โอซาก้า (Osaka) หากพูดถึงการมาเที่ยวญี่ปุ่นนั้น หนึ่งในเมืองที่ฮิตติดลมบนและเป็นจุดหมายของคนไทยมากที่สุดเลย ต้องยกให้กับ โอซาก้า (Osaka) ที่ถือเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่นรองจากโตเกียว บอกเลยว่าใครที่ไม่เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นมาก่อนนั้น ก๊อตแนะนำให้มาปักหมุดเริ่มเที่ยวที่เมืองโอซาก้าเป็นเมืองแรกก่อนได้เลย เพราะโอซาก้าเค้าเป็นเมืองที่จี๊ดจ๊าดและครบรสในทุกเรื่อง ทั้งแลนด์มาร์คดังๆ อย่าง ปราสาทโอซาก้าสุดเก่าแก่ที่เลื่องลือกันในระดับประเทศ ะป้ายไฟกูลิโกะจุดป๊อบที่นักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นเองต่างก็มายืนเซลฟี่เก็บภาพคู่กับพ่อหนุ่มนักวิ่งบนป้ายไฟขนาดใหญ่ ส่วนเรื่องอาหารโดยเฉพาะสตรีทฟู้ดและแหล่งช้อปปิ้งของเค้านั้นก็เริ่ดเอาเรื่อง ยิ่งพวกถนนช้อปปิ้งด้วยแล้ว ก๊อตบอกเลยว่าบรรยากาศนี่ฟู่ฟ่าคลาสสิกมาก
ทั้งหมดทั้งมวลที่ก๊อตเล่าไปทุกอย่างนี้หาได้จากเมืองโอซาก้าเค้าเลย โดยรีวิวเที่ยวโอซาก้าอันนี้จะเรียกว่าเป็นมหากาพย์โอซาก้าก็ไม่ผิด เพราะก๊อตไปเที่ยวจัดเต็มแพลนมาให้ทุกคนได้ตามรอยจุกๆ 5 วัน 25 ที่เที่ยว แบบที่มาตามรอยกันได้ทุกเพศทุกวัย เอาล่ะ ใครที่พร้อมเที่ยวโอซาก้าแล้ว มาเริ่มอ่านกันได้เลย
- รีวิวเต็ม โอซาก้า (Osaka) 5 วัน 25 ที่เที่ยว
- รีวิวเต็ม Universal Studios Japan (USJ) ละเอียด รู้เรื่องมากที่สุด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในโอซาก้า (Osaka)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
รู้จักกับเมืองโอซาก้า (Osaka)
โอซาก้า (Osaka) เมืองที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 และมีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในภูมิภาคคันไซ บนเกาะฮอนชู (Honshu) ในเขตจังหวัดโอซาก้า เป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเป็นรองแค่เมืองโตเกียว (Tokyo) ที่มีคนอาศัยอยู่มากถึง 36 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับกรุงเทพบ้านเราแล้วนั้น ประชากรของโอซาก้านั้นคือดับเบิ้ลเป็นสองเท่าของเราเลยนะเว้ย
โดยความเป็นมาของ โอซาก้า (Osaka) ถือว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,400 ปี ย้อนกลับไปในยุคโคฟุง (ค.ศ. 300–508) ที่โอซาก้าได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นเมืองท่าเรือที่สำคัญของภูมิภาค และมีสถานะเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 เนื่องจากตั้งอยู่บนอ่าวโอซาก้า ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีมากๆ
โดยชื่อของ โอซาก้า (Osaka) นั้น หมายถึง “เนินเขาใหญ่” ซึ่งเดิมทีคนเค้าเรียกชื่อเมืองว่า “นานิวะ” และไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงชื่อเรียกมาเป็นเมืองโอซาก้า (Osaka) ในช่วงเวลาใด แต่มีหลักฐานปรากฏในหนังสือ ปี ค.ศ. 1496 โดยช่วงเวลานั้น โอซาก้า เขียนเป็นคันจิว่า “大坂” (คันจิ คือ อักษรจีนที่ใช้ในระบบการเขียนภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบัน) แต่ทีนี้คันจิตัวหลังคนมักอ่านผิดเป็น 士反 ซึ่งมีความหมายไม่ค่อยดีมากนักว่า “กบฏซามูไร” จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมาจนเข้าสู่ช่วงสมัยปฏิรูปเมจิ ปี ค.ศ. 1870 จึงได้มีการเปลี่ยนตัวคันจิของโอซาก้าใหม่เป็น 大阪 ที่หมายถึงเมือง โอซาก้า (Osaka) และใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
โดยในปัจจุบัน โอซาก้า (Osaka) เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีความเป็นสากลมากที่สุดในประเทศอีกด้วย
แพลนเที่ยวโอซาก้า / สารบัญที่เที่ยว
สำหรับแพลนเที่ยว โอซาก้า (Osaka) จริงๆ ของก๊อตในครั้งนี้ บอกเลยว่ารีวิวเที่ยวโอซาก้าคือจัดเต็มแบบฉ่ำ 25 ที่เที่ยว ที่เราสามารถเที่ยวทั้งหมดในรีวิวนี้ได้ในเวลาเพียง 6 วัน ซึ่งก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวหลากหลายแลนด์มาร์คดังของเมือง ทั้ง ถ่ายรูปโพสต์ท่ากับป้ายกูลิโกะอันโด่งดัง เช็คอินศาลเจ้าสุดป๊อบที่เป็นมุมฮิตในอินสตาแกรม พร้อมพาไปอัปเดตเครื่องเล่นใน Universal Studios Japan (USJ) แบบใหม่แบบสับที่เค้าเพิ่งจะมีโซนใหม่อย่าง Super Nintendo World กันไปหมาดๆ รวมถึงยังพาไปชมวิวสกายไลน์เมืองบนจุดชมวิวตึกสูงระฟ้า และช้อปปิ้งกระจายกันตั้งแต่ห้างดังยันถนนช้อปปิ้งที่จี๊ดจ๊าดสุดๆ ใครที่ชอบฟีลเมืองที่แพรวพราวไปด้วยแสง สี เสียง ผสมผสานกับกลิ่นอายความเก่าแก่สุดกลมกล่อม ลองมาเที่ยวโอซาก้าได้เลย ส่วนใครที่ยังไม่มีแพลนจะยึดแพลนเที่ยวตามก๊อต หรือลองเอาไปปรับใช้ตามสะดวกได้นา คัดมาให้แล้วว่าเริ่ดทุกที่แน่นอน
คลิกดูรีวิวญี่ปุ่นทั้งหมดของ HASHCORNER ได้ที่ล่างสุดของรีวิวนี้
แนะนำที่พักและโรงแรมในโอซาก้า (Osaka)
คนที่กำลังหาที่พักใน โอซาก้า (Osaka) อยู่ล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เราพักในย่านที่รถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line พาดผ่าน เพราะรถไฟใต้ดินเส้นนี้ ถือเป็นสายหลักที่เราจะได้ใช้งานบ่อยที่สุดในการไปเที่ยวที่ต่างๆ ในโอซาก้า โดยย่านที่พักที่ก๊อตแนะนำและมีรถไฟใต้ดิน Midosuji Line ผ่านนั้น มีทั้งหมด 3 ย่าน คือ ย่านอูเมดะ (Umeda), นัมบะ (Namba) และ เทนโนจิ (Tennoji) ซึ่งทั้งสามย่านนี้นั้น มีจุดเด่นแตกต่างกัน รวมถึงความชอบและแพลนเที่ยวของแต่ละคนด้วย เพราะแต่ละย่านก็จะมีจุดเชื่อมต่อรถไฟสายหลักอื่นๆ ไปยังเมืองต่างๆ รอบๆ โอซาก้าด้วยนั่นเอง ดังนั้น เลือกตามที่ตัวเองชอบและสะดวกได้เลย เลือกย่านได้แล้ว ก็ลองดูๆ โรงแรมที่ก๊อตแนะนำก็ได้ครับ อันนี้คัดมาให้แบบเริ่ดๆ แล้วว ส่วนใครที่อยากอ่านรีวิวแนะนำที่พักเต็มๆ สามารถอ่านที่นี่ได้เลย คลิก
#1 ย่านอูเมดะ (Umeda) : สายชอบความสะดวกในการเดินทาง
สำหรับคนที่ชอบพักอยู่ใกล้ศูนย์กลางการเดินทางที่ทำให้เราเดินทางไปเที่ยวยังเมืองรอบๆ รวมถึงที่เที่ยวในโอซาก้า ได้ง่ายๆ นี่แนะนำให้มาพัก ย่านอูเมดะ (Umeda) เพราะที่นี่มีทั้งสถานีรถไฟหลัก 3 อันรวมกันกระจุกรวมกันอยู่ตรงนี้ ทั้งสายรถไฟของ JR และสายรถไฟเอกชนอย่าง Hankyu, Keihan และ Hanshin ที่ทำให้เราเดินทางไปยังเมืองต่างๆ รอบๆ โอซาก้าได้โคตรสะดวก เช่น เกียวโต โกเบ และนารา และแน่นอนว่าตรงนี้ก็มีรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line ที่นั่งไปที่เที่ยวอื่นๆ ในโอซาก้าได้ง่าย และยังมีสายรถไฟใต้ดิน ที่นั่งตรงไปเที่ยว Universal Studios Japan ได้ง่ายอีกด้วยเช่นกัน บอกเลยว่าย่านนี้คือเดินทางสะดวกที่สุดในสามโลกของโอซาก้าแล้วเด้อ แถมห้างก็มีร้าน ของกินก็เยอะ ใครที่ชอบความสะดวกในการเดินทาง สามารถพักแถวนี้ได้เลย
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (6,000 ++ บาท/คืน): Swissotel Nankai Osaka / MIMARU Osaka Namba
– โรงแรมดี ราคาจ่ายได้ (3,000-6,00 บาท/คืน): Fraser Residence Nankai Osaka / Hotel Royal Classic Osaka
– โรงแรมราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): Hotel Intergate Osaka Umeda / HOTEL VISCHIO OSAKA by GRANVIA / Hotel Monterey Le Frere Osaka
#2 ย่านนัมบะ (Namba) : สายช้อปปิ้ง-กิน-เที่ยว แถมเดินทางสะดวกอีก
หากคนที่ชอบพักในย่านที่เดินทางสะดวก แต่ก็ต้องกิน-เที่ยว-ช้อปปิ้งแบบจัดเต็มด้วย ย่านนัมบะ (Namba) นี่แหละคือคำตอบ เพราะย่านนี้คือจัดจ้านในเรื่องช้อปปิ้งและของกินมากที่สุดของโอซาก้าแล้ว ซึ่งถ้าใครคุ้นๆ ภาพป้ายไฟกูลิโกะกับคลองกลางแหล่งช้อปปิ้ง มันคือ ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) ที่อยู่ใกล้กันแบบเดินสบายจากย่านนัมบะ (Namba) นี่เอง
เรื่องการเดินทางของย่านนัมบะ (Namba) ก็ไม่น้อยหน้าย่านอูเมดะ (Umeda) เท่าไหร่ เพราะตรงนี้ยังมีรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line ที่ไปเที่ยวในโอซาก้าได้ง่าย และยังมีเป็นฮับสายรถไฟทั้ง JR และ Kintetsu ที่ไปเมืองนารา (Nara) ได้สะดวก รวมถึงยังมีรถไฟ Nankai Line ที่นั่งต่อตรงจากสนามบินคันไซได้ง่าย รวมถึงคนที่อยากเดินทางไปเที่ยวที่เมืองวาคายาม่า (Wakayama) ก็ง่ายด้วยอีกเช่นกัน ดังนั้น ย่านนัมบะ (Namba) ถือว่าเป็นอีกย่านที่ดีงามล้านแปด และเป็นอีกย่านที่แนะนำให้ทุกคนมาพักอย่างยิ่งยวด
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (6,000 ++ บาท/คืน): The Ritz-Carlton Osaka / InterContinental Osaka / Hotel Hankyu International
– โรงแรมดี ราคาจ่ายได้ (3,000-6,00 บาท/คืน): Hotel Hankyu RESPIRE OSAKA / Harmonie Embrassee
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): karaksa hotel Osaka Namba / Kamon Hotel Namba / Hiyori Hotel Osaka Namba Station
#3 ย่านเทนโนจิ (Tennoji) : สายราคาย่อมเยา เดินทางง่าย
ย่านสุดท้ายที่แนะนำคือ ย่านเทนโนจิ (Tennoji) ที่เดินทางสะดวกน้อยลงมาหน่อยจากสองย่านแรกที่แนะนำไป แต่ยังถือว่าสะดวกมากอยู่ ใครที่อยากได้โรงแรมและที่พักที่ราคาคุ้มค่าคุ้มราคา กับโรงแรมที่ดีหน่อย แต่ราคาถูกรองลงมาจากสองย่านแรก อาจจะลองดูย่านเทนโนจิ (Tennoji) ได้เลย ย่านนี้มีทั้งรถไฟใต้ดินสายสองสาย (รวม Midosuji Line) มีรถไฟสาย JR ตรงสถานี Tennoji Station และ Nankai Line ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงตรงสถานี Shin-Imamiya Station ที่เดินทางต่อตรงจากสนามบินได้ และยังสามารถไปเมืองนารา (Nara) และเมือง วาคายาม่า (Wakayama) ได้สะดวกอีก ส่วนที่เที่ยวตรง เทนโนจิ (Tennoji) ก็มี ถนนช้อปปิ้ง ชินไซบาชิ (Shinsaibashi) และ อาเบะโนะ ฮารุกัส 300 (Abeno Harukas 300) และห้างรายล้อม ถือว่าได้ และโอเคเลย
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (5,000 ++ บาท/คืน): Osaka Marriott Miyako Hotel
– โรงแรมดี ราคาจ่ายได้ (3,000-5,00 บาท/คืน): Hotel Bali Tower Tennoji
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): Miyako City Osaka Tennoji / Hotel Trusty Osaka Abeno
จากสนามบินคันไซ (KIX) เข้าเมืองโอซาก้าด้วยรถไฟ
วิธีการเข้าตัวเมืองโอซาก้าจากสนามบินคันไซนั้นง่ายโคตร โดยวิธีที่สะดวกที่สุดคงหนีไม่พ้นการขึ้นรถไฟ แต่รถไฟที่เข้าเมืองดันมีสองสาย สองบริษัทด้วยกัน นั่นคือของ Nankai และ JR นั่นเอง ทีนี้หลายคนอาจจะงงว่าควรขึ้นอันไหนดี ก๊อตแนะนำให้เราดูว่าเราพักที่ไหน ย่านไหน อีกทั้งดูว่าเรามีพาสติดตัวอะไรหรือเปล่า เมื่อรู้คำตอบสองอันนี้แล้วก็ไม่ยากแล้ว สามารถดูคำตอบจากด้านล่างได้เลย
Nankai Line Airport Express – Rapi:T
สำหรับใครที่ ไม่มี JR PASS ใดๆ หรือ มี Kansai Thru Pass หรือจะมาตัวเปล่าก็แล้วแต่ และพักอยู่แถว นัมบะ (Namba) และ ชิน-อิมามิยะ (Shin-Imamiya) ตัวเลือกแรกที่แนะนำเลยคือ Nankai Line Airport Express โดยเฉพาะสาย Rapi:T ที่เราสามารถเข้าใจกลางเมืองโอซาก้าได้ภายใน 38 นาที โดยสถานีหลักๆ ในตัวเมืองโอซาก้าก็จะมีสถานีนัมบะ (Namba) สถานีชิน-อิมามิยะ (Shin-Imamiya) และสถานีเทนกาชายะ (Tengachaya) ใครที่พักอยู่ละแวกแถวนี้ก็สามารถเลือก Nankai Line Airport Express – Rapi:T ได้เล้ย
💰ราคาค่าโดยสารของ Rapi:T จะอยู่ที่ 1,130 เยน สำหรับที่นั่งปกติ Regular และ 1,340 เยน สำหรับที่นั่ง Super Seat ส่วนตัวก๊อตแนะนำให้นั่งแบบที่นั่งปกติก็พอ แทบไม่แตกต่าง แถมทุกรอบรถไฟ คนไม่ได้เยอะขนาดนั้น นั่งสบาย ส่วนช่องทางการซื้อก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่าน Klook หรือ KKday ไปเลยคือสะดวก ไปถึงเค้าเตอร์ยื่น QR Code แล้วเลือกเวลาขึ้นรถไฟ จบปิ๊ง ง่ายมาก แถมราคาถูกกว่าด้วยนะ [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
JR สาย Kansai-Airport Express “HARUKA”
สำหรับคนที่ มี JR PASS แบบทั่วประเทศ หรือแบบย่อยๆตามภูมิภาคย่านนี้ (ดูตัวลิสพาสที่ใช้ได้ด้านล่าง) หรือจะมาตัวเปล่า และพักอยู่แถวเทนโนจิ (Tennoji) และ ชิน-โอซาก้า (Shin-Osaka) หรือคนที่ต้องการนั่งตรงยาวไปยังเกียวโตเลย เราสามารถเลือกใช้รถไฟ JR สาย Kansai-Airport Express “HARUKA” ได้โดยเราสามารถเดินางเข้าสู่ใจกลางเมืองโอซาก้าโดยใช้เวลาประมาณ 35 เท่านั้นเอ๊ง โดยเค้ามีแค่สามสถานีหลักเท่านั้นคือ สถานีเทนโนจิ (Tennoji), สถานีชิน-โอซาก้า (Shin-Osaka) และสถานีเกียวโต (Kyoto)
💰สำหรับการซื้อตั๋ว JR สาย Kansai-Airport Express “HARUKA” นั้น แนะนำให้ซื้อผ่าน Klook หรือ KKday เช่นกัน เพราะถูกกว่าซื้อหน้าเคาท์เยอะเยอะมาก เพราะราคาบนเว็บจะเป็นราคาที่ถูกกว่าปกติสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะเด้อ [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
ส่วนใครที่ถือพาส JR PASS เหล่านี้ล่ะก็ กระโดดขึ้น JR Haruka Express ฟรีได้เลย : JR Pass (all area) *จองที่นั่งได้ฟรี / Kansai Area Pass Pass / Kansai WIDE Area Pass / Kansai-Hiroshima Area Pass / Sanyo-San’in Area Pass *จองที่นั่งได้ฟรี / Kansai-Hokuriku Area Pass / Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass / Sanyo-San’in Northern Kyushu Pass *จองที่นั่งได้ฟรี
วิธีการเดินทางจากโตเกียว (Tokyo) <-> โอซาก้า (Osaka)
สำหรับคนที่เที่ยวอยู่โตเกียว แต่คิดอยากมาเที่ยวโอซาก้าด้วยล่ะก็ วิธีที่ก๊อตแนะนำที่สุดคือการนั่งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซนที่เราสามารถตรงดิ่งจากโตเกียว ถึงโอซาก้าได้เพียงแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ถือว่าเริ่ดสุด แต่ถ้าใครที่เป็นสายประหยัดล่ะก็ อาจจะลองดูรถบัสข้ามเมืองก็ได้
1. โดยรถไฟชินคันเซน (⭐️⭐️ แนะนำ): การเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่ก๊อตแนะนำมากที่สุดสำหรับไปเที่ยวโอซาก้า (Osaka) เนื่องจากเราสามารถนั่งตรงจากโตเกียวมาลงที่โอซาก้าได้เลย อีกทั้งเค้ายังมีเส้นทางและรถไฟให้บริการหลายสายอีกด้วย
- รถไฟชินคันเซน: รถไฟความเร็วสูงที่วิ่งตรงจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) มายังสถานีชิน โอซาก้า (Shin-Osaka Station) โดยจะ 2 ขบวนให้เลือกตามความระยะเวลา ใครที่มีพาส JR Pass แบบ All Area (ทั่วประเทศ) สามารถกระโดดขึ้นรถไฟทั้งสองสายนี้ได้เลย
- Nozomi Shinkansen: ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 2.30 ชั่วโมง โดยราคาตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาสและไม่ระบุที่นั่งสำหรับขบวน เริ่มต้น 13,620 เยน (~3,390 บาท) หรือใครอยากจองตั๋วแบบเลือกที่นั่งได้ ราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 14,650 เยน (~3,640 บาท)
- Nozomi Shinkansen ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาสและไม่ระบุที่นั่งเริ่มต้น 13,620 เยน (~3,390 บาท) และตั๋วแบบเลือกที่นั่งได้ ราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 14,340 เยน (~3,560 บาท)
- 🎫 ดูและจองตั๋วรถไฟในญี่ปุ่นทุกเส้นทาง ผ่าน Klook
- 🎫 Japan Rail Pass – All Area (JR Pass) : สามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR ได้ทั่วประเทศ รวมถึงรถไฟหัวกระสุน Shinkansen เกือบทุกสาย ทั่วประเทศญี่ปุ่น มีแบบ 7 วัน ราคาเริ่มต้นราวๆ ~12,000 บาท [ซื้อผ่าน Klook] [ซื้อผ่าน KKday]
2. รถบัสทางไกล: การเดินทางด้วยรถบัสเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ราคาตั๋วถูกกว่าการนั่งรถไฟความเร็วสูง แต่ต้องแลกกับระยะเวลาที่จะนานมากกว่า โดยมีรถบัสจากโตเกียว (Tokyo) มายังโอซาก้า (Osaka) ให้บริการอยู่หลายเจ้า แต่ถ้าให้ก๊อตแนะนำและไม่เสียเวลาเที่ยว แนะนำให้เราจองรถแบบ Overnight Bus แบบดีหน่อย ที่เราสามารถนอนบนรถข้ามคืนได้เลย ตื่นมาปุ๊ปก็ถึงโอซาก้าแล้ว โดยราคานั้นจะถูกว่ารถไฟครึ่งนึง ราคาเริ่มต้นที่ 4,000 เยน (~970 บาท) ไปจนถึง 7,900 เยน (~1,920 บาท) ตามระดับคลาสของที่นั่งและตัวรถ
วิธีการเดินทางเที่ยวในเมืองโอซาก้า (Osaka)
รถไฟใต้ดิน (Osaka Metro)(⭐️⭐️ แนะนำ): วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดในการเที่ยวภายในเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่ก๊อตแนะนำเลยคือ รถไฟใต้ดิน (Osaka Metro) เนื่องจากเค้ามีเส้นทางที่ครอบคลุมพื้นที่เมืองและเข้าถึงสถานที่เที่ยวต่างๆ อยู่เยอะมาก ซึ่งรถไฟใต้ดินของโอซาก้าก็จะแบ่งออก 9 สาย แยกกันเป็นสีๆ ซึ่งสายที่มีผู้คนใช้บริการมากที่สุดเลยคือ สายสีแดง มิโดซุจิเซน (Midosuji line) เพราะวิ่งผ่านทั้งอูเมดะ (Umeda), นัมบะ (Namba), ชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ที่มีที่เที่ยวฮิตของโอซาก้า
> ซื้อพาสบัตรรถไฟใต้ดินแบบเดินทางไม่จำกัด (Osaka Metro Pass) 1 วัน หรือ 2 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
บัตรท่องเที่ยว Osaka Amazing Pass ราคาเท่าไหร่ และซื้อที่ไหนดี?
