บาหลี หนึ่งในที่เที่ยวไม่ไกลจากบ้านเรานัก ที่ก๊อตว่าสวยสับ และคนไทยนิยมไปเที่ยวกันต่อปีเยอะมาก นั่นคือ บาหลี 1 ใน 34 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเกาะบาหลีนั้นใหญ่มากเลยนะ หากเทียบกับเกาะภูเก็ตบ้านเราแล้ว ขนาดของเกาะบาหลีนี่ใหญ่กว่าสิบเท่าเลย โดยเอกลักษณ์ของบาหลีที่ตรึงใจคนทั่วโลกให้มาเที่ยว นอกจากชายหาดสวยๆ วัดวาอารมเก่าแก่ พวกงานสถาปัตยกรรมและศิลปะแบบบาหลีอย่าง รูมะฮ์อาดัต (บ้านพื้นเมือง), ปูรา (โบสถ์พราหมณ์แบบบาหลี), บาเล (ศาลา) และ หอเมรู (หอคอยคล้ายเจดีย์) ก็ต่างงดงามและเลอค่าจนก๊อตอยากให้ทุกคนได้มาเห็นกับเองกับตาตัวเองสักครั้ง เพราะนี่บอกเลยว่า ความบาหลีนั้นแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในอินโดนีเซียเลยแหละ
การเดินทางเที่ยวบนเกาะบาหลี
การเดินทางเที่ยวในบาหลีนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งก๊อตต้องบอกก่อนว่าสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่เค้าค่อนข้างอยู่ไกลกันมากแบบขับรถจากที่แรกไปที่สองในหลักชั่วโมงเลย แถมบนเกาะบาหลีเองนั้นแทบจะไม่มีรถสาธารณะมากนัก ซึ่งก๊อตว่า 2 ทางเลือกในการเดินทางในบาหลีที่นี่ว่าเวิร์คและเหมาะกับคนไทยคือตามนี้เลย
1. เช่ารถพร้อมคนขับส่วนตัว
การเช่ารถพร้อมคนขับแบบส่วนตัวเป็นอีกวิธีที่ก๊อตแนะนำให้เลือกใช้ เพราะได้ทั้งความนั่งสบาย มีคนขับรถให้ แถมยังได้ความปลอดภัยมากกว่าการเช่ารถหรือมอเตอร์ไซค์ขับเองอีก ซึ่งการหารถเช่าพร้อมคนขับนั้นก็ง่ายแสนง่าย สามารถจองได้จาก Klook เลย
2. เช่ารถหรือมอเตอร์ไซค์ขับเที่ยวเอง
อีกวิธีคือ การเช่ารถขับเอง ซึ่งเค้าจะมีให้เลือกเช่าทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเราสามารถเลือกเช่าได้ตามความถนัดของตัวเองเลย แต่ถ้าให้ก๊อตเชียร์ ก๊อตจะเชียร์ให้เราเช่ารถขับไปเลย โดยวิธีการเช่านั้นง่ายมาก ทริปนี้ที่ก๊อตเช่ารถยนต์ขับในบาหลีนั้น เราสามารถใช้แค่ใบขับขี่ไทยที่มีภาษาอังกฤษโชว์ให้เค้าดูเป็นอันจบ ซึ่งทางบริษัทรถเช่านั้นไม่ได้มีการถามหาใบขับขี่สากลเลยแหละ 5555 ส่วนตัวก๊อตชอบการเช่ารถขับเองเพราะเราจะไปไหนได้ตามใจชอบมากกว่าโดยไม่ต้องคำนึงเรื่องลิมิตของเวลา เพราะถ้าเราเช่ารถพร้อมคนขับแล้วเผลอเที่ยวเกินเวลาเช่า บอกเลยว่าเค้าชาร์จเงินเพิ่มน้า
แต่ถ้าใครเน้นลุยๆ ไม่อยากเช่ารถยนต์ขับ การเช่ามอเตอร์ไซค์ก็เป็นอีกทางเลือกที่เดินทางได้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมเรื่องความปลอดภัยกันด้วย โดยถนนส่วนใหญ่ในบาหลีจะเป็นถนนเส้นเล็กและบางเส้นนั้นรถติดมาก แต่ถ้าใครที่ถนัดขับมอเตอร์ไซค์และโชกโชนในการขับมอเตอร์ไซค์ในกรุงเทพมาแล้ว ถือว่าได้อยู่ รอดแน่นอน 5555555
แพลนเที่ยวบาหลี (Bali)
สำหรับใครที่กำลังแพลนมาเที่ยวบาหลีอยู่ ก๊อตแนะนำให้วางแพลนเที่ยวเป็นโซนๆ ไปเพราะแต่ละสถานที่มันไกลกันพอสมควร และต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายชั่วโมง ขนาดก๊อตมารอบนี้แพลนมาซะดิบดี แต่เอาเข้าจริงวันนึงเราเที่ยวได้แค่ 3 ที่ก็เต็มลิมิตแล้ว เพราะแบบนี้ เวลาแพลนเที่ยวเราเลยต้องแบ่งโซนการเที่ยวกันดีๆ ไม่ว่าจะเป็นโซนใต้ กลาง (อูบุด) หรือแม้แต่ตะวันออกที่ห่างไกลออกไปอีก เพื่อที่เราจะได้ใช้เวลาเที่ยวของเราได้อย่างเต็มที่ที่สุดนั่นเอ๊ง ถ้าพร้อมแล้วไปเที่ยวบาหลีกับก๊อตกัน รอบนี้จัดเต็ม 6 วัน เที่ยวครบทั้งวัด ชายหาด และเหล่าแลนด์มาร์คดังที่บอกเลยว่ามาบาหลีแล้วต้องมา
วัน | แพลนเที่ยวบาหลี (Bali) |
1 | โซนอูบุด (บาหลีกลาง) |
2 | โซนบาหลีกลาง-เหนือ |
3 | โซนบาหลีกลาง-ตะวันตก |
4 | โซนแหลมอูลูวาตู (บาหลีใต้) |
5 | เกาะนูซาเปอนีดา (Nusa Penida) อ่านรีวิวเต็ม คลิก
|
6 | เกาะนูซาเปอนีดา (Nusa Penida) อ่านรีวิวเต็ม คลิก
|
ที่พัก | |
ส่วนลด OTA | ส่วนลด Klook ส่วนลด Agoda ส่วนลด Booking ส่วนลด Expedia ส่วนลด Hotels |
เที่ยวบาหลีวันแรก :
ป่าลิงศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Monkey Forest Sanctuary)
เริ่มต้นเที่ยววันแรกในโซนใจกลางบาหลีกันที่ ย่านอูบุด (Ubud) ย่านที่เป็นศูนย์รวมทางศิลปะและวัฒนธรรมของบาหลี จัดว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันจำนวนมาก ซึ่งอูบุดนั้นจะไม่ได้อยู่ติดกับทะเลแต่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและเหล่าป่าไม้ที่ทำให้พื้นที่ตรงนี้มันร่มรื่นตั้งแต่เราก้าวเท้าเข้ามาในย่านนี้กันเลยทีเดียว
โดยที่แรกที่ก๊อตพาทุกคนมาเที่ยวนั้น คือ ป่าลิงศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Monkey Forest Sanctuary) ป่าที่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์ลิงป่าอูบุด เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลิงหางยาว (Macaca Fascicularis) ของบาหลี ภายในมีวัดสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ วัดปุระดาเลม อากุง ปาดังเตกัล (Dalem Agung Padangtegal) วัดน้ำศักดิ์สิทธิ์ (Holy Water) และ วัดประชาบดี (Pura Prajapati) ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าฝนที่มีพันธุ์ไม้มากกว่า 100 สายพันธุ์เลย
สำหรับ ป่าลิงศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Monkey Forest Sanctuary) มีการอนุรักษ์พื้นที่ตามแนวคิดของ ตรี ฮิตะ คารานะ (Tri Hita Karana) ปรัชญาในศาสนาฮินดู ซึ่งคำว่า ‘ตรี’ แปลว่า ‘สาม’, ‘ฮิตะ’ แปลว่า ‘ความสุข’ และ ‘คารานะ’ แปลว่า ‘เหตุหรือกิริยา’ และพอเอาทั้งสามคำมารวมกัน เลยหมายถึง ‘สามวิธีในการเข้าถึงความผาสุกทางวิญญาณและร่างกาย’ โดยแนวคิดนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
สำหรับการเที่ยวภายใน ป่าลิงศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Monkey Forest Sanctuary) นั้น เราต้องซื้อบัตรกันก่อน ซึ่งเราจะซื้อหน้างานหรือจะซื้อออนไลน์ผ่าน Klook ก็ได้เพราะถูกกว่า โดยราคาบัตรจะอยู่ที่ 80,000 รูปี (~175 บาท) จากนั้นก็เดินเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อเจอน้องลิงได้เล้ย
> ซื้อบัตรเข้าป่าลิงศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Monkey Forest Sanctuary) [ซื้อผ่าน Klook คลิก]
ทางเดินที่ทอดยาวเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์ ตลอดสองข้างทางนอกจากเราจะได้เห็นความร่มรื่นของเหล่าต้นไม้นานาพันธุ์แล้ว เราจะได้เจอกับรูปปั้นเทพต่างๆ ที่มาพร้อมกับลิงที่ดูแล้วเหมือนหลุดเขาไปอยู่ในเกม ฟีลเหมือนเราเดินเข้าไปในดันเจียนป่าปายอนในเกมแร็คนาร็อคอะไรแบบนั้นเล้ย 55555 และแน่นอนว่าเราจะได้เจอเจ้าถิ่นอย่าง ลิงหางยาว (Macaca fascicularis) ที่มีอยู่เยอะมาก ซึ่งคนบาหลีเค้ามีความเชื่อว่าฝูงลิงเหล่านี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับอาคารและวัดต่างๆ ที่อยู่ในป่าแห่งนี้เลยทีเดียว
