โอตารุ (Otaru) เมืองท่าสุดน่ารักของฮอกไกโด (Hokkaido) ที่ก๊อตอยากมาป้ายยาให้ทุกคนมาเที่ยวและตามรอยกันมาก ใครอยากได้ไวบ์เมืองเล็กๆ ท่ามกลางบรรยากาศสุดสโลวไลฟ์ มาเดินเล่นทอดน่องชิลๆ เลียบคลองเล็กๆ แบบปล่อยใจจอยๆ ก๊อตจะบอกว่ามันไม่มีที่ไหนตอบโจทย์เราเท่ากับ โอตารุ (Otaru) อีกแล้ว ยิ่งใครที่เคยกินขนมของ เลอทาโอะ (LeTAO) ที่มีขายอยู่ในบ้านเราด้วยแล้ว หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าต้นตอแบบออริจิของแบรนด์เค้าตั้งอยู่ที่ โอตารุ (Otaru) ด้วยนะ คือมาเที่ยวที่นี่เราจะได้เต็มอิ่มทั้งวิวสวยๆ และขนมอร่อยๆ เลยเชียวแหละ
รู้จักกับ โอตารุ (Otaru)
โอตารุ (Otaru) หนึ่งในเมืองท่าที่มีเสน่ห์และมีบรรยากาศที่งดงามไม่แพ้เมืองท่าอื่นๆ ของญี่ปุ่น โดยที่นี่ตั้งอยู่บนชายฝั่งของเกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่เหนือสุดของญี่ปุ่น เลื่องลือในเรื่องของอาคารประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี ท่ามกลางไวบ์ของคลองที่ไหลพาดผ่านเมืองอันเงียบสงบ โดยประวัติของเมืองนั้น ก๊อตขอเล่าย้อนกลับไปในช่วงยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603-1868) ซึ่งในขณะนั้นบริเวณพื้นที่ของเมือง โอตารุ (Otaru) เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ และมีท่าเรือตามธรรมชาติเท่านั้น กระทั่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โอตารุเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นและได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือได้รับการขยายใหญ่มากขึ้น พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นท่าเรือหลัก และเมืองก็กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในช่วงยุคเมจิ (ค.ศ. 1868-1912) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการประมงปลาเฮอริ่งที่เติบโตแบบก้าวกระโดดจน โอตารุ (Otaru) ถูกเรียกขานว่าเป็น ‘เมืองหลวงปลาเฮอริ่ง’ กันเลยทีเดียว
ในช่วงเวลาดังกล่าว โอตารุ (Otaru) ได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของสถานีปลายทางของเส้นทางรถไฟสายแรกของฮอกไกโด (Hokkaido) ซึ่งเชื่อมต่อเมืองแห่งนี้เข้ากับซัปโปโร (Sapporo) ทำให้ง่ายต่อการเดินทางมาเที่ยวและสามารถเดินทางไปยังเมืองใกล้เคียงได้อีกด้วย ทางเมืองเค้าเลยมีการปรับปรุงพื้นที่ต่างๆ จนเริ่มมีการขุดคลองโอตารุ (Otaru Canal) เพื่อใช้เป็นเส้นทางในการขนส่งสินค้าไปและกลับจากคลังสินค้าตามบริเวณริมฝั่ง นั่นยิ่งทำให้เศรษฐกิจของเมืองโตขึ้นไปอีก ทำให้มีหลายบริษัทของญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาตั้งรกรากอยู่ภายในเมือง พร้อมทั้งมีการก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกผสมผสานกับความดั้งเดิมของญี่ปุ่น ทำให้บรรยากาศของเมืองแห่งนี้มันออกมาไม่เหมือนใคร
