ปอมเปอี (Pompeii) ใครเคยได้ดูสารคดี หรือเคยได้ยินเรื่องราวของเมืองโรมันโบราณที่เคยรุ่งเรืองสุดขีด แต่แล้วจู่ๆ ก็ถูกเถ้าถ่านจากภูเขาไฟถล่มลงมาจนทั้งเมืองหายวับไปจากแผนที่โลกในพริบตา และถูกฝังอยู่ใต้เศษซากของเถ้าถ่านมานับพันปี ก๊อตมั่นใจเลยว่ามีอยู่เมืองเดียวคือ ปอมเปอี (Pompeii) หนึ่งในเมืองโรมันโบราณอันโด่งดังของอิตาลี อีกทั้งยังเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ถึงแม้ว่าต้องใช้เวลานับพันปีกว่าจะมีนักโบราณคดีมาขุดค้นพบ แต่การที่ ปอมเปอี (Pompeii) ถูกทับถมด้วยเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้อาคารและโบราณวัตถุต่างๆ ยังคงสภาพเดิมราวกับถูกแช่แข็งไว้ในห้วงเวลา แน่นอนว่าก๊อตมาถึงอิตาลีทั้งที จะพลาดการสำรวจมหานครที่ครั้งหนึ่งเคยหายสาบสูญไปจากหน้าแผนที่โลกได้อย่างไร เอาเป็นว่า ก๊อตจะพาทุกคนไปเยือน ปอมเปอี (Pompeii) ด้วยกันแบบจัดเต็มเหมือนได้หลุดเข้าไปในประวัติศาสตร์จริงๆ เลยทีเดียว
รู้จักกับปอมเปอี (Pompeii)
ปอมเปอี (Pompeii) ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเนเปิลส์ (Naples) ประเทศอิตาลี เดิมทีเป็นเมืองที่คึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนอาศัยอยู่ราวๆ 1-2 หมื่นคน ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวสลดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 79 เมื่อภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับเพียงแห่งเดียวบนแผ่นดินใหญ่ของทวีปยุโรป และตั้งอยู่ห่างออกไปแค่ 12 กิโลเมตร ได้เกิดปะทุอย่างรุนแรง พ่นเอาเถ้าถ่านและหินภูเขาไฟมหาศาลสู่ท้องฟ้าจนมืดมิดไปทั่ว ทีนี้คนใน ปอมเปอี (Pompeii) ได้พากันอพยพออกนอกพื้นที่ แต่ยังมีชาวเมืองอีกจำนวนมากที่เลือกหลบภัยอยู่ในบ้าน โดยหวังว่าการปิดประตูหน้าต่างจะช่วยให้พวกเขารอดพ้นได้ แต่แล้วโชคก็ไม่ได้เข้าข้างเมื่อทิศทางลมเปลี่ยนกะทันหัน เถ้าถ่านและหินร้อนระอุได้พัดเข้าถล่ม ปอมเปอี (Pompeii) จนราบเป็นหน้ากลอง ส่งผลให้เหล่าอาคาร บ้านเรือน และผู้คนมากมายต่างเสียชีวิตและถูกฝังอยู่ใต้เถ้าถ่านหินพวกนี้ จนในที่สุดเมืองที่เคยรุ่งเรืองแห่งนี้ก็ได้สูญหายไปจากหน้าแผนที่โลกอย่างที่ได้บอกไปนั่นเอง
กาลเวลาผ่านไปนานกว่า 1,600 ปี การขุดค้น ปอมเปอี (Pompeii) จึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในปี ค.ศ. 1748 โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1763 เมื่อมีการพบจารึกที่เขียนว่า “Rei Publicae Pompeianorum” ซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่านี่คือเมืองปอมเปอีโบราณที่เคยหายสาบสูญจากแผนที่โลกไปนานกว่าพันปีนั่นเอง หลังจากนั้น ได้มีการขุดค้นเรื่อยๆ โดยเหล่าวิศวกรทางทหาร และนักโบราณคดีต่างๆ ซึ่งก็มีการพบสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นจัตุรัสฟอรั่มขนาดใหญ่ โรงละครกลางแจ้ง วิลล่าหรูหราหลากหลายหลัง รวมถึงบ้านเรือนของชาวบ้าน ซึ่งนักโบราณคดีบอกว่า เมืองแห่งนี้อาจมีอายุย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว
นอกจากนี้ในช่วงปี ค.ศ. 1863 นักโบราณคดีชาวอิตาลี ได้ค้นพบช่องว่างภายในชั้นเถ้าภูเขาไฟซึ่งเป็นโพรงที่เกิดจากร่างของผู้เสียชีวิตที่ย่อยสลายไป เค้าจึงตัดสินใจอุดช่องว่างเหล่านั้นด้วยปูนปลาสเตอร์ ทำให้เกิดภาพสะท้อนร่างของชาวเมืองในท่าทางสุดท้ายของชีวิตออกมาอย่างน่าสะเทือนใจ โดยมีทั้งท่าทางที่นอนหลับอยู่ หรือแม้แต่ทำท่ากำลังหนี ดังนั้น หากใครมาเที่ยวที่นี่แล้วเห็นหุ่นผู้คนที่เค้าจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั้น ให้รู้ไว้เลยว่าไม่ใช่คนจริงๆ นะ แต่เป็นเทคนิคการใช้ปูนปลาสเตอร์นั่นเอง
ปัจจุบัน ปอมเปอี (Pompeii) ยังคงถูกขุดค้นอยู่เรื่อยๆ โดยภาพรวมของผังเมืองที่พบนั้น มีลักษณะไม่เป็นระเบียบมากนัก เนื่องจากถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ลาวาโบราณที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟในยุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่ในช่วงปี ปี ค.ศ. 1951 นักโบราณคดีได้ขุดพบร้านเบเกอรี่ที่ยังมีขนมปังอยู่ในเตา ไปจนถึงร้านขายเครื่องนุ่งห่ม โรงงานต่างๆ และร้านค้าอื่นๆ พร้อมกับจารึกบนผนังที่บรรยายถึงการเลือกตั้งและการต่อสู้ของเหล่านักสู้กลาดิเอเตอร์อีกด้วย
โดยกลุ่มอาคารสาธารณะใน ปอมเปอี (Pompeii) ส่วนใหญ่ถูกจัดวางไว้ใน 3 พื้นที่หลักๆ ซึ่งแต่ละจุดก็มีความสำคัญและหน้าที่แตกต่างกันไป รวมถึงมีโซนแยกย่อยออกไปต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นจัตุรัสฟอรัม (Forum) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง โดยที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางของเมืองที่ผู้คนเค้ามาทำกิจกรรมทางศาสนา การเมือง หรือการพาณิชย์ต่างๆ ต่อมาจะเป็นจัตุรัสสามเหลี่ยม (Triangular Forum) ตั้งอยู่บริเวณแนวกำแพงด้านใต้ของเมือง ซึ่งสามารถมองออกไปเห็นวิวอ่าวเนเปิลส์ได้แบบพาโนราม่า โดยพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและเชื่อมโยงไปหาโรงละครโบราณได้อีกด้วย สุดท้ายคือ แอมฟิเธียเตอร์ (Amphitheatre) และลานฝึกกรีฑา (Palaestra) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมือง ใช้เป็นพื้นที่สำหรับการละเล่น การแข่งขันกีฬา และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ของชาวโรมัน โดยแอมฟิเธียเตอร์แห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในโรงละครกลางแจ้งที่เก่าแก่ที่สุดของโรมันที่ยังคงสภาพอยู่ในปัจจุบันเลยล่ะ
จึงเรียกได้ว่า ปอมเปอี (Pompeii) เป็นเหมือนหน้าต่างบานใหญ่ให้ผู้คนได้เข้าไปสำรวจและสัมผัสถึงวิถีชีวิตจริงๆ ของผู้คนในยุคโรมันตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมอย่างละเอียด และด้วยความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ปอมเปอี (Pompeii) จึงได้รับการขึ้นทะเบียนร่วมกันเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) เมื่อปี ค.ศ. 1997 ดังนั้น ใครที่ชื่นชอบเมืองโรมันโบราณแถมยังพ่วงตำแหน่งมรดกโลก การได้มาเยือน ปอมเปอี (Pompeii) สักครั้ง ก๊อตบอกเลยว่ามันคุ้มเกินคุ้มสุดๆ แล้ว
การเดินทางจาก เนเปิลส์ (Naples) มายัง ปอมเปอี (Pompeii)
วิธีเดินทางมายัง ปอมเปอี (Pompeii) ที่ก๊อตคิดว่าสะดวกมากที่สุดนั้น คือการนั่งรถไฟ Circumvesuviana สาย Napoli–Sorrento Line โดยใช้เวลานั่งประมาณ 35-40 นาที ค่าตั๋วอยู่ที่คนละ 3.20 ยูโร (~119 บาท) สามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์หรือเครื่องขายตั๋วของ Circumvesuviana ซึ่งรอบรถไฟนั้นจะมีทุกๆ 20-30 นาทีเลย เรียกได้ว่ามาเที่ยวปอมเปอีได้แบบสะดวกสบายสุดๆ
- เดินทางด้วยรถไฟ: นั่งรถไฟ Circumvesuviana จากสถานีต้นทาง Napoli Garibaldi ซึ่งจะอยู่ใต้สถานีหลัก Napoli Centrale โดยมาลงที่สถานี Pompei Scavi จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 1-2 นาที เราก็จะมาถึงประตูทางเข้าของปอมเปอีแล้ว
ที่เที่ยวในปอมเปอี (Pompeii)
ย่านใจกลางเมืองกลุ่มฟอรัมและบริเวณรอบๆ (โซน Regio VII, VIII)
- ประตูมารินาและแนวกำแพง (Marina Gate and walls)
- วิหารวีนัส (Sanctuary of Venus)
- ฟอรัมแห่งปอมเปอี (Forum of Pompeii)
- บาซิลิกา (Basilica)
- วิหารอะพอลโล (Sanctuary of Apollo)