สำหรับวัดทั้ง 3 แห่งในป่าลิงศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Monkey Forest Sanctuary) นั้น สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ราว 600-700 ปีก่อน โดยวัดหลักสำคัญก็คือ วัดปุระดาเลม อากุง ปาดังเตกัล (Dalem Agung Padangtegal) ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสักการะบูชาพระศิวะ (หรือพระอิศวร) โดยตัววัดนั้นตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปยังบริเวณด้านในได้ เนื่องจากเค้าเปิดให้เข้าเฉพาะคนที่ต้องการเข้าไปสวดมนต์เท่านั้น แน่นอนว่าก๊อตเองก็ได้แต่เดินดูความสวยงามบริเวณภายนอกรอบวัด ที่บอกเลยว่าตื่นตาตื่นใจมาก มู้ดวัดเค้ามีความเป็นบาหลีที่ดูดิบด้วยรูปปั้นหินแล้วมีความเขียวจากการที่มอสขึ้น รวมกับบรรยากาศของตัววัดที่เราสามารถมองเข้าไปด้านในได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถูกรายล้อมด้วยผืนป่า ยิ่งเพิ่มให้สถานที่แห่งนี้มันดูขลังเหมือนเดินอยู่ในดันเจี้ยนเกมเข้าไปอี๊ก นี่ชอบมากเลยแหละ
มาต่อกันที่ วัดประชาบดี (Pura Prajapati) หรืออีกชื่อคือ วัด Cremation อีกหนึ่งวัดที่ผู้คนเค้านิยมมาไหว้ขอพรต่อพระพรหม ผู้สร้างจักรวาลและสรรพสิ่งต่างๆ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู และวัดสุดท้ายคือ วัดน้ำศักดิ์สิทธิ์ (Holy Water) วัดที่ผู้คนเค้านิยมมาไหว้พระแม่คงคา ซึ่งบรรยากาศจะต่างออกไปจากสองวัดแรก บริเวณนี้จะมีบ่อน้ำที่มีรูปปั้นลิงอยู่ตรงกลาง รายล้อมไปด้วยทางเดินหินโล่งๆ โดยผู้คนเค้ามีความเชื่อว่า ประติมากรรมในป่าลิงเป็นสัญลักษณ์ของพลังที่สนับสนุนพลังของวัดนั่นเอง
แน่นอนว่าไฮไลท์ของ ป่าลิงศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Monkey Forest Sanctuary) ก็คือการมาต้าวน้องลิงจำนวนมากที่อยู่กระจายไปทั่วในป่า ไม่ว่าจะนั่งกันเป็นกลุ่ม หรือจะนอนแอ้งแม้ง หรือแม้แต่นั่งมองหน้าผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้ว บรรยากาศของตัวป่าฝนที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ก็เป็นอีกไฮไลท์ที่ควรค่าแก่การมาเดินเล่นมากเลยแหละ ทั้งความร่มรื่นและความเขียวขจีในป่า บรรยากาศที่มันดูขลัง รวมถึงมีเหล่าวัดวาบาหลีและเหล่าต้นไทรที่คาดว่ามีอายุเกิน 100 ปีอยู่ด้านในด้วย บอกเลยว่าที่นี่มันมีเสน่ห์ของความเป็นบาหลีแบบมากๆ ถือเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวที่ก๊อตว่าใครมาเที่ยวบาหลีต้องมาเที่ยวสักครั้งแหละ
TIS Restaurant
จากแพลนตอนแรกที่เราจะไปต่อกันที่นาข้าวขั้นบันไดชื่อดังของอูบุด นั่นคือ เทกาลาลัง (Tegalalang Rice Terrace) แต่ด้วยความที่วันที่ก๊อตไปนั้นฝนมันตกหนักมาก และถ้าเราต้องเดินลุยฝนลงไปตามนาขั้นบันไดจริงๆนี่ บอกเลยว่าเยินมาก ด้วยความที่คันนาเค้าเป็นดินร่วนเหนียว แน่นอนว่าฝนตกไปนี่กลายเป็นโคลนและลื่นแน่นอน ก๊อตเลยเปลี่ยนจุดหมายไปนั่งชิลๆ ในคาเฟ่ที่ชื่อว่า TIS Restaurant แทน ซึ่งที่นี่คาเฟ่และร้านอาหารสุดชิคสไตล์บาหลี ที่บรรยากาศดีมาก แถมวิวเค้ายังสุดปัง เพราะสามารถมองเห็น นาขั้นบันไดเทกาลาลัง (Tegalalang Rice Terrace) สีเขียวๆ ได้แบบไกลสุดลูกหูลูกตา โดยไม่ต้องลำบากปีนลงไปในนาเลยเว้ย ถ่ายรูปและเห็นวิวตรงนี้ก็คือฟินแล้วจริงๆ
แกรเอ้ย บรรยากาศของคาเฟ่เค้าดีม๊ากกก เพราะนอกจากเราจะได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของวิวนาขั้นบันไดแล้ว การออกแบบ ดีไซน์ตัวร้านของเค้ามีความเป็นบาหลีจัด ด้วยอาคารไม้ไผ่ แถมยังมีสระว่ายน้ำที่ยื่นออกไปสู่วิวด้านนอก บวกเข้ากับสวนเขียวๆ และมุมชิงช้าที่แกว่งไกวออกไปได้ไกลจากตัวเนินเขา ทั้งหมดนี้มีครบจบในร้านเดียว แถมใครที่ชอบการถ่ายรูป ก๊อตบอกเลยว่ามาถูกร้านแล้ว ที่นี่ถ่ายรูปตรงไหน ก็สวยสับทุกมุมจริงๆ
สำหรับอาหารและเครื่องดื่มเค้านั้นก็มีตัวเลือกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารฟิวชั่น อาหารตะวันตก อาหารเอเชีย หรือจะเป็นอาหารอินโด ไปจนถึงเหล่าเครื่องดื่มค็อกเทล น้ำผลไม้ปั่น และกาแฟให้เราได้เลือกสั่งเยอะมาก โดยก๊อตเองได้ลองสั่งอาหารอินโด, สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า และสะเต๊ะ บอกเลยว่าอาหารทุกอย่างเค้าอร่อยมาก ส่วนเรื่องราคานั้นอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้สูงมาก เราสามารถสั่งหลายๆ เมนูแล้วมาแชร์กินกับเพื่อนได้เลย ดีงาม
ส่วนตัวก๊อตแล้ว TIS Restaurant เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารและคาเฟ่ในบาหลีที่ดีมาก ใครมาเที่ยวโซนอูบุด ก๊อตแนะนำเลยว่าควรมา เพราะนอกจากเค้าจะเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ที่เราจะได้เห็นวิวสวยๆ ของนาขั้นบันไดแบบเต็มตาแล้ว การนั่งชิลๆ เอื่อยๆ ตรงนี้ยังถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ไม่อยากเสียเวลาปีนลงไป หรืออยากเที่ยวชิลๆ เน้นมานั่งกินลมชมวิวมากกว่า ซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนเราได้มาเที่ยวที่นาขั้นบันไดจริงๆ แถมสายถ่ายรูปแบบก๊อตประทับใจมาก เพราะมุมถ่ายรูปในร้านเค้าเยอะจริง ยิ่งจุดที่เป็นสระว่ายน้ำที่ถูกโอบล้อมไปด้วยวิวของนาบั้นบันได และความเขียวขจีของธรรมชาติด้านหลัง ยิ่งทำให้ก๊อตชอบร้านเค้ามากขึ้นไปอีก ใครมาเที่ยวอูบุดจนร้านนี้เข้าลิสต์เที่ยวไว้ได้เลย ไม่มีผิดหวังแน่นอนเว้ย
วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ / วัดเทอร์ตาเอมปูล (Pura Tirta Empul)
ไปต่อกันที่ วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ / วัดเทอร์ตาเอมปูล (Pura Tirta Empul) ตั้งขึ้นบนพื้นที่บ่อน้ำพุขนาดใหญ่ในสมัยราชวงศ์ Warmadewa (ค.ศ. 962-1343) โดยชื่อวัดมาจากแหล่งน้ำบาดาลโดยตรงว่า “ติรตา” ที่แปลว่า น้ำศักดิ์สิทธิ์ และ “เอ็มปูล” ที่แปลว่า “พุ่งออกมา” ซึ่งเป็นน้ำพุที่เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำปาเคริสัน ซึ่งภายในวัดจะถูกแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ ลานด้านหน้า (Jaba Pura), ลานกลาง (Jaba Tengah) และ ลานชั้นใน (Jeroan) โดยวัดนี้เค้าสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระวิษณุ เทพเจ้าในศาสนาฮินดู และปัจจุบันนี้ วัดเทอร์ตาเอมปูล (Pura Tirta Empul) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเค้านิยมมาทำพิธีกรรมต่างๆ รวมถึงยังเป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวนิยมมากันอีกด้วย
