ฮาโกเน่ (Hakone) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวยอดฮิตที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาฮาโกเนะทางด้านตะวันออกในจังหวัดคานางาวะ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว โดยฮาโกเน่เค้าได้รับการกำหนดให้เป็นอุทยานธรณีแห่งชาติญี่ปุ่น โดยเครือข่ายอุทยานธรณีประเทศญี่ปุ่น (Japanese Geoparks Network) เนื่องจากฮาโกเน่นั้นเป็นพื้นที่ภูเขาไฟดั้งเดิมที่มีความหลากหลายทางธรณีวิทยานั่นเอง นอกจากความสวยงามของธรรมชาติในฮาโกเน่แล้ว ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งเมืองยอดฮิตในการมาเที่ยวเพื่อดูวิวภูเขาไฟฟูจิด้วยนะ จะมาเที่ยวแบบ One Day Trip ก็ได้ หรือจะมาเที่ยวแบบค้างคืนก็ดีไปหมด
โดยแพลนเที่ยวของก๊อตนั้น จะพาทุกคนไปกินไข่ดำที่หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) ที่เค้าว่ากันว่ากินไข่ดำเพียง 1 ฟอง จะทำให้เรามีอายุยืนยาวขึ้นไปอีก 7 ปี รวมถึงยังพาไปดูกำมะถันที่ยังคงปะทุอยู่ตลอดเวลาท่ามกลางหุบเขาอีกด้วย นอกจากนี้ยังพาไปมูเตลู ขอพรกันที่ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine) ศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น และไปถ่ายรูปกับเสาโทริอิสีแดง (Heiwa no Torii) ท่ามกลางวิวของทะเลสาบที่ถือเป็นจุดถ่ายรูปที่ฮิตมากที่สุดของฮาโกเน่เล้ย
ยังไม่หมดเท่านั้น รอบนี้ก๊อตยังจะพาทุกคนไปขับรถชิลๆ แวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวต่างๆ ภายในเมือง ที่บอกเลยว่าวิวสวยโคตรๆ บรรยากาศนี่ดีไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของป่าเขาที่โอบล้อม พาดผ่านด้วยทะเลสาบ มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิ เป็นวิวที่แบบเลอค่าจนอยากให้อ่านรีวิวเต็มนี้ให้จบกัน สำหรับใครที่แพลนเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone) แต่ยังไม่มีแพลนสามารถเที่ยวตามแพลนก๊อตได้เลย มีเวลาวันเดียวก็เที่ยวได้ จะสวยเบอร์ไหน เลื่อนอ่านเร้วว
มาทำความรู้จักกับ ฮาโกเน่ (Hakone) กัน
ฮาโกเน่ (Hakone) ถือเป็นอีกเมืองท่องเที่ยวรอบๆ โตเกียวที่ฮิตมากที่สุดอันดับท็อปๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของออนเซนและสปา ที่โด่งดังกันมาตั้งแต่ยุคเอโดะ เมื่อปี 1603 มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นเมืองจุดหมายปลายทางของนักปีนเขา เนื่องจากเป็นเมืองที่มีทิวทัศน์ของภูเขาที่แสนงดงาม โดยภูเขาที่คนเค้านิยมมาปีนกัน คือ ภูเขาคินโทกิ (Mount Kintoki) หรืออีกชื่อ ภูเขาอาชิการะ (Mount Ashigara) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง มีความสูงประมาณ 1,212 เมตร (3,976 ฟุต) โดยระหว่างที่ปีนเขานั้น นักปีนเขาจะได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของภูเขาและป่าไม้ที่อยู่รายรอบ และได้เห็นยอดของภูเขาไฟฟูจิแบบพาโนราม่า รวมถึงได้เห็นวิวของทะเลสาบอาชิ และเมืองโดยรอบได้อีกด้วย แต่สำหรับใครที่ไม่ใช่สายปีนเขา ในเมืองเค้าก็มีทางเลือกอื่นให้เราได้ชมวิวมุมสูง ด้วยการไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้า ที่เราจะได้นั่งขึ้นไปชมวิวเมืองจากมุมสูง และเพลิดเพลินไปกับการส่องธรรมชาติของเมืองเค้า
