อิบารากิ (Ibaraki) อีกหนึ่งเมืองน่ารักๆ ที่ก๊อตมาโร้ดทริปต่อจาก ชิบะ (Chiba) ใครที่ชอบบรรยากาศของเมืองที่สโลว์ไลฟ์ มีความเรียบง่าย บรรยากาศอบอุ่น ท่ามกลางธรรมชาติสวยๆ ก๊อตแนะนำให้มาลองโร้ดทริปที่นี่ได้เลย โดยทริปนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปไหว้ขอพรกันที่ศาลเจ้าคาชิมะ จิงงู (Kashima Jingū) หนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอิบารากิ พร้อมทั้งไปเก็บแอปเปิ้ลจากสวนกินกันแบบสดๆ รวมถึงไปหม่ำอาหารทะเลในตลาดท้องถิ่น และยังไปทำโคมไฟกระดาษโบราณอีกด้วย บอกเลยว่าโร้ดทริปรอบนี้จัดเต็มแน่นอน
รู้จักกับ อิบารากิ (Ibaraki)
อิบารากิ (Ibaraki) เมืองที่ได้ชื่อว่ามีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมาหลายชั่วอายุคน ยิ่งในช่วง 400 ปีที่ผ่านมา อิบารากิ (Ibaraki) เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในฐานะศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ส่งผลให้ที่นี่กลายมาเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยว ที่หากใครอยากมาดื่มด่ำกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ ไปจนถึงสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ที่อยู่คู่กับเมืองมาอย่างช้านาน สามารถปักหมุดมาเที่ยวที่ อิบารากิ (Ibaraki) ได้เลย
สำหรับการมาเที่ยวที่ อิบารากิ (Ibaraki) สามารถมาเที่ยวได้ง่ายๆ โดยการขับรถมาจากโตเกียว ใช้เวลาเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ใครที่มาเที่ยวโตเกียวแล้วอยากหาที่เที่ยวนอกเมืองอันแออัด อิบารากิ (Ibaraki) ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเลย
ที่เที่ยวอิบารากิ (Ibaraki)
- สระน้ำมิทาราชิ (Mitari Pond) + ศาลเจ้าคาชิมะ จิงงู (Kashima Jingū)
- ตลาดปลานาคามินาโตะ (Nakaminato Fish Market)
- Ume Sonare oarai
- สวนแอปเปิ้ลฟูจิตะ (Fujita Apple Orchards)
- น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)
- ทำโคมไฟกระดาษที่ร้านคาเกะยามะ โชเต็น (Kageyama-Shouten)
- teamLab: Hidden Traces of Rice Terraces
- โรงแรม Isohara Seaside Hotel
- โรงแรม Oarai Park Hotel
ต้องบอกก่อนว่า รีวิวนี้ก๊อตจะพาเที่ยวแบบโร้ดทริป ซึ่งตามแพลนของก๊อตแล้ว เราจะโร้ดทริปกัน 2 จังหวัด คือ ชิบะ (Chiba) และ อิบารากิ (Ibaraki) โดยรีวิวในหน้านี้ เราจะเที่ยวกันที่ อิบารากิ (Ibaraki) อย่างเดียว แต่ถ้าใครอยากดูแพลนเที่ยวแบบจุกๆ ครบทั้ง 2 จังหวัด > สามารถคลิกอ่านแพลนเที่ยวฉบับเต็มได้ที่นี่เล้ย
เช่ารถขับเที่ยวที่ญี่ปุ่น
ใครที่อยากขับรถเที่ยวในญี่ปุ่น ก๊อตบอกเลยว่าทั้งโคตรสนุก สะดวกสบาย อยากไปไหนก็ได้ไป ยิ่งถ้าใครที่มาเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ หรือมาเที่ยวกับครอบครัว การเช่ารถขับกันเองเป็นอะไรที่ตอบโจทย์สุด ซึ่งก๊อตบอกเลยว่าการเช่ารถที่ญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ยุ่งยากเลย แค่เราต้องมีใบขับขี่สากลแบบหนึ่งปีที่ทำมาจากประเทศไทย พาสปอร์ต และบัตรเครดิต เพียงแค่นี้ เราก็สามารถเช่ารถได้เล้ย
สำหรับการจองเช่ารถนั้น เราสามารถจองผ่านเว็บไซต์ของบริษัทเช่ารถได้โดยตรง เช่น Nippon Rentacar, Toyota, Nissan, Avis และ Orix และก็ยังมีหลายเว็บไซต์ที่เป็นเอเจนซี่ท่องเที่ยว (OTA) หลายเจ้าที่ให้บริการจองรถที่เราสามารถเปรียบเทียบราคาจากบริษัทเช่ารถได้หลากหลายเจ้าอีกด้วย ซึ่งการจองผ่าน OTA บางเจ้าก็มีข้อดีที่มี Customer Service ภาษาไทย ที่เราสามารถติดต่อได้นั่นเอง ใครสะดวกแบบไหนก็ลองดูเว็บแต่ละเว็บได้เล้ย
🚙✨ ดูและจองรถเช่า [ผ่าน Klook] / [ผ่าน Trip.com]
ศาลเจ้าคาชิมะ จิงงู (Kashima Jingū)
สำหรับที่เที่ยวแรกใน อิบารากิ (Ibaraki) ที่ก๊อตมาเลย คือ ศาลเจ้าคาชิมะ จิงงู (Kashima Jingū) หนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองอิบารากิ (Ibaraki) โดยก่อตั้งมาตั้งแต่ 660 ปี ก่อนคริสตกาล โดยอุทิศให้กับทาเคมิคาซึจิ โนะ มิโกโตะ (Takemikazuchi-no-Mikoto) เทพเจ้าแห่งศิลปะการต่อสู้นั่นเอง ที่นี่เลยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในภูมิภาคคันโต (Kanto) ไปโดยปริยาย
