ลั่วหยาง (Luoyang) ใครเป็นสาวกสามก๊กจะต้องรู้จัก ‘เมืองลกเอี๋ยง’ แน่นอน เพราะมันก็คือ เมืองลั่วหยาง (Luoyang) ที่เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมจีนโบราณ ถือเป็นเมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดของจีน และยังเป็นเมืองหลวงมาหลายราชวงศ์แล้วด้วย ไม่ว่าจะเป็น ราชวงศ์โจวตะวันออก ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และราชวงศ์ถัง โดยเฉพาะช่วงราชวงศ์ถังและราชชวงศ์สุย ลั่วหยาง (Luoyang) เลยเป็นเมืองหลวงที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด อ่านมาถึงตรงนี้ก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และความขลังของเมืองนี้แล้วล่ะสิ ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มอ่านความยิ่งใหญ่ของเมืองนี้ต่อกันได้เล้ย
ทริปเหอหนาน เจิ้งโจว – ลั่วหยาง – หยุนไถซาน – ไคเฟิง
สำหรับทริปจีน เจิ้งโจว – ลั่วหยาง – หยุนไถซาน – ไคเฟิง ( Zhengzhou – Luoyang – Yuntaishan – Kaifeng) ทริปนี้ เป็นทริปแรกที่ได้ประเดิมจีนเลย ก๊อตใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 8 วัน โดยนั่งเครื่องบินไป-กลับจากไทยที่เมืองเจิ้งโจว โดยทริปนี้จะมีไฮไลท์เด็ดหลายอย่างมาก ตั้งแต่ ถ้ำหลงเหมิน (Longmen Grottoes) ที่เมืองลั่วหยาง วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) ธรรมชาตสุดอลังการที่ หยุนไถซาน (Yuntaishan) และเมืองท่านเปาบุ้นจิ้นที่ ไคเฟิง (Kaifeng)
ทริปจีนรอบนี้ถือเป็นอีกทริปที่จัดเต็มมาก และเก็บไฮไลท์ได้เยอะเอาเรื่องเหมือนกัน ใครที่อยากตามรอยอันนี้ สามารถอ่านรีวิวตามลิสด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ รวมถึงข้างล่างจะมีแพลนฉบับเต็มที่ทุกคนสามารถลอกได้ด้วย ยังไงลองดูและปรับเปลี่ยนแพลนตามความชอบของตัวเองกันได้เลย
1. รีวิว เจิ้งโจว (Zhengzhou)
2. รีวิว ลั่วหยาง (Luoyang)
3. รีวิว หยุนไถซาน (Yuntaishan) กำลังเขียน
4. รีวิว ไคเฟิง (Kaifeng)
รู้จักลั่วหยาง (Luoyang) กันก่อน
ลั่วหยาง (Luoyang) เป็นเมืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ตอนเหนือของแม่น้ำลั่วเหอ อย่างที่บอกไปว่าที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดของจีน และยังเป็นเมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในช่วงหลายๆ ราชวงศ์ที่ผ่านมา และความอลังการของเมืองนี้ไม่ได้มีเท่านี้ด้วยนะ เพราะ ลั่วหยาง (Luoyang) ถือเป็นศูนย์กลางของทั้งเก้าทวีป เคยมีกำแพงเมืองและคูเมืองรอบล้อมแบบโคตรยิ่งใหญ่ แต่ทุกวันนี้กำแพงเมืองได้พังลงไปหมดแล้วเหลือไว้แค่ด้านทิศตะวันตกเท่านั้น ส่วนคูเมืองก็ยังสามารถมองเห็นได้รอบๆ เมืองเลย ด้วยความที่ ลั่วหยาง (Luoyang) นั้นเป็นเมืองที่มีอยู่มานานแล้ว เป็นธรรมดาที่ลั่วหยางจะมีวัฒนธรรมอันโดดเด่น ถึงขนาดที่ว่ารัฐบาลจีนประกาศให้ที่นี่เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เป็นชุดแรกในประเทศจีน และลั่วหยางเองยังได้เป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองหลวงโบราณของจีนอีกด้วย
แพลนเที่ยว / ที่เที่ยวลั่วหยาง (Luoyang)
วัน | ที่เที่ยวลั่วหยาง (Luoyang) |
1 | – ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) – วัดม้าขาว (White Horse Temple) |
2 | – วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) |
ที่พัก | Holiday Inn Express Luoyang City Center จองผ่าน Expedia.co.th | จองผ่าน Booking.com | จองผ่าน Agoda.com | จองผ่าน Hotels.com | จองผ่าน Trip.com |
ส่วนลด OTA | ส่วนลด Klook ส่วนลด Agoda ส่วนลด Booking ส่วนลด Expedia ส่วนลด Hotels |
พักที่ไหนดีในลั่วหยาง คัดมาให้แล้วเน้นๆ!
