ชิซึโอกะ (Shizuoka) หนึ่งในจังหวัดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุ (Chubu) ของญี่ปุ่น ใครที่อยากมาดูวิวภูเขาไฟฟูจิแบบฉ่ำมง ก๊อตเชียร์ให้ทุกคนปักหมุดมาเที่ยวที่นี่ได้เลย เพราะ ชิซึโอกะ (Shizuoka) เค้าเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ ดังนั้น หากเราได้มาเที่ยวที่นี่ไม่ว่าจะขึ้นเหนือล่องใต้ จะเดินทางไปที่ไหนก็สามารถดูวิวต้าวฟูจิได้แทบทุกตารางเมตรกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นแหล่งปลูกชาคุณภาพระดับพรีเมียมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นดินแดนสวรรค์ของชาวชาเขียวเลิฟเวอร์ที่สุด ซึ่งโร้ดทริปของก๊อตครั้งนี้มีพาไปเที่ยวที่ไร่ชาโอบุจิ ซะซะบะ (Obuchi Sasaba) ไร่ชาอันโด่งดังที่นอกจากจะปลูกชามากมายแล้ว ยังเป็นจุดชมวิวฟูจิฉ่ำๆ ที่เราสามารถมายืนถ่ายรูปชิคๆ มองเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิท่ามกลางไร่ชาเขียวๆ ไปพร้อมกันด้วย บอกเลยว่าใครที่อยากมาตามล่าแต้มวิวต้าวฟูจิเข้ากรุแล้วล่ะก็ จิ้มมา ชิซึโอกะ (Shizuoka) ไม่มีผิดหวังแน่นอน
รู้จักกับชิซึโอกะ (Shizuoka)
ชิซึโอกะ (Shizuoka) ตั้งอยู่บนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของญี่ปุ่น โดยมีเมืองหลักที่ใช้ชื่อเดียวกันกับจังหวัดว่า เมืองชิซึโอกะ (Shizuoka) เลย ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดชายฝั่งที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์ที่งดงามทางธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ แหล่งมรดกโลกของ UNESCO ที่มีความสูงถึง 3,776 เมตร ทำให้ ชิซึโอกะ (Shizuoka) นั้นเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่ต้องการมาสัมผัสกับความงดงามและอลังการของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่มาถ่ายรูปชมวิวเท่านั้น หากแต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังนิยมมาปีนเขา เดินเทรลบนต้าวฟูจิซังอีกด้วย
สำหรับใครที่ชอบดื่มชาเขียว และอาจจะคุ้นชื่อนี้จากชื่อแบรนด์ชาเขียวที่ขายในบ้านเราเอามาตั้งเป็นชื่อแบรนด์นั้น หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเพราะ ชิซึโอกะ (Shizuoka) เค้าเป็นแหล่งปลูกชาชั้นดีที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยชาเขียวของเค้าโด่งดังไปไกลในระดับโลก แบบที่ว่าชาเกรดพรีเมียมทั้งหลายในญี่ปุ่นที่เราเห็นกันในร้านอาหาร หรือร้านสะดวกซื้อ ส่วนใหญ่ก็ปลูกและผลิตกันอยู่ในเมืองนี้แทบทั้งนั้น เนื่องจาก ชิซึโอกะ (Shizuoka) มีภูมิประเทศแบบภูเขา สภาพดินและอากาศที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ที่นี่ปลูกชาเขียวออกมาแล้วได้คุณภาพสูงนั่นเอง