สำหรับใครที่มาเที่ยวโอซาก้า (Osaka) แล้วอยากปักไปเที่ยวแลนด์มาร์คชื่อดังหลายๆ ที่ โดยที่เราไม่ต้องกังวัลเรื่องค่าใช้จ่ายจะบานปลายล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เราซื้อ Osaka Amazing Pass เอาไว้ใช้เลย เพราะบัตรพาสนี้สามารถใช้เข้าแลนด์มาร์คทั่วโอซาก้าได้มากกว่า 40 แห่ง รวมถึงยังเอาไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆ อีกทั้งยังใช้ขึ้นรถไฟใต้ดิน (Osaka Metro) และรถเมล์ในโอซาก้าได้อย่างไม่จำกัดตามจำนวนวันที่ซื้ออีกด้วย ดังนั้น Osaka Amazing Pass จึงเหมาะกับคนที่ไม่เคยมาเที่ยวโอซาก้ามาก่อน และต้องการมาเก็บแลนด์มาร์คดังๆ ของเมืองให้ครบมากที่สุด ใครที่จะมาเที่ยวโอซาก้าแบบจริงจังควรซื้อ!
⚡️ สำหรับแลนด์มาร์คหรือกิจกรรมดังๆ ที่ใช้แล้วคุ้มเมื่อมีพาสนี้คือ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle / ค่าเข้า 600 เยน หรือ 145 บาท), ล่องเรือชมอ่าวโอซาก้า (Cruise Ship Santa Maria Day Cruise / ค่าขึ้น 1,600 เยน หรือ 385 บาท) , LEGOLAND® Discovery Center Osaka (ค่าเข้า 2,800 เยน หรือ 670 บาท), จุดชมวิวบนตึกอูเมดะสกาย (Umeda Sky Building / 1,500 เยน หรือ 365 บาท), หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower / ค่าเข้า 900 เยน หรือ 220 บาท), ขึ้นชิงช้าสวรรค์ HEP FIVE Ferris Wheel (ค่าขึ้น 1,000 เยน หรือ 250 บาท)
Osaka Amazing Pass มีแบบไหนบ้าง ราคาเท่าไหร่ และซื้อที่ไหนดี
สำหรับราคาบัตร Osaka Amazing Pass นั้นจะมีด้วยกัน 2 แบบ และมีราคาต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่เราเลือก โดยเค้ามีมาให้เลือกทั้งแบบ 1 และ 2 วัน ตามแต่เราสะดวก ซึ่งถ้าให้ก๊อตแนะนำคือ ให้ซื้อแบบ 2 วันไปเลย คือคุ้มมาก บัตร Osaka Amazing Pass แบบ 1 วัน : ราคา 2,800 เยน (~680 บาท) / แบบ 2 วัน : ราคา 3,600 เยน (~880 บาท)
สำหรับหลายคนที่อยากจะซื้อ Osaka Amazing Pass แต่ยังไม่รู้ว่าจะซื้อผ่านช่องทางไหนดี ก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่าน OTAs อย่าง Klook หรือ KKday วิธีที่ก๊อตว่าสะดวกสบาย ซื้อง่าย และราคาดี สามารถแลกเวาเชอร์จากมือถือเป็นบัตรจริงที่จุดแลกพาสได้เลย
ข้อมูลแน่นแล้วมาตามก๊อตไปเที่ยวเร้วว
วันที่ 1: ย่านนัมบะ
แพลนเที่ยวโอซาก้าวันแรกของก๊อต เราเริ่มต้นเที่ยวกันใน ย่านนัมบะ (Namba) ที่ถือว่าเป็นย่านหัวใจหลักของโอซาก้าที่ครบรสทั้งที่กิน ที่เที่ยว ศาลเจ้า ถนนช้อปปิ้ง และตลาด แบบที่ว่ามาย่านเดียวตอบโจทย์คนทุกวัยเลยเชียวแหละ
นอกจากนี้ ย่านนัมบะ (Namba) ยังเป็นที่ตั้งของป้ายกูลิโกะอันโด่งดัง ที่เปรียบเสมือนเป็นแลนด์มาร์คที่ป๊อบระดับที่ว่าใครมาเที่ยวโอซาก้าแล้วไม่มาเซลฟี่คู่กับป้ายนี้เหมือนเรามาไม่ถึงเมืองเค้าจริงๆ และสำหรับใครที่เป็นสายกินมาเที่ยวญี่ปุ่นก็อยากจะลิ้มรสสตรีทฟู้ดญี่ปุ่น ที่ นัมบะ (Namba) เองเค้าก็มีให้เลือกกินแบบละลานตาสุดๆ ใครที่อยากมาเที่ยวย่านที่ยังคงจัดจ้านด้วยแสง สี เสียง รวมถึงเป็นแหล่งรวมของกินอร่อยๆ นั้น มาเที่ยวโอซาก้าให้ปักหมุดมาเที่ยว ย่านนัมบะ (Namba) ได้เลย
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine)
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) เป็นหนึ่งศาลเจ้าของเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ที่เห็นได้แต่ไกลของหัวสิงโตยักษ์ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางย่านนัมบะ (Namba) โดยที่นี่กลายเป็นอีกมุม Instagrammable Spot ยอดฮิตที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปลงไอจีกันเยอะมากเลยนะ ด้วยความที่ศาลเจ้าโดยทั่วไปในญี่ปุ่นมักจะมาด้วยอาคารหลัก และมีเจดีย์ตั้งอยู่เคียงข้าง ซึ่งเป็นการออกแบบส่วนใหญ่โดยรวมจะค่อนไปทางแบบดั้งเดิม มีความสำรวมและเคร่งครัดประมาณหนึ่ง แต่ในทางกลับกัน ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) นั้นเหมือนเป็นศาลเจ้าที่ถูกออกแบบฉีกกฏเหล่านั้นออกมาประหนึ่งเป็นแลนด์มาร์คให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปกับหัวสิงโตยักษ์ที่ไม่เหมือนใครนี่เอง
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) นั้นไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าก่อตั้งขึ้นมาในปีไหน แต่เชื่อกันว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่อยู่ของเทพพื้นเมืองของนัมบะ ซึ่งอาคารเดิมของศาลเจ้านั้นได้ถูกทำลายลงไปในช่วงสงคราม จนในปี ค.ศ.1974 ศาลเจ้าหลักหลังใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งและอยู่คู่กับเมืองโอซาก้ามาจนถึงปัจจุบันนี้
บรรยากาศภายใน ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) เมื่อเดินเข้ามาเราจะเจอกับหัวสิงโตยักษ์ที่กำลังอ้าปากกว้างต้อนรับผู้คนที่มาเยือนกันตั้งแต่ทางเข้า โดยภายในนั้นจะมีที่สำหรับบูชาเทพเจ้าอยู่ให้เราได้เดินเข้าไปสักการบูชาใกล้ๆ โดยข้างๆ กันนั้นยังมีอาคารหลักที่ผู้คนเค้ามาไหว้สักการบูชาตั้งอยู่ด้วย โดยบริเวณลานตรงกลางที่อยู่ด้านหน้าระหว่างหัวสิงโตกับอาคารหลัง ในช่วงศาลเจ้าที่มีเทศกาลสำคัญๆ บริเวณนี้ถูกใช้เป็นเหมือนเวทีเพื่อการแสดงดนตรี การเต้นรำแบบชินโตโบราณ ไปจนถึงการเชิดสิงโตและอื่นๆ อีกด้วยนะ
สำหรับหัวสิงโตยักษ์ที่เราเห็นกันอยู่นี้สูงถึง 12 เมตร กว้าง 11 เมตร และลึกเข้าไปข้างในอีก 7 เมตร ซึ่งคนที่นี่เค้าเชื่อกันว่า ปากสิงโตขนาดใหญ่ที่กำลังอ้ากว้างอยู่นั้น สามารถกลืนกินวิญญาณชั่วร้ายและนำความโชคดีมาให้เราได้ทั้งเรื่องของการงาน ธุรกิจ และการเรียน ดังนั้นคนที่เค้ามาที่ศาลเจ้าแห่งนี้เลยนิยมมาเพื่อไหว้ขอพรในเรื่องเหล่านี้กันนั่นเอง
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) จึงไม่เพียงแค่ขลังในเรื่องของการมาขอพรในหน้าที่การงาน ความรัก แต่ยังเป็นศาลเจ้าที่ดีไซน์แปลกตาที่เราไม่ค่อยเห็นกันเท่าไหร่ในญี่ปุ่น ซึ่งนี่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงได้ชื่อว่าเป็นมุมฮิตที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปกัน เพราะหัวสิงโตยักษ์นั้นเก๋ไก๋ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ แหละแกร ก๊อตบอกเลยว่าใครที่มาเที่ยวโอซาก้าก๊อตต้องมาเช็คอินและเซลฟี่คู่กับเจ้าสิงโตยักษ์นี้ให้ได้กันซักแมช
นัมบะปาร์ค (Namba Parks)
อีกหนึ่งห้างที่ตั้งติดสถานีรถไฟนัมบะ (Namba Station) ที่อยากแนะนำคือ นัมบะปาร์ค (Namba Parks) คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการกันมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2003 โดยเดิมทีพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นสนามกีฬา Osaka Stadium ก่อนจะมีการปรับปรุงพื้นที่ให้กลายมาเป็นแหล่งกิน ช็อป เที่ยวแบบครบครันในภายหลัง ภายใน นัมบะปาร์ค (Namba Parks) นั้น มีทั้งอาคารสำนักงาน ช็อปแบรนด์ต่างๆ และร้านอาหารมากกว่า 120 ร้าน รวมไปถึงสวนสาธารณะที่มีมุมพักผ่อนสบายๆ ที่ตอนนี้เปรียบเป็นแลนด์มารค์ของห้างนี้เลยก็คือ Parks Garden สวนบนชั้นดาดฟ้าขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิดเพิ่มพื้นที่สีเขียวเข้ามาในเมือง โดยสวนเค้ามีลักษณะเส้นสายที่โค้งเว้าแสดงถึงความเป็นธรรมชาติลดหลั่นกันลงมาถึง 8 ชั้น ด้านบนมีต้นไม้กว่า 500 สายพันธุ์ ที่ปลูกกันอยู่กว่า 1 แสนต้น โดยคนออกแบบเค้าต้องการให้สวนแห่งนี้ เป็นพื้นที่สีเขียวที่ผู้คนสามารถมาสัมผัสและให้ธรรมชาติเยียวยาจิตใจได้ ใครอยากสูดอากาศท่ามกลางต้นไม้เขียวๆ ก็ขึ้นไปดูกันได้
แต่ส่วนตัวก๊อตนั้น เราเน้นเดินเที่ยวชมบรรยากาศกันอยู่บริเวณด้านล่างของห้าง ซึ่งนอกจากจะมีช็อปแบรนด์ต่างๆ ให้ช้อปกันแล้ว นี่ยังเพลินตาด้วยเส้นสายของตัวอาคารที่ระหว่างทางเดินไปนั้น ตัวอาคารที่ห้อมล้อมเราเอาไว้ก็จะคดเคี้ยวเป็นเส้นสายที่ดูสวยเก๋แปลกตา และถ่ายรูปสวยเช่นกัน โดยรวมแล้ว นัมบะปาร์ค (Namba Parks) เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ใครอยากมาหาอะไรกิน หรืออยากจะเดินช้อปปิ้งละลายทรัพย์ พร้อมทั้งนั่งฟินๆ ดื่มด่ำกับสายลม แสงแดด และธรรมชาติ บนสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่หาไม่ได้จากที่ไหนในเมืองโอซาก้าอีกแล้วนั้น นัมบะปาร์ค (Namba Parks) คือสถานที่ที่คัดสรรมาแล้วว่าตอบโจทย์การเที่ยวแบบนั้นอย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ เผื่อใครยังไม่รู้ว่าติดกับบ นัมบะปาร์ค (Namba Parks) นั้นมีโรงแรมเเบรนด์ไทยอย่าง Centara Grand Hotel Osaka ที่เราคุ้นเคยกันดีตั้งอยู่ด้วย ใครที่มาเที่ยวโอซาก้าแต่ยังอยากนอนท่ามกลางบรรยากาศความเป็นไทย สามารถมานอนที่นี่ได้นะ ทำเลคือดีมาก และได้ยินมาว่าห้องใหญ่และดีมากด้วย
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street)
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) หรือที่เราสามารถเรียกสั้นๆ ได้ว่า “โดกุยะสุจิ (Doguyasuji)” ที่โอซาก้า ใครที่ชอบเข้าครัวและรักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคืออุปกรณ์ทำครัว ถ้าใครที่กำลังอยากได้เครื่องครัวต่างๆ จากแดนปลาดิบของแท้ ก๊อตขอแนะนำกับ ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) หรือที่คนญี่ปุ่นเค้าเรียกที่นี่กันว่า “ถนนเครื่องครัว” นั่นเอง แน่นอนว่าภายในจะขายอะไรไปไม่ได้เลยจ๊า นอกจากอุปกรณ์ทำครัว คือตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปเราจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับสารพัดของในครัว รวมไปถึงของใช้ทั่วไป ของตกแต่งบ้านตั้งเรียงรายอยู่ตามสองข้างทาง ดังนั้นใครที่อยู่บ้านชอบทำอาหารมาก มาเที่ยวโอซาก้าก๊อตบอกเลยว่าต้องปักหมุดมาที่นี่ เพราะเค้ามีเครื่องครัวให้ช้อปกันจนกระเป๋าตังแบนแน่นอน 55555
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) ถนนช้อปปิ้งยาวกว่า 150 เมตร ที่ได้ฉายาว่าเป็น “ถนนเครื่องครัว” เนื่องจากเต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องครัวแบบครบครัน โดย ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) เดิมทีเคยเป็นพื้นที่แสวงบุญที่ใช้ระหว่างวัดวัดโฮเซ็นจิ (Hozenji Temple) ที่อยู่ทางเหนือ และวัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ โดยทั้งสองวัดนี้ต่างก็เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองโอซาก้า ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1880 เป็นต้นมา โดยช่วงเวลาดังกล่าวระหว่างสองข้างทางเค้าก็ค่อยๆ เริ่มผุดร้านค้าทั่วไป ร้านเฟอร์นิเจอร์โบราณ ร้านอาหาร รวมไปถึงร้านขายอุปกรณ์ทำครัวกันเต็มไปหมด
จนกระทั่งถนนเส้นนี้ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1912 และก็ได้มีการปรับปรุงพื้นที่จนกลับมาเปิดขายสินค้าแบบขายส่งมากขึ้น และแม้ว่าจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้แล้ว แต่ก็ไม่วายถูกโจมตีทางอากาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้งในปี ค.ศ. 1945 และภายหลังสงครามจบสิ้นลงแล้ว พื้นที่โดยรอบของถนนเส้นนี้กลับกลายเป็นตลาดมืดที่ผู้คนเค้าก็เอาข้าวของที่มีออกมาขาย จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ.1950-1985 ได้มีการปรับปรุงและการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ จนในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นถนนช้อปปิ้งที่ใครกำลังมองหาเครื่องครัว ของตกแต่งบ้านชื่อดังประจำโอซาก้านั่นเอง
ในช่วงปี ค.ศ. 1985 นั้น ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) ได้มีการจัดเทศกาล “โดกุยะสุจิ (Doguyasuji)” ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเทศกาลจะจัดขึ้นช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี จนท้ายที่สุดเทศกาลนี้ก็ได้กลายเป็นงานประจำปีของที่นี่ไปแล้ว ซึ่งใครที่มาเดินเที่ยวถนนเส้นนี้ในช่วงที่เค้าจัดเทศกาลเราจะได้ช้อปสินค้าราคาถูกลงไปอีก แถมยังมีการโชว์ทำอาหารอยู่ตามหน้าร้านริมถนน รวมไปถึงโชว์เทคนิคการใช้มีดให้ได้ดูกันอีกด้วย ดังนั้นใครมาเที่ยวโอซาตรงกับที่เค้ามีเทศกาลก็อย่าลืมแวะเวียนมาช้อปกันได้นา ก๊อตบอกเลยว่ามาที่นี่ที่เดียวคือครบจบมาก
บรรยากาศภายในฟีลญี่ปุ่นจัดๆ ท่ามกลางร้านขายสินค้าอยู่เยอะมาก ซึ่งก๊อตสังเกตเห็นว่าส่วนใหญ่คนที่เค้ามาเดินช้อปปิ้งที่นี่จะเป็นเหล่าเชฟ หรือกุ๊กร้านอาหารที่มักมาหาซื้อเครื่องไม้เครื่องมือกันที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นจานชามเซรามิก เครื่องครัว หม้อ กระทะ ไปจนถึง มีดทำครัวคือมีให้เลือกซื้อหม๊ด อย่างร้านมีดที่ก๊อตลองเดินเข้าไปดูนี่คือว้าวมาก เค้าขายกันแบบเรียงมีดเป็นแผง ซึ่งนี่ไปส่องราคามา มีดเล่มนึงราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนเลย
