โอซาก้า (Osaka) หากพูดถึงการมาเที่ยวญี่ปุ่นนั้น หนึ่งในเมืองที่ฮิตติดลมบนและเป็นจุดหมายของคนไทยมากที่สุดเลย ต้องยกให้กับ โอซาก้า (Osaka) ที่ถือเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่นรองจากโตเกียว บอกเลยว่าใครที่ไม่เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นมาก่อนนั้น ก๊อตแนะนำให้มาปักหมุดเริ่มเที่ยวที่เมืองโอซาก้าเป็นเมืองแรกก่อนได้เลย เพราะโอซาก้าเค้าเป็นเมืองที่จี๊ดจ๊าดและครบรสในทุกเรื่อง ทั้งแลนด์มาร์คดังๆ อย่าง ปราสาทโอซาก้าสุดเก่าแก่ที่เลื่องลือกันในระดับประเทศ ะป้ายไฟกูลิโกะจุดป๊อบที่นักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นเองต่างก็มายืนเซลฟี่เก็บภาพคู่กับพ่อหนุ่มนักวิ่งบนป้ายไฟขนาดใหญ่ ส่วนเรื่องอาหารโดยเฉพาะสตรีทฟู้ดและแหล่งช้อปปิ้งของเค้านั้นก็เริ่ดเอาเรื่อง ยิ่งพวกถนนช้อปปิ้งด้วยแล้ว ก๊อตบอกเลยว่าบรรยากาศนี่ฟู่ฟ่าคลาสสิกมาก
ทั้งหมดทั้งมวลที่ก๊อตเล่าไปทุกอย่างนี้หาได้จากเมืองโอซาก้าเค้าเลย โดยรีวิวเที่ยวโอซาก้าอันนี้จะเรียกว่าเป็นมหากาพย์โอซาก้าก็ไม่ผิด เพราะก๊อตไปเที่ยวจัดเต็มแพลนมาให้ทุกคนได้ตามรอยจุกๆ 5 วัน 25 ที่เที่ยว แบบที่มาตามรอยกันได้ทุกเพศทุกวัย เอาล่ะ ใครที่พร้อมเที่ยวโอซาก้าแล้ว มาเริ่มอ่านกันได้เลย
รู้จักกับเมืองโอซาก้า (Osaka)
โอซาก้า (Osaka) เมืองที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 และมีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันไซ บนเกาะฮอนชู (Honshu) ในเขตจังหวัดโอซาก้า เป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเป็นรองแค่เมืองโตเกียว (Tokyo) ที่มีคนอาศัยอยู่มากถึง 36 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับกรุงเทพบ้านเราแล้วนั้น ประชากรของโอซาก้านั้นคือดับเบิ้ลเป็นสองเท่าของเราเลยนะเว้ย
โดยความเป็นมาของ โอซาก้า (Osaka) ถือว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,400 ปี ย้อนกลับไปในยุคโคฟุง (ค.ศ. 300–508) ที่โอซาก้าได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นเมืองท่าเรือที่สำคัญของภูมิภาค และมีสถานะเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 เนื่องจากตั้งอยู่บนอ่าวโอซาก้า ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีมากๆ
โดยชื่อของ โอซาก้า (Osaka) นั้น หมายถึง “เนินเขาใหญ่” ซึ่งเดิมทีคนเค้าเรียกชื่อเมืองว่า “นานิวะ” และไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกมาเป็นเมืองโอซาก้า (Osaka) ในช่วงเวลาใด แต่มีหลักฐานปรากฏในหนังสือ ปี ค.ศ. 1496 โดยช่วงเวลานั้น โอซาก้า เขียนเป็นคันจิว่า “大坂” (คันจิ คือ อักษรจีนที่ใช้ในระบบการเขียนภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบัน) แต่ทีนี้คันจิตัวหลังคนมักอ่านผิดเป็น 士反 ซึ่งมีความหมายไม่ค่อยดีมากนักว่า “กบฏซามูไร” จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมาจนเข้าสู่ช่วงสมัยปฏิรูปเมจิ ปี ค.ศ. 1870 จึงได้มีการเปลี่ยนตัวคันจิของโอซาก้าใหม่เป็น 大阪 ที่หมายถึงเมือง โอซาก้า (Osaka) และใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
โดยในปัจจุบัน โอซาก้า (Osaka) เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีความเป็นสากลมากที่สุดในประเทศอีกด้วย
แพลนเที่ยวโอซาก้า / สารบัญที่เที่ยว
สำหรับแพลนเที่ยว โอซาก้า (Osaka) จริงๆ ของก๊อตในครั้งนี้ บอกเลยว่ารีวิวเที่ยวโอซาก้าคือจัดเต็มแบบฉ่ำ 25 ที่เที่ยว ที่เราสามารถเที่ยวทั้งหมดในรีวิวนี้ได้ในเวลาเพียง 6 วัน ซึ่งก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวหลากหลายแลนด์มาร์คดังของเมือง ทั้ง ถ่ายรูปโพสต์ท่ากับป้ายกูลิโกะอันโด่งดัง เช็คอินศาลเจ้าสุดป๊อบที่เป็นมุมฮิตในอินสตาแกรม พร้อมพาไปอัปเดตเครื่องเล่นใน Universal Studios Japan (USJ) แบบใหม่แบบสับที่เค้าเพิ่งจะมีโซนใหม่อย่าง Super Nintendo World กันไปหมาดๆ รวมถึงยังพาไปชมวิวสกายไลน์เมืองบนจุดชมวิวตึกสูงระฟ้า และช้อปปิ้งกระจายกันตั้งแต่ห้างดังยันถนนช้อปปิ้งที่จี๊ดจ๊าดสุดๆ ใครที่ชอบฟีลเมืองที่แพรวพราวไปด้วยแสง สี เสียง ผสมผสานกับกลิ่นอายความเก่าแก่สุดกลมกล่อม ลองมาเที่ยวโอซาก้าได้เลย ส่วนใครที่ยังไม่มีแพลนจะยึดแพลนเที่ยวตามก๊อต หรือลองเอาไปปรับใช้ตามสะดวกได้นา คัดมาให้แล้วว่าเริ่ดทุกที่แน่นอน