ซึ่งใครมาเที่ยวที่นี่ เค้าแนะนำมาเลยว่าเราต้องลองกินไอศกรีมชาเขียวสักครั้ง เพราะไอศกรีมของเค้านั้นรสชาติอร่อยและเป็นเอกลักษณ์แบบที่หากินจากที่ไหนไม่ได้แน่นอน ยังไม่หมดเท่านั้น นอกจาก ชิซึโอกะ (Shizuoka) จะเป็นแหล่งปลูกชาแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิตวาซาบิคุณภาพสูงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย โดยวาซาบิของที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่เผ็ดฉุนและมีสีเขียวสดซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในท้องตลาดนั่นเอง
เรียกได้ว่า ชิซึโอกะ (Shizuoka) เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่สายตามเก็บวิวภูเขาไฟฟูจิ และรักชาเขียวต้องมา เพราะไม่ว่าเราจะไปเที่ยวมุมไหนของเมืองก็จะมีฉากหลังเป็นวิวภูเขาไฟฟูจิเกือบทุกตารางเมตรเลยจริงๆ ยิ่งคนเลิฟชาเขียวด้วยแล้ว ที่นี่ไม่ต่างจากดินแดนสวรรค์ของคนรักชาเขียวเลยแหละ เพราะเราจะได้ลิ้มรสชาติของชาเขียวแบบออริจิที่มีให้เลือกดื่มกันเพียบ เอาล่ะ ทำความรู้จักกับจังหวัดเค้าไปจนข้อมูลแน่นแล้ว ถึงเวลาไปโร้ดทริปเที่ยวจริงกันเลย จะสนุกครบรสขนาดไหนไปดูกันเร็ว
แพลนโร้ดทริปเที่ยวญี่ปุ่น
จังหวัดนากาโน่ (Nagano) – ชิซึโอะกะ (Shizuoka)
บอกกันก่อนว่า ทริปนี้เราเที่ยวกันแบบโร้ดทริป เช่ารถขับเที่ยวกันเอง โดยเราเริ่มต้นเช่ารถจากคารุอิซาวะ (Karuizawa) ขี้นไปนากาโน่ (Nagano) ขับไหลลงมายังเมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) ชิซึโอะกะ (Shizuoka) และคาบสมุทรอิสุ (Izu Peninsular) ที่มีไฮไลท์เด็ดอย่างการมาดูดอกซากุระสายพันธุ์คาวาซึ (Kawazu) ที่บานเร็วที่สุดในญี่ปุ่นกันตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีด้วย ใครอยากตามรอยเที่ยว สามารถตามแพลนเที่ยวโรดทริปด้านล่างได้เลย ก๊อตทำตารางมาให้แล้ว จะตามแพลนนี้ทั้งหมดก็ได้ หรือจะปรับเปลี่ยนตามความชอบก็ไม่ว่ากัน
วัน | แพลนเที่ยว | เมืองที่นอน |
1 | เมืองคารุอิซาวะ (Karuizawa) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองนากาโน่ (Nagano) |
2 | เมืองนากาโน่ (Nagano) อ่านรีวิวเต็ม คลิก เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) |
3 | เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) |
4 | เมืองชิซึโอะกะ (Shizuoka) – จุดถ่ายรูปวิวภูเขาไฟฟูจิระหว่างทาง (35°25’52.7″N 138°35’44.6″E) – ไร่ชาโอบุจิ ซะซะบะ (Obuchi Sasaba) – น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) – 西村屋食堂 – วัดไทเซกิจิ (Taisekiji Temple) – น้ำตกจินบะ (Jinba Falls) – ทะเลสาบทะนุกิ (Lake Tanuki) – ป่าสนมิโฮะ โนะ มะซึบะระ (Miho no Matsubara) – เส้นทางซัทตะ โทเกะ (Satta Pass) | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) ที่พัก: Super Hotel Fujinomiya |
