รีวิว ซูโจว (Suzhou) x จีน เที่ยวเมืองโบราณเวนิสตะวันออก

ซูโจว (Suzhou) อีกหนึ่งเมืองที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้ นั่งรถไฟความเร็วสูงมาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงแล้ว เมืองนี้เราจะได้สัมผัสกับความเป็นเมืองประวัติศาสตร์ท่ามกลางสวนโบราณและลำคลองเล็กๆ ที่ไหลผ่านทั่วเมืองจนได้ฉายาว่า “เวนิสตะวันออก” โดย ซูโจว (Suzhou) ยังไม่ได้เป็นเมืองฮิตที่คนไทยเราไปเที่ยวกันมากนัก แต่ถ้าใครที่ชอบไวบ์เมืองเก่า ได้เดินกินลมชมวิวท่ามกลางตึกรามบ้านช่องที่เหมือนพาเราหลุดเข้าไปยังเมืองจีนเมื่อหลายพันปีก่อน พร้อมกับได้ชื่นชมความงดงามของสถาปัตยกรรมท่ามกลางคลองมากมาย ก๊อตบอกเลยว่า ลองปักหมุดมาเที่ยว ซูโจว (Suzhou) ดูสักครั้ง แล้วทุกคนจะหลงรักเมืองนี้อย่างก๊อตแน่นอน 

รู้จักกับซูโจว (Suzhou)

ซูโจว (Suzhou) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลเจียงซู (Jiangsu) งอยู่ติดกับเซี่ยงไฮ้ โดยเมืองนี้ถือเป็นอีกเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี ในอดีตช่วงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25–220)​​ ซูโจว (Suzhou) เป็นเมืองที่มีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก จนเมืองกลายมาเป็นหนึ่งในสิบเมืองใหญ่ที่สุดในโลกและมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสมัยราชวงศ์หมิง ซูโจว (Suzhou) กลายเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการพาณิชย์ของประเทศในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ 

ซูโจว (Suzhou) เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยคลองทั้งสี่ด้านและมีคลองเล็ก ๆ ไหลทอดยาวสลับกันไปมาทั่วเมือง ทำให้ที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องของเมืองเมืองแห่งสายน้ำของจีน ที่มีเสน่ห์ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ท่ามกลางธรรมชาติที่โอบล้อม ทั้งสายน้ำและภูเขา ซึ่งในอดีต ภายในเมืองมีสวนโบราณมากกว่า 200 แห่ง แต่ในปัจจุบันนี้มีสวนที่ได้รับการอนุรักษ์และดูแลเอาไว้อย่างสมบูรณ์อยู่ทั้งหมดราวๆ 10 แห่ง ซึ่งหลายแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก บรรยากาศของเมืองจึงดูร่มรื่นและเงียบสงบกว่าหัวเมืองใหญ่ๆ มาก ซูโจวจึงเหมาะกับสำหรับคนที่อยากมาเที่ยวพักผ่อนท่ามกลางสวนและคลองโบราณแบบจีนดั้งเดิมเป็นที่สุด 

ด้วยความงดงามของทัศนียภาพและวิถีชีวิตที่ยังคงความละเมียดละไมไว้ได้อย่างดี ซูโจวจึงได้รับฉายาว่า “เมืองสวรรค์บนโลกมนุษย์”  ทำให้ซูโจวกลายมาเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่ช่วงหลัง เริ่มมีนักท่องเที่ยวแห่แหนมาเที่ยวกันมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงนักท่องเที่ยวไทยด้วยเช่นกัน ถ้าใครที่กำลังหาเมืองเที่ยวไวบ์ดีๆ ไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้ ซูโจว (Suzhou) นี่คือตอบโจทย์ที่สุดแล้ว

ข้อมูลแน่นแล้ว ไปเที่ยว ซูโจว (Suzhou) กันเล้ยย
เนินเขาเสือ (Tiger Hill Pagoda)

มีประโยคหนึ่งจาก Su Shi นักวรรณกรรมชื่อดังกล่าวเอาไว้ว่า “น่าเสียดายมากหากคุณไปซูโจวแล้วไม่ได้ไปเยี่ยมชมเนินเขาเสือ (Tiger Hill Pagoda)” แน่นอนว่า พอก๊อตได้มาเยือนซูโจวแล้ว จึงไม่พลาดที่จะมา เนินเขาเสือ (Tiger Hill Pagoda) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง  ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กอันดับต้นๆ ของซูโจว (Suzhou) ที่เต็มไปด้วยโบราณสถานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอยู่มากมาย จนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A (AAAAA) ของจีนที่ห้ามพลาดอีกด้วย

สำหรับ เนินเขาเสือ (Tiger Hill Pagoda) นั้น มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี โดยสถานที่แห่งนี้เคยถูกบันทึกไว้ในหนังสือ Shih Chi ซึ่งเป็นงานประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในยุคชุนชิว มีเรื่องราวระบุเอาไว้ว่า กษัตริย์แห่งรัฐอู่ ที่ชื่อเหอลู่ (He Lu) เสียชีวิตจากสงครามกับรัฐเย่ว์ ฟู่ไฉ (Fu Chai) บุตรชายของท่านจึงได้ฝังศพของผู้เป็นพ่อเอาไว้บนเนินแห่งนี้ โดยหลังจากมีการนำศพมาฝั่งได้เพียง 3 วัน ก็มีเสือขาวเข้ามายังเนินเขาแห่งนี้ ทีนี้คนเค้าเลยเปลี่ยนชื่อที่เคยเรียกมาเป็น เนินเขาเสือ (Tiger Hill Pagoda) นั่นเอง 

