ย่านนัมบะ (Namba) เป็นอีกหนึ่งย่านในโอซาก้า (Osaka) ที่ก๊อตไม่อยากให้พลาดเลย เพราะ ย่านนัมบะ (Namba) ถือว่าเป็นหัวใจหลักของโอซาก้าที่ครบรสทั้งที่กิน ที่เที่ยว ศาลเจ้า ถนนช้อปปิ้ง และตลาด แบบที่ว่ามาย่านเดียวตอบโจทย์คนทุกวัยเลยเชียวแหละ นอกจากนี้ ย่านนัมบะ (Namba) ยังเป็นที่ตั้งของป้ายกูลิโกะอันโด่งดัง ที่เปรียบเสมือนเป็นแลนด์มาร์คที่ป๊อบระดับที่ว่าใครมาเที่ยวโอซาก้าแล้วไม่มาเซลฟี่คู่กับป้ายนี้เหมือนเรามาไม่ถึงเมืองเค้าจริงๆและสำหรับใครที่เป็นสายกินมาเที่ยวญี่ปุ่นก็อยากจะลิ้มรสสตรีทฟู้ดญี่ปุ่น ที่นัมบะ (Namba) เองเค้าก็มีให้เลือกกินแบบละลานตาสุดๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ก๊อตเกริ่นมานี้เราจะไปเที่ยวในรีวิวนี้กันหมดเลย แถมยังมีกิจกรรมและสถานที่เที่ยวปังๆ อื่นๆ อีกด้วย บอกเลยว่าเที่ยวกันแบบจัดหนักจัดเต็มเอาให้ ย่านนัมบะ (Namba) ลุกเป็นไฟกันเลยทีเดียว 55555
รู้จักกับย่านนัมบะ (Namba)
ย่านนัมบะ (Namba) ตั้งอยู่ในเขตที่เรียกกันในภาษาญี่ปุ่นว่า “มินามิ” หมายความว่า “ทิศใต้” ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกเรียกล้อไปตาม ย่านอุเมดะ (Umeda) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือ และเรียกกันว่า “คิตะ” โดยใครที่มาเที่ยวเมืองโอซาก้า (Osaka) แล้วเริ่มเที่ยวจากอุเมดะก่อนนั้น หากเดินทางตรงลงมาตามถนนมิโดสุจิ ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมืองมาทางตอนใต้เรื่อยๆ เราก็จะมาถึง ย่านนัมบะ (Namba) ซึ่งทั้งหมดนี้เลยเป็นที่มาของชื่อเรียกมินามินั่นเอง
โดย ย่านนัมบะ (Namba) นอกจากจะมีแลนด์มาร์คดังอย่าง ป้ายกูลิโกะ ที่ก๊อตบอกไปข้างต้นแล้ว ย่านนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะย่านบันเทิง และเป็นที่ตั้งของบาร์ ร้านอาหาร ไนต์คลับ และยังมี ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) ตลาดปลาที่ได้ชื่อว่าเป็นครัวแห่งโอซาก้า รวมถึงมี ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) ที่ใครรักการเข้าครัวทำอาหารแล้วอยากหาแหล่งเครื่องครัวแบบครบครัน ที่ถนนแห่งนี้เค้ามีขายกันแทบทุกอย่างจนได้ชื่อว่าเป็นถนนเครื่องครัวเลยเชียว
ใครที่อยากมาเที่ยวย่านที่ยังคงจัดจ้านด้วยแสง สี เสียง รวมถึงเป็นแหล่งรวมของกินอร่อยๆ นั้น มาเที่ยวโอซาก้าให้ปักหมุดมาเที่ยว ย่านนัมบะ (Namba) ได้เลย ยิ่งใครเป็นสายกิน และทำอาหารด้วยแล้ว มาย่านนี้ก๊อตบอกเลยว่าเลิฟทุกคนแน่นอน
ที่เที่ยวย่านนัมบะ (Namba)
1. โดทงโบริ (Dotonbori)
2. ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign)
3. ถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street)
4. ล่องเรือแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise)
5. ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine)
6. นัมบะปาร์ค (Namba Parks)
7. ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street)
8. ตลาดคุโรมง (Kuromon Market)
วิธีการเดินทางมาที่ย่านนัมบะ (Namba)
รถไฟ : วิธีที่สะดวกที่สุดในการมาที่นี่คือรถไฟ โดยมีตัวเลือกให้เราขึ้นทั้งรถไฟ JR และ รถไฟใต้ดิน (Osaka Metro) โดยสถานีรถไฟที่ใกล้กับ ย่านนัมบะ (Namba) นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายสถานีตามนี้
- โดยรถไฟ JR (Japan Railways)
- สถานี เจอาร์ นัมบะ (JR Namba Station): ให้ขึ้นรถไฟสายยามาโตจิ (Yamatoji Line) มาลงที่สถานีเจอาร์ นัมบะ (JR Namba Station)
- โดยรถไฟใต้ดิน (Osaka Metro):
- สถานีนัมบะ (Namba Station): ให้ขึ้นรถไฟสายมิโดสุจิ (Midosuji Line) สีแดง, สายเซนนิชิมาเอะ (Sennichimae Line) สีชมพู และสาย (Yotsubashi Line) สีฟ้า นั่งมาลงที่สถานีนัมบะ (Namba Station)
> ซื้อพาสบัตรรถไฟใต้ดินแบบเดินทางไม่จำกัด (Osaka Metro Pass) 1 วัน หรือ 2 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
แนะนำที่พักและโรงแรมย่านนัมบะ (Namba)
