ชิบะ (Chiba) อีกหนึ่งจังหวัดที่ใครอยากเปลี่ยนมูดมาเที่ยวเมืองโบราณ แถมยังอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว (Tokyo) มากนัก ก๊อตแนะนำให้ปักหมุดมาเที่ยวกันได้เลย นอกจากนี้ ที่นี่ยังเลื่องลือในเรื่องของธรรมชาติที่สวยจับใจ มีครบให้เที่ยวทั้งทะเลและภูเขาในที่เดียว โดยรีวิวนี้ ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวตามเมืองโบราณสุดป๊อบอย่าง หมู่บ้านซาวาระเอโดะ (Sawara Edo Village) พร้อมทั้งไปเดินเล่นเลียบชายหาดอิโอกะ (Iioka Kaigan) ท่ามกลางบรรยากาศสวยๆ รวมถึงยังไปเดินเทรลบนภูเขาอันโด่งดังในเรื่องผาหิน พร้อมพระพุทธรูปแกะสลักที่ ภูเขาโนะโคะกิริ (Mount Nokogiriyama) อีกด้วย บอกเลยว่ารีวิวนี้จัดเต็มแน่นอน
รู้จักกับ จังหวัดชิบะ (Chiba)
จังหวัดชิบะ (Chiba) ถือเป็นเมืองหลวงของจังหวัดชิบะ โดดเด่นในเรื่องของธรรมชาติ และอุตสาหกรรมแบบผสมผสาน อีกทั้งยังเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีหลักฐานการตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ ยุคโจมง (Jomon period) เมื่อราวๆ 15,000 ปีก่อน อีกด้วย นอกจากนี้ ชิบะ (Chiba) ยังมีทิวทัศน์ของเมืองที่งดงาม ทั้งชายหาดที่ทอดยาวไปกว่า 66 กิโลเมตร จนได้ชื่อว่าเป็นแนวทรายที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น หรือจะเป็นภูเขาสูงอย่าง ภูเขาโนะโคะกิริ (Mount Nokogiriyama) ที่มาพร้อมกับการนั่งกระเช้าขึ้นไปยังจุดชมวิว และมีเส้นทางเดินเทรลให้ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ยังไม่หมดเท่านั้น ชิบะ (Chiba) ยังมีอะไรให้เราได้เที่ยวกันอีกเยอะมาก คือเค้าเป็นเมืองที่ครบเครื่องอีกแห่งที่ต้องมาเยือนเมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่นเลย
ที่เที่ยวชิบะ (Chiba)
- หมู่บ้านซาวาระเอโดะ (Sawara Edo Village)
- ประภาคารอินุโบซากิ (Inubosaki Lighthouse)
- ชายหาดอิโอกะ (Iioka Kaigan)
- ร้านอาหารอิซาริบิ โชกูโด (Isaribi Shokudo)
- พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World)
- Hangar eight
- ภูเขาโนะโคะกิริ (Mount Nokogiriyama) + นั่งกระเช้า (Mt.Nokogiri Ropeway)
- คาเฟ่ BASE nokogiriyama
- โรงแรมคิชิมู (Kichimu Hotel)
ต้องบอกก่อนว่า รีวิวนี้ก๊อตจะพาเที่ยวแบบโร้ดทริป ซึ่งตามแพลนของก๊อตแล้ว เราจะโร้ดทริปกัน 2 จังหวัด คือ ชิบะ (Chiba) และ อิบารากิ (Ibaraki) โดยรีวิวในหน้านี้ เราจะเที่ยวกันที่ ชิบะ (Chiba) อย่างเดียว แต่ถ้าใครอยากดูแพลนเที่ยวแบบจุกๆ ครบทั้ง 2 จังหวัด > สามารถคลิกอ่านแพลนเที่ยวฉบับเต็มได้ที่นี่เล้ย
เช่ารถขับเที่ยวที่ญี่ปุ่น
ใครที่อยากขับรถเที่ยวในญี่ปุ่น ก๊อตบอกเลยว่าทั้งโคตรสนุก สะดวกสบาย อยากไปไหนก็ได้ไป ยิ่งถ้าใครที่มาเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ หรือมาเที่ยวกับครอบครัว การเช่ารถขับกันเองเป็นอะไรที่ตอบโจทย์สุด ซึ่งก๊อตบอกเลยว่าการเช่ารถที่ญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ยุ่งยากเลย แค่เราต้องมีใบขับขี่สากลแบบหนึ่งปีที่ทำมาจากประเทศไทย พาสปอร์ต และบัตรเครดิต เพียงแค่นี้ เราก็สามารถเช่ารถได้เล้ย
สำหรับการจองเช่ารถนั้น เราสามารถจองผ่านเว็บไซต์ของบริษัทเช่ารถได้โดยตรง เช่น Nippon Rentacar, Toyota, Nissan, Avis และ Orix และก็ยังมีหลายเว็บไซต์ที่เป็นเอเจนซี่ท่องเที่ยว (OTA) หลายเจ้าที่ให้บริการจองรถที่เราสามารถเปรียบเทียบราคาจากบริษัทเช่ารถได้หลากหลายเจ้าอีกด้วย ซึ่งการจองผ่าน OTA บางเจ้าก็มีข้อดีที่มี Customer Service ภาษาไทย ที่เราสามารถติดต่อได้นั่นเอง ใครสะดวกแบบไหนก็ลองดูเว็บแต่ละเว็บได้เล้ย
🚙✨ ดูและจองรถเช่า [ผ่าน Klook] / [ผ่าน Trip.com]
หมู่บ้านซาวาระเอโดะ (Sawara Edo Village)