จุดแรกที่ก๊อตเดินเข้ามาจากทางเข้าหลัก จะเจอกับ Broken Beam Hall ห้องโถงหลักที่เป็นอาคารสีส้มเตะตามาแต่ไกล ความพิเศษของอาคารหลังนี้ คือเป็นอาคารชายคาชั้นเดียวที่สร้างด้วยไม้ไผ่และไม้ล้วนโดยที่ไม่มีตะปูยึด โดยสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวนและมีอายุยาวนานกว่า 600 ปี ภายในมีแผ่นหิน 4 แผ่น ที่เชื่อกันว่าเป็นบันทึกการก่อสร้างและการบูรณะ เนินเขาเสือ (Tiger Hill Pagoda) ที่หากเคาะแผ่นหินเพียงเล็กน้อย เราก็จะได้ยินเสียงสะท้อนก้องไปมา แผ่นหินเหล่านี้เลยถูกเรียกว่าแผ่นเสียงสะท้อนนั่นเอง

ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน หากเราเดินเลียบมาตามฝั่งด้านซ้ายจาก Broken Beam Hall เราจะเจอกับเนินเขาที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้สีม่วงๆ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ และศาลานั่งพัก โดยจะมีเหมือนที่ฝังศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่อีกด้วย ถือเป็นอีกมุมที่ใครอยากได้ภาพสวยๆ กับดอกไม้สีสันสดใส ก๊อตแนะนำให้เดินมาตรงนี้ได้เลย 

พอถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก๊อตแนะนำให้เราเดินย้อนมายังมเส้นทางหลักที่จะพาเราเข้าสู่ด้านในของเนินเขาเสือ โดยตลอดทางถูกรายล้อมไปด้วยแนวหินมากมายตามสองฝั่งทางเดิน ระหว่างทางมีร้านค้าเล็กๆ ที่ขายของที่ระลึก รวมถึงคาเฟ่ให้ได้แวะเวียนเข้าไปอีกด้วย โดยจุดที่น่าสนใจคือ “หินทดสอบดาบ” (Sword Testing Stone) ซึ่งเป็นหินที่ตำนานเล่าไว้ว่ากษัตริย์เหอลู่ (Helü) ในตอนที่ยังมีชีวิต พระองค์เป็นแฟนตัวยงและเป็นนักสะสมดาบเลย สั่งให้คนค้นหาดาบที่ดีที่สุดให้ตน กระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้ตรัสถาม Gan Jiang และ Mo Ye ซึ่งเป็นคู่รักช่างตีดาบในตำนานที่สามารถทำดาบให้คมกริบในยุคนั้น ให้ทำดาบคมๆ ให้หน่อย และเมื่อได้ดาบมาแล้ว จึงนำดาบมาทดสอบความคมด้วยการฟันดาบไปที่หินจนหินก้อนนี้แตกออกจากกันนั่นเอง

เดินต่อเข้ามาอีกนิดเดียว จะมาถึงลานหินกว้างๆ ที่เรียกกันว่า Thousand Men Rock ซึ่งเป็นเนินหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณปลายทางเดินก่อนขึ้นเขา โดยบริเวณนี้จะมีผู้คนนั่งพักผ่อนและชมทิวทัศน์กันอยู่เนืองแน่น ซึ่งมีตำนานเล่าเอาไว้เกี่ยวกับเนินหินตรงนี้ว่า ในอดีตมีคนงาน 1,000 คนถูกรวบมาเพื่อสร้างสุสานของกษัตริย์เหอลู่ (Helü) เมื่อภารกิจเสร็จ ฟู่ไฉ (Fu Chai) บุตรชายของพระองค์ กลัวว่าความลับเกี่ยวกับสุสานจะรั่วไหล จึงคิดกุลอุบายสั่งฆ่าคนงานนับพันทั้งหมด โดยเลือดของคนงานเหล่านั้นไหลลงสู่หินจนกลายเป็นสีแดง ว่ากันว่าทุกครั้งที่ฝนตกลงมา เนินหินตรงนี้จะแดงฉานจนคนไม่กล้ามายุ่งนั่นเอง ตอนที่ก๊อตไปนั้น อากาศแจ่มใส หินเป็นสีเข้มๆ เหมือนหินทั่วไป แต่ความยิ่งใหญ่คือลานหินตรงนี้กว้างมากทั้งเป็นเนินหินยกสูงจากพื้นและเป็นแนวลดหลั่นกันลงมา แนะนำว่าเวลาเดินนั้นต้องระวังกันพอสมควร เพราะหินบางจุดหินลื่นมากเลยล่ะ