5 | เมืองอิสุตะวันตก (West Izu) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองชิโมดะ (Shimoda) |
6 | เมืองคาวาซึ (Kawazu) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองอิโตะ (Ito) |
7 | เมืองอิโตะ (Ito) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองอาตามิ (Atami) |
8 | เมืองอาตามิ (Atami) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | – |
ส่วนลด OTA | ส่วนลด Klook ส่วนลด Agoda ส่วนลด Booking ส่วนลด Expedia ส่วนลด Hotels |
วิธีมาเที่ยวชิซึโอกะ (Shizuoka) ด้วยรถสาธารณะ
วิธีเดินทางมาเที่ยวที่ชิซึโอกะ (Shizuoka) เราสามารถเดินทางได้หลายวิธีเลย ซึ่งก๊อตจะยึดการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่โตเกียว (Tokyo) เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยว หรือคนไทยที่บินมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นที่มาเที่ยวโซนนี้ มักจะบินมาลงที่โตเกียว (Tokyo) จากนั้นค่อยเริ่มออกเที่ยวตามเมืองต่างๆ สำหรับการเดินทางมาที่ชิซึโอกะ (Shizuoka) นั้น ก็สะดวกมากๆ เพราะเค้ามีขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม โดยก๊อตได้รวมเอาวิธีการเดินทางทั้งหมดมาไว้ให้ตามด้านล่างนี้ ใครชอบแบบไหน ถนัดทางใด จิ้มตามนี้ได้เล้ยย
วิธีการเดินทางจากโตเกียว (Tokyo) <-> ชิซึโอกะ (Shizuoka)
1. รถไฟ (⭐️⭐️ แนะนำ): การเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่ก๊อตแนะนำมากที่สุดสำหรับไปเที่ยวชิซึโอกะ (Shizuoka) แล้ว เนื่องจากใช้เวลาเดินทางไม่นาน เพราะชิซึโอกะ (Shizuoka) มีรถไฟความเร็วสูงชินคันเซน (Shinkansen) สาย Tokaido Shinkansen ขบวนฮิการิ (Hikari Train) ที่ใช้เวลาเดินทางเพียง 60 นาที และเค้ายังมีขบวนโคดามะ (Kodama Train) ที่ใช้เวลาเดินทาง 90 นาที ให้บริการอยู่ด้วย โดยเราสามารถนั่งตรงมาจากโตเกียวได้เลย สำหรับราคาตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาสจะอยู่ที่ 5,490 เยน (~1,320 บาท) *ตั๋วแบบนี้ไม่สามารถระบุที่นั่งได้ แต่ถ้าใครอยากเลือกที่นั่งมาก่อนแบบเซฟๆ ก๊อตแนะนำให้ซื้อตั๋วราคา 6,500 เยน (~1,560 บาท) โดยการเดินทางจากทั้งสองขบวนสามารถใช้พาส Japan Rail Pass ได้เลย
- 🎫 ดูและจองตั๋วรถไฟในญี่ปุ่นทุกเส้นทาง ผ่าน Klook