วัดเทอร์ตา เอมปูล (Pura Tirta Empul) ก่อตั้งขึ้นรอบๆ บ่อน้ำพุขนาดใหญ่ในสมัยราชวงศ์ Warmadewa (ศตวรรษที่ 10-14) ซึ่งชื่อวัดมาจากแหล่งน้ำบาดาลชื่อ ‘ติรตา เอ็มปูล’ น้ำพุที่เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำปาเคริสัน ภายในวัดแบ่งออกเป็น 3 โซน คือลานด้านหน้า (Jaba Pura), ลานกลาง (Jaba Tengah) และ ลานชั้นใน (Jeroan) โดยวัดนี้เค้าสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระวิษณุ เทพเจ้าในศาสนาฮินดู
ก๊อตมารอบนี้ เราไม่ได้ลงไปในบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แหละ ด้วยความที่ขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อผ้า นี่เลยเลือกที่จะมาดูว่าเค้าทำพิธีกรรมกันอย่างไร ชำระล้างร่างกายกันแบบไหนมากกว่า โดยตรงบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ด้านข้างเค้าจะเป็นพื้นที่สำหรับปล่อยน้ำพุออกมา ด้านบนเต็มไปด้วยบายศรี ที่มีดอกไม้ประดับเอาไว้ ซึ่งคนท้องถิ่นของที่นี่เค้ามีความเชื่อว่า การได้อาบน้ำชำระล้างกายในบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ จะเหมือนได้ชำระล้างจิตใจ ปัดไล่สิ่งไม่ดีออกจากตัว ซึ่งก๊อตเห็นว่าคนเค้าจะมาต่อแถวตรงจุดที่น้ำพุไหลออกมา เมื่อถึงคิวก็จะอธิษฐาน จากนั้นก็กวักน้ำขึ้นมาดื่ม ล้างหน้า และตามตัวประมาณนี้เลย ใครกะจะมาลงในบ่อนำพุนั้น ทางวัดเค้าจะถามเราตั้งแต่เข้าประตูวัดมาเลยว่าจะลงสระไหม หากใครที่ต้องการลงเค้าจะมีอุปกรณ์ พร้อมล็อกเกอร์เก็บของให้พร้อมเสร็จสรรพ แบบที่เราไม่ต้องเตรียมอะไรมาเลย
นอกจากบ่อน้ำพุศักดิ์ตรงนี้แล้ว ด้านในของตัววัดเข้าไปอีก จะมีบริเวณลานด้านในของตัววัดที่เต็มไปด้วยอาคารสไตล์บาหลีต่างๆ รวมถึงมีซุ้มประตูแบบบาหลีที่เราคุ้นเคยกันอย่างดีด้วย ซึ่งบริเวณด้านในนี้ ต่างก็มีคนบาหลีท้องถิ่นที่แวะเวียนเข้ามาไหว้สักการะบูชาด้านใน ได้ฟีลความบาหลีแบบจัดๆ ถือว่าดีมากเลยแหละ
นอกจากนี้ ภายในตัววัดเองยังมีสระปลาคราฟขนาดใหญ่ที่มีปลาคราฟเยอะมากกก ใครอยากซื้ออาหารเลี้ยงปลาก็สามารถทำได้เลยนะ น้องปลาคาฟคือตัวใหญ่เยอะมากจริงๆ
ส่วนตัวก๊อตแล้ว วัดเทอร์ตา เอมปูล (Pura Tirta Empul) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในบาหลี ที่เปรียบเป็นแลนด์มาร์คดังเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าใครแพลนมาเที่ยวบาหลีจะต้องมาที่วัดแห่งนี้ด้วย นอกจากจะได้มาสัมผัสกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว เรายังจะได้มาเห็นวัฒนธรรม ความเชื่อ และการปฏิบัติตัวของคนท้องถิ่นที่นี่แบบใกล้ชิดอีกด้วย ยกให้เป็นอีกหนึ่งวัดในบาหลีที่ควรค่าแก่การมาที่สุด
เที่ยวบาหลีวันที่ 2 :
วัดอูลันดานูบราตัน (Pura Ula Danu Bratan)
เช้าวันที่สอง ก๊อตเริ่มวันด้วยการขับรถขึ้นไปทางเหนือของบาหลี ราวๆ 50 กิโลเมตร เพื่อไปยังวัดดังยอดฮิตกันที่ วัดอูลันดานูบราตัน (Pura Ula Danu Bratan) วัดฮินดูอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญและดังม๊ากในบาหลี โดยตัววัดเค้าจะตั้งอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบบราตัน (Lake Bratan) ทำให้รอบๆ วัดรายล้อมไปด้วยทะเลสาบ และวิวของภูเขาที่ทำให้บรรยากาศของวัดงดงามราวกับภาพวาดเลย
วัดอูลันดานูบราตัน (Pura Ula Danu Bratan) ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1633 เพื่อถวายแก่พระเจ้าเทวีดานู เทพเจ้าแห่งสายน้ำในบาหลี โดยไฮไลท์ดังของวัดคือ วิหารกลางน้ำที่มีลักษณะเป็นหลังคาทรงสูง ที่เรียกว่า “เมรุ” มุงด้วยฟางซ้อนกันถึง 11 ชั้น ตั้งสง่างดงามอยู่กลางทะเลสาบโดยมีผนังที่ตกแต่งลวดลายวิจิตรบรรจง ซึ่งวิหารนี้เองถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้คนเค้าชอบมาถ่ายรูปกันเยอะมาก โดยคนที่นี่เค้าจะเรียกวัดในอีกชื่อนึงว่า “วัดบาหลีริมทะเลสาบ” เพราะดูราวกับว่าตัววัดกำลังลอยอยู่บนทะเลสาบบราตัน (Lake Bratan) นั่นเอง
คิดดูละกันว่าวัดนี้เค้าเริ่ดเรอและสำคัญขนาดไหน เพราะวัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 2012 อีกทั้งวัดนี้ยังถูกไปปรากฎอยู่บนแบงค์ 50,000 รูเปียห์ ซึ่งเป็นแบงค์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดของอินโดนีเซียอีกด้วยนา รู้แบบนี้แล้วจะพลาดที่นี่ได้ยังไงก่อน ก็ต้องมาแล้วมั้ยล่าา
แน่นอนว่าใครมาเที่ยวที่นี่ และอยากจะได้ภาพสวยๆ กลับบ้านแล้วล่ะก็ ก๊อตแนะนำว่าให้ลองเช่าเรือลงไปถ่ายรูปในทะเลสาบ และถ่ายรูปให้ติดวิวของวิหารกลางน้ำดูนะ บอกเลยว่ารูปเราจะหลุดออกมาจากเหล่าเซเลปดังจาก Instagram เล้ย แต่นี่บอกก่อนว่าตัวก๊อตไม่ได้เช่าเรือนะ ได้แต่เดินไปดูชาวบ้านเขาถ่ายกัน แต่นี่ยอมเลยว่าสวยจริง 5555
ส่วนใครที่ไม่ได้เช่าเรือแบบก๊อต มุมที่สวยสุดก็คือการเดินถ่ายบนฝั่งที่เห็นวิหารและแบล็คกราวทะเลสาบนี่แหละ และถ้าจะให้เพิ่มลูกเล่นในภาพซักหน่อย ก็ลองเดินหามุมดอกไม้บริเวณนั้น แล้วยิงภาพเข้าไปเลย บอกเลยว่าสวยจริงและฟีลบาหลีสุด และหากตรงนี้ยังจุใจไม่พอ ก๊อตแนะนำให้เราเดินเข้ามาในตรอกบริเวณริมทะเลสาบ เราจะเจอกับซอยที่วัดอยู่ขนาบข้าง ตรงนี้ก็ถือว่าสวย ได้ฟีลบาหลีดิบๆ อีกเช่นกัน
สรุปแล้ว วัดอูลันดานูบราตัน (Pura Ula Danu Bratan) ถือเป็นวัดอันโด่งดังที่สวยงามตามท้องเรื่อง ถ้าถามว่าควรมาไหม ก๊อตก็ยังแนะนำว่าใครมาเที่ยวบาหลีควรค่าแก่การขับรถขึ้นมาเที่ยว เพราะอย่างน้อยที่นี่ก็เปรียบเหมือนแลนด์มาร์คดังของบ้านเมืองเค้า แต่ถ้าใครคิดว่าการมาที่นี่เพียงแค่มาถ่ายรูปคู่กับวิหาร แต่ต้องเสียเวลาไปค่อนวันแบบก๊อต อันนี้จะปัดผ่านแล้วไม่ต้องมาก็ได้ เพราะบอกก่อนว่ามันค่อนข้างอยู่ไกลและห่างออกมาจากที่เที่ยวอื่นๆ ในบาหลีค่อนข้างมากเลยแหละ งื้อ
น้ำตกเลคเก เลคเก (Leke Leke Waterfall)
หนึ่งในน้ำตกที่มีเสน่ห์และเป็นจุดฮิตถ่ายรูป Instagram มากที่สุดของบาหลี ต้องยกให้ที่ น้ำตกเลคเก เลคเก (Leke Leke Waterfall) เค้าเลย โดยความสวยของน้ำตก น้ำตกเลคเก เลคเก (Leke Leke Waterfall) คือ น้ำตกที่ไหลลงมาตรงกลางระหว่างผาหินสูงสองข้างท่ามกลางผืนป่าดิบชื่นที่ต้นไม้นานาพันธุ์ที่แค่เห็นรูปก็สวยจนต้องได้มาเห็นเองกับตาสักครั้ง แต่กว่าเราจะได้มาเห็นน้ำตกสวยๆ เบอร์นี้ ก็ต้องลุยและแอดเวนเจอร์กันหน่อย