จากบริเวณ Thousand Men Rock เราจะสามารถมองเห็นยอดของเจดีย์ที่อยู่บนยอดเขาได้แล้วนะ โดยระหว่างทาง เรายังต้องเดินผ่าน Sword Pool หรือที่เรียกกันว่า “สระดาบ” สระน้ำสีเขียวที่ห้อมล้อมไปด้วยแนวกำแพงหินสูงชัน โดยตำนานเล่าว่า สระแห่งนี้มีดาบกว่า 3,000 เล่ม ฝังไว้พร้อมกับกษัตริย์เหอลู่ แม้ก๊อตจะไม่ได้เห็นดาบในสระ แต่ก็มีน้องเต่าและน้องตะพาบน่ารักๆ อาศัยอยู่แทน ซึ่งใครที่เห็นน้องๆ แล้วอย่ามัวมองเพลิน ก๊อตอยากให้มองตามแนวกำแพง เราจะเห็นอักษรจีน 4 ตัวจารึกว่า “虎丘剑池” (Hu Qiu Jian Chi) แปลตรงตัวว่า “สระดาบแห่งเนินเขาเสือ” จารึกโดยหยานเจินฉิง (Yan Zhenqing) นักประดิษฐ์อักษรชื่อดังในยุคราชวงศ์ถังอยู่ด้วย

เดินจากบริเวณสระดาบขึ้นมาอีกไม่นาน เราจะมาเจอกับยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ที่มีอายุเก่าแก่กว่าพันปี โดยมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า Cloud Rock Temple ที่ตอนนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของซูโจวไปเรียบร้อยแล้ว โดยเจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง (Yangtze River) ตัวเจดีย์ตั้งโดดเด่นและเอียงไปทางทิศเหนือประมาณ 4 องศา จนได้รับฉายาว่าเป็น “หอเอนแห่งเมืองจีน” โดยตัวเจดีย์มีทั้งหมด 7 ชั้นและมี 8 ด้าน ตัวผนังของเจดีย์ถูกสร้างเป็น 2 ชั้น และถูกค้นพบโบราณวัตถุล้ำค่ามากมาย ซึ่งปัจจุบัน สิ่งของเหล่านั้นได้ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ซูโจว (Suzhou Museum) เป็นที่เรียบร้อย 

โดยวันที่ก๊อตไปนั้น ไม่สามารถเข้าไปด้านในเจดีย์ได้ แต่สามารถเดินชมรอบนอกได้แบบใกล้ชิด แต่เหมือนว่าหากมากับไกด์หรือเจ้าหน้าที่ เค้าจะมาเปิดและพาเราเข้าไปทัวร์ด้านในเจดีย์ได้ด้วย ใครสนใจอยากลองเข้าไป ลองถามกับเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมได้เลย

ส่วนตัวก๊อตนั้น เราเดินชมบรรยากาศและเก็บภาพรอบๆ เจดีย์ จากนั้นก็ลงอีกฝั่ง ซึ่งเป็นโซนที่มีสวนโบราณชื่อ Wanjing Villa สวนบนเชิงเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเนินเขาเสือ ภายในมีการจัดสวนออกเป็นหลากหลายรูปแบบให้คนได้เดินสำรวจกันจนขาลาก รวมถึงยังมีไร่ชา และต้นบอนไซกว่า 500 ต้น ที่ปลูกอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสุดร่มรื่น โดยบางจุดที่ก๊อตเดินผ่านนั้นมีน้ำตกที่พลิ้วไหวไหลไปตามแนวสันเขา ห้อมล้อมเอาไว้ด้วยธารน้ำอีกที นอกจากนี้เค้ายังมีเรือล่องชมวิวสุดชิลให้ได้ใช้บริการอีกด้วย แต่ถ้าใครไม่อยากล่องเรือ เราสามารถเดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ ที่พาเราเดินวนกลับไปยังทางออกด้านหน้า เป็นอันจบรูทการเดินเที่ยวใน เนินเขาเสือ (Tiger Hill Pagoda) ของก๊อตแล้ว

โดยรวม เนินเขาเสือ (Tiger Hill Pagoda) เป็นสถานที่เที่ยวที่เดินเพลินมาก เพราะมีทั้งเจดีย์เก่าแก่ เนินหิน และสวนสวยๆ ให้เราได้ชมหลากหลายมุม ก๊อตแนะนำว่าใครจะมาตามรอย ควรเผื่อเวลาไว้สัก 2–3 ชั่วโมง และให้เดินตามเส้นทางสวน ไม่ต้องข้ามฝั่งไปหาทางออกอื่น เพราะจากที่ลองมาแล้ว พอลงจากเจดีย์ เส้นทางจะพาเราเดินชมสวนไปเรื่อยๆ จนวนกลับไปทางออกเดิมอยู่ดี แต่เพราะพื้นที่เค้ากว้างมาก ตอนแรกก๊อตเลยลองเดินข้ามทะเลสาบไปยังสวนจีนด้านข้าง ปรากฏว่ายิ่งเดินยิ่งหลง สุดท้ายก็ต้องวนกลับมาเดินออกทางเดิม 555555

วัดซีหยวน (Xiyuan Temple)

วัดซีหยวน (Xiyuan Temple) ถือเป็นหนึ่งในวัดพุทธที่สำคัญของเมืองซูโจว และยังเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอีกด้วย จุดเด่นของที่นี่คือการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของวัดเข้ากับสวนจีนแบบคลาสสิกได้อย่างลงตัว ภายในวัดเต็มไปด้วยต้นไม้เก่าแก่ อาคารเก่า และทางเดินเลียบสระน้ำที่คดเคี้ยวไปมา ทำให้วัดแห่งนี้มีบรรยากาศร่มรื่นและงดงาม อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยือนไม่ขาดสายตลอดทั้งปี