หากคนที่ชอบพักในย่านที่เดินทางสะดวก แต่ก็ต้องกิน-เที่ยว-ช้อปปิ้งแบบจัดเต็มด้วย ย่านนัมบะ (Namba) นี่แหละคือคำตอบ เพราะย่านนี้คือจัดจ้านในเรื่องช้อปปิ้งและของกินมากที่สุดของโอซาก้าแล้ว ซึ่งถ้าใครคุ้นๆ ภาพป้ายไฟกูลิโกะกับคลองกลางแหล่งช้อปปิ้ง มันคือ ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) ที่อยู่ใกล้กันแบบเดินสบายจากย่านนัมบะ (Namba) นี่เอง
เรื่องการเดินทางของย่านนัมบะ (Namba) ก็ไม่น้อยหน้าย่านอูเมดะ (Umeda) เท่าไหร่ เพราะตรงนี้ยังมีรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line ที่ไปเที่ยวในโอซาก้าได้ง่าย และยังมีเป็นฮับสายรถไฟทั้ง JR และ Kintetsu ที่ไปเมืองนารา (Nara) ได้สะดวก รวมถึงยังมีรถไฟ Nankai Line ที่นั่งต่อตรงจากสนามบินคันไซได้ง่าย รวมถึงคนที่อยากเดินทางไปเที่ยวที่เมืองวาคายาม่า (Wakayama) ก็ง่ายด้วยอีกเช่นกัน ดังนั้น ย่านนัมบะ (Namba) ถือว่าเป็นอีกย่านที่ดีงามล้านแปด และเป็นอีกย่านที่แนะนำให้ทุกคนมาพักอย่างยิ่งยวด
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (6,000 ++ บาท/คืน):
- Swissotel Nankai Osaka (8.8/10): สะดวกมากเพราะตั้งอยู่บนสถานีรถไฟ Nankai Namba มาจากสนามบินคันไซคือขึ้นโรงแรมได้เลย ห้องวิวสวย มีครบทั้งยิม สระว่ายน้ำ และสปา
จองผ่าน Agoda / Booking.com / Expedia / Traveloka - MIMARU Osaka Namba (8.9/10): สำหรับคนที่มาเป็นครอบครัวหรือคนที่ต้องการห้องใหญ่ๆ เพราะห้องเค้าใหญ่ม๊าก เป็นฟีลอพาร์ทเมนต์ มีมุมครัว และโต๊ะกินข้าว คือเริ่ดสุด
จองผ่าน Agoda / Booking.com / Traveloka
- Swissotel Nankai Osaka (8.8/10): สะดวกมากเพราะตั้งอยู่บนสถานีรถไฟ Nankai Namba มาจากสนามบินคันไซคือขึ้นโรงแรมได้เลย ห้องวิวสวย มีครบทั้งยิม สระว่ายน้ำ และสปา
- โรงแรมดี ราคาจ่ายได้ (3,000-6,000 บาท/คืน):
- Fraser Residence Nankai Osaka (8.9/10): เป็นที่พักฟีลกึ่งอพาร์ทเมนต์ที่ห้องใหญ่ เดินทางสะดวก แถมมีฟิตเนส ซาวน่า และห้องบิสซิเนสเซ็นเตอร์ไว้ทำงานด้วย
จองผ่าน Agoda / Booking.com / Expedia / Traveloka - Hotel Royal Classic Osaka (9.1/10): ถ้าอยากได้ไวบ์ความญี่ปุ่นร่วมสมัยจากยุคโชวะ แนะนำให้มาพักที่นี่ และทำเลยังสะดวกมากด้วย
จองผ่าน Agoda / Booking.com / Expedia / Traveloka
- Fraser Residence Nankai Osaka (8.9/10): เป็นที่พักฟีลกึ่งอพาร์ทเมนต์ที่ห้องใหญ่ เดินทางสะดวก แถมมีฟิตเนส ซาวน่า และห้องบิสซิเนสเซ็นเตอร์ไว้ทำงานด้วย
- โรงแรมราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน):
- karaksa hotel Osaka Namba (8.9/10): โรงแรมที่เราสามารถเดินไปช้อปปิ้งและเที่ยวที่ Dotonbori ได้แบบสะดวกมาก แถมมีอาหารเช้าราคาต่อคนแค่ 1,100 เยน (~270 บาท) เท่านั้น
จองผ่าน Agoda / Booking.com / Expedia / Traveloka - Kamon Hotel Namba (9.0/10): โรงแรมราคาดี คะแนนปัง แถมยังสวยอีก มีทั้งห้องส่วนตัวและห้องรวมแบบโฮสเทล
จองผ่าน Agoda / Booking.com / Expedia / Traveloka - Hiyori Hotel Osaka Namba Station (9.1/10): โรงแรมเด่นเรื่องทำเล ไปไหนมาไหนง่าย โดยเฉพาะมาจากสนามบิน รวมถึงไปเที่ยวต่อในโอซาก้า ห้องนั้นคือดีมีคะแนนเด่น ถ้าชอบคือแนะนำเลย
จองผ่าน Agoda / Booking.com / Expedia / Traveloka
- karaksa hotel Osaka Namba (8.9/10): โรงแรมที่เราสามารถเดินไปช้อปปิ้งและเที่ยวที่ Dotonbori ได้แบบสะดวกมาก แถมมีอาหารเช้าราคาต่อคนแค่ 1,100 เยน (~270 บาท) เท่านั้น
บัตรท่องเที่ยว Osaka Amazing Pass ราคาเท่าไหร่ และซื้อที่ไหนดี?
สำหรับใครที่มาเที่ยวโอซาก้า (Osaka) แล้วอยากปักไปเที่ยวแลนด์มาร์คชื่อดังหลายๆ ที่ โดยที่เราไม่ต้องกังวัลเรื่องค่าใช้จ่ายจะบานปลายล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เราซื้อ Osaka Amazing Pass เอาไว้ใช้เลย เพราะบัตรพาสนี้สามารถใช้เข้าแลนด์มาร์คทั่วโอซาก้าได้มากกว่า 40 แห่ง รวมถึงยังเอาไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆ อีกทั้งยังใช้ขึ้นรถไฟใต้ดิน (Osaka Metro) และรถเมล์ในโอซาก้าได้อย่างไม่จำกัดตามจำนวนวันที่ซื้ออีกด้วย ดังนั้น Osaka Amazing Pass จึงเหมาะกับคนที่ไม่เคยมาเที่ยวโอซาก้ามาก่อน และต้องการมาเก็บแลนด์มาร์คดังๆ ของเมืองให้ครบมากที่สุด ใครที่จะมาเที่ยวโอซาก้าแบบจริงจังควรซื้อ!