นอกจากเครื่องครัวแล้วยังมีข้าวของตกแต่งบ้านอย่างน้องแมวกวัก โคมไฟกระดาษ ม่าน และเหล่าป้ายอาหารสารพัดอย่างก็มีวางขายอยู่เพียบ และยังไม่หมดเท่านั้น ตรงถนนใหญ่ติดกันตรงปลาย ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) เค้ายังมีโซนของเล่น ร้านฟิกเกอร์ ร้านเกม ร้านรวมตู้กาชาปองและตู้ตุ๊กตาคีบเรียงกันเป็นตับทอดให้เราได้มาละลายทรัพย์
ที่น่ารักตอนที่ก๊อตไปเที่ยวก็คือ ขนาดร้าน LAWSON ถึงขั้นทำร้านธีม Dragon Quest Treasure กันเลย บอกเลยว่าที่นี่ถือเป็นอีกย่านที่น่าละลายทรัพย์ของจริงสำหรับคนเข้าครัวและเหล่านักสะสมของเล่นเล้ย
หลังจากที่ก๊อตไปเดินส่องมาแทบจะทุกซอกทุกมุมของ ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) มันเหมาะสำหรับคนที่รักในการทำอาหาร แล้วอยากได้อุปกรณ์ดีๆ ในการเอากลับไปปรุงอาหารที่บ้านมากเว่อร์ เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหาเครื่องครัว ของตกแต่งบ้าน ก๊อตบอกเลยว่ามาที่นี่ที่เดียวคือครบจบมาก
ตลาดคุโรมง (Kuromon Market)
หนึ่งในตลาดที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่มากที่สุดของเมืองโอซาก้า (Osaka) ต้องยกมงให้กับ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) เค้าเลย คือใหญ่แค่ไหนการันตีได้จากชื่อเสียงเรียงนามของตลาดที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ครัวของโอซาก้า” ใครที่อยากมาเดินซื้อของกินชิลๆ และอยากลิ้มรสอาหารทะเลสดๆ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา รวมไปถึงสารพัดเนื้ออื่นๆ ที่ขนกันมาทั้งมหาสมุทรให้ได้เลือกซื้อ ก๊อตบอกเลยว่ามาที่ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) รับรองว่าเราจะกินกันจนพุงกาง
สำหรับ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโอซาก้า (Osaka) ภายในตลาดยาวประมาณ 600 เมตร ตั้งขนานไปกับถนนซาไกสุจิโดริ (Sakaisujidori Street) และมีร้านค้ากว่า 150 ร้าน โดย ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) นั้นตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยเรียกว่า “ตลาดเอมเมจิ (Emmeiji Market)” ตามชื่อวัดเอมเมจิ (Emmeiji Temple) ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง จนต่อวัดนี้ได้ถูกทำลายลงในสงครามโลกครั้งที่ 2 ตลาดเองก็เลยถูกเปลี่ยนชื่อว่า “Kuromon Ichiba” ซึ่งแปลว่า “ตลาดประตูดำ” ตามประตูดำของวัดเอมเมจิ ที่เคยมีอยู่นั่นเอง โดยปลาที่มีชื่อเสียงที่สุดของตลาดในช่วงฤดูร้อน คือปลาช่อน และในช่วงฤดูหนาวจะเป็นปลาฟุกุ หรือปลาปักเป้า นั่นเอง ใครจะมาเดินเล่นที่นี่สามารถมาได้ตั้งแต่เช้าเลยนา ตลาดเค้าเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้ายัน 6 โมงเย็นเล้ยย
ใครที่เป็นสายกินแล้วมาเที่ยวที่โอซาก้าก๊อตแนะนำเลยว่าต้องมา ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) เพราะที่นี่ของกินเว่อร์มาก ยิ่งอาหารทะเลแล้วเหมือนยกมหาสมุทรมาให้กินกันตรงหน้า ใครจะมากินกุ้ง หอย ปู ปลา เค้าก็มีมาวางขายกันสดๆ ให้ได้จิ้มซื้อเลย ซึ่งข้อดีของตลาดที่นี่คือปลาสดๆ ที่เราสามารถสั่งซาซิมิและซูชิหน้าปลาดิบเพื่อกินตรงนั้นได้เลยล่ะ โดยด้านในเค้าจะมีจัดเป็นโต๊ะต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับขากินโดยเฉพาะเลย
แต่ถ้าใครใคร่อยากนั่งเป็นร้านอาหารแบบจริงจัง ที่ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) ก็มีให้เลือกเยอะมากเช่นกัน ให้เราลองเดินเลือกร้านที่ชอบแล้วเข้าไปนั่งโลดด ซึ่งถ้าให้ก๊อตแนะนำช่วงเวลาในการมาเที่ยวที่นี่สำหรับสายกินล่ะก็ ให้มาตะลุยแต่เช้าที่เหล่าของสดซีฟู๊ดต่างๆ พึ่งเข้ามาในตลาดนั่นเอง บอกได้เลยว่าของกินที่นี่นั้นเยอะแบบที่ว่ากินกันจนพุงกางเลยแหละ ฮ่าๆ
ใครอยากมากินปลาดิบแบบส๊ดสด มาเที่ยวโอซาก้า (Osaka) บอกเลยว่าไม่มาตลาดคุโรมง (Kuromon Market) คือพลาดม๊ากก ส่วนใครที่เคยแวะเวียนมาเที่ยวกันแล้ว ก็มาเล่าสู่กันฟังได้นา ขอให้ทุกคนแฮปปี้กับการมาเดิน กิน ช้อป เที่ยวที่นี่กันนะครับ
โดทงโบริ (Dotonbori)
หนึ่งในสถานที่เที่ยวสุดฮิตของเมืองโอซาก้า (Osaka) ในย่านนัมบะจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ใจกลางเมืองของโอซาก้า” ซึ่งโด่งดังมากที่สุดอีกแห่งที่คนญี่ปุ่นเองหรือนักท่องเที่ยวมากันเยอะม๊าก ถึงขนาดที่ว่าวันหยุดสุดสัปดาห์มีคนมาเดินตลอดทั้งวันถึงหลักแสนคน ต้องยกให้เค้าเลยคือ โดทงโบริ (Dotonbori) แหล่งเที่ยวขึ้นชื่อในเรื่องของแสงไฟที่ยามค่ำคืนนั้น ที่พอตกเย็นปุ๊บไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร เค้าจะเปิดไฟสู้กันจนเกิดแสงสว่างไสวฟูฟ่าแบบไม่เคยหลับใหลเลยเชียว นอกจากนี้ที่นี่ยังเลื่องลือในเรื่องของบาร์ และสตรีทฟู้ดชื่อดังของโอซาก้าอีกด้วย
สำหรับคำว่า โดทงโบริ (Dotonbori) นั้น เป็นสถานที่เที่ยวที่ไล่ตั้งแต่คลองโดทงบุริ (Dotonbori Canal) และถนนโดทงบุริ (Dotonbori Street) ทั้งหมด โดยพื้นที่ของเค้าทอดขนานไปกับคลองครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สะพานโดทงโบริบาชิ (Dotonboribashi Bridge) ไปจนถึงสะพานนิปปอนบาชิ (Nipponbashi Bridge) ซึ่ง โดทงโบริ (Dotonbori) นั้น เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1612 โดยยาสุ โดทง (Yasui Doton) ผู้ริเริ่มขุดคูคลองบริเวณนี้ด้วยเงินทุนส่วนตัวของตัวเอง โดยเค้าตั้งใจเพื่อให้เป็นส่วนขยายของคูน้ำอุเมซุ (Umezu River) และเพิ่มพื้นที่การค้าและการขนส่งทางน้ำ แต่เนื่องจากยาสุ โดทง (Yasui Doton) ได้เสียชีวิตในสงคราม โครงการสร้างคลองจึงตกทอดไปยังลูกพี่ลูกน้องและครอบครัวของเขา ก่อนจะมีการขุดคลองต่อจนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1615 โดยได้ตั้งชื่อคลองนี้ว่าโดทงบุริ “Dotonbori” ตามชื่อของยาสุ โดทง (Yasui Doton) นั่นเอง
นอกจากนี้ในช่วงศตวรรษที่ 17- 18 โดทงโบริ (Dotonbori) กลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและการแสดงละครที่โอซาก้า (Osaka) โดยมีโรงละครเข้ามาตั้งอยู่มากมาย ก่อนจะมีร้านอาหารและโรงน้ำชาเข้ามาเปิดตาม จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 20 โดทงโบริ (Dotonbori) ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการบันเทิงและการท่องเที่ยวของเมืองไปเป็นที่เรียบร้อยและยังเป็นย่านฮิตประจำเมืองโอซาก้ามาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นใครที่อยากมาเดินชิลๆ หรือจะถ่ายรูป ช้อปปิ้ง หาอะไรกินอร่อยๆท่ามกลางคลองรายล้อมไปด้วยแสง สี มากมายของโอซาก้า ก็ต้องมาที่ โดทงโบริ (Dotonbori) นี่แหละน่าา
สำหรับการเที่ยวใน โดทงโบริ (Dotonbori) ของก๊อต เริ่มต้นเดินบนถนนคนเดินก็คือได้ความโอซาก้าแบบจัดเต็มมาก ด้วยความที่ย่านนี้เป็นแหล่งรวมของกิน และช็ออปชื่อดังของเมืองโอซาก้า (Osaka) บรรยากาศคือฟู่ฟ่าจี๊ดจ๊าดด้วยป้ายไฟ โมเดลอาหาร มาสคอตตุ๊กตาประจำแต่ละร้านที่จัดเต็มกันตั้งแต่บนพื้นไล่ไปจนถึงบนตึก ก๊อตบอกเลยว่าพี่เค้าเล่นใหญ่กันทุกร้าน แบบที่ว่าร้านใครเด่นกว่าคนนั้นชนะเลยล่ะ 555
ใครที่อยากมาเดินหาของกิน สิ่งที่ต้องมากินเลยคือ พิซซ่าญี่ปุ่น เกี๊ยวซ่า และทาโกะยากิ ที่นี่ไปลองซื้อทาโกะจากร้าน Takoyaki Wanaka Dotonbori แล้วสั่งแบบ Specialty Osaka of Original ไส้ปลาหมึกขนาด 8 ลูก ราคา 600 เยน (~150 บาท) มาลอง ส่วนตัวก๊อตว่ารสชาติดี แต่ไส้ปลาหมึกเค้าไม่ได้ให้มาจุกๆ เบอร์นั้นนะ ใครที่อยากลองกินทาโกะแบบออริจิควรลอง จะลองร้านอื่นก็ได้เพราะตรงนี้ร้านทาโกะยากิเยอะมาก แต่ร้านที่ก๊อตกินก็ลองได้เช่นกัน 55555555
อีกอย่างที่ต้องลองคือขนมรูปเหรียญ 10 เยน ที่นี่ไปลองซื้อมาแล้วในราคา 500 เยน (~125 บาท) ขนมปังชีสยืดๆ ข้างใน รสชาตินัวๆ เค็มๆ กินเพลินอร่อยดีเลยเชียวหล่ะ นอกจากนี้ยังมีของกินขายอยู่พรึ่บพรั่บ เดินไปมองไปอยากจะกินมันเสียทุกอย่าง เพราะแต่ละร้านทำของกินขายออกมาได้น่ากินไปหมดเลย
ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign)
ไฮไลท์ของโดทงโบริ (Dotonbori) และเป็นแลนด์มาร์คของเมืองโอซาก้าจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ หากไม่ใช่ ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) บริเวณสะพานเอบิสึบาชิ (Ebisubashi Bridge) ที่มีฉากหลังเป็น ป้ายกูลิโกะขนาดใหญ่ ซึ่งป้ายโฆษณากูลิโกะที่เราเห็นกันนี้ ของจริงสูงถึง 20 เมตร กว้าง 7 เมตร อีกทั้งยังเป็นป้ายโฆษณาที่เปลี่ยนมาแล้วถึง 6 เวอร์ชั่น โดยเวอร์ชั่นแรกเค้าติดกันตั้งแต่ปี ค.ศ.1935 เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นป้ายคู่เมืองโอซาก้า (Osaka) เลยก็ว่าได้ เพราะป้ายนี้เค้าอยู่ตรงนี้มาเกือบร้อยปีแล้ว
ซึ่งบริเวณ ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) เรียกได้ว่าเป็นจุดที่คนเค้ามาถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะกันเหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าเรามาถึงโอซาก้าแล้วจริงๆ แน่นอนว่าคนนี่มหาศาล บรรยากาศตรงนี้คือครึกครื้นสุด ทั้งคนญี่ปุ่นเอย นักท่องเที่ยวเอย เค้าก็จะมายืนถ่ายรูปโบกไม้โบกมือเก๊กท่าเลียนแบบพ่อหนุ่มกูลิโกะชุดขาวที่กำลังอยู่ในท่าวิ่งกันแทบทุกรายเล้ย
จุดถ่ายรูปใหม่กับป้ายกูลิโกะ
สำหรับคนที่อยากถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะแบบใหม่แบบสับ ตอนนี้เค้ามุมลับที่ตอนนี้น่าจะไม่ลับแล้ว เพราะฮิตเกินเบอร์ม๊ากก ก๊อตแนะนำให้เดินลงสะพานเอบิสึบาชิ (Ebisubashi Bridge) มาที่ร้าน NaNo Hana ซึ่งร้านเค้าจะตั้งอยู่เลียบคลองฝั่งตรงข้ามกับ ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) เดินเข้ามาภายในร้านแล้วให้เลี้ยวขวาได้เลย เราจะเห็นคนยืนต่อแถวยาวๆ รอถ่ายอยู่ ซึ่งมุมลับที่ว่าจะเป็นเซตฉากเหมือนลู่วิ่งบนป้ายกูลิโกะให้เราได้มาโพสต์ท่าถ่ายรูป ซึ่งหากเราไปยืนและจัดองศาของมุมดีๆ แล้วกดแช๊ะภาพ เราจะได้มุมที่มีเส้นลู่วิ่งจากป้ายของกูลิโกะต่อเข้ากับฉากที่ยืนอยู่เป๊ะๆ เสมือนเราได้วิ่งอยู่ในลู่วิ่งเดียวกับพ่อหนุ่มนักวิ่งเค้าเลยแหละ ใครอยากได้รูปกิ๊บเก๋ห้ามพลาดเลย มุมนี้เข้ามาถ่ายได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายซักเยน แต่อาจจะต้องรอคิวกันหน่อยเพราะค่อนข้างป๊อบเอาเรื่อง
ล่องเรือแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise)
ล่องเรือแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise) ใครที่เดินช้อปปิ้ง ถ่ายรูปเล่นกันจนหนำใจแล้ว ก๊อตอยากให้ทุกคนลองเปลี่ยนบรรยากาศมาล่องเรือในแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise) ด้วย โดยเค้าจะมีเรือที่คอยให้บริการพานักท่องเที่ยวล่องชมวิวอยู่ตลอดทั้งวัน โดยช่วงที่ก๊อตไปนั้นเป็นช่วงกลางวัน เราได้นั่งเรือสีเหลืองปุ๊กปิ๊กลำใหญ่ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนเอาเรื่อง ซึ่งระหว่างที่เรือเคลื่อนที่ไปตามคลองก็จะมีไกด์ชาวญี่ปุ่นมาเล่าถึงประวัติความเป็นมาให้ฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะยากสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราหน่อยๆ ที่อาจจะไม่เข้าใจ 55555
สำหรับบรรยากาศในช่วงกลางวันสองฝั่งคลองจะเต็มไปด้วยตึกและอาคารที่ไม่ได้จี๊ดจ๊าดด้วยแสงไฟเหมือนช่วงเวลากลางคืน ส่วนตัวก๊อตคิดว่าไม่ได้หวือหวามาก โดยรูทของการล่องเรือนั้นคือจะล่องเรือไปทางหนึ่งก่อนแล้ววนกลับมาราวๆ 30 นาที โดยจุดที่เรือพาเราล่องไปจนสุดเส้นทางแล้วลองมองย้อนกลับมาดูวิวด้านหลังที่ล่องผ่านมาก็ถือว่าสวยอยู่นะ และแน่นอนว่าจุดป๊อบๆ อย่างป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) เค้าก็จะจอดซักแปปให้คนที่อยู่บนเรือได้ถ่ายรูปกัน ถือว่าเป็นอีกมุมที่กิ๊บเก๋กันไปอีกแบบ และอีกความประทับใจที่ก๊อตเจอมาคือความน่ารักของชาวญี่ปุ่นในเวลาที่เรือมันล่องไปเรื่อยๆ ผู้คนตามสองข้างทางจะโบกไม้โบกมือให้เราอยู่ตลอดเลย เออ โคตรน่ารัก
ถ้าให้ก๊อตแนะนำสำหรับการล่องเรือตรงนี้ นี่แนะนำให้มาล่องเรือตอนกลางคืนแทนกลางวัน เพราะก๊อตเองเคยล่องมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน ไวบ์ตอนกลางคืนต่างกับตอนกลางวันลิบลับ บรรยากาศที่เจิดจ้ากันด้วยแสงไฟนีออนและผู้คนที่ตบเท้ามาเดินช้อปกันเยอะม๊าก พอได้มาล่องเรือกันในช่วงกลางวันนี่ก็เลยดูแห้งสนิทไปเลย 5555555
สำหรับการ ล่องเรือแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise) ถ้าใครมีบัตร Osaka Amazing Pass ก๊อตก็ยังแนะนำให้เรากระโดดลงเรือได้มาได้เลย เราจะได้ใช้บัตรให้คุ้มๆ แต่ถ้าใครไม่ได้ซื้อพาสมาก๊อตว่าไม่ต้องล่องเรือก็ได้ ไม่เสียหายอะไรแกร!
ถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street)
มาเดินช้อปปิ้งกันต่อที่ ถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street) หนึ่งในถนนช้อปปิ้งที่ก๊อตเลิฟมากที่สุดในญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าเราจะมาเที่ยวโอซาก้ากันกี่ครั้งก็ต้องแวะเวียนมาที่นี่ทุกรอบ ซึ่งถนนเส้นนี้เราสามารถเดินต่อขึ้นมาจากสะพานเอบิสึบาชิ (Ebisubashi Bridge) ที่ดูป้ายกูลิโกะกันได้เลยนา
โดย ถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street) นั้น ยาวประมาณ 600 เมตร เป็นแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของเมืองที่เปิดกันมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ภายในเต็มไปด้วยสินค้าเยอะม๊ากก ตั้งแต่ร้านขายชุดกิโมโนแบบดั้งเดิม ร้านขายเสื้อผ้าและรองเท้า ร้านอาหารและร้านฟาสต์ฟู้ด รวมไปถึงร้านขายอัญมณี เครื่องประดับ และร้านแฟชั่นอื่นๆ อีกเพียบ ที่ก๊อตบอกเลยว่าใครที่อยากมาช้อปปิ้งกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าที่โอซาก้ากลับบ้านแล้วล่ะก็ ทุกคนต้องปักหมุดมาถนนเส้นนี้เลย
อย่างที่ก๊อตบอกไปถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยร้านรวงเยอะมาก แต่ที่นี่ว่าเยอะสุดๆ เลยคือร้านรองเท้า Multi-brand Store โคตรคูลอย่าง Atmos และ ABC-Mart Grand Stage รวมถึงร้านรองเท้ายอดฮิต Nike, Adidas, Onitsuga Tiger, Sketcher, ASICS และแบรนด์อื่นๆ อีกเยอะมากๆ คือสายสะสมรองเท้า หรือคนที่อยากมาช้อปรองเท้ากลับไปใส่ที่ไทยอยากได้แบรนด์ไหนที่นี่มีหมดจ๊า นอกจากนี้เค้ายังมีร้านสำหรับสายแฟอย่างช็อป H&M ช็อปใหญ่ตรงป้ายกูลิโกะ หรือจะเป็นช็อป Beams, Zara, Bershka, GU (แบรนด์ลูก Uniqlo) และ Uniqlo นั่นเอง ซึ่งจากที่ก๊อตไปเดินส่องมาแล้วนั้น ราคาที่นี่ถูกกว่าที่ไทยหลายบาทอยู่ โดยเฉพาะตอนที่ก๊อตไปแล้วค่าเงินเยนถูกนั้น ยิ่งเหมือนเราได้ซื้อของลดราคาเลยล่ะ
ส่วนใครที่เป็นสายแบรนด์เนม ถนนที่อยู่ขนานกันกับถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street) นั้นจะมี ถนนมิโดซูจิ (Mido-suji Street) ที่มีแฟล็กชิพสโตร์อย่าง Louis Vuitton, Gucci, Prada, Chanel, Hermès, BVLGARI และแบรนด์อื่นๆ ที่ให้เราได้ถลุงเงินจนกระเป๋าตังค์แฟ่บกันเลยทีเดียว
วันที่ 2 :
Universal Studios Japan (USJ)
สำหรับแพลนเที่ยววันที่ 2 ในโอซาก้า (Osaka) ของก๊อตนั้น ขอยกให้เป็นวันสวนสนุกเดย์ เพราะทั้งวันนี้เราจะเที่ยวเล่นกันแบบจัดเต็มที่ Universal Studios Japan หรือ USJ กันตั้งแต่ปาร์คเปิดยันปาร์คปิดเลยทีเดียว โดยที่นี่นั้นเป็นสวนสนุกแห่งแรกภายใต้แบรนด์ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ที่เค้าสร้างขึ้นในเอเชีย โดยเปิดให้บริการกันมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2001 ตั้งอยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันนี้ USJ เป็นหนึ่งในสวนสนุกสุดฮิตของญี่ปุ่นที่ใครมาเที่ยวโอซาก้านั้นจะต้องมาให้ได้
ไฮไลท์เด็ดของที่นี่ที่พลาดไม่ได้เลย เพราะเค้าเพิ่งเปิดให้บริการไปไม่นานมานี้กับโซนใหม่อย่าง “Super Nintendo World” แห่งแรกของโลก ที่เราจะได้หลุดเข้าไปในโลกของ Super Mario ผ่านทางท่อวาร์ปสีเขียวขนาดใหญ่ แล้วนำพาเราเข้าสู่ปราสาทของเจ้าหญิงพีชและอาณาจักรมาริโอ้สีสันสดใสที่เต็มไปด้วยเหล่าตัวการ์ตูนและสิ่งมีชีวิตมากมาย ทั้งมาริโอ้, ลุยจิ, โทด, เจ้าหญิงพีช และต้นปิรันย่าที่โคตรจะสมจริง โดยเค้าจะเซตเอาหลายๆ ฉากในเกมของมาริโอ้ขึ้นมารวมกันเอาไว้ในโซนนี้ อย่างปราสาทของจอมวายร้ายบาวเซอร์ หรือจะเป็นสารพัดเหรียญและบล็อกที่ซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ที่ของจริงเราสามารถไปกระโดดดึ๋งๆ เก็บเหรียญสะสมแต้มได้ด้วยนา
นอกจากนี้ในโซน Super Nintendo World ก็ยังมีเครื่องเล่นให้ได้เล่นด้วย ทั้ง Mario Kart: Koopa’s Challenge™ เครื่องเล่นขับรถแบบอินเทอร์แอคทีฟสุดล้ำท่ามกลางความมืด ที่อิงมาจากวิดีโอเกม Mario Kart 8 รวมไปถึง Yoshi’s Adventure รถไฟโยชิที่จะพาเด็กๆ ไปท่องโลกของมาริโอ้นั่นเอง ก๊อตบอกเลยว่าโซนนี้ฮอตปรอทแตกม๊ากก แถมยังพิเศษกว่าใคร เพราะเราจะไปเล่น Super Nintendo World จากที่ไหนบนโลกนี้ไม่ได้ นอกจากที่ USJ เท่านั้นน
นอกจากนี้ภายในสวนสนุกเค้าก็ยังมีโซนไฮไลท์ที่ฮิตติดลมตลอดกาลอย่างโซน The Wizarding World of Harry Potter™ ใครที่อยากเข้ามาสัมผัสบรรยากาศแห่งความมหัศจรรย์ของโลกเวทมนตร์จากภาพยนตร์ดังอย่างแฮรี่ พอตเตอร์ ก๊อตบอกเลยว่าเข้ามาในโซน The Wizarding World of Harry Potter™ รับรองไม่มีผิดหวังเพราะเราจะได้โลดแล่นไปกับโลกของแฮรี่ และปราสาทฮอกวอตส์ที่มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
หนึ่งในมุมฮิตของโซนนี้รองลงมาจากการไปยืนถ่ายรูปคู่กับปราสาทฮอกวอตส์ คือมุมสถานีรถไฟคิงส์ครอส เลขที่ 9 ¾ ที่มีรถไฟ Hogwarts Express ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นรถไฟที่ใช้รับนักเรียนของฮอกวอตส์จากสถานีคิงส์ครอสในลอนดอนมาส่งยังสถานี Hogsmeade ที่ถูกจำลองในโซนนี้ด้วยเช่นกันนั่นเอง ใครที่เจอจังหวะมีนายสถานีมายืนคอยต้อนรับนะ ก๊อตบอกเลยว่าเหมือนเราเป็นหนึ่งในนักเรียนของฮอกวอตส์จริงๆ เลยแหละ
นอกจากนี้ภายใน USJ ยังมีโซนเครื่องเล่นต่างๆ อีกเพียบ แถมยังมีหลากหลายเครื่องเล่นที่ถูกออกแบบเฉพาะ และมีเพียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น “The Flying Dinosaur” รถไฟเหาะที่จับเราหน้าคว่ำ โลดแล่นด้วยความเร็วสูงโดยมีไดโนเสาร์เป็นหัวขบวน หรือจะเป็น “Hollywood Dream: The Ride” รถไฟเหาะธีมกรุ๊งกริ๊งที่มีระบบเครื่องเสียงในตัว ซึ่งเราสามารถกดเลือกเพลงในขณะเล่นได้ตามใจชอบ อีกทั้งยังมีขบวนพาเหรดจากเหล่าคาแรกเตอร์สุดน่ารักจากภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซลที่ตบเท้าโยกย้ายส่ายสะโพกเต้นดุ๊กดิ๊กไปมาให้ได้มาดูกันอีกด้วย
สรุปความรู้สึกที่ได้มาเที่ยวใน Universal Studios Japan (USJ) 1 วันเต็มๆ บอกเลยว่าที่นี่แตกต่างจากโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ม๊าก คือเค้าเป็นสวนสนุกที่ก๊อตคิดว่ามันเหมาะกับเด็กโตไปจนถึงผู้ใหญ่มากกว่า ยิ่งในโซน Super Nintendo World ที่ก๊อตเลิฟมาก เพราะภายในนั้นจำลองโลกของมาริโอ้ออกมาได้น่ารักสุดๆ เหมือนก๊อตได้หลุดเข้าไปในเกมมาริโอ้กันตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปเล้ยย บอกเลยว่าใครที่มาเที่ยวโอซาก้า ต้องมาที่ Universal Studios Japan (USJ) นา คือเราจะหาสวนสนุกที่เป็นธีมมังงะ เอาการ์ตูนญี่ปุ่นเข้ามาใส่ไม่ได้จากที่ไหนในโลกนี้อีกแล้ว
คลิกอ่านรีวิวเต็ม Universal Studios Japan (USJ) ได้ที่นี่
วันที่ 3 :
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)
มาถึงวันที่ 3 ที่เราอยู่กันที่โอซาก้า สำหรับใครที่มาเที่ยวที่นี่แล้วอยากรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของโอซาก้าที่กว่าจะออกมากลมกล่อมจัดจ้านได้เบอร์นี้ โอซาก้านั้นผ่านอะไรมาแล้วบ้าง ซึ่งทุกคนสามารถมาหาคำตอบกันได้ที่ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) เลย เพราะเราจะได้เรียนรู้ถึงประวัติของเมืองผ่านนิทรรศการที่จัดแสดงกันอยู่ภายใน รวมถึงยังได้ดื่มด่ำไปกับวัตถุโบราณกว่า 10,000 ชิ้น ที่จัดโชว์ให้ได้ดูกันใกล้ๆ ท่ามกลางบรรยากาศของปราสาทอันเก่าแก่ประจำเมืองที่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่ต้องมา
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1583 โดยโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ชายผู้รวมประเทศญี่ปุ่นได้เป็นคนแรกในรอบ 150 ปี จนเค้าได้ขึ้นเป็นผู้นำประเทศญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้น ซึ่งฮิเดโยชิเองถือเป็นบุคคลสำคัญในการสร้างและขยายพื้นที่ของ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) จนในที่สุดที่นี่ได้กลายเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานั้น อีกทั้งยังกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและการค้าที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบันนี้
สำหรับ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ที่เราเห็นกันอยู่นี้เค้าเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นใหม่นะ โดยย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1615 “โทกูงาวะ อิเอยาซุ” (Tokugawa Ieyasu) ผู้ก่อตั้งและโชกุนคนแรกของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะได้เข้าล้อมเมืองโอซาก้าเอาไว้ในช่วงสงครามเซกิกาฮาระ (The Sekigahara War) และได้สั่งกองกำลังของตนเองเข้าไปทำลาย ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) จนกระทั่งในปี ค.ศ.1620 “โทกูงาวะ ฮิเดตาดะ” (Tokugawa Hidetada) โชกุนคนที่ 2 แห่งตระกูลโทกูงาวะได้มีคำสั่งให้เริ่มบูรณะและสร้างปราสาทหลังใหม่ขึ้นมา รวมไปถึงได้ยกระดับความแข็งแรงของปราสาทเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1665 ได้เกิดเหตุฟ้าผ่าเข้าใส่ตัวอาคารของปราสาทจนเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้น ส่งผลให้ไฟไหม้ตัวอาคารของจนยับเยิน จนถูกปล่อยทิ้งไว้เรื่อยๆ จนในที่สุดปี ค.ศ. 1931 ได้มีการสร้างปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ขึ้นใหม่ด้วยคอนกรีตผสมเหล็กเพื่อเป็นสถานที่ในการการท่องเที่ยวและมาศึกษาประวัติศาสตร์ของโอซาก้านั่นเอง
สำหรับการเดินเที่ยว ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) นั้น เราสามารถเดินเล่นได้ตั้งแต่สวนรอบๆ ปราสาทที่รายล้อมไปด้วยประตู ป้อมปืนป้อมปราการ และกำแพงหิน รวมถึงคูน้ำท่ามกลางบรรยากาศของต้นไม้มากมายที่ทำให้บริเวณรอบๆ ปราสาทนั้นสุดแสนจะร่มรื่นเลย โดยจุดที่ก๊อตแนะนำที่ต้องมาและถ่ายรูปเลยก็คือสวนญี่ปุ่นที่อยู่ตรงด้านหน้าของปราสาท ที่พอเรามองไปยังตัวอาคารปราสาทโอซาก้าแล้วคือโคตรสวย!
สำหรับใครที่จะเข้ามาภายในตัวปราสาทนั้น เราจะต้องเสียค่าเข้าคนละ 600 เยน (~150 บาท) นะ แต่ถ้าใครที่ซื้อบัตร Osaka Amazing Pass เราสามารถเดินเข้าได้เลย เมื่อเราเดินเข้ามาในปราสาทแล้ว ก๊อตแนะนำให้เราพุ่งตรงเดินขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังชั้นบนสุดของปราสาทก่อน จากนั้นให้เดินขึ้นอีกต่อหนึ่งไปยังชั้นบนสุดที่เป็นจุดชมวิวเมืองโอซาก้ากันก่อนได้เลย โดยลิฟท์เค้าจะขึ้นได้อย่างเดียว (ลงไม่ได้) จากนั้นค่อยเดินลงบันไดไล่ไปทีละชั้น เราจะได้ไม่เหนื่อยไปกับการเดินชมปราสาทเค้าแหละ
สำหรับจุดชมวิวเมืองด้านบนนั้น เราสามารถมองเห็นวิวเมืองโอซาก้าได้แบบพาโนราม่าโดยไม่มีอะไรมาบดบังวิวสวยๆ เลยล่ะ ปราสาทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ภาพของคูน้ำที่อยู่ล้อมรอบปราสาท รายล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวๆ โดยมีฉากหลังเป็นเมืองโอซาก้า และท้องฟ้าอันแจ่มใส ช่างเป็นวิวที่สวยเอาเรื่องอยู่นะ เห็นปราสาทที่ดูไม่สูงมาก แต่พอขึ้นมายังชั้นบนสุดกลับดูวิวได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย
สำหรับชั้นล่างๆ ของปราสาทนั้น จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เค้าจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของตัว ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) และผู้สร้างอย่าง โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ตั้งแต่เกิด ซึ่งเค้าผู้นี้คือบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สามารถรวบรวมประเทศญี่ปุ่นได้ และการสร้างปราสาทโอซาก้าเองก็เสมือนเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่ของเขา โดยนิทรรศการก็มาพร้อมทั้งมีโบราณวัตถุมากกว่า 10,000 ชิ้น จัดแสดงให้ได้ชมกัน ใครที่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์บอกเลยว่าต้องชอบอย่างแน่นอน
เมื่อเราเดินเที่ยวด้านใน ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมมาเดินเล่นสวนบริเวณรอบๆ ปราสาทด้วยนะ พื้นที่เค้าทำเป็นกึ่งส่วนสาธารณะที่มีต้นไม้หลายต้นแผ่กิ่งก้านให้ความร่มรื่นสุดๆ บรรยากาศคือโคตรดี มีทั้งเก้าอี้ให้คนได้มาพักผ่อน มีกำแพงรอบปราสาทที่เราสามารถปีนขึ้นไปดูวิวเมืองได้อีกด้วย
สำหรับคนที่อยากได้รูปมุม ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) สวยๆ อีกซักมุม ก๊อตแนะนำให้เราเดินขึ้นมาทางทิศเหนือผ่าน สะพานโกคุระคุบาชิ (Gokuraku-bashi Bridge) แล้วเดินมาทางซ้าย เราจะเจอกับทางเดินยาวๆ ซึ่งระหว่างทางจะมีมุมที่เห็นปราสาทได้เด่นชัด มาพร้อมกับเรือที่ล่องมาในคูคลองรอบปราสาท ถือเป็นภาพที่สวย หรือถ้าใครจะถ่ายรูปคู่กับปราสาทก็ถือเป็นอีกมุมที่น่ารักไม่เบา ฮ่าๆ
ส่วนตัวก๊อตคิดว่าใครที่อยากมาดื่มด่ำกับความเก่าแก่ของ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของโอซาก้า อีกทั้งยังช่วยให้เราได้เข้าใจถึงที่มาและบทบาทของเมืองที่มีต่อประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นไปในตัวนั้นห้ามพลาดที่นี่เล้ยย
ย่านอูเมดะ (Umeda)
ย่านอูเมดะ (Umeda) อีกหนึ่งย่านธุรกิจดังที่น่าสนใจในเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่ส่วนตัวก๊อตคิดว่าขาช้อปทั้งหลายมาแล้วจะได้เฉิดฉายและใช้จ่ายกันสะบัดเว่อร์ เพราะที่นี่มีห้างสรรพสินค้ามากถึง 6 แห่ง และยังมีแหล่งช้อปปิ้ง ร้านขายสินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และสินค้าเบ็ดเตล็ด ซึ่งแต่ละร้านนั้นต่างก็เป็นร้านสาขาใหญ่ที่มากระจุกตัวรวมกันอยู่ใน ย่านอูเมดะ (Umeda) แห่งนี้ โดยเราสามารถเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายๆ ด้วยการเดินทางที่สุดแสนจะสะดวกสบายของขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเค้าเลย
นอกจากร้านรวงทั้งหลายแล้ว ย่านอูเมดะ (Umeda) ยังเป็นแหล่งรวมช็อปเกมจากค่ายดังๆ เอาไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็น Nintendo, Pokemon หรือค่ายเกมอย่าง CAPCOM ที่ใครอยากมาตามหาของเด็ดแรร์ไอเทมทั้งหลายที่หาจากที่ไหนไม่ได้ เรียนเชิญมาเที่ยวย่านนี้ได้เลย
ห้างเฮปไฟฟ์ (HEP FIVE)
ด้วยความที่เรายังเดินเที่ยวอยู่ย่านอูเมดะ ที่ขึ้นชื่อเรื่องห้างและแหล่งช้อปปิ้ง แน่นอนว่าเราจะไม่มา ห้างเฮปไฟฟ์ (HEP FIVE) สุดฮิปใจกลางย่านอูเมดะ (Umeda) ไม่ได้ ที่นี่มีทั้งหมด 9 ชั้น โดยคำว่า “HEP” ย่อมาจาก “Hankyu Entertainment Park” ซึ่งภายในห้างนั้นมีร้านอาหาร ร้านของเล่น ร้านแนวเอนเตอร์เทนเมนท์ และร้านเสื้อผ้าให้เราได้มาช้อปกันตั้งแต่ชั้น B1 ไปจนถึงชั้น 6 และมีมากกว่า 100 ร้านค้าเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเดินช้อปกันจนขาลากของจริง
