คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสองจากห้าทะเลสาบที่อยู่รายล้อมภูเขาไฟฟูจิ ตั้งอยู่ในเมืองฟุจิคาวากุจิโกะ (Fujikawaguchiko) จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) สำหรับทริปการเที่ยวคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) นี้เราจะมาเที่ยวกันแบบ 3 วัน 2 คืน ซึ่งจะเน้นเที่ยวแบบครบรส ไม่ว่าจะเป็นการเก็บบรรยากาศเทศกาลฤดูใบไม้แดงที่ก๊อตได้มาเที่ยวในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนพอดี หรือแม้แต่การตามล่าเก็บวิวภูเขาไฟฟูจิ หรือแม้แต่พาไปเข้าป่าฆ่าตัวตายที่ได้ชื่อว่า เป็นสถานที่ที่คนเค้ามาฆ่าตัวตายมากที่สุดในโลก ผ่านการสำรวจถ้ำดังอย่างถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) และถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave) ที่ภายในนั้นมีน้ำแข็งอยู่จริงๆ ราวกับเป็นตู้เย็นของธรรมชาติเลย และยังพาไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้า รวมถึงไปเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) หนึ่งในสวนสนุกยอดฮิตของญี่ปุ่นที่เลื่องลือกันในเรื่องของรถไฟเหาะสุดหวาดเสียวท่ามกลางวิวของต้าวฟูจิซังลูกโต
บอกเลยว่าใครมาเที่ยว คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) มันเหมือนกับเราได้มาตามล่าเก็บวิวของภูเขาไฟฟูจิเข้ากรุความทรงจำไปด้วย เพราะไม่ว่าก๊อตจะไปเที่ยวในสถานที่ไหนในคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) แทบทุกที่ที่เราไปมานั้น สามารถมองเห็นวิของภูเขาไฟฟูจิได้เกือบหมดเลย ว่าแล้วตามก๊อตไปเที่ยวกันเร้วว
รู้จักกับคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) กันก่อน
คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิและสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ชัดมาก เป็น 1 ใน 5 ของทะเลสาบที่อยู่รายล้อมภูเขาไฟฟูจิ หญ่เป็นอันดับสองของทะเลสาบทั้งหมดมากที่สุดแล้ว และยังมีแนวชายฝั่งที่ยาวที่สุด ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยโรงแรม และรีสอร์ตมากมาย นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก Unesco พร้อมกันกับทะเลสาบอีก 4 แห่งที่เหลืออีกด้วย โดยที่นี่นั้นเป็นทะเลสาบที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกในช่วงฤดูกาลปีนเขา ที่ต่างก็มีจุดหมายในการมาปีนภูเขาไฟฟูจิ เพื่อขึ้นไปสำรวจทิวทัศน์ด้านบนอีกด้วย
โดยฤดูกาลที่ป็อปมากที่สุดของการมาเที่ยว ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) ที่ผู้คนเค้าจะต้องมากระจุกรวมตัวกัน เพื่อมาดูดอกซากุระบานสะพรั่งที่เปลี่ยนทั่วทั้งพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ให้กลายเป็นสีชมพูพาสเทลสดใส ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมดอกซากุระบานท่ามกลางวิวของภูเขาไฟฟูจิที่ไม่ว่าจะไปเที่ยวพื้นที่ตรงไหน เราก็จะได้เห็นฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิแทบทั้งสิ้นเลย นอกจากนี้เค้ายังป็อปในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน) ที่มีเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีให้เราได้มาชมความงามของใบไม้แดง ท่ามกลางบรรยากาศที่สุดแสนจะอบอุ่นและโรแมนติก ซึ่งเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สวยงามไม่แพ้ช่วงดอกซากุระบานเลยเชียว
เรียกได้ว่า คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) เป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่เต็มไปด้วยความสวยงามทางธรรมชาติ และทะเลสาบท่ามกลางวิวของภูเขาไฟฟูจิจริงๆ เหมาะสำหรับเป็นสถานที่เที่ยวในการหลบหนีความวุ่นวายจากเมืองมาเที่ยวดูธรรมชาติมาก ก๊อตบอกเลยว่าใครที่มาเที่ยวที่ คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) จะต้องใจฟูกลับบ้านกันอย่างแน่นอน มาตามล่าวิวภูเขาไฟฟูจิไปกับก๊อตกั้นน
แพลนเที่ยวคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko)
สำหรับแพลนเที่ยว คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ของก๊อตในรอบนี้ เรามากัน 3 วัน 2 คืน โดยทริปที่เที่ยวในครั้งนี้ของก๊อตจะเป็นเหมือนการไปตามล่าภูเขาไฟฟูจิตามสถานที่เที่ยวต่างๆ ใครที่แพลนมาเที่ยวที่นี่เพื่อมาตามเก็บแลนด์มาร์คกับวิวของภูเขาไฟฟูจิแบบอลังสวยๆ สามารถยึดแพลนเที่ยวตามก๊อตได้เลย
แนะนำที่พักและโรงแรมในคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko)
ใครที่กำลังหาที่พักใน คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) อยู่ล่ะก็ ก๊อตแนะนำเลยว่ามานอนที่นี่ทั้งที อยากให้นอนโรงแรมที่เราสามารถมองเห็นวิวฟูจิได้เลยจากที่พัก หรือถ้ามองเห็นจากห้องนอนเราได้เลยคือเริ่ดมาก นี่ก็เลยจะลิสโรงแรมและที่พักที่เราสามารถเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิได้ โดยก๊อตขอแบ่งออกตามบัตเจทค่าที่พักของแต่ละคืนให้เนอะ ส่วนใครที่เป็นสายแคมป์ปิ้งล่ะก็ แถวๆ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ถือเป็นย่านที่มีที่พักแบบ Glamping อยู่เยอะมาก แถมวิวยังดีได้เห็นวิวฟูจิอีก ใครชอบแบบไหน เลือกตามที่ตัวเองชอบและสะดวกได้เลย ลองดูๆ โรงแรมที่ก๊อตแนะนำก็ได้ครับ อันนี้คัดมาให้แบบเริ่ดๆ แล้วว
🏨 ดูที่พักแนะนำในคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) จาก Tripadvisor / Agoda / Booking.com
1. ที่พักเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิ
การเลือกที่พักใน คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) คือจะมีความพิเศษกว่าที่อื่น เพราะที่นี่มีเรื่องของภูเขาไฟฟูจิมาเกี่ยวข้องแหละ อย่างที่บอกไปว่ามาเที่ยวที่นี่ทั้งที ถ้าเงินถึงและยอมจ่ายล่ะก็ อยากให้เราลองเลือกที่พัก และห้องพักที่เราสามารถมองเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิได้เลยจากห้องนอนเลย มันโคตรดีและฟูลฟิลหัวใจสุดๆ
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): FUFU Kawaguchiko (⭐️ วิวฟูจิ + ออนเซนส่วนตัวทุกห้อง) / Shuhokaku Kogetsu (วิวฟูจิทุกห้อง) / Kukuna
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมได้ (5,000-10,000 บาท/คืน): Mizno Hotel / The Garden (รีวิวพักจริงอยู่ท้ายรีวิวหน้านี้ คลิก) / La Vista Fuji Kawaguchiko
- โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 5,000 บาท/คืน): HAOSTAY / HOTEL MYSTAYS Fuji Onsen Resort / Megu Fuji 2021 / Hostel Fujisan YOU (โฮสเทล)
2. Glamping ที่พักฟีลแคมป์ปิ้ง วิวภูเขาไฟฟูจิ
หากใครอยากลองประสบการณ์นอนฟีลแกลมปิ้งในป่าเขาลำเนาไพร พร้อมกับภูเขาไฟฟูจิแบบปังๆ ก็คือต้องมาลองนอนที่พักแนวแกลมปิ้งแล้วแหละ แต่ต้องบอกก่อนว่าที่พักแนวนี้คือราคาแพงกว่าปกติมาก (แบบม๊ากกก) ส่วนตัวก๊อตเองยังไม่เคยมานอนนะ แต่รู้ว่าที่คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) นั้น เป็นอีกหนึ่งที่ที่ดังเรื่องที่พักฟีลนี้มาก ถ้าใครชอบก็จองโลดเลย เชียร์มาก โดยเฉพาะ ‘HOSHINOYA Fuji’ คือตัวท็อปเลย