เมื่อเข้าสู่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความสำคัญของท่าเรือโอตารุก็ลดลง เนื่องจากปลาเฮอริ่งในแม่น้ำที่หายากขึ้น รวมไปถึงกิจกรรมทางอุตสาหกรรมได้เริ่มย้ายไปยังส่วนอื่นๆ ของญี่ปุ่น ส่งผลให้เศรษฐกิจของเมืองเริ่มซบเซา ทีนี้เหล่าธุรกิจที่เคยฟู่ฟ่าขายกันพรึ่บพรั่บ ไปจนถึงผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ภายในเมืองได้เริ่มพากันย้ายออกไปจากเมืองเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ทางเมืองได้มีการพัฒนาและปรับปรุงเมืองครั้งใหญ่ รวมถึงบูรณะอาคารและพื้นที่รอบๆ คลองโอตารุให้กลายมาเป็นพื้นที่สำหรับคนเดิน จนทุกวันนี้ โอตารุ (Otaru) กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเมื่อมาเที่ยวฮอกไกโดเลยก็ว่าได้ ซึ่งที่นี่มาเที่ยวฤดูไหนก็สวยงามมาก อย่างก๊อตเคยมาเที่ยวทั้งหน้าร้อนและหน้าหนาว บอกเลยว่าไวบ์ของแต่ละฤดูมันสวยสับไม่แพ้กันเลย อย่างหน้าร้อนจะให้ความเป็นเมืองอบอุ่น ท่ามกลางต้นไม้เขียวๆ แต่พอเข้าหน้าหนาวทั่วทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยหิมะให้อารมณ์เหมือนเมืองมาร์ชเมลโล่ อย่างกับฉากในการ์ตูนน่ารักๆ สักเรื่องเลยแหละ คือก๊อตอยากให้ทุกคนมาสัมผัสด้วยตัวเองกันสักครั้ง บอกเลยว่า โอตารุ (Otaru) มันดีงามมาก
วิธีการเดินทางมาที่โอตารุ (Otaru) จากซัปโปโร (Sapporo)
สำหรับการเดินทางมาเที่ยวยังโอตารุ (Otaru) นั้น เราสามารถมาเที่ยวแบบ One Day Trip ได้เลยนา โดยวิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดในการเดินทางมายังโอตารุ (Otaru) จากซัปโปโร (Sapporo) คือรถไฟ JR ซึ่งสามารถขึ้นรถไฟได้ที่สถานีซัปโปโร (Sapporo Station) แล้วนั่งมาลงที่สถานีโอตารุ (Otaru Station) ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น
ค่าโดยสารรถไฟ JR อยู่ที่ 640 เยนต่อเที่ยว (~140 บาท) ซึ่งรอบรถไฟจะออกจากสถานีทุกๆ ครึ่งชั่วโมง โดยรอบแรกจะเริ่มที่เวลา 09:00 น. และรอบสุดท้ายของวันคือ 23:00 น. ดังนั้น ใครจะมาเที่ยวที่โอตารุ (Otaru) อย่าลืมแพลนเวลากลับดีๆ กันด้วย
ข้อมูลแน่นแล้ว เรามาเริ่มเที่ยว โอตารุ (Otaru) ไปด้วยกันเร้วว
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum)
การเที่ยวโอตารุ (Otaru) ของก๊อตนั้น ขอเริ่มเลยที่ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) หากใครเคยดูแฟนเดย์ แล้วจำฉากที่หัวหน้านางเอกแกล้งบอกว่าจะเล่นมายากลให้นาฬิกาหน้าพิพิธภัณฑ์พ่นไอน้ำออกมาแล้วมีเสียงดังลั่นนั้น ก๊อตจะบอกว่าเค้าถ่ายทำกันที่ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) นี่แหละ ซึ่งนาฬิกาที่ว่าเค้าคือ นาฬิกาไอนํ้าตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนาฬิกานี้ คือของขวัญที่รัฐบาลแคนาดาเค้ามอบให้แก่ประเทศญี่ปุ่น โดยก๊อตจะพาทุกคนมาเที่ยวที่นี่กันก่อนนั่นเอง สำหรับ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) หรือ Otaru Orgel Museum เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศตนให้กับงานศิลปะและประวัติศาสตร์ของกล่องดนตรี มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
โดย พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) ตั้งอยู่ภายในอาคารอิฐเก่าแก่สูง 3 ชั้น ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมของยุคเมจิ (Meiji Period) และไทโช (Taisho Period) ซึ่งเดิมทีอาคารหลังนี้เป็นโกดังเก็บของ ก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนให้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในช่วงปี ค.ศ. 1983 ในตอนนั้นบริษัท Otaru Music Box ได้ปรับเปลี่ยนอาคารแห่งนี้ให้กลายมาเป็น พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) โดยมีเป้าหมายที่จะอนุรักษ์ศิลปะของกล่องดนตรี และแบ่งปันความทรงคุณค่าของงานฝีมือให้กับผู้คน