- แท่นเทียบมาตราวัด (Mensa Ponderaria)
- มาเซลลุม (Macellum) – ตลาดสดโบราณ
- อาคารเอวมาเคีย (Building of Eumachia)
- โคมีทิอุมและอาคารเทศบาลเมือง (Comitium and Municipal Buildings)
ย่านบ้านเรือนและย่านบันเทิง (โซน Regio VI, VII)
- โรงอาบน้ำสตาเบียน (Stabian Baths)
- ซ่องโบราณแห่งปอมเปอี (Lupanare)
- บ้านแห่งหมีบาดเจ็บ (House of The Wounded Bear)
ย่านโรงละครและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ (โซน Regio VIII)
- จัตุรัสสามเหลี่ยม (Triangular Forum)
- โรงละครใหญ่ (Large Theatre)
- ลานจัตุรมุข หรือ ค่ายกลาดิเอเตอร์ (Quadriporticus / Gladiators Barracks)
ย่านคฤหาสน์หรูหรา (โซน Regio VI, IX)
- บ้านของกวีโศกนาฏกรรม (House of the Tragic Poet)
- บ้านของฟอน (House of the Faun)
- บ้านของมาร์คุส ลูเครติอุส บนถนนเวีย สตาเบียนา (House of Marcus Lucretius in via Stabiana)
ย่านตะวันออก (โซน Regio I, II)
เริ่มเที่ยวใน ปอมเปอี (Pompeii) ได้เล้ยย
ก่อนที่เราจะเริ่มเดินเที่ยว ปอมเปอี (Pompeii) กัน ก๊อตอยากให้ทุกคนลบภาพการเดินชมโบราณสถานเล็กๆ ออกไปได้เลย เพราะปอมเปอีคือการเที่ยว ‘เมืองทั้งเมือง’ ที่กว้างใหญ่ไพศาลมากสำหรับคนยุคก่อนมาก ทั้งโซนบ้านเรือนของผู้คน ตลาด ร้านค้า โบสถ์ ไปจนถึงโรงโสเภณีกันเลยทีเดียว ดังนั้น ใครที่มีเวลาน้อย อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยคือครึ่งวัน แต่ถ้าใครเป็นสายประวัติศาสตร์ตัวยงและอยากเก็บให้ครบทุกไฮไลท์ ก๊อตแนะนำให้เผื่อเวลาไว้เลยหนึ่งวันเต็มๆ
และเมื่อเราซื้อตั๋วเข้ามาใน ปอมเปอี (Pompeii) แล้ว เค้าาจะมีแผนที่ให้เราด้วย ซึ่งในนั้นเขาจะออกแบบเส้นทางเดินเที่ยวแนะนำไว้ให้เป็นรูทหลายสีเลย เราสามารถเลือกเดินตามรูทที่สนใจได้ว่าจะเน้นดูโซนไหนเป็นพิเศษ อย่างก๊อตเองก็เดินตามรูทในแผนที่นี่แหละ แต่ก็ยอมรับว่าเก็บไม่ครบทุกจุดจริงๆ เพราะมันใหญ่มาก สำหรับใครที่สนใจอยากดูจุดไหนในรีวิวนี้ ทุกจุดจะมีชื่อกำกับเอาไว้ เผื่อใครเอาไปอิงตามแผนที่แล้วจะได้เดินหาง่ายๆ เพราะในแผนที่เค้าจะบอกเป็นชื่อโซน และชื่อจุดต่างๆ เอาไว้พร้อม เอาล่ะ พอรู้ภาพรวมแล้ว เรามาเริ่มเดินสำรวจนครที่ถูกหยุดเวลาไว้แห่งนี้กันเล้ย
ย่านใจกลางเมืองกลุ่มฟอรัมและบริเวณรอบๆ (โซน Regio VII, VIII)
ประตูมารินาและแนวกำแพง (Marina Gate and walls)
ถ้าให้ก๊อตเลือกประตูเมืองที่สวยและน่าประทับใจที่สุดในปอมเปอี ชื่อของ ประตูมารินาและแนวกำแพง (Marina Gate and walls) ต้องติดอันดับต้นๆ เลย เพราะเค้าว่ากันว่านี่คือประตูที่งดงามและน่าประทับใจที่สุดจากทั้งหมด 7 ประตูของเมืองเลยทีเดียว ซึ่งชื่อของประตูมาจากถนนที่ทอดยาวออกไปนอกเมืองซึ่งจะนำไปสู่ชายทะเลนั่นเอง
สำหรับ ประตูมารินาและแนวกำแพง นักโบราณคดีได้ขุดค้นเมื่อปี ค.ศ. 1862-1863 และจากการสำรวจพบว่าประตูแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยโครงสร้างแบบโค้งทรงกระบอก (Barrel Vault) ทำจากคอนกรีตที่มีส่วนผสมระหว่างปูนและหิน ทำให้ค่อนข้างแข็งแรงเลย โดยมีข้อสันนิษฐานว่าประตูแห่งนี้ สร้างขึ้นในช่วงที่ปอมเปอีเป็นอาณานิคมของซุลลา (Silla Colony) ราวปี 80 ก่อนคริสตกาล ซึ่งตัวประตูประกอบด้วยซุ้มโค้ง (Fornix) จำนวน 2 ช่อง ช่องหลักมีขนาดสูงกว่าใช้สำหรับม้าและสัตว์บรรทุกของ ส่วนช่องเล็กด้านข้างใช้สำหรับคนเดินเท้านั่นเอง
ส่วนพื้นที่ของกำแพงที่อยู่ข้างๆ กันนั้น มีความยาวรวมกว่า 3,200 เมตร และมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล โดยโครงสร้างประกอบด้วยกำแพงคู่ ตรงกลางมีทางเดิน และมีคันดินด้านในเพื่อเสริมความแข็งแรง แต่เมื่อปอมเปอีเข้าสู่การปกครองของโรมันอย่างเต็มตัว ความสำคัญของกำแพงก็ลดลง บางส่วนถูกรื้อถอนหรือดัดแปลงให้เป็นพื้นที่สำหรับสร้างบ้านเรือนในยุคต่อมา เราเลยจะไม่ได้เห็นกำแพงที่สมบูรณ์มากนัก แต่แค่ก๊อตได้เห็นถึงความโอ่อ่าที่ยังหลงเหลืออยู่ นี่ก็พอจะนึกภาพออกว่าในอดีตนั้น กำแพงตรงนี้คงจะตั้งตระหง่านโดดเด่นอย่างแน่นอน
วิหารวีนัส (Sanctuary of Venus)
ไปต่อกันที่ วิหารวีนัส (Sanctuary of Venus) ซึ่งตั้งอยู่บนระเบียงหินที่ถูกสร้างขึ้นอย่างอลังการ ท่ามกลางวิวแบบพาโนรามาของอ่าวเนเปิลส์ (Gulf of Naples) ที่สามารถมองเห็นจากตรงนี้ได้ชัดเจน บริเวณแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นท่าเรือหลักของเมือง โดยคนเชื่อกันว่า เทพีวีนัสถือเป็นเทพผู้พิทักษ์ของเมืองปอมเปอี ถูกเคารพบูชาในฐานะเทพีแห่งการเดินเรืออีกด้วย ซึ่งการบูชาเทพีวีนัสนั้น มีมาตั้งแต่ก่อนยุคโรมันเลยทีเดียว
สำหรับ วิหารวีนัส (Sanctuary of Venus) ได้อยู่คู่กับเมืองมาอย่างยาวนาน กระทั่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 62 รวมถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง และน่าเศร้าที่ยังบูรณะไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ดี ก็ต้องมาเจอกับการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟวิสุเวียสในปี ค.ศ. 79 เสียก่อน ตามข้อมูลระบุเอาไว้ว่า วิหารแห่งแรกนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล โดยมีลักษณะเป็นพื้นที่ล้อมรอบด้วยระเบียงเสา และมีวิหารตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนโครงสร้างของศาลเจ้าที่เค้าขุดค้นเจอในช่วงปี ค.ศ. 1852, 1869, 1872, 1898, 1937, 1952-1953, 1984-1985, 2004-2005 เป็นศาลแบบที่สร้างขึ้นใหม่ในช่วงต้นของยุคจักรวรรดิโรมัน (Early Imperial Age)
ซึ่งหนึ่งในสิ่งของล้ำค่าที่เค้าค้นพบจากการขุดค้นในศตวรรษที่ 19 คือ โคมทองคำขนาดใหญ่ น้ำหนักถึง 896 กรัม ซึ่งถูกค้นพบในโบสถ์ชั่วคราวขนาดเล็กที่ตั้งพิงอยู่ตรงผนังด้านหลังของวิหารหลัก โดยโคมทองคำชิ้นนี้เป็นของขวัญจากจักรพรรดินีโร และในปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติเมืองเนเปิลส์ (National Archaeological Museum of Naples) ส่วนบรรยากาศในตอนที่ก๊อตเดินมาถึงนั้น เป็นพื้นที่โล่งๆ ที่ยื่นหน้าออกไปหาวิวของอ่าว เป็นอีกจุดที่นอกจากได้สัมผัสเรื่องราวความเชื่อและประวัติศาสตร์ของปอมเปอีแล้ว เรายังได้ชมวิวสวยๆ อีกด้วย
ฟอรัมแห่งปอมเปอี (Forum of Pompeii)
จุดเริ่มต้นที่แสดงความยิ่งใหญ่ของปอมเปอีได้ดีที่สุดก็คือ ฟอรั่ม (Forum) ซึ่งเป็นจัตุรัสสาธารณะขนาดมหึมาที่เป็นหัวใจของเมืองในยุคนั้น จากลานกว้างของฟอรัมแห่งนี้ หากวันไหนฟ้าเป็นใจ เรายังสามารถมองเห็นภูเขาไฟวิสุเวียสเป็นฉากหลังได้อีกด้วย ที่นี่จึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางทั้งด้านการเมือง ศาสนา และสังคมของชาวโรมันในปอมเปอีเลยทีเดียว
ซึ่งจุดเด่นของฟอรัมคือบริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยโบสถ์ วิหาร รูปปั้น ไปจนถึงร้านค้ามากมายในสมัยนั้น ฟีลเหมือนเวิ้งที่คนเค้านิยมมาช้อป กิน เที่ยวกันประมาณนั้นเลย โดยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรามองเห็นได้เลยจากฟอรัม ส่วนใหญ่จะเป็นวิหารของเทพเจ้าต่างๆ ที่คนในยุคนั้นเค้าเคารพนับถือ ไม่ว่าจะเป็น วีนัส (Venus), จูปิเตอร์ (Jupiter) และอพอลโล (Apollo) ซึ่งจะมีวิหารส่วนตัวตั้งอยู่ นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของเซ็นทอร์ (Centaur) ซึ่งเป็นผลงานประติมากรรมบรอนซ์ของ อิกอร์ มิโตราจ (Igor Mitoraj) ศิลปินชาวโปแลนด์ชื่อดัง ซึ่งรูปปั้นนี้ไม่ใช่โบราณวัตถุออริจินอลของปอมเปอีนะ แต่เป็นหนึ่งในชิ้นงานของนิทรรศการเมื่อปี ค.ศ. 2016 ซึ่งเค้าได้เอาชิ้นงานนี้มาตั้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพังของปอมเปอีได้อย่างกลมกลืนเลยล่ะ