โดยหนึ่งในสถานที่เที่ยวในฮาโกเน่ที่เราจะได้สัมผัสไปกับธรรมชาติแบบใกล้ๆ เลย คือ หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) สถานที่เที่ยวที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟเมื่อเกือบๆ 3,000 ปีก่อน โดยปัจจุบันนี้บริเวณของหุบเขายังมีควันจากกำมะถันพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินอยู่เสมอ ซึ่งคนที่มาเที่ยวที่นี่ นอกจากมาดูควันของกำมะถันแล้ว ยังมาเพื่อลิ้มรสของไข่ดำ ที่ว่ากันว่ากินเพียง 1 ฟอง มีอายุยืนยาวขึ้นอีก 7 ปี กันเลย
นอกจากสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติแล้ว ฮาโกเน่ (Hakone) ยังมีหญ้าสายพันธุ์พิเศษที่ขึ้นเฉพาะที่เมืองนี้อย่าง หญ้าฮาโกเน่ (Hakone Grass) หญ้าขนาดเล็กที่ขึ้นเป็นกอ เติบโตเป็นวงกลมช้าๆ สูงเพียง 45-60 เซนติเมตร มีเอกลักษณ์ด้วยลักษณะของใบที่บางเหมือนกระดาษ และมีความยืดหยุ่นมาก ทำให้เวลามีลมพัดเข้าใส่ จะมีเสียงดังกรอบแกรบเบาๆ ที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับหญ้าชนิดนี้นั่นเอง
เอาเป็นว่า ก๊อตยกให้ ฮาโกเน่ (Hakone) เป็นเมืองแห่งธรรมชาติอีกเมืองหนึ่งที่ใครมาเที่ยวญี่ปุ่น แล้วมีเวลาเหลือๆ สักวัน อยากให้ขับรถมาเที่ยวที่นี่กัน ก๊อตว่าเมืองเค้ามีที่เที่ยวเค้าครบรส และยังถ่ายรูปกับวิวของภูเขาไฟฟูจิได้สวยไม่แพ้เมืองอื่นๆ เลย ว่าแล้วไปดูกันบรรยากาศจริงๆ กั้นน
แพลนเที่ยวใน ฮาโกเน่ (Hakone)
สำหรับแพลนเที่ยวในฮาโกเน่ (Hakone) ของก๊อตจะเป็นแบบ One Day Trip ที่เที่ยวด้วยการขับรถแบบชิลๆ เน้นไปตามที่เที่ยวแลนด์มาร์ค และจุดชมวิวสวยๆ เป็นหลัก เป็นทริปที่ไปเพื่อไปถ่ายรูปกับวิวของภูเขาไฟฟูจิโดยเฉพาะก็ว่าได้ ซึ่งใครเป็นสายถ่ายรูป เน้นเที่ยวชิลๆ ขับรถเพลินๆ สามารถยึดแพลนเที่ยวตามก๊อตได้เลย สำหรับคนที่นั่งรถสาธารณะมา จะมีจุดชมวิวสองจุดในเพลนที่เราไม่สามารถเดินทางมาด้วยรถสาธารณะได้น้า
วิธีเดินทางมาเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone)
วิธีเดินทางมาเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone) เราสามารถเดินทางได้หลายวิธีเลย ซึ่งก๊อตจะยึดการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่โตเกียว (Tokyo) เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยว หรือคนไทยที่บินมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น มักจะบินมาลงที่โตเกียว (Tokyo) จากนั้นค่อยเริ่มออกเที่ยวตามเมืองต่างๆ สำหรับการเดินทางมาที่ฮาโกเน่ (Hakone) นั้น ก็สะดวกมากๆ เพราะเค้ามีขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม โดยก๊อตได้รวมเอาวิธีการเดินทางทั้งหมดมาไว้ให้ตามด้านล่างนี้เลย ใครชอบแบบไหน ถนัดทางใด จิ้มตามนี้ได้เล้ยย