จุดสำคัญของ ศาลเจ้าคาชิมะ จิงงู (Kashima Jingū) คือ สระน้ำมิทาราชิ (Mitari Pond) ที่ตั้งอยู่ใจกลางศาลเจ้าท่ามกลางป่าอันศักดิ์สิทธิ์ โดยสระน้ำนี้นอกจากจะใสราวกับคริสตัลจนมองเห็นปลาคาร์ปที่แหวกว่ายอยู่ใต้น้ำแล้ว ในแต่ละวันจะมีน้ำพุบริสุทธิ์ไหลวนเวียนอยู่ในนั้นกว่า 4 แสนลิตรเลย ที่พีคไปกว่านั้นคือ เขาเล่าว่าในสมัยก่อนสระนี้ถือเป็นจุดชำระล้างกายอันศักดิ์สิทธิ์เลย ใครที่จะเข้าไปไหว้เทพเจ้าด้านในจะต้องมาตักน้ำที่นี่เพื่อล้างตัว หรือบางคนก็ถึงกับลงไปอาบในสระเพื่อชำระกายให้บริสุทธิ์กันเลยทีเดียว แต่ในปัจจุบันธรรมเนียมนี้ไม่มีแล้วนะ แค่เรามายืนดูความใสของน้ำ ก็รู้สึกได้ถึงความสงบและบริสุทธิ์แล้ว
ยังไม่หมดแค่นี้ เพื่อนคนญี่ปุ่นของก๊อตเค้ายังกระซิบมาบอกเคล็ดลับเสริมดวงของที่นี่ด้วยว่า ให้เราลองเล็งน้องปลาคาร์ปในสระไว้สักตัว ถ้าเจ้าตัวที่เราเลือกเกิดว่ายลอดผ่านเสาโทริอิกลางสระไปได้เมื่อไหร่ล่ะก็ ถือว่าเราจะโชคดีสุดๆ ไปเลย ซึ่งก๊อตก็ไปยืนเล็งอยู่นานสองนาน สรุปน้องไม่ให้ความร่วมมือเลยจ้า 55555
จากบริเวณน้ำพุเราเดินต่อขึ้นไปด้านบน ซึ่งจะเป็นทางเดินสู่อาคารของ ศาลเจ้าคาชิมะ โอคุโนมิยะ (Kashima Shrine Okunomiya) โดยตลอดทางเดินจะเป็นถนนทอดยาวรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เสมือนเรากำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ต้นไม้เลย เมื่อมาถึงที่ศาลเจ้าแล้ว หากใครมีเงินเหรียญเยนที่มีรูอย่างเช่น 5 เยนติดมือมาด้วย สามารถเอาออกมาขอพรกับศาลเจ้าได้นะ โดยวิธีขอพรแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ให้เราไปยืนอยู่ตรงหน้ากล่องแล้วโยนเหรียญ 5 เยนลงไปในกล่องรับบริจาค แล้วโค้งคำนับ 2 ครั้ง ก่อนจะปรบมือดังๆ 2 ครั้ง ตั้งจิตอธิษฐาน และปิดท้ายด้วยการโค้งคำนับงามๆ อีก 1 ครั้ง ก็เป็นอันเรียบร้อย
พอก๊อตไหว้ขอพรเสร็จแล้ว บริเวณติดกับตรงศาลเจ้าจะเป็นเส้นทางเดินท่ามกลางแนวอุโมงค์ต้นไม้ขนาดใหญ่ทอดยาวลึกเข้าไป ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่หากใครมีเวลาเหลือแล้วอยากเดินสำรวจธรรมชาติภายในศาลเจ้าเพิ่มเติมก็สามารถเดินเล่นต่อเข้าไปได้ แต่ส่วนตัวก๊อตนั้น เราเลือกที่จะหามุมเหมาะๆ แล้วถ่ายรูปกับแนวอุโมงค์ต้นไม้โดยไม่ได้เดินลึกเข้าไป ซึ่งภาพที่ได้นั้นสวยเอาเรื่องเลย มันเหมือนตัวก๊อตถูกโอบกอดจากต้นไม้ใหญ่ ชวนให้รู้สึกสงบจิตสงบใจมาก และพอเราได้รูปจนหนำใจแล้ว ก็พากันเดินกลับลงมา เพื่อไปยังรถและขับไปเที่ยวที่ต่อไปนั่นเอง
ตลาดปลานาคามินาโตะ (Nakaminato Fish Market)
ตลาดปลานาคามินาโตะ (Nakaminato Fish Market) ใครที่ชื่นชอบอาหารทะเลแบบสดๆ จากท้องทะเลโดยชาวประมงที่จับกันมาแบบสดใหม่ทุกวัน ต้องมาที่นี่เลย เพราะเค้าเป็นตลาดปลาที่ได้รับความนิยมในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวมาก ด้วยความที่อาหารทะเลสดโคตรๆ อีกทั้งยังราคาไม่แพง จะกินปลาดิบ ซูชิ หรืออาหารทะเลย่าง ที่นี่ก็มีขายให้ได้เลือกกันแบบละลานตา
สำหรับ ตลาดปลานาคามินาโตะ (Nakaminato Fish Market) ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ชุมชนชาวประมงในท้องถิ่นได้พัฒนาและเป็นศูนย์กลางในการค้าและการท่องเที่ยว ซึ่งความเริ่ดของตลาดคือ ทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น โดยเป็นชายฝั่งที่กระแสน้ำแปซิฟิกที่อุ่นและเย็นมาบรรจบกัน ส่งผลให้บริเวณนี้มีสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด ทำให้อาหารทะเลที่ขายกันในตลาดนั้น มีความหลากหลายนั่นเอง นอกจากทำเลที่ตั้งดีแล้ว ตลาดแห่งนี้ยังอยู่ใกล้กับท่าเรือนากามินาโตะ (Nakaminato Port) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการประมงที่สำคัญบนชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น ทำให้ ตลาดปลานาคามินาโตะ (Nakaminato Fish Market) กลายเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายอาหารทะเลในภูมิภาคไปด้วย
โดยบรรยากาศภายในตลาด จะตั้งเลียบไปตามถนนที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเล มีทั้งร้านแบบแผงลอยและที่ตั้งอยู่ในอาคาร ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้น ผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันให้ขวักไขว่ คึกคักสุดๆ โดยแต่ละร้านก็จะขายสารพัดอาหารทะเล ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา ไปจนถึงปลาท้องถิ่นที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อนด้วย โดยเราสามารถซื้อแล้วให้ร้านปรุงหรือย่างให้ได้ด้วยนะ ซึ่งก๊อตก็ได้ไปลองกินหอยที่จับมาสดๆ เป็นๆ แล้วทำความสะอาดก่อนจะนำมาย่างให้เราเห็นตรงนั้นเลย