- 🎫 Japan Rail Pass – All Area (JR Pass) : สามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR ได้ทั่วประเทศ รวมถึงรถไฟหัวกระสุน Shinkansen เกือบทุกสาย ทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึงนั่งรถไฟท่องเที่ยว Yufuin no Mori ได้ด้วย (แต่จองที่นั่งออนไลน์ด้วยพาสนี้ไม่ได้ ต้องไปจองที่สถานี JR) มีแบบ 7 วัน ราคาราวๆ ~12,000 บาท [ซื้อผ่าน Klook] [ซื้อผ่าน KKday]
2. เช่ารถขับ (⭐️⭐️แนะนำ): ใครที่เน้นสะดวก ไม่อยากเสียเวลารอขึ้นรถสาธาณะ วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางเลยคือการเช่ารถขับที่เราสามารถเช่ารถจากเมืองไหนในญี่ปุ่นก็ได้แล้วแต่เราจะสะดวก โดยข้อดีของการเช่ารถคือเราสามารถขับเที่ยวไปไหนก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องมาเสียเวลารถสาธารณะ และไม่ต้องเดินเยอะอีกด้วย แต่ทั้งนี้ การเช่ารถก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายของทริปเราที่จะสูงขึ้นมากแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่ารถต่อวันเอย (เฉลี่ย 2,000 บาท/วัน) ค่าน้ำมัน และค่าทางด่วนที่แพงม๊ากกก แต่ถ้าใครชอบเที่ยวแบบโร้ดทริปแต่จ่ายได้ บอกเลยว่าเช่ารถเที่ยวนั้นคือสนุกที่สุดแล้ววว
DAY 0 :
จุดถ่ายรูปวิวภูเขาไฟฟูจิระหว่างทาง (35°25’52.7″N 138°35’44.6″E)
จุดถ่ายรูปวิวภูเขาไฟฟูจิระหว่างทาง (35°25’52.7″N 138°35’44.6″E) ก่อนอื่นเลยก๊อตต้องบอกก่อนว่าที่นี่เป็นจุดที่เราเจอโดยบังเอิญขณะที่ขับรถจากเมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) เพื่อมายังเมืองชิซึโอะกะ (Shizuoka) ซึ่งระหว่างทางที่ขับรถเข้าไปใกล้ตัวเมืองเรื่อยๆ วิวของภูเขาไฟฟูจิก็เด่นหราชัดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งนี่กับเพื่อนก็เลยหาทำเลเหมาะๆ แวะเก็บภาพบรรยากาศสักหน่อย จนเรามาเจอกับจุดที่ดูเป็นไปได้ที่สุด แถมยังจอดรถได้อีกด้วย นั้นคือ จุดถ่ายรูปวิวภูเขาไฟฟูจิระหว่างทาง (35°25’52.7″N 138°35’44.6″E) ที่อยู่ติดกับทุ่งหญ้าโล่งๆ ซึ่งข้อดีของจุดนี้เลย คือเราสามารถเดินลงไปที่ทุ่งหญ้าแล้วลั่นชัตเตอร์ถ่ายรูปวิวกับต้าวฟูจิได้เลย
ใครที่อยากจะมาตามรอยก๊อตให้ปักหมุดในกูเกิ้ลแมพไปว่า 35°25’52.7″N 138°35’44.6″E ซึ่งจากจุดชมวิวนี้เราสามารถมองเห็นวิวของต้าวฟูจิซังที่อยู่ด้านหลังได้ชัดๆ แบบทั้งภูเขาโดยที่ไม่มีอะไรมาบดบังความงดงามของเค้าเลย และด้วยความที่เรามาถึงกันเกือบเย็นแล้ว ไวบ์ภาพที่ได้ในตอนนั้น ก็จะเป็นทุ่งหญ้าสีน้ำตาลทองในช่วงเวลาใกล้ค่ำ ตัดด้วยภูเขาไฟฟูจิที่สวยด้วยแสงอาทิตย์ริบหรี่ที่ตกกระทบกับหิมะบนยอดเขาและท้องฟ้าสีละมุนอยู่ด้านหลังที่ชวนให้ภาพมันได้มู้ดสุดแสนจะอบอุ่นมาก