บอกก่อนว่าสำหรับคนที่ขับรถมาแบบก๊อต หากเราปักหมุด Google Map ไว้ที่ น้ำตกเลคเก เลคเก (Leke Leke Waterfall) ล่ะก็ เราจะสามารถขับรถเข้าไปถึงแค่ระหว่างทางที่มีหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ เนื่องจากถนนที่ตรงไปยังน้ำตกหลังจากหมู่บ้านแห่งนี้ ถนนคือแย่มาก แถมถนนยังแคบและชันอีกด้วย ดังนั้น ใครที่ขับรถมาคือต้องจอดตรงนี้และต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านที่เค้าจะรวมตัวกันมาคอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่มายังน้ำตกแห่งนี้ ซึ่งมอเตอร์ไซค์หนึ่งคันจะให้เราซ้อนได้แค่ 1 คน โดยก๊อตจำราคาไม่ค่อยได้ ถ้าจำไม่ผิดเมื่อตีเป็นเงินไทย ราคารับ-ส่งจะอยู่ที่ราวๆ 80-100 บาทต่อคน ซึ่งชาวบ้านเค้าจะขับพาเราเข้าไปอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร เพื่อไปส่งเรายังประตูทางเข้าด้านในอีกที ซึ่งตรงนี้เราจะต้องเสียค่าเข้าน้ำตกอีกคนละ 50,000 IDR และคนที่ขับมอไซค์มาส่ง เค้าก็จะนั่งรอเราตรงนี้จนกว่าเราจะออกมานั่นเอง ส่วนใครที่ลุยๆ ขับมอเตอร์ไซค์เที่ยวในบาหลี เราสามารถขับมอไซค์มาตรงประทางเข้าเก็บเงินนี่ได้เลย ฝรั่งเค้าขับกันตรึ้มม
จากจุดที่เก็บเงินใช่ว่าจะเห็นน้ำตกเลยไม่ แต่เราจะต้องเดินเข้าไปในป่าดงพงไพรต่ออีกประมาณ 20 นาที โดยทางเดินที่มุ่งตรงไปยังน้ำตกนั้นถือว่าเดินง่าย มีเนินขึ้น-ลงเนิน รวมถึงมีการเดินข้ามสะพานผ่านคลองเล็กๆ นิดหน่อย แต่โดยรวมๆ ถือว่าทำทางเดินดี เราสามารถเดินตามทางได้เลยโดยไม่ต้องกลัวหลง และยิ่งเราเดินไปมากเท่าไหร่ เสียงน้ำก็ยิ่งใกล้มาขึ้นเท่านั้นเด้อ
บอกเลยว่าแว๊บแรกเมื่อได้เห็น น้ำตกเลคเก เลคเก (Leke Leke Waterfall) คือว้าวอยู่ บรรยากาศคือชุ่มฉ่ำและอลังการด้วยน้ำตกที่ไหลยาวและสูงจากช่องตรงกลางระหว่างผาหินสูงสองข้างตกกระทบลงมาด้านล่าง กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ทับซ้อนกันอยู่ท่ามกลางผืนป่าเขียวๆ ที่โอบรอบเอาไว้อีกชั้น เป็นภาพที่เห็นแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนเค้าถึงต้องดั้นด้นเข้าเที่ยวและถ่ายรูปที่นี่กัน
โชคดีหน่อยว่าตอนที่ก๊อตไปถึงยังตัวน้ำตกนั้นไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ก๊อตเลยได้รูปมาค่อนข้างเยอะมาก คือดีมากจริงๆ แต่หลังจากที่ก๊อตถ่ายเสร็จ เริ่มมีนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกรุ้ปเดินเข้ามาหลายอยู่ แต่โดยรวมก็ถือว่าเรียบร้อยดีเพราะแต่ละคนก็ต่อคิวเข้าแถวรอเข้าไปถ่ายรูปตรงจุดโขดหินที่จะเห็นน้ำตกไหลอยู่ด้านหลังนั่นเอง ส่วนใครที่อยากจะลงไปเล่นน้ำล่ะก็ นี่คิดว่ายากหน่อยเพราะตัวเราจะเข้าไปติดในเฟรมรูปชาวบ้านแน่ๆ นี่ก็เลยอาจเป็นเหตุผลที่ก๊อตไม่เห็นมีคนลงเล่นน้ำเลย เพราะหลายคนคือเข้ามาเพื่อถ่ายรูปอย่างเดียวจริงๆ 5555
โดยรวมของ น้ำตกเลคเก เลคเก (Leke Leke Waterfall) ถือเป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่สวยสะกดจิต สะกดใจ มันคือน้ำตกที่เหมือนถูกซ่อนเอาไว้ในหุบเขาให้เราต้องเข้าไปค้นหา บรรยากาศร่มรื่นและชุ่มฉ่ำสุด ที่สำคัญน้ำตกเค้าไหลเป็นทางยาวมากกก เวลาถ่ายรูปออกมาก็เริ่ดไม่ไหว ใครที่อยากได้รูปสวยๆ แนวลุยๆ หน่อยแนะนำเล้ยย เที่ยวน้ำตกเสร็จเป็นอันหมดวันที่สองของการเที่ยวบาหลีพอดี ทริปนี้เน้นเที่ยวเรื่อยๆ เพราะแต่ละสถานที่เที่ยวอยากที่ก๊อตไป คือค่อนข้างอยู่ไกลกันมากจริงแกรรร
เที่ยวบาหลีวันที่ 3 :
Batu Karu Kopi
เติมความเฟรชรับวันใหม่กันที่ Batu Karu Kopi คาเฟ่ที่โด่งดังมากที่สุดในพื้นที่ของนาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces) โดยคาเฟ่เค้าตั้งอยู่บนกึ่งกลางของภูเขาบาตูการู (Batukaru) บนความสูง 2,700 เมตร มีไฮไลท์สุดปัง ทั้งทิวทัศน์รอบๆ ของคาเฟ่ ที่เราสามารถมองเห็นหุบเขาของนาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces) สุดเขียวขจีตั้งลดหลั่นกันไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งพื้นที่โดยรอบของคาเฟ่นั้น ยังเต็มไปด้วยผักและผลไม้เมืองร้อนที่ปลูกเอาไว้กว่า 50 ชนิดให้ได้เก็บเกี่ยวกันตลอดทั้งปีอีกด้วย
สำหรับใครที่จะมาตามรอยที่ Batu Karu Kopi นั้น บอกก่อนว่าคาเฟ่ของเค้าตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของนาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces) ซึ่งพื้นที่นาขั้นบันไดนั้นจะมีค่าเข้าสถานที่ หากเราไม่ได้จ่ายค่าเข้าจะไม่สามารถเข้ามาถึงตัวคาเฟ่ได้ ดังนั้นใครที่ตั้งใจมาเที่ยวนาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces) อยู่แล้ว ก๊อตแนะนำให้แวะมาที่คาเฟ่นี้ด้วยคือดีมากเลย
อย่างก๊อตเองก็แวะมาที่คาเฟ่เพื่อเติมพลังกันก่อนไปเดินในนาขั้นบันได โดยบรรยากาศรอบๆ ของคาเฟ่ Batu Karu Kopi เป็นคาเฟ่แบบโอเพ่นแอร์ ตกแต่งภายสไตล์บาหลีด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ไปจนถึงเสาและหลังคา ที่ยกสูงทำให้ลมถ่ายเทเข้ามาได้ตลอดเวลา ถือเป็นคาเฟ่ที่บรรยากาศสบายๆ เหมาะกับการมานั่งชิลๆ ดื่มด่ำไปกับวิวของนาขั้นบันไดตรงหน้าได้แบบพาโนราม่า ที่บอกเลยว่าเป็นวิวหลักล้านสวยสับสุดๆ ยกให้เป็นคาเฟ่ที่ตั้งกลมกลืนไปกับธรรมชาติได้อย่างลงตัวและงดงามจริงๆ
ความพิเศษของที่นี่คือเค้าจะมีเมนูเครื่องดื่ม Specialty Coffee ซึ่งมีความพิเศษกว่าคาเฟ่ทั่วไปในบาหลี ตรงที่เมนูกาแฟเค้าเป็นแบบพิเศษเฉพาะของทางร้านที่เค้าคัดสรรเมล็ดกาแฟชั้นดีมารังสรรค์เป็นเมนูเครื่องดื่มสุดพิเศษที่ไม่เหมือนใครออกมา โดยที่ Batu Karu Kopi มีการหยิบเอาขนมพื้นเมืองขึ้นชื่อของบาหลีมาครีเอทรวมลงไปกับเมนูกาแฟอีกด้วย ซึ่งนี่ก็สั่งมาดื่ม แต่ดันจำชื่อเมนูไม่ได้จริงๆ ฮ่าๆ แต่เรื่องรสชาติจำได้ขึ้นใจ เค้าเป็นกาแฟรสเข้มท็อปมาด้วยขนมของอินโดด้านบน รสชาติกลมกล่อม อร่อยมาก นอกจากนี้ก๊อตยังได้ลองสั่งพิซซ่าฉบับท้องถิ่นของเค้ามากิน Sourdough Pancakes ราคา 50,000 รูเปียห์ (~115 บาท) ขนมปังซาวโดวจ์ชิ้นโตที่ถูกนำไปอบพร้อมกับเบอร์รี่ ผลไม้แช่อิ่ม และน้ำตาล รสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี เสิร์ฟคู่กับซอสน้ำตาลโตนดรสหวานเข้มข้น ที่มาตัดกันได้อย่างลงตัวเลย
สำหรับก๊อตแล้ว Batu Karu Kopi เป็นคาเฟ่ฟีลโคซี่ๆ สุดเรียบง่าย บรรยากาศร้านดี มู้ดสวย อีกทั้งยังเป็นจุดที่เราสามารถมานั่งชมวิวนาขั้นบันไดได้แบบฉ่ำๆ เหมาะสำหรับเป็นสถานที่วอร์มเครื่อง แวะพัก หาอะไรดื่มก่อนไปเดินที่นาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces) ได้ดีเลย
นาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces)
วันที่สามของการเที่ยวบาหลี ก๊อตขับรถออกจากที่พักไปเที่ยวที่แรกกันที่ นาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces) นาขั้นบันไดที่จัดว่าใหญ่และสวยที่สุดในบาหลี ถึงขั้นได้รับการยอมรับจาก UNESCO ให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของโลก โดยเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในประเทศอินโดนีเซียที่สวยงามไปด้วยนาขั้นบันไดสีเขียวชอุ่มไล่ระดับเป็นชั้นๆ ไปตามไหล่เทือกเขา Batukaru ซึ่งนาขั้นบันไดที่เราเห็นนั้น ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 700 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลในหมู่บ้านจาตีลูวีห์ (Jatiluwih) และพื้นที่กว่า 70% เป็นทุ่งนาขั้นบันไดที่ปลูกข้าวพันธุ์ท้องถิ่นของบาหลี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีลำต้นสวยสง่า ตั้งลำตรง รวงข้าวสวยนั่นเอง