สำหรับคนที่ยังไม่มีไอเดียว่าเราจะเลือกโรงแรมแถวไหนในลั่วหยาง ก๊อตเลยขอไกด์ง่ายๆ โดยแบ่งกลุ่มคนตามไลฟ์สไตล์ รวมถึงคนที่มาเที่ยวครั้งแรกว่าควรนอนย่านไหนกันบ้างเนอะ ส่วนเว็บในการจองโรงแรมนั้น นอกจาก Agoda ที่เราคุ้นเคยกันดี ก๊อตอยากให้เราลองเข้าไปดูในเว็บ Trip.com ด้วย เพราะนี่เป็นเว็บพี่จีนเอง ซึ่งมีตัวเลือกที่พักเยอะกว่าเว็บอื่นๆ มาก และบางทีราคาถูกกว่าด้วย
#1 ย่านดาวน์ทาวน์ลั่วหลง (Loulong) : สำหรับคนมาเที่ยวลั่วหยางครั้งแรก + ชอบอยู่กลางเมือง
ลั่วหลง (Loulong) ถือเป็นย่านใจกลางเมืองของลั่วหยางที่เต็มไปด้วยคนพลุกพล่าน มีห้าง ร้านอาหาร และสตรีทฟู้ดให้กินแบบไม่อดตายแหละ หรือถ้าจะเดินทางไปเที่ยวไหนก็ยังไปง่าย ด้วยความที่อยู่ตรงกลางระหว่างทางจริง (เหมือนเจอกันคนละครึ่งทางระหว่างไปเที่ยวตามแลนด์มาร์คต่างๆ น่ะ 55555)
– โรงแรมดี ราคาเหมาะสม (ราคา 3,000-6,000 บาท/คืน): Courtyard by Marriott Luoyang
– โรงแรมราคาไม่แรง คุ้มค่าตัว (ราคาต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): Holiday Inn Express Luoyang City Center
วันที่ 1 : ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes)
ที่เที่ยวแรกของเมืองลั่วหยาง (Louyang) ขอเริ่มต้นกับแลนด์มาร์คที่ต๊าซสุดของลั่วหยางเลยคือ ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) ที่ยิ่งใหญ่และเลอค่าทางด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์จีนโบราณที่หลายคนต้องมาดูให้ได้แหละ
สำหรับการเที่ยว ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) นั้น หากเราพลิกดูตั๋วตอนที่ซื้อเข้ามา เค้าจะบอกรูทแบบชัดเจนมากว่าเราควรเดินเที่ยวยังไงบ้าง ซึ่งมันง่ายมากแกร เค้าจะให้เราเดินเป็นวงกลมโดยเดินเหล่าถ้ำทั้งหลายก่อน จากนั้นก็ข้ามแม่น้ำอี้แล้วย้อนกลับมายังจุดเดิม ก๊อตคิดว่าทุกคนต้องงวยงงแน่นอน แต่เชื่อก๊อต ไปถึงหน้างานแล้วจะไม่งง เพราะทุกคนจะเดินตามกันไปหมดเลย 5555555
ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) ถ้าแปลเลยจะหมายความว่า ‘ประตูมังกร’ เนื่องด้วยสถานที่นี้มีแม่น้ำอี้ไหลผ่านตรงกลาง และมีภูเขาขนาดใหญ่ขนาบข้างทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกซึ่งเปรียบเหมือนเป็นประตูมังกร ที่เปิดประตูให้น้ำไหลผ่านเข้ามาได้
ปัจจุบัน ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) เหลือถ้ำแกะสลักอยู่ประมาณ 2,000 กว่าคูหา โพรงแท่นบูชชาอีก 2,345 ช่อง (เยอะม๊ากกก) จารึกตัวหนังสือจีนและหมายเหตุต่างๆ อีก 2,800 หลัก รวมทั้งพุทธเจดีย์มากกว่า 60 องค์ และพระพุทธรูปแกะสลักอีกแสนกว่าองค์ ซึ่งองค์ที่ใหญ่ที่สุดสูงถึง 17 เมตร นั่นแหละ ความล้ำค่าทางประวัตศาสตร์ของ ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) ทำให้ที่นี่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยนะ
สำหรับจุดไฮไลท์ของ ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) หลักๆ มีอยู่ 3 ถ้ำคือ ถ้ำบินหยาง (Binyang Cave), ถ้ำหว่านโฟ หรือ ถ้ำ 10,000 องค์ (Wanfo Cave / Cave of 10,000 Buddhas) และ วัดเฟิงเซียน (Fengxian Temple) ซึ่งเราไม่ต้องกลัวว่าจะพลาด เพราะรูททางเดินมันอยู่ต่อๆ กันหมดเล้ย
สำหรับถ้ำแรก ถ้ำบินหยาง (Binyang Cave) คือถ้ำที่จักรพรรดิซวนหวู่แห่งราชวงศ์เว่ยเหนือสั่งให้สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่พ่อแม่ของตัวเอง ถ้ำนี้ประกอบด้วยถ้ำสามแห่ง ได้แก่ ถ้ำกลาง ใต้ และเหนือ แต่ถ้ำที่สำคัญที่สุดจะเป็นถ้ำกลาง ภายในถ้ำเป็นงานแกะสลักหินพระศากยมุนี เหล่าสาวกและพระโพธิสัตว์อีก 2 องค์ โดยรอบๆ ถ้ำมีการแกะสลักตกแต่งเป็นลายดอกบัวและพระองค์เล็กๆ อีกหลายองค์ ซึ่งแกะสลักออกมาได้สวยมาก มีความสมมาตรและเก็บรายละเอียดของริ้วผ้าได้ดี ลองสังเกตดูนะ งานสลักพระพุทธรูปช่วงแรกจะดูผอมเพรียวและมีหน้ายิ้มแบบชัดเจนมากกก