⚡️ สำหรับแลนด์มาร์คหรือกิจกรรมดังๆ ที่ใช้แล้วคุ้มเมื่อมีพาสนี้คือ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle / ค่าเข้า 600 เยน หรือ 145 บาท), ล่องเรือชมอ่าวโอซาก้า (Cruise Ship Santa Maria Day Cruise / ค่าขึ้น 1,600 เยน หรือ 385 บาท) , LEGOLAND® Discovery Center Osaka (ค่าเข้า 2,800 เยน หรือ 670 บาท), จุดชมวิวบนตึกอุเมดะสกาย (Umeda Sky Building / 1,500 เยน หรือ 365 บาท), หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower / ค่าเข้า 900 เยน หรือ 220 บาท), ขึ้นชิงช้าสวรรค์ HEP FIVE Ferris Wheel (ค่าขึ้น 1,000 เยน หรือ 250 บาท)
Osaka Amazing Pass มีแบบไหนบ้าง ราคาเท่าไหร่ และซื้อที่ไหนดี
สำหรับราคาบัตร Osaka Amazing Pass นั้นจะมีด้วยกัน 2 แบบ และมีราคาต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่เราเลือก โดยเค้ามีมาให้เลือกทั้งแบบ 1 และ 2 วัน ตามแต่เราสะดวก ซึ่งถ้าให้ก๊อตแนะนำคือ ให้ซื้อแบบ 2 วันไปเลย คือคุ้มมาก บัตร Osaka Amazing Pass แบบ 1 วัน : ราคา 2,800 เยน (~680 บาท) / แบบ 2 วัน : ราคา 3,600 เยน (~880 บาท)
สำหรับหลายคนที่อยากจะซื้อ Osaka Amazing Pass แต่ยังไม่รู้ว่าจะซื้อผ่านช่องทางไหนดี ก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่าน OTAs อย่าง Klook หรือ KKday วิธีที่ก๊อตว่าสะดวกสบาย ซื้อง่าย และราคาดี สามารถแลกเวาเชอร์จากมือถือเป็นบัตรจริงที่จุดแลกพาสได้เลย
เริ่มต้นเที่ยวย่านนัมบะ (Namba) กันเล้ยย
โดทงโบริ (Dotonbori)
หนึ่งในสถานที่เที่ยวสุดฮิตของเมืองโอซาก้า (Osaka) ในย่านนัมบะจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ใจกลางเมืองของโอซาก้า” ซึ่งโด่งดังมากที่สุดอีกแห่งที่คนญี่ปุ่นเองหรือนักท่องเที่ยวมากันเยอะม๊าก ถึงขนาดที่ว่าวันหยุดสุดสัปดาห์มีคนมาเดินตลอดทั้งวันถึงหลักแสนคน ต้องยกให้เค้าเลยคือ โดทงโบริ (Dotonbori) แหล่งเที่ยวขึ้นชื่อในเรื่องของแสงไฟที่ยามค่ำคืนนั้น ที่พอตกเย็นปุ๊บไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร เค้าจะเปิดไฟสู้กันจนเกิดแสงสว่างไสวฟูฟ่าแบบไม่เคยหลับใหลเลยเชียว นอกจากนี้ที่นี่ยังเลื่องลือในเรื่องของบาร์ และสตรีทฟู้ดชื่อดังของโอซาก้าอีกด้วย
สำหรับคำว่า โดทงโบริ (Dotonbori) นั้น เป็นสถานที่เที่ยวที่ไล่ตั้งแต่คลองโดทงบุริ (Dotonbori Canal) และถนนโดทงบุริ (Dotonbori Street) ทั้งหมด โดยพื้นที่ของเค้าทอดขนานไปกับคลองครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สะพานโดทงโบริบาชิ (Dotonboribashi Bridge) ไปจนถึงสะพานนิปปอนบาชิ (Nipponbashi Bridge) ซึ่ง โดทงโบริ (Dotonbori) นั้น เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1612 โดยยาสุ โดทง (Yasui Doton) ผู้ริเริ่มขุดคูคลองบริเวณนี้ด้วยเงินทุนส่วนตัวของตัวเอง โดยเค้าตั้งใจเพื่อให้เป็นส่วนขยายของคูน้ำอุเมซุ (Umezu River) และเพิ่มพื้นที่การค้าและการขนส่งทางน้ำ แต่เนื่องจากยาสุ โดทง (Yasui Doton) ได้เสียชีวิตในสงคราม โครงการสร้างคลองจึงตกทอดไปยังลูกพี่ลูกน้องและครอบครัวของเขา ก่อนจะมีการขุดคลองต่อจนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1615 โดยได้ตั้งชื่อคลองนี้ว่าโดทงบุริ “Dotonbori” ตามชื่อของยาสุ โดทง (Yasui Doton) นั่นเอง
นอกจากนี้ในช่วงศตวรรษที่ 17- 18 โดทงโบริ (Dotonbori) กลายเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและการแสดงละครที่โอซาก้า (Osaka) โดยมีโรงละครเข้ามาตั้งอยู่มากมาย ก่อนจะมีร้านอาหารและโรงน้ำชาเข้ามาเปิดตาม จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 20 โดทงโบริ (Dotonbori) ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการบันเทิงและการท่องเที่ยวของเมืองไปเป็นที่เรียบร้อยและยังเป็นย่านฮิตประจำเมืองโอซาก้ามาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นใครที่อยากมาเดินชิลๆ หรือจะถ่ายรูป ช้อปปิ้ง หาอะไรกินอร่อยๆท่ามกลางคลองรายล้อมไปด้วยแสง สี มากมายของโอซาก้า ก็ต้องมาที่ โดทงโบริ (Dotonbori) นี่แหละน่าา