ก๊อตเริ่มโร้ดทริปด้วยการขับรถมาเที่ยวกันที่จังหวัดชิบะ (Chiba) กันก่อน โดยสถานที่แรกที่ก๊อตขับรถมาเที่ยวกันนั่นก็คือ หมู่บ้านซาวาระเอโดะ (Sawara Edo Village) ถือเป็นย่านเมืองโบราณที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โคเอโดะ (Koedo)’ (เอโดะจิ๋ว หรือ เอโดะย่อส่วน) เนื่องจากบรรยากาศภายในนั้น ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมตั้งแต่ยุคสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603-1868) เอาไว้เป็นอย่างดี
โดย หมู่บ้านซาวาระเอโดะ (Sawara Edo Village) ในยุคสมัยเอโดะนั้น เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการขนส่งข้าวที่สำคัญ เพราะในหมู่บ้านแห่งนี้มีทำเลที่ตั้งอยู่บนริมแม่น้ำโทเนะ (Tone River) ทำให้เวลาคนเค้าค้าขายข้าวไปยังโตเกียว (Tokyo) จึงเป็นเรื่องที่ง่าย เม็ดเงินก็ไหลสะพัดเข้ามา จนทำให้ หมู่บ้านซาวาระเอโดะ (Sawara Edo Village) เริ่มมีเหล่าบ้านพ่อค้าผุดขึ้น รวมถึงมีโกดังสินค้า และอาคารต่างๆ นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนี้ สภาพบ้านเรือนในย่านนี้ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ท่ามกลางบรรยากาศแบบสโลว์ไลฟ์ที่มองไปทางไหนก็งดงามไปหมด อีกทั้งยังมีร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ไปจนถึงร้านขายของฝากอีกมากมายให้ได้มาสำรวจกัน เรียกได้ว่าเหมาะกับการมาเดินทอดน่องชิลๆ ชมวิวเมืองเก่าเป็นที่สุด
โดยการมาเที่ยวยัง หมู่บ้านซาวาระเอโดะ (Sawara Edo Village) ผู้คนเค้าก็จะนิยมมาเดินกินลมชมวิวไปตามสองข้างทางของแม่น้ำ ที่เรียงรายไปด้วยบ้านเรือน และอาคารไม้แบบดั้งเดิม ที่ชวนให้รู้สึกเหมือนเราได้ย้อนยุคกลับไปในอดีต ในบางจุดจะมีสะพานไม้ให้เราได้เดินข้ามฝั่งไปมา ท่ามกลางสายลมเย็นๆ ที่พัดกระทบเข้ากลับต้นหลิวจนมันพริ้วไหวไปตามแรงลม นอกจากการมาเดินชมวิวแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมสุดป๊อบที่คนเค้านิยมกันเลยก็คือ การล่องเรือในคลอง เพื่อชมทิวทัศน์ของหมู่บ้านจากอีกมุมมอง ซึ่งจะใช้เวลาล่องกันประมาณ 30 นาที ใครที่อยากดื่มด่ำกับวิวของหมู่บ้านจากบนแม่น้ำ ก๊อตแนะนำให้ลองนั่งกันได้เลย
นอกจากการล่องเรือในคลองสวยๆ แล้ว การเดินเล่นสำรวจหมู่บ้านเค้าก็สนุกเช่นกัน ซึ่งใครที่เดินเล่นอยู่ในย่านนี้แล้วเห็นว่าหลายๆ ร้านค้าติดป้ายชื่อ NIPPONIA ที่ด้านหน้าร้านเหมือนกัน ก็ไม่ต้องแปลกใจไป เพราะคำนี้เค้าหมายถึง บ้านเก่าที่ถูกอนุรักษฺ์เอาไว้ ซึ่งจะกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยจะเปิดเป็นร้านค้า คาเฟ่ พิพิธภัณฑ์สลับกันไปนั่นเอง ฟีลเหมือนป้าย NIPPONIA เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้เก่าแก่ แต่ชื่อร้านจริงๆ ก็จะตั้งไปอีกชื่อหนึ่งเลย
อย่างร้านที่ก๊อตมาชื่อว่า “並木仲之助商店” แต่ด้านหน้าของร้านก็มีป้ายผ้า NIPPONIA ติดเอาไว้เช่นกัน โดยร้านนี้อยู่ภายในบ้านที่มีอายุเก่าแก่กว่า 130 ปี ซึ่งคุณป้าเจ้าของร้านบอกกับก๊อตว่าเค้าเพิ่งจะเปลี่ยนมาทำเป็นร้านขายของเมื่อราวๆ 30 ปีที่แล้ว โดยภายในจะขายสารพัดของฝาก และของปุ๊กปิ๊ก โดยเน้นไปที่งานกระดาษและงานฝีมือเป็นหลัก ซึ่งใครที่อยากได้ของแฮนเมดญี่ปุ่นน่ารักๆ กลับบ้าน ก๊อตแนะนำว่าต้องมาเลย
หลังจากเดินเล่นเสร็จแล้ว เรามาเติมพลังด้วยของหวานกันหน่อย นี่อยากให้เดินมาที่ร้าน VMG CAFE ที่เป็นบ้านเก่าแก่อยู่หัวมุมถนนมาก ตรงนี้เค้าเปิดเป็นคาเฟ่อยู่ข้างใน บรรยากาศฟีลเหมือนได้เข้ามานั่งดื่มชาในบ้านคนญี่ปุ่นแท้ๆ ด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งจากไม้ โดยมีมุมให้นั่งกันหลายมุมเลย ซึ่งเมนูที่ก๊อตสั่งมาลองจะเป็น Sweet Potato Mont Blanc ราคา 1,200 เยน (~275 บาท) ที่ทางร้านเค้าจะเสิร์ฟมาบนจานขนาดใหญ่ ซึ่งตอนแรกเราจะเห็นว่ามีแค่ขนมชิ้นเล็กๆ วางอยู่ แต่สักพักพนักงานเค้าจะยกจานไปรองใต้เครื่องบีบ ซึ่งข้างในนั้นจะมีครีมนุ่มๆ ที่ทำจากมันหวานญี่ปุ่น ที่พอบีบออกมาแล้วเนื้อครีมจะกลายเป็นเส้นๆ ปกคลุมไปทั่วขนมที่วางอยู่บนจาน จากนั้นก็ท็อปด้วยน้ำตาลไอซ์ซิ่งก็เป็นอันเรียบร้อย