โดยรวมแล้ว จุดถ่ายรูปวิวภูเขาไฟฟูจิระหว่างทาง (35°25’52.7″N 138°35’44.6″E) เป็นอีกจุดถ่ายรูปวิวที่ใครผ่านมาเส้นนี้สามารถแวะชมก่อนได้ แต่ถ้าไม่ได้ขับรถมาเส้นทางเดียวกันแบบก๊อต หรือมาจากเมืองอื่นๆ ไม่ต้องแวะมาตรงนี้ก็ได้นะ เพราะพอเราเข้าไปถึงในเมืองชิซึโอะกะ (Shizuoka) แล้ว มันมีจุดให้ถ่ายรูปคู่กับวิวต้าวฟูจิแบบชัดๆ อีกนับไม่ถ้วนเลยเชียว แถมตรงนี้เองยังมาด้วยรถสาธารณะลำบากด้วยแหละ
DAY1 :
ไร่ชาโอบุจิ ซะซะบะ (Obuchi Sasaba)
ไร่ชาโอบุจิ ซะซะบะ (Obuchi Sasaba) ที่เที่ยวแรกที่ก๊อตมากัน โดยที่นี่เค้าเป็นไร่ชาสุดฮิตในชิซึโอะกะ (Shizuoka) เลยก็ว่าได้ ซึ่งก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าพื้นที่ของไร่ชาที่นี่เค้าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล แต่ยังคงให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวได้ฟรี ดังนั้น ใครที่กำลังมาเที่ยวที่นี่ ก๊อตแนะนำว่าให้เรามาเดินเล่นดื่มด่ำไปกับบรรยากาศก็พอ และหากใครมาในช่วงที่เค้ายังถึงฤดูไม่เก็บใบชาก็อย่าไปเด็ดใบชาเค้ากันนะเว้ย
สำหรับ ไร่ชาโอบุจิ ซะซะบะ (Obuchi Sasaba) ในตอนที่ก๊อตไปเที่ยวมานั่น เราสามารถจอดรถด้านหน้าแล้วเข้ามาเล่นได้เลย โดยในตอนที่ก๊อตไปนั้นแทบจะไม่มีคนเลยแหละ ก๊อตกับเพื่อนก็เอนจอยเดินถ่ายรูปกันเพลินเลยทีเดียว ซึ่งการเที่ยวของก๊อตก็คือเดินไปตามถนนที่พาดผ่านกลางไร่ชา หรือบางทีก็มีทางเดินเท้าเล็กๆ ระหว่างต้นชาที่พอให้เราได้เดินซอกแซกเข้าไปเชยชมความงามของใบชากันได้
ซึ่งนี่โชคดีที่ไปตอนใบชาเค้าเขียวขจีสุดมู้ดคือดีต่อใจเว่อร์ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสน่ารัก แต่ในความโชคดีนั้นยังมีความโชคร้ายเพราะยอดภูเขาไฟฟูจิในวันนั้น ดั๊นมีก้อนเมฆปกคลุมเอาไว้เสียนี่ แน่นอนว่าเราได้แค่รูปไร่ชาสวยๆ แต่อดได้ภาพมุมป๊อบที่เห็นวิวต้าวฟูจิชัดๆ แบบชาวบ้านชาวช่องเขาซึ่งน่าเสียดายมาก แงง
โดยช่วงเวลาที่เค้าแนะนำให้มาที่ ไร่ชาโอบุจิ ซะซะบะ (Obuchi Sasaba) เลยก็คือ “เดือนพฤษภาคม” เนื่องจากเป็นฤดูกาลก่อนเก็บใบชา และบนยอดภูเขาไฟฟูจิยังคงมีน้ำแข็งหลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้นเราจะได้เห็นวิวของใบชาเขียวชอุ่มที่ปลูกเป็นแถวๆ หน้าตาเหมือนเค้กโรลสุดปุ๊กปิ๊ก ตัดกับท้องฟ้าสีครามและหิมะสีขาวโพลนบนยอดต้าวฟูจิซัง แต่บอกก่อนเลยว่าใครจะมาช่วงเวลานี้ต้องเตรียมใจมาพบกันคนจำนวนมหาศาล เพราะจะไม่ได้มีแค่นักท่องเที่ยวเท่านั้นที่มาเยือน หากแต่ยังมีช่างภาพจากทั่วมุมโลกที่ต่างก็มาตามเก็บภาพภูเขาไฟฟูจิกันสะบัดเลยเชียว
สำหรับใครที่เดินเที่ยวจนพอใจแล้ว ตรงทางเข้าไร่ชาเค้ามีร้านค้าที่ขายชา ขนม และของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ตั้งขายอยู่ด้วยนา เราสามารถแวะมากินขนมรองท้องได้ แต่ก๊อตไม่แน่ใจว่าเค้าเปิดกี่โมงอะไรยังไง เพราะตอนที่ก๊อตไปนั้นร้านเค้าปิดแหละ โอ้ย วันนี้ช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย 55555