ถ้ำต่อไปคือ ถ้ำหว่านโฟ หรือ ถ้ำ 10,000 องค์ (Wanfo Cave / Cave of 10,000 Buddhas) ที่ถือเป็นถ้ำที่เล็กที่สุด สร้างในสมัยราชวงศ์ถัง โดยมีทั้งหมด 2 ห้องด้วยกัน ห้องนึงจะมีงานแกะสลักพระพุทธรูปไซส์จิ๋วขนาด 2 นิ้ว อยู่ข้างในกว่า 15,000 องค์ และมีองค์ประธานเป็นหินสลักพระอมิตาภพุทธเจ้า ประทับอยู่บนบนฐานดอกบัวแปดเหลี่ยม บริเวณกำแพงรอบๆ สลักเป็นดอกบัว 54 ดอก โดยแต่ละดอกจะมีพระโพธิสัตว์ที่มีหน้าตาที่แตกต่างกันออกไป
มาต่อกับ ถ้ำดอกบัว หรือ ถ้ำเหลียนหัว (Lotus Flower Cave / Lianhua Cave) เป็นถ้ำที่สลักในช่วงปลายราชชวงศ์เว่ยเหนือ โดยมีดอกบัวขนาดใหญ่สลักอยู่บนโดมถ้ำ และมีพระพุทธรูปศากยมุนีแบบองค์ยืนอยู่ด้วย
สุดท้ายกับถ้ำไฮไลท์สุดของ ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) คือถ้ำ วัดเฟิงเซียน (Fengxian Temple) ที่ถือรูปสลักพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุด โดยมีความยาวถ้ำกว่า 36 เมตร และสูงกว่า 41 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งความอลังของถ้ำนี้ถูกแกะสลักมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (ประมาณ 1300 ปีก่อนนู้น)
พระพุทธรูปองค์หลักที่ต้องมาดูเลยคือ พระไวโรจนะพุทธะ (Grand Vairocana Buddha) กับความสูง 17.14 เมตร เป็นพระพุทธเจ้าแห่งแสง การรู้แจ้ง และปัญญาสูงสุด โดยใบหน้านั้นจะดูเป็นผู้หญิงใจดี มีความยิ้มมุมปาก ซึ่งนี่คือสไตล์งานแกะสลักในยุคราชวงศ์ถังเค้า ที่ทรงหน้าจะกลมและท้วมหน่อย รูปลักษณ์จะมีความเรียลๆ ทรงพลังและสง่า มากกว่าในช่วงยุคก่อนๆ แหละ
นอกจากนี้ เค้าว่ากันว่าใบหน้าของพระพุทธรูปองค์นี้ปั้นตามใบหน้าของจักรพรรดินี อู่เจ๋อเทียน จนคนจีนเรียกกันว่าเป็นรูปปั้นจักรพรรดินี อู่เจ๋อเทียนกันเฉยเลย และด้วยใบหน้าของพระพุทธรูปองค์นี้มีความอ่อนโยน ยิ้มมุมปาก พระไวโรจนะพุทธะ (Grand Vairocana Buddha) ที่นี่เลยมีอีกชื่อเล่นว่า ‘โมนาลิซ่าตะวันออก’ ‘เทพวีนัสตะวันออก’ และ ‘แม่ของประเทศจีน’ อีกด้วย 55555
ส่วนด้านข้างของ พระไวโรจนะพุทธะ (Grand Vairocana Buddha) นั้นจะมีพระอัครสาวกยืนขนาบข้างอยู่ ซึ่งนั่นจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอานนท์ที่อยู่ทางด้านขวา และพระมหากัสสปะที่อยู่ทางด้านซ้าย และยังมีพระโพธิสัตว์อยู่อีก 2 ข้างด้วย ซึ่งเค้าก็สร้างมาได้องค์ใหญ่มากเช่นกัน พอก๊อตไปยืนเทียบแล้ว ตัวก๊อตแทบเป็นมดตัวเล็กกระจึ๋งนึง 55555555
ถัดไปจากพระสาวกและพระโพธิสัตว์นั้นก็จะเป็นรูปแกะสลักของ ท้าวจตุโลกบาล หรือ ซื่อต้าจินกัง เรียกง่ายๆ ว่าท่านเป็นเทพที่ดูแลทั้ง 4 ทิศ ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าที่คนจีนที่นับถือศาสนาพุทธนั้นนับถือกันมาก เค้ามีความเชื่อว่าถ้าได้ขอพรอะไรก็ตามจากท้าวจตุโลกบาลแล้วจะประสบความสำเร็จ เพราะเทพทั้ง 4 องค์จะคอยดูแลปกป้องอยู่ทุกทิศและจะคอยช่วยให้คำขอเป็นจริงด้วย
เมื่อเราเดินมาจนสุดทางฝั่งถ้ำแล้ว จากนั้นก็เดินข้ามสะพานมาฝั่งตรงข้ามได้เล้ย ซึ่งฝั่งนี้จะเป็นฝั่งที่เราสามารถเห็นวิว ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) ได้แบบเต็มตา ขนาบข้างด้วย ภูเขาเซียงชาน (Xiangshan) ทางฝั่งตะวันออก และแน่นอนว่าเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของ วัดเฟิงเซียน (Fengxian Temple) ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจนมากๆ อีกด้วย
สำหรับฝั่งนี้จะมี วัดเซียงชาน (Xiangshan Temple) ที่ถือเป็นวัดสำคัญและเก่าแก่ที่สุดในบรรดาวัดทั้งหมดของ ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) โดยชื่อเซียชานนั้นได้มาจากชื่อของเครื่องเทศที่เรียกว่า ‘เซียงเกอ’ เป็นเครื่องเทศกลิ่นหอมที่มีอยู่เยอะมากบริเวณเนินเขาลูกนี้ โดยวัดนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 516 ในสมัยของจักรพรรดิ์ซีผิงในราชวงศ์เว่ยเหนือ ต่อมาได้มีการบูรณะสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในสมัยจักรพรรดิ์คังซี ในราชวงศ์ชิง และรีโนเวทเรื่อยมาจนล่าสุดเมื่อปี 2003 นี่เอง ที่นี่มีศาลาที่อยู่ยอดเขา ซึ่งคนจีนมักจะเรียกกันว่าเป็นศาลาลอยฟ้า ซึ่งด้านบนก็สวยมากๆ จริงแกร ไม่เสียแรงที่เดินขึ้นบันไดปีนเขาขึ้นมา 55555