บริเวณด้านในของ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) มาในบรรยากาศโฮมมี่ๆ เหมือนพาเราหลุดเข้าไปในโลกแห่งเทพนิยายที่รายล้อมไปด้วยเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ อยู่รอบตัว ยิ่งมาพร้อมกับไฟสีส้มนวลๆ ด้วยแล้ว ในนี้มันยิ่งโรแมนติกอบอุ่นหัวใจม๊าก บริเวณชั้นแรกจะเป็นเหมือนร้านขายกล่องดนตรี ที่มีให้เราเลือกซื้อกันจนตาแตก ก๊อตยังไม่เคยเห็นกล่องดนตรีที่ไหนจะเยอะเท่าที่นี่อีกแล้ว คือให้นับด้วยสายตาบอกเลยว่านับไม่หวาดไม่ไหว โดยเค้าจะจัดวางกล่องดนตรีแต่ละแบบไปบนชั้นที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งเราสามารถเดินชมได้แบบใกล้ชิดเลยนะ ตอนเดินดูก็จะมีเสียงดนตรีออกมาให้ได้ฟังเพลินๆ และนอกจากกล่องดนตรีแล้ว ยังมีพวกโคมไฟ เครื่องแก้ว กรอบรูปที่ทำออกมาดีเทลละเอียดยิบ รูปทรงน่ารักๆ วางขายอีกด้วย
เดินขึ้นบันไดมาบริเวณชั้น 2 และชั้น 3 เค้าจะเป็นโซนที่ดูเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาแล้ว โดยรอบๆ จะมีการจัดวางกล่องดนตรีและของตกแต่งขนาดเล็กไปจนถึงของชิ้นใหญ่ๆ ที่มีให้เห็นมากกว่าบริเวณชั้นแรก มาพร้อมการจัดวางของเฟอร์นิเจอร์โทนสีไม้ๆ ให้ฟีลเหมือนเราอยู่ในบ้านเก่าแก่ตามในหนังย้อนยุคแบบนั้นเลย ซึ่งทั้งสองชั้นนี้จะมีนิทรรศการพิเศษหมุนเวียนมาจัดให้ได้ชมอยู่เรื่อยๆ ด้วยนา ใครที่อยากถ่ายรูปไม่ติดคนเยอะแนะนำขึ้นมาชั้นนี้เลย
โดยรวมแล้วจากที่ก๊อตไปมา ที่นี่น่ารักดี คือเหมาะแก่การเดินเล่นดูของ ใครชอบกล่องดนตรีก็สามารถซื้อกลับบ้านได้เลย แต่อาจจะต้องใช้เวลาเลือกนานหน่อย เพราะกล่องดนตรีเยอะม๊ากกก แบบที่ว่ามีของขายประมาณ 3,400 ชนิด และมากกว่า 25,000 ชิ้น กันเลยทีเดียว ถือเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ควรพลาดเลย
ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street)
ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) หากใครอยากมาช้อปสารพัดข้าวของที่มีมาให้เลือกกันแบบตาแตกทั้ง ของกินทั้งคาวหวาน ของใช้ ไปจนถึงของฝากสุดครีเอท สถานที่ต่อไปที่ต้องมาเลยก็คือ ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) เพราะที่นี่เป็นเหมือนแหล่งช้อปปิ้งประจำโอตารุ (Otaru) ที่เต็มไปด้วยร้านค้าอยู่มากมาย ขายกันสารพัดสิ่งแบบเดินเลือกชมจนตาลาย โดย ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งในช่วงเวลานั้น โอตารุ (Otaru) ยังคงเป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางทางการค้าในฮอกไกโด (Hokkaido) ถนนช้อปปิ้งสายนี้จึงถูกพัฒนาขึ้นมาโดยทำหน้าที่เป็นตลาดสุดคึกคักที่ผู้คนเค้ามาจับจ่ายซื้อของกันนั่นเอง
สำหรับเมืองโอตารุ (Otaru) นั้น ด้วยความที่เค้าเลื่องลือในเรื่องของหวาน ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เต็มไปด้วยร้านขายขนม และคาเฟ่อยู่เยอะมาก ซึ่งหลังจากที่ก๊อตเดินออกมาจากสถานีรถไฟแล้ว เราก็เดินตรงมายังถนนช้อปปิ้งเลย เค้าจะเป็นถนนยาวประมาณ 1 กิโลเมตร โดยสองข้างทางเป็นอาคารเก่าที่ถูกปรับปรุงให้กลายมาเป็นร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ทอดยาวไปตามแนวถนนท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคักเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว
เลอทาโอะ (LeTAO)