นอกจากนี้ ห้างเฮปไฟฟ์ (HEP FIVE) ยังมีโซนสวนสนุกในบริเวณชั้น B2 ชั้น 8 และ 9 แต่ที่ป๊อบสุดของเค้าเลยเห็นจะเป็น Joypolis สวนสนุกในร่มที่มีเกมจำลองและเกมอาร์เคดอยู่เยอะม๊ากก เวลาเดินผ่านบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของผู้คน รวมถึงเสียงเอฟเฟกต์และเสียงแอคชั่นของเกมต่างๆ ดังออกมาให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าใครอยากมาคีบตุ๊กตา เล่นเกมเบาๆ ไม่เน้นเข้าสวนสนุก ก๊อตแนะนำให้ขึ้นมาชั้น 8 ในโซน BANDAI NAMCO Cross Store ซึ่งจะเป็นโซนที่เค้ารวมเกม ตู้กดตุ๊กตา และมีของเกี่ยวกับการ์ตูนอยู่เยอะมากอีกด้วย คือนี่เดินเข้ามาในนี้แล้วเหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกเลย บรรยากาศเหมือนเป็นโลกของคนรักเกม ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็รายล้อมไปด้วยสารพัดเกม ซึ่งในบางมุมก็มีโต๊ะให้คนมานั่งเล่นเกมการ์ดเกมด้วยกันอีกด้วย นี่ว่าคอเกมก็คงชอบชั้นนี้กันไม่น้อยเลย
ยังไม่หมดเท่านั้น ในชั้น 9 ยังมีโซน Eggnam ที่เป็นเหมือนศูนย์รวมวัยรุ่นและนักเรียนมัธยมของญี่ปุ่นขนานแท้ เพราะบรรยากาศบนนี้เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากชั้น 8 ที่เราเพิ่งขึ้นมาเลย มันมีความคิกขุอาโนเนะด้วยตู้ถ่ายรูปมากมายที่ตั้งเรียงรายให้เราได้มาใช้บริการ โดยแต่ละตู้นั้นเหมือนพาเราย้อนวัยกลับไปในยุค 90 อีกครั้ง ด้วยความที่ตู้ถ่ายรูปของเค้ามันคล้ายๆ กับตู้ Purikura ที่เราชอบไปถ่ายกันในสมัยก่อน ซึ่งความเริ่ดของตู้แบบนี้คือเราสามารถถ่ายแล้วแต่งรูป ใส่สติ้กเกอร์ ปรับเปลี่ยนทรงผม หรือแม้แต่ขีดเขียนวาดลงไปบนเฟรมของรูปได้เลย คืออยากได้แบบไหนก็สามารถเนรมิตและเสกได้ด้วยปลายนิ้วนั่นเอง และถ้าใครที่มาแล้วแต่รู้สึกว่าหน้าผมยังไม่เป๊ะ บนนี้เค้าโซนแต่งตัว แต่งหน้าให้เราเข้าไปใช้บริการก่อนมาถ่ายรูปด้วยนา ใครอยากถ่ายรูปกับตู้สติ้กเกอร์สุดกิ๊บเก๋เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกมาลองดูกันได้
ชิงช้าสวรรค์เฮปไฟฟ์ (HEP FIVE Ferris Wheel)
เดินเล่นในห้างจนหนำใจแล้ว ให้ทุกคนมองหาลิฟต์สักตัว แล้วกดไปที่ชั้น 7 ของห้างต่อได้เลย พอประตูลิฟต์เปิดปุ๊บเราจะเห็นทางเดินไปสู่ ชิงช้าสวรรค์เฮปไฟฟ์ (HEP FIVE Ferris Wheel) ชิงช้าสวรรค์ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่บนลานเอาท์ดอร์ของห้าง ซึ่งการได้ขึ้นมานั่งบนชิงช้าสวรรค์นี้ เค้าเป็นเหมือนอีกลิสต์หนึ่งที่เราต้องทำเมื่อมาเที่ยวเมืองโอซาก้าเลยนะ โดยค่าขึ้นชิงช้าสวรรค์อยู่ที่คนละ 1,000 เยน (~250 บาท) ถ้าใครที่ถือ Osaka Amazing Pass แบบก๊อตนั้น เราสามารถยื่นพาสแล้วเข้าได้เลย
ว่าแล้วเราก็ขึ้นไปยัง ชิงช้าสวรรค์เฮปไฟฟ์ (HEP FIVE Ferris Wheel) หน้าตาเหมือนแคปซูลสีแดงอันนี้แหละ ที่จะพาเราหมุนขึ้นไปยังจุดสูงสุดที่เราจะได้เพลิดเพลินไปกับวิวเมืองโอซาก้าแบบสวยม๊ากก และหากใครมาลองขึ้นทั้งช่วงกลางวัน และกลางคืนดูแล้ว ก๊อตจะบอกเลยว่าทั้งสองเวลานั้นให้มู้ดและบรรยากาศของวิวที่แตกต่างกันอีกด้วย ใครชอบวิวเมืองคลีนๆ สบายตาก็มาขึ้นตอนกลางวัน ใครอยากมานั่งดูสันสีนของแสงไฟภายในเมืองก็มาขึ้นช่วงกลางคืนนา
แต่ส่วนตัวก๊อตจริงๆ แนะนำให้มาขึ้นชิงช้าสวรรค์กันช่วงเย็นๆ ไปจนถึงช่วงพระอาทิตย์ตก เพราะเราจะได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของแสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องกระทบไปตามแนวตึกให้อารมณ์ที่ดูสงบและอบอุ่นละมุน ก่อนที่แสงเหล่านั้นจะค่อยๆ ลาลับหายไปและถูกทดแทนเข้ามาด้วยแสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง โดยระยะเวลาทั้งหมดที่เราอยู่บนชิงช้าสวรรค์ที่หมุนวนอยู่หนึ่งรอบจะใช้เวลานั่งประมาณ 20 นาที ซึ่งนี่ว่าเวลากำลังดีเลยเพราะเราได้มีช่วงปล่อยใจจอยๆ ไปกับวิวเมืองโอซาก้าจากมุมสูงบนนี้ได้แบบฉ่ำใจสุดๆ
เผื่อใครที่ดูจากระยะสายตาแล้วเห็นว่า เอ้อ มันก็ไม่ได้สูงอะไรเลยนี่นา ก๊อตขอเถียงขาดใจเพราะพอขึ้นมาบนนี้จริงๆ แล้วจังหวะที่กระเช้าที่เรานั่งอยู่เค้าหมุนขึ้นไปจนถึงจุดสูงที่สุด มันหวาดเสียวและสูงม๊ากกก แต่ยังดีที่ได้วิวเมืองสวยๆ มาช่วยปลอบใจความระทึกนี้ให้ลดลงไปได้ ฮ่าๆ เอาเป็นว่าใครที่มาเที่ยวโอซาก้ากับแฟนแล้วอยากมานั่งดูวิวเมืองมุมสูงท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกจัดๆ ให้ลองมาขึ้น ชิงช้าสวรรค์เฮปไฟฟ์ (HEP FIVE Ferris Wheel) ได้เลย รับรองไม่มีผิดหวังแน่นอน เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยเชียว
ห้างไดมารู อูเมดะ (Daimaru Umeda Store)
อีกหนึ่งห้างสรรพสินค้าในย่านอูเมดะ (Umeda) ที่ต้องมาให้ได้เลย คือ ห้างไดมารูอูเมดะ (Daimaru Umeda Store) ที่ภายในนั้นมีให้เรามาเดินกิน ช้อป เที่ยวกันถึง 15 ชั้น โดยตัวห้างเค้าเป็นตึกขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อโดยตรงกับสถานีรถไฟ JR Osaka ดังนั้น ใครจะมาเดินเที่ยวที่นี่สามารถนั่งรถไฟมาลงแล้วเดินเชื่อมเข้าห้างได้เลย สะดวกสบายสุดๆ
ความพิเศษของ ห้างไดมารูอูเมดะ (Daimaru Umeda Store) คือ ใครที่เป็นคอเกม และแฟนๆ อนิเมะดังของญี่ปุ่น ก๊อตแนะนำให้พุ่งตัวขึ้นมาที่ชั้น 13 โดยชั้นนี้เค้ามีช็อปของ ONE PIECE Straw Store ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่ขายกันจะอิงมาจากอนิเมะทั้งหมด ซึ่งใครที่เพิ่งมาติดตามวันพีชจากซีรีส์เวอร์ชันคนเหมือนก๊อตนั้น อาจจะต้องอกหักสักหน่อย เพราะสารพัดของปุ๊กปิ๊กที่ขายอยู่ล้วนถอดแบบออกมาจากมังงะอย่างเดียวนะเออ
แต่อย่าเพิ่งเสียใจไป เพราะเค้ายังมี Capcom Store & Cafe Umeda ช็อปลูกผสมระหว่างโซนขายสินค้าจากตัวละครของ CAPCOM ทั้งสตรีทไฟเตอร์ และเกมอื่นๆ ที่ยกขบวนกันมาหมดทั้งฟิกเกอร์ แผ่นเกม และของที่ระลึก แต่ที่เห็นสะดุดตามาแต่ไกลเลยคือมุมสินค้าจาก Monster Hunter World หนึ่งในเกมที่ขายดีที่สุดของค่าย CAPCOM ตั้งแต่เคยพัฒนาเกมมา ซึ่งเค้ามีทั้งเสื้อ ของใช้ พวงกุญแจ และอื่นๆ วางขายอีกเพียบ นอกจากนี้ยังมีโซนคาเฟ่ที่พัฒนาเมนูมาจากตัวละครท่ามกลางบรรยากาศเหมือนพาเราหลุดเข้าไปสู่โลกของ CAPCOM เลย
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ยังไม่หมดเท่านั้น ใครที่ชื่นชอบรถต่างๆ ชั้นนี้เค้ายังมีช็อป Tomica Shop แหล่งรวมโมเดลรถ และของเล่นสำหรับเด็กๆ ที่ข้างในนั้นเต็มไปด้วยรถจำลองเกือบทุกประเภทบนโลกใบนี้ ทั้งรถญี่ปุ่น รถยุโรป รถบรรทุกต่างๆ รวมไปถึงรถจากการ์ตูน ที่ใครชอบสะสมโมเดลรถ หรือพาเด็กๆ มาเที่ยวด้วย ก๊อตว่าเข้ามาช็อปนี้มีล้มละลาย เพราะรถแต่ละคันนั้นน่ารักมาก ทำออกมาได้สมจริงในเวอร์ชันย่อส่วนที่เห็นแล้วอยากหยิบลงตะกร้าไปจ่ายเงินให้หมด 5555555
นอกจากช็อปที่ก๊อตพาไปส่องมาทั้งหมดแล้ว บนชั้น 13 ยังเป็นที่ตั้งของ Pokémon Center Osaka และ Nintendo Osaka ซึ่งเป็นสโตร์ขายของลิขสิทธิ์แท้ของเค้า เอาเป็นว่าใครที่อยากมากิน เที่ยว ช้อป ห้างไดมารูอูเมดะ (Daimaru Umeda Store) เป็นอีกหนึ่งห้างในย่านนี้ที่ควรมา ยิ่งคอเกมทั้งหลายด้วยแล้ว ก๊อตบอกเลยว่าพลาดไม่ได้จริงๆ
โปเกม่อน เซ็นเตอร์ (Pokémon Center Osaka)
สำหรับ โปเกม่อน เซ็นเตอร์ (Pokémon Center Osaka) บนชั้น 13 ของ ห้างไดมารูอูเมดะ (Daimaru Umeda Store) ถือเป็นดั่งสวรรค์บนดินของคนรักโปเกมอนที่อยากมาตามเก็บคอลเลกชันลิขสิทธิ์ต่างๆ ของเหล่าตัวโปเกมอน ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา โมเดล ฟิกเกอร์ การ์ดเกม และของปุ๊กปิ๊ก รวมไปถึงการ์ดแรร์อีกมากมายต้องมาเยือน ก๊อตบอกเลยว่ามาที่นี่แล้วเกียมล้มละลายได้เลย เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไป เราจะอยากได้แทบทุกอย่างที่อยู่ในนั้นจนอยากยกเอา โปเกม่อน เซ็นเตอร์ (Pokémon Center Osaka) กลับไปที่ไทยด้วย 55555
โดยโปเกมอนนั้น ถือว่าเป็นเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีผู้ติดตามและโด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นและทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งในญี่ปุ่นเองก็มี Pokémon Center เค้ามีหลายสาขาเลย อย่าง Pokémon Center DX Tokyo ที่ถือเป็น Pokémon Center ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่ที่เรามากันนั้น คือ โปเกม่อน เซ็นเตอร์ (Pokémon Center Osaka) ที่โอซาก้านั่นเอง โดยเค้าตั้งอยู่ที่ชั้น 13 บนห้าง Daimaru Umeda Store ตรงแถวๆ อูเมดะ ก๊อตบอกเลยว่าที่นี่แม้จะใหญ่ไม่เท่าที่โตเกียว แต่ของที่มีขายนั้นก็ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้กัน
บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยสินค้าลิขสิทธิ์แท้จากโปเกมอนอยู่เยอะม๊าก ไม่ว่าจะเป็นกล่องสุ่ม ตุ๊กตาพวงกุญแจ โมเดลตุ๊กตา และฟิกเกอร์ ที่มีทุกตัวละครให้ได้เลือกซื้อทั้งฝั่งตัวละครคนอย่างซาโตชิ, เซเรน่า หรือจะเป็นคาสึมิ ไปจนถึงฝั่งของโปเกมอนที่มีทั้งปิกาจู, เซนิกาเมะ, ลิซาโดะ หรือจะเป็นลิซาด้อน และผองเพื่อนทั้งหลายอีกเยอะมาก
ซึ่งก๊อตเองก็เดินช้อปกันจนกระเป๋าแฟบ คือของเค้ามีตั้งแต่สินค้าน่ารักปุ๊กปิ๊ก ไปจนถึงของแรร์ไอเท็มให้ได้ช้อปกัน เรียกได้ว่า โปเกม่อน เซ็นเตอร์ (Pokémon Center Osaka) เป็นเหมือนแหล่งรวมของเกี่ยวกับโปเกมอน ที่หากใครหาจากที่อื่นไม่ได้แล้วนั้น ให้ลองมาที่นี่ก่อนได้เลย ก๊อตว่าสินค้าเค้าครบม๊าก แต่แอบเตือนไว้ก่อนเลยว่าใครที่เป็นแฟนๆ ของโปเกมอน เกียมกำเงินในกระเป๋าเอาไว้ให้ดี เพราะมาที่ โปเกม่อน เซ็นเตอร์ (Pokémon Center Osaka) เราอาจจะล้มละลายก็เป็นได้ แฟนๆ โปเกมอนอย่าลืมมากันนา
นินเทนโด โอซาก้า (Nintendo Osaka)
เรายังคงอยู่บนชั้น 13 ของ ห้างไดมารูอูเมดะ (Daimaru Umeda Store) กันต่อ โดยช็อปต่อไปที่เรามากันคือ นินเทนโด โอซาก้า (Nintendo Osaka) สโตร์ที่รวบรวมเอาสินค้าจากเหล่าคาแรกเตอร์ในเกมดังๆ ของนินเทนโดมาวางขายให้ได้ช้อปกันแบบละลานตาสุด ไม่ว่าจะเป็น Mario, Legend of Zelda, Animal Crossing, Splatoon ที่เค้าขนมาให้เราละลายทรัพย์กันตั้งแต่ตุ๊กตา โมเดล ฟิกเกอร์ ไปจนถึงของน่ารักๆ สารพัดสิ่งที่ล้วนแล้วแต่เป็นลวดลายลิขสิทธิ์แท้จากนินเทนโดทั้งนั้นเลย
โดย นินเทนโด โอซาก้า (Nintendo Osaka) คือร้านขายสินค้าปลีกของ Nintendo ที่เพิ่งเปิดตัวกันไปเมื่อ 11 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งที่นี่ถือเป็นเป็นร้านค้าอย่างเป็นทางการแห่งที่ 2 ต่อจาก “Nintendo Tokyo” ในชิบุยะที่โตเกียวเลย นอกเหนือจากการจำหน่ายเกมคอนโซล ซอฟต์แวร์ และสินค้าตัวละครจากเกมดังอย่าง Mario, Legend of Zelda, Animal Crossing, Splatoon, Pikmin, Kirby of the Stars และ Fire emblem แล้ว นินเทนโด โอซาก้า (Nintendo Osaka) เค้ายังตั้งใจให้เป็นเหมือนศูนย์กลางที่ให้แฟนๆ และลูกค้าของนินเทนโดได้เข้ามาเพลิดเพลินไปบนพื้นที่ที่พวกเค้าจะได้สัมผัสไปกับประสบการณ์เล่นเกมต่างๆ รวมอยู่ด้วย เราเลยจะเห็นว่าถายในร้านเค้ามีมุมให้สาวกนินเทนโดมาทดลองเล่นเกมประลองฝีมือกันอีกด้วย
สำหรับ นินเทนโด โอซาก้า (Nintendo Osaka) นั้นหาไม่ยากเลย ด้วยร้านที่โดดเด่นด้วยโทนสีแดง-ขาว และเปิดไฟสว่างคลีนๆ เต็มไปด้วยเหล่าตัวละครป๊อบๆ ในเกมต่างๆ ของเค้า ไม่ว่าจะเป็น Super Mario, Splatoon, Animal Crossing, The Legend of Zelda, Kirby of the Stars, Splatoon, Fire emblem และ Pikmin ที่มีสินค้าให้เราเลือกซื้อมากกว่า 2,000 รายการ
สินค้าที่เค้าวางขายนั้น มีกันตั้งแต่ตุ๊กตาหลากหลายขนาด โมเดลของตัวการ์ตูนเกม และเหล่าฟิกเกอร์น่ารักๆ หรือจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน ของตกแต่งปุ๊กปิ๊กก็มีวางขาย เยอะจนเลือกกันไม่ไหวเลยแหละ ซึ่งที่ก๊อตชอบเลย คือบริเวณใจกลางของสโตร์ เค้าจะมุมแท่นสำหรับวางสินค้าตามแต่ละเกมต่างๆ โดยตรงกลางของแท่นจะมีรูปปั้นคาแรกเตอร์หลักของเรื่องนั้นๆ ยืนเก็กท่าทางเหมือนในเกมตั้งอยู่ด้วย คือแค่ได้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ ยังไม่ทันจะได้ซื้ออะไรกันจริงจัง แค่นี้ก็ใจฟูกันมากแล้ว และยิ่งได้เดินส่องของไปเรื่อยๆ นะ ก๊อตบอกเลยว่าแฟนๆ เกมจากนินเทนโดที่ใจไม่แข็งพอ เข้ามา นินเทนโด โอซาก้า (Nintendo Osaka) มีล้มละลายแน่นอน ก๊อตเตือนแล้วนะ 555555
ตึกอูเมดะ สกาย (Umeda Sky Building)
ใครที่เคยเห็นภาพของอุโมงค์บันไดเลื่อนที่ยาวม๊ากกๆ ของโอซาก้าแล้วล่ะก็ ไม่มีที่ไหนแล้วนอกจาก ตึกอูเมดะ สกาย (Umeda Sky Building) โดยที่นี่นอกจากจะป๊อบเรื่องอุโมงค์บันไดเลื่อนที่หลายคนชอบมาถ่ายรูปลงโซเชียลแล้ว เค้ายังมีจุดชมวิว Kuchu Teien Observatory ที่เราสามารถดูวิวสกายไลน์เมืองโอซาก้าได้สวยและเลอค่ามากๆ ด้วยวิวมุมสูง 360 องศาแบบที่ไม่มีอะไรมาบดบังวิวให้กวนใจ ใครที่เป็นสายดูวิวเมืองและได้มาเยือนโอซาก้า ก๊อตบอกเลยว่าห้ามพลาด
โดย ตึกอูเมดะ สกาย (Umeda Sky Building) เป็นอาคารที่สูงที่สุดอันดับที่ 19 ในโอซาก้า และเป็นอีกหนึ่งอาคารที่โ่ด่งดังมากที่สุดของเมือง ด้วยดีไซน์อาคาร 2 หลัง สูง 40 ชั้น หรือราวๆ 173 เมตร ออกแบบโดยฮิโรชิ ฮาระ (Hiroshi Hara) ที่เคยออกแบบสนามบินซัปโปโร ชิโตเซ (Sapporo Chitose Airport) มาแล้ว โดยตึกนี้นั้นถูกสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 ก่อนจะแล้วเสร็จจริงๆ ในปี ค.ศ. 1993 ตัวอาคารทั้งสองหลังนั้นถูกเชื่อมต่อกันจุดชมวิวที่เค้าสร้างพาดเชื่อมต่อระหว่างสองตึกเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีบันไดเลื่อนพาดผ่านอีกด้วย
สำหรับจุดที่เราจะขึ้นไปดูวิวสกายไลน์เมืองโอซาก้ากันนั้น เค้าจะอยู่ที่บริเวณจุดชมวิวชั้น 39, 40 และชั้นดาดฟ้า โดยวิธีการขึ้นไปเราจะต้องผ่านอุโมงค์บันไดเลื่อน ซึ่งเป็นมุมโคตรป๊อบในไอจีที่นักท่องเที่ยวเค้าชอบมาสแน็ปภาพยืนเก๋ๆ บนบันไดเลื่อนที่กำลังเคลื่อนตัวขึ้นสู่ตึกสูง โดยมีฉากหลังเป็นวิวเมืองด้านล่างของโอซาก้ากันแบบพรึ่บพรั่บ ใครที่ตั้งใจจะมาถ่ายแค่บันไดเลื่อนนั้นไม่ต้องซื้อตั๋วนา เราสามารถขึ้นมาถ่ายได้เลย แต่ถ้าใครจะขึ้นไปดูวิวบนจุดชมวิวด้วยนั้น เราจะต้องเสียเงินซื้อตั๋วเพิ่มเติมเพื่อเข้าไปยังจุดชมวิวนะ
คนที่อยากมาดื่มด่ำกับวิวสกายไลน์เมืองโอซาก้าแบบพาโนราม่า 360 องศา โดยไม่มีอะไรกีดขวางนั้น ก๊อตแนะนำให้เราเข้ามายัง จุดชมวิว Kuchu Teien Observatory ด้านในต่อได้เลย โดยเค้าจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ โซนแบบอินดอร์ภายในชั้น 39 และโซนแบบเอาท์ดอร์บริเวณบนชั้น 40 โดยก๊อตจะพาทุกคนค่อยๆ เดินไล่ดูไปทีละส่วนนา เริ่มจากโซนอินดอร์ชั้น 39 ที่กิ๊บเก๋ด้วยดีไซน์ของตึกที่มีช่องกระจกสี่เหลี่ยมใสๆ ให้เราได้มายืนมองออกไปดูวิวของเมืองโอซาก้าที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและแม่น้ำโยโดะ (Yodo River) โดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีสดใส ซึ่งเมืองโอซาก้าเองถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่วิวสวยเอาเรื่องโคตรๆ
ส่วนใครที่ขึ้นมาถึงตรงนี้แล้วคอแห้งอยากหาเครื่องดื่มจิบเบาๆ ให้ชุ่มคอ ที่ชั้นนี้เค้ามีคาเฟ่น่ารักๆ ให้บริการอยู่ด้วย โดยเราสามารถไปสั่งเครื่องดื่มแล้วเอามานั่งดื่มตรงโต๊ะและเก้าอี้ที่เค้าจัดวางไว้ในบริเวณรอบๆ ได้เลย โดยวิวตรงนี้ก็สวยหลักล้านอยู่ เพราะเราสามารถนั่งกินกาแฟเข้มๆ สักแก้วท่ามกลางวิวเมืองโอซาก้า คือดีมากบอกเลย
สำหรับจุดชมวิวโซนที่ 2 เค้าจะอยู่บนชั้น 40 ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นเอาท์ดอร์ทั้งหมด โดยด้านบนเค้าจะมีจุดชมวิวที่ชื่อ The Floating Garden Observatory ให้เราได้มาดูวิวสกายไลน์เมืองแบบเต็มสายตาของจริงกันต่อ ซึ่งวิวตรงชั้น 39 ว่าปังแล้ววิวบนนี้มันสวยจึ้งกว่ามาก ด้วยความที่บนดาดฟ้าเค้าเป็นแบบโอเพ่นแอร์ เราก็จะได้เดินส่องวิวเคล้าคลอไปกับสายลมเย็นๆ มู้ดตอนนั้นเหมือนก๊อตได้ขึ้นมาดื่มด่ำไปกับผลงานศิลปะที่ประมูลมูลค่าไม่ได้เลยจริงๆ