สำหรับเรื่องราวของ วัดซีหยวน (Xiyuan Temple) นั้น ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 4 ไร่ โดยวัดแห่งนี้ตลอดหลายยุคสมัยของจีน เคยถูกทำลายหลายครั้งจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ก่อนที่จะถูกรวมเข้ากับพื้นที่สวนที่ชื่อ ซีหยวน หรือสวนตะวันตก (West Garden Temple) ที่เคยเป็นของข้าราชการระดับสูงในสมัยราชวงศ์หมิง และเมื่อเขาเสียชีวิต บุตรชายได้บริจาคพื้นที่ทั้งหมดให้กับวัด ส่งผลให้อาคารส่วนใหญ่ของวัดที่เคยถูกทำลายได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ในภายหลัง จนในที่สุด ตัววัดและสวนกลายเป็นพื้นที่หนึ่งเดียวกัน และใช้ชื่อว่า วัดซีหยวน (Xiyuan Temple) มาจนถึงปัจจุบัน

ไฮไลท์ของ วัดซีหยวน (Xiyuan Temple) อย่างแรกเลยก็คือ รูปปั้นพระอรหันต์ 500 องค์ ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง โดยแต่ละองค์มีชื่อเรียกเฉพาะและแสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งรูปปั้นทั้งหมดนั้น ถูกจัดแสดงอยู่ในตู้กระจกใสเรียงรายกันอยู่ในอาคารชั้นเดียว โดยเราสามารถเดินส่องความวิจิตรของรูปปั้นที่แต่ละองค์จะมีขนาดเท่ากับคนจริงๆ อีกทั้งยังสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เนื้อดี โดยดีเทลแต่ละองค์นั้นได้รับการแกะสลักและลงสีอย่างประณีตจากช่างฝีมือผู้ชำนาญในพื้นที่ทางใต้ของจีน โดยมีความเชื่อว่าในพระพุทธศาสนา พระอรหันต์เหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจและโชคลาภของทุกคนในทุกสาขาอาชีพกันเลยทีเดียว

นอกจากพระอรหันต์แล้วภายในอาคารเดียวกัน ยังมีเจ้าแม่กวนอิมพันมือพันตาประดิษฐานอยู่อีกด้วย ซึ่งเป็นองค์ที่ชาวซูโจวให้ความเคารพอย่างมาก แต่เราไม่สามารถถ่ายภาพภายในอาคารออกมาให้ชมได้ เนื่องจากทางวัดไม่อนุญาตนั่นเอง

นอกจากนี้ ภายใน วัดซีหยวน (Xiyuan Temple) ยังมีสระฟางเซิง (Fangsheng Pond) สระน้ำที่มีศาลา 8 เหลี่ยมตั้งตระหง่านอยู่ ตัวสระรายล้อมไปด้วยสวนสีเขียวๆ ท่ามกลางสะพานซิกแซกไปมาและต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ รอบๆ สระมีมุมสวนที่มีม้านั่งและเก้าอี้ตั้งเอาไว้ให้คนได้มานั่งพักผ่อนอีกด้วย ซึ่งโซนสวนของวัดนั้น มีคนมานั่งเล่นพักผ่อนกันเยอะเป็นพิเศษเลย แต่ที่ถือเป็นไฮไลท์ของโซนนี้ เห็นจะเป็นน้องแมวหลากสีสันหลายตัวที่เดินอ้วนต้วมเตี้ยมไปมา คนก็ยกกล้องมาถ่ายกันพรึ่บ ซึ่งแมวแต่ละตัวไม่มีตื่นกล้องกันเลย 

โดยรวมแล้ว วัดซีหยวน (Xiyuan Temple) ถือเป็นวัดที่ร่มรื่นและเงียบสงบมากแห่งหนึ่ง เวลามาเที่ยวที่นี่มันจึงไม่ใช่แค่การมาเที่ยววัดอย่างเดียว แต่เรายังจะได้พักผ่อนหย่อนใจไปกับธรรมชาติสวยๆ อีกด้วย เอาเป็นว่าใครที่อยากจะสัมผัสกับความอลังการของวัดที่มีพระพุทธรูปและสวนสวยๆ ให้ได้ชม รวมถึงใครที่เป็นทาสแมวนั้น ยังไงก็ต้องมาที่นี่สักครั้งหนึ่งเลยล่ะ รับรองไม่ผิดหวัง

ถนนซานถัง (Shantang Street)

ถนนซานถัง (Shantang Street) คือหนึ่งในถนนโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดของซูโจว ซึ่งถือเป็นย่านเก่าแก่ที่ยังคงกลิ่นอายแบบดั้งเดิมของเมืองเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งบ้านเรือนทรงโบราณ ร้านขายอาหารพื้นเมือง และงานหัตถกรรมสุดประณีต ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศเมืองเก่าแบบจีนโบราณอย่างแท้จริงให้มาเที่ยวที่นี่ได้เลย 