คลิกดูรีวิวญี่ปุ่นทั้งหมดของ HASHCORNER ได้ที่ล่างสุดของรีวิวนี้
แนะนำที่พักและโรงแรมในโอซาก้า (Osaka)
คนที่กำลังหาที่พักใน โอซาก้า (Osaka) อยู่ล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เราพักในย่านที่รถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line พาดผ่าน เพราะรถไฟใต้ดินเส้นนี้ ถือเป็นสายหลักที่เราจะได้ใช้งานบ่อยที่สุดในการไปเที่ยวที่ต่างๆ ในโอซาก้า โดยย่านที่พักที่ก๊อตแนะนำและมีรถไฟใต้ดิน Midosuji Line ผ่านนั้น มีทั้งหมด 3 ย่าน คือ ย่านอูเมดะ (Umeda), นัมบะ (Namba) และ เทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งทั้งสามย่านนี้นั้น มีจุดเด่นแตกต่างกัน รวมถึงความชอบและแพลนเที่ยวของแต่ละคนด้วย เพราะแต่ละย่านก็จะมีจุดเชื่อมต่อรถไฟสายหลักอื่นๆ ไปยังเมืองต่างๆ รอบๆ โอซาก้าด้วยนั่นเอง ดังนั้น เลือกตามที่ตัวเองชอบและสะดวกได้เลย เลือกย่านได้แล้ว ก็ลองดูๆ โรงแรมที่ก๊อตแนะนำก็ได้ครับ อันนี้คัดมาให้แบบเริ่ดๆ แล้วว ส่วนใครที่อยากอ่านรีวิวแนะนำที่พักเต็มๆ สามารถอ่านที่นี่ได้เลย คลิก
#1 ย่านอูเมดะ (Umeda) : สายชอบความสะดวกในการเดินทาง
สำหรับคนที่ชอบพักอยู่ใกล้ศูนย์กลางการเดินทางที่ทำให้เราเดินทางไปเที่ยวยังเมืองรอบๆ รวมถึงที่เที่ยวในโอซาก้า ได้ง่ายๆ นี่แนะนำให้มาพัก ย่านอูเมดะ (Umeda) เพราะที่นี่มีทั้งสถานีรถไฟหลัก 3 อันรวมกันกระจุกรวมกันอยู่ตรงนี้ ทั้งสายรถไฟของ JR และสายรถไฟเอกชนอย่าง Hankyu, Keihan และ Hanshin ที่ทำให้เราเดินทางไปยังเมืองต่างๆ รอบๆ โอซาก้าได้โคตรสะดวก เช่น เกียวโต โกเบ และนารา และแน่นอนว่าตรงนี้ก็มีรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line ที่นั่งไปที่เที่ยวอื่นๆ ในโอซาก้าได้ง่าย และยังมีสายรถไฟใต้ดิน ที่นั่งตรงไปเที่ยว Universal Studios Japan ได้ง่ายอีกด้วยเช่นกัน บอกเลยว่าย่านนี้คือเดินทางสะดวกที่สุดในสามโลกของโอซาก้าแล้วเด้อ แถมห้างก็มีร้าน ของกินก็เยอะ ใครที่ชอบความสะดวกในการเดินทาง สามารถพักแถวนี้ได้เลย
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (6,000 ++ บาท/คืน): Swissotel Nankai Osaka / MIMARU Osaka Namba
– โรงแรมดี ราคาจ่ายได้ (3,000-6,00 บาท/คืน): Fraser Residence Nankai Osaka / Hotel Royal Classic Osaka
– โรงแรมราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): Hotel Intergate Osaka Umeda / HOTEL VISCHIO OSAKA by GRANVIA / Hotel Monterey Le Frere Osaka
#2 ย่านนัมบะ (Namba) : สายช้อปปิ้ง-กิน-เที่ยว แถมเดินทางสะดวกอีก
หากคนที่ชอบพักในย่านที่เดินทางสะดวก แต่ก็ต้องกิน-เที่ยว-ช้อปปิ้งแบบจัดเต็มด้วย ย่านนัมบะ (Namba) นี่แหละคือคำตอบ เพราะย่านนี้คือจัดจ้านในเรื่องช้อปปิ้งและของกินมากที่สุดของโอซาก้าแล้ว ซึ่งถ้าใครคุ้นๆ ภาพป้ายไฟกูลิโกะกับคลองกลางแหล่งช้อปปิ้ง มันคือ ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) ที่อยู่ใกล้กันแบบเดินสบายจากย่านนัมบะ (Namba) นี่เอง
เรื่องการเดินทางของย่านนัมบะ (Namba) ก็ไม่น้อยหน้าย่านอูเมดะ (Umeda) เท่าไหร่ เพราะตรงนี้ยังมีรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line ที่ไปเที่ยวในโอซาก้าได้ง่าย และยังมีเป็นฮับสายรถไฟทั้ง JR และ Kintetsu ที่ไปเมืองนารา (Nara) ได้สะดวก รวมถึงยังมีรถไฟ Nankai Line ที่นั่งต่อตรงจากสนามบินคันไซได้ง่าย รวมถึงคนที่อยากเดินทางไปเที่ยวที่เมืองวาคายาม่า (Wakayama) ก็ง่ายด้วยอีกเช่นกัน ดังนั้น ย่านนัมบะ (Namba) ถือว่าเป็นอีกย่านที่ดีงามล้านแปด และเป็นอีกย่านที่แนะนำให้ทุกคนมาพักอย่างยิ่งยวด
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (6,000 ++ บาท/คืน): The Ritz-Carlton Osaka / InterContinental Osaka / Hotel Hankyu International
– โรงแรมดี ราคาจ่ายได้ (3,000-6,00 บาท/คืน): Hotel Hankyu RESPIRE OSAKA / Harmonie Embrassee
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): karaksa hotel Osaka Namba / Kamon Hotel Namba / Hiyori Hotel Osaka Namba Station
#3 ย่านเทนโนจิ (Tennoji) : สายราคาย่อมเยา เดินทางง่าย