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
- แกลมปิ้งตัวท็อป-ลักชู-บูทีคแบบที่สุด (35,000 ++ บาท/คืน): HOSHINOYA Fuji (⭐️)
- แกลมปิ้งรองตัวท็อป ราคาก็ยังท็อปอยู่ (10,000-35,000 บาท/คืน): Glamping Villa Hanz Kawaguchiko / Dot Glamping Fuji
- แกลมปิ้งเริ่ด ราคาก็เริ่ด (ต่ำกว่า 10,000 บาท/คืน): Mount Fuji Panorama Glamping / Kawaguchiko Country Cottage Ban
วิธีการเดินทางมาทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko)
วิธีเดินทางมาเที่ยว ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) เราสามารถเดินทางได้หลายวิธีเลย ซึ่งก๊อตจะยึดการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่โตเกียว (Tokyo) เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยว หรือคนไทยที่บินมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น มักจะบินมาลงที่โตเกียว (Tokyo) จากนั้นค่อยเริ่มออกเที่ยวตามเมืองต่างๆ สำหรับการเดินทางมาที่ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) นั้น ก็สะดวกมากๆ เพราะเค้ามีขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม โดยก๊อตได้รวมเอาวิธีการเดินทางทั้งหมดมาไว้ให้ตามด้านล่างนี้เลย ใครชอบแบบไหน ถนัดทางใด จิ้มตามนี้ได้เล้ยย
วิธีการเดินทางจาก โตเกียว (Tokyo) <-> คาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko)
1. รถไฟ (⭐️⭐️ แนะนำ) : การเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่ก๊อตแนะนำมากที่สุดสำหรับไปเที่ยวคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) แล้ว โดยเค้าจะมีรถไฟอยู่หลายสายให้บริการโดยแตกต่างกันที่ระยะเวลาการเดินทาง และราคานั่นเอง ดังนั้น เรามาดูกันเลยว่ามีสายไหนบ้าง
- Fuji Excursion: รถไฟด่วนพิเศษที่เราสามารถเดินทางไปคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ได้เร็วที่สุดในเวลา 2 ชั่วโมง และไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟ ซึ่งเราสามารถนั่งได้ยาวๆ จากสถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) ได้เลย ราคาบัตรโดยสารนั้นจะอยู่ที่ 4,060 เยน (~1,000 บาท) ต่อเที่ยว โดยในแต่ละวันจะมีรอบเดินทางอยู่เพียง 6 เที่ยว และต้องจองที่นั่งแบบ Reserved Seat เท่านั้น
- ซื้อบัตรรถไฟ Fuji Excursion สามารถล่วงหน้าได้เลยผ่าน Klook คลิก / แนะนำให้ซื้อล่วงหน้า เพราะเป็นรถไฟยอดฮิตที่เต็มเร็วมาก หากเราซื้อจาก Klook จะได้มาเป็น QR Code แล้วไปสแกนแลกเป็นตั๋วจริงได้จากตู้จำหน่ายตั๋วได้เลย
- ใครที่ใช้ JR TOKYO Wide Pass สามารถใช้พาสขึ้น Fuji Excursion Express ได้ แบบไม่ต้องจ่ายเพิ่ม / พาสนี้สามารถใช้นั่งรถไฟเที่ยวคาวากุจิโกะ นิกโก้ คารุอิซาว่า อิสุ และที่อื่นได้ๆ ดูรายละเอียดและซื้อ JR TOKYO Wide Pass [ผ่าน Klook]
- ใครที่ใช้ JR Pass หรือ JR East Pass (Tohoku area), (Nagano-Niigata area) ต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่ม 1,870 เยน (~470 บาท) ในส่วนของสถานีโอสิกิ (Ōtsuki Station) > สถานีคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko Station) เพราะว่าส่วนนี้ไม่ได้เป็นรางของบริษัท JR แต่เป็นส่วนต่อรางของบริษัท Fujikyu Railway
2. รถบัส : สำหรับคนสายประหยัดและสายอยากนั่งยาวๆ ต่อเดียวถึง การเดินทางด้วยรถบัสเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีมากสำหรับไปเที่ยวคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) แต่อยากให้รู้ไว้นิดนึงว่า บางครั้งการนั่งรถบัสอาจจะเลทกว่าตารางเวลาที่เค้าแจ้งไว้จากสาเหตุจราจร ณ ตอนนั้นเนอะ
- จากสถานีชินจุกุ (Shinkuju Station): มีบริษัทรถบัสอย่าง Fujikyu Bus และ Keio Bus ให้บริการ โดยออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ราคาตั๋วอยู่ที่ 2,000 เยน (~500 บาท) * มีรถบัสบางคันต่อยาวไปยังทะเลสาบยามานากาโกะ (Lake Yamanakako) ด้วย
- จากสถานีโตเกียว (Tokyo Station): มีบริษัทรถบัสอย่าง Fujikyu Bus และ JR Kanto Bus ให้บริการ โดยออกทุกชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ราคาตั๋วอยู่ที่ 2,000 เยน (~500 บาท)
3. เช่ารถขับ (⭐️⭐️แนะนำ) : ใครที่เน้นสะดวก ไม่อยากเสียเวลารอขึ้นรถสาธาณะ วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางเลยคือการเช่ารถขับที่เราสามารถเช่ารถจากเมืองไหนในญี่ปุ่นก็ได้แล้วแต่เราจะสะดวก โดยข้อดีของการเช่ารถคือเราสามารถขับเที่ยวไปไหนก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องมาเสียเวลารถสาธารณะ และไม่ต้องเดินเยอะอีกด้วย แต่ทั้งนี้ การเช่ารถก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายของทริปเราที่จะสูงขึ้นมากแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่ารถต่อวันเอย (เฉลี่ย 2,000 บาท/วัน) ค่าน้ำมัน และค่าทางด่วนที่แพงม๊ากกก แต่ถ้าใครชอบเที่ยวแบบโร้ดทริปแต่จ่ายได้ บอกเลยว่าเช่ารถเที่ยวนั้นคือสนุกที่สุดแล้ววว
4. แท็กซี่ : นั่งแท็กซี่จากโตเกียว (Tokyo) โดยสามารถเรียกรถได้จากทุกที่ในเมืองได้เลย การนั่งแท็กซี่มาที่คาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการจราจรในช่วงเวลานั้นๆ แต่ราคาจะสูงมาก อยู่ที่ 28,000 – 34,000 เยน (~7,040-8,540 บาท)
แนะนำพาสที่ใช้เที่ยวทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) ได้
- Mt. Fuji Pass พาสเที่ยวทะเลสาบทั้ง 5 (รวมทะเลสาบคาวากุจิโกะ) รอบภูเขาไฟฟูจิที่ครบเครื่องมากที่สุด โดยมีให้เลือกตั้งแต่แบบ 1, 2 และ 3 วัน ราคาเริ่มต้น 5,500 เยน (~1,400 บาท) [ซื้อผ่าน Klook] [ซื้อผ่าน KKday]
- ขึ้นรถบัสและรถไฟของบริษัท Fujikyu ได้ทั้งหมดทุกสายแบบไม่จำกัด (ครอบคลุมรถไฟจากสถานี สถานีโอสิกิ (Ōtsuki Station) > สถานีคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko Station))
- ขึ้นฟรี เข้าฟรี: ล่องเรือท่องเที่ยวทะเลสาบคาวากุจิโกะ ‘Appare’ / กระเช้า Kawaguchiko Mt. Fuji Panorama Ropeway / ล่องเรือห่าน (Swan Lake) ที่ทะเลสาบยามานากาโกะ (Lake Yamanakako) / ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) และ ถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave) / สวนสนุก Grinpa
- เล่นเครื่องเล่นฟรี 1 อย่างที่สวนสนุก FujiQ Highland
ข้อมูลแน่นแล้ว เริ่มเที่ยวทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) โลด!
DAY 1 : โมมิจิ ไคโร อุโมงค์ใบเมเปิ้ล (Momiji Corridor Lake Kawaguchi)
มาถึงคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) วันแรก ด้วยความที่เราขับรถมาถึงก็บ่ายแล้ว ก๊อตก็ตรงดิ่งไปดูเทศกาลใบไม้แดงกันก่อนที่ โมมิจิ ไคโร อุโมงค์ใบเมเปิ้ล (Momiji Corridor Lake Kawaguchi) ซึ่งที่นี่นั้นเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้แดงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งช่วงที่ก๊อตไปนั้นเราโชคดีหน่อย เพราะตรงกับช่วงฤดูใบไม้แดงที่มีเทศกาลโมมิจิ มัตสึริ (Momiji Matsuri) เข้าพอดี ซึ่งเทศกาลนี้เค้าจะจัดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และอุโมงค์ใบเมเปิ้ลนี้เองถือเป็นจุดหลักของงานเทศกาลที่เต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอยขายของ ทั้งของกิน งานคราฟเยอะมาก รวมถึงช่วงค่ำเค้ายังมีการประดับประดาไฟในยามค่ำคืนตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ตกไปจนถึงสี่ทุ่ม บอกเลยว่าใครที่มาช่วงฤดูใบไม้แดงนั้น ห้ามพลาดกับเทศกาลนี้เลย ยิ่งถ้าได้มากับแฟนนั้น เหมาะกับการมาเดินปุ๊กปิ๊กเติมความหวานให้กันมากที่สุด ฮ่า
จริงๆ แล้ว โมมิจิ ไคโร อุโมงค์ใบเมเปิ้ล (Momiji Corridor Lake Kawaguchi) เค้าเป็นคลองเล็กๆ ที่สองข้างคลองนั้นเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่ปลูกเรียงรายเป็นแนวเข้าไปราวกับอุโมงค์ต้นเมเปิ้ล ทำให้มู้ดของที่นี่งดงามเหมือนอยู่ในเทพนิยายเลย โดยคำว่า โมมิจิ (Momiji) นั้นความหมายว่า ‘ใบไม้แดง’ ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวที่ โมมิจิ ไคโร อุโมงค์ใบเมเปิ้ล (Momiji Corridor Lake Kawaguchi) คือช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงใบเมเปิ้ลจากสองฝั่งคลองเค้าแดงและส้มสดและโอบล้อมพื้นที่เอาไว้เสมือนเป็นอุโมงค์ต้นเมเปิ้ลที่สวยเอามากๆ เลยแหละ
ไฮไลท์ ของการมาเที่ยวที่นี่ คือการมายืนถ่ายรูปแล้วสาดเข้าให้เห็นวิวของสะพานที่อยู่เกือบสุดทางของคลอง เราจะได้รูปสวยๆ ที่ด้านหลังเป็นอุโมงค์ของต้นเมเปิ้ล และอีกจุดคือ ให้เดินไปจนถึงสะพานที่อยู่เกือบสุดทางเดิน แล้วขึ้นไปถ่ายรูปอยู่บนนั้น ให้เห็นวิวด้านหลังเป็นคลองทั้งสายที่อยู่ด้านหลัง ท่ามกลางใบเมเปิ้ลสีแดงสดที่โคตรสวย โดยทางน้ำในคลองถูกเปลี่ยนเป็นใบเมเปิ้ลสีแดงมากมายที่ปกคลุมไปทั่วทั้งคลองเลย
ใครที่ชื่นชอบบรรยากาศโรแมนติก อบอวลไปด้วยความงามของใบเมเปิ้ลสีแดงส้มสดใส ก็ต้องมาเที่ยวเทศกาล โมมิจิ ไคโร อุโมงค์ใบเมเปิ้ล (Momiji Corridor Lake Kawaguchi) ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแล้วล่ะ ส่วนตัวก๊อตค่อนข้างประทับใจมาก แถมตัวงานยังครื้นเครงเพราะมีทั้งร้านค้ามากมายของคนญี่ปุ่นมาตั้งหน้างานกลายเป็นตลาดเล็กๆ ให้เราได้เดินเล่นอีกด้วย ถือว่าดีเลย
สวนโออิชิ (Oishi Park)
หนึ่งในสวนสาธารณะที่มีบรรยากาศร่มรื่น อีกทั้งยังเป็นจุดดูวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยตระการตา ก๊อตต้องยกให้ สวนโออิชิ (Oishi Park) เค้าเลย โดยสวนสาธารณะแห่งนี้ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ที่เราสามารถมายืนมองดูวิวทะเลสาบ และภูเขาไฟฟูจิที่อยู่ด้านหลังได้แบบอลังและสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในคาวากุจิโกะที่พลาดไม่ได้เลย
สำหรับใครที่ขับรถมากันเองแบบก๊อตนั้น สามารถขับเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของสวนเค้าได้เลย ถ้าใครมาถึงแล้วหิวนี่ก็ไม่ต้องกลัว เราสามารถมาหาอะไรกินที่สวนโออิชิ (Oishi Park) นี่ได้เลย เพราะเค้ามีทั้งร้านอาหาร ะคาเฟ่ ไปจนถึงร้านไอศกรีมคอยให้บริการ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าให้เราได้ซื้อของฝากชื่อดังอย่างเครื่องหอมที่ผลิตจากบลูเบอร์รี่ และแยมบลูเบอร์รี่แบบโฮมเมด ที่เป็นผลิตภัณฑ์และของฝากเฉพาะจากคนท้องถิ่นที่นี่ นอกจากนี้ เค้ายังมีของที่ระลึกรูปฟูจิต่างๆ เยอะแยะมากมายด้วย อย่างก๊อตเองก็ซื้อถุงเท้าลายฟูจิมา คือโคตรน่าร้าก 555555
ไฮไลท์หลักที่ต้องมาสัมผัสบรรยากาศจริงของ สวนโออิชิ (Oishi Park) เลย คือ ‘ถนนดอกไม้’ ถนนที่มีความยาวประมาณ 350 เมตร หน้าตาคล้ายๆ เลนปั่นจักรยานและทางเดินทั่วไป แต่ที่พิเศษเลยคือ สองข้างทางของถนนที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ ปลูกเรียงรายบานสะพรั่งกันอยู่ตลอดทั้งปีหมุนเวียนไปในแต่ละฤดูกาล และมีวิวภูเขาไฟฟูจิตั้งเป็นแบ็คดรอปด้านหลัง โดยอันที่ก๊อตอยากไปดูมากที่สุดเลยก็คือต้นพุ่มสีแดงๆ ที่เห็นบ่อยมากในโลกโซเชียลอย่างต้นโคเชีย (Kochia) ที่เสียดายหน่อยๆ ในช่วงที่ก๊อตไปนั้นเจ้าโคเชียได้กลายสภาพเป็นพุ่มไม้สีน้ำตาลแห้งๆ ไปเรียบร้อยแล้ว โอยย 5555555
แต่แม้ว่าน้องจะเปลี่ยนสีไปแล้ว แต่บริเวณนี้ยังถือว่าเป็นจุดที่ถ่ายรูปได้สวยสับเอาเรื่องอยู่นา ด้วยความอลังของภูเขาไฟฟูจิลูกเบอเร้อที่ตั้งเด่นอยู่ไม่ไกลเลย ทำให้ไม่ว่าจะไปโพสต์ท่าตรงไหน รูปที่ได้ออกมาก็โคตรสวย ยิ่งใครมาช่วงบ่ายๆ ไปหาเย็น จะได้เห็นแสงของพระอาทิตย์สาดส่องลงไปบนผิวน้ำของทะเลสาบ สะท้อนเป็นเงาสีทองระยิบระยับ ยิ่งเสริมให้มู้ดของที่นี่ดีขึ้นไปอีก 300% โดยระหว่างที่ถ่ายรูปเล่นอยู่นั้นก็จะเห็นคนญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวเค้ามาปั่นจักรยานอยู่ตามถนนเลียบทะเลสาบ ท่ามกลางบรรยากาศของขุนเขาและต้นไม้รายล้อมอีกด้วย
หากใครที่มาในฤดูกาลอื่นๆ นั้น เค้าจะปลูกต้นไม้วนเวียนกันไปตามนี้เลย ปลายเดือนเมษายน จะเป็นดอกทิวลิป ดอกนาร์ซิสซัส ดอกเรปซีด, ต้นเดือนพฤษภาคม จะเป็นต้นฟล็อกซ์ สีชมพู ม่วงสดใส, มิถุนายน-ต้นเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงของดอกลาเวนเดอร์, ปลายมิถุนายน ถึงต้นเดือนตุลาคม เต็มไปด้วยต้นบีโกเนีย และในกลางเดือนตุลาคม ถึงพฤศจิกายน เป็นทุ่งของดอกโคเชียสีแดงสดนั่นเอง ใครที่อยากมาถ่ายรูปกับดอกไม้ชนิดไหน สามารถเลือกช่วงเวลาเที่ยวได้ตามที่ก๊อตบอกไปเลย
DAY 2 :
เจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda)
ใครที่หารีวิวที่เที่ยวในญี่ปุ่นโดยเฉพาะภูเขาไฟฟูจิ ร้อยทั้งร้อยก๊อตว่าจะต้องเคยเห็นภาพของเจดีย์สีแดงสูง 5 ชั้น ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง โดยมีฉากหลังเป็นวิวของเมืองฟุจิโยะชิดะ (Fujiyoshida) และภูเขาไฟฟูจิสุดอลังผ่านตากันมาอย่างแน่นอน ซึ่งที่นี่ก็คือ เจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda) หนึ่งในแลนด์มาร์คที่โด่งดังของคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ที่ต้องมา ยิ่งถ้าใครที่มาเที่ยวเป็นครั้งแรกแล้วล่ะก็ แลนด์มาร์คนี้ควรค่าแก่การมาสัมผัสของจริง และเห็นเองกับสายตาสักครั้ง
เจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda) เป็นส่วนหนึ่งของ ศาลเจ้าอาราคุระ ฟูจิ เซ็นเก็น (Arakura Fuji Sengen Shrine) ศาลเจ้าเก่าแก่แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 705 โดยผู้คนเค้ามักจะมาขอพรเกี่ยวกับการให้ครอบครัวมีความสุข และช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ไปจนถึงขอในเรื่องการคลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย ซึ่ง เจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda) นั้นถูกสร้างขึ้นมาภายหลังการก่อสร้างศาลเจ้าในปี ค.ศ. 1963 เพื่อเป็นอนุสรณ์สันติภาพของเมืองฟูจิโยชิดะ (Fujiyoshida Cenotaph Monument) เพื่อรำลึกถึงผู้คนจำนวน 960 คนของเมืองนี้ ที่เสียชีวิตลงในสงคราม นับตั้งแต่สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War) ในปี ค.ศ. 1868 จนถึงสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนี้เจดีย์แห่งนี้เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ประจำเมืองคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) รวมถึงกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ทุกคนต้องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากใครที่ขับรถมาเที่ยวเองแบบก๊อต สามารถจอดรถไว้ที่ลานจอดรถด้านล่างของศาลเจ้าได้เลย โดยวิธีการขึ้นไปด้านบนเพื่อถ่ายรูปกับเจดีย์นั้น เราจะต้องเดินเท้าขึ้นไปตามถนนที่คดเคี้ยวไปตามแนวเขา หรือเดินขึ้นบันไดราวๆ 400 ขั้น โดยระหว่างทางนั้นเราจะได้ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติตามสองข้างทาง โดยเฉพาะช่วงที่ก๊อตไปฤดูใบไม้เปลี่ยนที่ทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นใบไม้แดงปกคลุมเรียงรายไปตามแนวเขา และยิ่งพอเราเดินขึ้นสูงไปเรื่อยๆ และเราเหลียวหน้ามองไปยังด้านหลัง ก็จะเริ่มเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิสวยๆ อีกด้วย
เดินขึ้นมาถึงด้านบน เราจะเจอเข้ากับตัวฐานที่ตั้งของเจดีย์สีแดง ที่มีขนาดไม่ได้ใหญ่มาก โดยเจดีย์แห่งนี้เค้ามีชื่ออย่างเป็นทางด้วยว่า ‘อนุสาวรีย์ Fujiyoshida Cenotaph’ สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้คนของเมืองฟุจิโยะชิดะ (Fujiyoshida) ที่เสียชีวิตลงในสงครามตั้งแต่กลางปี 1800 (จากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่งในปี 1868) จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง
สำหรับใครที่ขึ้นมาถึงฐานเจดีย์แล้ว อาจจะงงว่าไม่เห็นเหมือนรูปในรีวิวเลย แกร๊ คือราจะต้องเดินต่อขึ้นไปอีกนิดหน่อยบนเนินเขาที่มีแพลตฟอร์มชมวิวที่อยู่ด้านหลังของเจดีย์กันก่อน บนนี้จะมีลานสำหรับชมวิวที่เค้าสร้างขึ้นมาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูป และชมวิวกันโดยเฉพาะ ซึ่งบอกเลยว่าตอนนี้เค้าทำดีขึ้นมาก เพราะเมื่อ 6-7 ปีก่อนที่ก๊อตมา พื้นที่ตรงนี้ ยังไม่มีลานชมวิวแบบนี้เลย แต่ตอนนี้เค้าทำดีมากที่เราสามารถมานั่งเปื่อยๆ ยืนดูวิวของเมือง และภูเขาไฟฟูจิได้แบบพาโนราม่าเลย หากใครมาในวันที่ฟ้าเปิดก็จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิกันแบบเต็มๆ ตา แต่นี่มาในวันที่เมฆหมอกไม่เป็นใจ เพราะต่างบดบังทิวทัศน์ของภูเขาไฟฟูจิจนแทบจะมองไม่เห็นกันเลยเชียว แงง
สวนสาธารณะคาวากุจิโกะ เท็นโจซัง (Kawaguchiko Tenjozan Park)
ไปต่อกันที่ สวนสาธารณะคาวากุจิโกะ เท็นโจซัง (Kawaguchiko Tenjozan Park) สวนสาธารณะขนาดเล็กบนภูเขาเท็นโจ (Mount Tenjo) ที่ถูกขนานนามให้เป็นสวนสาธารณะที่อยู่ในทำเลที่ดีสุดสุดแห่งหนึ่งของเมือง ด้วยความที่เค้าอยู่บนภูเขา ส่งผลให้ระดับความสูงของสวนที่อยู่ในระดับที่สายตาของเราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิและรอบๆ เมืองของทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) ได้แบบชัดเจนและสวยมากที่สุดเลยด้วย
สำหรับวิธีการขึ้นมาบนสวนสาธารณะแห่งนี้นั้น จะมีอยู่ 2 วิธี คือ ‘เดิน’ ใครที่อยากมาดื่มด่ำกับธรรมชาติระหว่างสองข้างทางบนเขานั้น เค้ามีเส้นทางเดินให้เราได้เลือกด้วย แต่วิธีนี้ก๊อตขอผ่านก๊อน สายขี้เกียจอย่างเรานั้นขอใช้อีกวิธีแทนคือการนั่งกระเช้าลอยฟ้า ‘Kawaguchiko Mt. Fuji Panorama Ropeway’ ขึ้นไปแทน ซึ่งเราสามารถมาซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์ทางขึ้นได้เลย โดยไม่ต้องจองคิวมาล่วงหน้าแต่อย่างใด
โดยราคาค่าขึ้นกระเช้าจะมีหลากหลายราคา ตั้งแต่บัตรขึ้นกระเช้าลอยฟ้าอย่างเดียว คือ 500 เยน (~130 บาท) สำหรับเที่ยวเดียว และ 900 (~230 บาท) เยน สำหรับขาไป-กลับ หรือถ้าใครที่อยากนั่งเรือในทะเลสาบ หรือแม้แต่รถบัสนำเที่ยวเพิ่มเติม สามารถซื้อบัตรคอมโบด้วยกันได้ ก็จะประหยัดเงินไปได้อีกด้วยน้า
ซึ่งข้อดีของการนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นมา คือเราจะได้เห็นวิวของทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchi) แบบไกลสุดลูกหูลูกตา ได้เห็นต้นไม้รอบข้างที่กลายเป็นสีแดงตัดกับสีส้มสดไปทั่วทั้งบริเวณ มีภูเขาน้อยใหญ่ที่ลดหลั่นกันไปราวกับโอบล้อมเราไว้ เป็นหนึ่งในภาพบรรยากาศความทรงจำที่ก๊อตประทับใจและยกให้เป็นวิวที่สวยสุดๆ ซึ่งใครขึ้นกระเช้ามาแบบก๊อตนั้น ถ้าอยากจะส่องวิวสวยๆ แบบนี้แนะนำว่าตอนขึ้นกระเช้ามา ให้รีบจับจองที่นั่งหน้ากระจกเอาไว้เลย รับรองเราจะได้เห็นวิวรอบตัวแบบหนำใจ
นั่งกระเช้าขึ้นมาไม่นานมากนักก็ปรากฏภาพของสวนขนาดกำลังดีที่แสนจะร่มรื่น มีลมพัดลู่ไปกับผิวอยู่ตลอดเวลา โดยบริเวณบนนี้จะมีร้านอาหาร ร้านขายของฝากตั้งขายรวมๆ กันอยู่ด้วย และชั้นสองของร้านเค้าจะมีลานเปิดโล่งให้เราได้เดินขึ้นไปชมวิวเมือง สวนสนุกฟูจิคิวไฮเเลนด์ ทะเลสาบที่มีคลื่นลูกเล็กๆ พัดเข้ากระทบกับชายฝั่งเบาๆ เป็นบรรยากาศที่สงบ และดูอบอุ่นมากๆ รวมถึงภูเขาไฟฟูจิอีกด้วย แต่อย่างที่บอกไปคือ ตอนที่ก๊อตไปฟ้าคือครึ้มจนปิดต้าวภูเขาไฟฟูจิจนมิด การขึ้นมาดูวิวของก๊อตในครั้งนี้เลยไม่ได้ภูเขาไฟฟูจิซักแอะ ฮื้อ
อีกสิ่งหนึ่งที่คนนิยมทำบนนี้คือการซื้อดังโงะกินกันแหละ โดยร้านเค้าจะมีขายอยู่สองรสชาติให้ได้ลิ้มลอง คือแบบราดซอสและแบบคลุกถั่ว ส่วนตัวก๊อตว่าดังโงะที่นี่อร่อย คือแป้งเค้าเหนียวนุ่มและขนาดของดังโงะก็ใหญ่มาก คือกินแล้วมีอิ่มเลยแหละแกร นอกจากนี้เค้ายังมีขนมที่ที่ไส้ข้างในเค้าเป็นแกงกะหรี่ด้วยนะ (จำชื่อไม่ได้) อันนี้คืออร่อยมากก ใครที่มาเที่ยวตรงนี้คือต้องซื้อของกินแล้วมานั่งจุ้มปุ๊กกินขนมหน้าร้านเค้าซักหน่อย กินเสร็จแล้วก็อย่าลืมไปเดินย่อยเบาๆ ถ่ายรูปเล่นกับมาสคอตตัวแร็กคูน และเจ้ากระต่ายสุดปุ๊กปิ๊ก ที่เป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนเขา ซึ่งถ้าใครลองสังเกต จะเห็นว่าตั้งแต่เราขึ้นกระเช้ามานั้น ป้ายตรงทางขึ้นจะมีรูปของแร็กคูนและกระต่ายตั้งเอาไว้ หรือแม้แต่ตามกระเช้าลอยฟ้าที่ลงสวนเราก็มีรูปปั้นจิ๋วๆ ของแร็กคูนและกระต่ายประดับประดาตามมุมต่างๆ เอาไว้เช่นกัน ซึ่งตัวละครสองตัวนี้เค้าก็มีเรื่องเล่าด้วยนะเออ
สำหรับแร็กคูนและกระต่ายสุดน่ารักนี่ มาจากนิทานเรื่อง Kachi kachi Yama (かちかち山) หรือชื่อภาษาไทยคือ ‘กระต่ายล้างแค้น’ เขียนโดย ของ Dazai Osamu โดยเจ้าแร็กคูนที่เราเห็นกันนั้น ในนิทานชื่อว่า ‘ทานุกิ’ ซึ่งวันดีคืนดีก็ได้เข้าไปทำลายไร่นาของสองตายายคู่หนึ่ง ทานุกิเลยถูกจับมัดเอาไว้เพื่อเตรียมนำไปปรุงอาหาร แต่ระหว่างนั้นคุณตาไม่อยู่บ้าน ทานุกิก็อ้อนวอนให้คุณยายไว้ชีวิต ซึ่งคุณยายก็เอ็นดู และสงสารเลยปล่อยเจ้าทานุกิ ซึ่งพอปล่อยปุ๊บทานุกิก็จับคุณยายมาทำเป็นอาหารแทน และยังได้แปลงร่างกลายเป็นคุณยายอีกด้วย พอคุณตากลับมาบ้าน ทานุกิก็เอาอาหารที่ปรุงโดยใช้คุณยายเป็นวัตถุดิบมาเสิร์ฟ และหนีหายไป พอคุณตารู้เข้าก็เสียใจมาก