ถนนสายนี้มีประวัติยาวนานย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ. 825 สมัยราชวงศ์ถัง เมื่อกวีชื่อดังอย่างไป๋จวียี ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองซูโจวในขณะนั้น ได้ริเริ่มโครงการขุดคลองซานถังและเสริมตลิ่งเพื่อปรับปรุงระบบขนส่งทางน้ำในเมือง ส่งผลให้ถนนซานถังได้ถูกสร้างขึ้นควบคู่กับโครงการนี้ โดยถนนทอดยาวจากประตูชางเหมินทางตะวันออก ไล่ยาวไปจนถึงเนินเขาเสือทางตะวันตก รวมระยะทางราว 7 ลี้ หรือประมาณ 3.6 กิโลเมตร จึงได้รับฉายาว่า ซานถังเจ็ดลี้นั่นเอง ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ถนนสายนี้รุ่งเรืองอย่างมาก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ถนนโบราณอันดับหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์” ทำให้ได้รับการอนุรักษ์และดูแลเอาไว้อย่างดีนับตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน จนในที่สุดถนนสายนี้ ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของทั้งคนจีนและนักท่องเที่ยวที่อยากซึมซับเสน่ห์ของซูโจวที่เสมือนเราได้ย้อนอดีตไปยุคจีนสมัยก่อนนั่นเอง 

โดยการเดินเที่ยวใน ถนนซานถัง (Shantang Street) ส่วนตัวก๊อตเราจะเริ่มเดินจากทางเข้าหลัก ซึ่งจะเป็นจุดที่มีซุ้มประตูขนาดใหญ่แล้วเดินมาตามถนนเรื่อยๆ เลียบออกไปทางฝั่งขวามาตามท่าเรือ ซึ่งโซนนี้คนค่อนข้างเยอะพอสมควร ตามสองฝั่งของทางเดินเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารให้ได้เลือกกินแบบละลานตามาก แล้วความเว่อร์คือ ปกติร้านอาหารบ้านเรา พวกเมนูต่างๆ เค้าจะทำเป็นของปลอมขึ้นมาวางให้ดูว่าอาหารแต่ละอย่างหน้าตาเป็นแบบไหน แต่ที่นี่ ร้านไหนขายอะไร พี่แกก็เอาของจริงมาวางตั้งหราอยู่หน้าร้านให้คนที่เดินผ่านไปมาได้เห็นใกล้ๆ เลย เออ การตลาดเริ่ดนะว่าไม่ได้

เดินเล่นกันมาอีกสักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปในถนนสายหลักของเค้า มันจะมีอีกมุมที่ถ่ายรูปออกมาได้สวยสับไม่แพ้กัน นั่นคือ บริเวณเชิงสะพานที่อยู่เยื้องๆ ฝั่งซ้ายกับถนนสายหลัก โดยตรงนี้เป็นมุมที่เราสามารถมองเห็นคลองสายเล็กๆ ทอดยาวลึกเข้าไปด้านหลัง ขนาบข้างด้วยบ้านเรือนและอาคารเก่าแก่ ท่ามกลางฉากหลังของท้องฟ้าที่พอไปยืนถ่ายภาพแล้ว จะได้รูปสวยๆ กันเลยทีเดียว แต่อาจจะต้องรอจังหวะดีๆ ที่คนไม่เดินผ่านกล้องแล้วรีบลั่นชัตเตอร์รัวๆ เลยนะ

หลังจากได้รูปสวยๆ แล้ว ก็อตแนะนำให้เราเดินเข้าไปยังถนนสายหลักที่ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายจากสะพานเมื่อกี้ ซึ่งบรรยากาศช่วงยามพลบค่ำที่ก๊อตมานั้น คนระเบิดแบบแตกแตนมาก ภาพตรงหน้าก๊อตเหมือนกำลังดูฝูงมดเดินกันให้ขวัก แต่พอเดินเข้ามาด้านในจริงๆ คนจะมีทั้งช่วงที่แน่นและเดินชิลๆ สลับกันไป อาจจะแน่นในบางจุดที่เป็นร้านดังแล้วมีคนมาต่อแถวซื้อของเยอะเท่านั้น ซึ่งของที่ขายอยู่ในถนนสายนี้ ก็จะมีตั้งแต่งานฝีมืออย่าง งานปัก ผ้าไหม ร้านน้ำชาโบราณ ร้านอาหารจีน ไปจนถึงร้านขายขนมและของฝากที่มีให้เลือกตั้งแต่งานแฮนด์เมดแบบคลาสสิก ไปจนถึงร้านขายของเก๋ๆ ฟีลของจีนจัดๆ ให้ได้ช้อปนั่นเอง

หนึ่งในไฮไลท์ของถนนสายนี้ที่พลาดไม่ได้คือ สะพานถงกุ้ย (Tonggui Bridge) สะพานหินโค้งรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวที่ทอดตัวอยู่เหนือแม่น้ำ เป็นจุดชมวิวสำคัญที่สามารถมองเห็นลำคลองสายยาวตัดผ่านบ้านเรือนเก่าแก่ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งได้อย่างงดงาม บรรยากาศด้านบนของสะพานเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่เค้ามายืนรอถ่ายรูปกัน และด้วยความป๊อบมากจนคนแน่นตลอดเวลา ตอนที่ก๊อตไปนั้น มีเจ้าหน้าที่ถึง 3-4 คนยืนประจำเพื่อคอยจัดระเบียบและขอความร่วมมือไม่ให้ผู้คนเดินแช่หรืออยู่บนนั้นนาน อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถถ่ายภาพจากบนสะพานได้นะ แต่ก๊อตแนะนำว่าถ้าเราได้ภาพแล้ว ให้รีบเดินลงก็ดี เพราะคนเแน่นเอี๊ยดของจริง