ย่านสุดท้ายที่แนะนำคือ ย่านเทนโนจิ (Tennoji) ที่เดินทางสะดวกน้อยลงมาหน่อยจากสองย่านแรกที่แนะนำไป แต่ยังถือว่าสะดวกมากอยู่ ใครที่อยากได้โรงแรมและที่พักที่ราคาคุ้มค่าคุ้มราคา กับโรงแรมที่ดีหน่อย แต่ราคาถูกรองลงมาจากสองย่านแรก อาจจะลองดูย่านเทนโนจิ (Tennoji) ได้เลย ย่านนี้มีทั้งรถไฟใต้ดินสายสองสาย (รวม Midosuji Line) มีรถไฟสาย JR ตรงสถานี Tennoji Station และ Nankai Line ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงตรงสถานี Shin-Imamiya Station ที่เดินทางต่อตรงจากสนามบินได้ และยังสามารถไปเมืองนารา (Nara) และเมือง วาคายาม่า (Wakayama) ได้สะดวกอีก ส่วนที่เที่ยวตรง เทนโนจิ (Tennoji) ก็มี ถนนช้อปปิ้ง ชินไซบาชิ (Shinsaibashi) และ อาเบะโนะ ฮารุกัส 300 (Abeno Harukas 300) และห้างรายล้อม ถือว่าได้ และโอเคเลย
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (5,000 ++ บาท/คืน): Osaka Marriott Miyako Hotel
– โรงแรมดี ราคาจ่ายได้ (3,000-5,00 บาท/คืน): Hotel Bali Tower Tennoji
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): Miyako City Osaka Tennoji / Hotel Trusty Osaka Abeno
จากสนามบินคันไซ (KIX) เข้าเมืองโอซาก้าด้วยรถไฟ
วิธีการเข้าตัวเมืองโอซาก้าจากสนามบินคันไซนั้นง่ายโคตร โดยวิธีที่สะดวกที่สุดคงหนีไม่พ้นการขึ้นรถไฟ แต่รถไฟที่เข้าเมืองดันมีสองสาย สองบริษัทด้วยกัน นั่นคือของ Nankai และ JR นั่นเอง ทีนี้หลายคนอาจจะงงว่าควรขึ้นอันไหนดี ก๊อตแนะนำให้เราดูว่าเราพักที่ไหน ย่านไหน อีกทั้งดูว่าเรามีพาสติดตัวอะไรหรือเปล่า เมื่อรู้คำตอบสองอันนี้แล้วก็ไม่ยากแล้ว สามารถดูคำตอบจากด้านล่างได้เลย
Nankai Line Airport Express – Rapi:T
สำหรับใครที่ ไม่มี JR PASS ใดๆ หรือ มี Kansai Thru Pass หรือจะมาตัวเปล่าก็แล้วแต่ และพักอยู่แถว นัมบะ (Namba) และ ชิน-อิมามิยะ (Shin-Imamiya) ตัวเลือกแรกที่แนะนำเลยคือ Nankai Line Airport Express โดยเฉพาะสาย Rapi:T ที่เราสามารถเข้าใจกลางเมืองโอซาก้าได้ภายใน 38 นาที โดยสถานีหลักๆ ในตัวเมืองโอซาก้าก็จะมีสถานีนัมบะ (Namba) สถานีชิน-อิมามิยะ (Shin-Imamiya) และสถานีเทนกาชายะ (Tengachaya) ใครที่พักอยู่ละแวกแถวนี้ก็สามารถเลือก Nankai Line Airport Express – Rapi:T ได้เล้ย
💰ราคาค่าโดยสารของ Rapi:T จะอยู่ที่ 1,130 เยน สำหรับที่นั่งปกติ Regular และ 1,340 เยน สำหรับที่นั่ง Super Seat ส่วนตัวก๊อตแนะนำให้นั่งแบบที่นั่งปกติก็พอ แทบไม่แตกต่าง แถมทุกรอบรถไฟ คนไม่ได้เยอะขนาดนั้น นั่งสบาย ส่วนช่องทางการซื้อก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่าน Klook หรือ KKday ไปเลยคือสะดวก ไปถึงเค้าเตอร์ยื่น QR Code แล้วเลือกเวลาขึ้นรถไฟ จบปิ๊ง ง่ายมาก แถมราคาถูกกว่าด้วยนะ [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
JR สาย Kansai-Airport Express “HARUKA”
สำหรับคนที่ มี JR PASS แบบทั่วประเทศ หรือแบบย่อยๆตามภูมิภาคย่านนี้ (ดูตัวลิสพาสที่ใช้ได้ด้านล่าง) หรือจะมาตัวเปล่า และพักอยู่แถวเทนโนจิ (Tennoji) และ ชิน-โอซาก้า (Shin-Osaka) หรือคนที่ต้องการนั่งตรงยาวไปยังเกียวโตเลย เราสามารถเลือกใช้รถไฟ JR สาย Kansai-Airport Express “HARUKA” ได้โดยเราสามารถเดินางเข้าสู่ใจกลางเมืองโอซาก้าโดยใช้เวลาประมาณ 35 เท่านั้นเอ๊ง โดยเค้ามีแค่สามสถานีหลักเท่านั้นคือ สถานีเทนโนจิ (Tennoji), สถานีชิน-โอซาก้า (Shin-Osaka) และสถานีเกียวโต (Kyoto)
💰สำหรับการซื้อตั๋ว JR สาย Kansai-Airport Express “HARUKA” นั้น แนะนำให้ซื้อผ่าน Klook หรือ KKday เช่นกัน เพราะถูกกว่าซื้อหน้าเคาท์เยอะเยอะมาก เพราะราคาบนเว็บจะเป็นราคาที่ถูกกว่าปกติสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะเด้อ [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
ส่วนใครที่ถือพาส JR PASS เหล่านี้ล่ะก็ กระโดดขึ้น JR Haruka Express ฟรีได้เลย : JR Pass (all area) *จองที่นั่งได้ฟรี / Kansai Area Pass Pass / Kansai WIDE Area Pass / Kansai-Hiroshima Area Pass / Sanyo-San’in Area Pass *จองที่นั่งได้ฟรี / Kansai-Hokuriku Area Pass / Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass / Sanyo-San’in Northern Kyushu Pass *จองที่นั่งได้ฟรี
วิธีการเดินทางจากโตเกียว (Tokyo) <-> โอซาก้า (Osaka)