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
สำหรับการเข้าชม นาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces) จะมีค่าเข้าอยู่ที่คนละ 40,000 รูเปียห์ (~97 บาท) และค่ารถต่อคันอยู่ที่ 5,000 รูเปียห์ (~11 บาท)โดยมีไฮไลท์คือ 5 เส้นทางสำหรับการเดินชมนาขั้นบันไดของเค้าที่เราสามารถเลือกเดินตามระยะทางใกล้-ไกล ได้เลยย โดยเค้าจะแบ่งออกเป็นสีต่างๆ เริ่มจากสีแดง (Short Track) เส้นทางสั้นๆ ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 45 นาที, สีม่วง (Medium Track) ระยะทาง 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง, สีเหลือง (Medium Track) ระยะทาง 2.3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1.5-2 ชั่วโมง, สีฟ้า (Long Track) ระยะทาง 3.1 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1.5-2 ชั่วโมง แต่ถ้าใครเป็นสายลุย อยากกจะเดินเล่นกันยาวๆ ต้องสีขาวเลย (Extra Track) ระยะทาง 5.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 3.5-4 ชั่วโมง ใครจะเลือกอันไหน อันนี้แล้วแต่ความสะดวกและเวลาที่เรามีได้เลยเด้อ
สำหรับตัวก๊อตเองเลือกเดินเป็นสีม่วง ซึ่งทางเดินของสีม่วงก็จะเดินคู่ไปกับเส้นสีแดงและแยกซ้ายออกไปเพื่อวนไปอีกฝั่ง จากที่ก๊อตไปเดินมาขึ้น ถ้าให้แนะนำจริงๆ ล่ะก็ ถ้าใครมาแล้วไม่ได้มีเวลาล้นเหลือ ให้เราเลือกเดินสีแดงก็เพียงพอแล้วสำหรับไฮไลท์ที่นี่แหละ
บอกเลยว่าฝรั่งที่เค้ามาเที่ยวนาขั้นบันไดที่นี่ เค้าก็จะวู้วว้าวตื่นตาตื่นใจกันมาก แต่สำหรับคนไทยอย่างเราที่เห็นท้องนาบ่อยๆ ในเมืองไทย ก็ยังถือว่าที่นี่ค่อนข้างโอเคเลยนะ ด้วยนาขั้นบันไดของเขาเป็นทิวเขายาวสลับไปมา ทำให้แลนด์สเคปของนาเค้าค่อนข้างแตกต่างจากบ้านเรามากอยู่เหมือนกันเว้ย นอกจากนี้ ความสีเขียวของนาขั้นบันไดที่ได้เห็นแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายตาแล้ว เรายังจะได้เห็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นบาหลีแท้ๆ ที่เค้ายังคงทำนา เลี้ยงควาย มีกระท่อมเล็กๆ ไว้ใช้พักจากการทำงาน แถมใครกลัวมาเดินแล้วเมื่อย ตามทางในท้องนา เค้ายังมีร้านชำเล็กๆ ของชาวบ้านที่ขายพวกเครื่องดื่มอยู่ด้วยนะ ได้แวะพักดื่มน้ำปั่นเย็นๆ ท่ามกลางวิวสวยๆ ก็คือเต็มสิบไม่หักเลย
รวมๆ แล้ว ใครที่อยากมาดูวิวสวยๆ ของนาขั้นบันไดในบาหลีที่ยิ่งใหญ่กว่า นาขั้นบันไดเทกาลาลัง (Tegalalang Rice Terrace) ก๊อตแนะนำให้มา นาขั้นบันไดจาตีลูวีห์ (Jatiluwih Rice Terraces) ที่นี่เลย ก๊อตยกให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในบาหลี ที่วิวสวยเหมือนภาพวาด ราวกับสิ่งที่ตาเห็นไม่ใช่ของจริง คือมันสวยเกินเรื่องไปมาก แถมเรายังได้มาสัมผัสวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ได้เห็นความเป็นอยู่ของเค้าที่แปลกตาออกไป ยิ่งเค้าทำเป็นเส้นทางเดินเที่ยวระยะต่างๆ ยิ่งเหมาะกับสายเดิน สายลุยมาก เอาเป็นว่าใครอยากมาดื่มด่ำกับบรรยากาศสบายๆ มีความสโลว์ไลฟ์ และเป็นบาหลีจ๋าๆ ลองเลือกเดินเส้นทาง 5 กิโลเมตรไปเลย มาแล้วต้องไปให้สุดเด้อ 5555
วัดทานาล็อต (Tanah Lot)
ที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้คือ วัดทานาล็อต (Tanah Lot) ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะบาหลี โดยพื้นที่ของตัววัดนั้นจะเป็นเหมือนเป็นแหลมที่ยื่นลงสู่ทะเลและมีโขดหินขนาดใหญ่ที่มี วัดทานาล็อต (Tanah Lot) ตั้งอยู่ ซึ่งวัดนี้คือโด่งดังมาก จากภาพที่น้ำทะเลหนุนสูง ตรงวัดทานาล็อต (Tanah Lot) จะเหมือนเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ กลางทะเลที่สวยเอามากๆ เลยแหละ นอกจากนี้ ใกล้ๆ กันยังมี วัดบาตูโบลอง (Batu Bolong Temple) ที่อยู่บนริมผาหินที่ตั้งอยู่ห่างออกไปราวๆ 100 เมตร และด้วยความที่พื้นที่ของวัดเค้ากว้างขวางมาก นี่เลยจะพาทุกคนไปเดินไล่เที่ยวทีละจุดเล้ย
เริ่มจาก วัดบาตูโบลอง (Batu Bolong Temple) วัดนี้เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนผาหินสูงทางทิศเหนือในเขตวัดทานาล็อต (Tanah Lot) ซึ่งเราสามารถเดินเท้าเข้ามายังตัววัดได้เลย โดยชาวบ้านเค้ามีความเชื่อกันว่าวัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออธิษฐานขอความศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้า สำหรับบรรยากาศของวัดก็จะเงียบสงบ ตรงทางเข้าจะมีบานประตูสไตล์บาหลีตั้งอยู่ ภายในจะเป็นอาคารคล้ายกับวิหาร ซึ่งจากบริเวณวัดนี้เราสามารถมองออกไปเห็นวิวของท้องทะเลได้สุดลูกหูลูกตาเลย
โดยนักท่องเที่ยวเค้าจะนิยมเดินมาถ่ายรูปเล่นกันตรงบริเวณ วัดบาตูโบลอง (Batu Bolong Temple) กันเยอะมาก นอกจากวิวจะสวยแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของวัดเลยคือ ฐานด้านล่างที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นฐานให้กับตัววัดนั้น ลักษณะของโขดหินจะมีรูขนาดใหญ่เหมือนหินมันทะลุจนเกิดเป็นช่องโหว่ ซึ่งสาเหตุจริงๆ ของรูนั้นเกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลพัดกระทบเข้าหาโขดหิน ที่พอเวลาผ่านไป ก็ทำให้หินมันถล่มและพังลงมานั่นเอง ทำให้พื้นที่ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ถ่ายรูปสวยสับมาก ยิ่งใครมาช่วงพลบค่ำ ที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าไปนะ เราจะได้เห็น แสงของดวงตะวันที่สาดส่องลอดผ่านเข้ามาผ่านรูใต้โขดหินกระทบเข้ากับน้ำทะเลที่ซัดเข้าออกเป็นเกลียวคลื่นลูกโต บอกเลยว่าสวยเหมือนสวรรค์บนดินเลยล่ะ
เดินชมวิวจนหนำใจแล้ว ก๊อตก็เดินข้ามมาที่ วัดทานาล็อต (Tanah Lot) 1 ใน 7 แห่งวัดกลางทะเลของบาหลี ที่ถือเป็นหนึ่งในวัดสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของบาหลี และยังเป็นจุดที่เราสามารถมานั่งดูวิวพระอาทิตย์ตกได้สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในบาหลีอีกด้วย ตัววัดนั้นถูกสร้างโดย ฮียัง นีราร์ทา (Dang Hyang Nirartha) บุคคลสำคัญของบาหลีและเป็นนักเดินทางชาวฮินดู โดยในช่วงศตวรรษที่ 16 เขาได้เดินทางไปตามชายฝั่งทางใต้ของบาหลีและเห็นความงดงามของเกาะหินแห่งนี้ ซึ่งตัวเค้าคิดว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงได้สั่งให้สร้างศาลเจ้าบนโขดหินเพื่อบูชาเทพเดวาบารูนา (Dewa Baruna) หรือบาตาราเซอการา (Bhatara Segara) เทพแห่งทะเล จนเกิดขึ้นมาเป็น วัดทานาล็อต (Tanah Lot) ซึ่งปัจจุบันนั้น ฮียัง นีราร์ทา (Dang Hyang Nirartha) ก็ได้รับการไหว้บูชาในวัดแห่งนี้เช่นกัน