นอกจากบรรยากาศและมุมถ่ายรูปสวยๆ แล้ว ใครอยากได้รูปสวยๆ เป็นสาวจีนโต๋วอินในชุดจีนโบราณ ใน ถนนซานถัง (Shantang Street) เค้ามีร้านรับแต่งหน้าทำผมพร้อมเช่าชุดจีนโบราณให้บริการอยู่ด้วย โดยค่าบริการจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ครอบคลุมทั้งหน้า ผม และชุดให้หมดเลย ซึ่งระหว่างทางที่ก๊อตเดินเล่นกันอยู่ในนั้นจะเจอคนจีนและนักท่องเที่ยวหลายคนที่เค้าแต่งตัวจัดเต็มมายืนโพสต์ท่าถ่ายรูปอยู่เป็นระยะๆ ใครพอมีเวลาว่างๆ ลองเลือกร้านที่ชอบแล้วลองแต่งกันได้ ก๊อตคิดว่ามันถ่ายรูปออกมาน่ารักดี หรือถ้าอยากให้เต็มยศมากๆ แต่งตัวเสร็จแล้วก็ไปล่องเรือต่อได้ ที่นี่เค้ามีล่องเรือบนแม่น้ำคอยให้บริการด้วย 

หลังจากเดินกันจนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว บรรยากาศตอนกลางคืนสวยตาแตกมาก เพราะตามบ้านเรือนและอาคารในถนนทั้งสายจะเปิดไฟกันพรึ่บพรั่บ พร้อมกับมีโคมแดงห้อยประดับตกแต่งไปตามชายหลังคา ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังจีนโบราณมาก แถมเรือที่ล่องอยู่ในคลองก็เปิดไฟสู้กันสุดฤทธิ์ เป็นอีกมู้ดที่สวยแปลกตาไปจากช่วงพลบค่ำเลยทีเดียว แต่แอบบอกว่า ยิ่งมืดคนยิ่งเดินแน่นม๊ากก ยิ่งช่วงที่เป็นทางเดินเล็กๆ เลียบคลอง คนคือแน่นสุดๆ เลย บางจุดนี่เดินแทบไม่ได้

ภาพรวมของการมาเดินเที่ยว ถนนซานถัง (Shantang Street) จะฟีลเหมือนการมากิน เที่ยว เดินส่องบรรยากาศความเก่าแก่แบบนี้เลย ใครอยากชอบสถาปัตยกรรมสวยๆ บ้านเรือนท่ามกลางแม่น้ำในมู้ดดีๆ เหมือนได้หลุดเข้าไปในเมืองโบราณ มาเที่ยว ซูโจว ก๊อตอยากให้ลองมาที่นี่ช่วงเย็นๆ เป็นต้นไป แล้วอยู่ต่อจนพระอาทิตย์ตกได้เลย เพราะบรรยากาศนั้นโรแมนติกที่สุด รับรองว่ามาแล้ว หลายคนจะต้องชอบและหลงเสน่ห์ ‘ซูโจว’ ที่มีความเป็นเวนิสตะวันออกกันอย่างแน่นอน 

ถนนผิงเจียง (Pingjiang Road)

มากันที่ ถนนผิงเจียง (Pingjiang Road) อีกหนึ่งถนนคนเดินที่บรรยากาศเก่าแก่ไม่แพ้ถนนซานถัง (Shantang Street) แต่ที่นี่สามารถมาเดินได้ตลอดทั้งวัน ไม่จำเป็นจะต้องมาเฉพาะตอนเย็นเท่านั้น โดยถนนสายนี้เป็นถนนสายประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีที่สุดในซูโจว (Suzhou) เลยก็ว่าได้ ใครอยากมาเดินช้อปปิ้งของเพิ่มเติม หรืออยากมาดื่มด่ำกับบรรยากาศเหมือนได้ย้อนยุคของจีน ถนนผิงเจียง (Pingjiang Road) เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ก๊อตแนะนำเลย 

สำหรับ ถนนผิงเจียง (Pingjiang Road) เป็นถนนสายเก่าแก่ที่ทอดยาวประมาณ 1.6 กิโลเมตร เลียบคลองสายเก่าของเมืองซูโจว โดยถนนเส้นนี้มีประวัติยาวนานกว่า 2,500 ปี ในอดีตเคยเป็นเส้นทางสายหลักของเมืองซูโจวฝั่งตะวันออก โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ถนนผิงเจียงเคยปรากฏอยู่บนแผนที่ของเมืองในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ. 1127–1279) อีกด้วย และแม้เวลาจะผ่านมาหลายร้อยปี รัฐบาลจีนยังคงอนุรักษ์และบูรณะอาคาร รวมถึงตรอกซอกซอยต่างๆ ในถนนสายนี้ให้คงไว้ซึ่งบรรยากาศแบบดั้งเดิม โดยตัวถนนไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางเลียบคลอง แต่ยังมีตรอกเล็กๆ หลายสาย เช่น ตรอกซวนเฉียว (Xuanqiao Alley), ตรอกซื่อหลินซื่อ (Shilinsi Alley), ตรอกชวนฟาง (Chuanfang Alley), ตรอกตงหัวเฉียว (Donghuaqiao Alley) และ ตรอกเฉาหยู่ (Caohuxu Alley) ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่พักอาศัยของบุคคลสำคัญและศิลปินชื่อดัง แต่ปัจจุบัน ตรอกเหล่านี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นร้านน้ำชา คาเฟ่ และบาร์ แต่ยังคงรักษาโครงสร้างและสถาปัตยกรรมโบราณไว้ได้อย่างดี รวมถึงทำร้านผสมผสานกับกลิ่นอายความเก่าแก่ได้อย่างลงตัว 

ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้นเป็นช่วงสายๆ ก่อนเที่ยง บรรยากาศภายใน ถนนผิงเจียง (Pingjiang Road) ค่อนข้างคึกคักและมีคนเดินกันเยอะ แม้ว่าบางร้านที่เป็นร้านแผงลอยจะยังตั้งของไม่เสร็จ แต่ร้านที่อยู่ในอาคารก็เปิดกันหมดแล้ว ซึ่งของที่ขายก็จะเป็นพวกของสไตล์จีนๆ อย่างร้านขายพัด ชุดจีน เครื่องหอม ใบชา เครื่องประดับ ไปจนถึงสารพัดของปุ๊กปิ๊ก และของเล่นที่มีให้เลือกซื้อกันเพียบ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร และของกินเล่นขายกันอยู่หลายร้าน คือเรียกได้ว่า ถนนผิงเจียง (Pingjiang Road) เป็นถนนคนเดินที่ครบเครื่องมากเลยทีเดียว

นอกจากนี้ตามทางเดินยังมีมุมน่ารักๆ ให้เราได้ถ่ายรูปสวยๆ กับคลองสายเก่าที่ยังคงมีน้ำไหลเอื่อยๆ พร้อมผู้คนที่เค้ามาล่องเรืออยู่บนแม่น้ำอยู่ตลอดเวลา  ซึ่งตลอดเส้นทางเกือบ 2 กิโลเมตรที่ก๊อตเดินเล่นอยู่ในนั้น นี่ไม่รู้สึกว่ามันไกลอะไรเลย แต่รู้สึกเพลินไปกับของที่ขายและบรรยากาศตามสองฝั่งของถนนมาก เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบการเดินถนนอยากซื้อของฟีลจีนจ๋าๆ แต่ไม่มีเวลารอเดินตอนกลางคืน ถนนผิงเจียง (Pingjiang Road) เป็นอีกหนึ่งถนนคนเดินที่ก๊อตคิดว่าตอบโจทย์มากๆ เลย เพราะเราสามารถมาเดินเที่ยวเล่นในตอนกลางวันได้แบบชิลๆ เลยล่ะ

ประตูแห่งบูรพาทิศ (The Gate of the Orient)

ประตูแห่งบูรพาทิศ (The Gate of the Orient) หรือชื่อภาษาจีนเรียกว่า “ตงฟางจือเหมิน (Dongfang Zhimen)” อีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญของซูโจวที่ต้องมาเช็คอินเลย เพราะที่นี่เป็นตึกที่สูงเป็นอันดับสองของซูโจว โดยมีความสูงถึง 301.8 เมตร ตั้งหันหน้าไปทางริมทะเลสาบจินจี (Jinji Lake) ภายในมีทั้งหมด 68 ชั้น แบ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม, อพาร์ตเมนต์, สำนักงาน และศูนย์การค้านั่นเอง

ประตูแห่งบูรพาทิศ (The Gate of the Orient) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ โดยโครงสร้างประกอบด้วยหอคอยคู่เชื่อมกันด้วยส่วนโค้งด้านบน ให้ความรู้สึกเหมือน “ประตูเมืองจีนโบราณ” ที่ตั้งตระหง่านริมทะเลสาบจินจี แต่แม้พี่จีนเค้าจะสร้างให้ดูเก๋ไก๋มีกิมมิคของความเป็นจีน แต่ชาวเน็ตกลับเสียงแตกและบอกว่า มันดูคล้ายกางเกงยีนมากกว่าเป็นประตู ถึงขั้นได้รับฉายาว่า “The Pants Building” เลยนะ แต่แม้จะถูกล้อเลียนแค่ไหน อาคารแห่งนี้ยังคงถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในโครงการก่อสร้างที่มีความซับซ้อนทางวิศวกรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของจีนเลยก็ว่าได้ 

ซึ่งความกิ๊บเก๋ของ ประตูแห่งบูรพาทิศ (The Gate of the Orient) คือดีไซน์ของตึกที่ให้ฟีลเหมือนสร้างอยู่ในโลกอนาคต ใครที่อยากเก็บภาพตึกสวยๆ ทั้งอาคารได้ครบ ก๊อตแนะนำให้เดินลงสถานีรถไฟใต้ดินแล้วออกมาทางฝั่งทะเลสาบ ตรงนี้จะเป็นลานกว้างที่มีพื้นที่สวนติดริมทะเลสาบ ซึ่งเราสามารถถ่ายภาพย้อนกลับไปเห็นตัวตึกจากมุมด้านนอกได้แบบเต็มสายตา รวมถึงวิวฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบที่เราสามารถมองเห็นสกายไลน์ของย่านที่ทันสมัยที่สุดของซูโจวอย่างย่าน Suzhou Industrial Park (SIP) ตัดกับสีน้ำทะเลและเกาะจินจี้ (Jinji Island) แบบสวยๆ ได้เลย

ห้างสรรพสินค้าซูโจวเซ็นเตอร์ (Suzhou Center Mall)