เรียกได้ว่า ฟอรัมแห่งปอมเปอี (Forum of Pompeii) เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้คน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงงานศิลปะ ที่หากใครอยากมาดื่มด่ำกับสิ่งเหล่านี้ ท่ามกลางลานกว้าง และวิวของภูเขาไฟวิสุเวียสเป็นฉากหลัง ลองเดินเข้ามาส่องฟอรัมก่อน ให้ตรงนี้เป็นเหมือนจุดตั้งต้นในการเริ่มเดินเที่ยวปอมเปอีของเราดูก็ได้
บาซิลิกา (Basilica)
ถ้าจะให้ก๊อตยกให้ตึกไหนหรูหราที่สุดในปอมเปอี ก็ต้องเป็น บาซิลิกา (Basilica) ที่ตั้งอยู่ในจัตุรัสฟอรัม (Forum) ด้วยพื้นที่กว้างถึง 1,500 ตารางเมตร ที่ในอดีตเป็นศูนย์กลางทั้งด้านธุรกิจและศาลว่าความที่ดำเนินงานด้านกฎหมายต่างๆ โดยอาคารหลังนี้ถูกขุดค้นในช่วงปี ค.ศ. 1806, 1813, 1820, 1928, 1942 และ 1950 ซึ่งเราสามารถเดินเข้าสู่ตัวอาคารได้จากจัตุรัสฟอรัม ผ่านทางเข้า 5 ช่องทาง
บาซิลิกา (Basilica) สร้างขึ้นในช่วงประมาณปี 130-120 ก่อนคริสตกาล และถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบบาซิลิกาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกโรมันโบราณเลยทีเดียว สำหรับบริเวณภายในถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ โดยใช้แนวเสาอิฐที่มีหัวเสาแบบไอโอนิก (Ionic Capitals) จำนวน 2 แถวเป็นโครงสร้างหลัก หากใครเดินมายังผนังด้านตะวันตก ซึ่งเป็นด้านสั้นของอาคาร เราจะได้เห็นแท่นขนาดใหญ่ที่ตกแต่งเอาไว้อย่างฟูฟ่า ที่ก๊อตนึกาพตอนที่ยังสมบูรณ์นั้น คงจะสวยงามน่าดู โดยตรงนี้เรียกว่า Suggestum ซึ่งเป็นจุดที่เหล่าผู้พิพากษาจะนั่งเพื่อพิจารณาคดีและจัดการกิจการทางกฎหมายนั่นเอง
ยังไม่หมดเท่านั้น ภายในอาคารยังเคยมีการประดับด้วยรูปปั้นนักรบบนหลังม้าอีกด้วย ส่วนผนังภายในก็ถูกตกแต่งด้วยปูนปั้นที่ออกแบบให้ดูคล้ายหินอ่อนขนาดใหญ่เพิ่มความโอ่อ่าให้กับสถานที่แห่งนี้ด้วย ถึงแม้ว่าตอนที่ก๊อตไปนั้นเราจะได้เชยชมแค่เพียงเศษซากของอาคารที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติ แต่มันก็ยังทำให้ก๊อตสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และงดงามที่ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนเขาถึงยกให้เป็นอาคารหรูหรามากที่สุดของเมือง เพราะแค่ที่เราเห็นก็ฟู่ฟ่าอลังการสุดๆ เลยล่ะ
วิหารอะพอลโล (Sanctuary of Apollo)
เดินมาต่อกันที่ วิหารอะพอลโล (Sanctuary of Apollo) หนึ่งในศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดของปอมเปอี ถูกขุดค้นพบในปี ค.ศ. 1816-1817, 1931-1932, 1942-1943, 1997, และ 2015 โดยตั้งอยู่บนเส้นทางหลักที่นำขึ้นไปยัง ประตูมารินา (Marina Gate and walls) ทางเข้าหลักที่มุ่งสู่ใจกลางเมือง ทำให้ที่นี่นั้นเรียกได้ว่าอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเลยก็ว่าได้
ตามเรื่องเล่าที่เขียนเอาไว้ เขาว่ากันว่าหากเทพอะพอลโลถูกยกย่องให้เป็นเทพองค์หลักของเมืองปอมเปอี สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมกรีกและอีทรัสคัน ที่เคยมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคคัมปาเนีย (Campania) มาก่อน โดยการขุดลึกลงไปในพื้นที่วิหารนั้น นักโบราณคดีเค้าค้นพบหลักฐานของการก่อสร้างที่นี่ในช่วงยุคแรกอยู่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น แจกัน เครื่องสังเวย และของตกแต่งดินเผา ซึ่งของเหล่านี้มันยังช่วยยืนยันว่าบริเวณนี้เคยมี วิหารยุคอาร์เคอิก (ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล) ตั้งอยู่มาก่อน วิหารอะพอลโล (Sanctuary of Apollo) แล้วนั่นเอง
แต่วิหารที่เรากำลังเดินเข้ามาสำรวจนี้ เค้าเป็นวิหารหลังใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น หลังจากวิหารหลังเดิมได้ถูกรื้อถอน กระทั่งในสมัยจักรพรรดินีโร (Nero) ก่อนที่ภูเขาไฟวิสุเวียสจะปะทุขึ้นมานั้น ได้มีการปรับปรุงตัววิหารเพิ่มเติมเล็กน้อย โดยอาคารใหม่ประกอบด้วย ตัววิหารหลักที่ตั้งอยู่บนฐานยกสูง ล้อมรอบด้วยระเบียงคอลัมน์แบบปอร์ทิโก (Portico) พื้นที่ตรงกลางเป็นลานโล่งๆ ที่มีแท่นบูชาตั้งอยู่ เหมือนเป็นใจกลางของวิหารแห่งนี้ ส่วนบริเวณผนังฝั่งตะวันออกของลานกว้างนั้น มีแนวประตูเปิดต่อกันเป็นแถว ซึ่งนักโบราณคดีเค้าคาดว่า ตรงนี้เคยเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังจัตุรัสฟอรัมนั่นเอง รวมถึงด้านบนของวิหารอาจจะมีระเบียงยื่นออกมาให้ผู้คนในยุคนั้นเค้าได้ขึ้นไปชมวิวได้อีกด้วย
โดย วิหารอะพอลโล ในสมัยโรมัน ทำหน้าที่เป็นสถานที่สำหรับจัดการแข่งขันกลาดิเอเตอร์ (Gladiatorial Games) และการแสดงละครในงานเทศกาล Ludi Apollinares ซึ่งเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองแด่เทพอะพอลโล อีกทั้งภายในวิหารยังเคยเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นสำริดของเทพอะพอลโลและไดอาน่า ซึ่งเป็นผลงานศิลปะจากยุคเฮลเลนนิสติก โดยรูปปั้นของจริงนั้น ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานโบราณคดีแห่งชาติเมืองเนเปิลส์ (Naples National Archaeological Museum) ส่วนที่เรากำลังยืนมองกันอยู่นี้เป็นเพียงรูปปั้นจำลองที่เค้าทำขึ้นมานั่นเอง ถึงแม้ว่ารูปปั้นที่เราเห็นจะเป็นของจำลอง แต่ก็ยังคงความงดงามจนทำให้แอบคิดไปว่า ในอดีตวิหารแห่งนี้คงจะโอ่อ่าและงดงามมากแน่ๆ
แท่นเทียบมาตราวัด (Mensa Ponderaria)
มาเริ่มกันที่ แท่นเทียบมาตราวัด (Mensa Ponderaria) จุดแรกที่อยู่ภายในซุ้มผนังด้านทิศตะวันตกของ วิหารอพอลโล (Sanctuary of Apollo) โดยบริเวณนี้มีลักษณะเป็นแท่นขนาดใหญ่ยกสูงจากพื้นมีหลุมคล้ายวงกลมเรียงต่อๆ กันอยู่ด้านบน โดยแท่นนี้ถูกขุดค้นพบในปี ค.ศ. 1816-1817 เคยถูกใช้เป็น “เครื่องตรวจสอบมาตราวัด” ของสินค้าที่ใช้แลกเปลี่ยนในยุคนั้น โดยสามารถวัดได้ทั้งของเหลวและของแข็งกันเลยทีเดียว
สำหรับ แท่นเทียบมาตราวัด (Mensa Ponderaria) ที่เราเห็นนั้นเป็นตัวจำลองที่สร้างขึ้นมาใหม่ โดยของจริงถูกเอาไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติเนเปิลส์ (National Archaeological Museum of Naples) ส่วนใครที่เห็นหน้าตาของเค้าแล้วแอบงงว่าเจ้าแท่นหินมีรูๆ นี่มันใช้งานยังไง จริงๆ แล้วมันคือ ‘เครื่องเทียบมาตรฐาน’ ของทางการในยุคนั้นที่เอาไว้ป้องกันพ่อค้าแม่ค้าขี้โกงในตลาด โดยหลุมแต่ละขนาดบนแท่นคือขนาดมาตรฐานของภาชนะที่ทางการกำหนดไว้ ถ้าเจ้าหน้าที่สงสัยว่าพ่อค้าคนไหนตวงของขายไม่เต็มจำนวน ก็จะเอาของจากพ่อค้ามาเทเทียบในหลุมนี้เลย ถ้าพร่องไปก็คือโดนจับได้ทันทีว่าโกง ถือเป็นระบบที่ฉลาดและตรงไปตรงมามาก
แต่เค้าว่ากันว่า แท่นเทียบมาตราวัด นี้ใช้มาตั้งแต่ก่อนยุคโรมันแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งยืนยันได้จากจารึก 3 บรรทัดบนแท่นที่เขียนด้วยภาษาออสกัน (Oscan) (โดยของจริงถูกลบออกไป เมื่อเมืองได้ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นอาณานิคมของโรมในปี 80 ก่อนคริสต์ศักราช) แต่ต่อมามีการปรับแท่นให้สอดคล้องกับระบบน้ำหนักและมาตราวัดแบบโรมัน จึงได้มีการจารึกอักษรใหม่บนแท่นและอยู่ยาวมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง ถือเป็นเครื่องวัดที่หน้าตาแปลกใหม่สำหรับก๊อตมากๆ