น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls)
น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) ใครสายตามล่าวิวฟูจิซังที่อยากได้ฟีลอลังการของน้ำตกอันยิ่งใหญ่ ก๊อตแนะนำให้ปักหมุดมาเที่ยวต่อที่ น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) กันได้เลย เพราะเราจะได้ดื่มด่ำไปกับน้ำตกที่ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นจุดชมวิวและอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1936 และยังได้รับเลือกให้เป็น “สถานที่ท่องเที่ยว 100 อันดับแรก หมวดน้ำตกในญี่ปุ่น” เมื่อปี ค.ศ. 1950 อีกด้วย
สำหรับการเที่ยวที่ น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) เค้าจะมีเส้นทางการเดินเป็นวงกลมที่เราสามารถเดินตามเส้นทางของเค้าได้เลย ซึ่งภายในมันก็จะเป็นจุดๆ ให้เราได้ค่อยๆ แวะกันไป เริ่มจากจุดแรกที่เจอก็คือ น้ำตกโอโตโดเมะ (Otodome Falls) สูง 25 เมตรที่เราสามารถยืนดูได้บนแพลตฟอร์มขนาดเล็กและส่องดูน้ำตกจากมุมสูงแทน ซึ่งน้ำตกนี้เองก็สวยอยู่นะ น้ำไหลแรงตกจากที่สูงลงบนแม่น้ำด้านล่าง ซึ่งน้ำตกนี้เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้นนา
เมื่อเราเดินต่อตามเส้นทางไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่เราเห็น สะพานทากิมิ (Takimi Bridge) สะพานที่พาดยาวอยู่กลางลำธารที่ไหลลงมาจากน้ำตกที่อยู่เยื้องขึ้นไปด้านบน นั่นหมายความว่าเราได้ถึง น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสะพานนี้เองถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวน้ำตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งเลย เพราะเราจะได้เห็นถึงความงดงามของสายน้ำที่ไหลลงมาราวกับม่านสีขาวสุดพริ้วไหว ท่ามกลางทิวทัศน์ของผืนป่าที่ใบไม้จะเปลี่ยนสีกันไปตามแต่ละฤดูกาล ซึ่งภาพมุมสูงจากบนสะพานนั้นสวยโคตรๆ จนเราต้องรีบเดินลงไปด้านล่างด้วยความไวแสง
พอก๊อตเดินลงมาจากสะพานแล้วมาเจอกับความสวยงามของ น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) แบบใกล้ๆ นี่บอกเลยว่าของจริงอลังการจนแทบตาค้าง น้ำที่ไหลออกมาจากขอบหินลาดชันด้านบน ซึ่งเคยเป็นภูเขาไฟมาก่อนจนมาถึงทุกวันนี้ที่แนวเขาทำหน้าที่เสมือนที่กักเก็บน้ำเอาไว้ ก่อนจะไหลทะลักล้นออกมาตามแนวหินด้านบนเกิดเป็นม่านน้ำตกสีขาวๆ ฟูฟ่อง ไหลลงสู่ลำธารบริเวณด้านล่างยาวไปจนถึงตัวสะพานที่เราเพิ่งเดินผ่านมา