สำหรับคนที่เที่ยวอยู่โตเกียว แต่คิดอยากมาเที่ยวโอซาก้าด้วยล่ะก็ วิธีที่ก๊อตแนะนำที่สุดคือการนั่งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซนที่เราสามารถตรงดิ่งจากโตเกียว ถึงโอซาก้าได้เพียงแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ถือว่าเริ่ดสุด แต่ถ้าใครที่เป็นสายประหยัดล่ะก็ อาจจะลองดูรถบัสข้ามเมืองก็ได้
1. โดยรถไฟชินคันเซน (⭐️⭐️ แนะนำ): การเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่ก๊อตแนะนำมากที่สุดสำหรับไปเที่ยวโอซาก้า (Osaka) เนื่องจากเราสามารถนั่งตรงจากโตเกียวมาลงที่โอซาก้าได้เลย อีกทั้งเค้ายังมีเส้นทางและรถไฟให้บริการหลายสายอีกด้วย
- รถไฟชินคันเซน: รถไฟความเร็วสูงที่วิ่งตรงจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) มายังสถานีชิน โอซาก้า (Shin-Osaka Station) โดยจะ 2 ขบวนให้เลือกตามความระยะเวลา ใครที่มีพาส JR Pass แบบ All Area (ทั่วประเทศ) สามารถกระโดดขึ้นรถไฟทั้งสองสายนี้ได้เลย
- Nozomi Shinkansen: ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 2.30 ชั่วโมง โดยราคาตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาสและไม่ระบุที่นั่งสำหรับขบวน เริ่มต้น 13,620 เยน (~3,390 บาท) หรือใครอยากจองตั๋วแบบเลือกที่นั่งได้ ราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 14,650 เยน (~3,640 บาท)
- Nozomi Shinkansen ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาสและไม่ระบุที่นั่งเริ่มต้น 13,620 เยน (~3,390 บาท) และตั๋วแบบเลือกที่นั่งได้ ราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 14,340 เยน (~3,560 บาท)
- 🎫 ดูและจองตั๋วรถไฟในญี่ปุ่นทุกเส้นทาง ผ่าน Klook
- 🎫 Japan Rail Pass – All Area (JR Pass) : สามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR ได้ทั่วประเทศ รวมถึงรถไฟหัวกระสุน Shinkansen เกือบทุกสาย ทั่วประเทศญี่ปุ่น มีแบบ 7 วัน ราคาเริ่มต้นราวๆ ~12,000 บาท [ซื้อผ่าน Klook] [ซื้อผ่าน KKday]
2. รถบัสทางไกล: การเดินทางด้วยรถบัสเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ราคาตั๋วถูกกว่าการนั่งรถไฟความเร็วสูง แต่ต้องแลกกับระยะเวลาที่จะนานมากกว่า โดยมีรถบัสจากโตเกียว (Tokyo) มายังโอซาก้า (Osaka) ให้บริการอยู่หลายเจ้า แต่ถ้าให้ก๊อตแนะนำและไม่เสียเวลาเที่ยว แนะนำให้เราจองรถแบบ Overnight Bus แบบดีหน่อย ที่เราสามารถนอนบนรถข้ามคืนได้เลย ตื่นมาปุ๊ปก็ถึงโอซาก้าแล้ว โดยราคานั้นจะถูกว่ารถไฟครึ่งนึง ราคาเริ่มต้นที่ 4,000 เยน (~970 บาท) ไปจนถึง 7,900 เยน (~1,920 บาท) ตามระดับคลาสของที่นั่งและตัวรถ
วิธีการเดินทางเที่ยวในเมืองโอซาก้า (Osaka)
รถไฟใต้ดิน (Osaka Metro)(⭐️⭐️ แนะนำ): วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดในการเที่ยวภายในเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่ก๊อตแนะนำเลยคือ รถไฟใต้ดิน (Osaka Metro) เนื่องจากเค้ามีเส้นทางที่ครอบคลุมพื้นที่เมืองและเข้าถึงสถานที่เที่ยวต่างๆ อยู่เยอะมาก ซึ่งรถไฟใต้ดินของโอซาก้าก็จะแบ่งออก 9 สาย แยกกันเป็นสีๆ ซึ่งสายที่มีผู้คนใช้บริการมากที่สุดเลยคือ สายสีแดง มิโดซุจิเซน (Midosuji line) เพราะวิ่งผ่านทั้งอูเมดะ (Umeda), นัมบะ (Namba), ชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ที่มีที่เที่ยวฮิตของโอซาก้า
> ซื้อพาสบัตรรถไฟใต้ดินแบบเดินทางไม่จำกัด (Osaka Metro Pass) 1 วัน หรือ 2 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
บัตรท่องเที่ยว Osaka Amazing Pass ราคาเท่าไหร่ และซื้อที่ไหนดี?
สำหรับใครที่มาเที่ยวโอซาก้า (Osaka) แล้วอยากปักไปเที่ยวแลนด์มาร์คชื่อดังหลายๆ ที่ โดยที่เราไม่ต้องกังวัลเรื่องค่าใช้จ่ายจะบานปลายล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เราซื้อ Osaka Amazing Pass เอาไว้ใช้เลย เพราะบัตรพาสนี้สามารถใช้เข้าแลนด์มาร์คทั่วโอซาก้าได้มากกว่า 40 แห่ง รวมถึงยังเอาไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆ อีกทั้งยังใช้ขึ้นรถไฟใต้ดิน (Osaka Metro) และรถเมล์ในโอซาก้าได้อย่างไม่จำกัดตามจำนวนวันที่ซื้ออีกด้วย ดังนั้น Osaka Amazing Pass จึงเหมาะกับคนที่ไม่เคยมาเที่ยวโอซาก้ามาก่อน และต้องการมาเก็บแลนด์มาร์คดังๆ ของเมืองให้ครบมากที่สุด ใครที่จะมาเที่ยวโอซาก้าแบบจริงจังควรซื้อ!