⚡️ใครมาเที่ยวกับครอบครัว หรือมากับแฟน ก่อนเดินขึ้นไปถึงดาดฟ้าบนชั้น 40 อย่าลืมมองหาจุดคล้องแม่กุญแจบริเวณระเบียงที่ยื่นออกไปหาวิวเมืองโอซาก้าที่เค้าจัดไว้ด้วยนา โดยเราสามารถแวะซื้อแม่กุญแจที่ขายอยู่ตรงชั้น 39 ติดไม้ติดมือขึ้นมาด้วยได้ ทีนี้ก็เอามาเขียนชื่อใส่แล้วคล้องโลด เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมบนนี้ที่โรแมนติกมากๆ เลย
ใครอยากดูวิวมุมสูงของเมืองโอซาก้าแบบ 360 องศาโดยไม่มีอะไรมาบดบัง การได้ขึ้นมาดูวิวบนตึกอูเมดะ สกาย (Umeda Sky Building) ก๊อตบอกเลยว่ามันคอมพลีทที่สุดแล้ว เพราะนอกจากวิวสวยๆ ที่เราจะได้ดื่มด่ำกันจนหนำใจ รูทท็อปด้านบนของเค้าก็บรรยากาศดี แถมยังมีมุมอุโมงค์บันไดเลื่อนที่ถ่ายรูปสวยมากอยู่ด้วย เป็นอีกหนึ่งจุดที่เที่ยวในเมืองโอซาก้าที่ก๊อตอยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสกันจริงๆ
พิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่โอซาก้า (Osaka Museum of Housing and Living)
พิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่โอซาก้า (Osaka Museum of Housing and Living) พิพิธภัณฑ์สุดเก๋ด้วยผลงานที่เหมือนพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสู่เมืองโอซาก้าในยุคสมัยเอโดะของญี่ปุ่น (ประมาณ 400 กว่าปีที่แล้ว) ที่ก๊อตอยากชวนให้ทุกคนได้มาตามรอยกัน ทั้งผลงานจัดแสดงที่เค้าจำลองเมืองมาตั้งเอาไว้ให้เราได้เดินชมกันแบบหนำใจให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในยุคนั้นจริงๆ อีกทั้งยังมีโมเดลจำลองวิถีชีวิตของคนโอซาก้าที่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของเมืองตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย เรียกได้ว่าเค้าเป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ใครอินกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือชื่นชอบเมืองโอซาก้าแล้วอยากเที่ยวแบบเข้าถึงแก่นสารเมืองเค้าจริงๆ ควรค่าแก่การมาเที่ยวที่สุด
สำหรับ พิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่โอซาก้า (Osaka Museum of Housing and Living) ตั้งอยู่ภายในอาคารศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยเทศบาลโอซาก้า (Housing Information Center) บนชั้น 8-10 ของเมืองโอซาก้า (Osaka) โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเรื่องราวของการอยู่อาศัยและการเติบโตของเมืองโอซาก้าผ่านการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวโอซาก้าตั้งแต่สมัยเอโดะ (ค.ศ. 1830) จนถึงยุคก่อนและหลังสงคราม (ค.ศ. 1940) ซึ่งเค้าต้องการกระตุ้นให้ผู้คนที่มาเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์นั้นได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเมืองผ่านการจัดแสดงต่างๆ ทั้ง โมเดลวิถีชีวิตของผู้คนในเมือง การจำลองบ้านเรือนขนาดเท่าของจริง รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ตกแต่งที่คนในสมัยนั้นเค้าใช้งานกันจริงๆ ซึ่งทั้งหมดนี้มันช่วยทำให้คนมาเที่ยวนั้นได้รู้สึกใกล้ชิดไปกับห้วงเวลาแห่งอดีตของเมืองโอซาก้ามากขึ้นนั่นเอง
ใครที่มาถึงอาคาร Housing Information Center แล้ว ให้เรากดลิฟต์ขึ้นมายังพิพิธภัณฑ์ด้านบนได้เลย โดยชั้น 8 ที่ถือเป็นชั้นแรกของพิพิธภัณฑ์ นั้น เป็นโซน “New Osaka” – A Panoramic Excursion Through Modern Osaka ที่เค้าทำเป็นโมเดลจำลองบ้านเรือนญี่ปุ่นในสมัยเอโดะที่ถูกจัดแสดงเอาไว้ให้เราได้มาเดินส่องและสำรวจผ่านกระจกใส นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ต่างๆ ที่ล้วนแต่เป็นของเก่าแก่จัดแสดงเอาไว้ให้ได้ดูกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย โดยส่วนตัวก๊อตคิดว่าชั้นนี้เค้าช่วยให้เราได้เห็นเรื่องราวความเป็นมาของโอซาก้าเลยว่า เค้าพัฒนามาในรูปแบบไหน รวมถึงการผ่านร้อนผ่านหนาวมายังไงบ้าง อันนี้ก๊อตแนะนำให้เราไปดูและเข้าชมกันได้เลย รับรองว่าต้องชอบแน่นอน
ขึ้นบันไดเลื่อนมาต่อกันที่ชั้น 9 อย่าง “Old Osaka” – Four Seasons with the Townspeople of Naniwa โซนไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ที่เค้าจำลองตรอกซอกซอยรายล้อมไปด้วยบ้านเรือน ร้านขายของ ห้องอาบน้ำสาธารณะ และอาคารต่างๆ เมื่อ 400 กว่าปีก่อนในยุคสมัยเอโดะของญี่ปุ่น โดยความพีคคือทั้งหมดที่เราเห็นในชั้นนี้เค้าจำลองให้มีขนาดเท่ากับของจริงเลย เวลาเราเดินสำรวจเลยให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นคนญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ที่ได้ย้อนยุคกลับมายืนอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนในอดีตของเมืองโอซาก้าจริงๆ และที่ก๊อตชอบมากเลยก็คือลูกเล่นที่เค้าเปลี่ยนแสงสีของบรรยากาศโดยรอบให้เป็นทั้งตอนกลางวันและกลางคืนสลับไปมาได้ด้วย อันนี้คือเจ๋งจริงแกร๊ ซึ่งใครที่อินกับบรรยากาศมากๆ สามารถเช่าชุดยูกาตะมาถ่ายรูปสวยๆ ได้ด้วยนะ ราคาเค้าเบาๆ เพียงแค่ 200 เยน (~50 บาท) เท่านั้น
สำหรับชั้นชั้น 10 อย่าง Observatory บนนี้เค้าจะเป็นเหมือนชั้นลอยออกมาให้เราได้เห็นภาพมุมสูงของชั้น 9 ที่ปกคลุมไปด้วยหลังคาของบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายติดกันอยู่ตามซอกซอยต่างๆ รวมไปถึงยังเป็นจุดที่เราสามารถขึ้นมาดูพวกระบบส่องไฟของเค้าที่ก๊อตบอกว่ามันสามารถปรับเป็นช่วงกลางวันและกลางคืนได้
สำหรับใครที่อยากมาตามรอยกันนั้น ก๊อตแนะนำให้เผื่อเวลาอยู่ในนี้สักหน่อย ยิ่งสายคอนเทนต์ชอบถ่ายรูปนะ ตรงชั้น 9 เนี่ยเค้าจะดึงดูดเวลาจากเราไปได้เยอะมาก ยังไงลองแพลนและดูเวลามากันก่อนก็ได้นา แต่แนะนำเลยว่าต้องมา บรรยากาศข้างในเค้าสมจริงมาก ถึงแม้ว่า 400 ปีก่อนของจริงจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ที่เห็นจัดแสดงอยู่ก็ทำได้ดีและเหมือนเราได้ย้อนอดีตไปด้วยจริงๆ เลย
teamLab Botanical Garden Osaka
teamLab Botanical Garden Osaka ใครเป็นสายอาร์ตมาเที่ยวโอซาก้าต้องปักหมุดมาที่นี่เลย เพราะเค้าคือ นิทรรศการศิลปะในรูปแบบ Immersive Art ที่จัดแบบเอาท์ดอร์ภายในสวนพฤกษศาสตร์ที่ก๊อตบอกเลยว่าเริ่ดไม่แพ้ที่ teamLab Planets TOKYO ในโตเกียวเลยแหละ โดยความเก๋ของที่นี่นั้นจะเป็นงานที่จัดเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น บอกเลยว่าแสง สี เสียงจัดเต็มสุด แถมคอนเซ็ปต์ที่เค้าอิงศิลปะเข้ากับธรรมชาติก็ผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ออกมาเป็นผลงานโคตรล้ำที่ชวนตื่นตาตื่นใจแบบสุดๆ
โดย teamLab Botanical Garden Osaka ถูกรังสรรค์ขึ้นจากทีม TeamLab จัดแสดงอยู่ภายใน สวนพฤกษศาสตร์นากาอิ (Nagai Botanical Garden) โดยมีแนวคิดที่ต่างออกไปจากเมืองอื่น ที่ต้องการให้คนได้สำรวจว่าธรรมชาติและงานศิลปะแบบควบคู่กันได้อย่างไรโดยที่เราและผู้จัดนั้นไม่ต้องไปทำลายธรรมชาตินั่นเอง ซึ่งสวนพฤกษศาสตร์นากาอิ (Nagai Botanical Garden) เค้าคือสวนสาธารณะที่เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1944 ในฐานะสวนสาธารณะในเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโอซาก้า โดยมีทะเลสาบขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางของสวน รายล้อมไปด้วยพืชพรรณที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลตลอดทั้งปี และในปัจจุบันนี้สวนแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของนกป่าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น นกเหยี่ยวและนกฮูก ซึ่งถือได้ว่าเป็นนกที่อาศัยอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร แสดงให้เห็นว่า สวนพฤกษศาสตร์นากาอิ (Nagai Botanical Garden) นั้นแม้จะเกิดขึ้นมาจากฝีมือของมนุษย์ แต่ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติที่ทั้งคนและสัตว์สามารถมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
จากความอุดมสมบูรณ์ของ สวนพฤกษศาสตร์นากาอิ (Nagai Botanical Garden) นี้เองนำมาสู่งาน teamLab Botanical Garden Osaka นิทรรศการที่ได้รับอิทธิพลมาจากต้นไม้และนกที่อาศัยอยู่ภายในสวน โดยภายในเค้าจัดแสดงออกเป็นทั้งหมด 14 โซน ซึ่งแต่ละโซนนั้นจะเป็นเส้นทางเดินเชื่อมต่อกันไปเรื่อยๆ อยู่ภายในสวน โดยทางทีมงาน teamLab ตั้งใจให้เห็นภาพว่าหากธรรมชาติของสวนยั่งยืนผลงานศิลปะที่จัดแสดงอยู่ภายในก็จะยั่งยืนควบคู่กันไปด้วย แต่หากวันหนึ่งที่สัตว์ป่าและต้นไม้หายไปนั้น งานศิลปะเหล่านี้ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน ราวกับว่าทั้งสองสิ่งต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน แยกกันไม่ได้นั่นเอง โดยการดำรงอยู่ของงานศิลปะภายใน teamLab Botanical Garden Osaka จึงไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกด้วย
จึงเรียกได้ว่า teamLab Botanical Garden Osaka เป็นเสมือนพื้นที่ศิลปะที่รวบรวมเอาผู้คน ต้นไม้ ป่า ทะเลสาบ ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน ออกมาเป็นผลงาน Immersive Art ที่โคตรเท่ที่ล้วนแล้วแต่เผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งผู้คน ศิลปะ และสิ่งแวดล้อม ที่หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปนั้น ก็คงจะเรียกว่าเป็น teamLab Botanical Garden Osaka ไม่ได้อย่างแน่นอน
สำหรับใครที่มาเที่ยวงาน teamLab Botanical Garden Osaka ก๊อตแนะนำให้เรามาตั้งแต่งานเค้าเปิด และเผื่อเวลาเข้าชมไว้เยอะๆ เลย เพราะผลงานด้านในเค้ามีหลากหลายโซนให้เราได้ชมกันแบบเยอะมาก เรียกได้ว่าเดินกันจนเริ่มเมื่อยกันเลยทีเดียว อย่างก๊อตเองนั้น ใช้เวลากับที่นี่ตั้งแต่เปิดจนถึงปิดเลยล่ะ ยิ่งถ้าใครที่ชอบดูงานอะไรแบบนี้และยิ่งเป็นคนชอบถ่ายรูปอีก รับรองว่าไม่ผิดหวัง
อ่านรีวิวเต็ม teamLab Botanical Garden Osaka ได้ที่นี่
วันที่ 4 :
วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple)
เปลี่ยนมู้ดมาเดินเที่ยวเอาใจสายบุญกันสักหน่อยที่ วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) วัดพุทธเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นมีอายุมากว่า 1,400 ปี แถมยังเป็นที่เลื่องลือของเมืองโอซาก้าในเรื่องความเก่าแก่และความขลังแบบที่ว่าคนญี่ปุ่นเอย นักท่องเที่ยวเอย ต่างก็ต้องแวะมาเยือนเพื่อสักการบูชากันสักครั้ง
โดย วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) ตั้งอยู่ในย่านเทนโนจิ (Tennoji) ของเมืองโอซาก้า (Osaka) โดยก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 593 โดยเจ้าชายโชโตกุ ไทชิ (Shotoku Taishi) บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและมีบทบาทสำคัญในการนำพุทธศาสนามาสู่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้น โดยวัดแห่งนี้โดดเด่นด้วยเจดีย์สีแดงขนาดใหญ่ 5 ชั้น ที่ว่ากันว่าเป็นต้นแบบของเจดีย์แดงชูเรโตะ (Chureito Pagoda) ที่คาวากุจิโกะ อีกด้วย
สำหรับตัวอาคารหลักของ วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) ได้รับการสร้างขึ้นใหม่อยู่หลายครั้งตลอดหลายช่วงศตวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากเคยถูกพายุถล่ม และไฟไหม้จนทำให้ตัวอาคารได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งในบางครั้งเจดีย์สีแดงก็ถูกไฟไหม้ไปด้วย ซึ่งเค้าก็ได้มีการบูรณะมาและสร้างขึ้นมาใหม่อยู่ตลอด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1963 ได้มีการสร้างอาคารหลัก เจดีย์ รวมไปถึงห้องโถงต่างๆ ภายในวัดขึ้นมาใหม่ทั้งหมดโดยสร้างให้ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด ซึ่งสิ่งก่อสร้างทั้งหมดภายในวัดก็อยู่คู่กับเมืองโอซาก้ามาจนถึงปัจจุบันนี้
ใครที่จะมาเที่ยวที่นี่ก๊อตบอกก่อนนาว่าเราต้องเสียค่าเข้าวัดด้วยนา ซึ่งหากใครมีบัตร Osaka Amazing Pass นั้นสามารถโชว์แล้วเข้ามาภายในวัดได้เลย ซึ่งภายในวัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) นั้นเค้าจะแบ่งโซนให้เราได้เข้ามาเดินดูกันผ่าน 3 โซน คือ Central Temple, Treasure Hall (Museum) แล้วก็พื้นที่สวนโกคุระคุโจโด (Gokuraku-jodo Garden) ซึ่งทั้ง 3 โซนนี้หากเราไม่มี Osaka Amazing Pass จะต้องจ่ายค่าเข้าแยกต่างหากไปในแต่ละโซนเด้อ โดยราคาสำหรับผู้ใหญ่เริ่มต้นโซนละ 300 เยน (~75 บาท) ส่วนเด็กจะเริ่มที่ 200 เยน (~50 บาท)
เอาล่ะ พอเราเดินผ่านเสาโทริอิหินขนาดใหญ่แล้วเดินเข้ามาตามทางเดินเข้าสู่ตัววัด ภายในวัดมีลักษณะเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมที่รายล้อมไปด้วยอาคารและทางเดิน ซึ่งบรรยากาศรอบๆ ของวัดนั้นดูสบายตามาก คือโล่งโปร่งสุดๆ ไม่มีแท่นบูชา หรือข้าวของมาวางตามลานวัด เราจึงสามารถเดินเที่ยวชมดื่มด่ำกับความขลังของเค้าได้เรื่อยๆ ไปตามทางเดินได้เลย
โดยอาคารหลักของวัดนั้นเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์เนียวไร (Nyorai Kannon) หรือองค์เจ้าแม่กวนอิมที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเค้าบอกกันว่าเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้นั้นเป็นองค์ที่ช่วยปกป้องเจ้าชายโชโตกุ ไทชิ (Shotoku Taishi) อีกด้วย และโดยรอบยังมีรูปปั้นสี่กษัตริย์แห่งสวรรค์ (Four Heavenly Kings) ที่ทำหน้าที่ปกป้องทิศตะวันออก ตะวันตก ใต้ และเหนือในโลกพุทธศาสนาอีกด้วย โดยในช่วงที่สร้างวัดมาจนถึงสมัยเฮอัน (ค.ศ. 794-1185) สี่กษัตริย์แห่งสวรรค์นั้น ถือว่าเป็นเทพสำคัญของ วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) เลยแหละ ใครที่ได้มาเยือนวัดแห่งนี้ เราสามารถขอพรจากเจ้าแม่กวนอิมได้ทุกเรื่อง ซึ่งจากที่ก๊อตได้เข้าไปชมด้านในมา คือรู้สึกได้เลยว่าศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่มากจริงๆ
ถัดมาอีกส่วนที่สำคัญของวัดไม่แพ้กัน คือ เจดีย์ 5 ชั้นแบบญี่ปุ่นที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ตรงกลางลานวัด ที่เค้าว่ากันว่าเจดีย์หลังนี้เป็นต้นแบบของเจดีย์ชูเรโต (Chureito Pagoda) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงแลนด์มาร์คโด่งดังของคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) อีกด้วยนา โดยเจดีย์ที่ วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) นั้น เราสามารถเดินเข้าไปส่องบรรยากาศภายในได้ด้วย ซึ่งเค้าจะเป็นบันไดวนให้เราเดินขึ้นไปสู่ด้านบนของเจดีย์ได้ ซึ่งตอนแรกก๊อตคิดว่าด้านบนของเจดีย์เค้าจะเป็นเหมือนจุดชมวิวได้ แต่พอได้ขึ้นไปยังชั้นบนสุดแล้วคือไม่ได้มีอะไร แถมยังดูวิวไม่ได้อีกด้วย ดังนั้น นี่แนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเดินวนขึ้นไปให้เมื่อยก็ได้ ชื่นชมความงามจากด้านนอกหรือเข้ามาเดินส่องภายในให้รู้ว่าเป็นยังไงก็เพียงพอแล้วเด้อ