ใครที่อยากดื่มด่ำกันสายน้ำฉ่ำๆ ที่น้ำตกเค้ามีแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่สร้างยื่นหน้าออกไปสู่ตัวน้ำตกด้วยนะ หรือถ้าใครอยากลงไปเดินสำรวจ น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) ด้านล่างอย่างใกล้ชิด ก็สามารถลงไปได้เช่นกันนา ซึ่งบริเวณด้านล่างนี้เราจะได้ถ่ายกับรูปน้ำตกได้แบบสวยมากก เอ้า ดูน้ำตกจนฉ่ำตากันแล้ว จุดสุดท้ายที่ห้ามพลาดเลยก็คือ วิวภูเขาไฟฟูจิที่เป็นแบล็คกราวด์ของน้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) อันนี้บอกได้เลยว่าเป็นจุดที่ดูวิวภูเขาไฟฟูจิอีกจุดหนึ่งที่สวยมากที่สุดของญี่ปุ่น เพราะเราจะได้เห็นภาพวิวของ น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) อยู่ด้านล่างและมีภูเขาไฟฟูจิอยู่ด้าน ของจริงที่มองด้วยตาเปล่ามันเลอค่ามาก ควรแก่การเดินขึ้นมาที่สุด และถือเป็นรูทเดินเที่ยวทิ้งท้าย น้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Falls) ได้แบบคอมพลีทมาก
ร้านอาหาร 西村屋食堂
เที่ยวกันมาครึ่งค่อนวัน ก๊อตขอแวะมาฝากท้องที่ ร้านอาหาร 西村屋食堂 โดยตอนที่เรามากินที่ร้านนี้นั้น ต้องบอกก่อนว่าทางนี้สุ่มหาร้านอาหารในกูเกิ้ล แล้วมาเจอร้านนี้ที่มีคะแนนรีวิวถึง 4.5 ก๊อตกับเพื่อนเลยมาฝากท้องกันอย่างไว ซึ่งร้านเค้าเป็นร้านเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่วิวสวยเพราะมีภูเขาไฟฟูจิตั้งเป็นฉากหลังอยู่ด้วย
พอเดินเข้ามาภายในร้าน เราจะเจอกับคุณลุงและคุณป้าคนญี่ปุ่นที่กำลังช่วยกันทำอาหารและเสิร์ฟกันอยู่สองคน ซึ่งอาหารส่วนใหญ่ของเค้าจะเป็นชุดอาหารญี่ปุ่นที่ขายกันเป็นเซต หรือใครอยากจะสั่งซูชิมากินเป็นคำๆ ก้สามารถสั่งได้นา โดยก๊อตกับเพื่อนตอนนั้นคือหิวกันมาก เราจิ้มสั่งมาทั้งซูชิและเซตข้าวแบบจัดเต็ม ซึ่งคุณลุงเค้าก็จะลงมือปรุงอยู่หลังเคาท์เตอร์ด้วยความพิถีพิถัน จากนั้นก็จะนำมาเสิร์ฟให้เราได้ลิ้มรสกัน โดยรสชาติอาหารนั้นนอกจากวัตถุดิบที่สัมผัสได้ถึงความสดสะอาดแล้ว รสชาติยังอร่อยเกินคาดมาก ให้กลิ่นอายเหมือนเราได้มากินอาหารท้องถิ่นที่แท้ๆ ทำโดยคนพื้นที่จริงๆ ประมาณนั้นเลย แถมราคาอาหารยังไม่แพงมากด้วย เป็นร้านที่กินแล้วรู้สึกคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปมาก ก๊อตแนะนำเลย
วัดไทเซกิจิ (Taisekiji Temple)
วัดไทเซคิจิ (Taisekiji Temple) เป็นอีกหนึ่งวัดที่ก๊อตและเพื่อนมาเที่ยวกันโดยบังเอิญ คือสารภาพตามตรงเลยว่าแพลนเที่ยวชิซึโอกะ (Shizuoka) ของก๊อตนั้นไม่ได้มีวัดนี้อยู่ในลิสต์เที่ยวแต่อย่างใด แต่หลังจากเรากินข้าวกันอิ่มแล้วกำลังจะเช็คบิลไปเที่ยวที่ใหม่ คนญี่ปุ่นที่เค้านั่งกินอยู่ในร้านก็ทักทายแล้วก็ถามว่าเรามา วัดไทเซคิจิ (Taisekiji Temple) ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ แล้วหรือยัง วิวสวยมากเลย นี่ก็ เอ้อ ไม่รู้ว่ามีวัดนี้ด้วย เลยให้เค้าบอกทางแล้วเราก็มาตามรอยนั่นเอง