หากใครที่มาจาก พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum) ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์เค้าจะมีร้านขนมเจ้าดังอย่าง เลอทาโอะ (LeTAO) แบรนด์ชีสเค้กและเบเกอรี่ชื่อดังที่มีสาขาอยู่ในบ้านเราด้วยนะ ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่าบ้านเกิดของเค้าอยู่ที่โอตารุ (Otaru) นี่เอง โดยตัวร้านเลอทาโอะ (LeTAO) ร้านแรกที่เราเข้ามาจะเป็นคาเฟ่ ตกแต่งเป็นตึกอิฐแดงสีเข้มๆ ตัดกับแผ่นไม้สูง 2 ชั้น มาพร้อมหน้าต่างกระจกใสรอบทิศทาง
ส่วนภายในจะเป็นโซนเคาท์เตอร์ให้เราสั่งขนมและไอศกรีม รวมถึงเบเกอรี่อยู่ด้วย ซึ่งเมนูที่ก๊อตสั่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก Dani เพราะตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวเท้าเข้าร้านมา ก๊อตก็เจอหน้าตาของขนมนี้แปะหราอยู่บนป้ายหน้าร้านแล้ว โดยความพิเศษของ Dani ชิ้นละ 378 เยน (~90 บาท) คือเค้าใช้วัตถุดิบหลักอย่าง ชีส นม แป้งเดนมาร์กทำจากข้าวสาลีจากฮอกไกโด 100% แถมยังใช้ยีสต์แบบโฮมเมดที่หมักในอุณหภูมิต่ำเป็นเวลา 72 ชั่วโมง ผ่านขั้นตอนการทำจนได้ออกมาเป็นแป้งเดนมาร์กเนื้อกรุบกรอบเข้ากันกับชีสรสนุ่มละมุน และอีกเมนูที่ลองคือ Sausage Fromage Pie ราคา 690 เยน (~165 บาท) ตัวนี้เนื้อพายจะกรอบๆ เวลากัดจะแตกเป็นแผ่นๆ อยู่ในปาก ไส้ของแอปเปิ้ลด้านในไม่เปรี้ยวหรือหวานโดดจนเกินไป กินพร้อมแป้งแล้วอร่อย แถมยังให้มาชิ้นใหญ่จุกๆ ด้วย
พอกินขนมจากฝั่งคาเฟ่เสร็จแล้ว ตรงข้ามยังมี เลอทาโอะ ( LeTAO) อีกร้านที่เป็นร้านขายขนม เค้กและโรลที่เราสามารถซื้อเป็นของฝากได้ โดยพวกขนมต่างๆ ของแบรนด์จะถูกแพ็คอยู่ในกล่องวางขายให้ได้ซื้อกลับบ้านได้อย่างสะดวกนั่นเอง นอกจากนี้ที่นี่เค้ามีไอศกรีมซอฟต์เสริฟขายด้วยนะ โดยวัตถุดิบหลักของเค้าก็คือนมฮอกไกโดอันเลื่องชื่อ โดยเค้ามีให้เลือก 3 แบบคือ รสนมฮอกไกโด รสชีส และรสนมผสมชีส ซึ่งก๊อตเองได้ลองสั่งรสชีสมา เริ่มแรกกินก็อร่อยหน่อย แต่พอกินไปเรื่อยๆ เริ่มเลี่ยนชีส เพราะมันเป็นไอศกรีมชีสแบบชีสจริงจัง 55555 แต่ถ้าใครเป็นสาวกชีสอยู่แล้ว นี่ว่าต้องชอบไอศกรีมซอฟต์เสิรฟของที่นี่แน่นอน ส่วนใครที่ซื้อไอศกรีมสามารถถือมานั่งกินที่โต๊ะด้านข้างของร้านได้นะ อย่าไปยืนกินขวางทางในร้านล่ะ
เติมพลังกันเสร็จแล้ว ก๊อตก็เดินส่องบรรยากาศภายในถนนช้อปปิ้งกันต่อ ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่เค้าจะเน้นขายของที่ระลึกกันเยอะมาก อย่างขนมนี่มีให้เลือกกินหลากหลายแบรนด์เลยนะ และนอกจากนมกับชีสที่ขึ้นชื่อของฮอกไกโดแล้ว เมล่อนที่นี่ยังรสชาติหวานเจี๊ยบอีกด้วย ใครเดินผ่านร้านขายเมล่อนอยากให้ลองซื้อมากินดู มันอร่อยฉ่ำสุดๆ ไปเลย
นอกจากนี้ยังมีร้านเครื่องแก้วที่ข้างในขายสารพัดของกุ๊กกิ๊กที่ทำจากแก้วอยู่เยอะมาก คือพูดถึงเรื่องเครื่องแก้วแล้วเราอาจจะนึกถึงพวกของใช้เป็นหลัก แต่ที่นี่เค้ามีพวกของตกแต่งอยู่เยอะมาก ทั้งตุ๊กตาแก้วไล่ฝน ของตกแต่งบ้านรูปทรงน่ารักๆ ที่ทำจากการเป่าแก้วให้ออกมาเป็นสัตว์ต่างๆ ซึ่งความครีเอทนี้ก๊อตให้คะแนนเต็มสิบเลย
ยังไม่หมดเท่านั้น สาวกของวินเทจที่อยากได้ไอเท็มเก๋ๆ กลับไปฝากคนที่บ้าน ตามถนนช้อปปิ้งเค้ามีร้านสินค้าวินเทจขายอยู่พรึ่บพรั่บเลยนะ ของแรร์ที่ว่าหายาก ไปตามเก็บมาแล้วหลายที่ยังไม่ได้ ลองมาเดินส่องที่นี่ดู ก๊อตว่าของเค้ามีให้ช้อปเยอะเลย จะพวกอาร์ตทอยรุ่นเก๋า ของแต่งบ้าน หรือของปุ๊กปิ๊กที่นี่ก็มีครบ ส่วนใครที่เป็นแฟนๆ ของมิฟฟี่ หรือสนูปปี้ ที่ ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) เค้าก็มีร้านของมิฟฟี่ที่เปิดขายทั้งเครื่องดื่มและขนม ไปจนถึงของฝากแทบจะทุกสิ่งที่อย่างให้ได้มากินและช้อปด้วยนา ใครที่เป็นแฟนๆ ของมิฟฟี่มาแล้วมีล้มละลายแน่นอน