สำหรับการเที่ยวใน โดทงโบริ (Dotonbori) ของก๊อต เริ่มต้นเดินบนถนนคนเดินก็คือได้ความโอซาก้าแบบจัดเต็มมาก ด้วยความที่ย่านนี้เป็นแหล่งรวมของกิน และช็ออปชื่อดังของเมืองโอซาก้า (Osaka) บรรยากาศคือฟู่ฟ่าจี๊ดจ๊าดด้วยป้ายไฟ โมเดลอาหาร มาสคอตตุ๊กตาประจำแต่ละร้านที่จัดเต็มกันตั้งแต่บนพื้นไล่ไปจนถึงบนตึก ก๊อตบอกเลยว่าพี่เค้าเล่นใหญ่กันทุกร้าน แบบที่ว่าร้านใครเด่นกว่าคนนั้นชนะเลยล่ะ 555
ใครที่อยากมาเดินหาของกิน สิ่งที่ต้องมากินเลยคือ พิซซ่าญี่ปุ่น เกี๊ยวซ่า และทาโกะยากิ ที่นี่ไปลองซื้อทาโกะจากร้าน Takoyaki Wanaka Dotonbori แล้วสั่งแบบ Specialty Osaka of Original ไส้ปลาหมึกขนาด 8 ลูก ราคา 600 เยน (~150 บาท) มาลอง ส่วนตัวก๊อตว่ารสชาติดี แต่ไส้ปลาหมึกเค้าไม่ได้ให้มาจุกๆ เบอร์นั้นนะ ใครที่อยากลองกินทาโกะแบบออริจิควรลอง จะลองร้านอื่นก็ได้เพราะตรงนี้ร้านทาโกะยากิเยอะมาก แต่ร้านที่ก๊อตกินก็ลองได้เช่นกัน 55555555
อีกอย่างที่ต้องลองคือขนมรูปเหรียญ 10 เยน ที่นี่ไปลองซื้อมาแล้วในราคา 500 เยน (~125 บาท) ขนมปังชีสยืดๆ ข้างใน รสชาตินัวๆ เค็มๆ กินเพลินอร่อยดีเลยเชียวหล่ะ นอกจากนี้ยังมีของกินขายอยู่พรึ่บพรั่บ เดินไปมองไปอยากจะกินมันเสียทุกอย่าง เพราะแต่ละร้านทำของกินขายออกมาได้น่ากินไปหมดเลย
ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign)
ไฮไลท์ของโดทงโบริ (Dotonbori) และเป็นแลนด์มาร์คของเมืองโอซาก้าจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ หากไม่ใช่ ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) บริเวณสะพานเอบิสึบาชิ (Ebisubashi Bridge) ที่มีฉากหลังเป็น ป้ายกูลิโกะขนาดใหญ่ ซึ่งป้ายโฆษณากูลิโกะที่เราเห็นกันนี้ ของจริงสูงถึง 20 เมตร กว้าง 7 เมตร อีกทั้งยังเป็นป้ายโฆษณาที่เปลี่ยนมาแล้วถึง 6 เวอร์ชั่น โดยเวอร์ชั่นแรกเค้าติดกันตั้งแต่ปี ค.ศ.1935 เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นป้ายคู่เมืองโอซาก้า (Osaka) เลยก็ว่าได้ เพราะป้ายนี้เค้าอยู่ตรงนี้มาเกือบร้อยปีแล้ว
ซึ่งบริเวณ ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) เรียกได้ว่าเป็นจุดที่คนเค้ามาถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะกันเหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าเรามาถึงโอซาก้าแล้วจริงๆ แน่นอนว่าคนนี่มหาศาล บรรยากาศตรงนี้คือครึกครื้นสุด ทั้งคนญี่ปุ่นเอย นักท่องเที่ยวเอย เค้าก็จะมายืนถ่ายรูปโบกไม้โบกมือเก๊กท่าเลียนแบบพ่อหนุ่มกูลิโกะชุดขาวที่กำลังอยู่ในท่าวิ่งกันแทบทุกรายเล้ย
จุดถ่ายรูปใหม่กับป้ายกูลิโกะ
สำหรับคนที่อยากถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะแบบใหม่แบบสับ ตอนนี้เค้ามุมลับที่ตอนนี้น่าจะไม่ลับแล้ว เพราะฮิตเกินเบอร์ม๊ากก ก๊อตแนะนำให้เดินลงสะพานเอบิสึบาชิ (Ebisubashi Bridge) มาที่ร้าน NaNo Hana ซึ่งร้านเค้าจะตั้งอยู่เลียบคลองฝั่งตรงข้ามกับ ป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) เดินเข้ามาภายในร้านแล้วให้เลี้ยวขวาได้เลย เราจะเห็นคนยืนต่อแถวยาวๆ รอถ่ายอยู่ ซึ่งมุมลับที่ว่าจะเป็นเซตฉากเหมือนลู่วิ่งบนป้ายกูลิโกะให้เราได้มาโพสต์ท่าถ่ายรูป ซึ่งหากเราไปยืนและจัดองศาของมุมดีๆ แล้วกดแช๊ะภาพ เราจะได้มุมที่มีเส้นลู่วิ่งจากป้ายของกูลิโกะต่อเข้ากับฉากที่ยืนอยู่เป๊ะๆ เสมือนเราได้วิ่งอยู่ในลู่วิ่งเดียวกับพ่อหนุ่มนักวิ่งเค้าเลยแหละ ใครอยากได้รูปกิ๊บเก๋ห้ามพลาดเลย มุมนี้เข้ามาถ่ายได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายซักเยน แต่อาจจะต้องรอคิวกันหน่อยเพราะค่อนข้างป๊อบเอาเรื่อง
ถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street)
มาเดินช้อปปิ้งกันต่อที่ ถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street) หนึ่งในถนนช้อปปิ้งที่ก๊อตเลิฟมากที่สุดในญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าเราจะมาเที่ยวโอซาก้ากันกี่ครั้งก็ต้องแวะเวียนมาที่นี่ทุกรอบ ซึ่งถนนเส้นนี้เราสามารถเดินต่อขึ้นมาจากสะพานเอบิสึบาชิ (Ebisubashi Bridge) ที่ดูป้ายกูลิโกะกันได้เลยนา