มาเซลลุม (Macellum) – ตลาดสดโบราณ
ไปต่อกันที่ มาเซลลุม (Macellum) – ตลาดสดโบราณ เป็นอาคารตลาดสดโบราณของเมืองปอมเปอีที่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 130-120 ก่อนคริสตกาล ด้วยหินทัฟฟ์ มีลักษณะเป็นเหมือนคูหาสี่เหลี่ยมล้อมรอบลานกลาง (Quadriporticus) โดยที่นี่ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1818, 1821 และ 1888 เมื่อเราเดินเข้ามา บริเวณฝั่งตะวันออกของอาคารจะถูกสร้างยกสูงขึ้นจากพื้น ซึ่งภายในทำเป็นห้องบูชาสำหรับทำพิธีกรรมต่างๆ พอเราได้เข้าไปสำรวจด้านในจะเจอกับรูปปั้นจำลองของเทพหญิง และชายติดอาวุธ รวมถึงชิ้นส่วนของรูปปั้นขนาดใหญ่อีกชิ้น ซึ่งเชื่อกันว่าอาจเป็นจักรพรรดิไทตัส (Titus) หรือเวสปาเซียน (Vespasian) ทำให้คนคิดกันว่า พื้นที่ตรงนี้เคยใช้สำหรับการเคารพบูชาจักรพรรดิในยุคนั้นก็เป็นไปได้
ส่วนบริเวณรอบๆ ของ มาเซลลุม เริ่มจากด้านซ้ายจะเป็นห้องประชุมของคณะกรรมการศักดิ์สิทธิ์ในยุคนั้น ถัดมาที่ด้านขวาเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีเคาน์เตอร์ก่ออิฐยกสูงขึ้นมา คาดว่าเคยใช้เป็นแผงขายปลานั่นเอง สำหรับบริเวณตรงกลางลานจะมีโครงสร้างกลมๆ ที่เรียกว่าโธลอส (Tholos) ซึ่งใช้สำหรับขายและทำความสะอาดปลา ส่วนฝั่งทิศใต้ของอาคารจะเรียงรายไปด้วยร้านค้า ทำให้ มาเซลลุม มันเป็นเหมือนเวิ้งตลาดที่คนสมัยก่อนมาค้าขายกัน ซึ่งหากใครเดินสำรวจอยู่ในนี้ นอกจากสารพัดสิ่งที่ก๊อตเล่าให้ฟัง อีกจุดที่น่าสนใจเลยคือ ผนังของระเบียงด้านใน (Porticoes) เพราะมันถูกตกแต่งไปด้วยภาพวาดมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่บอกเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การขายปลา การขายไก่ และฉากจากเทพปกรณัมต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เราได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตในยุคโรมันได้เป็นอย่างดีเลย
อาคารเอวมาเคีย (Building of Eumachia)
อาคารเอวมาเคีย (Building of Eumachia) ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของจัตุรัสฟอรัม (Forum) ที่ถูกขุดค้นพบในปี ค.ศ. 1814, 1817 และ 1836 ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดย เอวมาเคีย (Eumachia) นักบวชหญิงผู้รับใช้เทพีวีนัส (Venus) และมาจากตระกูลที่ร่ำรวยตระกูลหนึ่งของเมือง โดยอาคารนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับการเคารพบูชาจักรพรรดิในยุคสมัยนั้น
บรรยากาศบริเวณหน้าทางเข้าด้านนอก มีลักษณะเป็นระเบียงโค้ง ซึ่งเคยจัดแสดงรูปปั้นของบุคคลผู้มั่งคั่งและมีอิทธิพลในเมืองปอมเปอี ข้างๆ กันนั้นเคยมีจารึกสดุดีถึงวีรกรรมของ โรมิวลุส (Romulus) และ อีเนียส (Aeneas) ซึ่งเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานของโรมันอยู่ด้วย ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้น จารึกนี้ยังมีให้เห็นอยู่ในตำแหน่งเดิมเลย แต่ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปสำรวจภายใน ก๊อตขอเล่าให้ฟังก่อนว่า เดิมที บริเวณทางเข้านี้เคยมีกรอบประตูหินอ่อนแกะสลักลวดลายใบอะคันธัส (Acanthus) ที่แทรกด้วยภาพสัตว์นานาชนิดอยู่ด้วย แต่พอนักโบราณคดีเค้าตรวจสอบเข้าจริงๆ ปรากฏว่าประตูนี้ถูกนำมาจัดวางผิดที่ เพราะจริงๆ แล้ว มันเป็นของวิหาร Genius Augusti ที่อยู่ใกล้เคียงนั่นเอง
เอาล่ะ เดินเข้าไปดูด้านในกับก๊อตกันเลย โดยภายในอาคารเป็นระเบียงยาวสามด้านที่ล้อมลานโล่งๆ เอาไว้ ทางฝั่งตะวันออกที่มีระเบียงสั้นที่สุดนั้น มีห้องโถงทรงโค้ง (Exedra) อยู่สามห้อง ซึ่งห้องตรงกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด และเคยประดิษฐานรูปปั้นของเทพีคองคอร์เดีย (Concordia Augusta) แต่ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานโบราณคดีแห่งชาติเมืองเนเปิลส์ (Naples National Archaeological Museum) อีกด้วย ส่วนบริเวณด้านหลังระเบียงมีโถงทางเดินในร่ม (Covered Corridor) ซึ่งทอดยาวล้อมลานกว้างเอาไว้ทั้ง ตรงกลางของโถงนี้เคยมีรูปปั้นของเอวมาเคีย (Eumachia) ของจริงอยู่ แต่ปัจจุบันนี้ที่เราเข้ามาเจอนั้น เป็นเพียงรูปปั้นจำลองเท่านั้น เพราะของจริงแทบทุกอย่างในนี้ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์หมดแล้ว
ซึ่งมีข้อมูลระบุเอาไว้ว่า ในอดีตนั้น อาคารแห่งนี้ ถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนหลากสีอย่างงดงาม ถือเป็นอาคารที่สวยสับสุดๆ ในยุคโรมันเลย แต่ภายหลังเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด โครงสร้างและการตกแต่งส่วนใหญ่ก็ถูกทำลายลงเกือบทั้งหมด ทำให้เราได้แต่เดินส่องไปพร้อมกับจินตนาการเอาว่า ครั้งหนึ่งในอดีตนั้น ที่นี่คงจะยิ่งใหญ่ตระการตาขนาดไหนกันนะ
โคมีทิอุมและอาคารเทศบาลเมือง (Comitium and Municipal Buildings)
จากฟอรัม เดินมาทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ เราจะเจอกับอีกหนึ่งอาคารที่อลังการไม่แพ้กันกับ โคมีทิอุมและอาคารเทศบาลเมือง (Comitium and Municipal Buildings โดยที่นี่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล และถูกขุดค้นในปี ค.ศ. 1814 และ 1826 เดิมทีอาคารแห่งนี้เป็นสถานที่ใช้ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ต่อมาถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับนับคะแนนเสียงและประกาศรายชื่อผู้พิพากษาที่ได้รับเลือก ดังนั้น โคมีทิอุมและอาคารเทศบาลเมือง (Comitium and Municipal Buildings) จึงเป็นเหมือนอาคารในสมัยก่อนที่ถูกใช้สำหรับงานทางการเมืองของชาวปอมเปอี ซึ่งจากที่ก๊อตเดินเล่นๆ อยู่ในนี้ บอกได้เลยว่า ในยุคที่เค้ายังไม่พังทลายลงมานั้น มันคงเว่อร์วังฟีลเหมือนอาคารรัฐสภาในปัจจุบันนี้แน่นอน
ย่านบ้านเรือนและย่านบันเทิง (โซน Regio VI)
โรงอาบน้ำสตาเบียน (Stabian Baths)
ไปต่อกันที่ โรงอาบน้ำสตาเบียน (Stabian Baths) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ถือเป็นหนึ่งในโรงอาบน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในโลกโรมัน เท่าที่มีหลักฐานมาจนถึงปัจจุบันเลย โดยที่นี่ถูกขุดค้นในปี ค.ศ. 1853-1857 และ 1865 บริเวณทางเข้าหลักของเค้าจะอยู่ติดกับถนน Via dell’Abbondanza ที่พอเดินเข้ามาแล้ว เราจะเจอเข้ากับลานกว้างกลางอาคาร โดยบริเวณด้านซ้ายของลานเป็นที่ตั้งของสระน้ำกลางแจ้งที่ยังหลงเหลือร่องรอยให้เราได้เห็นว่าครั้งหนึ่ง ที่นี่เคยทำหน้าที่เป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้เข้ามาอาบน้ำ ส่วนด้านขวาเป็นโถงทางเดินที่นำเข้าสู่โซนของผู้ชาย ซึ่งจะมีห้องสำคัญต่างๆ ได้แก่ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า, ห้องอาบน้ำเย็น, ห้องอาบน้ำอุ่น และห้องอาบน้ำร้อน ว่ากันว่า ในยุคนั้น ระบบทำความร้อนภายในโรงอาบน้ำถือว่าทันสมัยมากที่สุดเลยทีเดียว โดยเค้าจะเลือกใช้ท่อส่งอากาศร้อนผ่านผนังและใต้พื้น ซึ่งความร้อนจะไหลเวียนมาจากเตาเผาและเตาเคลื่อนที่ ช่วยทำให้ห้องต่างๆ อุ่นตลอดเวลา