สรุปเลย ถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi Street) แม้จะมีเส้นทางเพียง 1 กิโลเมตร แต่บรรยากาศภายในนั้นคึกคักมากกก ของที่ขายก็หลากหลาย จะเป็นของกินทั้งคาวและหวานก็ทำถึง จะเป็นของฝากที่ระลึกก็มีให้เลือกเยอะ หรือแม้แต่ของวินเทจหายากๆ ที่นี่ก็มีให้ครบจบในที่เดียว คือตลอดเส้นทางยาว 1 กิโลเมตรนั้น บอกเลยว่าช้อปปิ้งกันเพลินมาก ใครที่อยากหิ้วขนมหรือของฝากฟีลญี่ปุ่นจัดๆ กลับไทย สามารถมาเดินหาซื้อที่นี่ได้เลย
คลองโอตารุ (Otaru Canal)
มาถึงไฮไลท์ของโอตารุอย่าง คลองโอตารุ (Otaru Canal) ที่เที่ยวที่ดึงดูดผู้คนให้มาเยือนเมืองอยู่แทบตลอดทั้งปี อีกทั้งยังเป็นสถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในฮอกไกโดเลยก็ว่าได้ ด้วยบรรยากาศสโลว์ไลฟ์สุดชิลของคลองที่ไหลโค้งไปตามเมือง รายล้อมไปด้วยบ้านเรือน อาคาร ร้านค้า ท่ามกลางวิถีชีวิตของผู้คนที่ไม่พลุกพล่านวุ่นวาย เหมาะแก่การมาเที่ยวพักผ่อนใจ ยิ่งในยามกลางคืนที่เค้านำเอาโคมไฟมาประดับไปตามส่วนต่างๆ ของคลองด้วยแล้วนะ บรรยากาศนี่โรแมนติกมาก ซึ่งทั้งหมดนี้มันเลยทำให้ คลองโอตารุ (Otaru Canal) ป๊อบขึ้นมาแบบที่ว่าคนมาเที่ยวหลักล้านต่อปีกันเลย
สำหรับ คลองโอตารุ (Otaru Canal) ถือเป็นคลองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในโอตารุ (Otaru) ของฮอกไกโด (Hokkaido) ประเทศญี่ปุ่น โดยคลองสายนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เริ่มก่อสร้างกันในปี ค.ศ. 1914 และแล้วเสร็จในช่วงปี ค.ศ. 1923 โดยมีความยาวของคลองอยู่ที่ 1.1 กิโลเมตร ซึ่งในขณะนั้นเมืองโอตารุ (Otaru) นี้เป็นเมืองท่าที่สำคัญในการขนส่งสินค้าทางเรือเข้าสู่เกาะฮอกไกโด คลองสายนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกได้ว่าเป็นคลองที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของโอตารุ (Otaru) ในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างมาก
หมดอายุ: 10-10-2024
หมดอายุ: 10-10-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
จนกระทั่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เมื่อความก้าวหน้าและเทคโนโลยีเข้ามาถึงมากขึ้น จากเดิมที่คนเค้าส่งของผ่านทางเรือ ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นขนส่งผ่านรถบรรทุกและรถไฟ ทำให้ คลองโอตารุ (Otaru Canal) ซบเซาลงจนคลองเริ่มมีการทรุดโทรมจนถึงขั้นที่ทางการจะเข้ามาถมคลอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะกระแสของคนท้องถิ่นที่ช่วยกันต่อต้านเอาไว้ จนในที่สุด ปี ค.ศ. 1986 ได้มีการบูรณะและปรับปรุงคลอง และได้ยกเลิกเป็นท่าขนส่งสินค้า โดยได้เนรมิตพื้นที่รอบๆ ให้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหาร ที่ล้วนแต่ผสมผสานความเก่าแก่และความทันสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีเอกลักษณ์