ในวัดจะมี วิหารต้าสง (Da Xiong Hall) ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดสีตามผนัง เสา และคานไว้อย่างสวยงามมาก ภายในเป็นจะมีพระพุทธรูปของพระศากยมุนีประดิษฐานไว้ และมีพระอัครสาวกยืนขนาบข้างซ้ายและขวา โดยคนจีนหลายคนมักจะมาที่นี่เพื่อขอพรเรื่องสุขภาพและความสุขในทุกๆ ปีล่ะ
ไหว้พระขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลเสร็จแล้ว อย่าลืมเข้าไปดู วิลล่าเจียงซอง (Jiangsong Villa) ด้วยนะ เพราะนี่เป็นวิลล่าที่สร้างขึ้นในปี 1936 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบ 50 ปีของท่านเจียงไคเช็ค ที่ถือเป็นบุคคลสำคัญของประวัติศาสตร์จีนคนหนึ่งเลย ที่นี่สร้างมาเพื่อเป็นเหมือนบ้านพักตากอากาศของท่านเจียงไคเช็คและซ่งเหม่ยหลิง ภรรยาของเค้า ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถูกจัดแสดงอย่างสวยงามเลย
เที่ยว วัดเซียงชาน (Xiangshan Temple) เสร็จ ถือเป็นอันจบสมบูรณ์ของการเที่ยว ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) แหละ เอาจริง เดินเยอะและเหนื่อยเหมือนกันนะ ฮ่าๆ นี่จะบอกว่าจากตรงนี้ย้อนกลับไปทางประตูทางเข้าคือไกลเอาเรื่องอยู่ สำหรับใครที่ขี้เกียจเดิน เค้ามีรถกอล์ฟไฟฟ้าคอยให้บริการด้วย แต่ไม่มีฟรี เสียตังเด้อ 5555555
ออกจาก ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) มาแล้วช่วงบ่าย ก๊อตแนะนำให้เราไปเที่ยวต่อกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญทางประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนาของจีนกันต่อกับ ‘วัดม้าขาว (White Horse Temple)’ ได้เล้ยย
วัดม้าขาว (White Horse Temple)
วัดม้าขาว (White Horse Temple) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลั่วหยางแบบโคตรไกลลลล (ระยะทางเกือบ 30 กิโล ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงครึ่งอ่ะคิดดู๊) สำหรับวิธีการไปนั้น แนะนำให้เราใช้แอพ AMAP ของแล้วปักดูว่าสามารถเดินทางยังไงบ้างเนอะ ถ้ามาจาก ถ้ำผาหลงเหมิน (Longmen Grottoes) เหมือนก๊อต เมื่อปักหมุดใน AMAP แล้ว เราต้องนั่งรถเมล์กว่า 2 ชั่วโมงเลยแหละ แต่ถ้าใครขี้เกียจหน่อย จะนั่งแท็กซี่ไปเลยก็ได้เด้อ
🏞 ค่าเข้าวัดม้าขาว (White Horse Temple) : 35 หยวน
🚌 ภาษาจีนใช้ปักหมุดในแมพ AMAP : 白马寺(暂停营业) > amap.com/place/B017B00LMC
วัดม้าขาว (White Horse Temple) หรือ วัดป๋ายหม่า (Bai Ma Temple) เป็นวัดพุทธวัดแรกในประเทศจีนและถือเป็นวัดต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาในประเทศจีนด้วย โดยวัดม้าขาวนั้นถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 68 หรือเกือบสองพันปีที่แล้วในช่วงสมัยของจักรพรรดิฮั่นหมิงตี้ (กษัตริย์องค์ที่ ๒ ในราชวงศ์ฮั่นตะวันออก)
จุดเริ่มต้นของ วัดม้าขาว (White Horse Temple) เกิดจากที่จักรพรรดิได้ส่งคณะทูตสองคน คือ ไช่อิน (Cai Yin) และฉินจิ่ง (Qin Jing) เดินทางไปแสวงหาพุทธธรรมที่อินเดียเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งทั้งสองได้เจอกับพระภิกษุอินเดีย 2 รูป คือ พระกาศยปะมาตังคะ กับ พระธรรมรักษะ และได้ชวนกลับมายังประเทศจีนด้วยกัน โดยพระภิกษุอินเดียทั้งสองก็กลับมาพร้อมพระสูตรหลายเล่มที่บรรทุกด้วยม้าขาว และจักรพรรดิ์ฮั่นหมิงตี้ทรงพระดีใจมาก เลยได้สร้างวัดม้าขาวขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ และให้ที่นี่เป็นที่พักอาศัยของพระภิกษุทั้ง 2 และเป็นที่แปลและเก็บพระสูตรไว้ที่นี่อีกด้วย ที่มาของชื่อวัดนี้เลยใช้ชื่อว่า วัดม้าขาว (White Horse Temple) เพื่อระลึกถึงม้าขาวที่บรรทุกพระสูตรกลับมา จนศาสนาพุทธเผยแพร่และกลายเป็นศาสนาหลักของประเทศจีนนั่นเอง
⚡️ วัดนี้เคยเป็นวัดที่พระถังซัมจั๋งเคยมาจำพรรษา ก่อนที่จะเดินทางไปแสวงบุญต่อที่ประเทศอินเดีย และกลับมาที่นี่ในฐานะเจ้าอาวาส ซึ่งตอนนี้ที่ วัดม้าขาว (White Horse Temple) ก็ได้เก็บอัฐิของท่านไว้ในยอดเจดีย์องค์หนึ่งในวัดด้วยนะ