ทีนี้เรื่องมันก็ไปถึงหูของกระต่ายเพื่อนรักของคุณตาและคุรยาย ที่ได้อาสาเข้ามาว่าจะไปแก้แค้นทานุกิตัวนั้นให้เอง โดยกระต่ายก็ได้ไปตีสนิทจนทานุกิไว้ใจ หลังจากนั้นได้ออกอุบายให้ไปตั้งแคมป์ด้วยกันบนเขา ซึ่งระหว่างที่เดินทางทานุกิดันพายกระบุงใส่ฟางไว้ที่หลัง กระต่ายเห็นดังนั้นเลยเอาหินมาเสียดสีให้เกิดเปลวไฟ แล้วใส่ลงไปในกระบุงบนหลังของทานุกิที่เต็มไปด้วยฟางจนเกิดไฟลุกไหม้ แต่ทานุกิยังไม่ตาย เพราะกระต่ายได้เอายาที่ทำจากพริกมาทาให้ (เลือดเย็นไม่ไหว) ต่อมาทั้งคู่ก็ได้นัดประลองกันด้วยการพายเรือข้ามทะเลสาบ ซึ่งกระต่ายก็ฉลาดกว่าไง เลยสร้างเรือจากไม้ที่แข็งแกร่ง แต่ทานุกินั้นฉลาดน้อยไปนิด ดันเอาดินมาปั้นเป็นเรือ ผลคือ ลอยไปไม่นานเรือหัก และจมลงสู่ก้นทะเลสาบ ซึ่งก่อนทานุกิจะตายไปนั้น กระต่ายก็ประกาศก้องไปเลยว่าตัวเองเป็นเพื่อนรักกับสองตายายที่ทานุกิไปทำร้ายมา และนี่ก็คือการแก้แค้นแทนในแบบฉบับของกระต่ายน้อยแสนน่ารักจากนิทานเรื่อง Kachi kachi Yama (かちかち山)
บน ภูเขาเท็นโจ (Mount Tenjo) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะแห่งนี้ ก็เป็นสถานที่ที่ว่ากันว่าทานุกิ และกระต่ายน้อยเค้ามาตั้งแคมป์กัน โดยฉากที่กระต่ายเอาไฟใส่กระบุงที่มีฟางบนหลังทานุกินั้น บ้างก็เล่าว่าเกิดขึ้นบนภูเขาแห่งนี้นั่นเอง นั่นทำให้ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหน ก็จะเห็นแร็กคูนทานุกิ และกระต่ายน้อยอยู่เต็มไปหมด ว่าแล้วก๊อตก็ขอถ่ายรูปคิ้วท์ๆ กับน้องสองตัวเค้าหน่อย ซึ่งพอได้รูปจนจุใจ ได้กินอิ่มหนำสำราญกันไปแล้ว นี่ก็ถึงเวลากลับลงไปข้างล่าง โดยขึ้นมาแบบไหน ก๊อตก็ลงไปแบบเดิมคือการนั่งกระเช้าลอยฟ้าลงไปนะ ไม่ใช่เดินลงเขา 555555
เสาโทริอิแห่งท้องฟ้า (Tenku-no Torii)
เสาโทริอิแห่งท้องฟ้า (Tenku-no Torii) อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่โด่งดังมาจากภาพของเสาโทริอิสีแดงขนาดใหญ่ที่ตั้งโด่เด่อยู่บนเนินเขาอันเดียว พร้อมกับฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิแบบใกล้ๆ นั้นทำให้ผู้คนที่คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ต้องมาตามรอยเก็บภาพชื่อดัง ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งก๊อตเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน 555555
ก่อนไปดูบรรยากาศจริงๆ ก๊อตขอบอกเรื่องการเดินทางมายังเสาโทริอิที่นี่ก่อน สำหรับคนที่ขับรถมาเหมือนก๊อตนั้น สามารถปักหมุด ชื่อภาษาอังกฤษ ‘Tenku-no Torii’ ใน Google Map แล้วขับมาได้เลย โดยเราต้องขับรถขึ้นเขามาตามเส้นทางที่เค้ากำลังพัฒนาขึ้นใหม่อยู่ ดังนั้น เส้นทางเค้าจะไม่ค่อยที่ดีเท่าไหร่ แถมถนนเค้าเองก็จะแคบๆ และบางจังหวะก็เป็นทางชันด้วย ใครที่ขับรถแข็งสามารถขับขึ้นมาได้สบายๆ แต่ต้องระมัดระวังและขับช้าๆ เป็นพิเศษหน่อยน้า ถ้าทีนี้ จุดหมายปลายทางมันจะให้เราจอดอยู่กลางเขา ที่เหมือนเป็นทางขึ้นที่กำลังก่อสร้างอยู่ถ้าให้ก๊อตแนะนำ คือให้เราขับรถขึ้นมาต่อหน่อยๆ จนเราวิวเสาโทริอิ จากนั้นเราสามารถจอดรถข้างถนนและเดินลงมานิดหน่อยได้เล้ย ส่วนใครที่ไม่ได้มีรถขับนั้น เราสามารถมาที่ศาลเจ้าคาวากุจิ อะสะมะ (Kawaguchi Asama Shrine) ก่อน จากนั้นค่อยเดินขึ้นเขามาเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเด้อ
ดูจากทรงตอนที่ก๊อตไปช่วงปลายปี 2022 คือเค้าเหมือนกำลังพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ให้เที่ยวง่ายมากขึ้นในในอนาคต โดยด้านหน้าทางเข้าเองก็มีรถฟู๊ดทรัคขายอาหาร รวมถึงมีคาเฟ่เล็กๆ อยู่ด้วย ใครที่หิวหรืออยากนั่งชิลๆ ดูวิวภูเขาไฟฟูจิก็สามารถฝากท้องแล้วนั่งชิลๆ ได้เลย และถ้าใครที่อยากจะเข้าไปถ่ายรูปคู่กับเสาโทริอินั้น ตรงทางเข้าเค้าจะมีตู้หยอดเงินบริจาคตั้งเอาไว้ให้เราได้หยอดเป็นค่าเข้าสถานที่ด้วย เนื่องจากตรงนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของศาลเจ้า ซึ่งเราสามารถให้ตามกำลังศรัทธาได้เลย เค้าไม่ได้มีบังคับจำนวนเงินแหละ
เสาโทริอิแห่งท้องฟ้า (Tenku-no Torii) ถือเป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้าคาวากุจิ อะสะมะ (Kawaguchi Asama Shrine) โดยสร้างขึ้นมาเมื่อปี 2019 เพื่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อสักการะเซ็นเง็น หรือ โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ (Konohanasakuya-hime) เทพแห่งฤดูใบไม้ผลิและเทพธิดาของภูเขาไฟฟูจินั่นเอง
อย่างที่เห็นกัน วิวบนนี้ก็จะเป็นลักษณะของเนินเขาโล่งๆ ที่มีเสาโทริอิแห่งท้องฟ้า (Tenku-no Torii) ตั้งตระหง่านโดยมีวิวด้านหลังเป็นทะเลสาบ เมือง และภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มตา เสียดายไปหน่อยในวันที่ก๊อตไปเที่ยวนั้น เมฆคือเยอะมาตลอดตั้งแต่ขึ้นเจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda) แล้ว มาที่นี่ก็ยังโดนเมฆปกคลุมภูเขาไฟฟูจิเอาไว้เหมือนเดิมตามเคย ทำให้ได้ภาพแค่กับเสาโทริอิกับเมืองด้านล่างเท่านั้น ฮืออออ เสียใจ
สรุปจากประสบการณ์จริงที่ไปมา การมาเที่ยวตรงนี้อาจจะต้องพึ่งแต้มบุญกันหน่อยว่าฟ้าจะเปิดให้เราเห็นฟูจิหรือเปล่า เพราะก๊อตคิดว่าถ้าฟ้าเปิดแบบไม่มีอะไรมาบังภูเขาไฟฟูจิล่ะ นี่มั่นใจว่ามันต้องโคตรสวย นอกจากนี้ ถ้าเรามาถูกฤดูมันอาจจะสวยมากกว่านี้ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น ฤดูซากุระ หรือแม้แต่ฤดูใบไม้แดงนั่นเอง ยังไงถ้าวันที่เราไปแล้วฟ้าเปิด การขับรถขึ้นมาก็อาจจะคุ้มค่าอยู่นะเออ แต่ถ้าวันนั้นฟ้าปิดแน่นอน ก๊อตแนะนำให้ข้ามไปได้เลย 555555
อาโอกิกาฮาระ (Aokigahara) ป่าฆ่าตัวตายแห่งญี่ปุ่น
ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) + ถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave)
อาโอกิกาฮาระ (Aokigahara) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในชื่อของ ‘ป่าฆ่าตัวตายแห่งญี่ปุ่น’ ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาไฟฟูจิ มีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์ว่าเป็นบ้านของ ‘Yūrei’ ผีแห่งความตายในตำนานญี่ปุ่น โดยตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา ป่าแห่งนี้ก็เริ่มมีผู้คนมาฆ่าตัวตายมากขึ้น จนได้ชื่อทางภาษาอังกฤษว่าเป็นป่าฆ่าตัวตาย (Suicide Forest) แม้ว่าวันเวลาจะล่วงเลยผ่านมาถึงปัจจุบัน ป่าแห่งนี้ยังคงถูกใช้เป็นสถานที่ที่คนมาฆ่าตัวตายมากที่สุดในโลก ทำให้เวลาเราเดินเข้ามาบริเวณป่าจะเห็นว่ามีป้ายย้ำเตือนให้ผู้คนระลึกถึงครอบครัวให้มาก รวมถึงยังมีข้อมูลติดต่อสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายติดเอาไว้เป็นระยะอีกด้วย
เกริ่นกันมาน่ากลัวแบบนี้ แต่ที่ที่ก๊อตจะพาเข้ามาเที่ยวนั้น ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เพราะจุดหมายของเราก็คือ 2 ถ้ำ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในผืนป่าแห่งนี้ นั่นคือ ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) และถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave) นั่นเอง นั่นคือ เราจะไม่ได้เดินเข้าเล่นเข้าป่าแต่อย่างใด สบายใจได้ 555
ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave)
สำหรับถ้ำแรกที่ก๊อตแวะมาคือ ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) ที่ด้านในจะมีน้ำแข็งซ่อนอยู่ด้านใน จากแว๊บแรกที่เห็นตรงทางเข้ากับแบ็คดรอที่วาดน้ำแข็งเป็นแท่งๆ เต็มไปหมด เห็นรูปแบบนี้นี่ก็คาดหวังแล้วนะ ว่าจะเจอกับน้ำแข็งแบบนี้ ว่าแล้ว เราก็ซื้อตั๋วเข้าถ้ำน้ำแข็งแล้วไปลุยกันเลย ถ้าใครที่วางแผนจะไปเที่ยวทั้งถ้ำน้ำแข็งและถ้ำลม เราสามารถซื้อบัตรคอมโบ้จากตรงนี้ได้ ซึ่งราคาเค้าจะประหยัดกว่าปกตินิดหน่อยนะ
หมดอายุ: 10-10-2024
หมดอายุ: 10-10-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
สำหรับทางเดินเข้าไปในถ้ำนั้น เราจะเดินผ่านป่าอยู่แปปนึง และเดินลงบันไดไปด้านในถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) ที่เส้นทางคดเคี้ยวเข้าไปตามช่องทางของถ้ำ ซึ่งบางจุดจะต้องลัดเลาะและก้มตัวจนเกือบคลานกันซักหน่อย แต่มันก็ยังอยู่ในจุดชิลๆ ที่รับไหว ไม่ได้ลำบากมากอะไรขนาดไหน อย่างไรก็ตาม ก๊อตไม่ค่อยแนะนำให้คนแก่ คนท้อง หรือคนที่ก้มเดินลำบากเข้ามาเที่ยวนะ เพราะอาจจะเดินเหินลำบากหน่อย ด้วยความที่มันมีจุดที่เราต้องลอดถ้ำด้วยแหละ
ระยะทางเดินในถ้ำจะมีความยาวประมาณ 156 เมตร พอเดินลึกเข้ามาข้างในเรื่อยๆ สัมผัสได้ว่าอุณหภูมิข้างในก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามผนังและจุดต่างๆ ของถ้ำเริ่มมองเห็นว่ามีน้ำแข็งเกราะอยู่ โดยจุดที่เย็นที่สุดอยู่ที่ 3 องศาเลย ซึ่ง ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) เกิดจากการปะทุของภูเขานากาโอะในปี 864 โดยลาวาที่ไหลออกมานั้น ได้ไหลลงตามพื้นดินจนเกิดเป็นช่องและกลายเป็นถ้ำแห่งนี้ โดยที่นี่เป็นหนึ่งในสามถ้ำขนาดใหญ่ที่เชิงเขาทางเหนือของภูเขาไฟฟูจิ อีกสองถ้ำคือ ถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave) และถ้ำทะเลสาบค้างคาว (Lake Saiko Bat Cave) ซึ่งทั้งสามแห่งถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติของญี่ปุ่นในปี 1929 นอกจากนี้ในช่วงสมัยเอโดะ (ปี 1603-1868) ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) ยังถูกใช้สำหรับเป็นตู้เย็นธรรมชาติ ว่ากันว่ามีการเอาอาหารลงมาแช่เย็นไว้ที่ด้านล่างของถ้ำ และยังได้มีการตัดเอาน้ำแข็งภายในถ้ำส่งไปยังโชกุน และผู้ติดตามเพื่อใช้งานอีกด้วย
พอเราเดินเข้ามาจนถึงข้างในสุดทางของถ้ำแล้ว ภาพในหัวคือน้ำแข็งแฉกๆ เหมือนภาพที่เห็นตรงแบ็คดรอปก่อนเข้ามาแน่ๆ แต่ข้างในจริงๆ ที่ก๊อตเห็นชัดมากที่สุดคือเหลือแค่ก้อนน้ำแข็งใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ ซึ่งเค้ายังคงแข็งตัวไม่ละลายเลย ลักษณะดูเหมือนน้ำแข็งเคลือบชั้นหินเอาไว้อีกที นอกนั้นก็จะมีเป็นน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามผนังถ้ำให้ได้ดู ซึ่งมันไม่มีอะไรให้ดูมากกว่านี้แล้ว เพราะสุดจากตรงนี้เราก็ต้องเดินวนกลับออกไป ถ้าถามก๊อตว่าข้างในถ้ำดีไหม ก็ถือว่าโอเค๊ หลังจากก๊อตกลับมาแล้วมาหาข้อมูล คือจริงๆ เค้ามีน้ำแข็งแท่งๆ จริงๆ แหละ คือจะมีเฉพาะช่วงหน้าหนาวเท่านั้น ฮื้อ
ถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave)
จาก ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) จริงๆ เราสามารถเดินเท้ามาต่อที่ ถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave) ได้เลย แต่ก๊อตเลือกขับรถมาจอดตรงถนนใกล้ๆ กับทางเข้าถ้ำแทน ซึ่งพอเราลงจากรถเสร็จแล้ว จะต้องเดินเท้าเข้าไปผ่านทางป่าฆ่าตัวตายเสียอีดนิดก่อน ถึงจะเจอกับปากทางเข้าถ้ำที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจี โดยถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave) มีความยาวประมาณ 201 เมตร มากกว่าที่แรกนิดหน่อย
ระหว่างทางที่ก๊อตเดินเข้าไปนั้น จะเห็นว่าตามผนังของถ้ำเค้าเป็นหินสีเทาๆ ค่อนไปทางดำมีลักษณะแปลกตาไปจากถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) นี่เลยแวะถ่ายรูปเล่นกับหินสักแปป ซึ่งหินที่ทุกคนเห็นอยู่นี้ คือ ‘หินบะซอลต์’ หินที่มีเนื้อละเอียดที่เกิดจากการเย็นตัวของลาวาอย่างรวดเร็วบนพื้นผิวโลก
เดินลึกเข้ามาข้างใน จะเริ่มสัมผัสได้ถึงไอความเย็นที่เพิ่มขึ้น และเริ่มมองเห็นน้ำแข็งที่เกาะอยู่ตามผนังถ้ำเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยในสมัยเอโดะจนถึงสมัยเมจิ (ประมาณปี 1600-1900) ถ้ำแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นที่เก็บไข่ของหนอนไหม ซึ่งปัจจุบันนี้ข้างในก็ยังคงมีกล่องที่เค้าเอาไว้ใส่หนอนไหมตั้งโชว์ให้คนรุ่นหลังได้เห็นอยู่ นอกจากเห็บหนอนไหมแล้ว ยังเก็บพวกเมล็ดพืชเอาไว้อีกด้วย โดยรังไหม และเมล็ดพืชต่างๆ นั้นจะถูกเก็บไว้ในจุดที่เย็นอยู่ตลอดเพื่อให้คงคุณภาพและสามารถเอาไปปลูกต่อได้ ซึ่งพอได้มาเดินดูแบบนี้แล้วก็แอบคิดไปถึงอุโมงค์เก็บเมล็ดพันธุ์อย่างอุโมงค์เมล็ดพันธุ์พืชแห่งสฟาลบาร์ (Svalbard Global Seed Vault) ที่นอร์เวย์ สถานที่เก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์พืชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะนี่คิดว่าทั้งสองแห่งมีจุดประสงค์ที่เหมือนๆ กันเลย
หลังจากก๊อตเดินเล่น และถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว นี่ก็เดินกลับออกมา โดยรวมนี่คิดว่า ถ้ำลมฟุกาคุ (Fugaku Wind Cave) มันมีอะไรให้ได้ดูเยอะกว่าถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) นิดหน่อย เพราะนอกจากเส้นทางเดินจะไกลกว่าแล้ว ข้างในยังมีข้าวของต่างๆ ให้ได้เดินส่องดูด้วย ทำให้เราได้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในยุคอดีตของเค้าอีกด้วย ไหนๆ ใครที่เวลาเหลือในคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) การมาเดินเที่ยวถ้ำมันก็โอเคอยู่เหมือนกันนะ
DAY 3 :
สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland)
วันสุดท้ายของการเที่ยวคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ด้วยความที่ก๊อตเป็นสายสวนสนุก นี่เลยจะไปตามเก็บ สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) กัน โดยคืนก่อนหน้าก๊อตได้มานอนที่โรงแรม Highland Resort Hotel & Spa ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของสวนสนุกพอดี (ใครอยากอ่านรีวิวโรงแรมนี้ อ่านต่อตอนท้ายได้เลยน้า) โดยเช้านี้เราเลยตื่นกันแต่เช้าแล้วรีบมารอเวลาสวนสนุกเปิดเพื่อเข้าไปเล่นเครื่องเล่นด้านในกัน ทั้งนี้ รีวิวในหน้านี้ก๊อตจะสรุปแบบย่อๆ มาให้นะ แต่ถ้าใครอยากอ่านรีวิวเต็ม สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) แบบละเอียดยิบ คลิกอ่านที่นี่ได้เล้ย
ซื้อบัตร สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) ที่ไหนดี?