แต่ก๊อตต้องบอกก่อนว่า ก๊อตเคยมาเที่ยว คลองโอตารุ (Otaru Canal) ทั้งหน้าร้อนและหน้าหนาวที่มีหิมะฟูฟ่องมาแล้ว โดยการเที่ยวของเรานั้น สามารถเดินเล่นเลียบไปตามแนวคลองที่เป็นทางเดินปูด้วยอิฐทอดยาวคดเคี้ยวไปตามแนวคลอง ท่ามกลางโกดังเก่าที่ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ของอาคารที่ผสมผสานเข้ากับการตกแต่งที่ทันสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
หากใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหนก่อนดี เราสามารถเดินจากบริเวณสะพานอาซาคุสะ (Asakusa Bridge) ไล่ยาวไปจนถึงสะพานจูโอ (Chuo Bridge) ได้เลย โดยก๊อตเริ่มจากแวะถ่ายรูปที่กลางสะพานอาซาคุสะ (Asakusa Bridge) ซึ่งตัวสะพานจะพาดผ่านเชื่อมสองฝั่งคลองเอาไว้ บริเวณนี้เป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่เราเห็นกันบ่อยๆ ผ่านหน้าโพสต์ หรือรีวิวบนโซเชียล โดยเราจะได้ภาพวิวของคลองที่ไหลทอดยาวออกไป ตามสองฝั่งรายล้อมไปด้วยทางเดิน และอาคารเก่าสีครีมสลับกับสีอิฐที่ในบางหลังนั้นมีไม้เลื้อยเขียวๆ ขึ้นคลุมเอาไว้ โดยมีฉากหลังของภาพเป็นทิวทัศน์ของภูเขาสวยๆ และท้องฟ้าสีสดใสที่ช่วยทำให้วิวมุมนี้มันสวยจับใจ แบบที่ว่ายืนถ่ายรูปท่าไหนก็ได้รูปออกมาสวยเป๊ะแน่นอน
ถ่ายรูปตรงหัวสะพานแล้ว อย่าลืมที่จะมาเดินเลียบมาตามแนวคลองด้านล่างเพื่อไปยังสะพานจูโอ (Chuo Bridge) โดยช่วงหน้าร้อนของที่นี่ ต้นไม้ตามสองข้างทางที่เราเดินผ่านเลยจะยังเขียวๆ แซมน้ำตาลให้ฟีลอบอุ่นเบาๆ ซึ่งจะต่างจากตอนช่วงหน้าหนาวแบบผิดหูผิดตาที่บริเวณเลียบคลองจะถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยหิมะขาวโพน ตามต้นไม้ อาคาร และทางเดินที่ทอดยาวไปตามแนวคลองกลายเป็นสีขาวเหมือนมีมาร์ชแมลโลว์ปกคลุมเอาไว้ ให้ความรู้สึกปุ๊กปิ๊กน่ารัก ถ่ายรูปออกมาสวยสับเช่นกัน ซึ่งจากที่ก๊อตไปมาแล้วทั้งสองฤดูนั้น ส่วนตัวก๊อตว่า คลองโอตารุ (Otaru Canal) ในหน้าร้อนหรือหน้าหนาวต่างก็สวยไม่แพ้กัน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะชอบช่วงฤดูไหน
หากใครที่เดินเล่นจนหนำใจแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปล่องเรือบ้าง เราสามารถไปขึ้นเรือได้เลย เค้าใช้เวลาล่องเรือประมาณ 40 นาที ราคา 1,500 เยน (~360 บาท) เท่านั้น แต่ส่วนตัวก๊อตไม่ได้ล่องเรือ เราเน้นเดินชมวิวโดยใช้เวลาเดินเล่นอยู่ใน คลองโอตารุ (Otaru Canal) อยู่ราวๆ 30 นาที เราก็เดินกลับออกมาด้านนอกกันแล้ว โดยรวมที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่สงบมาก มันเหมือนการมาเดินจอยๆ ปล่อยใจไปกับสายลม สายน้ำ ท่ามกลางอาคารโกดังเก่าแก่ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมกับวิวที่สวยสับในทุกๆ จุดที่เราเดินผ่านกันเลย เอาเป็นว่าใครมาเที่ยวโอตารุ (Otaru) ต้องปักหมุดมาที่นี่ด้วยนา รับรองว่าได้รูปสวยๆ กลับบ้านแน่นอน
พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (The Bank of Japan Otaru Museum)
ปิดท้ายวันกันด้วย พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (The Bank of Japan Otaru Museum) หากใครมาเที่ยวที่โอตารุ (Otaru) แล้วอยากสัมผัสกับกลิ่นอายของธนาคารเก่าแก่อายุมากกว่า 100 ปี ที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี ให้พุ่งตัวมาที่ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (The Bank of Japan Otaru Museum) ได้เลย โดยที่นี่ได้ปรับเปลี่ยนจากการเป็นธนาคารสาขาใหญ่ที่วันดีคืนดีถูกปิดตัวลง ก่อนจะได้ฟื้นฟูกลับขึ้นมาให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เราจะได้เข้าไปดื่มด่ำกับบรรยากาศของธนาคารราวกับเมื่อร้อยกว่าปีก่อน และที่พิเศษเลยคือ ภายในยังคงมีนิทรรศการเกี่ยวกับการเงิน รวมถึงมีตู้เซฟขนาดมหึมาตั้งตระหง่านให้ได้มาสำรวจอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