แต่หอยย่างเป็นแค่ออเดิร์ฟนะทุกคน เพราะมื้อเที่ยงตัวจริงของเรา ก๊อตพุ่งเป้ามาที่ร้านดังประจำตลาดอย่าง Kaikatei (海花亭) ข้างในมีให้เลือกตั้งแต่ซูชิเป็นคำๆ ไปจนถึงไคเซ็นด้งหรือข้าวหน้าปลาดิบที่มีให้เลือกกันถึง 3 แบบ ก๊อตเลยจัดเป็น ไคเซ็นด้งแบบที่ 3 จะเป็นข้าวญี่ปุ่นที่เสิร์ฟมาในถ้วยไม้ทรงสูง ท็อปด้วยสารพัดปลาดิบต่างๆ ทั้งปลาแซลมอน มากุโร่ ฮามาจิ ปลาหมึก อูนิ รวมถึงยังมีปลาท้องถิ่นอีกเพียบ บอกเลยว่าสดสะใจมากในราคา 3,300 เยน (~750 บาท)
นอกจากนี้ก๊อตยังสั่ง หอยนางรมสดๆ มาเพิ่มด้วย โดยเค้าจะเสิร์ฟมาเป็นคู่ ราคา 900 เยน (~205 บาท) กินคู่กับซอสของเค้าคือเข้ากันมาก หอยหวานฉ่ำสุดๆ โดยรวมแล้วเป็นร้านอาหารที่อร่อยเอาเรื่อง เนื้อปลาดิบนี่ไม่ต้องพูดถึง สดเหมือนไปยืนกินอยู่บนเรือหาปลาเลย ใครชอบข้าวหน้าปลาดิบหรืออาหารทะเลอื่นๆ ก๊อตแนะนำเลย ที่ร้านเค้ามีเมนูเยอะมากกก อยากให้มาลอง
Ume Sonare Oarai
หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว เราขับรถกันต่อยาวๆ เพื่อไปทำอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราจองกันไว้ นั่นก็คือ การทำเหล้าและไซรัปบ๊วยที่ Ume Sonare Oarai ความพิเศษของที่นี่คือเค้าเป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายบ๊วยดองมายาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1830 อีกทั้งยังมีมีสวนบ๊วยที่ปลูกเอง และโรงงานแบบครบวงจรแบบเสร็จสรรพ นอกจากนี้ยังมีคาเฟ่ ที่นำเอาบ๊วยไปเป็นวัตถุดิบในอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา เค้าได้เปิด Ume Sonare Oarai อีกไลน์ธุรกิจอย่างการทำเวิร์กชอปเหล้าและไซรัปบ๊วยนั่นเอง
สำหรับการทำเวิร์กชอปนั้น ก่อนจะมาเราจะต้องจองช่วงเวลาในการทำมาก่อนนะ โดยสามารถเข้าไปที่หน้าเว็บของ Ume Sonare Oarai ได้เลย เค้าจะมีตารางเวลาเวิร์กชอปโชว์เอาไว้ ซึ่งก๊อตจองมาช่วง 4 โมงเย็น พอเรามาถึงจะมีพี่พนักงานมาคอยต้อนรับ พร้อมจัดเรียงสเตชันในการทำรอเราเสร็จสรรพ ซึ่งขั้นตอนในการทำนั้น เค้าจะแจกกระดาษเหมือนคู่มือมาให้เรา โดยในกระดาษจะมีให้เลือกว่าเราจะเลือกทำเหล้าบ๊วย หรือทำไซรัปบ๊วย พร้อมทั้งขนาดที่อยากทำมาให้ โดยราคาของเหล้าบ๊วย ขนาดกลางราคาเริ่มต้นที่ 2,640 เยน (~600 บาท) ขนาดใหญ่อยู่ที่ 4,620 เยน (~1,050 บาท) ส่วนไซรัปบ๊วย ขนาดกลางราคาเริ่มต้นที่ 2,200 เยน (~500 บาท) ขนาดใหญ่อยู่ที่ 3,300 เยน (~750 บาท)
พอเลือกว่าจะทำอะไรได้แล้ว พี่พนักงานจะเอาบ๊วยแต่ละแบบมาให้เราเลือก ซึ่งขั้นตอนในการทำทั้งเหล้าบ๊วยและไซรัปบ๊วยแทบจะเหมือนกันเลย ต่างกันที่ใครเลือกทำเหล้าบ๊วย จะต้องเลือกเหล้าที่ชอบเพิ่มเข้ามา ส่วนขั้นตอนอื่นๆ ก็ทำคล้ายๆ กัน โดยเริ่มจากเลือกบ๊วยกันก่อน ซึ่งวันที่ก๊อตไปนั้น ทางร้านเค้ามีมาให้เราเลือก 5 แบบ ตั้งแต่บ๊วยสีเขียวแบบปกติที่ปลูกกันอยู่ในเมือง บ๊วยสีเหลืองที่เค้าเก็บมาตอนมันสุก จะโดดเด่นในเรื่องความหอมหวาน บ๊วยออแกนิกที่ปลูกอยู่ที่นี่โดยไม่ใช้สารเคมี บ๊วยพีชที่มีสีแดงหวานฉ่ำ และบ๊วยจากจังหวัดวากายามะ (Wakayama) ซึ่งบ๊วยแต่ละแบบนั้นจะมีความหวาน กลิ่นหอม และสีสันที่ต่างกันออกไป
เมื่อได้บ๊วยที่ต้องการแล้วก็ไปเลือกน้ำตาลกันต่อ ซึ่งน้ำตาลก็จะมีตั้งแต่น้ำตาลทรายปกติ น้ำตาลทรายแดงเนื้อละเอียด ไปจนถึงน้ำตาลอ้อยเนื้อเนียนนุ่ม โดยน้ำตาลก็จะมีส่วนช่วยทำให้รสชาติ ความหอม และสีสันของเหล้าและไซรัปบ๊วยต่างกันออกไปด้วยนะ ส่วนใครที่เลือกทำเหล้าบ๊วย หลังจากเลือกน้ำตาลเสร็จแล้ว เค้าจะมีเหล้าญี่ปุ่นมาเรียงรายให้เราเลือก ซึ่งก๊อตได้สูตรจากเจ้าของ Ume Sonare Oarai มา เค้าแนะนำให้เราลองเลือกใช้เหล้าท้องถิ่นที่ใช้วัตถุดิบของญี่ปุ่นเพื่อความออริจินอล ซึ่งพอเอามาทำเหล้าบ๊วยมันอร่อยมาก แน่นอนว่าก๊อตเลือกตามเจ้าของเค้าเลย 55555
เอาล่ะ พออุปกรณ์ทุกอย่างครบแล้ว เราก็มาจัดเรียงและเททุกอย่างลงไปในโหลที่เราเลือกไซซ์ไว้ก่อนหน้านี้เลย สำหรับก๊อตเลือกทำเป็นเหล้าบ๊วย เริ่มจากเทน้ำตาลลงไปรองเป็นชั้นฐานก่อน ตามด้วยบ๊วยที่เราแกะจุกออกแล้วประมาณครึ่งโหล สลับชั้นด้วยน้ำตาลอีกรอบ แล้วโปะทับด้วยบ๊วยที่เหลือ ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาลอีกชั้น กลายเป็น 4 เลเยอร์ที่สลับกันอย่างพอดีเป๊ะ จากนั้นก็เทเหล้าที่เลือกไว้ลงไป ปิดฝาโหลให้สนิทก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