เมนูนี้ใครสายมันหวานญี่ปุ่นบอกเลยว่าจะต้องเลิฟ เพราะเนื้อครีมนุ่มๆ ที่มาในรูปแบบเส้นนั้น รสชาติหวานละมุนลิ้น กินแล้วเหมือนมีมันหวานละลายอยู่ในโพรงปาก ยิ่งกินคู่กับ Chamomile Citrus ราคา 900 เยน (~210 บาท) ชาคาโมมายหอมๆ บอกเลยว่าเข้ากันสุดๆ แต่ถ้าใครอยากจะดื่มอะไรเย็นๆ จะลองเป็น Royal Milk Tea ราคา 1,000 เยน (~230 บาท) ก็ได้นะ แก็วนี้รสเข้มข้นไม่หวานมาก กินคู่กับขนมกำลังดีเลย
กินขนมเสร็จแล้ว หากใครที่ยังช้อปไม่จุใจ ติดกับคาเฟ่ เราสามารถเดินทะลุเข้ามาช้อปของต่อได้ที่ Nakamuraya Store ร้านขายของที่ระลึกเล็กๆ ที่ข้างในนั้นเต็มไปด้วยงานฝีมืออยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาแมวมงคล พัดลายญี่ปุ่นแท้ๆ เครื่องประดับ ภาพวาด ไปจนถึงสารพัดของน่ารักๆ ที่ขายกันในราคาย่อมเยา ถือเป็นการปิดท้ายการมาเที่ยว หมู่บ้านซาวาระเอโดะ (Sawara Edo Village) ที่คอมพลีทสุดๆ แล้ว
ประภาคารอินุโบซากิ (Inubosaki Lighthouse)
มากันต่อที่ ประภาคารอินุโบซากิ (Inubosaki Lighthouse) ซึ่งเป็นหนึ่งในประภาคารญี่ปุ่นเกือบ 30 แห่ง ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นยุคเมจิ โดยริชาร์ด เฮนรี บรันตัน (Richard Henry Brunton) วิศวกรชาวอังกฤษที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘บิดาแห่งประภาคารญี่ปุ่น’
โดย ประภาคารอินุโบซากิ (Inubosaki Lighthouse) สร้างขึ้นด้วยอิฐที่ผลิตในญี่ปุ่นจำนวน 193,000 ก้อน ตัวประภาคารมีความสูงถึง 31 เมตร ด้านนอกถูกทาด้วยสีขาวตั้งเด่นสง่าเห็นมาแต่ไกล โดยการจะเข้าไปด้านในของประภาคารนั้น จะไม่มีค่าตั๋ว แต่เค้าจะให้เราบริจาคให้กับทางประภาคารแทน บริเวณด้านในจะเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ตรงกลางเป็นที่ตั้งของประภาคาร รอบๆ มีอาคารหลังเล็กๆ ที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ด้วย
ซึ่งใครที่อยากขึ้นไปชมวิวด้านบน สามารถเดินขึ้นบันได้วนด้านในประภาคารได้เลย เค้าจะมีบันได้ทั้งหมด 99 ขั้น โดยทางขึ้นและทางลงจะใช้บันไดอันเดียวกันเลย เมื่อเราขึ้นมาถึงแล้ว จะมีประตูบานเล็กๆ ให้เราเดินออกมาด้านนอกของตัวประภาคาร ซึ่งจะเป็นทางเดินเป็นแนววงกลมไปตามตัวประภาคารนั่นเอง
สำหรับวิวจากด้านบนนี้เราสามารถมองออกไปเห็นชายหาดและท้องทะเลได้ไกลสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งยังสามารถมองย้อนกลับไปยังพื้นที่ลานจอดรถและตัวเมืองได้อีกด้วย แต่สาวๆ ที่จะขึ้นมาบนนี้ ก๊อตแนะนำว่าให้ใส่กระโปรงหรือกางเกงยาวมาจะดีมาก เพราะลมบนนี้คือพัดเอาทุกอย่างบนตัวเราปลิวไสวไปหมด ยิ่งใครมาช่วงหน้าหนาว อากาศบนนี้จะเย็นมาก ยังไงเอาชุดทะมัดทะแมงหน่อยจะตอบโจทย์มากกว่า โดยก๊อตเองก็ใช้เวลาดูวิว เก็บภาพสวยๆ บนนี้กันไม่นาน เราก็เดินกลับลงไปกันแล้ว
ขากลับออกมา บริเวณบันไดด้านข้างก่อนเข้าไปยังประภาคาร เป็นอีกมุมที่ก๊อตแนะนำให้เดินลงไปถ่ายรูปมาก เพราะเราจะได้วิวของทางเดินที่ด้านหลังโอบล้อมไปด้วยท้องทะเลและชายหาดนั่นเอง ก๊อตอยู่เก็บภาพตรงนี้อีกนิดหน่อยเราก็เดินกลับไปที่รถกันแล้ว โดยรวมเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่แนะนำให้มาตามรอยกันได้
ชายหาดอิโอกะ (Iioka Kaigan)
ไม่ไกลจาก ประภาคารอินุโบซากิ (Inubosaki Lighthouse) มากนัก มีอีกหนึ่งที่เที่ยวที่ใครเป็นสายกิจกรรมทางน้ำ ชื่นชอบการโต้คลื่น เดินชิลริมชายหาดต้องมากับ ชายหาดอิโอกะ (Iioka Kaigan) โดยที่นี่นั้นขึ้นชื่อในเรื่องของคลื่นทะเลที่เหมาะสำหรับการมาเล่นเซิร์ฟ และวินด์เซิร์ฟมาก อีกทั้งยังเป็นชายหาดที่เราสามารถขับรถลงมาบนชายหาดได้เลย
ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้น บรรยากาศตลอดเส้นทางเลียบชายหาดที่ก๊อตขับผ่าน เต็มไปด้วยรถของผู้คนและนักท่องเที่ยว ที่เค้ามาเพื่อเล่นกีฬาทางน้ำกันทั้งนั้น ซึ่งพอเราขับลงมาจอดที่ชายหาด จะเห็นว่ามีรถอีกหลายสิบคันที่เค้าจอดนิ่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว โดยเราสามารถขับรถเล่นบนชายหาดได้เลยนะ บรรยากาศค่อนข้างสงบ หาดทรายนุ่มละมุน และแม้จะมีเสียงทะเลและคลื่นที่พัดกระทบเข้าหาชายฝั่งอยู่ตลอดเวลา แต่ตามชายหาดนั้น ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านเลย
ใครที่อยากได้ฟีลขับรถเลียบชายหาด มาถ่ายรูปชิคๆ คูลๆ ปักหมุดขับรถมาที่ ชายหาดอิโอกะ (Iioka Kaigan) ได้เลย รับรองมาแล้วได้ภาพสวยๆ กลับไปแน่นอน
ร้านอาหารอิซาริบิ โชกูโด (Isaribi Shokudo)
สำหรับใครที่อยากมากินปลาสดๆ ขึ้นมาจากทะเลแบบวันต่อวัน หนึ่งในร้านอาหารชื่อดังของเมืองชิบะ (Chiba) ที่เราต้องมาเลยก็คือ ร้านอาหารอิซาริบิ โชกูโด (Isaribi Shokudo) ซึ่งจะเป็นร้านรูปเรือขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งคาบสมุทรโบโซ (Boso Peninsula) บรรยากาศด้านในฟีลมากินข้าวบ้านเพื่อนมาก ให้ความอบอุ่นเป็นกันเองสุดๆ ด้วยการจัดร้านสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม มาพร้อมโต๊ะแบบนั่งกินกับพื้น ซึ่งจัดเรียงกันเป็นแนวรูปตัวยูให้เราได้เลือกนั่งตามชอบ โดยวิวจากด้านในร้านสามารถมองออกไปเห็นท้องทะเลได้ด้วยนะ ใครที่มากินช่วงค่ำๆ ก็จะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย
โดย ร้านอาหารอิซาริบิ โชกูโด (Isaribi Shokudo) ได้รับการยกย่องในเรื่องอาหารที่ทำจากปลาซาบะ ที่ทางร้านปรุงโดยใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่เน้นไปยังรสชาติตามธรรมชาติของปลา โดยจะมีทั้งเมนูซุป ซาชิมิ ปิ้งย่างให้ได้ลิ้มลอง โดยก๊อตสั่งมาเป็นชุดซาชิมิ ซึ่งในแต่ละวัน ปลาที่เสิร์ฟมาจะไม่เหมือนกันเลยนะ ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นๆ ทางร้านได้ปลาชนิดไหนมา ซึ่งปลาส่วนใหญ่จะมาจากในพื้นที่โดยชาวประมงแถวนั้นนั่นเอง ซึ่งชุดซาชิมิของก๊อตก็จะมีปลาซาบะ ปลาแซลม่อน กุ้ง และปลาท้องถิ่นที่เสิร์ฟมาพร้อมโชยุและวาซาบิ เมนูนี้บอกเลยว่าสายชอบปลาดิบต้องเลิฟ เพราะเนื้อปลาสดเด้งมาก ไม่มีกลิ่นคาวใดๆ เป็นซาชิมิที่ถูกต้องสุดๆ
ส่วนเมนูย่างก๊อตสั่งเป็นหอยหอยตลับลาย หรือ ฮามางุริ ที่เราจะต้องเอามาย่างกินคู่กับซอสของทางร้าน ตัวหอยเค้าให้มาใหญ่ๆ ย่างสุกแล้วเนื้อนุ่ม มีความนัวๆ อยู่ในตัว นอกจากนี้ก๊อตยังสั่งซุป และของทอดมากินคู่อีกด้วย คืออาหารแต่ละอย่างทางร้านเสิร์ฟมาจานใหญ่มาก แต่ราคาไม่ได้แรงเบอร์นั้นนะทุกคน โดยทั้งหมดที่ก๊อตสั่งมานั้นรวมๆ กันแล้วอยู่ที่ 13,270 เยน (~3,015 บาท) เรากินกัน 5 คน นี่ว่าคุ้มมากกับวัตถุดิบที่สดขนาดนี้ เอาเป็นว่าใครชอบอาหารทะเล อยากให้มาลองกินกัน อร่อยสมคำร่ำลือมาก
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World) คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรโบโซ (Boso Peninsula) ทางฝั่งตะวันออกของจังหวัดชิบะ (Chiba) โดยที่นี่เป็นแหล่งรวมสัตว์น้ำนานาพันธุ์ อีกทั้งยังโด่งดังในเรื่องของโชว์ปลาโลมา และวาฬเบลูก้า (Beluga) มาก ใครที่ชื่นชอบสัตว์ทะเล มาแล้วแฮปปี้แน่นอน
ซื้อบัตรมาเที่ยว พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World)
สำหรับคนที่อยากมาส่องสัตว์น้ำ พร้อมทั้งชมโชว์สุดน่ารักจาก พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World) แต่ไม่อยากมาเสียเวลาต่อแถวเข้าคิวซื้อบัตรหน้างาน ก๊อตแนะนำให้จองผ่าน Klook หรือ KKday มาได้เลย จะบอกว่าที่นี่ค่อนข้างป๊อบในคนท้องถิ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวมาก ขนาดก๊อตมาก่อนเวลาเปิด คนยังจูงลูกเล็กเด็กแดงมาต่อคิวยาวเหยียด ดังนั้น ซื้อบัตรมาก่อนจะช่วยประหยัดเวลาเราไปได้เยอะมาก
> ซื้อบัตรมาเที่ยว พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World) [ผ่าน Klook คลิก] / [ผ่าน KKday คลิก]