สำหรับ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (The Bank of Japan Otaru Museum) ถือเป็นสถานที่สำคัญที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเงินของญี่ปุ่นและการพัฒนาเมืองโอตารุให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ โดยอาคารที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์นั้น เดิมทีเคยเป็นธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of Japan) สาขาโอตารุมาก่อน ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1912 และถูกขนานนามว่าเป็น ‘วอลสตรีทแห่งญี่ปุ่นภาคเหนือ’ เพราะเค้าทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของประเทศในภูมิภาคฮอกไกโดช่วงเวลานั้นเลยด้วย
ตัวอาคารได้รับการออกแบบในสไตล์นีโอเรอเนซองส์ โดดเด่นด้วยด้านหน้าของอาคารที่โอ่อ่าผ่านวัสดุหลักอย่างหินและอิฐ เสาด้านในงดงามและดูละเอียดประณีตประดับด้วยรูปปั้นนูน ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสำหรับสถาบันการเงินในยุคสมัยนั้น และด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงนี้ทำให้ตัวอาคารยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ โดยธนาคารได้ดำเนินงานมาเรื่อยๆ จนในปี ค.ศ. 1965 ธนาคารสาขานี้ได้ปิดตัวลงภายใต้การปรับโครงสร้างเครือข่ายสาขาของธนาคาร ส่งผลให้อาคารแห่งนี้ปล่อยทิ้งเอาไว้อยู่หลายปี กระทั่งในปี ค.ศ. 2003 อาคารได้รับการปรับปรุงและเปิดเป็น พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (The Bank of Japan Otaru Museum) ขึ้นมา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ออนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์แห่งนี้เอาไว้ พร้อมทั้งเป็นพื้นที่ให้ความรู้แก่คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเงินของญี่ปุ่นและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทนนั่นเอง
เมื่อเราเดินเข้ามาภายใน พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (The Bank of Japan Otaru Museum) เราจะสัมผัสได้ถึงความโอ่อ่าและยิ่งใหญ่ของธนาคารจริงๆ โดยด้านในจะเป็นโถงหลักที่ใช้จัดแสดงนิทรรศการถาวรและนิทรรศการพิเศษ ซึ่งบรรยากาศยังคงสภาพเหมือนธนาคารอยู่แทบทุกกระเบียดนิ้ว ตัวโถงด้านในเป็นเพดานยกสูง ตามเสาประดับประดาไปด้วยงานปูนปั้นที่ประณีตบรรจง สื่อให้เห็นถึงสไตล์นีโอเรอเนสซองส์ของอาคาร ชวนให้เราเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตที่ธนาคารแห่งนี้ยังคงเปิดประจำการอยู่เลย
สำหรับโซนนิทรรศการถาวร เราจะได้เรียนรู้ถึงประวัติการก่อตั้ง ไปจนถึงวิวัฒนาการของธนาคารสาขานี้ พร้อมทั้งได้เรียนรู้เรื่องราวประวัติของธนบัติญี่ปุ่นในแต่ละยุคแต่ละสมัย อีกทั้งยังได้เห็นตู้เซฟใหญ่ยักษ์ของจริง และโอกาสในการเข้าไปจับเงินก้อนหนึ่งร้อยล้านเยนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่เค้าใช้ในช่วงที่ยังเปิดธนาคารอย่างเครื่องพิมพ์ดีด สมุดบัญชี เอกสารการเงินต่างๆ และภาพถ่ายที่เป็นคอลเลกชันตั้งแต่เปิดธนาคารกันเลยทีเดียว แต่ต้องบอกก่อนว่าชุดข้อมูลทั้งหมดภายใน พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (The Bank of Japan Otaru Museum) มากกว่า 60% นั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ยังดีที่เค้ามีใบปลิวภาษาอังกฤษที่อธิบายเกี่ยวกับมิวเซียมนี้อยู่ด้วย ดังนั้น แม้เราจะไม่ได้มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นแต่เข้ามาชมแล้วรู้เรื่องคร่าวๆ เกี่ยวกับที่นี่แน่นอน