- ซื้อผ่าน OTAs อย่าง Klook หรือ KKday (⭐️ แนะนำ): วิธีที่ก๊อตว่าสะดวกสบาย ซื้อง่าย และราคาดี คือการซื้อบัตรสวนสนุกผ่าน Klook หรือ KKdays นั่นเองโดยทั้ง 2 ช่องทางนั้น เค้ามีภาษาไทยให้ได้เลือกใช้งาน รวมถึงมีซัพพอร์ทภาษาไทยที่ทำให้เราสื่อสารกับซัพพอร์ทได้ง่าย หากเจอปัญหาอะไร สามารถติดต่อเค้าได้ตลอดเวลา แถมตั๋วที่ได้ก็เอาไปใช้งานง่าย อย่างเช่นที่ Klook เค้าออกให้จะเป็น e-Ticket ที่เราสามารถไปสแกนที่หน้าประตูแล้วเข้าสวนสนุกได้เลย สะดวกเว่อร์
🎫 เช็คราคาและซื้อบัตรสวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) ถือเป็นหนึ่งในสวนสนุกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของญี่ปุ่นเลย ที่นี่ตั้งอยู่ในเมืองฟูจิโยชิดะ (Fujiyoshida) จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) ประเทศญี่ปุ่น โดยเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2511 ดำเนินการโดยบริษัท Fuji Kyuko ซึ่งสวนสนุกแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของรถไฟเหาะที่สูงและเร็วที่สุดในโลกจนได้รับการบันทึกลงใน Guinness Book of Records ขั้นนั้นเลย และด้วยสถานที่ตั้งของสวนสนุกที่อยู่บริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ แถวๆ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ ทำให้เวลาเราเล่นเครื่องเล่นใน สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) ก็จะได้เห็นต้าววิวฟูจิซังไปด้วยนั่นเอง นี่เลยทำให้สวนสนุกแห่งนี้โคตรดังและป็อปในหมู่นักท่องเที่ยวมากๆ เลยแหละ
ปัจจุบัน สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) มีรถไฟเหาะหลักๆ แบบโหดๆ ให้เราได้มาเล่นกันอยู่ 5 เครื่อง ไม่ว่าจะเป็น “Fujiyama” รถไฟเหาะที่เคยสูงและเร็วมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังติดอันดับหนึ่งในรถไฟเหาะที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย ต่อมาจะเป็น “Do-dodonpa” รถไฟเหาะที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดในสวนสนุกแห่งนี้ ด้วยความเร่งจาก 0 ถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 1.56 วินาทีเท่านั้น “Eejanaika” รถไฟเหาะไม่เหมือนใคร ด้วยที่นั่งที่หมุนได้ตลอดเวลา “Takabisha” รถไฟเหาะที่ชันที่สุดในโลกโดยมีความสูงชันถึง 121 องศา และสุดท้ายกับ “Zokkon” รถไฟเหาะตัวใหม่ล่าสุดของสวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) ที่มาในรูปแบบมอเตอร์ไซค์ที่จะพาเราวิ่งไปบนรางด้วยความเร็ว และเข้าโค้งคดเคี้ยวแบบหวาดเสียวโคตรๆ
อย่างก๊อตได้ลองเล่น “รถไฟเหาะฟูจิยามะ” (Fujiyama) ส่วนตัวบอกเลยว่าเค้าเป็นรถไฟเหาะที่เกินคำว่าหวาดเสียวไปมาก ความเร็วและความสูงตอนอยู่บนนั้นมันเกินเบอร์มาก กรีดร้องกันจนคอแทบแตกแบบไม่มีเสียงจะร้องแล้วของจริง 555555 ซึ่งก๊อตขอมอบมงรถไฟเหาะที่หวาดเสียวที่สุดอันนึงที่เคยเล่นมาทั้งหมดในชีวิตแล้ว หรือถ้าใครที่อยากเล่นแบบเบาลงมาหน่อย “รถไฟเหาะ Zokkon” ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องเล่นที่ก๊อตแนะนำเลย ซึ่งเค้าเป็นรถไฟเหาะแบบมอเตอร์ไซค์ที่จะพาเราวิ่งไปบนรางด้วยความเร็วสูงนานถึง 3 นาที อันนี้บอกเลยว่าคุ้มค่ามาก แม้จะไม่ค่อยหวาดเสียวเท่าไหร่ แต่ได้ความสนุกฟีลเหมือนมาซ้อมเป็นนักแข่งได้ขับบิ๊กไบก์คันโตๆ ในความเร็วฉบับรถไฟเหาะประมาณนั้นเลย
นอกจากรถไฟเหาะที่ดูเป็นโหมดผาดโผนหวาดเสียวกันแล้ว ที่ สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) เค้ายังมีโซนเครื่องเล่นที่สร้างจากซีรีส์ อนิเมะยอดนิยมที่เหมาะสำหรับน้องๆ หนูๆ อยู่ด้วยนา ไม่ว่าจะเป็น Thomas Land ดินแดนของรถไฟโทมัสที่เด็กๆ จะได้มาเห็นรถไฟพี่โทมัสและเหล่าคาแรกเตอร์อื่นๆ อยู่เพียบ ซึ่งก๊อตว่าเป็นโซนที่ตอบโจทย์เด็กเล็กและผู้คนที่มาเที่ยวกันเป็นครอบครัวมาก ภายในมีมุมให้ได้ท่องเที่ยวและถ่ายรูปกันเยอะสุด ทั้งขบวนรถไฟพี่โทมัสที่ยกเอามาตั้งกันให้สำรวจกันใกล้ๆ ร้านค้าขายของที่ระลึกที่มีคอลเลกชันพี่โทมัสให้ได้ตามเก็บสะสม และที่พิเศษสุดๆ เลยคือในปี 2023 นี้ ที่ Thomas Land เค้าจะฉลองครบรอบ 25 ปี โดยมีการจัดงานวันครบรอบในธีม “Growing!” ให้เด็กๆ ได้มาร่วมสนุกไปด้วยกันอีกด้วยนา ส่วนใครที่มาเดินเที่ยวใน Thomas Land เสร็จแล้วเกิดหิวขึ้นมา ภายในเค้ายังมีร้านค้า ร้านอาหารให้ได้เดินมาฝากท้องกินกันอีกด้วย ใครที่พาเด็กเล็กๆ มาด้วย ก๊อตเชียร์ให้เดินมาที่นี่ บอกเลยว่าน้องๆ มีกรี๊ดแน่นอน
ยังไม่หมดเท่านั้น สำหรับสายมังงะ ที่นี่เค้ายังมีโซนพิเศษอย่าง Naruto × BORUTO FUJI Hidden Leaf Village โลกของเหล่านินจาจากมังงะชื่อดังเรื่อง “Naruto” และภาคต่ออย่าง “Boruto: Naruto Next Generations” ที่ซึ่งแฟนๆ ของนารูโตะนั้น จะได้มาใช้ชีวิตในโลกที่เสมือนเราหลุดเข้าไปในการ์ตูนจริงๆ ผ่านธีมและฉากต่างๆ ที่เค้าเซ็ตขึ้นมาให้ได้ถ่ายรูปกันตั้งแต่ประตูทางเข้ากันเลยเชียว
ภายใน Naruto × BORUTO FUJI Hidden Leaf Village จำลองเป็นเหมือนหมู่บ้านที่จะมีเหล่าคาแรกเตอร์จากในจักรวาลของนารูโตะมายืนอยู่ตามจุดต่างๆ หรือกำลังทำกิจกรรมตามแต่ละคาแรกเตอร์ออกไป นอกจากนี้ยังมีโซนให้ได้มาเล่นเครื่องเล่นอีกเพียบ ทั้ง “Naruto X Boruto Ninja Voltage 3D Shooting Ride” เครื่องเล่นแบบ 3D ที่เค้าจะให้เรานั่งมาบนยานเพื่อเข้ามาระเบิดเป้าหมายให้ได้มากที่สุด หรือใครที่อยากใช้ความคิดก็มาเล่นเกมไขปริศนาเพื่อชิงรางวัล ที่ “Game Ninjutsu Carnival” กันได้ แต่ถ้าอยากจะมาสำรวจถึงที่มาที่ไปของนารูโตะแล้วล่ะก็ เค้าก็มีโซน “Ninja Way Museum” ที่เราจะได้มาเห็นฉากที่เค้าจำลองมาจากการ์ตูน รวมถึงจัดแสดงเป็นนิทรรศการ และมีรูปปั้นของนารูโตะมาตั้งเอาไว้ให้ได้เซลฟี่กันใกล้ๆ อีกด้วย บอกเลยว่ากิจกรรมมีให้ทำกันแน่นๆ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร และร้านขายของฝากเกี่ยวกับนารูโตะให้มาตามเก็บตามกินอีกด้วย
เล่นเครื่องกันจนหนำใจแล้ว กิจกรรมสุดท้ายที่ก๊อตอยากให้มาลองใน สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) คือการขึ้นไปบน “Fujiyama Tower” ที่ด้านบนสุดจะเป็นจุดชมวิวที่เรียกว่า “FUJIYAMA King of Coasters Sky Deck Observatory” จุดชมวิวบนความสูง 55 เมตร ที่เป็นเหมือนดาดฟ้าให้เราได้มาเดินชมวิวรอบๆ สวนสนุกแบบพาโนราม่า โดยความตื่นเต้นคือมันจะมีรถไฟเหาะฟูจิยามะ (Fujiyama) วิ่งผ่านอยู่เป็นจังหวะให้เราได้โบกไม้โบกมือให้กับคนบนรถไฟเหาะ อีกทั้งบนนี้ยังเป็นจุดที่เราสามารถมานั่งมองวิวของต้าวฟูจิซังได้แบบเต็มสายตาอีกด้วย นอกจากนี้ขาลงถ้าใครไม่อยากลงลิฟต์แบบปกติ เค้าก็มีสไลด์เดอร์ให้เราได้ซื้อตั๋วไถลตัวลงมาจากความสูง 55 เมตรด้วยนา ใครอยากกรี๊ดกร๊าดกันต่อก็มาลองได้