สำหรับโซนจัดแสดง รวมถึงโซนร้านค้า ร้านอาหารที่อยู่ภายใน พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World) นั้น มีอยู่ด้วยกันถึง 24 โซน ซึ่งจะถูกแบ่งให้อยู่ในอาคารต่างๆ ออกไป
อย่างโซนแรกที่ก๊อตมาจะเป็น Tropical Island โซนที่มาในแนวคิด “เดินใต้น้ำในมหาสมุทร” ภายในมี “Infinite Ocean” ที่จำลองสภาพแวดล้อมนอกชายฝั่งของแนวปะการัง โดยเป็นแท็งก์ขนาดใหญ่ที่มีความลึกถึง 7.5 เมตร อีกทั้งยังเป็นแท็งก์จัดแสดงที่ลึกที่สุดในพิพิธภัณฑ์อีกด้วย ข้างในเต็มไปด้วยเหล่าปลาเล็กปลาน้อยมากมาย ไปจนถึงน้องเต่าตัวจิ๋วที่ออกมาจ๊ะเอ๋เราอีกด้วย
หลังจากส่องปลากันจนหนำใจแล้ว ก็มาถึงช่วงไฮไลท์ที่ก๊อตตั้งหน้าตั้งตารอคอย กับการแสดงวาฬเพชฌฆาต ซึ่งจัดแสดงอยู่ภายในโซน Ocean Stadium โดยจะเป็นโชว์ที่ครูฝึก 3 คนจะออกมาพร้อมกับวาฬเพชฌฆาต 3 ตัว โดยจะทำการโชว์ว่ายน้ำอยู่ในบ่อขนาดใหญ่ที่มีวิวของมหาสมุทรแปซิฟิกรายล้อม ซึ่งโชว์นี้จะมีที่นั่งแยกเป็นสีๆ ให้เลือกนั่ง ตามระดับความเปียกด้วยนะ เพราะเค้าจะมีช่วงที่วาฬเพชฌฆาต โชว์พ่นน้ำ รวมถึงกระโดดลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำแล้วเตะลูกบอลกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งตัวลงใส่บ่ออีกครั้งจนเกิดเป็นละอองน้ำฟูฟ่องไปทั่วลานแสดง ใครที่ไม่อยากเปียกมาก ก๊อตแนะนำให้นั่งอยู่สูงๆ แต่ถ้าอยากเห็นวาฬเพชฌฆาตแบบใกล้ชิด สามารถนั่งติดขอบบ่อได้ ทางพิพิธภัณฑ์เค้ามีชุดกันฝนขายแยกด้วย โดยโชว์จะใช้เวลาราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็จบกันแล้ว
หลังจากนั้นก๊อตก็เดินไปกันต่อที่ Kurage Life โซนที่เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศของแมงกะพรุนมากกว่า 10 สายพันธุ์ พร้อมทั้งเทคโนโลยีวิดีโอดิจิทัลที่จำลองวงจรชีวิตของแมงกะพรุนแบบเข้าใจง่ายให้ได้สำรวจกันอีกด้วย โดยบรรยากาศในโซนนี้บอกเลยว่าคนแตกแตนมาก ด้วยความที่เค้ามีตู้โชว์แมงกะพรุนพร้อมทั้งติดไฟเข้าไป โดยปล่อยให้แมงกะพรุนลอยวนเวียนอยู่ในน้ำ ทีนี้คนก็จะชอบมายืนส่องและถ่ายรูปคู่ด้วยนั่นเอง ถือเป็นอีกโซนที่คึกคักมาก
ซึ่งก๊อตเองก็เดินส่องกันอยู่สักพักเราก็กลับออกมาด้านนอกกันแล้ว โดยโซนที่ก๊อตพาทุกคนมานั้น เป็นเพียงเศษเสี้ยวของทั้งหมดที่มีใน พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World) เองนะ ซึ่งด้านในเค้ายังมีอีกหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นโซน Surf Stadium กับโชว์โลมาปากขวดกระโดดโลดเต้นไปมา, Rocky World กับโลกแห่งท้องทะเลจำลองถึง 5 แห่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่อาศัยของสัตว์น้ำต่างสายพันธุ์ออกไป, Polar Adventureโซนที่จำลองสภาพแวดล้อมของมหาสมุทรในบริเวณอาร์กติก (Arctic) และแอนตาร์กติกเซอร์เคิล (Antarctic Circles) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของน้องเพนกวินตัวปุ๊กปิ๊กนั่นเอง หรือจะเป็น Sea Turtle Beach โซนที่อุทิศให้กับเต่าทะเล โดยตั้งอยู่กลางแจ้งติดกับมหาสมุทรกันเลยทีเดียว
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
เรียกได้ว่ามาส่องสัตว์น้ำที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำคาโมกาวะ ซีเวิล์ด (Kamogawa Sea World) ที่เดียวได้ชมเหล่าน้องสัตว์น้ำเพียบเลย ถือเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยเลย เอาเป็นว่าใครที่มาเที่ยวเมืองชิบะ (Chiba) อย่าลืมปักหมุดมาเที่ยวที่นี่กันนะ มันเปิดประสบการณ์ทางท้องทะเลได้แบบอลังการมาก
Hangar Eight
อีกหนึ่งร้านอาหารที่ก๊อตแนะนำให้มาตามรอยเมื่อมาเที่ยว ชิบะ (Chiba) เลยก็คือ Hangar Eight คาเฟ่สุดเก๋ที่เป็นทั้งร้านอาหาร สถานที่จัดงาน และที่ตั้งแคมป์ โดยที่นี่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2022 ซึ่งจะเปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น เพราะโดยปกติแล้ว เจ้าของที่นี่ทำธุรกิจอู่ซ่อมรถเป็นหลัก คือร้านอาหารและคาเฟ่แห่งนี้ ลุงแกชื่นชอบและอยากให้คนได้กินของดีๆ เลยเน้นเปิดฟีลเอาสังคมให้ผู้คนได้มาพบปะสังสรรค์กันแบบนั้นเลย 555555
