์สมัยอาณาจักรอู๋เยว่ ภายในจะมีภาพวาดจิตรกรรมมากมายที่ทำให้เราเห็นถึงที่มาและการสร้างเจดีย์ ที่กว่าจะออกมาเป็นเจดีย์สวยๆ นั้นต้องผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง รวมถึงยังมีชิ้นงานแกะสลักสุดวิจิตรบรรจงจัดแสดงอยู่ร่วมด้วย ส่วนบริเวณชั้น 3 จะเป็นพื้นที่แสดงบทกวีและบทความจากนักเขียนโบราณที่กล่าวถึงเจดีย์แห่งนี้ ใครเป็นสายประวัติศาสตร์ชอบเรื่องเล่าทางสถาปัตยกรรม ก๊อตว่าชั้นนี้น่าจะเป็นสวรรค์เลยล่ะ
ปิดท้ายกันด้วยชั้น 4 เป็นชั้นที่เราจะได้เห็นภาพจิตรกรรมสีสันสดใสเกี่ยวกับ 10 ทิวทัศน์ของซีหู นอกจากนี้ยังเป็นชั้นที่สามารถมองออกไปเห็นวิวของทะเลสาบซีหูได้แบบพาโนรามาเลย ซึ่งแต่ละชั้นที่เราเดินขึ้นมานั้น จะมีระเบียงรอบนอกเจดีย์ที่สามารถออกไปเดินรับลม ชมวิวได้ทุกชั้นย ซึ่งวิวที่ได้ก็จะต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความสูง แต่หากใครอยากดูวิวเมืองพร้อมวิวทะเลสาบสวยๆ ให้ขึ้นมาชั้น 4 เพราะเป็นชั้นที่เราจะได้ดื่มด่ำกับวิวแบบเว่อร์วังสุดๆ แล้ว แต่ต้องแลกมาด้วยจำนวนผู้คนที่มหาศาลมาก
ก๊อตใช้เวลาเก็บภาพอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเดินลงบันไดวนกลับออกมา ใครที่เดินในเจดีย์เมื่อยๆ แล้วอยากนั่งพัก รอบๆ ลานด้านนอกของเจดีย์เค้ายังมีม้านั่งใต้ร่มไม้ให้เราได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจและยังได้มองเจดีย์แบบเพลินๆ ตาอีกด้วยนะ โดยรวมแล้ว เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่งดงามยิ่งใหญ่อลังการมาก ใครที่ชื่นชอบสิ่งปลูกสร้าง และหลงใหลในประวัติศาสตร์ มาแล้วจะต้องชอบอย่างแน่นอน
วัดจิ้งซี (Jingci Temple)
มาถึงที่เที่ยวสุดท้ายในเมืองกับ วัดจิ้งซี (Jingci Temple) วัดพุทธที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองรอบๆ ทะเลสาบซีหู (West Lake) โดยมีชื่อเสียงเคียงข้างมากับวัดหลิงอิ่น (Lingyin Temple) และมักถูกเรียกรวมกันว่าเป็น “อัญมณีแห่งเขาเหนือและเขาใต้” ของเมืองเลยก็ว่าได้ โดยวัดตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาฮุ่ยริ (Huiri Peak) ของเนินเขาหนานผิง (Nanping Hill) และสามารถเดินเท้าต่อมาจาก เจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) ได้เลย
สำหรับ วัดจิ้งซี (Jingci Temple) นั้น เดิมทีถูกเรียกว่า วัดฮุ่ยริหย่งหมิง (Huiri Yongming Temple) สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 954 โดย เฉียนหงจี (Qian Hongji) แห่งราชวงศ์อู๋เยว่ (Wuyue Dynasty) เพื่ออุทิศให้แด่ ยงหมิงเหยียนโส่ว (Yongming Yanshou) พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงในช่วงเวลานั้น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (Southern Song Dynasty) ได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดจิ้งซี” ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา วัดแห่งนี้ถูกทำลายลงหลายครั้ง แต่ก็ถูกสร้างกลับขึ้นมาใหม่อยู่หลายหน โดยอาคารส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในช่วง ทศวรรษ 1980 ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1983 วัดจิ้งซี (Jingci Temple) จะได้รับการประกาศให้เป็น วัดพุทธสำคัญระดับชาติในพื้นที่ชาวฮั่น โดยคณะรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนนั่นเอง