โดย ถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street) นั้น ยาวประมาณ 600 เมตร เป็นแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของเมืองที่เปิดกันมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ภายในเต็มไปด้วยสินค้าเยอะม๊ากก ตั้งแต่ร้านขายชุดกิโมโนแบบดั้งเดิม ร้านขายเสื้อผ้าและรองเท้า ร้านอาหารและร้านฟาสต์ฟู้ด รวมไปถึงร้านขายอัญมณี เครื่องประดับ และร้านแฟชั่นอื่นๆ อีกเพียบ ที่ก๊อตบอกเลยว่าใครที่อยากมาช้อปปิ้งกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าที่โอซาก้ากลับบ้านแล้วล่ะก็ ทุกคนต้องปักหมุดมาถนนเส้นนี้เลย
อย่างที่ก๊อตบอกไปถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยร้านรวงเยอะมาก แต่ที่นี่ว่าเยอะสุดๆ เลยคือร้านรองเท้า Multi-brand Store โคตรคูลอย่าง Atmos และ ABC-Mart Grand Stage รวมถึงร้านรองเท้ายอดฮิต Nike, Adidas, Onitsuga Tiger, Sketcher, ASICS และแบรนด์อื่นๆ อีกเยอะมากๆ คือสายสะสมรองเท้า หรือคนที่อยากมาช้อปรองเท้ากลับไปใส่ที่ไทยอยากได้แบรนด์ไหนที่นี่มีหมดจ๊า นอกจากนี้เค้ายังมีร้านสำหรับสายแฟอย่างช็อป H&M ช็อปใหญ่ตรงป้ายกูลิโกะ หรือจะเป็นช็อป Beams, Zara, Bershka, GU (แบรนด์ลูก Uniqlo) และ Uniqlo นั่นเอง ซึ่งจากที่ก๊อตไปเดินส่องมาแล้วนั้น ราคาที่นี่ถูกกว่าที่ไทยหลายบาทอยู่ โดยเฉพาะตอนที่ก๊อตไปแล้วค่าเงินเยนถูกนั้น ยิ่งเหมือนเราได้ซื้อของลดราคาเลยล่ะ
ส่วนใครที่เป็นสายแบรนด์เนม ถนนที่อยู่ขนานกันกับถนนช้อปปิ้งชินไซบาชิ (Shinsaibashi Shopping Street) นั้นจะมี ถนนมิโดซูจิ (Mido-suji Street) ที่มีแฟล็กชิพสโตร์อย่าง Louis Vuitton, Gucci, Prada, Chanel, Hermès, BVLGARI และแบรนด์อื่นๆ ที่ให้เราได้ถลุงเงินจนกระเป๋าตังค์แฟ่บกันเลยทีเดียว
ล่องเรือแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise)
ล่องเรือแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise) ใครที่เดินช้อปปิ้ง ถ่ายรูปเล่นกันจนหนำใจแล้ว ก๊อตอยากให้ทุกคนลองเปลี่ยนบรรยากาศมาล่องเรือในแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise) ด้วย โดยเค้าจะมีเรือที่คอยให้บริการพานักท่องเที่ยวล่องชมวิวอยู่ตลอดทั้งวัน โดยช่วงที่ก๊อตไปนั้นเป็นช่วงกลางวัน เราได้นั่งเรือสีเหลืองปุ๊กปิ๊กลำใหญ่ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนเอาเรื่อง ซึ่งระหว่างที่เรือเคลื่อนที่ไปตามคลองก็จะมีไกด์ชาวญี่ปุ่นมาเล่าถึงประวัติความเป็นมาให้ฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะยากสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราหน่อยๆ ที่อาจจะไม่เข้าใจ 55555
สำหรับบรรยากาศในช่วงกลางวันสองฝั่งคลองจะเต็มไปด้วยตึกและอาคารที่ไม่ได้จี๊ดจ๊าดด้วยแสงไฟเหมือนช่วงเวลากลางคืน ส่วนตัวก๊อตคิดว่าไม่ได้หวือหวามาก โดยรูทของการล่องเรือนั้นคือจะล่องเรือไปทางหนึ่งก่อนแล้ววนกลับมาราวๆ 30 นาที โดยจุดที่เรือพาเราล่องไปจนสุดเส้นทางแล้วลองมองย้อนกลับมาดูวิวด้านหลังที่ล่องผ่านมาก็ถือว่าสวยอยู่นะ และแน่นอนว่าจุดป๊อบๆ อย่างป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man Sign) เค้าก็จะจอดซักแปปให้คนที่อยู่บนเรือได้ถ่ายรูปกัน ถือว่าเป็นอีกมุมที่กิ๊บเก๋กันไปอีกแบบ และอีกความประทับใจที่ก๊อตเจอมาคือความน่ารักของชาวญี่ปุ่นในเวลาที่เรือมันล่องไปเรื่อยๆ ผู้คนตามสองข้างทางจะโบกไม้โบกมือให้เราอยู่ตลอดเลย เออ โคตรน่ารัก
ถ้าให้ก๊อตแนะนำสำหรับการล่องเรือตรงนี้ นี่แนะนำให้มาล่องเรือตอนกลางคืนแทนกลางวัน เพราะก๊อตเองเคยล่องมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน ไวบ์ตอนกลางคืนต่างกับตอนกลางวันลิบลับ บรรยากาศที่เจิดจ้ากันด้วยแสงไฟนีออนและผู้คนที่ตบเท้ามาเดินช้อปกันเยอะม๊าก พอได้มาล่องเรือกันในช่วงกลางวันนี่ก็เลยดูแห้งสนิทไปเลย 5555555
สำหรับการ ล่องเรือแม่น้ำโดทงโบริ (Dotonbori River Cruise) ถ้าใครมีบัตร Osaka Amazing Pass ก๊อตก็ยังแนะนำให้เรากระโดดลงเรือได้มาได้เลย เราจะได้ใช้บัตรให้คุ้มๆ แต่ถ้าใครไม่ได้ซื้อพาสมาก๊อตว่าไม่ต้องล่องเรือก็ได้ ไม่เสียหายอะไรแกร!