สำหรับการเก็บรักษานั้น ให้เราเก็บเอาไว้นอกตู้เย็น ในที่มิดชิด โดยในช่วงแรกๆ ที่น้ำตาลยังไม่ละลาย เค้าจะให้เราเอาโหลออกมาหมุนวนไปมา เป็นเหมือนการปลุกน้องน้ำตาลให้ละลายไวขึ้น ซึ่งต้องทำติดต่อกันไปทุกวันจนกว่าน้ำตาลจะละลายหมด จากนั้นก็ตั้งทิ้งไว้ ครบ 1 เดือนก็เอาออกมากินได้เลย โดยจะกินเพียวๆ หรือนำไปผสมโซดาก็ได้ อันนี้แล้วแต่ความชอบของเราเลย ซึ่งก๊อตใช้เวลาเวิร์กชอปประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ด้วยความที่เค้าพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ดังนั้น ในแต่ละขั้นตอน เราเลยจะต้องรอให้เพื่อนชาวญี่ปุ่นช่วยแปลภาษาให้ฟังอีกที แต่โดยรวมแล้ว เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มาทำแล้วได้ความรู้เยอะเลย ตั้งแต่ขั้นตอนเลือกบ๊วย เลือกน้ำตาล ไปจนถึงวัตถุดิบอื่นๆ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป และส่งผลต่อรสชาติและสีสันของเหล้าบ๊วยที่เราทำได้หมด ถือเป็นการเปิดโลกการทำเหล้าบ๊วยสำหรับก๊อตมาก ใครที่อยากได้เหล้าบ๊วยญี่ปุ่นแท้ๆ แบบออริ ลองจองมาทำตามกันได้
สวนแอปเปิ้ลฟูจิตะ (Fujita Apple Orchards)
สวนแอปเปิ้ลฟูจิตะ (Fujita Apple Orchards) เป็นสวนที่ปลูกแอปเปิ้ลไว้หลากหลายสายพันธุ์มาก ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคมไล่ยาวมาถึงพฤศจิกายนจะเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวแอปเปิ้ล ใครที่มาในช่วงแรกๆ เราสามารถเก็บแอปเปิ้ลได้แบบบุฟเฟ่ต์แล้วกินอยู่ในสวนได้เลยนะ แต่ตอนที่ก๊อตไปเที่ยวนั้นเป็นปลายฤดูกาลแล้ว เราเลยเสียเฉพาะค่าเข้าคนละ 400 เยน (~90 บาท) โดยที่เรายังสามารถเก็บแอปเปิ้ลได้ แล้วจ่ายตามน้ำหนักที่เราเก็บนั่นเอง
สำหรับบรรยากาศในสวนนั้นได้ฟีลโฮมมี่มาก เพราะนอกจากจะเป็นสวนแล้ว เค้ายังเป็นทั้งร้านค้าที่ขายพืชผักท้องถิ่นและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากแอปเปิ้ลทั้งไซรัป น้ำแอปเปิ้ล พายแอปเปิ้ล พร้อมทั้งมีชานชาลาสำหรับเอาไว้นั่งพักผ่อนเพื่อทานแอปเปิ้ลกันอีกด้วย โดยใครที่จะมาเก็บแอปเปิ้ลก็แจ้งกับคุณป้าที่อยู่ด้านในได้เลย เค้าจะให้เราชำระค่าเข้า แล้วไปเลือกหยิบตะกร้าและที่เก็บแอปเปิ้ล จากนั้นก็ฟรีสไตล์ ถึงเวลาตะลุยในสวนเพื่อเฟ้นหาแอปเปิ้ลลูกสวยๆ กันแล้ว
พอเราได้เดินเข้ามาในโซนสวนเท่านั้นแหละ ฟีลเหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกเลย เราจะเห็นต้นแอปเปิ้ลปลูกเรียงกันเป็นแถวยาว มีให้เราเลือกเก็บหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น สึการุ (Tsugaru), โอริน (Orin) และฟูจิ (Fuji) โดยเค้าจะปลูกเป็นแถวตอนยาวลึกเข้าไปด้านใน โดยเราสามารถเดินตามทางเดินแล้วเลือกเก็บแอปเปิ้ลได้เลย ความเริ่ดของแอปเปิ้ลที่นี่คือเค้าปลูกกันบนที่สูงที่มีอากาศเย็น ทำให้แอปเปิ้ลของเค้ามีรสชาติหวานหอมเป็นพิเศษเลย
เพื่อนคนญี่ปุ่นของก๊อตเค้าแนะนำมาว่า ถ้าอยากได้แอปเปิ้ลลูกที่รสชาติดีและอร่อย ให้เราเลือกลูกที่ผิวมีรอยจุดเยอะๆ เพราะเหมือนผลมันสุกได้ที่ มีรสชาติหวาน โดยวิธีการเด็ดแอปเปิ้ลสดๆ จากต้นนั้น ทุกคนอย่าไปหาทำด้วยการดึงลงมานะ เพราะต้นแอปเปิ้ลเค้าจะหักได้ ซึ่งวิธีการที่ถูกต้องจะต้องจับไปที่ลูกแอปเปิ้ล จากนั้นให้หักขึ้น วิธีนี้จะไม่ทำให้ต้นแอปเปิ้ลได้รับบาดเจ็บ หรือกิ่งหักลงมานั่นเอง ซึ่งการเก็บแอปเปิ้ลครั้งนี้ถือเป็นการเห็นต้นแอปเปิ้ลและได้เก็บแอปเปิ้ลจากต้นจริงๆ ครั้งแรกในชีวิตของก๊อตเลย ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่สนุกมากก
แน่นอนว่าก๊อตเลือกเก็บเท่าที่เราอยากจะกิน เมื่อได้จนพอใจแล้วก็เดินกลับมาที่ร้านเค้าเพื่อชั่งกิโล แล้วก็จ่ายเงินเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ใครที่อยากลิ้มรสชาติแอปเปิ้ลตรงนั้นเลย เค้าก็มีเขียงและมีดให้เรายืมใช้ปอกแอปเปิ้ลได้ด้วย แอบบอกว่าปอกกินเลยตอนเด็ดมาใหม่ๆ แอปเปิ้ลคือหวานฉ่ำมาก ยิ่งได้กินกับน้ำแอปเปิ้ลที่เราซื้อมาเพิ่มด้วยนะ เข้ากันแบบสุดๆ วันนี้ถือเป็นวันที่ก๊อตกินแอปเปิ้ลกันแบบพุงกางเลย
ใครที่อยากมาเป็นชาวไร่ เดินเด็ดเก็บแอปเปิ้ลท่ามกลางอากาศสบายๆ ปักหมุดมาที่ สวนแอปเปิ้ลฟูจิตะ (Fujita Apple Orchards) รับรองว่ามาแล้วจะต้องชอบแน่นอน เพราะนอกจากจะมีแอปเปิ้ลให้ได้กินเพียบแล้ว บรรยากาศของสวนเค้าก็น่ารักหนุบหนับใจมาก
น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)