พามาช้อปปิ้งกันต่อใน ประตูแห่งบูรพาทิศ (The Gate of the Orient) กันกับ ห้างสรรพสินค้าซูโจวเซ็นเตอร์ (Suzhou Center Mall) กับห้างที่ใหญ่และของครบที่สุดในซูโจว ที่ใครอยากช้อปแบรนด์เนมที่มีให้เลือกตั้งแต่แบรนด์ราคาเบาๆ ไปจนถึงแบรนด์ลักชู รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของช็อปใหญ่อย่าง Apple ให้มาเดินช้อปที่นี่ได้เลย 

พื้นที่ภายในห้างนั้น มีด้วยกัน 6 ขั้น ยังไม่รวมชั้นใต้ดิน ข้างในเต็มไปด้วยช็อปมากมาย ทั้งจากฝั่งของจีน ไม่ว่าจะเป็น Urban Revivo, ANTA, Bosideng หรือจะเป็น Li-Ning ที่ใครอยากช้อปตั้งแต่เสื้อผ้าแฟชั่น ไปจนถึงเสื้อกีฬาและออกกำลังกาย คือมีครบให้ช้อปในห้างเดียว อีกทั้งยังมีแบรนด์แฟชั่นต่างๆ อย่าง  Zara, H&M, Uniqlo, Sephora และ Aesop ก็มีช็อปขนาดใหญ่ให้ได้เดินกันจนหนำใจ นอกจากนี้ยังมีอกสารพัดช็อป ร้านขายขนม และร้านอาหารให้ได้มาเดินซื้ออีกด้วย 

อย่างร้านน่ารักๆ ที่ก๊อตไปเจอมา หากใครชอบของปุ๊กปิ๊กเหมือนกันอยากให้แวะเลยคือ O.C.E ร้านสีสันสดใสที่ด้านในนั้น เน้นขายของเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเราจะได้ช้อปตั้งแต่ของใช้น่ารักๆ อุปกรณ์สำหรับใช้ในบ้านทั้ง ถ้วย ชาม จาน ผ้าเช็ดตัว กระเป๋า รองเท้าแตะ เครื่องหอม ตุ๊กตา ไปจนถึงกระเป๋าเดินทาง คือที่นี่มีครบให้เราได้ช้อปเหมือนเดินอยู่ในร้านสินค้าเบ็ดเตล็ดมาก 

ส่วนร้านของกินที่ก๊อตแวะคือ Grand Liz Super Store ร้านขายขนมปังสุดจี๊ดจ๊าดที่ข้างในแบ่งโซนและตกแต่งร้านออกมาได้โซคิวท์สุดๆ ส่วนขนมปังก็มีให้เลือกซื้อจนหยิบแทบไม่ถูก ถือเป็นอีกร้านที่คนแวะเวียนเข้ามาซื้อกันอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดยว และนี่ก็คือภาพรวมของการมาเดินช้อปปิ้งในห้างของก๊อตที่ส่วนตัวนั้น ค่อนข้างชอบเลย เพราะช็อปที่เปิดกันอยู่ในห้างเค้ามันมีความกิ๊บเก๋สุดจะคูลเหมือนคัดมารวมไว้ให้คนชิคๆ ได้มาเดินกัน ซึ่งนอกจากช็อปจะมากมายแล้ว ที่นี่ยังมักถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานอีเวนต์ต่างๆ รวมถึงยังมีพื้นที่สำหรับเรียนขี่ม้า ลานสเก็ตน้ำแข็งอยู่อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นห้างที่ครบเครื่องมากที่สุดของเมืองเลย

สรุปการมาเที่ยวในซูโจว (Suzhou)

การมาเที่ยว ซูโจว (Suzhou) ทั้งหมดของก๊อตในรอบนี้ ด้วยความที่เราไม่ได้มีเวลามาเที่ยวหลายวันมากนัก ทำให้ในหลายๆ สถานที่ก๊อตไม่ได้ไปตามเก็บมาฝากทุกคนกัน แต่เท่าที่ได้ไปเที่ยวซูโจวรอบนี้ ส่วนตัวก๊อตคิดว่าเป็นแพลนเที่ยวที่ตอบโจทย์การมาเที่ยวแบบ 1-2 วันมาก ใครที่มาเที่ยวเซี่ยงไฮ้แล้วอยากออกมาเที่ยวเมืองอื่นใกล้เคียง พร้อมทั้งได้อยู่ท่ามกลางกลิ่นอายของความเก่าแก่เหมือนพาเราย้อนยุคกลับไปในอดีต แถมผู้คนยังไม่พลุกพล่าน ซูโจวเป็นอีกเมืองตัวเลือกที่ดีและเหมาะแก่การมาเที่ยวมาก ยิ่งใครที่เป็นสายสถาปัตยกรรม และชื่นชมวัฒนธรรมความเก่าแก่ของเค้า ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวเมืองนี้ได้เลย เราจะได้อิ่มเอมไปกับมู้ดสโลว์ไลฟ์ที่มีเสน่ห์มากแห่งหนึ่งเลยทีเดียว 

ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025

⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡

> ส่วนลด Agoda.com (อโกด้า)
> ส่วนลด Booking.com (บุคกิ้ง)
>  ส่วนลด Expedia (เอ็กซ์พีเดีย)
> ส่วนลด Klook (คลุก)
> ส่วนลด KKday ( เคเคเดย์)