⚡️ สำหรับแลนด์มาร์คหรือกิจกรรมดังๆ ที่ใช้แล้วคุ้มเมื่อมีพาสนี้คือ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle / ค่าเข้า 600 เยน หรือ 145 บาท), ล่องเรือชมอ่าวโอซาก้า (Cruise Ship Santa Maria Day Cruise / ค่าขึ้น 1,600 เยน หรือ 385 บาท) , LEGOLAND® Discovery Center Osaka (ค่าเข้า 2,800 เยน หรือ 670 บาท), จุดชมวิวบนตึกอูเมดะสกาย (Umeda Sky Building / 1,500 เยน หรือ 365 บาท), หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower / ค่าเข้า 900 เยน หรือ 220 บาท), ขึ้นชิงช้าสวรรค์ HEP FIVE Ferris Wheel (ค่าขึ้น 1,000 เยน หรือ 250 บาท)
Osaka Amazing Pass มีแบบไหนบ้าง ราคาเท่าไหร่ และซื้อที่ไหนดี
สำหรับราคาบัตร Osaka Amazing Pass นั้นจะมีด้วยกัน 2 แบบ และมีราคาต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่เราเลือก โดยเค้ามีมาให้เลือกทั้งแบบ 1 และ 2 วัน ตามแต่เราสะดวก ซึ่งถ้าให้ก๊อตแนะนำคือ ให้ซื้อแบบ 2 วันไปเลย คือคุ้มมาก บัตร Osaka Amazing Pass แบบ 1 วัน : ราคา 2,800 เยน (~680 บาท) / แบบ 2 วัน : ราคา 3,600 เยน (~880 บาท)
สำหรับหลายคนที่อยากจะซื้อ Osaka Amazing Pass แต่ยังไม่รู้ว่าจะซื้อผ่านช่องทางไหนดี ก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่าน OTAs อย่าง Klook หรือ KKday วิธีที่ก๊อตว่าสะดวกสบาย ซื้อง่าย และราคาดี สามารถแลกเวาเชอร์จากมือถือเป็นบัตรจริงที่จุดแลกพาสได้เลย
ข้อมูลแน่นแล้วมาตามก๊อตไปเที่ยวเร้วว
วันที่ 1: ย่านนัมบะ
แพลนเที่ยวโอซาก้าวันแรกของก๊อต เราเริ่มต้นเที่ยวกันใน ย่านนัมบะ (Namba) ที่ถือว่าเป็นย่านหัวใจหลักของโอซาก้าที่ครบรสทั้งที่กิน ที่เที่ยว ศาลเจ้า ถนนช้อปปิ้ง และตลาด แบบที่ว่ามาย่านเดียวตอบโจทย์คนทุกวัยเลยเชียวแหละ
นอกจากนี้ ย่านนัมบะ (Namba) ยังเป็นที่ตั้งของป้ายกูลิโกะอันโด่งดัง ที่เปรียบเสมือนเป็นแลนด์มาร์คที่ป๊อบระดับที่ว่าใครมาเที่ยวโอซาก้าแล้วไม่มาเซลฟี่คู่กับป้ายนี้เหมือนเรามาไม่ถึงเมืองเค้าจริงๆ และสำหรับใครที่เป็นสายกินมาเที่ยวญี่ปุ่นก็อยากจะลิ้มรสสตรีทฟู้ดญี่ปุ่น ที่ นัมบะ (Namba) เองเค้าก็มีให้เลือกกินแบบละลานตาสุดๆ ใครที่อยากมาเที่ยวย่านที่ยังคงจัดจ้านด้วยแสง สี เสียง รวมถึงเป็นแหล่งรวมของกินอร่อยๆ นั้น มาเที่ยวโอซาก้าให้ปักหมุดมาเที่ยว ย่านนัมบะ (Namba) ได้เลย
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine)
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) เป็นหนึ่งศาลเจ้าของเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ที่เห็นได้แต่ไกลของหัวสิงโตยักษ์ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางย่านนัมบะ (Namba) โดยที่นี่กลายเป็นอีกมุม Instagrammable Spot ยอดฮิตที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปลงไอจีกันเยอะมากเลยนะ ด้วยความที่ศาลเจ้าโดยทั่วไปในญี่ปุ่นมักจะมาด้วยอาคารหลัก และมีเจดีย์ตั้งอยู่เคียงข้าง ซึ่งเป็นการออกแบบส่วนใหญ่โดยรวมจะค่อนไปทางแบบดั้งเดิม มีความสำรวมและเคร่งครัดประมาณหนึ่ง แต่ในทางกลับกัน ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) นั้นเหมือนเป็นศาลเจ้าที่ถูกออกแบบฉีกกฏเหล่านั้นออกมาประหนึ่งเป็นแลนด์มาร์คให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปกับหัวสิงโตยักษ์ที่ไม่เหมือนใครนี่เอง
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) นั้นไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าก่อตั้งขึ้นมาในปีไหน แต่เชื่อกันว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่อยู่ของเทพพื้นเมืองของนัมบะ ซึ่งอาคารเดิมของศาลเจ้านั้นได้ถูกทำลายลงไปในช่วงสงคราม จนในปี ค.ศ.1974 ศาลเจ้าหลักหลังใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งและอยู่คู่กับเมืองโอซาก้ามาจนถึงปัจจุบันนี้
บรรยากาศภายใน ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) เมื่อเดินเข้ามาเราจะเจอกับหัวสิงโตยักษ์ที่กำลังอ้าปากกว้างต้อนรับผู้คนที่มาเยือนกันตั้งแต่ทางเข้า โดยภายในนั้นจะมีที่สำหรับบูชาเทพเจ้าอยู่ให้เราได้เดินเข้าไปสักการบูชาใกล้ๆ โดยข้างๆ กันนั้นยังมีอาคารหลักที่ผู้คนเค้ามาไหว้สักการบูชาตั้งอยู่ด้วย โดยบริเวณลานตรงกลางที่อยู่ด้านหน้าระหว่างหัวสิงโตกับอาคารหลัง ในช่วงศาลเจ้าที่มีเทศกาลสำคัญๆ บริเวณนี้ถูกใช้เป็นเหมือนเวทีเพื่อการแสดงดนตรี การเต้นรำแบบชินโตโบราณ ไปจนถึงการเชิดสิงโตและอื่นๆ อีกด้วยนะ
สำหรับหัวสิงโตยักษ์ที่เราเห็นกันอยู่นี้สูงถึง 12 เมตร กว้าง 11 เมตร และลึกเข้าไปข้างในอีก 7 เมตร ซึ่งคนที่นี่เค้าเชื่อกันว่า ปากสิงโตขนาดใหญ่ที่กำลังอ้ากว้างอยู่นั้น สามารถกลืนกินวิญญาณชั่วร้ายและนำความโชคดีมาให้เราได้ทั้งเรื่องของการงาน ธุรกิจ และการเรียน ดังนั้นคนที่เค้ามาที่ศาลเจ้าแห่งนี้เลยนิยมมาเพื่อไหว้ขอพรในเรื่องเหล่านี้กันนั่นเอง