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine)
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) เป็นหนึ่งศาลเจ้าของเมืองโอซาก้า (Osaka) ที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ที่เห็นได้แต่ไกลของหัวสิงโตยักษ์ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางย่านนัมบะ (Namba) โดยที่นี่กลายเป็นอีกมุม Instagrammable Spot ยอดฮิตที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปลงไอจีกันเยอะมากเลยนะ ด้วยความที่ศาลเจ้าโดยทั่วไปในญี่ปุ่นมักจะมาด้วยอาคารหลัก และมีเจดีย์ตั้งอยู่เคียงข้าง ซึ่งเป็นการออกแบบส่วนใหญ่โดยรวมจะค่อนไปทางแบบดั้งเดิม มีความสำรวมและเคร่งครัดประมาณหนึ่ง แต่ในทางกลับกัน ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) นั้นเหมือนเป็นศาลเจ้าที่ถูกออกแบบฉีกกฏเหล่านั้นออกมาประหนึ่งเป็นแลนด์มาร์คให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปกับหัวสิงโตยักษ์ที่ไม่เหมือนใครนี่เอง
บรรยากาศภายใน ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) เมื่อเดินเข้ามาเราจะเจอกับหัวสิงโตยักษ์ที่กำลังอ้าปากกว้างต้อนรับผู้คนที่มาเยือนกันตั้งแต่ทางเข้า โดยภายในนั้นจะมีที่สำหรับบูชาเทพเจ้าอยู่ให้เราได้เดินเข้าไปสักการบูชาใกล้ๆ โดยข้างๆ กันนั้นยังมีอาคารหลักที่ผู้คนเค้ามาไหว้สักการบูชาตั้งอยู่ด้วย โดยบริเวณลานตรงกลางที่อยู่ด้านหน้าระหว่างหัวสิงโตกับอาคารหลัง ในช่วงศาลเจ้าที่มีเทศกาลสำคัญๆ บริเวณนี้ถูกใช้เป็นเหมือนเวทีเพื่อการแสดงดนตรี การเต้นรำแบบชินโตโบราณ ไปจนถึงการเชิดสิงโตและอื่นๆ อีกด้วยนะ
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ศาลเจ้านัมบะ ยาซากะ (Namba Yasaka Shrine) จึงไม่เพียงแค่ขลังในเรื่องของการมาขอพรในหน้าที่การงาน ความรัก แต่ยังเป็นศาลเจ้าที่ดีไซน์แปลกตาที่เราไม่ค่อยเห็นกันเท่าไหร่ในญี่ปุ่น ซึ่งนี่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงได้ชื่อว่าเป็นมุมฮิตที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปกัน เพราะหัวสิงโตยักษ์นั้นเก๋ไก๋ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ แหละแกร ก๊อตบอกเลยว่าใครที่มาเที่ยวโอซาก้าก๊อตต้องมาเช็คอินและเซลฟี่คู่กับเจ้าสิงโตยักษ์นี้ให้ได้กันซักแมช
นัมบะปาร์ค (Namba Parks)
อีกหนึ่งห้างที่ตั้งติดสถานีรถไฟนัมบะ (Namba Station) ที่อยากแนะนำคือ นัมบะปาร์ค (Namba Parks) คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการกันมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2003 โดยเดิมทีพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นสนามกีฬา Osaka Stadium ก่อนจะมีการปรับปรุงพื้นที่ให้กลายมาเป็นแหล่งกิน ช็อป เที่ยวแบบครบครันในภายหลัง ภายใน นัมบะปาร์ค (Namba Parks) นั้น มีทั้งอาคารสำนักงาน ช็อปแบรนด์ต่างๆ และร้านอาหารมากกว่า 120 ร้าน รวมไปถึงสวนสาธารณะที่มีมุมพักผ่อนสบายๆ ที่ตอนนี้เปรียบเป็นแลนด์มารค์ของห้างนี้เลยก็คือ Parks Garden สวนบนชั้นดาดฟ้าขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบภายใต้แนวคิดเพิ่มพื้นที่สีเขียวเข้ามาในเมือง โดยสวนเค้ามีลักษณะเส้นสายที่โค้งเว้าแสดงถึงความเป็นธรรมชาติลดหลั่นกันลงมาถึง 8 ชั้น ด้านบนมีต้นไม้กว่า 500 สายพันธุ์ ที่ปลูกกันอยู่กว่า 1 แสนต้น โดยคนออกแบบเค้าต้องการให้สวนแห่งนี้ เป็นพื้นที่สีเขียวที่ผู้คนสามารถมาสัมผัสและให้ธรรมชาติเยียวยาจิตใจได้ ใครอยากสูดอากาศท่ามกลางต้นไม้เขียวๆ ก็ขึ้นไปดูกันได้
แต่ส่วนตัวก๊อตนั้น เราเน้นเดินเที่ยวชมบรรยากาศกันอยู่บริเวณด้านล่างของห้าง ซึ่งนอกจากจะมีช็อปแบรนด์ต่างๆ ให้ช้อปกันแล้ว นี่ยังเพลินตาด้วยเส้นสายของตัวอาคารที่ระหว่างทางเดินไปนั้น ตัวอาคารที่ห้อมล้อมเราเอาไว้ก็จะคดเคี้ยวเป็นเส้นสายที่ดูสวยเก๋แปลกตา และถ่ายรูปสวยเช่นกัน โดยรวมแล้ว นัมบะปาร์ค (Namba Parks) เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ใครอยากมาหาอะไรกิน หรืออยากจะเดินช้อปปิ้งละลายทรัพย์ พร้อมทั้งนั่งฟินๆ ดื่มด่ำกับสายลม แสงแดด และธรรมชาติ บนสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่หาไม่ได้จากที่ไหนในเมืองโอซาก้าอีกแล้วนั้น นัมบะปาร์ค (Namba Parks) คือสถานที่ที่คัดสรรมาแล้วว่าตอบโจทย์การเที่ยวแบบนั้นอย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ เผื่อใครยังไม่รู้ว่าติดกับ นัมบะปาร์ค (Namba Parks) นั้นมีโรงแรมเเบรนด์ไทยอย่าง Centara Grand Hotel Osaka ที่เราคุ้นเคยกันดีตั้งอยู่ด้วย ใครที่มาเที่ยวโอซาก้าแต่ยังอยากนอนท่ามกลางบรรยากาศความเป็นไทย สามารถมานอนที่นี่ได้นะ ทำเลคือดีมาก และได้ยินมาว่าห้องใหญ่และดีมากด้วย