ส่วนห้องอาบน้ำฝั่งของผู้หญิงซึ่งอยู่ติดกัน ก็มีผังการใช้งานแบบเดียวกันเป๊ะ คือมีทั้ง ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำอุ่น และอาบน้ำร้อน แต่ที่ต่างคือ ฝั่งของผู้หญิงจะมีขนาดเล็กและตกแต่งน้อยกว่าอย่างชัดเจน โดยผู้หญิงจะมีทางเข้าแยกเป็นของตัวเอง อยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของลาน ซึ่งเปิดออกสู่ ถนน Via del Lupanare บนทางเข้ามีป้ายคำว่า “Mulier” ซึ่งแปลว่าผู้หญิง ติดเอาไว้ แสดงให้เห็นถึงการแยกพื้นที่ระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมโรมันโบราณ นอกจากนี้ ตามห้องต่างๆ ที่เราเดินดูอยู่ในนั้น ยังมีรูปหล่อปูนปลาสเตอร์ของชาวปอมเปอีในท่วงท่าต่างๆ จัดแสดงอยู่ในตู้กระจกใสให้เราได้เห็นถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชาวบ้านในตอนที่ภูเขาไฟวิสุเวียสปะทุอีกด้วย
ซ่องโบราณแห่งปอมเปอี (Lupanare)
มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของปอมเปอี ซ่องโบราณแห่งปอมเปอี (Lupanare) ที่คนมาต่อแถวรอเข้าไปชมด้านในกันแบบล้นหลาม ความพิเศษของที่นี่คือ เป็นซ่องโบราณแห่งเดียวที่ขุดค้นพบภายในเมือง โดยชื่อของที่นี่มาจากคำว่า “Lupa” ในภาษาละติน ซึ่งแปลตรงตัวว่า “โสเภณี” นั่นเอง สำหรับ ซ่องโบราณแห่งปอมเปอี ถูกขุดค้นในปี ค.ศ. 1862 ตัวซ่องเป็นอาคาร 2 ชั้น ซึ่งชั้นแรกที่เราเข้ามานั้น จะเป็นโซนทำงานของสาวๆ ภายในมีห้องเล็กๆ จำนวน 5 ห้อง ตั้งขนาบสองข้างของทางเดิน ซึ่งแต่ละห้องพื้นที่ด้านในไม่ได้กว้างมากนัก มุมห้องด้านในมีเตียงปูนก่อแบบถาวรยกขึ้นจากพื้นเพื่อใช้สำหรับรับแขก และมีม่านผ้าปิดแทนประตูเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวแบบเบาๆ ส่วนด้านในสุดของทางเดินจะเป็นห้องส้วมรวม (Latrina) ตั้งอยู่ใต้บันได ส่วนบริเวณชั้นสอง จะถูกทำเป็นห้องพักอาศัยของเจ้าของซ่อง และทาสต่างๆ ที่ดูแลซ่องในสมัยนั้น
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
และไฮไลท์ของซ่องแห่งนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่ภาพวาดบนผนังทางเดินกลางของอาคารที่สื่อถึงท่วงท่าในการทำกิจกรรมภายในห้องต่างๆ ฟีลเหมือนเป็นใบเมนูให้ลูกค้าเค้าได้เลือกเลยว่าจะใช้บริการแบบไหน คือก๊อตมองแล้วได้แต่เอ้อ! การตลาดในยุคโรมันนี่เรียลและฮาร์ดคอเหมือนกันนะ ซึ่งก๊อตไปหาข้อมูลมาให้เพิ่มเติมที่มีเขียนเอาไว้ในเว็บทางการของปอมเปอีว่า หญิงบริการที่ทำงานในนี้นั้น ส่วนใหญ่เป็นทาสที่มาจากกรีกและตะวันออกกลาง ซึ่งพวกเธอได้รับค่าจ้างเพียง 2-8 แอสเซส (Asses) ต่อครั้ง ซึ่งเมื่อเทียบค่าเงินในสมัยนั้นถือว่าน้อยมาก สามารถเทียบเคียงกับราคาไวน์หนึ่งแก้วในตอนนั้นได้เลยล่ะ เอาเป็นว่าใครอยากเปิดโลกโสเภณียุคโรมันก็เดินเข้ามาชมกันได้
บ้านแห่งหมีบาดเจ็บ (House of The Wounded Bear)
มากันที่ บ้านแห่งหมีบาดเจ็บ (House of The Wounded Bear) ที่สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 1 หลังคริสตกาล และถูกขุดค้นในปีค.ศ. 1865-1868 ซึ่งชื่อของเค้านั้น ได้มาจากภาพโมเสกของหมีบาดเจ็บ ที่หากเรายืนส่องจากด้านนอกเข้ามานั้น จะเจอเจ้าหมีอยู่บริเวณพื้นทางเข้า ข้างๆ กับคำว่า HAVE ซึ่งเป็นคำทักทายแขกผู้มาเยือนของเจ้าของบ้านในสมัยนั้น ซึ่งก๊อตต้องบอกก่อนว่า บ้านหลังนี้เค้าไม่ได้เปิดให้เข้าชมด้านในนะ เราเลยได้แต่เก็บบรรยากาศจากด้านนอกมาให้ชมเท่านั้น
แต่กว่าจะมีเป็น บ้านแห่งหมีบาดเจ็บ (House of The Wounded Bear) ก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 2016 ทั้งบ้านได้ถูกบูรณะครั้งใหญ่ โดยบ้านหลังนี้ นอกจากจะมีรูปหมีให้ได้ชมแล้ว ที่นี่ยังเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของบ้าน ที่เต็มไปด้วยภาพวาดฝาผนังอันประณีตและงดงามที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 1 อย่างในห้องรับประทานอาหาร (Triclinium) จะมีภาพวาดเล็กๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ ดานาเอ (Danae) และเพอร์ซิอุส (Perseus) รวมถึงตำนานของนาร์ซิสซัส (Narcissus) ได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย ส่วนลานเล็กๆ กลางบ้าน ข้อมูลระบุว่า มีการค้นพบภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่ที่เป็นฉากสวนสวยๆ ส่วนตรงกลางภาพมีน้ำพุโมเสกสีสดรูปเทพีวีนัสเอนกายในเปลือกหอย พร้อมด้วยเทพเจ้าเนปจูนอยู่ด้านล่าง ท่ามกลางฉากใต้ท้องทะเลที่เต็มไปด้วยฝูงปลาและสัตว์ต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นเลยว่าเจ้าของบ้านหลังนี้มีรสนิยมทางศิลปะที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
ย่านโรงละครและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ (โซน Regio VIII)
จัตุรัสสามเหลี่ยม (Triangular Forum)
มาต่อที่ จัตุรัสสามเหลี่ยม (Triangular Forum) ที่ตั้งอยู่บนแนวสันเขาหินลาวา ทำให้เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นหุบเขาและปากแม่น้ำซาร์โน (Sarno River) ได้อย่างชัดเจน โดยจตุรัสแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง โดยมีประวัติย้อนไปถึงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว ซึ่งเค้าขุดค้นพบที่นี่ในช่วงปี ค.ศ. 1765, 1767-1768, 1813, 1899, 1905, 1931 และ 1981-1996 นั่นเอง
สำหรับการเดินเที่ยวชมในนี้ เราสามารถเดินเข้าสู่จัตุรัสแห่งนี้ได้จากถนนของโรงละคร (Via dei Teatri) โดยจะเจอกับโถงทางเดินที่มีเสาหินเรียงราย 6 ต้น ให้ฟีลโอ่อ่ายิ่งใหญ่มาก นั่นหมายความว่าเรามาถึงแล้ว โดยบริเวณด้านหน้าของจตุรัสจะมีน้ำพุตั้งอยู่เป็นจุดนำสายตา ให้ทุกคนเดินเข้ามาด้านในได้เลย เราจะพบกับระเบียงเสา (Portico) ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ล้อมรอบพื้นที่ของวิหารแบบดอริก (Doric Temple) อยู่ และพอเดินมาตามบันไดที่นำเราขึ้นไปสู่วิหาร จะพบกับพื้นที่หนึ่งที่มีรั้วสองชั้นล้อมเอาไว้ ซึ่งเหล่านักขุดค้น และนักโบราณคดี ต่างพากันตีความไปว่า มันคือ สุสานของเฮราคลีส (Heracles) ผู้ก่อตั้งเมืองปอมเปอีนั่นเอง นอกจากนี้ ฝั่งตะวันออกของพื้นที่ยังมีสนามกรีฑาโบราณ (Samnite Palaestra) ซึ่งเป็นพื้นที่ฝึกกีฬาที่คนเค้าใช้งานกันในยุคสมัยก่อนอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นจตุรัสอันยิ่งใหญ่ของปอมเปอีเลยก็ว่าได้
โรงละครใหญ่ (Large Theatre)
โรงละครใหญ่ (Large Theatre) แห่งปอมเปอี เป็นอีกหนึ่งจุดที่ที่ก๊อตรู้สึกว่าคนยุคนั้นฉลาดและอะเมซิ่งมาก เพราะโรงละครใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นโดยใช้ประโยชน์จากความลาดชันของเนินเขาตามธรรมชาติ มาสร้างเป็นอัฒจันทร์สำหรับคนดูตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในยุคอาณาจักรโรมันให้กลายเป็นโรงละครสไตล์โรมันแท้ๆ โดยหนึ่งในหลักฐานที่โดดเด่นของที่นี่ คือจารึกที่ยังคงปรากฏอยู่ที่ทางเข้าด้านตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักฐานหายากที่กล่าวถึงชื่อ มาร์คัส อาร์โทเรียส พรีมัส (Marcus Artorius Primus) สถาปนิกผู้ดูแลงานบูรณะในยุคจักรพรรดิออกุสตุสนั่นเอง นอกจากนี้ โรงละครใหญ่ (Large Theatre) ยังเป็นอาคารสาธารณะขนาดใหญ่แห่งแรกของปอมเปอีที่ได้รับการขุดค้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1764–1765, 1767–1769, 1773, 1789, 1791–1794, 1902 และ 1951 ซึ่งปัจจุบันนี้ โรงละครได้พ้นจากเถ้าถ่านของภูเขาไฟอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