หากใครจะเข้าไปดื่มด่ำและชื่นชมกับความงามด้านในของวัด จะมีค่าเข้าอยู่ที่คนละ 10 หยวน (~ 50 บาท) สามารถมาซื้อที่หน้าวัดได้เลย สำหรับบรรยากาศด้านใน เราจะได้เห็นทั้งประตูวัดแบบซุ้มโค้งจีนโบราณกับเงียบสงบที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ โดยศาลาหลัก (Main Hall / Mahavira Hall) ซึ่งเป็นศาลาที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ใจกลางวัด ด้านในจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานเอาไว้ โดยตรงนี้ถือเป็นจุดที่ก๊อตคิดว่าขลังที่สุดแล้ว แถมยังเป็นจุดที่มีคนมาสักการะกราบไหว้กันเยอะมาก
หลังจากสักการะที่อาคารด้านหน้าเสร็จแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาดเลยคือการเดินขึ้นไปดูวิวด้านบนที่เราจะได้เห็นเจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) ด้านบน โดยระหว่างทางที่เราเดินขึ้น จะมีห้องนิทรรศการที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวัด รวมถึงมีภาพถ่าย รูปปั้นองค์เทพ อักษรจีนแกะสลักบนแผ่นหินให้ได้สำรวจใกล้ๆ เพื่อให้เรารู้จักวัดแห่งนี้มากขึ้นอีกด้วย
มาถึงไฮไลท์ของวัดกับจุดชมวิวบนเนินเขา ที่เราจะต้องเดินขึ้นบันไดมาทางฝั่งซ้ายมือจากโซนจัดแสดงนิทรรศเล็กน้อย โดยบริเวณจุดชมวิวจะเป็นลานกว้างติดกับศาลาขนาดใหญ่ ที่เราสามารถมาเดินเกาะแนวรั้วแล้วมองผ่านตัววัดออกไปดื่มด่ำกับวิวของเจดีย์เหลยเฟิง (Leifeng Pagoda) และ ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake) ได้แบบตระการตาสุดๆ ซึ่งวิวจากจุดชมวิวนี้เรียกได้ว่าสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของหางโจวเลย ใครอยากได้ภาพเว่อร์วังของตัวเอง ที่มีวิวด้านหลังเป็นเจดีย์สูงตั้งตระหง่าน ท่ามกลางท้องฟ้าและต้นไม้เขียวๆ ก๊อตบอกเลยว่ามันไม่มีจุดไหนเหมาะเท่าตรงนี้อีกแล้ว คือยืนโพสต์ท่าไหนออกมาก็รูปสวยไลก์กระจายแน่นอน
นอกจากนี้อาคารหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านบนจุดชมวิวยังเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปของพระศากยมุนีพุทธเจ้า (Shakyamuni Buddha) ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าประจำพุทธศาสนาเถรวาทและมหายานอยู่ด้วย ใครอยากมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล สามารถเดินเข้าไปด้านในอาคารได้เลยนา
ก๊อตใช้เวลสถ่ายรูปและชมวิวอยู่พักใหญ่จนพระอาทิตย์เกือบตกดินกันเลย จากนั้นก็เดินกลับออกไปทางเดิม เป็นอันจบการมาเที่ยว วัดจิ้งซี (Jingci Temple) แล้ว โดยใครที่ชื่นชอบการมาเที่ยววัดจีน ท่ามกลางสถาปัตยกรรมสวยๆ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งวัดที่ต้องมาเมื่อมาเยือน หางโจว (Hangzhou) เลย
สรุปการมาเที่ยวหางโจว (Hangzhou)
นี่คือการมาเที่ยว หางโจว (Hangzhou) ทั้งหมดของก๊อต ที่เราใช้เวลาสักวันสองวันก็มาเที่ยวหางโจวได้ครบแล้ว ยิ่งใครที่ชื่นชอบการมาเที่ยวท่ามกลางความเงียบสงบ ได้อยู่กับธรรมชาติ และสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งเมืองยังมีความสโลว์ไลฟ์ ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าหัวเมืองใหญ่ ก๊อตแนะนำให้ลองมาเที่ยว หางโจว (Hangzhou) ได้เลย เพราะทุกอย่างที่ก๊อตบอกมานั้น ที่นี่มีครบทุกอย่าง รับรองว่ามากันแล้วจะต้องประทับใจแน่นอน
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