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) จึงไม่เพียงแค่ขลังในเรื่องของการมาขอพรในหน้าที่การงาน ความรัก แต่ยังเป็นศาลเจ้าที่ดีไซน์แปลกตาที่เราไม่ค่อยเห็นกันเท่าไหร่ในญี่ปุ่น ซึ่งนี่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงได้ชื่อว่าเป็นมุมฮิตที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปกัน เพราะหัวสิงโตยักษ์นั้นเก๋ไก๋ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ แหละแกร ก๊อตบอกเลยว่าใครที่มาเที่ยวโอซาก้าก๊อตต้องมาเช็คอินและเซลฟี่คู่กับเจ้าสิงโตยักษ์นี้ให้ได้กันซักแมช
นัมบะปาร์ค (Namba Parks)
อีกหนึ่งห้างที่ตั้งติดสถานีรถไฟนัมบะ (Namba Station) ที่อยากแนะนำคือ นัมบะปาร์ค (Namba Parks) คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการกันมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2003 โดยเดิมทีพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นสนามกีฬา Osaka Stadium ก่อนจะมีการปรับปรุงพื้นที่ให้กลายมาเป็นแหล่งกิน ช็อป เที่ยวแบบครบครันในภายหลัง ภายใน นัมบะปาร์ค (Namba Parks) นั้น มีทั้งอาคารสำนักงาน ช็อปแบรนด์ต่างๆ และร้านอาหารมากกว่า 120 ร้าน รวมไปถึงสวนสาธารณะที่มีมุมพักผ่อนสบายๆ ที่ตอนนี้เปรียบเป็นแลนด์มารค์ของห้างนี้เลยก็คือ Parks Garden สวนบนชั้นดาดฟ้าขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิดเพิ่มพื้นที่สีเขียวเข้ามาในเมือง โดยสวนเค้ามีลักษณะเส้นสายที่โค้งเว้าแสดงถึงความเป็นธรรมชาติลดหลั่นกันลงมาถึง 8 ชั้น ด้านบนมีต้นไม้กว่า 500 สายพันธุ์ ที่ปลูกกันอยู่กว่า 1 แสนต้น โดยคนออกแบบเค้าต้องการให้สวนแห่งนี้ เป็นพื้นที่สีเขียวที่ผู้คนสามารถมาสัมผัสและให้ธรรมชาติเยียวยาจิตใจได้ ใครอยากสูดอากาศท่ามกลางต้นไม้เขียวๆ ก็ขึ้นไปดูกันได้
แต่ส่วนตัวก๊อตนั้น เราเน้นเดินเที่ยวชมบรรยากาศกันอยู่บริเวณด้านล่างของห้าง ซึ่งนอกจากจะมีช็อปแบรนด์ต่างๆ ให้ช้อปกันแล้ว นี่ยังเพลินตาด้วยเส้นสายของตัวอาคารที่ระหว่างทางเดินไปนั้น ตัวอาคารที่ห้อมล้อมเราเอาไว้ก็จะคดเคี้ยวเป็นเส้นสายที่ดูสวยเก๋แปลกตา และถ่ายรูปสวยเช่นกัน โดยรวมแล้ว นัมบะปาร์ค (Namba Parks) เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ใครอยากมาหาอะไรกิน หรืออยากจะเดินช้อปปิ้งละลายทรัพย์ พร้อมทั้งนั่งฟินๆ ดื่มด่ำกับสายลม แสงแดด และธรรมชาติ บนสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่หาไม่ได้จากที่ไหนในเมืองโอซาก้าอีกแล้วนั้น นัมบะปาร์ค (Namba Parks) คือสถานที่ที่คัดสรรมาแล้วว่าตอบโจทย์การเที่ยวแบบนั้นอย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ เผื่อใครยังไม่รู้ว่าติดกับบ นัมบะปาร์ค (Namba Parks) นั้นมีโรงแรมเเบรนด์ไทยอย่าง Centara Grand Hotel Osaka ที่เราคุ้นเคยกันดีตั้งอยู่ด้วย ใครที่มาเที่ยวโอซาก้าแต่ยังอยากนอนท่ามกลางบรรยากาศความเป็นไทย สามารถมานอนที่นี่ได้นะ ทำเลคือดีมาก และได้ยินมาว่าห้องใหญ่และดีมากด้วย
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street)
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) หรือที่เราสามารถเรียกสั้นๆ ได้ว่า “โดกุยะสุจิ (Doguyasuji)” ที่โอซาก้า ใครที่ชอบเข้าครัวและรักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคืออุปกรณ์ทำครัว ถ้าใครที่กำลังอยากได้เครื่องครัวต่างๆ จากแดนปลาดิบของแท้ ก๊อตขอแนะนำกับ ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) หรือที่คนญี่ปุ่นเค้าเรียกที่นี่กันว่า “ถนนเครื่องครัว” นั่นเอง แน่นอนว่าภายในจะขายอะไรไปไม่ได้เลยจ๊า นอกจากอุปกรณ์ทำครัว คือตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปเราจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับสารพัดของในครัว รวมไปถึงของใช้ทั่วไป ของตกแต่งบ้านตั้งเรียงรายอยู่ตามสองข้างทาง ดังนั้นใครที่อยู่บ้านชอบทำอาหารมาก มาเที่ยวโอซาก้าก๊อตบอกเลยว่าต้องปักหมุดมาที่นี่ เพราะเค้ามีเครื่องครัวให้ช้อปกันจนกระเป๋าตังแบนแน่นอน 55555
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) ถนนช้อปปิ้งยาวกว่า 150 เมตร ที่ได้ฉายาว่าเป็น “ถนนเครื่องครัว” เนื่องจากเต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องครัวแบบครบครัน โดย ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) เดิมทีเคยเป็นพื้นที่แสวงบุญที่ใช้ระหว่างวัดวัดโฮเซ็นจิ (Hozenji Temple) ที่อยู่ทางเหนือ และวัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ โดยทั้งสองวัดนี้ต่างก็เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองโอซาก้า ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1880 เป็นต้นมา โดยช่วงเวลาดังกล่าวระหว่างสองข้างทางเค้าก็ค่อยๆ เริ่มผุดร้านค้าทั่วไป ร้านเฟอร์นิเจอร์โบราณ ร้านอาหาร รวมไปถึงร้านขายอุปกรณ์ทำครัวกันเต็มไปหมด