บรรยากาศภายในหลังจากเดินเข้ามา เราจะเจอกับโครงสร้างบันไดที่นั่งของผู้ชม ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก โดยแต่ละส่วนจะถูกแบ่งย่อยออกไปอีก 5 โซนย่อย และมีทางเดินเชื่อมแต่ละโซนอยู่ภายในโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นอุโมงค์โค้งแบบ Barrel Vault ซึ่งการปรับปรุงในยุคโรมันนั้น มีการปรับมาใช้ผ้าใบขนาดใหญ่ครอบคลุมเวทีการแสดง เพื่อใช้บังแดดในวันที่อากาศร้อน และยังมีการระบุเลขที่นั่งสำหรับผู้ชมอย่างเป็นระบบอีกด้วย โดยโรงละครแห่งนี้ใช้จัดแสดงละครตลกและละครโศกนาฏกรรมในแนวประเพณีกรีก-โรมัน ซึ่งของจริงที่เราเข้าไปชมนั้น โอ่อ่ากว้างขวาง เหมือนอยู่ในลานอัฒจันทร์ที่ครั้งหนึ่ง ก๊อตคิดว่าคงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความครื้นเครงอย่างแน่นอน
ลานจัตุรมุข หรือ ค่ายกลาดิเอเตอร์ (Quadriporticus / Gladiators Barracks)
ด้านหลังฉากของโรงละครใหญ่ จะมีลานกว้างขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยเสาหินสีเทาแบบโดริก 74 ต้น บริเวณนี้คือ ลานจัตุรมุข หรือ ค่ายกลาดิเอเตอร์ (Quadriporticus / Gladiators Barracks) ซึ่งเดิมที ที่นี่เป็นเหมือนพื้นที่พักผ่อนให้ผู้ชมได้ออกมาเดินเล่นในช่วงพักการแสดงละคร แต่หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 62 ที่นี่ก็ได้เปลี่ยนหน้าที่กลายเป็นค่ายทหารและที่พักของเหล่านักสู้กลาดิเอเตอร์แทน ส่งผลให้บางส่วนของอาคารได้รับการจัดระเบียบใหม่ ว่ากันว่าห้องชั้นบนที่เรายังคงมองเห็นอยู่นี้ อาจเป็นห้องพักของเจ้าหน้าที่รับจัดงานศพของกลาดิเอเตอร์ก็เป็นได้
นอกจากนี้ บริเวณ ลานจัตุรมุข หรือ ค่ายกลาดิเอเตอร์ (Quadriporticus / Gladiators Barracks) ยังพบอาวุธล้ำค่าที่ใช้ในขบวนพาเหรดก่อนการสู้รบที่ถูกเก็บเอาไว้ในกล่องไม้ 2 กล่อง อีกทั้งยังพบเหยื่อจำนวนมากที่นี่ ทั้งโครงกระดูกทาส 4 โครง, โครงกระดูกชาย 18 โครง รวมถึงผู้หญิงที่มีอัญมณีสะสมไว้มากมายอีกด้วย ซึ่งของมีค่าเหล่านี้ถูกเอาไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แล้วเช่นกัน
ย่านคฤหาสน์หรูหรา (โซน Regio VI, IX)
บ้านของกวีโศกนาฏกรรม (House of the Tragic Poet)
เดินมาอีกไม่ไกล ก๊อตก็มาโผล่กันที่ บ้านของกวีโศกนาฏกรรม (House of the Tragic Poet) บ้านหลังนี้ถูกขุดค้นในปี ค.ศ. 1824-1825 และเป็นตัวอย่างแบบดั้งเดิมของบ้านสไตล์แอเทรียม (Atrium House) ที่สมบูรณ์ขั้นสุด อีกทั้งยังโด่งดังระเบิดจากภาพโมเสกที่มีข้อความว่า “CAVE CANEM” ที่แปลว่า “ระวังหมาดุ” ซึ่งประดับอยู่ที่ทางเข้าหลักของบ้านอีกด้วย ปัจจุบันโมเสกชิ้นนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้ภายใต้แผ่นกระจกเพื่อป้องกันความเสียหาย แต่หากเราเดินเข้ามาก็จะเจอเจ้าตูบสีดำหน้าโหดๆ ต้อนรับอยู่นั่นเอง
ซึ่งพอเดินเข้ามาจากทางเข้า มันจะเป็นเส้นทางด้านข้างที่นำเราตรงไปสู่ลานกลางแจ้งแบบมีเสาค้ำ (Peristylium) ส่วนห้องแอเทรียม (Atrium) และห้องทับลินัม (Tablinum) หรือ ห้องทำงานของเจ้าของบ้าน ภายในตกแต่งด้วยงานโมเสกอย่างประณีต โดยหนึ่งในนั้นคือภาพโมเสกรูปนักแสดงกำลังเตรียมตัว ซึ่งนี่แหละคือที่มาของชื่อ ‘บ้านของกวีโศกนาฏกรรม’ หลังนี้
ไฮไลท์อีกจุดคือห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งอย่างประณีตด้วยภาพวาดขนาดใหญ่จากตำนานกรีก ที่เด็ดๆ เลยคือภาพ อะเรียดเน่ (Ariadne) ที่ถูก ธีเซอุส (Theseus) ทอดทิ้ง และภาพ การขายคิวปิด (Sale of Cupids) บนผนังฝั่งตรงข้าม ซึ่งถือเป็นภาพวาดสุดป๊อบในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ยังไม่หมดเท่านั้น บริเวณลานเพอริสไตเลียมยังมี หิ้งบูชาเล็กๆ (Aedicula) ซึ่งเป็น ลาเรเรียม (Lararium) หรือแท่นบูชาภายในบ้านที่คนเค้าใช้สำหรับสักการะเทพคุ้มครองประจำบ้าน (Lares) ซึ่งพบได้แทบทุกหลังในปอมเปอี โดยโมเสกและภาพเขียนต้นฉบับ ที่พบในบ้านหลังนี้ ปัจจุบันได้รับการจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานโบราณคดีแห่งชาติเมืองเนเปิลส์ (National Archaeological Museum of Naples) ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ทุกภาพที่เราเห็น เค้าจำลองขึ้นมาจ้า ใครชื่นชอบงานโมเสก แม้จะไม่ได้ยลโฉมของจริง แต่ก็ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบเข้าถึงแก่นแท้ของเค้า แนะนำให้เดินเข้ามาในนี้ด้วยนะ
บ้านของฟอน (House of the Faun)
บ้านของฟอน (House of the Faun) บ้านหลังนี้ถือเป็นหนึ่งในบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปอมเปอี โดยกินพื้นที่ทั้งบล็อกกว่า 3,000 ตารางเมตรจากแผนผังเดิมคาดว่าบ้านนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ซึ่งแค่เราได้เดินผ่านหน้าบ้านก็สัมผัสได้ถึงความมั่งคั่งและสถานะทางสังคมของเจ้าของบ้านในยุคนั้นกันแล้ว
บ้านหลังนี้ถูกขุดค้นในปี ค.ศ. 1829-1833, 1900, 1960-1962 โดยไฮไลท์เริ่มกันตั้งแต่พื้นทางเข้าหน้าบ้านด้วยข้อความต้อนรับเป็นภาษาละตินว่า “HAVE” แปลว่า “ขอให้สุขสันต์” ประดับอยู่ซึ่งเป็นกิมมิคที่น่ารักมาก ส่วนประตูทางเข้าบ้านขนาดมหึมาขนาบข้างด้วยเสาสไตล์โรมันที่มีลวดลายวิจิตรงดงาม และพอเราก้าวเท้าเข้ามาด้านใน ก็สัมผัสได้ถึงความฟู่ฟ่าในอดีตผ่านพื้นทางเข้าที่ตกแต่งด้วยหินอ่อนหลากสีอย่างประณีต ทั้งเหลือง เขียว แดง และชมพู จัดวางแบบ Opus Sectile ซึ่งเป็นเทคนิคศิลป์หรูหราในยุคโรมัน
และหากเรามองขึ้นไปยังสองฝั่งของผนังด้านบน จะได้เสพกับงานประติมากรรมรูปวิหารขนาดเล็ก (Temple Relief) ที่ทำหน้าที่เป็น ลาเรเรียม (lararium) หรือสถานที่บูชาเทพคุ้มครองประจำบ้านอยู่อีกด้วย ส่วนแปลนบ้านนั้น ถูกแบ่งออกเป็น 2 โถงแอเทรียม (Atrium) และ 2 ลานเพอริสไตเลียม (Peristylium) โดยห้องต่างๆ จะกระจายตัวอยู่รอบลานกลางของแต่ละโซน ซึ่งแบ่งเป็นห้องรับรองสุดหรู, ห้องใช้สอยของครอบครัว, และห้องสำหรับคนรับใช้ ความเว่อร์วังยังไม่หมดเท่านี้ เพราะภายในโถงแอเทรียมหลัก ยังมีรูปปั้นฟอนเต้นรำ (Dancing Faun) ตั้งอยู่ตรงกลางสระรับน้ำฝน (Impluvium) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อของบ้านหลังนี้อีกด้วย โดยเชื่อกันว่าเจ้าของบ้านมีนามสกุลว่า ซาตริอิ (Satrii) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับฟอนในตำนาน
ไฮไลท์ของบ้านหลังนี้เลยก็คือ โมเสกอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander Mosaic) ซึ่งเป็นภาพการต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างอเล็กซานเดอร์มหาราชกับกษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซียที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลกตะวันตก โดยโมเสกนี้ตั้งอยู่ภายในห้องนั่งเล่น (Exedra) แน่นอนว่าปัจจุบันนี้ ภาพโมเสกต้นฉบับและรูปปั้นฟอน ถูกจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานโบราณคดีแห่งชาติเมืองเนเปิลส์ (National Archaeological Museum of Naples) ส่วนที่เราเดินชมในบ้านตอนนี้คือ ของจำลองที่ทำขึ้นเพื่อให้เราได้ฟีลเหมือนย้อนยุคกลับไปในอดีตนั่นเอง
บ้านของมาร์คุส ลูเครติอุส บนถนนเวีย สตาเบียนา (House of Marcus Lucretius in via Stabiana)
มาที่โซน IX ที่อยู่ใจกลางแผนที่ของปอมเปอี โดยบริเวณที่ก๊อตมานั้น คือ บ้านของมาร์คุส ลูเครติอุส บนถนนเวีย สตาเบียนา (House of Marcus Lucretius in via Stabiana) บ้านหลังใหญ่ที่เค้าขุดค้นในช่วงปี ค.ศ. 1846-1845, 1851 และ 2002-2005 ซึ่งถ้าใครเดินเข้ามาแล้ว อาจสังเกตเห็นได้ว่าแปลนบ้านมีความไม่สมมาตรกัน เนื่องจากบ้านหลังนี้ในอดีต เป็นบ้าน 2 หลังที่แยกกันมาก่อน จากนั้นจึงถูกรวมตัวกันในภายหลัง โดยมีลานกลางบ้านสองแห่งตั้งฉากกัน และอยู่คนละระดับความสูงอีกด้วย