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street)
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) หรือที่เราสามารถเรียกสั้นๆ ได้ว่า “โดกุยะสุจิ (Doguyasuji)” ที่โอซาก้า ใครที่ชอบเข้าครัวและรักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคืออุปกรณ์ทำครัว ถ้าใครที่กำลังอยากได้เครื่องครัวต่างๆ จากแดนปลาดิบของแท้ ก๊อตขอแนะนำกับ ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) หรือที่คนญี่ปุ่นเค้าเรียกที่นี่กันว่า “ถนนเครื่องครัว” นั่นเอง แน่นอนว่าภายในจะขายอะไรไปไม่ได้เลยจ๊า นอกจากอุปกรณ์ทำครัว คือตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปเราจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับสารพัดของในครัว รวมไปถึงของใช้ทั่วไป ของตกแต่งบ้านตั้งเรียงรายอยู่ตามสองข้างทาง ดังนั้นใครที่อยู่บ้านชอบทำอาหารมาก มาเที่ยวโอซาก้าก๊อตบอกเลยว่าต้องปักหมุดมาที่นี่ เพราะเค้ามีเครื่องครัวให้ช้อปกันจนกระเป๋าตังแบนแน่นอน 55555
ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) ถนนช้อปปิ้งยาวกว่า 150 เมตร ที่ได้ฉายาว่าเป็น “ถนนเครื่องครัว” เนื่องจากเต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องครัวแบบครบครัน โดย ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) เดิมทีเคยเป็นพื้นที่แสวงบุญที่ใช้ระหว่างวัดวัดโฮเซ็นจิ (Hozenji Temple) ที่อยู่ทางเหนือ และวัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ โดยทั้งสองวัดนี้ต่างก็เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองโอซาก้า ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1880 เป็นต้นมา โดยช่วงเวลาดังกล่าวระหว่างสองข้างทางเค้าก็ค่อยๆ เริ่มผุดร้านค้าทั่วไป ร้านเฟอร์นิเจอร์โบราณ ร้านอาหาร รวมไปถึงร้านขายอุปกรณ์ทำครัวกันเต็มไปหมด
จนกระทั่งถนนเส้นนี้ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1912 และก็ได้มีการปรับปรุงพื้นที่จนกลับมาเปิดขายสินค้าแบบขายส่งมากขึ้น และแม้ว่าจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้แล้ว แต่ก็ไม่วายถูกโจมตีทางอากาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้งในปี ค.ศ. 1945 และภายหลังสงครามจบสิ้นลงแล้ว พื้นที่โดยรอบของถนนเส้นนี้กลับกลายเป็นตลาดมืดที่ผู้คนเค้าก็เอาข้าวของที่มีออกมาขาย จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ.1950-1985 ได้มีการปรับปรุงและการพัฒนาพื้นที่ตรงนี้ จนในที่สุดก็ได้กลายมาเป็นถนนช้อปปิ้งที่ใครกำลังมองหาเครื่องครัว ของตกแต่งบ้านชื่อดังประจำโอซาก้านั่นเอง
ในช่วงปี ค.ศ. 1985 นั้น ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) ได้มีการจัดเทศกาล “โดกุยะสุจิ (Doguyasuji)” ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเทศกาลจะจัดขึ้นช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี จนท้ายที่สุดเทศกาลนี้ก็ได้กลายเป็นงานประจำปีของที่นี่ไปแล้ว ซึ่งใครที่มาเดินเที่ยวถนนเส้นนี้ในช่วงที่เค้าจัดเทศกาลเราจะได้ช้อปสินค้าราคาถูกลงไปอีก แถมยังมีการโชว์ทำอาหารอยู่ตามหน้าร้านริมถนน รวมไปถึงโชว์เทคนิคการใช้มีดให้ได้ดูกันอีกด้วย ดังนั้นใครมาเที่ยวโอซาตรงกับที่เค้ามีเทศกาลก็อย่าลืมแวะเวียนมาช้อปกันได้นา ก๊อตบอกเลยว่ามาที่นี่ที่เดียวคือครบจบมาก
บรรยากาศภายในฟีลญี่ปุ่นจัดๆ ท่ามกลางร้านขายสินค้าอยู่เยอะมาก ซึ่งก๊อตสังเกตเห็นว่าส่วนใหญ่คนที่เค้ามาเดินช้อปปิ้งที่นี่จะเป็นเหล่าเชฟ หรือกุ๊กร้านอาหารที่มักมาหาซื้อเครื่องไม้เครื่องมือกันที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นจานชามเซรามิก เครื่องครัว หม้อ กระทะ ไปจนถึง มีดทำครัวคือมีให้เลือกซื้อหม๊ด อย่างร้านมีดที่ก๊อตลองเดินเข้าไปดูนี่คือว้าวมาก เค้าขายกันแบบเรียงมีดเป็นแผง ซึ่งนี่ไปส่องราคามา มีดเล่มนึงราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนเลย
นอกจากเครื่องครัวแล้วยังมีข้าวของตกแต่งบ้านอย่างน้องแมวกวัก โคมไฟกระดาษ ม่าน และเหล่าป้ายอาหารสารพัดอย่างก็มีวางขายอยู่เพียบ และยังไม่หมดเท่านั้น ตรงถนนใหญ่ติดกันตรงปลาย ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) เค้ายังมีโซนของเล่น ร้านฟิกเกอร์ ร้านเกม ร้านรวมตู้กาชาปองและตู้ตุ๊กตาคีบเรียงกันเป็นตับทอดให้เราได้มาละลายทรัพย์