ขับรถออกจากสวนแอปเปิ้ลมาสักพัก เราก็มาถึงที่เที่ยวต่อไปกับ น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls) หนึ่งในน้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น โดยที่นี่เขาจะเรียกกันอีกชื่อว่า “โยโดะ โนะ ทากิ (Yodo no Taki)” หรือน้ำตก 4 ชั้น เพราะสายน้ำจะไหลลดหลั่นลงมาตามโขดหินเป็นชั้นๆ ถึง 4 สเต็ปนั่นเอง
สำหรับใครที่ขับรถมาเองแบบก๊อต เราจะต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดด้านนอกก่อน แล้วเดินเท้าต่อเข้าไปยังตัวน้ำตก โดยระหว่างทางเราจะต้องเดินผ่านถนนคนเดินในหมู่บ้านเล็กๆ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนและอาคารสไตล์ญี่ปุ่น ร้านค้าขายของที่ระลึก และร้านอาหารอยู่มากมาย ซึ่งก๊อตเองได้แวะซื้อของกินรองท้องอย่างดังโงะย่างร้อนๆ ที่ย่างบนเตาถ่านหอมกรุ่น อันนี้อร่อยมาก ตัวซอสที่ทามีความนัวๆ พอกินกับดังโงะนุ่มๆ แล้วเข้ากันสุดๆ ส่วนอีกเมนูที่ต้องลองคือปลาย่างเสียบไม้ เป็นปลาเนื้ออ่อนที่ย่างมาให้หนังกรุบกรอบ แต่เนื้อในนุ่มหวานฉ่ำมาก ฟีลเหมือนย่างเกลือหอมๆ ที่กินได้แทบทั้งตัวเลย ใครที่หิวก็ไม่ต้องกลัว สามารถหาของกินอร่อยๆ ได้เพียบบนถนนคนเดินนี้ได้เลย
เติมพลังกันเรียบร้อย ทีนี้ก็ได้เวลาไปเชยชมน้ำตกของเราจริงๆ ซักที สำหรับ น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls) แห่งนี้ มีความสูงถึง 120 เมตร และกว้าง 73 เมตร เป็นหนึ่งในสามน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ร่วมกับน้ำตกเคงอน (Kegon Falls) ที่นิกโก (Nikko) และน้ำตกนาจิ (Nachi Falls) ที่วากายามะ (Wakayama) โดยว่ากันว่าที่นี่ควรค่าแก่การมาชมให้ครบทั้ง 4 ฤดูเลยทีเดียว เพราะแต่ละฤดูจะมีความสวยงามแตกต่างกันไปครับ
สำหรับค่าเข้าน้ำตกสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่คนละ 300 เยน (~68 บาท) ส่วนเด็กจะอยู่ที่คนละ 150 เยน (~34 บาท) พอได้ตั๋วมาแล้วเราจะต้องเดินผ่านอุโมงค์ที่เก๋ไก๋ด้วยการติดตั้งไฟ LED หลากสีสัน พอเดินเข้ามาได้สักระยะ เราจะได้เจอกับจุดชมวิวน้ำตกที่แรกที่เราสามารถมองเห็นน้ำตกช่วงชั้นที่ 1-2 ได้อย่างชัดเจน ด้วยน้ำที่ไหลเป็นซี่ๆ ไปตามโขดหินขนาดใหญ่ พร้อมรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี บอกเลยว่าแค่จุดชมวิวแรกก็อลังการมากแล้วแหละ แถมตรงนี้เอง เรายังได้ดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ของน้ำตกได้แบบใกล้ชิดอีกด้วย
แต่จะบอกว่าจุดชมวิวด้านล่างนั่นเป็นแค่น้ำจิ้มนะทุกคน เพราะจุดที่สวยพีคที่สุดของจริง เราต้องขึ้นลิฟต์ไปดูที่แพลตฟอร์มด้านบนสุดที่เค้าทำเป็นหอชมวิวสองชั้น ให้เราเห็นน้ำตกได้ครบทั้ง 4 ชั้นแบบอลังการเต็มตาโดยที่ไม่มีอะไรมาบดบังความสวยเลย ภาพของสายน้ำสีขาวฟูฟ่องที่ไหลจากยอดเขาลงมากระทบกับแนวหิน ท่ามกลางป่าที่กำลังเปลี่ยนสีนี่คือสวยจนไม่รู้จะบรรยายยังไงจริงๆ มันอลังการจนก๊อตรู้สึกว่าแค่ได้มายืนมองเฉยๆ ก็คุ้มค่าตั๋วแล้ว
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
นอกจากวิวอลังการแล้ว จุดชมวิวนี้เขายังมีกิมมิคน่ารักๆ เป็น ‘ภารกิจตามหารูปหัวใจ’ ที่ซ่อนอยู่ในน้ำตกด้วย โดยเค้าบอกว่าถ้าเรามองดีๆ ไปที่โขดหินตรงกลางน้ำตกช่วงชั้นที่ 3-4 จะเห็นเป็นรูปหัวใจซ่อนอยู่ ซึ่งเราอาจจะต้องใช้จินตนาการช่วยนิดนึงหน่อยนะ ถ้าใครหาเจอบอกเลยว่าตาโคตรดี หลังจากทำภารกิจสำเร็จ เราก็เดินกลับลงมาด้านล่าง ซึ่งตรงทางลงจะมีอีกแพลตฟอร์มให้เราแวะเก็บภาพคู่กับน้ำตกได้ด้วย บอกเลยว่ามุมนี้ก็สวยจึ้งไม่แพ้กัน ซึ่งก๊อตเองก็ยืนถ่ายรูปเพลินมากเพราะธรรมชาติตรงหน้ามันสวยแบบจึ้งใจจริงๆ
เวิร์คชอปทำโคมไฟกระดาษที่ร้านคาเกะยามะ โชเต็น (Kageyama-Shouten)
ก๊อตจะพาทุกคนมาทำกิจกรรมเวิร์กช็อปน่ารักๆ กันต่อที่ ร้านคาเกะยามะ โชเต็น (Kageyama-Shouten) ร้านโคมไฟเก่าแก่ที่เป็นต้นตำรับของซุยฟู โคชิน (Suifu Chochin) ซึ่งเป็นสุดยอดงานหัตถกรรมทำโคมไฟกระดาษแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีประวัติมายาวนานกว่า 400 ปีเลย โดยความเจ๋งของโคมไฟแบบนี้คือทุกชิ้นเป็นงานฝีมือทั้งหมด ขึ้นชื่อในเรื่องความทนทาน ชนิดที่ว่าตั้งใจดึงก็ยังขาดยากเลยล่ะ
ภายใน ร้านคาเกะยามะ โชเต็น (Kageyama-Shouten) นอกจากจะขายโคมไฟกระดาษแบบสำเร็จรูปแล้ว ยังมีกิจกรรมเวิร์กชอปทำโคมไฟกระดาษที่จะมีอาจารย์มาสอนแบบบอกหมดทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกันเลยทีเดียว โดยเราจะได้ทำโคมไฟกระดาษพร้อมทั้งได้วาดลวดลายลงไปในโคม โดยทางร้านจะจัดเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดเอาไว้ให้ โดยร้านเค้าจะมีแพ็คเกจให้เราเลือกทำหลายราคา ซึ่งแบบที่ก๊อตเลือกมานั้น จะเป็นการทำโคมไฟแบบ No. 3 Yumibari (for names, etc.) Free Character Course ราคาคนละ 4,000 เยน (~931 บาท) โดยเราสามารถวาดตัวอักษรและตกแต่งได้ตามชอบเลย