แต่ก๊อตจะบอกว่าโขดหินทั่วทั้งเกาะที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้กว่า 1 ใน 3 ถูกสร้างด้วยหินสังเคราะห์ ที่เค้าได้ตกแต่งไปกับหินจริงได้อย่างแนบเนียน เนื่องจากในปี 1980 หน้าผาหินบางส่วนในวัดได้พังทลายลงมา และพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของเกาะเริ่มทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา รัฐบาลญี่ปุ่นเค้าเลยให้เงินรัฐบาลอินโดฯ ยืมมากว่า 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4,000 ล้านบาท) เพื่อมาใช้ปรับปรุงพื้นที่โดยรอบ เค้าเลยเอาหินปลอมมาโปะซ่อมแทรมไปกับหินจริงอย่างที่เราเห็นกัน ซึ่งจะให้ก๊อตบอกว่าอันหินจริง อันไหนหินปลอม นี่ยังดูไม่ค่อยจะออกเลย เนียนม๊าก 555555
ตอนที่ก๊อตไปเที่ยว วัดทานาล็อต (Tanah Lot) คือไปช่วงเย็นเพื่อที่จะได้ดูพระอาทิตย์ตก รวมถึงได้ลงไปเดินเล่นบนโขดหินด้านล่างที่อยู่รอบๆ ตัววัดนั่นเอง โดยช่วงเย็นนั้นมักจะเป็นช่วงน้ำลดที่เราสามารถเดินเท้าลงไปเหยียบพื้นด้านล่างได้เลย ภาพโขดหินที่โผล่พ้นน้ำ เป็นเวิ้งใหญ่เหมือนก้นกระทะ รายล้อมผาหินสูงที่เป็นที่ตั้งของตัววัดที่อยู่ด้านบน แต่ถ้าใครมาช่วงน้ำขึ้นนั้น อย่าได้ลงมาข้างล่างนี่เชียว เพราะทั่วทั้งบริเวณจะเต็มไปด้วยน้ำทะเลและคลื่นสูงที่ซัดเข้ากระทบโขดหิน มันก็จะเป็นอีกภาพหนึ่งที่เราจะเห็น วัดทานาล็อต (Tanah Lot) ที่เหมือนอยู่บนเกาะลอยอยู่กลางทะเลนั่นเอง
ตัวก๊อตเองก็อยู่ชิลๆ ที่วัดกันยาวๆ ไปจนพระอาทิตย์ตกดินเลย ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มา เค้าก็มักจะมาดูวิวพระอาทิตย์ตกที่นี่กันเยอะมาก เพราะว่ากันว่าจาก วัดทานาล็อต (Tanah Lot) นั่น เป็นจุดที่ดูวิวพระอาทิตย์ตกได้สวยที่สุดแห่งหนึ่งในเกาะบาหลีเลย นี่ก็เลยหามุมที่ชอบแล้วนั่งเปื่อยๆ รับลมทะเล สูดกลิ่นอายของทะเลให้ฉ่ำปอด ท่ามกลางแสงสีทองสุดท้ายของวัน ที่สาดส่องสะท้อนลงน้ำทะเล เป็นวิวที่เลอค่ามาก เสียดายนิดหน่อยที่วันนั้น ฟ้าไม่ค่อยเปิดซักเท่าไหร่ เลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกจมลงน้ำทะเลแบบปังๆ นี่แหละ 55555
เที่ยวบาหลีวันที่ 4 :
ชายหาดซูลูบัน (Suluban Beach)
เริ่มเที่ยววันที่สี่ด้วยการไปสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของคนเล่นเซิร์ฟ นั่นคือชายหาดซูลูบัน (Suluban Beach) ชายหาดที่มีเอกลักษณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในบาหลี เป็นชายหาดที่ซ่อนตัวอยู่ในหินปูนตามธรรมชาติ ที่ก๊อตจะต้องเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบๆ เพื่อทะลุเข้าไปภายใน โดยชื่อของชายหาดซูลูบัน (Suluban Beach) มาจากคำศัพท์ภาษาบาหลี ‘mesulub’ หมายถึงการก้มตัว ที่เค้าคงจะเปรียบเปรยให้เห็นว่าก่อนที่เราจะเข้าไปถึงตัวชายหาด เราจะต้องเดินบ้าง คลานบ้าง หรือแม้กระทั่งมุดไปตามเส้นทางแคบๆ ระหว่างช่องหินนั่นเอง ซึ่งมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เว้ย
ยิ่งในวันที่ก๊อตนั้น เป็นช่วงที่น้ำมันกำลังขึ้นพอดี คลื่นนี้แรงมากก แบบซัดเข้าผาหินทีนี่มีสะดุ้ง โดยนักท่องเที่ยวที่เค้ามาที่นี่ต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือการมาเล่นเซิร์ฟบนเกลียวคลื่น ซึ่งชายหาดแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในชายหาดสำหรับเล่นเซิร์ฟระดับโลก โดยมีเกลียวคลื่นสูงตั้งแต่ 3-12 ฟุตให้ได้มาโต้เล่นกันอย่างเมามันส์ ซึ่งใครจะมาเล่นจริงๆ ก๊อตแนะนำให้มาช่วงเมษายน-สิงหาคม เพราะเป็นช่วงหน้าร้อนบ้านเค้า คลื่นจะเป็นใจมากเชียวล่ะ
แต่ตัวก๊อตเองเราเน้นไปดูวิว เล่นน้ำทะเล ความสนุกมันอยู่ที่พวกซอกหินต่างๆ ที่เราสามารถเดินทะลุออกไปยังชายหาดได้ ยิ่งถ้าช่วงน้ำลดนะ เรายิ่งเดินสำรวจกันได้ไกลขึ้นด้วย แต่ถ้าใครที่มาเล่นน้ำแล้วอยากล้างตัว หรือหามุมที่นั่งพักนอกจากชายหาด บริเวณด้านบนของชายหาดซูลูบัน (Suluban Beach) จะมีเป้นสระให้แช่ตัว แต่เราจะต้องเสียค่าเข้าไปน้า อันนี้บอกไว้เผื่อเป็นทางเลือก รวมๆ แล้วชายหาดซูลูบัน (Suluban Beach) สวยสับ น้ำใสแจ๋ว และต้องมาเมื่อมาบาหลีจริงๆ สายเซิร์ฟนี่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
วัดอูลูวาตู (Uluwatu Temple)
ไปต่อกันที่ วัดอูลูวาตู (Uluwatu Temple) หนึ่งในวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในบาหลีที่ตั้งอยู่บนยอดผาสูง ท่ามกลางวิวของท้องทะเลชวา (Java Sea) ที่อยู่เป็นแบล็คกราวด์ด้านหลัง ใครที่ไม่จุใจกับการไปดูวิวพระอาทิตย์ตกที่วัดทานาล็อต (Tanah Lot) ก๊อตแนะนำให้มาดูต่อที่นี่ด้วย เพราะที่นี่เค้าขึ้นชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งจุดในการดูวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งในบาหลีเลย
สำหรับประวัติของ วัดอูลูวาตู (Uluwatu Temple) นั้น ตัววัดถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11 บนหน้าผาหินสูง 70 เมตร (230 ฟุต) ที่ยื่นออกสู่ท้องทะเล เพื่ออุทิศให้กับ ซัง ฮียัง วีดี วาซา (Sang Hyang Widhi Wasa) พระเจ้าผู้สูงสุดของศาสนาฮินดูของชาวอินโดนีเซีย โดยมีตำนานเล่าว่าหินที่เป็นฐานของตัววัดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรือสำเภาที่กลายเป็นหิน โดยคนอินโดฯ เค้าเชื่อกกันว่าวัดแห่งนี้ทำหน้าที่ในการปกป้องบาหลีให้พ้นจากวิญญาณชั่วร้ายอีกด้วย
หลังจากจอดรถเสร็จแล้ว ก๊อตเองเริ่มต้นเดินเลียบไปตามแนวทิวเขา ท่ามกลางบรรยากาศสองข้างทางที่ลมพัดเย็นสบายมาก ฟากหนึ่งเป็นท้องทะเลผืนกว้างมองออกไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา อีกฟากเป็นชายฝั่งแนวเขาเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ตัดเข้ากับท้องฟ้าสีครามสดใส เป็นมู้ดที่รู้สึกประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกกันเลย
แม้บรรยากาศจะเป็นเริ่ด แต่ขอเตือนก่อนว่า ลิงที่วัดนี้ดุดันไม่เกรงใจใครมากแกร๊เอ้ย 55555 บอกก่อนว่าวัดแห่งนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของลิงแสม (Macaca Fascicularis) และลิงเผือกอีกจำนวนมาก ซึ่งน้องลิงขึ้นชื่อในเรื่องของความซนที่ชอบฉกทรัพย์สินของเราสุดๆ ใครที่พกแว่นกันแดด ถือกระเป๋า หอบเครื่องดื่ม หรือของกินติดไม้ติดมือมาด้วย ก๊อตแนะนำว่าเก็บของทุกอย่างให้ดี ถือเฉพาะของที่จำเป็นลงจากรถจะดีมาก เพราะลิงแสมพวกนี้เค้าคือแก๊งฉกดีๆ นี่เอง ฮ่าๆ พอน้องเค้าเห็นของล่อตาล่อใจหน่อย พวกนางจะรีบวิ่งมาฉกไปเลย โดยวิธีที่เราจะของกลับมาคือเราต้องล่อด้วยการเอาของกินไปแลกแทนแบบนี้ เจ้าลิงมันฉลาดมากนะเว้ย ซึ่งพฤติกรรมแบบฉันลักของเธอ เธอต้องเอาของกินมาไถ่คืนนั้น นักวิทยาศาสตร์เค้าออกมาศึกษาและบอกเลยว่า ลิงแสมพวกนี้เค้าจดจำและเรียนรู้การแลกเปลี่ยนสิ่งของมาจากพวกเรานั้นล่ะ พอมันเห็นคนซื้อขายของกันบ่อยขึ้น นางก็จำ แล้วเอามาทำตามเท่านั้นเลย