เดินเข้ามาภายในบ้าน ก๊อตจินตนาการได้เลยว่า ในสมัยที่เมืองยังมีคนอยู่อาศัยนั้น จะต้องเป็นบ้านที่โอ่อ่าเอาเรื่อง ด้วยภายในห้องต่างๆ ที่เราสามารถเดินเข้าออกแล้วทะลุมายังลานกลางบ้านได้นั้น ล้วนเต็มไปด้วยจิตรกรรมฉากเทพปกรณัม ซึ่งเป็นงานศิลปะคุณภาพสูงในช่วงปลายของยุคปอมเปอี บ่งบอกได้เลยว่าคนที่เคยอยู่ที่นี่ค่อนข้างมีฐานะนั่นเอง
สำหรับไฮไลท์ของบ้านหลังนี้ คือบริเวณสวนเล็กๆ ที่ถูกยกให้สูงขึ้นและสามารถมองเห็นได้จากลานกลางบ้าน ภายในสุดของสวนมีน้ำพุหินอ่อนตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งเราสามารถมองเห็นได้ชัดตั้งแต่เดินเข้ามาในตอนแรกเลย ซึ่งน้ำพุอันนี้เดิมทีเคยประดิษฐานรูปปั้นไซลีโนส (Silenus) หรือเทพเจ้าแห่งธรรมชาติอีกด้วย ลองจินตนาการดูว่าถ้าปอมเปอียังคงรุ่งเรืองและไม่ถูกทำลายลง น้ำพุเล็กๆ ในสวนแห่งนี้คงเป็นมุมโปรดที่ช่วยจรรโลงใจให้กับคนในบ้านได้ดีมากแน่ๆ ซึ่งก๊อตก็เดินส่องกันจนหนำใจ จากนั้นเราก็เดินไปต่อยังโซนถัดไปเลย
ย่านตะวันออก (โซน Regio I, II)
บ้านเมนานเดอร์ (House of the Menander)
หากใครอยากสัมผัสความอลังการของบ้านพักชนชั้นสูงในปอมเปอี ก๊อตแนะนำให้เดินมาต่อที่ บ้านเมนานเดอร์ (House of the Menander) ในโซน Regio I ได้เลย ที่นี่คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของที่พักอาศัยสำหรับครอบครัวระดับท็อปในยุคโรมัน โดยนักโบราณคดีขุดพบบ้านหลังนี้ในช่วงปี ค.ศ. 1928, 1930 และ 1932 ภายในบ้านมีการก่อสร้างที่ซับซ้อนบ่งบอกว่าใช้เวลาในการสร้างนานหลายช่วงเวลา ส่วนที่มาของชื่อ “บ้านเมนานเดอร์” ก็ตรงตัวเลย จากการค้นพบภาพเขียนของ เมนานเดอร์ (Menander) นักเขียนบทละครชาวเอเธนส์ ผู้มีชื่อเสียงในยุคกรีกโบราณ อยู่ตรงระเบียงทางเดินพอดิบพอดี แค่นี้ก็บอกได้เลยว่าเจ้าของบ้านตัวจริงคงจะอู้ฟู่ไม่เบาเลยล่ะ
หลังจากเราเดินเข้ามาด้านในบ้านแล้ว โซนแรกที่ได้เห็นคือ ห้องโถงกลางที่ตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวจากมหากาพย์ อีเลียด และ โอดิสซีย์ ของโฮเมอร์ ให้ได้ดื่มด่ำกับแบบหนำใจ ต่อมาเป็นส่วนลานกลางบ้าน ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นทรงโรเดียมที่ฝั่งทิศเหนือของลานนั้น ถูกยกสูงกว่าด้านอื่น แต่ที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็คือ ภายในบ้านมีห้องอาบน้ำขนาดเล็ก รวมถึงห้องใต้ดิน ที่คาดว่าอาจเคยใช้เป็นห้องเก็บไวน์หรือห้องเก็บของมาก่อน ซึ่งตอนที่เค้าขุดค้นกันนั้น ภายในพบกล่องที่บรรจุเครื่องเงินถึง 118 ชิ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของครอบครัวที่เจ้าของซ่อนเอาไว้ โดยชุดเครื่องเงินเหล่านี้มีทั้งภาชนะสำหรับเสิร์ฟไวน์ รวมถึงจานและถ้วยที่ใช้ในงานเลี้ยงต่างๆ แน่นอนว่าปัจจุบันทั้งหมดจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานโบราณคดีแห่งเนเปิลส์ (National Archaeological Museum of Naples) เป็นที่เรียบร้อย
และหากใครเดินลึกเข้าไปยังด้านทิศใต้ของบ้าน มันจะมีเส้นทางพาเราไปสู่พื้นที่หลังบ้าน ซึ่งมีการจัดแสดง รถลากโบราณที่โคตรจะสมจริง ฟีลรถไม้ลากในหนังสมัยเก่าที่เราเคยเห็น แต่อันนี้ถูกบูรณะขึ้นใหม่ไม่ใช่ของออริจินะ คือ บ้านเมนานเดอร์ (House of the Menander) นี่เรียกได้ว่าบ้านเศรษฐีตัวจริง เสียงจริงเลยทีเดียว โดยคนเค้าเชื่อกันว่าเศรษฐีที่ว่านั้น คือ ควินตัส ปอปพีอุส ซาบินุส (Quintus Poppaeus Sabinus) แห่งตระกูลปอมเปอี ซึ่งเป็นญาติของจักรพรรดินี ปอปเปีย ซาบินา (Poppea Sabina) ภรรยาคนที่สองของจักรพรรดิเนโรนั่นเอง
บ้านเรือยุโรป (House of the Europa Ship)
ไปกันต่อที่ บ้านเรือยุโรป (House of the Europa Ship) บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักอาศัย ก่อนจะถูกดัดแปลงให้เป็นสถานที่ทำธุรกิจทางด้านเกษตรกรรม โดยนักโบราณคดีได้ขุดค้นพบบ้านหลังนี้ในปี ค.ศ. 1951-1961, 1972-1973 และ 1975 ซึ่งชื่อของบ้านที่เค้าเรียกกันในปัจจุบันนี้ มาจากภาพกราฟฟิตี้บนผนังทางเหนือของลานกลางบ้าน แสดงให้เห็นถึงภาพรูปเรือบรรทุกสินค้าลำใหญ่ชื่อ “Europa” จอดอยู่ท่ามกลางเรือขนาดเล็ก คนเค้าเลยตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่า House of the Europa Ship แบบตรงๆ ตัวไปเลย
นักโบราณคดีที่ค้นพบ บ้านเรือยุโรป (House of the Europa Ship) เชื่อกันว่า ภายในสวนขนาดใหญ่ของบ้านหลังนี้เคยเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่คึกคักมาก่อน ทั้งถั่ว หอมใหญ่ กะหล่ำปลี และไม้ผลหลากหลายชนิด อีกทั้งยังมีห้องที่ใช้ทำเป็นคอกไว้เลี้ยงสัตว์อีกด้วย ซึ่งแม้ว่าบ้านหลังนี้จะแปรเปลี่ยนมาใช้งานทางด้านการเกษตร แต่จากสถาปัตยกรรมที่ค้นพบ ยังเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดีเลยว่า ในอดีตบ้านหลังนี้คงจะฟู่ฟ่าอยู่ไม่น้อย เพราะเรายังสังเกตเห็นได้จาก เสาแบบมอนูเมนทัลในลานกลางบ้าน และลวดลายตกแต่งบนผนังที่ยังปรากฏอยู่บางส่วน ซึ่งบ้านตาสีตาสาในยุคนั้น เค้าไม่แต่งบ้านเว่อร์ขนาดนี้ไง
สำหรับไฮไลท์อีกจุดของ บ้านเรือยุโรป (House of the Europa Ship) คือการตกแต่งผนังด้วยปูนปั้นลายก่ออิฐหลอก (Imitation Masonry) สีสันสดใส และเสาครึ่งต้น (Semi-Columns) ที่ด้านบนของผนัง ซึ่งเป็นศิลปะแบบกรีกโบราณที่ได้รับความนิยมในช่วงศตวรรษที่ 3-2 ก่อนคริสตกาล ถือเป็นศิลปะที่พบได้น้อยมากในปอมเปอี ดังนั้น ใครเดินเข้ามาสำรวจแล้ว อย่าลืมมองหาผนังมุมนี้กันด้วย เพราะของจริงนั้นยังอลังการอยู่เลย
สวนแห่งผู้หลบหนี (Garden of the Fugitives)
อีกหนึ่งจุดที่สะเทือนใจที่สุดในปอมเปอีที่กลายเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจอย่างชัดเจนถึงโศกนาฏกรรมจากการปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียส คือบริเวณ สวนแห่งผู้หลบหนี (Garden of the Fugitives) โดยที่นี่เป็นจุดพบรูปหล่อปูนปลาสเตอร์ของผู้เสียชีวิตจำนวน 13 ราย ภายในสวนองุ่นโบราณที่เชื่อกันว่า เคยเป็นไร่องุ่นสำหรับทำไวน์ของชาวปอมเปอีในอดีต
แม้พื้นที่นี้จะถูกขุดค้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1748 แต่เพิ่งจะได้รับการตั้งชื่อว่า สวนแห่งผู้หลบหนี (Garden of the Fugitives) ในปี ค.ศ. 1961 และนับเป็นหนึ่งในการค้นพบที่ทั้งน่าทึ่งและน่าหดหู่ของทีมโบราณคดีในขณะนั้น เพราะร่างของชาย หญิง และเด็กเล็กถึง 13 ชีวิตนั้น ถูกพบในตำแหน่งที่พวกเค้าน่าจะกำลังพยายามหนีเอาชีวิตรอดจากการปะทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟวิสุเวียส ทั้งเถ้าภูเขาไฟ หิน และก๊าซพิษร้อนระอุ แผ่ปกคลุมเมืองอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ที่กำลังวิ่งหนีผ่านเถ้าที่ทับถมสูงกว่า 3 เมตร สุดท้าย พวกเค้าหนีไม่รอดและเสียชีวิตลงในท่วงท่าสุดท้ายพร้อมกัน