ที่น่ารักตอนที่ก๊อตไปเที่ยวก็คือ ขนาดร้าน LAWSON ถึงขั้นทำร้านธีม Dragon Quest Treasure กันเลย บอกเลยว่าที่นี่ถือเป็นอีกย่านที่น่าละลายทรัพย์ของจริงสำหรับคนเข้าครัวและเหล่านักสะสมของเล่นเล้ย
หลังจากที่ก๊อตไปเดินส่องมาแทบจะทุกซอกทุกมุมของ ถนนช้อปปิ้งเซ็นนิจิมาเอะ โดกุยะสุจิ (Sennichimae Doguyasuji Shopping Street) มันเหมาะสำหรับคนที่รักในการทำอาหาร แล้วอยากได้อุปกรณ์ดีๆ ในการเอากลับไปปรุงอาหารที่บ้านมากเว่อร์ เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหาเครื่องครัว ของตกแต่งบ้าน ก๊อตบอกเลยว่ามาที่นี่ที่เดียวคือครบจบมาก
ตลาดคุโรมง (Kuromon Market)
หนึ่งในตลาดที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่มากที่สุดของเมืองโอซาก้า (Osaka) ต้องยกมงให้กับ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) เค้าเลย คือใหญ่แค่ไหนการันตีได้จากชื่อเสียงเรียงนามของตลาดที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ครัวของโอซาก้า” ใครที่อยากมาเดินซื้อของกินชิลๆ และอยากลิ้มรสอาหารทะเลสดๆ ทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา รวมไปถึงสารพัดเนื้ออื่นๆ ที่ขนกันมาทั้งมหาสมุทรให้ได้เลือกซื้อ ก๊อตบอกเลยว่ามาที่ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) รับรองว่าเราจะกินกันจนพุงกาง
สำหรับ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโอซาก้า (Osaka) ภายในตลาดยาวประมาณ 600 เมตร ตั้งขนานไปกับถนนซาไกสุจิโดริ (Sakaisujidori Street) และมีร้านค้ากว่า 150 ร้าน โดย ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) นั้นตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยเรียกว่า “ตลาดเอมเมจิ (Emmeiji Market)” ตามชื่อวัดเอมเมจิ (Emmeiji Temple) ที่ตั้งอยู่ใกล้เคียง จนต่อวัดนี้ได้ถูกทำลายลงในสงครามโลกครั้งที่ 2 ตลาดเองก็เลยถูกเปลี่ยนชื่อว่า “Kuromon Ichiba” ซึ่งแปลว่า “ตลาดประตูดำ” ตามประตูดำของวัดเอมเมจิ ที่เคยมีอยู่นั่นเอง โดยปลาที่มีชื่อเสียงที่สุดของตลาดในช่วงฤดูร้อน คือปลาช่อน และในช่วงฤดูหนาวจะเป็นปลาฟุกุ หรือปลาปักเป้า นั่นเอง ใครจะมาเดินเล่นที่นี่สามารถมาได้ตั้งแต่เช้าเลยนา ตลาดเค้าเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้ายัน 6 โมงเย็นเล้ยย
ใครที่เป็นสายกินแล้วมาเที่ยวที่โอซาก้าก๊อตแนะนำเลยว่าต้องมา ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) เพราะที่นี่ของกินเว่อร์มาก ยิ่งอาหารทะเลแล้วเหมือนยกมหาสมุทรมาให้กินกันตรงหน้า ใครจะมากินกุ้ง หอย ปู ปลา เค้าก็มีมาวางขายกันสดๆ ให้ได้จิ้มซื้อเลย ซึ่งข้อดีของตลาดที่นี่คือปลาสดๆ ที่เราสามารถสั่งซาซิมิและซูชิหน้าปลาดิบเพื่อกินตรงนั้นได้เลยล่ะ โดยด้านในเค้าจะมีจัดเป็นโต๊ะต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับขากินโดยเฉพาะเลย
แต่ถ้าใครใคร่อยากนั่งเป็นร้านอาหารแบบจริงจัง ที่ ตลาดคุโรมง (Kuromon Market) ก็มีให้เลือกเยอะมากเช่นกัน ให้เราลองเดินเลือกร้านที่ชอบแล้วเข้าไปนั่งโลดด ซึ่งถ้าให้ก๊อตแนะนำช่วงเวลาในการมาเที่ยวที่นี่สำหรับสายกินล่ะก็ ให้มาตะลุยแต่เช้าที่เหล่าของสดซีฟู๊ดต่างๆ พึ่งเข้ามาในตลาดนั่นเอง บอกได้เลยว่าของกินที่นี่นั้นเยอะแบบที่ว่ากินกันจนพุงกางเลยแหละ ฮ่าๆ
และนี่ก็คือการมาเที่ยว ย่านนัมบะ (Namba) ของก๊อตในครั้งนี้ ส่วนตัวยกให้เค้าเป็นอีกหนึ่งย่านที่ครบรสไม่แพ้ย่านอื่นๆ เลย แต่ที่นี่อาจจะตอบโจทย์สายกินมากกว่าหน่อย เพราะเค้ามีตลาดและอาหารทะเลสดๆ ขายกันอยู่เยอะมาก ยิ่งใครที่เป็นสายทำอาหาร แล้วอยากมาช้อปปิ้งเครื่องครัวนะ ที่นี่เหมือนดินแดนสวรรค์เลยเชียวแหละ เพราะเค้ามีสินค้าของใช้ในครัวให้เลือกซื้อกันแบบละลานตาสุดๆ และอีกเหตุผลหนึ่งที่ก๊อตแนะนำว่าควรมาเที่ยว ย่านนัมบะ (Namba) เลยก็คือ ป้ายกูลิโกะ ที่เปรียบเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้าไปแล้ว แบบที่ว่าถ้ามาเที่ยวโอซาก้าไม่ได้มาชูไม้ชูมือถ่ายรูปเล่นกับพ่อหนุ่มนักวิ่งในชุดสีขาวสักแมท มันเหมือนเรามาไม่ถึงเมืองเค้าจริงๆ เด้อ ดังนั้น ย่านนัมบะ (Namba) จึงเป็นหนึ่งในย่านเที่ยวของเมืองโอซาก้าที่ไม่ควรพลาดเลย
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