โดยรวมหลังจากที่เที่ยวและเล่นเครื่องเล่นกันแบบจัดเต็มที่ สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) มาเกือบทั้งวันแล้ว ก๊อตบอกได้เลยว่าใครที่ชอบเล่นรถไฟเหาะทั้งหลายนั้น หากมีโอกาสได้มาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อยากให้มาลองเล่นรถไฟเหาะที่นี่ด้วย เรื่องความเร็วแรงนี่ว่าที่นี่คือนัมเบอร์วันสุดๆ อีกทั้งยังเหมาะกับการมาเที่ยวกันแบบครอบครัว ยิ่งบ้านไหนที่พาน้องๆ หนูๆ มาด้วยแล้ว สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) เป็นอีกหนึ่งสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นโซนสำหรับเด็กๆ อย่างเช่นโซนโทมัสแลนด์ที่คนไม่ได้เยอะเลยด้วย นี่ว่าตอบโจทย์มากสำหรับคนทุกเพศทุกวัยเลย สำหรับรีวิวสวนสนุกในหน้านี้ ก๊อตตัดมาเป็นแบบย่อๆ ใครที่อยากอ่านรีวิวเต็มแบบละเอียดยิบทั้งเครื่องเล่น วิธีการเดินทางมา บัตรเบ่ง Priority Pass ต่างๆ ก๊อตแนะนำให้อ่านรีวิวเต็มตามลิงค์ด้านล่างได้เลย
> อ่านรีวิว สวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ (Fuji-Q Highland) ฉบับเต็มคลิก
เวิร์กชอปเป่าแก้วในโอตสึกิ (Otsuki)
เที่ยวสวนสนุกเสร็จแล้ว เหลือเวลาช่วงบ่ายแก่ๆ นิดหน่อย ก๊อตก็นั่งรถไฟมาทำกิจกรรมน่ารักๆ อย่างการเป่าแก้วที่เมืองโอตสึกิ (Otsuki) ก่อนกลับโตเกียวกันซักหน่อย สำหรับคนที่ไม่ได้ขับรถแบบก๊อต เราสามารถนั่งรถไฟ Fuji Excursion มาลงที่โอตสึกิ (Otsuki) และนั่งแท็กซี่มายังบ้านลุงเค้าได้เลย โดยเวิร์กชอปการเป่าแก้วนั้น ก๊อตซื้อกิจกรรมมาจาก Klook เพราะเห็นว่ากิจกรรมน่าสนใจดี แถมยังได้แก้วรูปภูเขาไฟฟูจิฝีมือตัวเองกลับบ้านไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วยนั่นเอง
เมื่อเรามาถึงแล้ว เราจะได้เข้าไปอยู่ในห้องเป่าแก้ว ซึ่งภายในก็จะเต็มไปด้วยเครื่องมือ และอุปกรณ์ในการเป่าแก้วอยู่เต็มไปหมด โดยมีเตาหลอมอันใหญ่ตั้งให้เห็นกันด้วย สำหรับขั้นตอนในการทำนั้น เค้าจะให้เราเลือกรูปทรงของแก้วกันก่อน โดยมีหลายรูปทรงมากทั้งจาน แก้ว ถ้วย หรือแม้แต่ภูเขาไฟฟูจิที่คนมาเวิร์กชอปส่วนใหญ่ก็นิยมทำอันนี้กัน
และแน่นอนว่าก๊อตก็เลือกทำเป็นต้าวฟูจินั่นเอง พอเราได้รูปทรงที่ตั้งใจไว้แล้ว คุณลุงเค้าจะให้เราเลือกเม็ดสีและออกแบบการจัดเรียงตามใจชอบ โดยเม็ดสีที่เราวางนั้นจะถูกหลอกละลายไปโชว์อยู่บนตัวผลงานของเรานั่นเอง เริ่มต้นเป่าแก้ว คุณลุงเค้าก็จะเริ่มเอาเนื้อแก้วเหลวจากเตาหลอมอันร้อนระอุ หมุนไปหมุนมา รวมถึงให้เราเป่าออกมาเป็นรูปแก้ว จากนั้นก็เอาชิ้นงานเราไปทาบกับเม็ดสีที่เราออกแบบเอาไว้ในตอนแรก ซึ่งขั้นตอนเกือบทั้งหมดนั้นจะผ่านมือเราแน่นอน โดยมีคุณลุงคอยช่วยจับ ช่วยสอนแบบตัวต่อตัวอยู่ตลอดเวลา
หมุนกันไปมาจนเม็ดสีเริ่มรวมลงไปเป็นเนื้อเดียวกับแก้วแล้ว ให้นำออกมาจากเตาแล้วก็เป่าแก้วเพิ่มเข้าไปอีก ให้นึกภาพตามว่าด้ามที่เค้าให้เสียบแก้วนั้น มันมีรูกลวงๆ ข้างใน ดังนั้นเราเลยสามารถเป่าลมจากที่จับด้านบน ลงสู่ปลายด้านล่างของด้ามได้ ซึ่งพอเป่าลมเข้าไปแล้ว แก้วมันก็จะขยายตัวเหมือนกับเรากำลังเป่าลูกโป่งนั่นแหละ แต่ช่วงที่ทำอยู่ก็ต้องหมุนไปหมุนมาด้วยนะ ไม่งั้นแก้วมันจะเสียทรงได้ ก๊อตเองก็ หมุนๆ บิดๆ กันอยู่สักพัก ขึ้นโครงกันไปไม่นานก็เริ่มเห็นเป็นรูปร่างของภูเขาไฟฟูจิเสียที ซึ่งพอได้รูปทรงที่ต้องการแล้ว ครูก็จะตัดแก้วของเราออกมาจากด้ามจับ ก่อนจะให้เราเอาที่คีบมาดัดแก้วทำเป็นปากปล่องภูเขาไฟ แล้วก็ปิดจบด้วยการเอาผลงานของเราไปแช่แข็ง ซึ่งเราจะไม่ได้น้องเค้ากลับบ้านไปด้วยนา ทางทีมงานเค้าจะส่งมาให้เราตามหลังอีกที
ส่วนตัวนี้คิดว่ามาลองเวิร์กชอปเป่าแก้วก็สนุกเอาเรื่อง ซึ่งพอได้มาเห็นขั้นตอนต่างๆ ของจริงแบบนี้ก็เอ้อ มันไม่ได้ง่ายเลยนะ แถมร้อนมากด้วยตอนที่เราอยู่หน้าเตาหลอมอะ แต่ถึงอย่างนั้น เวิร์คชอปนี้ก็สนุก คุณลุงใจดี ยิ่งได้พอเห็นผลงานแล้วก็ชื่นใจ เหมือนได้มาซ้อมเห็นต้าวฟูจิก่อนไปดูของจริงเลย 55555
ที่พักในคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko)
The Garden Resort & Condominium
มาเที่ยวคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) โจทย์การเลือกที่พักของก๊อตคือต้องเป็นที่พักที่เราต้องเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิจากตัวห้องเลย ซึ่งรอบนี้ก๊อตเลือกพักที่ The Garden Resort & Condominium ที่พักสไตล์มินิมอลโมเดิร์นจัดๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko Station) เพียงแค่ 600 เมตร โดยตัวที่พักเป็นอาคารสีขาวมีระเบียงหันหน้าเข้าหาภูเขาไฟฟูจิ เหมาะกับใครที่อยากมานอนดื่มด่ำไปกับวิวของภูเขาไฟฟูจิขั้นสุด
ด้วยความที่ที่พักเค้าระบุเลยว่าตัวเองเป็น Resort & Condominium ใครจะเข้าพักที่นี่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเค้าจะไม่มีเซอร์วิสแบบโรงแรม นั่นคือไม่ได้มีอาหารเช้า ไม่มีสระว่ายน้ำ หรือฟิตเนสให้ได้เล่น แต่เค้ามีลานจอดรถให้ฟรี และพื้นที่ส่วนกลางให้เราได้ใช้งาน เผื่อใครอยากมานั่งปิ้งบาร์บีคิวกินก็สามารถขนอุปกรณ์มาทำกินได้ ซึ่งข้อดีของการเข้าพักที่นี่ คือห้องพักทุกห้องเค้าสร้างยื่นหน้าไปทางภูเขาไฟฟูจิหมดเลย นั่นหมายความว่าไม่ว่าเราจะเข้าพักห้องไหนก็จะได้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิกันแบบเต็มๆ
ก๊อตเลือกจองนอนมาเป็นห้องแบบ Deluxe Room with Mt.Fuji View ห้องพักขนาด 40 ตารางเมตร บนชั้นสองที่สามารถนอนได้ถึง 6 คน แต่เราไปกันแค่ 4 คน โดยราคาห้องพักต่อคืนอยู่ที่ 8,500 บาท ซึ่งพอหาร 4 คนออกมาแล้ว คุ้มค่ากับวิวที่ได้มาก อีกทั้งขนาดของห้องพักมันค่อนข้างกว้างและสะดวกสบาย โดยภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi ฟรี ทีวีจอแบน โซฟา กาต้มน้ำร้อน ห้องครัว ชุดเครื่องนอน และผ้าขนหนู รวมถึงของใช้ในห้องน้ำเสร็จสรรพ
ข้อดีของห้องพักแบบ Deluxe Room with Mt.Fuji View บนชั้นสองแบบก๊อตนั้น เราจะได้เห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิที่ระเบียงกระจกขนาดใหญ่ได้แบบโคตรชัด ไม่มีอะไรมาบดบังเลย แต่ถ้าใครพักห้องตรงชั้นแรกนั้น มันจะไม่เปิดโล่งขนาดนี้ เพราะจะมีที่กั้นระเบียงเป็นเฉลียงขวางวิวของเราเอาไว้อยู่ ใครที่ไม่ซีเรียสสามารถเลือกห้องชั้นแรกได้ โดยราคาห้องพักต่อคืนจะอยู่ประมาณ 5,000 บาท สามารถนอนได้ทั้งหมด 2 คน
บอกเลยว่าความรู้สึกที่ตื่นเช้ามาแล้วได้เห็นภูเขาไฟฟูจิลูกโตตั้งแต่ลืมตา มันเป็นอะไรที่ประทับจิต ประทับใจและ Made My Day สำหรับก๊อตมาก เหมือนเราได้เติมเต็มความรู้สึก และเป็นการเบิกอรุณยามเช้าที่ให้ความรู้สึกใจฟูมากๆ ซึ่งการเข้าพักที่พักใกล้กับภูเขาไฟฟูจินั้นเราต้องใช้แต้มบุญในชีวิตสูงหน่อย บางวันก็เมฆเยอะอดดูไป แต่ถ้าวันไหนฟ้าเปิดนะ ได้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิแบบสวยสับเลย ซึ่งช่วงที่ก๊อตไปนั้นแต้มบุญในส่วนที่พักเรายังมี เพราะตื่นมาได้เห็นภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มๆ ไม่มีเมฆหมอกอะไรมาบังเลย มันดีย์สุดๆ
สรุปแล้วถ้าถามว่าราคาที่พักเฉียดหมื่นแบบนี้ม