สำหรับบรรยากาศภายในวัด เราสามารถเดินชมความสวยของสิ่งก่อสร้างได้แบบชิลๆ เลย โดยจะมีอาคารหลักที่มีหลักคายกสูง 3 ชั้น ตั้งสง่าอยู่บนหน้าผาหิน นอกจากนี้ยังมีตัวอาคารขนาดย่อมๆ รองลงมาตั้งไปตามจุดต่างๆ ของวัดอีกหลากหลายอาคาร ซึ่งทั้งหมดล้วนมีโครงสร้างและหน้าตาตามสไตล์บาหลี โดยจากอาคารหลักของวัดนั้น เราสามารถมายืนมองวิวของท้องทะเลตรงหน้าได้แบบพาโนราม่าเลย ซึ่งใครที่เดินกินลมชมวิวจนจุใจแล้ว สามารถเดินวนกลับออกมาแล้ว เดินไปตามแนวสันเขาไปอีกฟากหนึ่ง ซึ่งจะเป็นพื้นที่ตรงหน้าผาที่เค้าทำเป็นลานกลางแจ้งสำหรับแสดงระบำเคจั๊ก (Kecak Dance) ระบำที่ขึ้นชื่อของวัดอูลูวาตู (Uluwatu Temple) ที่จะจัดแสดงขึ้นในทุกๆ วันเวลา 6 โมงเย็น ซึ่งอันนี้ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของวัดแห่งนี้เลยล่ะ
แน่นอนว่าการมาเที่ยวที่ วัดอูลูวาตู (Uluwatu Temple) นอกจากมาเดินชมวัดพร้อมกับวิวสวยๆแล้ว อีกความตั้งใจของก๊อตเลยคือการมาดูระบำเคจั๊ก (Kecak Dance) ซึ่งบอกก่อนเลยว่า ใครที่ตั้งใจมาดูระบำด้วยนั้น ก๊อตแนะนำให้เราจองตั๋วจาก Klook เหมือนก๊อตมาก่อนล่วงหน้าได้เลย เพราะข้อดีของการจองตั๋วมาก่อนคือเราสามารถเอา E-Ticket ที่เราจองมาแสดงให้เค้าดูทางด้านหน้าทางเข้า แล้วสามารถเดินเข้าไปได้เลย โดยไม่ต้องต่อคิวซื้อบัตรหน้างานให้เสียเวลา ก๊อตแนะนำให้จองมาเลย เพราะนักท่องเที่ยวต่อคิวกันแถวยาวมาก โดยคนที่ไม่ได้ซื้อล่วงหน้ามาต้องมาต่อแถวเพื่อซื้อบัตรหน้างาน ส่วนคนที่ซื้อมาแล้วล่วงหน้าแบบก๊อต คือสามารถเดินลัดคิวเข้าไปเอาบัตรได้เลย อันนี้คือแนะนำให้ซื้อจริงๆ
> ซื้อบัตรชมระบำเคจั๊ก (Kecak Dance) [ซื้อผ่าน Klook คลิก]
สำหรับโชว์ระบำ เคจั๊ก (Kecak Dance) ถือเป็นการแสดงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในบาหลีเลยก็ว่าได้ ซึ่งเค้าใช้นักแสดงกว่า 50 คน มาแสดงตามเนื้อเรื่องจากวรรณกรรมรามเกียรติ์ ในตอนที่พระรามยกพลทัพลิงมาช่วยนางสีดาที่เกาะลังกา ซึ่งจะมีกลุ่มนักแสดงชายนั่งอยู่บนพื้นดิน เปรียบเหมือนลิง แต่งตัวด้วยผ้าขาวม้าตาหมากลุกสีขาวดำ ผูกผ้าแดงไว้ที่เอว และทัดดอกชบาแดงเอาไว้ โดยจะร้องเพลงประสานเสียงแบบอะแคปเปลลากันเป็นจังหวะแทนเสียงดนตรี และยังมีตัวละครเอกอย่าง พระราม และนางสีดานั่นเอง
โดยการแสดงระบำนั้น ก่อนเริ่มเล่นเค้าจะแจกใบปลิวเนื้อเรื่องให้เราได้อ่าน เนื่องจากระบำของเค้ามันไม่มีบทพูดแถมคนดูส่วนใหญ่คือฝรั่งที่น่าจะไม่มีพื้นวรรณกรรมรามเกียรติ์เลย ใครที่กลัวจะดูแล้วงง ก็อย่าลืมอ่านใบปลิวก่อน ซึ่งโชว์ระบำของเค้าก็คือดีอยู่ มันเป็นมู้ดความขลัง ที่มาจากเสียงเครื่องดนตรีและเสียงโห่ร้องของผู้ชายทั้ง 50 คนที่นั้งล้อมวงเป็นวงกลม ตะโกนดังกึกก้องไปทั่วลานกว้าง พระรามที่แต่งแต้มเครื่องสำอางบนหน้าเอาไว้อย่างขึงขัง แต่งกายด้วยผ้าสีเข้ม สวมเครื่องประดับแบบจัดเต็ม วิ่งวนไปมาเพื่อตามหานางสีดาส่วนนางสีดาก็จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผมเดินวนไปมา ฟีลแบบมาช่วยฉันทีเถิดพี่พระราม ซึ่งการแสดงทั้งหมดใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง ส่วนตัวก๊อตว่าระบำเค้าเล่นใหญ่ดีมาก แบบมันไม่สามารถหาดูได้ง่ายๆ ต้องมาที่นี่เท่านั้น เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่ก๊อตอยากให้มาดูเองกับตาสักครั้งจริงๆ
นอกจากนี้ ระหว่างที่เราดูระบำไปนั้น มันจะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังตกพอดี เราจะได้ดูวิวพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ตกหายไปกับท้องทะเลเบื้องหน้าเลยเป็นภาพที่สวยมากๆ คุ้มค่าบัตรแล้วบอกเลย สรุปโดยรวมแล้ว ก๊อตอยากให้มากัน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ตัววัดดี บรรยากาศเริ่ด การแสดงระบำก็เลอค่า อยากให้มาสัมผัสของจริงกัน
เที่ยวบาหลีวันที่ 5-6:
เกาะนูซาเปอนีดา (Nusa Penida)
สำหรับวันที่ 5 และ 6 ของการเที่ยวบาหลีนั้น ก๊อตจะพาทุกคนออกจากเกาะบาหลีแล้วข้ามไปยังเกาะนูซาเปอนีดา (Nusa Penida) กันซักหน่อย โดยเกาะนูซาเปอนีดา (Nusa Penida) นั้นเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะบาหลี ถือเป็นอีกหนึ่งเกาะที่ห้ามพลาดมากๆ เมื่อมาเที่ยวบาหลี ด้วยความที่ลักษณะของเกาะเค้าเต็มไปด้วยภูเขาเลยทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยชายหาดสวยๆ และหน้าผารูปทรงเป็นเอกลักษณ์มากมาย อย่างที่คุ้นตากันดีเลยคือ หน้าผาเจ้าทีเร็กซ์ที่เรามักเห็นคนถ่ายลงอินสตาแกรมอยู่บ่อยๆ ซึ่งเค้าก็อยู่บนเกาะนูซาเปอนีดา (Nusa Penida) ที่นี่นั่นเอง บอกเลยว่าธรรมชาติ และทะเลของที่นี่สวยม๊ากก
อ่านรีวิวเต็มเกาะนูซาเปอนีดา (Nusa Penida) คลิกเลย
ที่พักในเกาะบาหลี
Ume Sri Villas
ที่พักแห่งแรกที่ก๊อตได้ไปนอน ใครชอบนอนพูลวิลล่าแบบกว้างๆ สวยๆ ก๊อตแนะนำเป็น Ume Sri Villas พูลวิลล่าส่วนตัวที่ตั้งอยู่ในย่านอูบุด รายล้อมไปด้วยทุ่งนาเขียวขจี และครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก บนพื้นที่ทั้งหมดกว่า 80 ตารางเมตร ในราคาเพียง 2,836 บาท ต่อคืนที่รวมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อย บอกเลยว่าโคตรถูก และราคานี้คือหาพูลวิลล่าในไทยแทบไม่ได้เลยนะเว้ย
ข้อดีของ Ume Sri Villas คืออยู่ในทำเลอูบุดที่ค่อนข้างสะดวก ห่างจากป่าลิงศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Monkey Forest Sanctuary) เพียง 2 กิโลเมตร และง่ายต่อการเดินทางไปเที่ยวในสถานที่เที่ยวอื่นๆ ในบาหลีอีกด้วย โดยเค้าจะมีที่จอดรถให้สำหรับผู้เข้าพัก (แต่มีเก็บเงินเพิ่มเติมนิดหน่อย) และนอกจากทำเลเค้าจะดีแล้ว Ume Sri Villas ยังให้ความเป็นส่วนตัวขั้นสุด ด้วยตัวกำแพงของพูลวิลล่าที่เค้าทำไว้สูงมาก บอกเลยว่าถ้าเดินล้อนจ้อนอยู่ในสระว่ายน้ำ คือไม่มีใครเห็นแน่นอน 5555555
บรรยากาศพูลวิลล่าของที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังพักผ่อนอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่โปร่งโล่งสบาย เพราะหลังคาที่ถูกยกสูง อยู่แล้วไม่อึดอัด ภายในตกแต่งด้วยโทนสีไม้ สีขาว ตัดด้วยสีเทา มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกให้ได้ใช้งานครบ ทั้งเตียงนอนขนาดใหญ่ที่นอนหลับสบายสุดๆ มีมุมโซฟาตัวยาวให้ได้นั่งพักผ่อนชิลๆ มาพร้อมตู้เย็น แอร์ โทรทัศน์ และ Wi-fi ฟรีอีกด้วย แต่ที่ก๊อตชอบสุดเลยเห็นจะเป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นแบบโอเพ่นแอร์ ตกแต่งสไตล์ทรอปิคอลแบบบาหลีด้วยต้นไม้และต้นเดหลีที่ออกดอกน่ารักมาก มีสกายไลท์บนหลังคาที่เปิดรับแสงธรรมชาติเข้ามาได้แบบจัดเต็ม และแน่นอนว่าเป็นพูลวิลล่าจะขาดสระว่ายน้ำได้อย่างไร โดยบริเวณหน้าบ้านของเค้า จะเป็นพื้นที่สระขนาดย่อมๆ ที่เราจะลงไปแช่ตัว หรือว่ายน้ำก็เพลินสุดๆ