สำหรับขั้นตอนในการทำโคมไฟนั้น เริ่มแรกเราจะได้ขึ้นโครงโคมไฟ โดยจะมีแท่งพลาสติกมาให้เราเรียงประกบกันจนได้ออกมาเป็นเค้าโครงของโคมไฟ จากนั้นอาจารย์จะให้เราเอาเชือกมาร้อยไปตามรอยปะแล้วค่อยนำกระดาษทากาวมาแปะไปตามแนวโคมไฟที่เราทำเอาไว้ ซึ่งขั้นตอนนี้เราไม่ต้องรอให้แห้งนะ เพราะมันจะค่อนข้างใช้เวลานาน ทางร้านเค้าจะมีโคมที่แห้งเสร็จเรียบร้อยเตรียมรอไว้ให้แล้ว
พอได้โคมไฟเปล่ามาอยู่ในมือแล้ว ก็มาถึงสเต็ปที่สนุกที่สุด นั่นคือการลงสีที่เราสามารถวาดลวดลายตามใจเรา โดยทางร้านจะมีสีดำเป็นพื้นฐานไว้ให้ แต่ถ้าใครเป็นสายคัลเลอร์ฟูลแบบก๊อต เขาก็มีแม่สีอย่างน้ำเงิน เหลือง แดง ทอง ให้เราผสมสีสร้างสรรค์โคมไฟที่มีอันเดียวในโลกของเราได้เลย
พอเราระบายสีเสร็จ ก็เหลือรอเป่าให้แห้ง จากนั้นก็รับโคมไฟกลับบ้านเป็นของที่ระลึกไปได้เลย ซึ่งตัวโคมไฟวันแรกที่เราทำเสร็จจะยังพับเก็บไม่ได้นะ เพราะต้องรอครบหนึ่งวันก่อน เราถึงจะพับโคมไฟตามรอยปะของโครงได้ อันนี้การันตีจากประสบการณ์ที่ก๊อตได้ไปลองทำมา โคมไฟเค้าดึงแรงๆ แล้วไม่ขาดเลยสักนิด คือมีความทนทานมาก ถือเป็นกิจกรรมที่เปิดโลกการทำโคมไฟกับก๊อตสุดๆ นอกจากจะได้มาทำกิจกรรมผ่อนคลายแล้ว ยังได้โคมไฟลวดลายสวยๆ ที่มีเพียงอันเดียวในโลกของเรากลับไทยอีกด้วย คือเริ่ดไม่ไหว
ก๊อตขอปิดท้ายทริปอิบารากิ ด้วยการพาทุกคนมาชมผลงานศิลปะแบบอิมเมอร์ซีฟจาก teamLab ที่ใหม่ล่าสุดกับ teamLab: Hidden Traces of Rice Terraces ที่จัดแสดงอยู่ที่เมืองคิตะอิบารากิ (Kitaibaraki) โดยที่นี่จัดแสดงอยู่ภายใต้โครงการ Digitized Nature ที่ต้องการสำรวจว่าธรรมชาติสามารถกลายมาเป็นผลงานศิลปะได้อย่างไร ผ่านการนำเอาเทคโนโลยีจาก teamLab มาผสมผสานเข้ากับบริเวณด้านในสวนที่มีลักษณะเป็นเขาและผืนป่ากว้าง อีกทั้งยังมีนาขั้นบันไดเก่าที่ปัจจุบันกลายเป็นหนองบึงที่ปกคลุมไปด้วยต้นกก ซึ่งทั้งหมดนี้ เค้าทำโดยไม่รบกวนหรือทำลายสิ่งที่มีอยู่เดิมเลยแม้แต่น้อย
ภายในนิทรรศการ teamLab: Hidden Traces of Rice Terraces แต่ละโซนจะถูกจัดแสดงไปตามมุมต่างๆ ของภูเขา โดยในโซนแรกจะมีงาน “Continuous Trajectories” ที่ใช้คอนเซ็ปต์การเขียนอักษรในอากาศ (Spatial Calligraphy) ที่เส้นสายแต่ละเส้นจะถูกวาดขึ้นมาในพื้นที่ว่างของป่า ตัดกันไปมา ซ้อนทับกัน แล้วก็ค่อยๆ จางหายไป ซึ่งผลงงานนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดึงเราเข้าสู่โลกของ teamLab ได้อย่างน่าทึ่งเลยล่ะ
นอกจากนี้ยังมีผลงาน “Concrete and Abstract” ที่เขาฉายเลเซอร์สีเขียวเป็นลายตารางแผ่ไปทั่วทั้งผืนป่า พอมองดูแล้วมันเหมือนภาพลวงตาที่หลอกสมองเราสุดๆ เพราะมันทำให้ป่าที่มีความลึกและต้นไม้ที่ตั้งตรงอยู่ กลายเป็นเหมือนภาพพื้นผิว 2 มิติเรียบๆ ไปเลย ส่วนตัวก๊อตพอมองแล้วในหัวคิดไปถึงกับดักเลเซอร์ในหนังสายลับ ฟีลแบบว่าถ้าเผลอเดินไปโดนเส้นแสงเข้าเมื่อไหร่ ตัวเราต้องขาดออกเป็นหลายชิ้นแน่ๆ เลยงี้ 55555
อีกจุดที่สวยมากคืองาน Resonating Universe in the Tabunoki Tree ที่เค้านำหลอดไฟทรงกลมมากมายไปแขวนประดับประดาเต็มต้นทาบูโนกิอันเก่าแก่ โดยกิมมิคของมันคือเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้ๆ หลอดไฟดวงที่ใกล้เราที่สุดจะส่องสว่างขึ้นมาอย่างนุ่มนวลพร้อมกับส่งเสียงออกมา แล้วแสงและเสียงนั้นจะแผ่กระจายต่อไปยังหลอดไฟดวงอื่นๆ เหมือนคลื่นที่ส่งต่อกันไปทั่วทั้งต้นไม้ ซึ่งทั้งสวยและสงบในเวลาเดียวกันเลย
นอกจากนี้ในนิทรรศการยังมีผลงานอื่นๆ อีกเพียบ ทั้งผลงานใหม่ที่ก๊อตเพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก กับ Traces of Continuous Life กับเส้นแสงเลเซอร์สีแดงที่ไหลวนไปมาตามต้นไม้ ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ของ ‘ร่องรอยของชีวิต’ ที่เชื่อมต่อกันไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด ถือเป็นอีกงานที่เก๋มาก