สำหรับด้านในวัดจะมีวิหารหลายหลังให้เราเดินเที่ยวด้วยกัน โดยหลังแรกคือ วิหารพระราชาแห่งสวรรค์ (The Hall of the Heavenly Kings) ที่เมื่อเราเดินเข้ามาด้านในจะเจอกับ ‘พระศรีอริยเมตไตรย’ ไม้แกะสลักนั่งยิ้มแย้มอยู่กลางวิหาร โดยมีงานไม้แกะสลักรูปมังกรกว่า 50 ตัว นอกจากนี้ ด้านหลังของพระศรีอริยเมตไตรยยังมีรูปปั้นของราชาสวรรค์ทั้ง 4 องค์ ที่ถูกหล่อขึ้นมาตั้งแต่ราชวงศ์ชิงด้วยนะ
เมื่อเดินต่อมาที่ The Hall of the Great Buddha ในห้องนี้ถือเป็นวิหารที่สวยที่สุดใน วัดม้าขาว (White Horse Temple) ซึ่งมีพระพุทธรูปของพระศากยมุนีประดิษฐานอยู่ตรงกลางและข้างๆ เป็นพระสาวกทั้ง 2 คือพระกัสสปะ และพระอานนท์ ส่วนพระองค์เล็กๆ ที่ยืนอยู่ข้างๆ พระศากยมุนีนั่นคือ มัญชุศรีซึ่งคือพระโพธิสัตว์แห่งปัญญา ในมือของท่านจะถือพระสูตรเอาไว้ ส่วนอีกองค์คือ สมันตภัทร เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นศิลปะจากในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งของจริงคือดูเก่าแก่ สวยงามและดูขลังมากจริงงง
สำหรับ วิหารพระมหาวีระ (Hall of Mahavira) ถือว่าเป็นวิหารขนาดใหญ่ที่สุดในวัดนี้ ภายในนี้ตกแต่งได้สวยงามและดูขลังมากกก หลังคาแกะสลักเป็นลายดอกบัว และมีเสาแกะสลักรูปนกและมังกรคดเคี้ยวอยู่รอบเสาด้วย ด้านหลังเป็นรูปปั้นของพระศากยมุนี พระอมิตาภะ และพระพุทธไสยาสน์ และรอบๆ จะมีพระอรหันต์อีก 18 องค์ ซึ่งถือเป็นสมบัติล้ำค่าของคนจีนเลย
มีวิหารที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ก็ต้องมีวิหารที่มีขนาดเล็กที่สุดเช่นกัน นี่คือ Hall of Guidance ภายในก็จะมีพระพุทธรูป 3 องค์ ซึ่งองค์ตรงกลางนั้นคือพระอมิตาภะที่รับหน้าที่ดูแลสวรรค์ฝั่งทางทิศตะวันตก และยืนขนาบข้างด้วยเทพธิดาแห่งความเมตตาทางด้านซ้าย และพระโพธิสัตว์แห่งแสงจันทร์ทางด้านขวา
วิหารหลังนี้ถ้าแปลชื่อเป็นไทยก็จะแปลได้ว่า ‘หอแนะแนว’ นั่นแหละ โดยชื่อนี้ได้มาจากพระอมิตาภะ ที่ท่านนั้นเป็นพระพุทธเจ้าแห่งการแนะแนว ใครก็ตามที่ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์จะต้องไปพบเจอท่าน พระพุทธรูปชุดนี้คือผลงานของช่างฝีมือในสมัยราชวงศ์ชิงที่ปั้นพระพุทธรูปขึ้นมาด้วยการใช้ดินเหนียวที่สวยและละเอียดมากจริงๆ
เสร็จจากการเดินดูวิหารและหอต่างๆ แล้ว ด้านหลังของ วัดม้าขาว (White Horse Temple) ยังมีสวนแบบจีนที่มีทั้งศาลาให้เรานั่งเล่น รวมถึงต้นไม้เขียวๆ เยอะมาก บอกเลยว่าบรรยากาศตรงนี้โคตรดีและชิลมากกก ก๊อตแนะนำให้มานั่งพักเหนื่อยตรงนี้กันก่อนที่จะไปเที่ยวกันต่อเน้อ 55555
ความอลังของ วัดม้าขาว (White Horse Temple) ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะนอกจากเราจะได้เห็นวัดแบบจีนโบราณที่ถือเป็นวัดพุทธแห่งแรกของพี่จีนแล้ว ที่นี่เรายังจะได้เห็นวัดพุทธจากหลายๆ ประเทศ ซึ่งมีทั้งวัดไทย วัดพม่า และ วัดอินเดีย เรียกได้ว่าออกแบบและสร้างออกมาได้สวยตามแบบฉบับสถาปัตยกรรม และเอกลักษณ์ของวัดในประเทศนั้นๆ เลยจริงๆ ซึ่งวัดตรงนี้ถูกสร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลายนั่นเอง
ความเซอร์ไพรส์มันอยู่ตรงนี้แหละ ที่เค้ามีวัดไทยด้วย ซึ่งวัดนี้มีชื่อว่า ‘วัดเหมอัศวาราม’ ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 1997 โดยคุณวัฒนา อัศวเหม อดีตนักการเมืองชื่อดังของประเทศไทย ที่ต้องหลบหนีคำพิพากษาคดีทุจริตบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านไปอยู่ที่ประเทศจีน เค้าบอกกันมาว่าคุณวัฒนาใช้เงินส่วนตัวในการสร้างวัดนี้ขึ้นมาเพื่อแก้วิบากกรรมใหญ่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินกว่า 500 ล้านบาทเลย
เอาดีๆ นี่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวัดไทยที่นี่ถึงได้สมจริงมาก ฟีลเหมือนอยู่บ้านเราสุด ทั้งรายละเอียดต่างๆ ทำออกมาได้อย่างประณีตมาก แถมยังมีการจำลองวัดที่สำคัญของไทย คือ วัดภูเขาทอง มาไว้ที่นี่ด้วย ตอนนี้ตัวอยู่จีนแต่ใจนี่คิดถึงประเทศบ้านเกิดเลยยย 555555