สำหรับอาหารเช้านั้น จะเป็นสไตล์อเมริกันรวมกับอาหารอินโด ซึ่งเค้าจะให้เราเลือกกินได้อย่างใดอย่างนึง จะไม่ใช่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์นาจา รสชาติอาหารอร่อย หิ้วท้องมาฝากได้เลย โดยรวมแล้วก๊อตประทับใจที่ Ume Sri Villas มาก พูลวิลล่าราคาไม่ถึง 3 พันบาท แต่มันมีให้ครบทุกอย่าง เหมือนเช่าบ้านอยู่ดีๆ แบบที่มานอนเล่นเฉยๆ ตรงนี้โดยที่ไม่ออกไปเที่ยวที่ไหน ก๊อตก็ยังอยู่ได้สบายมาก
The Saren
อีกหนึ่งพูลวิลล่าที่ก๊อตได้พักในบาหลี คือ The Saren ซึ่งเราจองมาเป็นห้องพักแบบพูลวิลล่าที่มีอยู่เพียงไม่กี่ห้องของโรงแรมนี้เท่านั้น สำหรับบรรยากาศของ The Saren จะค่อนข้างฮิปๆ มีความโรแมนติกหน่อยๆ โดยเฉพาะด้านในพูลวิลล่า อีกทั้งยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดทานาล็อต (Tanah Lot) ที่เราสามารถขับรถไปเที่ยวได้ง่ายมากอีกด้วย ใครที่เที่ยวโซนบาหลีกลาง-ตะวันตก สามารถมาพักที่นี่ได้ นอกจากห้องพลูวิลล่าแบบก๊อตแล้ว เค้ายังมีห้องไซซ์อื่นๆ ให้เลือกอีกด้วย โดยห้องแบบพูลวิลล่าที่ก๊อตนอนนั้น นี่จองมาได้ราคา 2,675 บาท ต่อคืน บอกเลยว่าคุ้มมากกก ราคาแบบดีเกินไม่ไหว ถือเป็นราคาที่แทบหาไม่ได้ในไทยเลยแหละ
เปิดประตูเข้ามาในพูลวิลล่า จะถูกกั้นด้วยกำแพงสูงที่เต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย ให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำ เขียวขจีตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามากันเลย โดยห้องพักพูลล่าของเค้าจะตกแต่งสไตล์ลอฟท์ปูนเปลือยตัดโทนไม้ ให้ความโฮมมี่น่าอยู่ และมีฟีลชิคเบาๆ ตามแบบฉบับของบาหลี ที่ก๊อตชอบมากเลยก็คือ ห้องพักโล่ง ปลอดโปร่งแบบมากๆ เป็นห้องที่แสงธรรมชาติเข้ามาได้เต็มที่ด้วยกระจกรอบด้าน บอกเลยว่าที่นี่ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยสับไปหมด
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกของที่นี่ก็ครบครัน ทั้งเตียงนอนขนาดใหญ่นอนสบาย ตู้เย็น แอร์ คือมีครบจบปิ๊ง แต่ที่พีคๆ ของที่นี่เลย คือห้องน้ำในตัวของเค้า ที่เปิดโล่งแบบไม่มีอะไรกั้น อ่างอาบน้ำและเรนโชว์เวอร์ที่เอามาตั้งอยู่กลางห้องเลย ยังดีหน่อยที่เค้าทำห้องน้ำโซนแห้งแยกเป็นห้องเล็กเอาไว้ต่างหาก บอกเลยว่าฟีลนี่โรแมนติกมากถ้าเรามาพักกับแฟน แต่ถ้ามากับคนอื่น จะเพื่อนหรือพ่อแม่นี่อาจจะเขิลมากแน่นอน เพราะโซนอาบน้ำเค้าอยู่หลังเตียงนอน มีเพียงกระจกใสบานใหญ่กั้นกลางเอาไว้เท่านั้นเอง
จากห้องนอนเราสามารถเปิดประตูออกไปแล้วลงไปแช่สระว่ายน้ำส่วนตัวได้เลยนะ โดยขนาดของสระเค้ากำลังดีเหมาะกับการเล่นน้ำ และแช่ตัวได้ ซึ่งกำแพงฝั่งสระว่ายน้ำเค้าจะไม่ได้สูงเท่ากับกำแพงตรงทางเดินเข้ามา ดังนั้นเราสามารถมองออกไปเห็นวิวของทุ่งนาด้านนอกได้เลย เป็นฟีลเล่นน้ำชมทุ่งประมาณนั้น สำหรับอาหารเช้าของที่นี่เค้าจะไม่มีให้บริการ แต่ทางที่พักเค้ามีคาเฟ่และร้านอาหารอยู่ด้านหน้า ถ้าใครขี้เกียจออกไปหาอะไรกกินข้างนอก ก็มากินที่นี่ได้เลย แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าทางที่พักเค้าเปิดให้คนนอกเข้ามากินอาหารและเครื่องดื่มในร้านได้ด้วยเน้อ
โดยรวมแล้ว The Saren เป็นที่พักที่ดีมากๆ ห้องพักแบบพูลวิลล่านี่โรแมนติกโคตรๆ เหมาะมากับแฟนที่สุด บรรยากาศที่พักก็เงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน สำหรับห้องที่ก๊อตนอนอยู่ก็สบาย เหมือนได้มาพักผ่อนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ทุกอย่างดีหมด ยกเว้นอย่างเดียว มาคนเดียวไม่ก็มากับแฟนเท่านั้น แต่ถ้าใครจะมากับเพื่อนสามารถจองเป็นห้องพักปกติไซซ์อื่นๆ ของเค้าได้ แม้จะไม่ได้พักห้องพูลวิลล่า แต่ทางที่พักเค้ามีสระว่ายน้ำส่วนกลางให้ได้มาเล่นด้วย คือดีย์ และที่สำคัญราคาคุ้มสุดๆ
Sri Phala Resort & Villa
สำหรับใครที่จะข้ามไปเที่ยวบนเกาะนูซา เปอนีดา (Nusa Penida) ก๊อตเเนะนำให้หาที่พักใกล้ท่าเรือก่อนวันเดินทางจะดีมาก เพราะมันช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางมาท่าเรือได้เยอะเลย โดยคืนก่อนที่ก๊อตจะนั่งเรือข้ามไปยังเกาะนูซา เปอนีดา (Nusa Penida) ก๊อตเลือกมานอนที่โรงแรม Sri Phala Resort & Villa ก่อน ด้วยโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือชายหาดซานูร์ (Sanur) ในระยะเดินได้แบบชิลๆ ทำให้เราจองที่นี่มา เพราะในวันรุ่งขึ้นจะได้เดินไปขึ้นเรือกันแบบไม่เร่งรีบ
Sri Phala Resort & Villa เป็นหนึ่งในโรงแรมที่นี่ว่าดี เนื่องจากราคาไม่แพง แถมนอนสบาย ภายในห้องพักมีเตียงนอนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็มีให้ได้ใช้งานครบ ทั้ง ผ้าขนหนู ตู้เย็น โทรทัศน์ และห้องน้ำส่วนตัว อีกทั้งยังมีชุดโต๊ะ-เก้าอี้ที่ระเบียงให้เราได้ออกมานั่งรับลม ชมวิวชิลๆ อีกด้วย
โดยรวมคือดี นอนหลับสบาย แต่ที่เริ่ดสุดคือ เราสามารถตื่นเช้าแล้วเดินมาขึ้นเรือได้เลย โดยคืนก่อนหน้าที่เราจะขึ้นเรือ เราสามารถบอกรีเซฟชั่นโรงแรมว่าเราจะมีขึ้นเรือตอนเช้า ให้เค้าเตรียมอาหารเช้าแบบกล่องให้เราได้ด้วย ถือเป็นโรงแรมที่ดีมากกก! ใครจะจองตาม จองได้ที่นี่โลด
สรุปการเที่ยวบาหลี
สำหรับการเที่ยวบาหลี 6 วัน 5 คืนของก๊อตในรอบนี้ คือการกลับมาเที่ยวบาหลีอีกครั้งที่ยังคงมีความประทับใจอยู่แหละ คือบาหลีมันมีสไตล์และมีวัฒนธรรม รวมถึงมีศิลปะของเค้าที่ชัดเจนมากๆ โดยมันแทรกซึมอยู่แทบจะในทุกๆ ที่เที่ยวที่ก๊อตได้ไปกันมาเลย นอกจากนี้เราต้องยอมว่าธรรมชาติของบาหลีเค้ายังไม่น้อยหน้าใครอีกด้วย โดยเฉพาะทะเลบาหลีคือจึ้งเว่อร์ สวยสับจริง น้ำทะเลสีฟ้าครามกับเกลียวคลื่นสูงๆ เป็นเอกลักษณ์ฉบับบาหลีมาก ในส่วนของวิวทิวทัศน์สถานที่เที่ยวต่างๆ ก็อลังการ ธรรมชาติมีความอุดมสมบูรณ์แบบเต็มสิบไม่หัก จะมีก็คือเรื่องเงินที่คนท้องถิ่นมีความเก็บเงินทุกอย่างหยุมหยิมไปนิด เก็บทุกอย่างที่จะสามารถเก็บได้ ซึ่งบางทีก็รู้สึกเอ๊ะๆ ไม่เบา 55555555 แต่อย่างไรก็ตาม คนบาหลีท้องถิ่นจริงๆ เค้าน่ารักนะเออ
เอาละ! ใครที่จะมาตามรอยเที่ยวบาหลี อย่าได้แพลนนาน อยากให้มาสัมผัสบรรยากาศของจริงกัน เห็นในรูปว่าดีย์แล้ว ของจริงดีกว่าในรูปแบบ 300% สุดท้ายนี้ใครอ่านรีวิวมาจนถึงบรรทัดนี้แล้วกำลังจะมาเที่ยวตาม ก๊อตขอให้มีความสุข และสนุกกับทริปของทุกคนเลยน้า
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