สำหรับบรรยากาศของร้าน Hangar Eight จะให้อารมณ์เหมือนโรงเก็บเครื่องบินที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่กว้างขนาดใหญ่ ด้านนอกรายล้อมไปด้วยนาข้าว รอบๆ โอบล้อมไปด้วยขุนเขา เรียกได้ว่าอยู่ในทำเลที่เงียบสงบมาก โดยเมนูของทางร้านจะเน้นไปที่ผักตามฤดูกาล อาหารทะเลสด และเนื้อสัตว์ป่าที่มาจากคาบสมุทรโบโซ (Boso Peninsula) นอกจากนี้ยังรับซื้อผักผลไม้จากชาวบ้านในระแวกนี้ที่เค้าไปหามาจากภูเขาอีกด้วย ดังนั้น เมนูที่ขายในแต่ละสัปดาห์จึงแทบจะไม่ซ้ำกันเลย
โดยอาหารที่เสิร์ฟจะเป็นคอร์ส ซึ่งจะเสิร์ฟตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อย โดยที่ก๊อตได้ลองจะเป็นเมนูที่ปรุงจากผักในพื้นที่ เสิร์ฟกันเป็นคำๆ บนจานยาว ที่มีทั้งผักดอง แตงกวาดอง ส้มที่ชาวบ้านเอามาขายให้ร้าน ซึ่งขั้นตอนการกินให้ถูกวิธีสไตล์คนญี่ปุ่น อ้างอิงจากเพื่อนชาวญี่ปุ่น เค้าบอกให้ก๊อตเริ่มกินจากคำที่ดูรสชาติอ่อนมากที่สุด แล้วค่อยไล่ระดับไปยังคำที่รสชาติจัดจ้าน มันจะเป็นเหมือนการเปิดต่อมรับรสของเรานั่นเอง
จานต่อมาจะเป็นสลัดมันเทศ เสิร์ฟคู่กับเนื้อเป็ดที่คลุกเคล้ามากับซอสสูตรของทางร้าน เมนูนี้เนื้อเป็ดอร่อยมากก แถมผักก็กรอบกินแล้วเฟรชสุดๆ จากนั้นเราก็มาถึงอาหารจานหลัก ซึ่งจะเป็นเนื้อตรงส่วนซี่โครงหมูที่เอามาปรุงแบบ slow cook อบในไฟอ่อนๆ ให้เนื้อหมูค่อยๆ สุก ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้เนื้อหมูนุ่มละมุนลิ้น แบบที่กัดเข้าไปคำแรกแทบไม่ต้องเคี้ยวเลย คือเนื้อเค้าละลายในปากมาก ยิ่งได้กินคู่กับผักทอดคือเข้ากันสุดๆ โดยเมนูนี้เค้าจะเสิร์ฟข้าวและน้ำซุปเห็ดฮิราตาเกะมาให้ด้วย ใครไม่อิ่มก็ขอข้าวเพิ่มได้เลยนะ
ปิดท้ายกันด้วยของหวาน จะเป็นเมนูมันหวานที่มาในคำเล็กๆ หน้าตาเหมือนหัวมันญี่ปุ่นย รสชาติจะมีความหวาน หอม มัน กินแล้วล้างปากได้เป็นอย่างดี ยิ่งได้กินคู่กับเครื่องดื่มร้อนๆ อย่างกาแฟ มันฟินคูณสองขึ้นไปอีก โดยรวมแล้วเป็นมื้อที่สูขใจสบายพุงมาก รสชาติอาหารดีทุกจาน สัมผัสได้ถึงวัตถุดิบที่เค้าตั้งใจเลือกมาเป็นอย่างดี กินแล้วรู้สึกเฮลตี้มากอย่างบอกไม่ถูก คือต้องมาลองกันเอง ซึ่งราคาต่อครอสไม่รวมเครื่องดื่มจะอยู่ที่ 2,200 เยน (~490 บาท) เท่านั้น คือราคากับความใส่ใจเกินคุ้มมาก ราคาดีฟีลเอาสังคมสุดๆ
ภูเขาโนะโคะกิริ (Mount Nokogiriyama) + นั่งกระเช้าลอยฟ้า (Mt.Nokogiri Ropeway)
ขับรถมากันต่อที่ ภูเขาโนะโคะกิริ (Mount Nokogiriyama) หนึ่งในภูเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดชิบะ (Chiba) โดยที่นี่เลื่องลือในเรื่องของทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่งดงาม มีความสูงประมาณ 329 เมตร โดยชื่อของภูเขามีความหมายว่า “ภูเขาฟันเลื่อย” ซึ่งมาจากสันเขาที่มีลักษณะเป็นฟันเลื่อย เนื่องจากการขุดหินเป็นเวลาหลายศตวรรษในสมัยเอโดะ ซึ่งบริเวณยอดเขานอกจากจะเป็นจุดชมวิวเมืองและมหาสมุทรแปซิฟิกได้แล้ว ยังมีจุดไฮไลท์อย่างผาหินสูง และพระพุทธรูปแกะสลักบนหินอยู่อีกด้วย
ซึ่งการที่เราจะขึ้นไปชมวิวด้านบนได้นั้น จะต้องนั่ง กระเช้าลอยฟ้า (Mt.Nokogiri Ropeway) ขึ้นไปก่อนนะ โดยเราจะต้องมาขึ้นที่สถานีซันโรคุ (Sanroku Station) ที่ตั้งอยู่ที่เชิงเขาโนโคกิริ แล้วนั่งกระเช้าที่ความยาว 680 เมตร โดยวิวระหว่างทางก็จะเป็นภูเขาและต้นไม้มากมายที่พอมองย้อนกลับไปก็จะเห็นวิวเมือง โดยเราใช้เวลาประมาณ 4 นาที เราก็มาถึงปลายทางที่สถานีซันโช (Sancho Station) กันแล้ว
ซื้อบัตรกระเช้าลอยฟ้า (Mt.Nokogiri Ropeway)
สำหรับคนที่อยากมาขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเพื่อไปชมความเว่อร์วังและธรรมชาติของ ภูเขาโนะโคะกิริ (Mount Nokogiriyama) แบบตามเก็บทุกจุดเที่ยวด้านบนได้ครบครัน ไม่อยากเสียเวลาเข้าคิวซื้อบัตรที่หน้างาน ก๊อตแนะนำให้จองผ่าน KKday มาได้เลย