ส่วนวัดพม่านั้นก็สวยงามไม่แพ้กัน โดยมีเจดีย์องค์ใหญ่ที่จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากองที่ย่างกุ้งมาแบบเต็มๆ ส่วนฐานด้านล่างนั้น มีต้นแบบมาจากพระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งวัดพม่าเองก็มีความยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้วัดไทยเลยแหละ
วัดพุทธลำจองวัดสุดท้ายคือวัดอินเดีย ที่สร้างเป็นสถูปอิฐรูปครึ่งวงกลม ถอดแบบมหาสถูปสาญจี (Sanchi Stupa) ของที่อินเดียมาเป๊ะๆ ซึ่งสถูปสาญจีที่ว่าเป็นพระมหาเจดีย์องค์แรกในพระพุทธศาสนา นอกจากตัวสถูปแล้วก็ยังมีประตูทางเข้าสถูปที่เรียกว่าประตูโตรณะ มียอด 3 ชั้นที่มีลายแกะสลักเป็นพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าและพุทธชาดกต่างๆ รวมไปถึงดีเทลต่างๆ ที่มองแล้วรู้เลยว่านี่คือวัดพุทธ อย่างเช่น ธรรมจักรและรอยพระพุทธบาท ส่วนตัวนี่ตื่นตาตื่นใจกับวัดอินเดียพอสมควรนะ เพราะก๊อตเองยังไม่เคยไปเที่ยวอินเดียเลยอ๊าา
ที่พักในเมืองลั่วหยาง (Louyang)
Holiday Inn Express Luoyang City Center
Holiday Inn Express Luoyang City Center ถือเป็นโรงแรมใจกลางเมืองลั่วหยางที่เดินทางไปไหนมาไหนได้ค่อนข้างสะดวก มีห้างอยู่ใกล้ๆ และมีป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกล สามารถเดินไปขึ้นรถเมล์ได้ง่ายๆ
ด้วยความที่เป็นเชนโรงแรม Holiday Inn Express ห้องพักเค้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบเครื่องอยู่แล้ว มีทีวี โซฟา โต๊ะทำงาน กาต้มน้ำตามปกติ ส่วนตัวดีไซน์ห้องเองก็จะไม่ได้หวือหวา ค่อนข้างไปทางเรียบๆ แบบได้อยู่ ซึ่งโดยรวมคือโอเค ไม่ได้มีปัญหาอะไร และส่วนที่ดีที่สุดของการพักที่นี่คืออาหารเช้าที่รวมแล้วในเรทห้องพัก โดยมาเป็นบุฟเฟต์แบบค่อนข้างดีพอสมควร สามารถกินอิ่มท้องพร้อมลุยเที่ยวต่อได้สบ๊ายย ถือว่าเป็นโรงแรมที่แนะนำให้จองได้ จองไปเล้ย 5555
ราคาห้องพักเริ่มต้น 2,0o0 บาท/คืน ดูเรทและจอง Holiday Inn Express Luoyang City Center สามารถคลิกลิงค์ด้านล่าง เพื่อดูเรทราคาและจองผ่าน OTA ที่ชอบได้เลย
ดูเรทและจองผ่าน Agoda ดูเรทและจองผ่าน Booking ดูเรทและจองผ่าน Expedia ดูเรทและจองผ่าน Trip ดูเรทและจองผ่าน Hotels
วันที่ 2 : วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple)
วันนี้ก๊อตจะพาไปวัด (วัดอีกแล้ว 555) แต่นี่ไม่ใช่วัดธรรมดาทั่วไปนะ แต่เป็นวัดที่ทุกคนต้องคุ้นหูและรู้จักกันอย่างดีอย่าง วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) ที่เรามักได้ยินชื่อจากในหนังจีนกำลังจีนภายใน หรือพวกหนังแนวกังฟู ซึ่งก๊อตเชื่อว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าวัดนี้มีอยู่จริงๆ มั้ย? ตอบก่อนเลยว่ามีจริง และตั้งอยู่ที่เมืองเจิ้งโจว (Zhengzhou) และอยู่ไม่ไกลจากเมืองลั่วหยาง (Luoyang) นี่เอง
หลายคนอาจจะงงอยู่ว่าทำไมก๊อตเอา วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) มาอยู่ในรีวิวเมืองลั่วหยาง ไม่ใช่เจิ้งโจว เหตุผลเพราะก๊อตเที่ยววัดเส้าหลินต่อมาจากลั่วหยางนั่นเอง ดังนั้นก๊อตเลยเอามาใส่ในนี้แทนโดยเรียงตามตารางแพลน จะได้ไม่งงกันสำหรับคนที่เที่ยวตามรอยแพลนก๊อตจริงๆ เนอะ
🚌 วิธีไปวัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) จากลั่วหยาง (Louyang)
ให้เราไปที่ ไปที่ สถานีขนส่งลั่วหยาง หรือ Luoyang Bus Station (洛阳汽车站) โดยหารถบัสที่มุ่งหน้าไปที่ วัดเส้าหลิน หรือ Shaolin Temple (少林寺) ได้เลย หรือถ้าถามเคาท์เตอร์รถแล้วไม่เจอ ลองถามรถบัสที่ไป Xuchang (许昌), Xinmi (新密) หรือ Dengfeng (登封) ดูว่ามีไหม จากนั้นให้ถามว่ามีผ่านวัดเส้าหลินและลงหน้าวัดได้หรือเปล่าด้วยนะ ซึ่งรถทั้งหมดจะมีเฉพาะช่วงก่อนเที่ยง โดยใช้เวลานั่งรถประมาณ 2-2.5 ชั่วโมง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) ถูกสร้างมานานมากกว่า 1,500 ปีแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ. 495 ในสมัยจักรพรรดิ์เซี่ยวหวินตี้ แห่งราชวงศ์เว่ยเหนือ เพื่อเป็นที่จำวัดแก่ ‘ป๋าถัว’ หรือ ‘พระภัทรเถระ’ จากอินเดีย เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา และอีก 32 ปีต่อมาที่มีพระภิกษุอินเดีย นามว่า ‘ต๋าม่อ’ หรือ ‘พระโพธิธรรม ตโมภิกขุ’ หรือที่คนไทยรู้จักกันว่า ‘ตั๊กม้อ’ ได้เดินมาถึงวัดเส้าหลินและได้เข้าไปใช้ชีวิตในถ้ำและนั่งสมาธินานกว่า 9 ปี และเป็นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่นิกายฌาน (หรือ ‘เซน’ ในภาษาญี่ปุ่น) ในประเทศจีนนั่นเอง