วิธีการเดินทางจาก โตเกียว (Tokyo) <-> ฮาโกเน่ (Hakone)
- รถไฟ: 🎫 ดูและจองตั๋วรถไฟในญี่ปุ่นทุกเส้นทาง ผ่าน Klook
- Odakyu Railway: ให้มาขึ้นที่สถานีสถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) ในโตเกียว (Tokyo) โดยจะเดินทางด้วยรถไฟด่วนพิเศษ ‘Romance Car’ ไปจนถึงสถานีรถไฟฮาโกเนะ-ยูโมโตะ (Hakone-Yumoto Station) ในฮาโกเน่ (Hakone) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.25 ชั่วโมง ราคาอยู่ที่ 2,470 เยน (~640 บาท)
- Fujikyuko Line: แต่ถ้าใครไม่รีบสามารถให้ขึ้นรถไฟสายฟูจิคิวโค (Fujikyuko Line) ที่จะถึงช้ากว่า โดยใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง และต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีโอดาวาระ (Odawara Station) 1 ครั้ง เพื่อนั่งต่อไปยังฮาโกเน่ (Hakone) ราคาตั๋วอยู่ที่ 1,270 เยน (~330 บาท)
- JR (Japan Railways): นอกจากนี้ยังมีรถไฟสาย JR (Japan Railways) อันนี้ต้องบอกก่อนว่าเค้าไปถึงแค่สถานีโอดาวาระ (Odawara Station) เท่านั้น นั้นหมายความว่า ใครมาด้วยรถไฟสายนี้ จะต้องขึ้นรถบัส หรือขึ้นรถไฟที่ไม่ใช่สาย JR ไปยังฮาโกเน่ (Hakone) ต่ออีกรอบ ใครที่ไม่ซีเรียสสามารถมาขึ้นรถไฟหัวกระสุน Tokaido Shinkansen ที่ออกจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) หรือสถานีชินากาว่า (Shinagawa Station) แล้วเดินทางไปยังสถานีโอดาวาระ (Odawara Station) ได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 27-35 นาที ราคาตั๋วเริ่มต้น 3,050-3,500 เยน (~790-900 บาท)
- ถ้าใครอยากเซฟเงินขึ้นไปอีก ก๊อตเอารถไฟประเภทอื่นๆ ที่ราคาเบาๆ ลงมาให้เลือก นั่นคือ รถไฟสาย JR Tokaido Main Line ซึ่งใช้เวลา 1.13 ชั่วโมง จากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) ไปยังสถานีโอดาวาระ (Odawara Station) ราคาตั๋วอยู่ที่ 1,490 เยน (~390 บาท) หรือจะขึ้นรถไฟสาย JR Shonan-Shinjuku จากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) ไปยังสถานีโอดาวาระ (Odawara Station) ได้เช่นกัน ใช้เวลา 1.20 ชั่วโมง ซึ่งมีราคาเท่ากันเลย
- แท็กซี่: นั่งแท็กซี่จากโตเกียว (Tokyo) โดยสามารถเรียกรถได้จากทุกที่ในเมืองได้เลย การนั่งแท็กซี่มาที่ฮาโกเน่ (Hakone) ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการจราจรในช่วงเวลานั้นๆ แต่ราคาจะสูงมาก อยู่ที่ 25,000-35,000 เยน (~6,500-9,000 บาท)
- รถบัส : Odakyu Hakone Highway Bus รถบัสที่วิ่งจากสถานีรถบัสชินจูกุ (Shinjuku Expressway Bus Terminal) ไปยังสถานีโกเทมบะ (Gotemba Station) ทางตอนเหนือของฮาโกเน่ ราคาตั่วอยู่ที่ 1,680 เยน (~440 บาท)
- เช่ารถขับ: ใครที่เน้นสะดวก ไม่อยากเสียเวลารอขึ้นรถสาธาณะ วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางเลย คือการเช่ารถขับ ซึ่งเราสามารถเช่าจากเมืองไหน ในญี่ปุ่นก็ได้ เค้าจะเอารถมาส่งเรา และสามารถขับเที่ยวได้ตามใจชอบได้เลย ใครขับรถเก่งๆ หน่อย แนะนำวิธีนี้เลย