โดยร่างของผู้เสียชีวิตเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นใหม่ในรูปแบบของรูปหล่อปูนปลาสเตอร์ด้วยเทคนิคที่คิดค้นโดย จูเซปเป ฟิออเรลลี (Giuseppe Fiorelli) ผู้อำนวยการขุดค้นในเวลานั้น โดยเค้าได้สังเกตโพรงที่เกิดจากร่างกายที่ย่อยสลายไปใต้เถ้าภูเขาไฟ จึงได้ฉีดปูนปลาสเตอร์เหลวลงในโพรงเหล่านั้น และเมื่อปูนปลาสเตอร์แข็งตัว มันก็กลายเป็นรูปหล่อที่แสดงรูปร่าง เสื้อผ้า และแม้แต่สีหน้าแห่งความเจ็บปวดในวาระสุดท้ายของผู้เสียชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ โดยร่างเหล่านี้ถูกจัดแสดงเอาไว้ในตู้กระจกใสติดกับพื้นที่สวน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นไร่องุ่นมาก่อน เนื่องจากบริเวณพื้นดินนั้นอุดมสมบูรณ์เพราะเป็นดินภูเขาไฟ ชาวเมืองปอมเปอีในยุคนั้นจึงนิยมปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์และใช้สวนแห่งนี้เป็นลานจัดเลี้ยงกลางแจ้ง โดยเราจะยังได้เห็นซุ้มต่างๆ รวมถึงแนวรั้วที่สร้างจากไม้และหิน ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษในการก่อสร้างของชาวเมืองเมื่อครั้งอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
ตอนที่ก๊อตไปนั้น เค้ามีการปลูกต้นองุ่นท่ามกลางแนวรั้วไม้ที่มีเอาไว้ให้ต้นองุ่นได้เลื้อยและเติบโต รายล้อมไปด้วยแนวกำแพงหินขนาดใหญ่ ที่แม้จะพังไปตามกาลเวลา แต่เราก็ยังสามารถจินตนาการได้ว่า เมื่อครั้งในอดีตนั้น แนวรั้วเหล่านี้มันคงยิ่งใหญ่ และเต็มไปด้วยต้นองุ่นที่ปลูกกันมากมาย ถือเป็นอีกจุดที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสะเทือนใจ ทว่าในเวลาเดียวกัน เราก็ได้เรียนรู้ว่าวัฒนธรรมการปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์นั้น มีมาตั้งแต่ยุคของปอมเปอีแล้วนั่นเอง
บ้านของ จูเลีย เฟลิกซ์ (House of Julia Felix)
ย้อนกลับไปตอนที่เมืองปอมเปอีเผชิญกับเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 62 ตอนนั้นบ้านเรือนเสียหายกันไปถ้วนหน้า โรงอาบน้ำสาธารณะที่เคยเป็นพื้นที่พักผ่อนของผู้คนก็ได้รับผลกระทบจนต้องปิดซ่อมแซม ท่ามกลางวิกฤตในเวลานี้เอง ก็มีหญิงสาวเจ้าของบ้านหลังใหญ่นามว่า จูเลีย เฟลิกซ์ (Julia Felix) กลับมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เธอเลยปิ๊งไอเดียสุดปัง ด้วยการเปิดบ้านของตัวเองให้เช่า พร้อมปรับพื้นที่บางส่วนให้กลายเป็นโรงอาบน้ำให้คนมาใช้บริการกันซะเลย ภายใต้ชื่อที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่า บ้านของ จูเลีย เฟลิกซ์ (House of Julia Felix) นั่นเอง
จูเลีย เฟลิกซ์ (Julia Felix) เรียกได้ว่าเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่คนในสมัยนั้นเรียกกันว่า Praedia ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยด้านในมีครบทุกอย่างทั้ง บ้านพักแบบโรมันสุดหรู (Domus) ที่มีอาเทรียมแบบทัสกัน (Tuscan Atrium) หรือโถงกลางบ้านแบบเปิดโล่งตรงกลางเพื่อรับแสงธรรมชาติและช่วยระบายน้ำฝนได้ นอกจากนี้ยังมีสวนประดับขนาดใหญ่ที่รายล้อมห้องพักหลายห้อง และยังมีโรงอาบน้ำส่วนตัวและพื้นที่สวนขนาดใหญ่ไว้ให้คนได้พักผ่อนอีกด้วย เรียกได้ว่า นางได้ปรับปรุงบ้านมรดกจากพ่อของเธอให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำเงินมหาศาลเลยทีเดียว
สำหรับสิ่งที่น่าทึ่งของบ้านหลังนี้ คือ สภาพค่อนข้างสมบูรณ์แม้จะผ่านมานานนับพันปี โดยเราจะยังเห็นภาพจิตรกรรมบนผนังที่หลงเหลืออยู่ในหลายห้อง รวมถึงโครงสร้างของห้องอาบน้ำท่ามกลางพื้นที่สวนสีเขียวที่ได้รับการดูแลอย่างดี ซึ่งส่วนตัวก๊อตคิดว่า ในอดีตนั้น บ้านของ จูเลีย เฟลิกซ์ (House of Julia Felix) คงเป็นจุดที่คึกคักและเต็มไปด้วยคนในเมืองมาใช้บริการอยู่ไม่ขาดสาย เพราะแค่เราได้เห็นสิ่งปลูกสร้างที่คงเหลืออยู่นี้ ก็พอจินตนาการได้ว่าสมัยที่ยังสมบูรณ์แบบมันคงเป็นบ้านที่อลังการในย่านนี้แน่นอน และ จูเลีย เฟลิกซ์ (Julia Felix) ก็คงเป็นเจ้าของอสังหาตัวแม่แห่งปอมเปอีแบบตัวแม่ตัวมัมขนานแท้
แอมฟิเธียเตอร์แห่งปอมเปอี (Pompeii Amphitheatre)
แอมฟิเธียเตอร์แห่งปอมเปอี (Pompeii Amphitheatre) หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ที่นี่ก็คือ อัฒจันทร์กลางแจ้งที่เอาไว้จัดงานบันเทิงและรื่นเริงในสมัยนั้น โดยแอมฟิเธียเตอร์แห่งนี้ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในบรรดาแอมฟิเธียเตอร์ทั้งหมดในยุคโรมันเลย โดยถูกสร้างขึ้นในปี 70 ก่อนคริสตกาล เพียงไม่นานก่อนที่ปอมเปอีจะถูกจัดตั้งเป็นอาณานิคม โดยมีผู้ริเริ่มคือผู้พิพากษา Caius Quinctius Valgus และ Marcus Porcius ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่สร้างโอดีออน (Odeon) ด้วย ซึ่งนักโบราณคดีเค้าขุดค้นพบที่นี่ในปี ค.ศ. 1748, 1813-1814
อัฒจันทร์แห่งนี้รองรับผู้ชมได้มากถึง 20,000 คน นั่นแสดงให้เห็นว่า ที่นี่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อชาวปอมเปอีเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางความบันเทิงของผู้คนจากเมืองโดยรอบอีกด้วย โดยตัวอาคารของอัฒจันทร์ตั้งอยู่ในโซนชานเมือง เพื่อให้ง่ายต่อการการเดินทางเข้าออกของผู้คนจำนวนมาก ส่วนบริเวณภายในมีบันไดภายนอกสองชั้นนำขึ้นสู่อัฒจันทร์ชั้นด้านบน และมีทางเดินลาดที่พาไปยังแถวล่างของสนาม ส่วนเวทีที่นักสู้โรมันแสดงจะอยู่ตรงกลาง และกั้นจากอัฒจันทร์ด้วยรั้วเตี้ยๆ ซึ่งความอลังการนี้เอง ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 59 เมื่อมีการจัดการต่อสู้กัน ผู้ชมชาวปอมเปอี และชาวโนเซร่า (Nocera) ที่เข้ามารับชมนั้น ดันไปทะเลาะกันเอง ว่ากันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำเอาผู้คนเลือดตกยางออกเพียบ จนวุฒิสภาแห่งโรมัน สั่งปิด แอมฟิเธียเตอร์แห่งปอมเปอี (Pompeii Amphitheatre) ถึง 10 ปีเต็ม แต่สุดท้ายก็ยกเลิกคำสั่งในปี ค.ศ. 62 หลังเมืองประสบแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
บริเวณภายในของอัฒจันทร์หน้าตาสร้างด้วยหินปูนเป็นแนวขั้นบันไดยกระดับสูงขึ้นไป ตามจุดต่างๆ มีแนวหญ้าขึ้นปกคลุม ทำให้ที่นี่ดูไม่แห้งด้วยสิ่งปลูกสร้างจนเกินไป เสมือนอัฒจันทร์แห่งนี้ยังมีชีวิตเหนือกาลเวลามาก ซึ่งนอกจากจะเดินเล่นและถ่ายรูปด้านในกันจนขาลากได้แล้ว บริเวณรอบนอกก็เป็นอีกจุดที่ก๊อตแนะนำ เพราะมันจะมีแนวกำแพงล้อมรอบอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ ที่พอไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูปแล้ว เท่มากๆ ยังไงอย่าลืมเดินมาตรงนี้กันด้วยนะ ถือเป็นการปิดจบการเดินเที่ยวในปอมเปอีของก๊อตที่ฟลูฟีลมากๆ เลย
สรุปการมาเที่ยวปอมเปอี (Pompeii)
และนี่คือทั้งหมดของการเดินสำรวจเมืองปอมเปอี (Pompeii) ของก๊อต สำหรับใครที่หลงใหลในเรื่องราวประวัติศาสตร์ ชอบกลิ่นอายของอารยธรรมโบราณ และอยากสัมผัสบรรยากาศเมืองโรมันแบบที่ถูกหยุดเวลาไว้ ปอมเปอี (Pompeii) คือจุดหมายที่ก๊อตคิดว่าควรค่าแก่การมาเยือนสักครั้งในชีวิต ยิ่งใครที่เป็นสายชื่นชอบประวัติศาสตร์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องมาเลย เพราะการได้เดินอยู่ใน ปอมเปอี (Pompeii) ส่วนตัวก๊อตคิดว่ามันไม่ใช่แค่เดินชมซากหิน แต่มันเหมือนเราได้ย้อนเวลากลับไปกว่าสองพันปี ได้เห็นเรื่องราวและอดีตที่เคยรุ่งเรือง ผ่านเศษซากมากมายของเมืองที่เรียกได้ว่า มีสภาพสมบูรณ์มากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ตลาดที่เรายังได้เห็นร่องรอยการขายปลา หรือจะเป็นวิลล่าหรูที่มีโมเสกมากมายให้ได้ดื่มด่ำ นอกจากนี้ยังมีบ้านพ่อค้า โรงอาบน้ำ ไปจนถึงซ่องชาวโรมัน คือทุกอย่างมันยังมีร่องรอยของอดีตให้เราได้สัมผัส คือมาที่นี่แล้ว ได้อิ่มเอมไปกับประวัติศาสตร์โรมันกันแบบหนำใจเลย
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