จนกระทั่งถนนเส้นนี้ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1912 และก็ได้มีการปรับปรุงพื้นที่จนกลับมาเปิดขายสินค้าแบบขายส่งมากขึ้น และแม้ว่าจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้แล้ว แต่ก็ไม่วายถูกโจมตีทางอากาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้งในปี ค.ศ. 1945 และภายหลังสงครามจบสิ้นลงแล้ว พื้นที่โดยรอบของถนนเส้นนี้กลับกลายเป็นตลาดมืดที่ผู้คนเค้าก็เอาข้าวของที่มีออกมาขาย จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ.1950-1985 ได้มีการปรับปรุงและการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ จนในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นถนนช้อปปิ้งที่ใครกำลังมองหาเครื่องครัว ของตกแต่งบ้านชื่อดังประจำโอซาก้านั่นเอง
ในช่วงปี ค.ศ. 1985 นั้น ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) ได้มีการจัดเทศกาล “โดกุยะสุจิ (Doguyasuji)” ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเทศกาลจะจัดขึ้นช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี จนท้ายที่สุดเทศกาลนี้ก็ได้กลายเป็นงานประจำปีของที่นี่ไปแล้ว ซึ่งใครที่มาเดินเที่ยวถนนเส้นนี้ในช่วงที่เค้าจัดเทศกาลเราจะได้ช้อปสินค้าราคาถูกลงไปอีก แถมยังมีการโชว์ทำอาหารอยู่ตามหน้าร้านริมถนน รวมไปถึงโชว์เทคนิคการใช้มีดให้ได้ดูกันอีกด้วย ดังนั้นใครมาเที่ยวโอซาตรงกับที่เค้ามีเทศกาลก็อย่าลืมแวะเวียนมาช้อปกันได้นา ก๊อตบอกเลยว่ามาที่นี่ที่เดียวคือครบจบมาก
บรรยากาศภายในฟีลญี่ปุ่นจัดๆ ท่ามกลางร้านขายสินค้าอยู่เยอะมาก ซึ่งก๊อตสังเกตเห็นว่าส่วนใหญ่คนที่เค้ามาเดินช้อปปิ้งที่นี่จะเป็นเหล่าเชฟ หรือกุ๊กร้านอาหารที่มักมาหาซื้อเครื่องไม้เครื่องมือกันที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นจานชามเซรามิก เครื่องครัว หม้อ กระทะ ไปจนถึง มีดทำครัวคือมีให้เลือกซื้อหม๊ด อย่างร้านมีดที่ก๊อตลองเดินเข้าไปดูนี่คือว้าวมาก เค้าขายกันแบบเรียงมีดเป็นแผง ซึ่งนี่ไปส่องราคามา มีดเล่มนึงราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนเลย
นอกจากเครื่องครัวแล้วยังมีข้าวของตกแต่งบ้านอย่างน้องแมวกวัก โคมไฟกระดาษ ม่าน และเหล่าป้ายอาหารสารพัดอย่างก็มีวางขายอยู่เพียบ และยังไม่หมดเท่านั้น ตรงถนนใหญ่ติดกันตรงปลาย ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) เค้ายังมีโซนของเล่น ร้านฟิกเกอร์ ร้านเกม ร้านรวมตู้กาชาปองและตู้ตุ๊กตาคีบเรียงกันเป็นตับทอดให้เราได้มาละลายทรัพย์
ที่น่ารักตอนที่ก๊อตไปเที่ยวก็คือ ขนาดร้าน LAWSON ถึงขั้นทำร้านธีม Dragon Quest Treasure กันเลย บอกเลยว่าที่นี่ถือเป็นอีกย่านที่น่าละลายทรัพย์ของจริงสำหรับคนเข้าครัวและเหล่านักสะสมของเล่นเล้ย
หลังจากที่ก๊อตไปเดินส่องมาแทบจะทุกซอกทุกมุมของ ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) มันเหมาะสำหรับคนที่รักในการทำอาหาร แล้วอยากได้อุปกรณ์ดีๆ ในการเอากลับไปปรุงอาหารที่บ้านมากเว่อร์ เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหาเครื่องครัว ของตกแต่งบ้าน ก๊อตบอกเลยว่ามาที่นี่ที่เดียวคือครบจบมาก
ตลาดคุโรมง (Kuromon Market)
หนึ่งในตลาดที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่มากที่สุดของเมืองโอซาก้า (Osaka) ต้องยกมงให้กับ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) เค้าเลย คือใหญ่แค่ไหนการันตีได้จากชื่อเสียงเรียงนามของตลาดที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ครัวของโอซาก้า” ใครที่อยากมาเดินซื้อของกินชิลๆ และอยากลิ้มรสอาหารทะเลสดๆ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา รวมไปถึงสารพัดเนื้ออื่นๆ ที่ขนกันมาทั้งมหาสมุทรให้ได้เลือกซื้อ ก๊อตบอกเลยว่ามาที่ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) รับรองว่าเราจะกินกันจนพุงกาง
สำหรับ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโอซาก้า (Osaka) ภายในตลาดยาวประมาณ 600 เมตร ตั้งขนานไปกับถนนซาไกสุจิโดริ (Sakaisujidori Street) และมีร้านค้ากว่า 150 ร้าน โดย ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) นั้นตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยเรียกว่า “ตลาดเอมเมจิ (Emmeiji Market)” ตามชื่อวัดเอมเมจิ (Emmeiji Temple) ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง จนต่อวัดนี้ได้ถูกทำลายลงในสงครามโลกครั้งที่ 2 ตลาดเองก็เลยถูกเปลี่ยนชื่อว่า “Kuromon Ichiba” ซึ่งแปลว่า “ตลาดประตูดำ” ตามประตูดำของวัดเอมเมจิ ที่เคยมีอยู่นั่นเอง โดยปลาที่มีชื่อเสียงที่สุดของตลาดในช่วงฤดูร้อน คือปลาช่อน และในช่วงฤดูหนาวจะเป็นปลาฟุกุ หรือปลาปักเป้า นั่นเอง ใครจะมาเดินเล่นที่นี่สามารถมาได้ตั้งแต่เช้าเลยนา ตลาดเค้าเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้ายัน 6 โมงเย็นเล้ยย