เที่ยวฮาโกเน่ (Hakone) แบบคุ้มๆ ด้วย Hakone Freepass
สำหรับคนที่ไม่ได้เช่ารถขับเที่ยวเองแบบก๊อต และกำลังสงสัยว่ามันมีพาสอะไรมั้ยสำหรับการไปเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone) ด้วยรถสาธารณะ ก๊อตแนะนำให้ทุกคนซื้อ Hakone Freepass เล้ย เพราะพาสนี้เค้ารวมการเดินทางด้วยรถไฟจากโตเกียวแบบไป-กลับ 1 รอบแล้ว กับรถไฟสาย Odakyu Line จากสถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) ไปยังสถานีโอดาวาระ (Odawara Station) เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเราสามารถต่อรถไฟเพื่อไปยังฮาโกเน่ต่อได้เลย ซึ่งพาสนี้เค้ารวมการขึ้นรถแบบไม่จำกัดด้วยระบบขนส่งสาธารณะ 8 อย่างในฮาโกเน่ อย่างเช่น Hakone Tozan Railway, Hakone Tozan Bus (ในพื้นที่ที่กำหนด), Hakone Tozan Cable Car, กระเช้าฮาโกเน่ (Hakone Ropeway) รวมถึงเรือสลัดฮาโกเน่ (Hakone Pirate Ship) อีกด้วย บอกเลยว่าพาสนี้คือครบ จบในตัวเดียวสำหรับการเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone) เลยล่ะ
สำหรับราคาของพาส Hakone Freepass นั้นจะมีแบบ 2 วัน และ 3 วัน โดยราคาเริ่มต้นเค้าจะอยู่ที่ 6,100 เยน (~1,580) บาท ซึ่งก๊อตแนะนำให้เราซื้อออนไลน์จาก Klook ได้เลย เพราะมันสะดวกสบาย ราคาดี และง่ายที่ดีสุดแล้ว
🎫 ซื้อ Hakone Freepass [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
ข้อมูลเที่ยวฮาโกเน่แน่นแล้ว เรามาเที่ยวกัน!
ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine)
รู้มั้ยว่า เราจะเที่ยวไม่ถึงฮาโกเน่ (Hakone) เลย ถ้าเราไม่ได้มาที่ ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine) ที่ถือเป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นที่ผู้คนเค้านิยมมาสัการะกราบไหว้ ซึ่งศาลเจ้าที่นี่ถูกขึ้นทะเบียนในปี 1875 ให้เป็นศาลเจ้าลำดับที่ 3 ในบรรดาศาลเจ้าแห่งชาติ (Kokuhei Shōsha ) ของญี่ปุ่นเลยนะ
ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine) ตั้งอยู่เชิงเขาฮาโกเน่ ริมชายฝั่งทะเลสาบอาชิโนโกะ (Lake Ashinoko) ที่หลายคนอาจจะคุ้นภาพเสาโทริอิสีแดงขนาดใหญ่ ที่ตั้งสง่าอยู่ในทะเลสาบ โดยมีฉากหลังเป็นวิวของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งมันก็คือที่นี่นั่นเอง กับสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณีที่สำคัญอีกแห่งในเมืองฮาโกเน่ (Hakone) แหละ
ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 757 ในรัชสมัยของจักรพรรดิโคโช โดยผู้คนในสมัยนั้นเชื่อกันว่าวิญญาณของคนตายจะไปอยู่ที่ศาลเจ้าเพื่อเดินทางไปยังโลกหน้า นอกจากนี้เค้ายังมีตำนานเรื่องเล่าต่อกันมาว่า นักบวช ‘Mangan Shonin’ ได้นิมิตเห็นวิญญาณอันทรงพลังที่ฮาโกเน่ จนได้เดินทางมาที่นี่และเจอกับมังกรเก้าหัวคอยคุกคามชาวบ้าน และยังบังคับให้ชาวบ้านส่งเด็กในหมู่บ้านไปสังเวยอีกด้วย ซึ่ง Mangan Shonin เองได้ปราบและจับมังกรล่ามโซ่เอาไว้อย่างสงบที่ใต้ทะเลสาบอาชิโนโกะ (Lake Ashinoko) จากนั้นจึงสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นมา และมังกรเองก็ได้กลายเป็นเทพแห่งท้องทะเลที่ชื่อว่า ‘ริวจิ (Ryuji)’ อีกด้วย ถ้าเราได้เดินเข้าไปในศาลเจ้าและได้เห็นมังกรอยู่ตามจุดต่างๆ ก็ศาลเจ้า ก็ไม่ต้องแปลกใจเลย เพราะมันมาจากตำนานนี้นั่นเอง อย่างเช่นน้ำพุรูปมังกร เค้าบอกกันว่าถ้าเราได้ดื่มน้ำจากหัวมังกรตรงนี้ เราจะโชคดีกับความรักด้วยนะเอ้อ 5555
แต่ก่อนที่ก๊อตจะขึ้นไปด้านบนศาลเจ้านั้น เราขอแวะถ่ายรูปกับจุดไฮไลท์ของที่นี่กันก่อนกับเสาโทริอิสีแดงยักษ์ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ริมน้ำ ที่ถือเป็นมุมฮิตถ่ายรูปมากที่สุดในโลกโซเชียลของฮาโกเน่ (Hakone) ถึงขนาดขั้นที่ว่าต้องต่อแถวถ่ายรูปเป็นชั่วโมงเลยเว้ยยย
เสาโทริอิสีแดง (Heiwa no Torii) อันโด่งดังที่เราเห็นนี้ เค้าเป็นเสาที่แสดงถึงสัญลักษณ์แห่งความสันติภาพที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังเมื่อปี ค.ศ. 1952 เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ในปีนั้นคือ พิธีประกาศให้เจ้าชายอากิฮิโตะเป็นมกุฎราชกุมาร และเหตุการณ์ฉลองเอกราชของญี่ปุ่น เมื่อการยึดครองประเทศญี่ปุ่นโดยฝ่ายสัมพันธมิตร (Allied Powers) หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1952 หลังจากการลงนามในสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก (สนธิสัญญาสันติภาพ) ในเดือนกันยายน ปี 1951 นั่นเอง
ช่วงเวลาที่ก๊อตไปตรงเสาโทริอินั้น คนต่อคิวรอถ่ายรูปยังถือว่าปานกลาง ไม่เยอะเว่อวังมากเท่าไหร่ ด้วยความที่ก๊อตไปเที่ยวที่ศาลเจ้าเป็นที่แรกของทริปฮาโกเน่ และตอนนั้นยังไม่ได้สายมากเท่าไหร่ คิวต่อแถวถ่ายรูปค่อนข้างรันคิวไปแบบเร็วๆ ไม่ได้เวิ่นเว้อมากเท่าไหร่แหละ แด้วยความคนญี่ปุ่นที่เค้าจะมีความมุ้งมิ้งขี้เกรงใจกันอยู่เยอะ แต่ละคนก็จะรีบถ่ายแล้วรีบเดินออกไปเพื่อให้คิวคนต่อไปได้เข้ามาถ่าย ทำให้เราไม่ต้องรอนาน แปปเดียวก็ได้เข้าถ่ายแล้ว ซึ่งรูปมุมเสาโทริอิอันนี้ที่ได้มานั้นก็ถือว่าสวยสมชื่ออยู่ ภาพของทะเลสาบที่เล่นกับแสงระยิบระยับ ตัดกับสีแดงของเสาโทริอิที่โดดเด่นอยู่กลางน้ำรายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ที่อยู่รอบๆ เป็นภาพที่ยืนถ่ายท่าไหน ก็ออกมาสวยไปหมด ยกให้เป็นหนึ่งในจุดที่ต้องมาถ่ายรูปของเมืองฮาโกเน่เลย
ถ่ายรูปเล่นสักพัก ก๊อตก็เดินขึ้นไปสักการะบริเวณศาลเจ้าด้านบนเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง ซึ่งพอเราเดินขึ้นมาถึงแล้วนั้นจะเจอกับอาคารหลักโทนสีแดงเลือดหมูตัดกับหลังคาสีเขียวเข้มๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไม้สุดร่มรื่น โดยมีลวดลายความประณีตของสถาปัตยกรรมสไตล์ญี่ปุ่นฉลุไปตามตัวอาคาร เพิ่มความขลังให้กับสถานที่ยิ่งขึ้นไปอีก