สำหรับวิทยายุทธ์การต่อสู้ในแบบฉบับกังฟูวัดเส้าหลินนั้น ก็มาจากคิดค้นโดยท่านตั๊กม้อ ที่ใช้การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของสัตว์ต่างๆ มาดัดแปลงเป็นท่าร่างเพื่อการออกกำลังกายและการป้องกันตัวในระหว่างที่ใช้ชีวิตและการเข้าฌานในถ้ำที่เป็นป่าทึบและมีสัตว์ดุร้าย ซึ่งต่อมาก็ถูกพัฒนาต่อจนกลายเป็นศิลปะป้องกันตัวอันโด่งดัง และเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพในสงครามในช่วงสมัยราชวงศ์ถัง และราชวงศ์หมิงอีกด้วย
สำหรับการมาเที่ยวที่ วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) นั้น จะมีค่าเข้าอยู่ที่ 80 หยวน และสามารถเดินชมตั้งแต่ต้นทางประตูทางเข้า เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงสุดปลาย สุสานป่าเจดีย์ (Pagoda Forest) ได้เลย ส่วนใครที่อยากชมการแสดงกังฟูเส้าหลิน นี่แนะนำให้เราเลี้ยวเข้าไปดูรอบการแสดงที่ หอการแสดง (Martial Art of Shaolin) ก่อนว่ามีรอบไหนบ้าง จากนั้นปักเวลาไว้โดยกะเวลาให้เราเดินดูวัดเสร็จจนหมด จากนั้นค่อยเดินย้อนกลับมาดูการแสดงกังฟู เพื่อที่เราจะได้ไม่เดินย้อนไปย้อนมานั่นเองเด้อ
สำหรับจุดศูนย์กลางหลักของ วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) นั้นจะเป็นอาคารวัดสีแดงที่มีวิหารและหอหลายชั้นอยู่ด้านใน โดยเริ่มตั้งแต่ หอชานเหมิน (Shanmen Hall) ที่เสมือนเป็นประตูทางเข้า ด้านหน้าจะมีสิงโตคู่ตั้งอยู่ ส่วนด้านหลังหอจะมีศิลาจารึกจากหลายราชวงศ์ของจีนตั้งเรียงรายกันอย่างสวย และตามด้วย หอประชุมสี่ราชาสวรรค์ (Hall of Heavenly Kings) ที่มีการ์ดวัชระคอยปกป้องรักษาประตู ส่วนด้านในมีจอมเทพ 4 ทิศตั้งอยู่
สุดท้ายกับ หอมหาวีระ (Mahavira Hall) ที่มีพระพุทธรูปพระพุทธเจ้า ทั้ง 3 องค์ คือ พระอภิตาภะ พระศากยมุนี และ พระไภษัชยคุรุ ประดิษฐานตรงกลางวิหาร และมีคำจารึกของจักรพรรดิ์คังซี ซึ่งเป็นจักรพรรดิ์ที่ครองราชได้นานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน และยังมีรูปปั้นของพระอวโลกิเตศวรพร้อมพระสาวก ทั้ง 18 องค์ของพระพุทธอีกเจ้าด้วยแหละ
ส่วนด้านหลัง วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) นั้นจะมี สุสานป่าเจดีย์ (Pagoda Forest) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยเป็นที่ตั้งของเจดีย์โบราณหลายองค์ที่เก็บบรรจุอัฐิของอดีตเจ้าอาวาสของวัดนี้ไว้ทั้งหมด 248 ท่านด้วยกัน โดยในแต่ละองค์เจดีย์จะมีชั้นเจดีย์เป็นเลขคี่ตั้งแต่ชั้น 1-7 เป็นทรงกลม ทรงเหลี่ยม 4-6 ด้านแตกต่างกันออกไปตามความมีชื่อเสียงและความสำเร็จของพระแต่ละองค์นั่นเอง ดังนั้น เมื่อไหร่ที่เราเห็นเจดีย์องค์ซู๊งสูงในนี้เมื่อไหร่ แสดงว่าเจดีย์องค์นี้มีอัฐของพระที่มีชื่อเสียงหรือพระที่เก่งมากๆ นั่นเอง
มองนาฬิกาก็ใกล้ถึงเวลารอบการแสดงเส้าหลินที่ก๊อตอยากดูแล้ว นี่ก็เลยรีบเดินกลับไปที่ หอการแสดง (Martial Art of Shaolin) เพื่อชมการแสดงของเด็กๆ นักเรียนที่นี่ โดยรอบการแสดงนั้น จริงๆ แล้วจะมีหลายรอบต่อวันน้า แต่ละรอบนั้นไม่ต้องจอง แต่เราสามารถเดินวอร์คอินเข้าชมได้เลยโดยไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม (เพราะมันรวมไปกับตั๋วค่าเข้าแล้ว) ทีนี้ก๊อตแนะนำให้เราไปก่อนเวลารอบนั้นๆ ซักประมาณ 15 นาทีหน่อย เพราะถ้าวันที่เราไปเที่ยวแล้วคนเยอะมากๆ บอกเลยว่าคนเต็มโคตรเร็วเด้อ