ใครที่เป็นสายกินแล้วมาเที่ยวที่โอซาก้าก๊อตแนะนำเลยว่าต้องมา ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) เพราะที่นี่ของกินเว่อร์มาก ยิ่งอาหารทะเลแล้วเหมือนยกมหาสมุทรมาให้กินกันตรงหน้า ใครจะมากินกุ้ง หอย ปู ปลา เค้าก็มีมาวางขายกันสดๆ ให้ได้จิ้มซื้อเลย ซึ่งข้อดีของตลาดที่นี่คือปลาสดๆ ที่เราสามารถสั่งซาซิมิและซูชิหน้าปลาดิบเพื่อกินตรงนั้นได้เลยล่ะ โดยด้านในเค้าจะมีจัดเป็นโต๊ะต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับขากินโดยเฉพาะเลย
แต่ถ้าใครใคร่อยากนั่งเป็นร้านอาหารแบบจริงจัง ที่ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) ก็มีให้เลือกเยอะมากเช่นกัน ให้เราลองเดินเลือกร้านที่ชอบแล้วเข้าไปนั่งโลดด ซึ่งถ้าให้ก๊อตแนะนำช่วงเวลาในการมาเที่ยวที่นี่สำหรับสายกินล่ะก็ ให้มาตะลุยแต่เช้าที่เหล่าของสดซีฟู๊ดต่างๆ พึ่งเข้ามาในตลาดนั่นเอง บอกได้เลยว่าของกินที่นี่นั้นเยอะแบบที่ว่ากินกันจนพุงกางเลยแหละ ฮ่าๆ
ใครอยากมากินปลาดิบแบบส๊ดสด มาเที่ยวโอซาก้า (Osaka) บอกเลยว่าไม่มาตลาดคุโรมง (Kuromon Market) คือพลาดม๊ากก ส่วนใครที่เคยแวะเวียนมาเที่ยวกันแล้ว ก็มาเล่าสู่กันฟังได้นา ขอให้ทุกคนแฮปปี้กับการมาเดิน กิน ช้อป เที่ยวที่นี่กันนะครับ
โดทงโบริ (Dotonbori)
หนึ่งในสถานที่เที่ยวสุดฮิตของเมืองโอซาก้า (Osaka) ในย่านนัมบะจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ใจกลางเมืองของโอซาก้า” ซึ่งโด่งดังมากที่สุดอีกแห่งที่คนญี่ปุ่นเองหรือนักท่องเที่ยวมากันเยอะม๊าก ถึงขนาดที่ว่าวันหยุดสุดสัปดาห์มีคนมาเดินตลอดทั้งวันถึงหลักแสนคน ต้องยกให้เค้าเลยคือ โดทงโบริ (Dotonbori) แหล่งเที่ยวขึ้นชื่อในเรื่องของแสงไฟที่ยามค่ำคืนนั้น ที่พอตกเย็นปุ๊บไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร เค้าจะเปิดไฟสู้กันจนเกิดแสงสว่างไสวฟูฟ่าแบบไม่เคยหลับใหลเลยเชียว นอกจากนี้ที่นี่ยังเลื่องลือในเรื่องของบาร์ และสตรีทฟู้ดชื่อดังของโอซาก้าอีกด้วย
สำหรับคำว่า โดทงโบริ (Dotonbori) นั้น เป็นสถานที่เที่ยวที่ไล่ตั้งแต่คลองโดทงบุริ (Dotonbori Canal) และถนนโดทงบุริ (Dotonbori Street) ทั้งหมด โดยพื้นที่ของเค้าทอดขนานไปกับคลองครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สะพานโดทงโบริบาชิ (Dotonboribashi Bridge) ไปจนถึงสะพานนิปปอนบาชิ (Nipponbashi Bridge) ซึ่ง โดทงโบริ (Dotonbori) นั้น เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1612 โดยยาสุ โดทง (Yasui Doton) ผู้ริเริ่มขุดคูคลองบริเวณนี้ด้วยเงินทุนส่วนตัวของตัวเอง โดยเค้าตั้งใจเพื่อให้เป็นส่วนขยายของคูน้ำอุเมซุ (Umezu River) และเพิ่มพื้นที่การค้าและการขนส่งทางน้ำ แต่เนื่องจากยาสุ โดทง (Yasui Doton) ได้เสียชีวิตในสงคราม โครงการสร้างคลองจึงตกทอดไปยังลูกพี่ลูกน้องและครอบครัวของเขา ก่อนจะมีการขุดคลองต่อจนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1615 โดยได้ตั้งชื่อคลองนี้ว่าโดทงบุริ “Dotonbori” ตามชื่อของยาสุ โดทง (Yasui Doton) นั่นเอง
นอกจากนี้ในช่วงศตวรรษที่ 17- 18 โดทงโบริ (Dotonbori) กลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและการแสดงละครที่โอซาก้า (Osaka) โดยมีโรงละครเข้ามาตั้งอยู่มากมาย ก่อนจะมีร้านอาหารและโรงน้ำชาเข้ามาเปิดตาม จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 20 โดทงโบริ (Dotonbori) ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการบันเทิงและการท่องเที่ยวของเมืองไปเป็นที่เรียบร้อยและยังเป็นย่านฮิตประจำเมืองโอซาก้ามาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นใครที่อยากมาเดินชิลๆ หรือจะถ่ายรูป ช้อปปิ้ง หาอะไรกินอร่อยๆท่ามกลางคลองรายล้อมไปด้วยแสง สี มากมายของโอซาก้า ก็ต้องมาที่ โดทงโบริ (Dotonbori) นี่แหละน่าา
สำหรับการเที่ยวใน โดทงโบริ (Dotonbori) ของก๊อต เริ่มต้นเดินบนถนนคนเดินก็คือได้ความโอซาก้าแบบจัดเต็มมาก ด้วยความที่ย่านนี้เป็นแหล่งรวมของกิน และช็ออปชื่อดังของเมืองโอซาก้า (Osaka) บรรยากาศคือฟู่ฟ่าจี๊ดจ๊าดด้วยป้ายไฟ โมเดลอาหาร มาสคอตตุ๊กตาประจำแต่ละร้านที่จัดเต็มกันตั้งแต่บนพื้นไล่ไปจนถึงบนตึก ก๊อตบอกเลยว่าพี่เค้าเล่นใหญ่กันทุกร้าน แบบที่ว่าร้านใครเด่นกว่าคนนั้นชนะเลยล่ะ 555
ใครที่อยากมาเดินหาของกิน สิ่งที่ต้องมากินเลยคือ พิซซ่าญี่ปุ่น เกี๊ยวซ่า และทาโกะยากิ ที่นี่ไปลองซื้อทาโกะจากร้าน Takoyaki Wanaka Dotonbori แล้วสั่งแบบ Specialty Osaka of Original ไส้ปลาหมึกขนาด 8 ลูก ราคา 600 เยน (~150 บาท) มาลอง ส่วนตัวก๊อตว่ารสชาติดี แต่ไส้ปลาหมึกเค้าไม่ได้ให้มาจุกๆ เบอร์นั้นนะ ใครที่อยากลองกินทาโกะแบบออริจิควรลอง จะลองร้านอื่นก็ได้เพราะตรงนี้ร้านทาโกะยากิเยอะมาก แต่ร้านที่ก๊อตกินก็ลองได้เช่นกัน 55555555
อีกอย่างที่ต้องลองคือขนมรูปเหรียญ 10 เยน ที่นี่ไปลองซื้อมาแล้วในราคา 500 เยน (~125 บาท) ขนมปังชีสยืดๆ ข้างใน รสชาตินัวๆ เค็มๆ กินเพลินอร่อยดีเลยเชียวหล่ะ นอกจากนี้ยังมีของกินขายอยู่พรึ่บพรั่บ เดินไปมองไปอยากจะกินมันเสียทุกอย่าง เพราะแต่ละร้านทำของกินขายออกมาได้น่ากินไปหมดเลย