โดย ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่ในอดีตเหล่าขุนพลเค้าต่างแวะเวียนมาที่นี่เพื่อมาสวดภาวนา เนื่องจากมีความเชื่อว่าศาลเจ้าแห่งนี้จะนำโชคมาสู่ในเรื่องของการต่อสู้ ส่งผลให้ศาลเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ โดยปัจจุบันนี้ผู้คนเค้าก็ยังนิยมมาสักการะขอพรต่อศาลเจ้า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเดินทางให้แคล้วคลาด รวมไปถึงเรื่องการคลอดบุตรให้ปลอดภัยอีกด้วย ตัวก๊อตเองพอสักการะเสร็จแล้วนั้น ก็อยู่ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ อยู่สักพัก จากนั้นเราก็เดินกลับลงมาเพื่อไปเที่ยวที่ใหม่ต่อ สรุปโดยรวมแล้วเป็นหนึ่งในศาลเจ้าสำคัญของฮาโกเน่ที่ควรค่าแก่การมาที่สุด ตัวศาลเจ้าเค้าสวยงามสมกับเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ ใครที่เป็นสายมูอยากเสริมสิริมงคลควรต้องมาตามรอยเล้ย
จุดชมวิวไทคันซาน (Taikanzan Observatory)
หลังจากเที่ยว ศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine) เรียบร้อยแล้ว เราจะขับรถขึ้นไปดูวิวภูเขาไฟฟูจิบนเยอะเขากันบ้างกับ จุดชมวิวไทคันซาน (Taikanzan Observatory) หนึ่งในจุดชมวิวตรงจุดพักรถก่อนขึ้นทางด่วนที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงกว่า 1,015 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยจากจุดนี้สามารถมองเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิและหุบเขาฮาโกเน่สวยๆ ได้แบบพาโนราม่า โดยจุดชมวิวนี้จะดูเป็นทางการกว่าที่ตะกี้ เพราะเค้าเป็นเหมือนกับจุดพักรถให้กับคนที่ขับรถเดินทางผ่านไปมา พักรถ พักเหนื่อย และหาของกินอร่อยๆ ระหว่างทางขับรถนั่นเอง
สำหรับจุดชมวิวไทคันซาน (Taikanzan Observatory) เค้าจะเป็นลานโล่งๆ มีชิงช้าโยกเยกให้ได้มานั่งเล่น รวมถึงมีกล้องส่องทางไกลหยอดเหรียญให้เราส่องต้าวภูเขาไฟฟูจิด้วย ซึ่งจากจุดชมวิวนี้เอง เราสามารถมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ได้แบบไม่มีสิ่งกีดขวาง ทั้งภูเขาไฟฟูจิ และทะเลสาบอาชิโนโกะ (Lake Ashinoko) ที่ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาไทคันซัง ภูเขาโคมากาทาเกะ ตลอดจนภูเขารอบนอก เช่น ภูเขาคินโทกิ และแม้แต่เทือกเขาแอลป์ตอนใต้ คาบสมุทรมิอุระ คาบสมุทรโบโซ และเกาะโอชิมะได้ในระยะสายตาด้วยย
จุดชมวิวไทคันซาน (Taikanzan Observatory) เป็นจุดชมวิวที่ก๊อตประทับใจมาก คือสวยจริงแบบไม่จกกับภาพพาโนรามาข้างหน้าเรา รวมถึงบรรยากาศเองยังสบายๆ ได้เห็นคนญี่ปุ่นเค้าพาหมามาเดินเล่น นั่งพูดคุยกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ซึ่งส่วนตัวก๊อตมองว่ามันดูเป็นจุดชมวิวที่เงียบสงบ และเป็นหนึ่งในจุดที่ชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้สวยที่สุดในฮาโกเน่ (Hakone) เลย แต่เสียดายอย่างเดียวว่ามันไม่มีรถสาธารณะขึ้นมา ทำให้เดินทางมายากหน่อยแง่ะ เอาเป็นว่า ใครที่ขับรถมาก็ลองขับขึ้นมาดูได้นะ รับรองไม่ผิดหวัง!
หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani)
อีกหนึ่งที่เที่ยวดังของฮาโกเน่ที่ทุกคนต้องมาเลยก็คือ หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) หุบเขาภูเขาไฟที่ยังมีกำมะถันและน้ำพุร้อนปะทุออกจากปล่องอยู่ โดยปล่องภูเขาไฟที่ว่านั้น เกิดจากการปะทุครั้งสุดท้ายของภูเขาฮาโกเนะ เมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว ซึ่งในปัจจุบันนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของบริเวณนี้ยังเป็นเขตภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่ ทำให้ใครมาเที่ยวที่นี่จะได้เห็นควันกำมะถันลอยคละคลุ้งขึ้นมาจากพื้นดินอยู่เป็นระยะ รวมถึงยังมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่อีกด้วย หากใครมาเที่ยวในวันที่ฟ้าเปิดที่นี่เป็นอีกหนึ่งในสถานที่ที่เราสามารถมองเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิได้แบบเต็มตาเลย ซึ่งวิวภูเขาไฟฟูจิจากตรงนี้ก็สวยเอาเรื่องมากกก
หมดอายุ: 10-10-2024
หมดอายุ: 10-10-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
สำหรับการเดินทางมาที่นี่นั้น เราสามารถสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นมาได้จากริมทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi) ตรงสถานีกระเช้าโทเกนได (Togendai Station) ที่อยู่ใกล้กับท่าเรือเรือสลัดฮาโกเน่ (Hakone Pirate Ship) ได้เลย สำหรับคนที่ขับรถมาแบบก๊อต หากใครที่ยังอยากขึ้นกระเช้า ก๊อตแนะนำว่าให้เอารถไปจอดที่สถานีอูบาโกะ (Ubako Staion) ได้ เนื่องจากตรงนี้ที่จอดรถฟรี และสามารถซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าจากตรงนี้ แล้วนั่งขึ้นมาลงบน หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) ได้เลย แต่ถ้าใครไม่อยากนั่งกระเช้า เราสามารถขับรถขึ้นมาด้านบนได้ เนื่องจากบนหุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) มีลานจอดรถขนาดใหญ่รองรับนักท่องเที่ยวอยู่เช่นกัน
ด้านบนของ หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) คือคนเยอะม๊าก โดยเค้าจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ร้านขายไอติมเยอะแยะมากมาย ซึ่งตัวก๊อตเองก็ได้กินข้าวและซื้อของฝากที่นี่ รวมถึงได้เดินเล่นชมเหมืองที่เค้ามีควันและกลิ่นกำมะถันลอยแบบปุดๆ นี่แหละ 555555
ไฮไลท์ที่ทุกคนต้องมาทำเลย คือการมากินไข่ดำ หรือ ‘kuro-tamago’ ที่เค้าต้มมาจากบ่อน้ำพุร้อนใน หุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) โดยความพิเศษของเค้าคือเปลือกไข่สีดำที่เกิดจากการต้มในน้ำแร่กำมะถันจากหุบเขา ซึ่งถ้าเราสังเกตเปลือกไข่ใกล้ๆ จะเห็นว่าเค้าไม่ได้สีดำสนิท มันเหมือนมีลวดลายระยิบระยับอย่างกับดาวมากมายท่ามกลางกาแล็กซีที่เห็นในหนังเป๊ะ แต่พอลองปลอกไข่ดูแล้ว ข้างในมันก็คือไข่ต้มหน้าตาปปกติทั่วไป ซึ่งรสชาติก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ก็คือเหมือนไข่ต้มปกติธรรมนั่นเอง 55555
แต่เค้าก็มีความเชื่อกันอยู่นะว่าเมื่อเรากินไข่ดำของที่นี่ 1 ฟอง เราจะมีอายุยืนยาวไปอีก 7 ปี ถ้าใครที่อยากอายุยืนขึ้นไปอีก สามารถซื้อไข่ดำที่ร้านค้าด้านบนได้เลย เค้าจะขายกันเป็นถุง มี 5 ฟอง ซึ่งถ้าก๊อตกินทั้งหมดนี้ แบบนี้แสดงว่าก๊อตเองจะมีอายุยืนขึ้นไปอีก 35 เลยใช่ไหม 555555555