สำหรับการแสดงๆ ของเด็กๆ วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) เค้าก็ไม่ธรรมดา เราจะได้เห็นน้องกระโดดตีลังกา เตะต่อยตามแบบฉบับกังฟูกันอย่างจริงจัง พร้อมเสียงร้องฮู่ฮ่ากันแบบซีเรียสมาก ซึ่งดูไปก็เพลินเอาเรื่อง โดยรวมแล้วก็ถือเป็นโชว์ที่ห้ามพลาดแหละ เพราะมาถึงวัดเส้าหลินแบบนี้ทั้งที ก็ต้องมาดูเค้าเตะต่อยจริงกันซักหน่อยแหละน่าาา 55555
ก่อนเดินทางกลับ ระหว่างทางที่จะเดินไปทางออกก็ได้ยินเสียงนักเรียนที่กำลังฝึกวิชาเส้าหลินกันอย่างจริงจังมากด้วยนะ จากที่เห็นก็คือน่าจะเป็นนักเรียนที่เรียนที่นี่จริงๆ ฟีลความใส่ชุดพละกำลังฝึกซ้อมเตะต่อยกันแบบตั้งใจมากกก
สุดท้ายก็เที่ยว วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple) เสร็จ จากนั้นก๊อตก็เรียกแท็กซี่แล้วไปที่เมืองเจิ้งโจว (Zhengzhou) ก่อน จากนั้นก็นั่งรถไปต่อไปยังเมืองเจียวซั่ว (Jiaozuo) เพื่อมานอนพักที่นี่ก่อนที่จะเดินทางต่อไปที่ หยุนไถซาน (Yuntaishan) ในวันต่อไปนั่นเอง ใครที่อยากรีวิวเที่ยวจีนต่อ ก็เลือกอ่านรีวิวต่อไปจากด้านล่างได้เล้ย
ที่พักในเมืองเจียวซั่ว (Jiaozuo)
Jinjiang Inn (Jiaozuo Jianshe Road)
สำหรับที่พักในเมืองเจียวซั่ว (Jiaozuo) นั้น ก๊อตเลือกนอนที่พักราคาถูกแต่ค่อนข้างโอเคอย่าง Jinjiang Inn (Jiaozuo Jianshe Road) ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเจียวซั่ว (Jiaozuo Railway Station) เท่าไหร่ (แต่เดินไปอาจจะไกลนิดนึงนะ แต่นั่งแท็กซี่จากสถานีรถไฟไปโรงแรมคือแปปเดียว ไม่ถึงสิบนาที 5555)
ตัวห้องพักนั้นบอกเลยว่าโคตรเบสิค แต่ในความสะอาดและความโอเคคือดีนะเว้ย แถมตอนเช้าเองยังมีอาหารเช้าแบบพอกรุบกริบให้กินอีกด้วย ด้วยความที่เราจะใช้ที่นี่นอนแค่แปปเดียว กว่าจะมาถึงโรงแรมก็ดึก แถมตอนเช้าต้องเช็คเอาท์ออกไปหยุนไถซานแล้ว ที่นี่ก็เลยตอบโจทย์ก๊อตในราคาแบบดีงามเล้ยยย
ราคาห้องพักเริ่มต้น 2,0o0 บาท/คืน ดูเรทและจอง Jinjiang Inn (Jiaozuo Jianshe Road) สามารถคลิกลิงค์ด้านล่าง เพื่อดูเรทราคาและจองผ่าน OTA ที่ชอบได้เลย
ดูเรทและจองผ่าน Agoda ดูเรทและจองผ่าน Booking ดูเรทและจองผ่าน Expedia ดูเรทและจองผ่าน Trip ดูเรทและจองผ่าน Hotels
รีวิวเที่ยวจีนยังไม่หมดเท่านี้ 🇨🇳❤️
เที่ยวจีนให้เยอะขึ้นอีกจากรีวิวจีนด้านล่างนี้ได้เลย
ปีนี้เป็นปีที่ได้มีโอกาสเที่ยวจีนเยอะมาก คือไปได้ประมาณ 3-4 รอบในหนึ่งปี และมีแพลนว่าจะได้ไปอีก นี่เลยเริ่มทยอยเขียนรีวิวจีนเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ตามรอยกันได้ง่ายขึ้นเนอะ ส่วนตัวบอกเลยว่าค่อนข้างประทับใจประเทศจีนมากพอควร ธรรมชาติเว่อร์วังอลังการ เมืองใหญ่ก็เจริญขั้นสุด การเที่ยวประเทศจีนทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา เอาเป็นว่า ก๊อตจะทยอยเขียนรีวิวจีนเรื่อยๆ เนอะ
เมืองในเขตปกครองพิเศษ (Municipality)
1. รีวิว เซี่ยงไฮ้ (Shanghai)
2. รีวิว เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์ (Shanghai Disneyland)
3. รีวิว เทียนจิน (Tianjin)
4. รีวิว ปักกิ่ง (Beijing)
มณฑลยูนนาน (Yunnan)
5. รีวิว ลี่เจียง (Lijiang)
6. รีวิว แชงกรีล่า (Shangri-La)
7. รีวิว ภูเขาหิมะเหม่ยลี่ (Meili Snow Mountain)
มณฑลเหอหนาน (Henan)
8. รีวิว เจิ้งโจว (Zhengzhou)
9. รีวิว ลั่วหยาง (Louyang)
10. รีวิว หยุนไถซาน (Yuntaishan) // กำลังเขียน
11. รีวิว ไคเฟิง (Kaifeng)
รวมทุกส่วนลดของการจองโรงแรมและกิจกรรมท่องเที่ยว
⚡️ ยกพวกกันมาแบบจุกๆ กับส่วนลดแหลกลานทุกการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่าน Online Travel Agency ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Agoda, Expedia, Booking, Hotels.com, Trip.com , Airbnb และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday
1 comment
ชอบที่สุดในการรีวิวนอกเหนือไปจากภาพสวยคือข้อมูลแน่นมากค่ะ เราชอบศึกษาประวัติของแต่ละที่ก่อนไปเที่ยวจริงเพราะมันจะยิ่งอินเวลาเราอยู่ในสถานที่นั้น รีวิวของคุณก็อตจึงมีประโยชน์มากๆค่ะ รบกวนสอบถามเพิ่มเติม การเดินทางในจีน ช่วงที่ย้ายจากเมืองนึงไปอีกเมืองแล้วแวะเที่ยวไปด้วย จัดการกับกระเป๋าเดินทางยังไงคะ มีขนส่งกระเป๋าเหมือนญี่ปุ่นไม๊คะ