อีกทั้งยังมีผลงาน Resonating Secret Valley and Forest เมื่อเราเดินอยู่ในป่าโซนนี้ ต้นไม้ตลอดสองข้างทางจะเปล่งแสงระยิบระยับพร้อมเสียงออกมาต้อนรับการมาเยือนของเรา แต่ที่พีคไปกว่านั้นคือ ป่านี้ไม่ได้ตอบสนองแค่เราคนเดียว เพราะในบางจังหวะ เราจะเห็นแสงไฟสว่างวาบขึ้นมาเองจากในป่าลึกๆ ที่อยู่ไกลออกไป ซึ่ง teamLab เขาต้องการจะบอกเราว่า ในป่าแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เรา แต่ยังมีสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มองไม่เห็นอาศัยอยู่ด้วย แสงไฟที่เห็นไกลๆ นั้นก็คือร่องรอยของพวกเขาเหล่านั้นนั่นเอง ฟีลเหมือนเราได้แชร์พื้นที่และสภาพแวดล้อมเดียวกันกับทุกชีวิตในป่าไปพร้อมๆ กันนั่นเอง
กันที่โซนไฮไลท์ที่เป็นหัวใจของที่นี่ นั่นก็คือบริเวณ Hidden Traces of Rice Terraces คอนเซ็ปต์ของผลงานชิ้นนี้คือการรำลึกถึงนาขั้นบันไดเก่าแก่ที่เคยซ่อนตัวอยู่ในป่าแห่งนี้ ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นบึงและบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยต้นกกมากมาย โดยเราจะเห็นโคมไฟนับร้อยอันถูกจัดวางอยู่บนนาขั้นบันได ซึ่งภาพตรงหน้าตอนที่ก๊อตเห็นคือแสงไฟพร่างพราวที่ค่อยๆ สว่างและดับลงสะท้อนไปทั่วผิวน้ำราวกับกระจกเงาที่ทำให้เราเห็นหมู่มวลของดวงดาวบนพื้นดิน ถือเป็นการปิดท้ายที่สวยงามและเป็นภาพที่ยังติดตาก๊อตอยู่จนถึงทุกวันนี้เลย
ทุกครั้งที่ก๊อตได้มาชมนิทรรศการของ teamLab นี่จะบอกทุกคนเสมอว่าของจริงสวยกว่าในรูปเยอะมาก ทั้งแสง สี เสียงสุดล้ำสมัยของเค้าที่มาจัดแสดงอยู่ท่ามกลางป่าและธรรมชาติจริงๆ แบบนี้มันยิ่งเลอค่าสุดๆ ซึ่งก๊อตเองใช้เวลาเดินชมอยู่เป็นชั่วโมงเลย มันตระการตาไปหมดทุกย่างก้าวจริงๆ
สำหรับนิทรรศการ teamLab: Hidden Traces of Rice Terraces แห่งนี้เป็นนิทรรศการถาวร ใครอยากมาเที่ยวก็ตามรอยมาได้เลย โดยราคาตั๋วสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่คนละ 2,200 เยน (~500 บาท) และเด็กอยู่ที่ 800 เยน (~180 บาท) ใครที่อยากมาสัมผัสกับผลงานอิมเมอร์ซีฟแบบอลังๆ ท่ามกลางธรรมชาติในสไตล์ teamLab ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งลิสต์ที่เราต้องปักหมุดไว้เลย
โรงแรม Isohara Seaside Hotel
สำหรับที่พักในอิบารากิ (Ibaraki) ก๊อตเข้าพักกันอยู่สองที่ โดยที่แรกคือ Isohara Seaside Hotel ที่ตั้งอยู่ติดชายหาด ใครที่อยากได้ฟีลนอนชิลๆ ริมทะเล พร้อมทั้งได้ฟังเสียงคลื่นซู่ๆ ตลอดทั้งคืน ก๊อตแนะนำที่นี่เลย ยิ่งใครที่โร้ดทริปแบบก๊อต สามารถเอารถมาจอดที่โรงแรมได้ฟรี โดยบรรยากาศด้านนอกของโรงแรมจะเป็นอาคารสไตล์โมเดิร์นที่พอเดินเข้ามาด้านในจะเจอเข้ากับโซนล็อบบี้และมุมนั่งพักรอเช็คอินสำหรับลูกค้า ซึ่งบรรยากาศภายในนั้นให้มู้ดที่ดูเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ทำจากไม้ ใกล้ๆ กับล็อบบี้จะมีโซนขายสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นขนม อาหารทะเลแห้งโดยทางโรงแรมเค้าต้องการนำเสนอให้นักท่องเที่ยวได้เห็นถึงความเป็น อิบารากิ (Ibaraki) ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามานั่นเอง
สำหรับห้องพัก ก๊อตจองมาเป็นห้องขนาด 2 เตียง ภายในมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น โต๊ะทำงาน Wi-fi ท่ามกลางห้องขนาดใหญ่ที่สามารถวางกระเป๋าเดินทางได้แบบสบายๆ ส่วนห้องน้ำก็แบ่งโซนแห้งและเปียกชัดเจน โดยมีแชมพู ครีมนวดผม ครีมอาบน้ำ ไดร์เป่าผม และอ่างจากุชชี่ให้ได้แช่ตัวกันอีกด้วย
ความดีงามของห้องพักที่นี่ คือทุกห้องจะเป็น Sea View คือเราสามารถมองเห็นวิวของท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลได้จากระเบียงห้องนอนกันเลย โดยวิวที่ทำให้ที่นี่โดดเด่นต่างจาก Sea View ทั่วไป คือเค้ามีโขดหินขนาดมหึมา ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายหาด ซึ่งทั้งชายหาดตลาดแนวโรงแรม มีหินก้อนนี้อยู่ก้อนเดียว ทำให้ตอนถ่ายรูปออกมาดูตระการตาไม่เหมือนใครมาก
และด้วยความที่หน้าต่างห้องเค้าเป็นบานยาว มันเลยทำให้เหมือนก๊อตนอนอยู่ท่ามกลางท้องทะเลจริงๆ ซึ่งช่วงเช้าๆ เวลาพระอาทิตย์ขึ้นนะ วิวตรงระเบียงห้องคือสวยสับมาก ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดถูกแทนที่ด้วยสีส้มทองบ่งบอกถึงเช้าวันใหม่ ตัดกับผืนน้ำสีฟ้าคราม มันเป็นภาพที่สวยเหมือนภาพวาดเลยล่ะ
ยังไม่หมดเท่านั้น ที่ Isohara Seaside Hotel ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นออนเซ็นทั้งชายและหญิง เลาจ์ที่ข้างในนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์นันทนาการอยู่มากมายให้เราได้มาใช้บริการฟรีๆ อย่างพวกตู้เกม ปาเป้า หรือมุมนั่งเล่นท่ามกลางวิวทะเล ทางโรงแรมเค้าก็ตกแต่งออกมาได้น่ารักเหมือนหลุดออกมาจากพินเทอเรสเลย