นอกจากอาคารหลัก และก็เจดีย์ 5 ชั้นแล้ว ภายในวัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) ยังมีจุดที่น่าสนใจอื่นๆ ให้เราได้เดินชมกันแบบจุใจ ไม่ว่าจะเป็นหอโถงรูปปั้น (Hall of Images), ศาลเจ้าเล็ก (Small shrine) และอื่นๆ อีกมากมาย หรือใครที่อยากเดินชิลท่ามกลางต้นไม้ในบรรยากาศร่มรื่นนั้น ภายในวัดยังมีสวนญี่ปุ่นซ่อนอยู่ด้วยนา คือเดินชมอาคาร สถาปัตยกรรมต่างๆ เสร็จแล้ว สามารถมานั่งจอยๆ ให้หายเมื่อยกันได้ ซึ่งโดยรวมแล้วส่วนตัวก๊อตชอบบรรยากาศของวัดเค้ามาก นี่ขอชมเรื่องแปลนวัดที่ทำออกมาได้ดีจนกลายมาเป็นไวบ์ของ วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) ที่ดูคลีนๆ สบายตา สัมผัสได้ถึงความเงียบและความขลังที่นำพาความสงบมาสู่จิตใจอีกด้วย สายมูที่อยากมาเสริมเติมแต้มบุญให้จด วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) เข้าลิสต์เที่ยวได้เลย รับรองไม่มีผิดหวังแน่นอน
วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple)
วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของญี่ปุ่น ที่ก๊อตเดินผ่านมาเจอโดยบังเอิญระหว่างทางไปยังย่านชินเซไก โดยวัดเค้าดีไซน์โคตรเก๋กันตั้งแต่ประตูทางเข้าจนเราต้องขอแวะเดินเข้าไปส่องบรรยากาศข้างในสักหน่อย โดยจากข้อมูลที่ก๊อตไปหามาให้เพิ่มนั้น วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) ก่อตั้งขึ้นโดยโฮเน็น (Honen) ผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนานิกายโจโด ในปี ค.ศ. 1185 โดยแรกเริ่มนั้นโฮเน็นได้สร้างกระท่อมหลังเล็กๆ ขึ้นบนพื้นที่ของวัดในปัจจุบันเพื่อใช้เป็นสถานที่ในการฝึกนิสโซกัน (Nissokan) หรือการฝึกสมาธิ ว่ากันว่าในช่วงเวลาที่ฝึกนั้นต้องนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตกในตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน ทำให้พื้นที่ของ วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) เป็นจุดที่ดูวิวพระอาทิตย์ตกสวยมาก ถึงขนาดที่ว่าจักรพรรดิชิรากาวะ (Shirakawa) จักรพรรดิญี่ปุ่นพระองค์ที่ 77 ก็ยังเคยมาฝึกนิสโซกันที่วัดแห่งนี้ด้วย
แต่ถึงอย่างไรกลับไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าตัวอาคารของวัดนั้นถูกสร้างขึ้นมาในปีใด โดยมีเพียงเรื่องเล่าในประวัติของวัดระบุเอาไว้ว่า พื้นที่วัดและเหล่าอาคารต่างๆ นั้น โคไดอิน (เนเนะ) ภรรยาของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ซามูไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้บริจาคที่ดินและสร้างอาคารให้กับทางวัด เพื่อให้ วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) กลายเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองนั่นเอง โดย วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) โดดเด่นด้วยประตูทางเข้าที่ไม่เหมือนวัดอื่นๆ ด้วยดีไซน์ที่ดูล้ำสมัย ด้านบนของประตูทางเข้ามีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์คองโกริคิชิ (Kongōrikishi) ตัวใหญ่กำยำราวกับยักษ์ 2 รูปตั้งสง่าอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่เรียกนักท่องเที่ยวได้มากเลยล่ะ รวมถึงตัวก๊อตเองที่เดินเข้าไปเพราะรูปปั้นเค้าเลย
อีกทั้งวัดแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่องพระพุทธรูปกระดูก หรือ โอโคสุ บุทสุ (Okotsu Butsu) พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นจากเถ้ากระดูกคนตายจากโกศที่อยู่ภายในวัด ซึ่งมีข้อมูลระบุไว้ว่า การสร้างพระพุทธรูปองค์นี้มีจุดเริ่มต้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่ วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) ไม่เหลือพื้นที่สำหรับเก็บโกศใส่เถ้ากระดูก เหล่านักบวชเลยนำเอาเถ้ากระดูกมาผสมเข้ากับเรซิ่น บ้างก็ว่าดินเหนียวแล้วปั้นขึ้นมาจนกลายเป็นพระพุทธรูป คนจึงเรียกกันว่า “พระพุทธรูปกระดูก” นั่นเอง โดยทุกๆ 10 ปี วัดจะมีการปั้นพระพุทธรูปองค์ใหม่ขึ้นมา และในแต่ละครั้งนั้นใช้เถ้ากระดูกคนตายกว่า 150,000 คนเลย ดังนั้น พระพุทธรูปกระดูกที่อยู่ภายใน วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) จึงเป็นสิ่งที่ผู้คนเค้านิยมมาดูและสักการบูชา เป็นเสมือนพระพุทธรูปที่หล่อหลอมไปด้วยบรรพบุรุษของชาวโอซาก้าเอาไว้นั่นเอง
บรรยากาศภายในวัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) อย่างแรกเลยคือคนเยอะม๊ากก บริเวณประตูทางเข้าด้านนอกที่ดูไม่เหมือนวัดเลย หากแต่พอก้าวเท้าผ่านซุ้มประตูเข้ามาแล้ว ภาพของอาคารหลัก รูปปั้นต่างๆ รวมไปถึงจุดบูชากราบไหว้นั้น ยังคงเต็มไปเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของขลังและความเก่าแก่ที่บ่งบอกว่า วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) นี้ เค้าคืออีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของเมืองโอซาก้าเลยนา
ใครที่อยากมาดูรูปปั้นของพระพุทธรูปกระดูกทั้งหมดนั้น ทางวัดเก็บรักษาเอาไว้ที่อาคารสองหลัง คือ อาคารโนคตสึโดะ (Nokotsudo) และอาคารโอคตสึบุตสึโดะ (Okotsubutsudo) ซึ่งทั้งสองอาคารนั้นตั้งอยู่ติดกัน ดังนั้นเราสามารถค่อยๆ เดินไล่ดูไปทีละอาคารได้เลย ซึ่งขี้เถ้าคนตายที่เอามาปั้นเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในพระพุทธรูปนั้น ทางวัดเค้ารับขี้เถ้าของบุคลทุกคนโดยไม่เกี่ยงเรื่องความเชื่อทางศาสนาในชีวิตของบุคคลนั้น โดยทุกๆ 10 ปี ก็จะมีการปั้นพระพุทธรูปกระดูกขึ้นมา 1 องค์ โดยใช้เถ้ากระดูกคนตายในแต่ละครั้งมากกว่า 1 แสนคนกันเลยทีเดียว ซึ่งผู้คนเค้ามีความเชื่อการใช้เถ้ากระดูกมาปั้นเป็นพระพุทธรูปนั้นถือเป็นเกียรติของคนตายที่ได้อยู่ใกล้กับพระพุทธเจ้าเลย
นอกจากมาเดินดูพระพุทธรูปกระดูกแล้ว บริเวณวัดยังเป็นที่ตั้งของหลุมศพของบุคคลที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นมากมาย โดยหลุมศพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเลยคือ หลุมศพของฮอนดะ ทาดาโตโมะ (Honda Tadatomo) ขุนนางซามูไรชาวญี่ปุ่น ผู้ดูแลตระกูลโทกูงาวะ ภายหลังสมัยอาซูจิ-โมโมยามะ (ศตวรรษที่ 16) ถึงสมัยเอโดะ (ศตวรรษที่ 17) ของญี่ปุ่น ทาดาโทโมะเป็นบุตรชายคนเล็กของฮอนดะ ทาดาคัตสึ (Honda Tadakatsu) หนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์แห่งโทกูงาวะ ที่ช่วยทำให้โทกูงาวะ อิเอยาซุ (Tokugawa Ieyasu) สามารถจัดตั้งรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะได้
ยังไม่หมดเท่านั้น วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) ยังมีอาคารซันเซ็นบุตสึโดะ (Sanzenbutsudo) อาคารคอนกรีตเรียบๆ ที่หลายคนเดินผ่านแล้วเกิดคำถามว่าเค้าคืออาคารอะไร มีไว้ทำไม คำตอบคือ ภายในอาคารนี้เค้าเป็นโรงละคร ลักษณะเป็นโดมขนาดใหญ่ปกคลุมไปด้วยสีทอง มีเก้าอี้ตั้งเรียงรายเหมือนโรงหนังที่เปลี่ยนจากจอฉายหนังมาเป็นเวทีเพื่อทำการแสดง และนอกจากจะทำการแสดงแล้ว คนที่นี่ยังสามารถเช่าสถานที่เพื่อจัดงานอื่นๆ ได้อีกด้วย หรือใครจะมาเดินชมบรรยากาศ นั่งพักขาในมุมโต๊ะ-เก้าอี้ ที่นี่เค้าก็มีคอยให้บริการ ส่วนตัวก๊อตคิดว่า วัดอิชชินจิ (Isshinji Temple) นั้นเป็นอีกหนึ่งวัดที่ดีที่น่าเข้ามาเยี่ยมชม สถาปัตยกรรมต่างๆ ของเค้าสวยงาม ซุ้มประตูทางเข้าคือสะดุดตาสุดๆ แถมสตอรี่เรื่องพระพุทธรูปกระดูกก็ขลังจนอยากชวนให้ทุกคนได้มาสัมผัสของจริงด้วยตาตัวเองกันสักครั้ง ใครมาเที่ยวโอซาก้าลองปักหมุดแวะมาเที่ยวได้เลย
ย่านชินเซไก (Shinseikai)
ย่านชินเซไก (Shinseikai) หนึ่งในย่านดังของโอซาก้า (Osaka) ที่ใครชอบกลิ่นอายความคลาสสิกผสมผสานไปกับความทันสมัยของเมืองต้องมาเดิน ภาพย่านที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ไปจนถึงร้านขายของที่ระลึกตั้งเรียงรายอยู่สองข้าง โดดเด่นด้วยป้ายร้านที่ประดับประดาไฟนีออนหลากสีกันแบบจัดเต็ม พร้อมสู้กันสุดฤทธิ์ด้วยมาสคอตประจำร้านที่ติดตั้งกันตั้งแต่บนพื้นไล่ไปถึงด้านบนของอาคารเสมือนคอยกวักมือเรียกให้ลูกค้าได้แวะเวียนเข้ามา ทั้งหมดนี้หาได้จากย่านนี้เลย
โดย ย่านชินเซไก (Shinseikai) เปรียบเสมือนเป็นโลกแสงสียุคใหม่ในยุคเก่าของโอซาก้าเมื่อ 100 ปีที่แล้วที่ยังคึกคักมาจนถึงปัจจุบันนี้ เนื่องจากย่านนี้เค้าเคยเป็นที่ตั้งของสวนสนุกลูน่าปาร์ค (Luna Park) ชื่อดังจากอเมริกามาก่อนและแม้ว่าเครื่องเล่นต่างๆ จะถูกแทนที่ด้วยบ้านเรือน และร้านค้ามากมายอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน แต่หนึ่งในสัญลักษณ์ของสวนสนุกที่ยังคงเหลืออยู่ให้เป็นความทรงจำ นั่นก็คือ หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) หอคอยที่เค้าสร้างเลียนแบบหอไอเฟลของฝรั่งเศสที่ทุกวันนี้กลายเป็นจุดชมวิวสุดคลาสสิกที่ตั้งเด่นอยู่ใจกลางของย่านนี้ไปแล้ว
ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ย่านชินเซไก (Shinseikai) เรียกได้ว่าเป็นย่านที่เจริญรุ่งเรือง และเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงร้านอาหารที่โด่งดังในเรื่องของทอดที่ดึงดูดผู้คนให้ลิ้มรสกันไม่ขาดสาย และแม้ว่าปัจจุบันนี้ผู้คนจะไม่ได้มาเที่ยวย่านนี้กันพรึ่บพรั่บเหมือนในอดีต แต่ ย่านชินเซไก (Shinseikai) ก็ยังคงมีร้านอาหารและเครื่องดื่มแบบดั้งเดิมเปิดขายอยู่เสมอ ยิ่งใครที่มาเที่ยวย่านนี้ในช่วงเวลากลางคืนนะ ทั้งย่านจะเต็มไปด้วยแสงสีมากมายจากป้ายตามหน้าร้านที่เค้าเปิดสู้กันสุดเหวี่ยงม๊าก
สำหรับการมาเดินเที่ยวใน ย่านชินเซไก (Shinseikai) ก๊อตตั้งใจว่าเราจะอยู่กันตั้งแต่ฟ้าสว่างยันฟ้ามืดไปเลย เพราะนี่อยากเก็บบรรยากาศของย่านทั้งช่วงกลางวัน ไปจนถึงกลางคืนมาฝากทุกคน โดย ย่านชินเซไก (Shinseikai) เค้าจะเป็นเหมือนตรอกยาวให้เราเดินตรงเข้าไปโดยสองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร รวมไปถึงร้านขายของที่ระลึก และของปุ๊กปิ๊กสไตล์ญี่ปุ่นจ๋าๆ ที่ผสมโรงกับกลิ่นอายสุดคลาสสิกของย่านนี้ได้อย่างกลมกล่อม ซึ่งเอกลักษณ์ของย่านนี้ที่โด่งดังกันไปทั่วเมือง คือเหล่าป้ายไฟ และมาสคอตรูปต่างๆ รวมถึงของตกแต่งร้าน ที่เค้าประดับประดาเรียกแขกแข่งกันให้แซ่ด ซึ่งไวบ์ในตอนกลางวันเราอาจจะยังไม่หวือหวาอะไรมาก เน้นเดินเที่ยวชิลๆ
สำหรับร้านอาหารที่ขายอยู่ตามสองข้างทางนั้น มีให้เลือกซื้อกินเยอะเลย ทั้งขนม ของคาว หรือใครที่อยากช้อปของฝากเล็กๆ น้อยๆ เค้าก็มีร้านของฝากปุ๊กปิ๊กให้ได้ช้อป ซึ่งส่วนตัวก๊อตคิดว่า ย่านชินเซไก (Shinseikai) เป็นอีกหนึ่งย่านในโอซาก้าที่ราคาอาหารถูกมาก ฟีลท้องถิ่นแท้ๆ เว่อร์ แถมในบางช่วงยังมีกิจกรรมซุ้มเกมให้ได้มาเล่นย้อนรอยความหลังในวัยเด็กกันอีกด้วย ซึ่งบรรยากาศโดยรวมจากที่ก๊อตเดินส่องกันมา นี่ว่าเค้าเป็นย่านเดียวในโอซาก้าที่ก๊อตคิดว่ามาแล้วมันฟีลได้ถึงความเก๋า ความบ้านๆ เมื่อสมัย 100 ปีก่อนที่ยังคงครุกรุ่นมาจนถึงปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยเชียว ใครที่อยากมาสัมผัสเสน่ห์ของโอซาก้าในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งนี่แนะนำให้มาเดินเล่นใน ย่านชินเซไก (Shinseikai) กันได้เลย
หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower)
แน่นอนว่าเรามาถึงย่านชินเซไกแล้ว ต้องมาที่ หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) แลนด์มาร์คของย่านนี้ด้วยนา โดย หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) เป็นหอคอยสำคัญของเมืองโอซาก้าที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของชาติไปเป็นที่เรียบร้อย โดยหอคอยหลังแรกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1912 โดยเป็นส่วนหนึ่งของสวนสนุกลูน่าปาร์คโอซาก้า (Luna Park Osaka) สวนสนุกคลาสสิกแบบตะวันตก ที่คนสร้างพยายามออกแบบหอคอยนี้ให้โดดเด่นสะดุดโดยได้แรงบันดาลใจมาจาก หอไอเฟล (Eiffel Tower) ที่ปารีส มีขนาดสูงที่ 75 เมตร ซึ่งชื่อของอาคารนั้นยังหมายถึง “อาคารสูงที่นำไปสู่สวรรค์” อีกด้วยนะ แต่แล้วในปี ค.ศ. 1943 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หอคอยหลังนี้ถูกไฟไหม้และได้รื้อถอนทิ้งไปก่อนจะสร้าง หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) หลังปัจจุบันขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1956 ด้วยความสูงถึง 108 เมตร โดยผู้ออกแบบคือ Tachu Naito สถาปนิกผู้ออกแบบโตเกียวทาวเวอร์ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น หอคอยหลังนี้ก็ได้รับการพัฒนาและดูแลรักษามาเป็นอย่างดีโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในจุดชมวิวสกายไลน์เมืองที่นักท่องเที่ยวเค้านิยมขึ้นมาเพื่อดูวิวเมืองโอซาก้า (Osaka) กันเยอะมากกก
หากใครคิดว่าวิวด้านบนนี้น่าจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ของจริงเมื่อเราได้มายืนด้านบนหอคอย บอกเลยว่าวิวเมืองจากหอคอยนั้นสูงละลิ่วเลยนา ด้วยความที่ตึกรอบๆ ในเมืองของโอซาก้านั้นไม่ได้สร้างสูงมากนัก ทีนี้พอเราขึ้นมาดูวิวบนนี้มันเลยกวาดสายตามองวิวเมืองโอซาก้าได้แบบสะใจโคตรๆ ซึ่งวิวที่เห็นวิวได้ชัดเลยคือ วิวของตึกอาเบะโนะ ฮารุกัส (Abeno Harukas) ตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นนั่นเอง อีกทั้งยังมองเห็นวิวเมืองที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและแม่น้ำได้แบบดีต่อใจสุดๆ
⚡️ ใครที่สายมู นี่ขอแอบบอกเคล็ดความปัง ถ้าใครเห็นรูปปั้นน้องตัวกลมๆ สีทองๆ เหมือนในรูปภาพด้านล่าง เค้าคือรูปปั้น “บิลลิเกน (Billiken)” โดยคนญี่ปุ่นเค้าเชื่อกันว่าถ้าเราเข้าไปลูบเท้าของเค้าแล้ว เราจะได้โชค ได้ลาภตามมาด้วยนะ ถ้าใครเห็นแล้วอาจจะลองไปลูบๆ ดูก็ไม่เสียหายนะเอ้อ 55555
นอกจากจุดชมวิวในหอคอยแล้ว หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเรายังสามารถเดินขึ้นไปได้อีกหนึ่งชั้นที่เป็นชั้นลอยด้านบนที่ถือเป็นชั้นที่สูงที่สุดของหอคอยได้อี๊ก ซึ่งชั้นนี้ก๊อตไม่อยากให้ทุกคนพลาดเลย เพราะเค้ามีมุมถ่ายรูปกับวิวเมืองโอซาก้าที่เริ่ดเกินเบอร์มาก โดยเค้าจะมีพื้นกระจกที่ยื่นตัวออกจากหอคอยหันหน้าออกสู่เมือง ใครที่อยากได้ภาพคูลๆ แนะนำให้ตากล้องขึ้นไปชั้นบนอีกชั้นแล้วสาดมุมกล้องลงมานะ เราจะได้ภาพวิวเมืองมุมกว้างที่เท่ล้นเป็นที่สู้ดด
เอาล่ะ ใครที่ส่องวิวจนหนำใจแล้ว ขาเดินกลับลงมาจาก หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) ตรงบริเวณชั้น 3 ที่เป็นทางผ่านก่อนที่เราจะลงมายังชั้นล่างสุดนั้น ตรงนี้ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ของที่นี่ เพราะเค้าทำจะเป็นเสหมือนเป็นมิวเซียมที่จัดแสดงภาพถ่ายต่างๆ ของย่านชินเซไก (Shinseikai) เอาไว้ให้เราได้มาดูเพื่อเห็นถึงความเป็นมาของย่านนี้
นอกจากนี้เค้ายังมีนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของขนมกูลิโกะที่คนไทยรู้จักกันดีอย่างขนมป็อกกี้นั่นเอง ซึ่งกูลิโกะเองถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้าโดยเฉพาะป้ายหนุ่มกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) ใจกลางย่านโดทงโบริ (Dotonbori) โดยที่นี่เค้ายังมีร้านขายขนมกูลิโกะ รวมถึงสินค้า และของที่ระลึกจากกูลิโกะขายอยู่เยอะมาก ซึ่งความพิเศษคือมันมีขนมอยู่หลายตัวของกูลิโกะที่เราหาซื้อจากที่อื่นไม่ได้ ต้องมาซื้อที่ หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) เท่านั้นนา
ยังไม่หมดเท่านั้น สำหรับใครที่อยากลองกิจกรรมสุดตื่นเต้นที่ หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) เค้ายังมี Tsutenkaku TOWER SLIDER สไลเดอร์ยักษ์ที่พาดคดเคี้ยวจากชั้น 3 ของหอคอยไล่วนลงมาตามด้านข้างของอาคารสู่ชั้นใต้ดินด้านล่างด้วยระยะเวลา 10 วินาที โดยสไลเดอร์มีความยาวถึง 60 เมตร ถ้าใครที่อยากไถลตัวลงจากหอคอยแบบใหม่แบบสับ ก๊อตแนะนำว่าให้ลองเลย