ทุ่งหญ้าซูซูกิแห่งเซนโกคุฮาระ (Sengokuhara Susuki Grass Fields)
ขับรถลงมาจากหุบเขาโอวาคุดานิ (Owakudani) ไม่ไกลมากนัก เป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแล้ว ก๊อตเลยรีบไปต่อกันที่ ทุ่งหญ้าซูซูกิแห่งเซนโกคุฮาระ (Sengokuhara Susuki Grass Fields) ทุ่งหญ้าสีน้ำตาลเหลืองทองที่ให้มู้ดสุดอบอุ่น ซึ่งก่อนจะขับรถไปถึงจุดที่คนเข้าแวะลงถ่ายรูปกันนั้น สองข้างทางก็จะมีดอกหญ้าสีน้ำตาลพัดลู่ลมอยู่เต็มไปหมด ราวกับกำลังโบกมือต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเราชะมัด
สำหรับการเดินทางมาที่นี่นั้น ใครที่ขับรถมาเหมือนก๊อต ให้เราขับไปตามแผนที่ในแมพได้เลย ซึ่งพอถึงแล้วมันจะมีซอยอยู่ข้างๆ เลย Family Mart ไปนิดหน่อย ด้านในจะมีที่จอดรถแบบเสียเงิน เราสามารถเอารถเข้าไปจอดได้เล้ย ซึ่งเป็นที่จอดรถแบบเสียเงินนา
สำหรับ ทุ่งหญ้าซูซูกิแห่งเซนโกคุฮาระ (Sengokuhara Susuki Grass Fields) เชื่อกันว่าพื้นที่ตรงนี้แต่เดิมเคยเป็นทะเลสาบลึกที่อยู่ในแอ่งของภูเขาไฟฮาโกเน่ ก่อนที่น้ำในทะเลสาบจะแห้งเหือดไปอย่างช้าๆ จนกลายมาเป็นที่ราบลุ่ม ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้นคือสวยจริงกับภาพทุ่งดอกหญ้ามหาศาลเรียงรายเข้าไปตามแนวเขาแบบสุดลูกหูลูกตา ก๊อตว่ามู้ดมันเหมือนทุ่งดอกหญ้าในเกาหลีเว่อ คือลงสตอรี่ที่นี่ในไอจีไป เพื่อนคนเกาหลีถึงกับทักข้อความมาหาว่า ‘ญี่ปุ่นหรอเนี่ย ชั้นนึกว่าเกาหลี’ คือบรรยากาศมันได้มากจริงๆ แกร๊ 55555555
การเที่ยวทุ่งหญ้าที่นี่ เค้าจะมีเส้นทางเดินเท้าเล็กๆ ที่ทอดยาวเข้าไปลึกมาก แต่ด้วยความที่เรามาในช่วงที่พระอาทิตย์แทบจะโบกมือลาจนแสงเริ่มมืดแล้ว นี่เลยรีบเดินเข้าไปข้างในสักครึ่งทาง เพื่อถ่ายรูปท่ามกลางดงดอกหญ้าสีน้ำตาลๆ ขาวๆ ก็พอ บอกเลยว่าภาพที่ได้ให้อารมณ์เหมือนก๊อตยืนถ่ายรูปท่ามกลางพรมนุ่มนิ่ม ที่มีความหนุบหนับ ฟูฟ่อง เหมือนปุยนุ่น สวยละมุนมากๆ และแม้ว่าเราจะมาตอนใกล้ค่ำแบบนี้ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยว และชาวญี่ปุ่นเข้าเดินเข้าไปด้านในลึกจากที่ก๊อตยืนอยู่อีกด้วยนะ แต่เรากลัวเข้าไปแล้วเดินออกมามืด เลยถ่ายกันแค่ตรงนี้พอ ซึ่งก๊อตว่าวิวที่ได้มันก็เลอค่ามีความเจ้าหญิง เจ้าชายในเทพนิยายมากก เป็นอีกหนึ่งจุด Instagrammable ที่สายถ่ายรูปพลาดไม่ได้เลยในฮาโกเน่แหละ
สรุปการเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone)
สำหรับการมาเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone) ของก๊อตในทริปนี้ ส่วนตัวแล้วก๊อตยกให้เป็นอีกหนึ่งเมืองในญี่ปุ่น ที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบและอยากมาดูภูเขาไฟฟูจิ เป็นที่สุด เพราะที่นี่เราสามารถมองเห็นวิวสวยๆ ของภูเขาไฟฟูจิได้แบบสวยราวกับภาพวาดเลย อีกทั้งในเมืองยังมีที่เที่ยวเยอะมาก ธรรมชาติของเมืองเค้าสวยงามมากๆ มู้ดดี อีกทั้งยังมีศาลเจ้าฮาโกเน่ (Hakone Shrine) ที่สายรูปต้องมาถ่าย สายมูต้องมาไหว้ด้วย ใครที่แพลนขับรถเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อตามล่าหาภูเขาไฟฟูจิ หากเรามาเที่ยวแถวๆ คาวากุจิโกะ (Kawaguchi) หรือแม้แต่คาบสมุทรอิซุ (Izu Peninsula) แล้ว ก็อย่าลืมมาเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone) ด้วยล่าาา ทุกอย่างคือดีย์งาม เที่ยวเป็นแพ็คได้เล้ย
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