ปิดท้ายกันด้วยโซนนิทรรศการชั่วคราว ซึ่งจะเป็นนิทรรศการพิเศษที่เค้าจัดสลับหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ ซึ่งหัวข้อที่จัดแสดงจะเน้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์การธนาคาร เพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับด้านต่างๆ ของโลกแห่งการเงินให้กับคนที่ได้เข้ามาดู นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปและสัมมนา เพื่อเพิ่มความรู้ทางการเงินให้คนดูอีกด้วย เรียกได้ว่าเข้ามาที่นี่แล้วทุกคนจะได้ความรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการเงินและธนาคารมากยิ่งขึ้นแน่นอน
ใครที่เดินชมจนหนำใจแล้ว ก่อนกลับสามารถแวะที่ร้านค้าของพิพิธภัณฑ์ได้นา เค้ามีของที่ระลึกหลากหลายประเภทวางขายอยู่ รวมถึงมีธนบัตรและเหรียญจำลองประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเงินอยู่ด้วย สายบัญชีหรือคนที่ชอบเรื่องเงินๆ ทองๆ บอกเลยว่ามาที่นี่แล้วเต็มอิ่มใจฟูมาก คืออยู่ที่ไทยเราเข้าธนาคารไปทำแค่ธุรการทางการเงิน แต่พอได้มาที่นี่มันมากกว่านั้น เหมือนเราได้เป็นส่วนหนึ่งของธนาคารไปด้วย ยิ่งเค้าคงสภาพของธนาคารเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ข้าวของทุกอย่างยังคงเหมือนธนาคารในยุคสมัยก่อนจริงๆ มันเลยแบบตื่นตาตื่นใจชวนให้ตื่นเต้นไปทุกย่างก้าวเลย ยกให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวห้ามพลาดในโอตารุ (Otaru) ที่ต้องมากันเด้อ
และนี่ก็คือการมาเที่ยว โอตารุ (Otaru) ทั้งหมดของก๊อตแบบ One Day Trip ที่เอามาฝากทุกคนกัน ซึ่งจากที่ก๊อตเดินเที่ยวมาทั้งวันนั้น ส่วนตัวก๊อตคิดว่า เมืองเค้ามีความน่ารักและสโลวไลฟ์มาก บรรยากาศเหมาะกับการมาเดินเล่นชิลๆ ไปพร้อมๆ กับการนั่งกินขนมเจ้าดังอย่าง เลอทาโอะ (LeTAO) ที่ใครเคยกินในไทยแล้ว จะต้องแวะมากินแบบออริจิที่นี่ด้วยนะ และอีกสถานที่ที่ห้ามพลาดเลย ก็คือ การมาถ่ายรูปกับคลองโอตารุ (Otaru Canal) ที่ไม่ว่าจะถ่ายมุมไหนของคลองก็น่ารักปุ๊กปิ๊กไปหมด โดยรวมแล้วก๊อตยกให้เป็นอีกเมืองที่แนะนำให้มาตามรอยมาก คือใครมาเที่ยวฮอกไกโด แล้วมาเที่ยวที่ซัปโปโรอยู่แล้ว จะต้องแวะมาเยือนที่ โอตารุ (Otaru) ด้วยนา ถือเป็นอีกเมืองน่ารักๆ ที่ไม่ควรพลาดเลย
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡
5 comments
อยากทราบว่า กลางเดือนมีนา จะเจอหิมะแบบนี้มั้ยค่ะ
น่าจะยังเจอนะครับ แต่อาจจะละลายไปเยอะแล้วเหมือนกันครับผม
แนะนำการใช้บัตร นั่งรถราง กับรถบัส ในซัปโปโรหน่อยครับ ใช้แบบไหนดี
ราคาเหมือนที่รีวิว เมืองฮาโกะดาเตะมั้ยครับ รถ tram + bus
ในซัปโปโรมีราคาพิเศษ พวกรถไฟ+รถบัสครับ ซื้อได้จากเครื่องขายตั๋วในสถานีรถไฟเลย หรือถ้าขึ้นรถเมล์ก่อน จะซื้อกับคนขับก็ได้ครับ 🙂
ใช้กล้อง+เลนส์อะไรถ่ายภาพหรอคะ ภาพสวยมากเลยค่ะ ชอบโทนแบบนี้ค่า 🙂 รีวิวดีเข้าใจง่าย ภาพสวย ดีงามทุกอย่างเลยค่า