> ซื้อบัตรกระเช้าลอยฟ้า (Mt.Nokogiri Ropeway) [ผ่าน KKday คลิก]
ซึ่งจุดแรกหลังจากลงกระเช้าลอยฟ้ามา จะเป็นจุดที่เราสามารถเดินขึ้นบันไดเพื่อมาชมวิวของมหาสมุทรแปซิฟิกและวิวเมืองชิบะ (Chiba) ได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย ซึ่งจุดชมวิวจะเป็นลานกว้างๆ อยู่ด้านบนของสถานี เป็นโซนที่เราสามารถเดินส่องวิวกันได้แบบทุกทิศทางเลย ใครที่ส่องวิวจนฉ่ำใจแล้ว สามารถเดินไปต่อยังจุดอื่นๆ ได้เลยนะ ซึ่งมันจะเป็นเหมือนเส้นทางเดินเทรลเล็กๆ ทอดยาวเข้าไปในป่า แต่ทุกคนไม่ต้องกลัวว่าจะเดินไม่ไหวนะ เพราะทางเดินบางช่วงจะเป็นขั้นบันไดให้ได้เดินกัน
โดยจุดที่ก๊อตมา จะเป็นบริเวณหน้าผาหินที่ยื่นออกไปจากตัวภูเขา จุดนี้จะเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าตอนเราไปถึงนั้น คิวต่อแถวเพื่อขึ้นไปถ่ายรูปด้านบนยาวเฟื้อยเลย ซึ่งมุมถ่ายรูปเค้าจะทำเป็นรั้วกั้นออกไปตามแนวหิน โดยเราสามารถไปยืนถ่ายภาพให้เห็นภูเขาได้แบบเต็มสายตา ท่ามกลางมหาสมุทรแปซิฟิกที่โอบล้อมเอาไว้ ซึ่งใครที่อยากได้ภาพคู่กับโขดหินตรงนี้แบบชัดๆ ก๊อตแนะนำว่าให้เพื่อนที่ไปด้วยกันรอถ่ายอยู่ตรงลานชมวิวก่อนถึงโขดหิน มันจะเป็นจุดชมวิวที่สามารถถ่ายรูปออกไปเห็นโขดหินได้ทั้งหมดนั่นเอง
สำหรับคนที่ถ่ายรูปบริเวณนี้จนพอใจแล้ว ลองเดินลัดเลาะย้อนกลับมาทางเดิม แล้วมองหาป้ายภาษาญี่ปุ่นเล็กๆ มันจะเป็นจุดตัดแยกไปดู พระพุทธรูปแกะสลักหินองค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความสูงถึง 31.05 เมตร โดยองค์ท่านเป็นตัวแทนของ ยะคุชิเนียวไร หรือพระไภษัชยคุรุ ผู้เป็นบรมครูแห่งยารักษาโรค คนเค้าเลยจะนิยมมาขอพรเรื่องสุขภาพกันนั่นเอง บรรยากาศรอบๆ นั้นจะเป็นเหมือนเรายืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่ห้อมล้อมเอาไว้ด้วยผาหินสูง และต้นไม้มากมาย ซึ่งบริเวณด้านหน้าของรูปแกะสลักหินนั้น จะเป็นลานกว้างๆ ที่มีเก้าตัวยาวให้ได้มานั่งมององค์ท่านด้วยนะ ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ห้ามพลาดเมื่อขึ้นมาบนนี้เลย บอกเลยว่าในภาพองค์ท่านอาจจะดูไม่สูงมาก แต่ของจริงที่มองด้วยตาเนื้อ บอกเลยว่าอลังการและสูงสง่าสุดๆ
และพอก๊อตชื่นชมกับความงามเบื้องหน้าจบแล้ว เราก็เดินกลับลงไปยังสถานีเพื่อนั่งกระเช้าลอยฟ้าลงไปยังลานจอดรถด้านล่าง เป็นอันจบการมาเที่ยวบน ภูเขาโนะโคะกิริ (Mount Nokogiriyama) นั่นเอง
คาเฟ่ BASE nokogiriyama
หลังจากก๊อตลงมาจากกระเช้า ด้วยความที่ตอนเราขึ้นไป ก๊อตเหลือบไปเห็นว่าบริเวณทางเข้าสถานีตรงเชิงเขามีร้านคาเฟ่ BASE nokogiriyama ไวบ์โฮมมี่ๆ ตั้งอยู่ ซึ่งตอนที่เราลงมาทางร้านเค้ายังไม่ปิด นี่เลยแวะเข้ามาหาเครื่องดื่มเย็นๆ กับขนมกินสักหน่อย โดยบรรยากาศด้านนอกร้านจะเป็นเหมือนเค้าเอาบ้านสไตล์ญี่ปุ่นมาเปิดเป็นคาเฟ่ ด้านในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนไม้เป็นหลัก ซึ่งร้านเค้าจะเน้นขายเครป และกาแฟเป็นหลัก
โดยเมนูที่ก๊อตสั่งจะเป็น เครปรสราสเบอร์รี่ ราคา 750 เยน (~ 170 บาท) ที่ใส่ครีมรสนัวๆ ท็อปด้านบนมาด้วยคัมเบิ้ลกรุบกรอบ และคัสตาร์ดโฮมเมด ส่วนอีกอันจะเป็น เครปรสมะนาว ราคา 750 เยน (~ 170 บาท) ที่ใครชอบความเปรี้ยวซ่าสดชื่นต้องลอง ยิ่งได้กินคู่กับ ลาเต้เย็น ราคา 500 เยน (~ 110 บาท) รสกลมกล่อมด้วยแล้ว ช่วยตัดความหวานของขนมไม่ให้เรารู้สึกเลี่ยนได้ดีมาก
นอกจากขนมและกาแฟอร่อยๆ แล้ว ด้านในของร้านยังมีห้องเสื้อผ้ามือสองที่แขวนเอาไว้บนราวให้ได้มาช้อปกันอีกด้วย ซึ่งราคาก็จะต่างกันออกไป ใครที่ชอบแฟชันญี่ปุ่นก็ลองเดินเข้าไปส่องได้ โดยรวมแล้วเป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ขนมอร่อย บรรยากาศดีเหมือนอยู่ในบ้านเพื่อน เหมาะสำหรับมาแวะพักให้หายเมื่อยหลังจากไปขึ้นเขามามาก และจบโรดทริปรอบนี้ได้แบบแฮปปี้สุดๆ
โรงแรมคิจิมู (Kichimu Hotel)