นอกจากนี้เค้ายังมีห้องอาหารเช้าที่เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นอยู่หลากหลายเมนูให้ได้มากินอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ครบครัน แถมยังวิวสวยเกินราคาไปมาก ใครที่กำลังมองหาโรงแรมติดชายทะเลสวยๆ ในราคาสบายกระเป๋า แถมยังเงียบสงบผู้คนในย่านนั้นไม่พลุกพล่าน ไม่มีที่ไหนตอบโจทย์เท่า Isohara Seaside Hotel อีกแล้ว
Oarai Park Hotel
ส่วนอีกโรงแรมเราเปลี่ยนบรรยากาศมาพักกันแบบแกรมปิ้งที่ Oarai Park Hotel โรงแรมที่ขึ้นชื่อในเรื่องทำเลอันเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยป่าสน และยังอยู่ใกล้กับทะเลอีกด้วย ซึ่งโซนที่ก๊อตเข้ามาพักจะเป็นโซนวิลล่า (Villa) ที่เพิ่งเปิดใหม่ โดยจะมาในรูปแบบของกระท่อมรูปทรงสามเหลี่ยมที่ตั้งเรียงรายเป็นแนว โดยมีป่าสนรายล้อมพื้นที่ด้านหลังเอาไว้ บริเวณด้านหน้ามาพร้อมที่จอดรถได้ถึง 2 คันต่อหลัง ส่วนด้านในถูกแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ซึ่งชั้นแรกจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องน้ำ ที่สามารถเปิดทะลุออกไปหาห้องอบซาวน่า และพื้นที่ชานระเบียงด้านหลังที่มีอ่างออนเซ็นส่วนตัว และมุมปิ้งย่างอยู่ไม่ไกล




ส่วนพื้นที่ชั้น 2 จะเป็นโซนห้องนอน ที่เค้าไม่ได้แบ่งเป็นห้อง จะมีเพียงผนังกั้นเป็น 2 โซน คือมุมเตียงนอน และอีกมุมจะเป็นการนอนด้วยเสื่อทาทามิ ที่สามารถเปิดเชื่อมออกไปหาระเบียงที่ทำมาในรูปแบบเหมือนห้องใต้หลังคาได้ ซึ่งวิลล่าที่ก๊อตจองมาสามารถนอนได้สูงสุดถึง 6 คนเลย โดยราคาต่อคืนจะอยู่ที่ 30,000 บาท
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้าน นอกจากที่ก๊อตบอกมาแล้ว เค้ายังมีสารพัดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบครบครัน ทั้งเตาไฟ ไมโครเวฟ เตาอบ เตาปิ้งย่าง ทีวี ตู้เย็น และที่ชอบมากเลยคือวิลล่าเค้ามาแบบ Half Board ที่รวมอาหารเย็นและอาหารเช้าแบบจัดเต็ม โดยมีอาหารเย็นเป็นชุดบาร์บีคิว ที่ให้เนื้อวากิว A5 มาชิ้นบิ้กเบิ้ม โดยเค้าจัดมาพร้อมย่างให้เราไว้ในตู้เย็นเรียบร้อย พร้อมทั้งยังมีเครื่องดื่มอีกเยอะมากตั้งแต่น้ำอัดลมไปจนถึงไวน์กันเลยทีเดียว ใครที่มาพักกันเป็นกลุ่มใหญ่นี่เหมาะมาก เพราะพื้นที่ตรงระเบียงหลังบ้าน มีโต๊ะ เก้าอี้ และเตาย่างมาให้เสร็จสรรพ เราสามารถย่างแล้วสังสรรค์กันได้


ส่วนมื้อเช้า ทางที่พักเค้าจะเตรียมมาเป็นเซตเบนโตะแบบญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมข้าวต้ม ซึ่งเราจะต้องนำทุกอย่างออกมาอุ่นกินกันเอง คือมันสะดวกสบายมาก ความเริ่ดของที่นี่หลังจากที่ก๊อตได้ไปพักมา อย่างแรกที่ก๊อตประทับใจเลยก็คือ ความเงียบสงบ แม้จะเป็นวิลล่าที่ตั้งอยู่ติดๆ กัน แต่ตัวบ้านเค้าค่อนข้างเก็บเสียงดีมาก มีกำแพงกั้นเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของป่าสนและต้นไม้มากมาย ให้ฟีลร่มรื่นและสงบสุดๆ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านก็ให้มาแบบจัดเต็ม ครบครันทุกอย่าง ยิ่งเรื่องอาหารที่จัดมาให้ก็ใช้วัตถุดิบดี ใครชอบกินเนื้อนะ เนื้อที่เค้าให้มาคือละลายในปากเลย คือทุกอย่างมันคุ้มกับราคาที่เราจ่ายไปมาก แถมยังถ่ายรูปได้สวยทุกมุม นี่ว่าใครมาเป็นกลุ่มแล้วหารกับเพื่อนเข้ามาพัก คือคุ้มเกินคุ้มบอกเลย


สรุปการมาเที่ยว อิบารากิ (Ibaraki)
ทั้งหมดนี้ก็คือโร้ดทริปเที่ยวทั้งหมดใน อิบารากิ (Ibaraki) ของก๊อตนั่นเอง ซึ่งนี่จะเป็นรีวิวโร้ดทริปพาร์ทปิดต่อจากชิบะ (Chiba) ที่ก๊อตลงไปก่อนหน้านี้ ส่วนตัวแล้วจากที่ไปมาทั้งสองเมือง รักทั้งสองเมืองเลย ชิบะ (Chiba) ก็จะมีมู้ดที่ทะเลสวย ภูเขาก็เริ่ด ส่วน อิบารากิ (Ibaraki) เมืองค่อนข้างสโลว์ไลฟ์เหมือนกัน แต่จะมีพวกกิจกรรมและสถานที่เที่ยวให้ได้มาลองทำหลากหลาย อย่างการเก็บแอปเปิ้ลสดๆ จากในสวน ก็ถือเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับก๊อตเลย เพราะอยู่ไทยไม่เคยได้ทำ พอมาที่นี่แล้วได้ลองมันก็แฮปปี้เอาเรื่อง และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือธรรมชาติที่ อิบารากิ (Ibaraki) เว่อร์วังมาก ใครชอบป่า ชอบเขา อยากสัมผัสน้ำตกสวยๆ นี่ว่ามาแล้วต้องตกหลุมรักแน่นอน โดยรวมแล้วเป็นการมาโร้ดทริปครั้งแรกที่ประทับใจมาก
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