อาเบะโนะ ฮารุกัส 300 (Abeno Harukas 300)
อาเบะโนะ ฮารุกัส 300 (Abeno Harukas 300) อีกหนึ่งจุดชมวิวบนชั้น 58 – 60 ของตึกอาเบะโนะ ฮารุกัส (Abeno Harukas) ตึกที่มีความสูงถึง 300 เมตร ถือเป็นตึกสูงระฟ้าในเมืองโอซาก้า (Osaka) อีกทั้งยังพ่วงตำแหน่งตึกที่เคยสูงที่สุดในญี่ปุ่นมาจนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากทางเมืองโตเกียวเค้าเพิ่งจะโค่นแชมป์ตึกอาเบะโนะ ฮารุกัส (Abeno Harukas) ด้วยการเปิดตัวตึกอาซาบูได ฮิลส์ โมริ เจพี ทาวเวอร์ (Azabudai Hills Mori JP Tower) ที่มีความสูงมากถึง 330 เมตร แซงหน้ากันไปหมาดๆ
สำหรับ ตึกอาเบะโนะ ฮารุกัส (Abeno Harukas) ถูกสร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ว่าเพิ่มความสว่างไสวให้กับหัวใจและอนาคต โดยคำว่า ฮารุกัส (晴るかす) บนชื่อตึกนั้นมีความหมายถึงความสดใสมีชีวิตชีวา ซึ่งมันคล้องไปกับการที่ผู้คนได้ขึ้นมาชมวิวบน จุดชมวิวอาเบะโนะ ฮารุกัส 300 (Abeno Harukas 300) ที่เหมือนได้ขึ้นมารับความสดใสกลับบ้านไปนั่นเอง
โดย จุดชมวิวอาเบะโนะ ฮารุกัส 300 (Abeno Harukas 300) จะอยู่บนยอดตึกที่เราจะต้องมาขึ้นลิฟต์ที่บริเวณชั้น 16 ของอาคารเพื่อขึ้นไปด้านบนนา ซึ่งวิวบนชั้น 58 นั้น เค้ามีคาเฟ่และสนามที่ตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปเล่น อีกทั้งยังมีร้านขายของที่ระลึกตั้งอยู่ด้วย และในส่วนของวิวตั้งแต่ชั้น 59 ไปจนถึงชั้น 60 นั้น เรียกได้ว่าเป็นจุดที่เราสามารถขึ้นมามองเห็นวิวเมืองโอซาก้าได้แบบพาโนราม่าโดยไม่มีอะไรมาบดบังทิวทัศน์เลย และหากวันไหนท้องฟ้าแจ่มใสเป็นใจ เรายังมองวิวออกไปได้ไกลถึงเมืองโกเบ, สะพานอาคาชิไคเคียว รวมไปถึงหอคอยเกียวโตได้ด้วยนา และมากไปกว่านั้นด้านบนยอดตึกเค้ายังมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่ใครอยากเปิดประสบการณ์ชมวิวแบบสับไม่เหมือนใครก็สามารถซื้อตั๋วเพิ่มเติมแล้วขึ้นไปส่องวิวด้านบนได้เลย
โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการขึ้นมาบนนี้ ก๊อตแนะนำให้เรามาตอนเย็นเกือบค่ำช่วงพระอาทิตย์จะตกดิน เพราะนอกจากจะเป็นช่วงเวลาที่ดูวิวได้สวยที่สุดแล้ว เราจะได้เห็นเมืองโอซาก้าทั้งตอนสว่าง ไล่ยาวไปจนถึงช่วงพระอาทิตย์ตก และช่วงกลางคืนที่ให้อารมณ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ส่วนใครที่คิดว่า เอ้อ น้องก๊อตให้พี่มาอยู่นานขนาดนี้ มานั่งดูวิวเฉยๆ จะไม่เบื่อหรอ? ก๊อตบอกเลยว่าด้านบนจุดชมวิวนั้นเค้ามีกิจกรรมหลายอย่างให้เราได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นนั่งจิบเครื่องดื่มชิลๆ ในคาเฟ่ หรือจะนั่งกินข้าวเติมพลังกันในร้านอาหาร หรือถ้าใครอยากจะช้อปของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปด้วย บนนี้เค้าก็มีร้านขายของให้ได้มาละลายทรัพย์กันด้วย อีกทั้งในแต่ละช่วงเค้าจะมีนิทรรศการที่เล่นแสงสีแมพปิ้งให้เราได้มาถ่ายรูปเล่นเก๋ๆ กันอีกด้วย
เรื่องของวิวนั้น ไม่ต้องบรรยายมากเลย เพราะบนนี้เห็นวิวเมืองโอซาก้าได้ไกลสุดลูกหูลูกตา และด้วยความที่ตึกนี้เค้าสูงที่สุดในโอซาก้า มันเหมือนเราได้ขึ้นมามองวิวเมืองโอซาก้าอยู่บนท้องฟ้าเลย เป็นบรรยากาศที่เลอค่าแก่การขึ้นมามาก และจากหลายๆ ที่ของจุดชมวิวบนตึกสูงทั่วโลกที่ก๊อตได้ไปมาแล้วนั้น จุดชมวิวอาเบะโนะ ฮารุกัส 300 (Abeno Harukas 300) ถือเป็นอีกตึกที่ทำออกมาได้ดีมากเลยทีเดียวแหละ นี่ประทับใจมาก
ใครที่อยากขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของตึกที่เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เราสามารถซื้อบัตรขึ้นไปด้านบนเพิ่มอีก 500 เยน (~120 บาท) ได้ด้วยนะ ซึ่งเค้าจะแบ่งเป็นรอบๆ ให้ขึ้นไปประมาณ 15-20 นาที ส่วนตัวก๊อตคิดว่ามุมวิวอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมาก หากแต่ประสบการณ์ที่ได้รับนั้นไม่เหมือนกันกับชั้นล่างแน่นอน ใครอยากได้ภาพสวยๆ ก็ลองขึ้นมาได้เลย
ส่วนใครที่คิดว่า เอ้อ น้องก๊อตให้พี่มาอยู่นานขนาดนี้ มานั่งดูวิวเฉยๆ จะไม่เบื่อหรอ? ก๊อตบอกเลยว่าด้านบนจุดชมวิวนั้นเค้ามีกิจกรรมหลายอย่างให้เราได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นนั่งจิบเครื่องดื่มชิลๆ ในคาเฟ่ หรือจะนั่งกินข้าวเติมพลังกันในร้านอาหาร หรือถ้าใครอยากจะช้อปของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปด้วย บนนี้เค้าก็มีร้านขายของให้ได้มาละลายทรัพย์กันด้วย อีกทั้งในแต่ละช่วงเค้าจะมีนิทรรศการที่เล่นแสงสีแมพปิ้งให้เราได้มาถ่ายรูปเล่นเก๋ๆ กันอีกด้วย
ส่วนใครที่อยากขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของตึกที่เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เราสามารถซื้อบัตรขึ้นไปด้านบนเพิ่มอีก 500 เยน (~120 บาท) ได้ด้วยนะ ซึ่งเค้าจะแบ่งเป็นรอบๆ ให้ขึ้นไปประมาณ 15-20 นาที ส่วนตัวก๊อตคิดว่ามุมวิวอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมาก หากแต่ประสบการณ์ที่ได้รับนั้นไม่เหมือนกันกับชั้นล่างแน่นอน ใครอยากได้ภาพสวยๆ ก็ลองขึ้นมาได้เลย
วันที่ 5 :
ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel)
สำหรับคนที่อยากมีตำนานนั่งบนชิงช้าสวรรค์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาแล้ว อยากให้ลองมาขึ้น ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) กันได้เล้ยย เพราะนอกจากเค้าจะเป็นชิงช้าขนาดใหญ่ที่สูงถึง 112 เมตรแล้ว ภาพวิวเมืองโอซาก้าบนจุดสูงสุดของชิงช้าสวรรค์เค้าคือสวยม๊าก เพราะเราสามารถมองเห็นวิวเมืองได้แบบรอบทิศทางทั้ง เหนือ ใต้ ออก ตก กันแบบสุดลูกหูลูกตาเลย ยิ่งใครที่ชอบนั่งชิงช้าสวรรค์ท่ามกลางวิวสวยๆ อยากให้ลองมาขึ้น ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) กันสักครั้ง รับรองเลยว่าทุกคนจะได้ประสบการณ์ที่ดีและหาไม่ได้จากที่ไหนนอกจากที่นี่อย่างแน่อน
ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) ตั้งอยู่บริเวณเท็มโปซาน ฮาร์เบอร์ วิลเลจ (Tempozan Harbor Village) บริเวณริมอ่าวในเมืองโอซาก้า (Osaka) โดยอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง (Osaka Aquarium KAIYUKAN) หนึ่งในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ซึ่ง ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) เปิดให้คนทั่วไปรวมถึงนักท่องเที่ยวได้มาขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1997 และด้วยขนาดของชิงช้าสวรรค์ที่มีความสูงถึง 112 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 100 เมตร ทำให้ขณะนั้น ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) ได้ชื่อว่าเป็นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลาที่เปิดตัวอีกด้วย
ในส่วนของกระเช้า ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) นั้นจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 60 กระเช้า ซึ่งจะมีกระเช้าจำนวน 8 ตู้ที่เป็นแบบใส (See-Through Gondola) ซึ่งพิเศษด้วยการมองทะลุได้ทุกด้าน อีกทั้งในช่วงเวลากลางคืนทั่วทั้ง ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) ยังมีการประดับไฟ LED อย่างสวยงาม สะท้อนแสงระยิบระยับไปทั่วบริเวณเลยเชียวแหละ
ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) อย่างที่ก๊อตบอกไปว่าเค้าเป็นชิงช้าสวรรค์ที่เคยถูกบันทึกว่าเป็นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาแล้ว ใครที่มี Osaka Amazing Pass เราสามารถมาขึ้นชิงช้าได้ฟรีเลย ซึ่งคิวก็ไม่ได้รอนานเพราะชิงช้าสวรรค์เค้ามีหลายตู้นั่นเอง โดยพอเราได้ขึ้นมาบนกระเช้าแล้ว ชิงช้าเค้าก็จะหมุนขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เร็วมากนัก ภาพบรรยากาศรอบๆ ก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพวิวในมุมที่สูงขึ้นให้เราได้ซึมซับรับภาพสวยๆ ที่อยู่ตรงหน้าเรา
สำหรับการมาขึ้น ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) ใช้เวลานั่งทั้งหมดต่อรอบอยู่ที่ 17 นาที โดยเมื่อเรานั่งขึ้นไปบนจุดสูงสุดของชิงช้าสวรรค์ เราจะสามารถมองเห็นวิวของของอ่าวโอซาก้าและพื้นที่โดยรอบได้รอบทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นภูเขาอิโคมะ (Mount Ikoma) ทางทิศตะวันออก สะพานอะคาชิไคเคียว (Akashi Kaikyō Bridge) ทางทิศตะวันตก สนามบินนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport) ทางทิศใต้ และเทือกเขาร็อคโค (Rokko Mountains) ทางทิศเหนือได้อีกด้วย คือดีมากอยู่นะ
ส่วนตัวก๊อตคิดว่า ชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel) เหมาะกับคนที่อยากมานั่งเอื่อยๆ รับลมชมวิว และยิ่งใครที่ได้ขึ้นตู้กระจกใสทั้งตู้ด้วยแล้ว แกร อันนั้นคุ้มค่ามากบอกเลย เพราะเวลาที่กระเช้าที่นั่งเค้าขึ้นไปจุดสูงสุดแล้ว เราสามารถมองทะลุกระจกตรงพื้นลงไปยังด้านล่างได้อีกด้วย โคตรหวาดเสียวแต่ก็สนุกวี๊ดว๊าดไปในตัว คือตลอดระยะเวลา 17 นาทีที่อยู่บนนั้น ก๊อตเพลินมากใครที่ถือ Osaka Amazing Pass อยู่ในมือแนะนำให้มาขึ้นเถอะ วิวดีแถมยังขึ้นฟรีด้วย 55555
เรือสำราญซานต้ามาเรีย (Santa Maria Cruise)
เรือสำราญซานต้ามาเรีย (Santa Maria Cruise) อีกหนึ่งกิจกรรมชิลๆ ห้ามพลาด เพราะเราจะได้มาล่องเรือชมอ่าวโอซาก้าบน เรือสำราญซานต้ามาเรีย (Santa Maria Cruise) เรือหน้าตาเก๋ๆ ที่ตลอดระยะล่องเรือไปบนอ่าวโอซาก้า เราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวเมืองโอซาก้าผ่านมุมมองใหม่ที่สวยงามแปลกตาไม่แพ้วิวมุมสูง หรือวิวที่เรายืนส่องกันอยู่บนฝั่งพื้นดินเลยแหละ
ใครที่ถือบัตร Osaka Amazing Pass อยู่แล้ว ล่องเรืออันนี้เค้ารวมอยู่ในแพ็คด้วย หากอยากใช้บัตรให้มันคุ้มๆ อีกทั้งได้ชมวิวสวยๆ กิจกรรมนี้ตอบโจทย์แน่นอน
ความเก๋ไก๋ของ เรือสำราญซานต้ามาเรีย (Santa Maria Cruise) คือ เรือของเค้าสร้างจำลองมาจากเรือสำเภาที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักสำรวจและนักเดินเรือชาวอิตาลี ใช้ล่องสำรวจไปจนพบกับทวีปอเมริกา แต่ เรือสำราญซานต้ามาเรีย (Santa Maria Cruise) ที่เราขึ้นที่โอซาก้านั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าถึงสองเท่า โดยภายในเรือเค้ามีทั้งหมด 4 ชั้น ตัวเรือมีโทนสีดำตัดกับสีน้ำตาลส้มของไม้
สำหรับทริปล่องเรืออ่าวโอซาก้าบน เรือสำราญซานต้ามาเรีย (Santa Maria Cruise) จะใช้เวลาทั้งหมด 45 นาที โดยเรือเค้ามีรอบออกทุกๆ ชั่วโมงอีกด้วย ซึ่งเส้นทางเดินเรือจะเริ่มออกจากหมู่บ้านท่าเรือเทมโปซัน (Tempozan Harbor Village) และท่าเรือไคยูคังฝั่งตะวันตก (Kaiyukan West Pier) โดยเรือเค้าก็จะแล่นผ่านสถานที่สำคัญตามสองข้างทางของอ่าวโอซาก้าก่อนจะพาเราวนกลับไปยังจุดเริ่มต้น
บรรยากาศตอนล่องเรือคือชิลมาก ซึ่งใครจะมาล่องเรือนั้นก๊อตแนะนำให้มารอบ Twilight ตอนพระอาทิตย์ตก อันนั้นคือสวยจริง ไวบ์แสงสุดท้ายของวันที่ลาลับขอบฟ้าไปกับผืนน้ำ และรายล้อมไปด้วยเมืองโอซาก้าคือพีคสุดแล้ว
สำหรับใครที่มาเที่ยวกันเป็นครอบครัว หากล่องเรือเสร็จแล้วพอมีเวลาเหลือตรงท่าเรือเค้ายังมี อควาเรียมไคยูคัง โอซาก้า (Osaka Aquarium Kaiyukan) ชื่อดังที่เค้าเคลมตัวเองว่าเป็นอความเรียมที่ใหญ่อลังการระดับโลกตั้งอยู่ด้วย ใครว่างก็เรียนเชิญเข้าไปเที่ยวชมต่อโลด
ที่พักในโอซาก้า
Hiyori Hotel Osaka Namba Station
สำหรับที่พักในโอซาก้าที่ก๊อตมานอนในทริปนี้ คือ โรงแรม Hiyori Hotel Osaka Namba Station ในย่านนัมบะ (Numba) ที่โลเคชั่นเค้าปังเอาเรื่องมาก เพราะเดินทางมาจากสนามบินสะดวกมากอยู่ติดกับสถานีรถไฟนันไก นัมบะ (Nankai Namba Station) อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ JR Namba Station และสถานีรถไฟใต้ดิน Namba Station อีกด้วย ยิ่งใครที่แพลนมาเที่ยวย่านโดทงโบริ (Dotonbori) ด้วยแล้ว ก๊อตแนะนำให้มาพักที่นี่เลย ส่วนใครที่มาพักแล้วกลัวจะหิวยามดึกนั้นตรงข้ามโรงแรมเค้ามีร้านแฟมิลี่มาร์ท แมคโดนัลด์ รวมถึงมีห้างล้อมรอบให้เราได้เดินช้อปปิ้ง หรือหาของกินได้ตลอดเวลา ดังนั้นพักที่นี่ไม่ต้องกลัวอดตายแหละ 5555555
สำหรับห้องนอนภายในโรงแรม Hiyori Hotel Osaka Namba Station ที่ก๊อตจองมานั้นห้องพักของเราค่อนข้างใหญ่กว่าโรงแรมญี่ปุ่นทั่วไปอยู่ประมาณหนึ่ง สามารถเดินลากกระเป๋าเข้ามาแล้วกางลงที่พื้นห้องได้สบายๆ บรรยากาศโดยรอบดีงามไปด้วยวิวที่มองออกไปจากหน้าต่างได้แบบเต็มสายตา แถมเตียงนอนก็หนานุ่มหลับสบายเว่อร์ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็ครบครัน ทั้งตู้เย็น ทีวี เครื่องปรับอากาศ รวมถึงของใช้ในห้องน้ำที่นี่เค้าก็มีเตรียมพร้อมให้เราเสร็จสรรพ
แต่ที่ก๊อตชอบเลยคือไลน์บุฟเฟ่อาหารเช้าของเค้า ที่มีให้เลือกกินกันทุกสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเอเชีย อาหารเช้าแบบอเมริกันก็มีให้เลือกกินกันจนตักใส่จานไม่หวาดไม่ไหว แต่ความน่ารักของอาหารเช้าคือเค้าเอาเมนูสตรีทฟู้ดขึ้นชื่อของโอซาก้างมาเสิร์ฟด้วยอย่างทาโกะยากิ คุชิคัทสึ ก็มีให้ตักกันแบบไม่อั้น ก๊อตเชียร์ให้จองที่พักมาพร้อมอาหารเช้าเลย เพราะอาหารเช้าเค้าดีเริ่ดประเสิร์ฐสุด แถมราคารวมๆ ยังไม่ได้แพงมาก คุ้มค่ากับราคาที่เราจองมาจริง
สรุปการเที่ยวโอซาก้า (Osaka)
ทั้งหมดนี้ก็ทริปโอซาก้า (Osaka) ทั้งหมดของก๊อต สรุปโดยรวมแล้ว ส่วนตัวก๊อตมองว่าโอซาก้าเค้าเป็นหนึ่งในเมืองหลักตัวท็อปของญี่ปุ่น ที่หากเอ่ยชื่อเมืองในญี่ปุ่นที่ต้องมาเที่ยวแล้ว จะต้องมีชื่อของโอซาก้าพ่วงเข้ามาด้วย แต่นี่ว่าโอซาก้าจะค่อนข้างแตกต่างจากโตเกียวพอสมควรเลย เนื่องจากที่นี่จะโดดเด่นในเรื่องของอาหารการกิน อย่างพวกสตรีทฟู๊ดที่เราไปเดินส่องกันมานั้นนอกจากรสชาติจะเริ่ดแล้ว การตกแต่งร้านและบรรยากาศที่ไปเจอมามันสัมผัสได้ถึงความฟู่ฟ่าแบบก๋ากั่นที่เหมือนเค้าพาเราย้อนกลับไปช่วงเฟื่องฟูเมื่อ 100 ปีจริงๆ เลย คือมันดูมีสีสันกว่าโตเกียวเยอะมาก อีกทั้งเวลาจะเดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวกเพราะมีรถไฟครอบคลุมแทบทั้งเมือง ยังไม่หมดเท่านั้น โอซาก้า (Osaka) ยังเป็นเมืองที่ช้อปปิ้งเพลินเว่อร์ ทุกอย่างที่อยากได้ในญี่ปุ่นแล้วหาซื้อจากเมืองอื่นไม่ได้ ทุกคนลองมาหาที่นี่ก่อน ก๊อตรับรองเลยว่ามีให้ได้ซื้อกันแบบละลานตาสุด ถือเป็นอีกเมืองที่ประทับใจ กลมกล่อม และอยากจะกลับมาเที่ยวอยู่เสมอเล้ย
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡
4 comments
เรารอเกียวโต
ขอบคุณสำหรับรีวิวที่สรุปมาให้แบบจัดเต็มเลยนะครับ! ข้อมูลแต่ละที่น่าสนใจมากจริงๆ อยากลองไปเที่ยวที่โอซาก้าตามที่แนะนำบ้างแล้วครับ โดยเฉพาะการไปสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและอาหารอร่อยๆ ของที่นั่น หวังว่าจะได้ไปเร็วๆ นี้!
เที่ยวโอซาก้าสุดยอดเลย! ขอบคุณสำหรับรีวิวและข้อมูลที่ครบถ้วนมากๆ น่าสนใจทุกที่เลย โดยเฉพาะที่ที่เกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่น อดใจไม่ไหวที่จะไปลอง!
บทความนี้น่าสนใจมากค่ะ! รายละเอียดสถานที่เที่ยวในโอซาก้าทำให้รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวเองเลย มีหลายที่ที่ยังไม่เคยรู้จัก ต้องหามาเพิ่มในลิสต์การเดินทางแน่นอน ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ นะคะ!