สำหรับโรงแรมที่ก๊อตมาพักในชิบะ (Chiba) ก็คือ โรงแรมคิจิมู (Kichimu Hotel) ซึ่งเป็นทั้งที่พักและเรียวกังอันเลื่องชื่อ โดยที่นี่เค้าโดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่บ่อน้ำพุร้อนโคมินาโตะ (Kominato Onsen) อีกทั้ง บริเวณด้านหลังของโรงแรมยังรายล้อมไปด้วยมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งใครที่จะเข้าพักที่นี้ ภายในเค้ามีห้องให้เลือกทั้งห้องแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมอย่างการปูเสื่อทาทามินอน หรือจะเลือกนอนห้องสไตล์ยุโรปก็ได้
บรรยากาศด้านนอกของโรงแรมเป็นอาคารสไตล์โมเดิร์นขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดถนน ด้านในของล็อบบี้โอ่อ่ามีโซนนั่งเล่นตรงกลางที่ยกเพดานสูง และล้อมรอบไปด้วยหน้าต่างกระจกใสที่เราสามารถมองออกไปเห็นวิวด้านนอกได้ นอกจากนี้ในชั้นเดียวกันยังมีร้านขายของที่ระลึกจากทางโรงแรมเปิดอยู่อีกด้วย ใครที่อยากได้ของน่ารักๆ ติดไม้ติดมือก็สามารถเดินเข้าไปช้อปกันได้
สำหรับห้องพัก ก๊อตเข้าพักเป็นห้องขนาด 2 เตียงนอน ด้านในมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น Wi-fi ไปจนถึงชุดสำหรับไปแช่ออนเซ็น ส่วนห้องน้ำอันนี้ต้องบอกก่อนว่า ห้องที่ก๊อตจองมาจะมีให้เฉพาะห้องส้วม และมุมอ่างล้างหน้าเท่านั้น จะไม่มีห้องอาบน้ำส่วยตัวให้ ซึ่งเราจะต้องไปอาบกันที่ออนเซ็นของโรงแรม โดยจะอยู่ที่ชั้น 9 ส่วนใครที่ไม่สะดวกจะแช่ออนเซ็นรวม ที่นี่เค้ามีบ่อน้ำพุร้อนแบบส่วนตัวอยู่บนดาดฟ้าชั้น 10 ด้วยนะ แต่จะต้องเสียเงินเพิ่มพิเศษประมาณ 2,000 เยน โดยทางโรงแรมเค้าจะแจ้งช่วงเวลาที่เราเข้าไปใช้ได้ อย่างก๊อตเราไปอาบช่วงเช้า เค้าจะมีเวลามาให้เลยว่า ต้องมาตั้งแต่ 6:00 – 06:45 น. โดยสามารถสลับกันมาอาบหรือจะมาแช่พร้อมกันได้นะ
โดยบ่อน้ำพุส่วนตัวจะตั้งหันหน้าออกไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก ตัวบ่อเป็นหินที่สร้างยกสูงขึ้นจากพื้นปกติ ใครที่อยากมาเห็นแสงแรกของวัน ให้ลองเช็คเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้วมาช่วงเวลานั้นได้เลย โดยเฉลี่ยตอนที่ก๊อตไปพระอาทิตย์ขึ้นช่วง 6:20 น. ซึ่งเราจะได้แช่ออนเซ็น ท่ามกลางวิวของมหาสมุทรที่มีผู้คนมารวมตัวกันหาปลา ที่เส้นขอบฟ้ามีพระอาทิตย์ดวงโตค่อยๆ โผล่ขึ้นมาทักทายยามเช้า เป็นบรรยากาศแช่น้ำพุร้อนที่ดีงามมาก ใครชอบความเป็นส่วนตัวก๊อตแนะนำเลย
ในส่วนของอาหารเช้า ที่นี่จะเป็นแบบไคเซกิ ที่มาในรูปแบบบุฟเฟต์ให้เราได้เดินตักกันตามสะดวก โดยจะมีทั้งของคาว ของหวาน และเครื่องดื่มแบบครบครัน ซึ่งความพิเศษของอาหารแบบนี้คือการปรุงที่พิถีพิถัน โดยใช้วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น รวมไปถึงจากแหล่งที่มาต่างๆ ในชิบะ (Chiba) ดังนั้น แขกที่มาเข้าพัก หากมาในช่วงเวลาที่ต่างกันออกไปก็จะได้ลิ้มรสอาหารที่หลากหลายตามแต่ละฤดูกาลนั่นเอง
โดยรวมแล้ว โรงแรมคิจิมู (Kichimu Hotel) เป็นอีกหนึ่งที่พักในชิบะ (Chiba) ที่ก๊อตแนะนำเลย ใครอยากมานอนท่ามกลางกลิ่นอายของมหาสมุทร ได้ดื่มด่ำกับออนเซ็นและบ่อน้ำพุร้อนแบบจัดเต็ม อีกทั้งที่พักยังน่าอยู่ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มาเข้าพักที่ โรงแรมคิจิมู (Kichimu Hotel) รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน
สรุปการมาเที่ยว จังหวัดชิบะ (Chiba)
และทั้งหมดนี้ก็คือ โร้ดทริปเที่ยวจังหวัดชิบะ (Chiba) นั่นเอง ส่วนตัวก๊อตชอบจังหวัดนี้มาก ยิ่งใครที่ชื่นชอบธรรมชาติ รักทั้งทะเลและภูเขา การได้มาขับรถเที่ยวที่นี่บอกเลยว่าฟินใจมาก โดยรวมถนนหนทางดี ผู้คนขับรถเป็นระเบียบไม่เร็วมากตามสไตล์คนญี่ปุ่น แถมใครชอบบรรยากาศขับรถชิลๆ ริมทะเลนะ แพลนเที่ยวทริปนี้บอกเลยว่าเส้นทางเลียบทะเลคือสวยสับมาก อยากให้ทุกคนมาสัมผัสด้วยตากันจริงๆ แล้วจะพบว่าการโร้ดทริปเที่ยวเป็นอะไรที่เปิดโลกและประสบการณ์ให้เราเยอะมาก
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