สำหรับ วัดไทเซคิจิ (Taisekiji Temple) จากที่ก๊อตไปหาข้อมูลมาให้ ที่นี่เค้าสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1290 โดย พระสังฆราชองค์ที่สอง “นิกโก โชนิน” บนที่ดินที่ได้รับบริจาคจากผู้ศรัทธา ซึ่ง วัดไทเซคิจิ (Taisekiji Temple) นั้นมีอีกชื่อที่รู้จักกันอย่างไม่เป็นทางการว่า วัดหลักไทเซกิจิ (Head Temple Taisekiji) โดยชื่อไทเซกิจิ (Taisekiji) มีความหมายว่า “วัดหินใหญ่” ที่คนเค้าคาดการณ์ไปว่า อาจตั้งตามพื้นที่ตั้งของวัดที่เรียกว่า “O-ishi-ga-hara” หรือทุ่งหินขนาดใหญ่ เนื่องจากทำเลของวัดนั้นตั้งอยู่บริเวณใกล้กับภูเขาไฟฟูจินั่นเอง
โดยที่ วัดไทเซคิจิ (Taisekiji Temple) นั้น เปรียบเป็นดั่งศูนย์กลางการปกครองของพุทธศาสนานิกายนิชิเร็นโชชู (Nichiren Shoshu Buddhism) หนึ่งในนิกายฝ่ายมหายานของพระพุทธศาสนานิกายนิจิเร็ง โดยเค้ายึดหลักคำสอนตามพระนิจิเร็นไดโชนิง พระภิกษุชาวญี่ปุ่นที่ผู้คนมีความเชื่อว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าอีกด้วย ซึ่งปัจจุบัน ผู้คนที่มาเยือนวัดแห่งนี้นั้นต่างก็มาสักการะไดโงฮนซง (Dai Gohonzon) ที่ลักษณะเป็นจารึกทำจากไม้ มีภาษาจีนและภาษาสันสกฤต โดยคนเค้าเชื่อว่า สิ่งนี้คือ สิ่งสักการบูชาสูงสุดของศาสนาพุทธนิกายนิชิเร็นโชชู (Nichiren Shoshu Buddhism) ที่จะช่วยรวมผู้คนและหลักคำสอนเข้าไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความพิเศษของวัดแห่งนี้ที่เราเดินมาถึงและเห็นเป็นอย่างแรกเลย คือพื้นที่ตั้งของวัดอยู่ริมถนนเส้นหลักในเมืองเลย โดยสัญลักษณ์เด่นที่บ่งบอกว่าเรามาถึงที่ วัดไทเซคิจิ (Taisekiji Temple) แล้วก็คือซุ้มประตูไทเซกิจิ แซนมอน (Taisekiji Sanmon Gate) ตรงทางเข้าที่ตั้งสง่าอยู่ด้านหน้า โดยตรงนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ก๊อตแนะนำว่าต้องมาเช็คอิน เพราะเราจะได้ถ่ายรูปกับความขลังของซุ้มประตูที่มีวิวด้านข้างเป็นภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มสายตา ซึ่งก๊อตบอกเลยว่าจุดนี้ถ่ายรูปออกมาแล้วว้าวมาก แถมช่วงที่ก๊อตไปนั้นแทบไม่มีคนเลย ถ่ายรูปได้แบบชิลๆ เลยล่ะ
ถ่ายรูปด้านหน้าจนหนำใจแล้ว ให้ทุกคนเดินตรงเข้าไปตามเส้นทางสู่อาคารหลักได้เลย ซึ่งทางเดินเค้าจะเป็นถนนลาดยาวเข้าไปด้านในตัววัด โดยระหว่างทางเดินนอกจากต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้จนร่มรื่นแล้ว สองข้างทางยังเต็มไปด้วยกุฏิของพระลูกวัดที่ปลูกเรียงราย ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบจนนี่ได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองไล่ตามหลังมาทุกย่างก้าว
สำหรับบริเวณด้านในสุดของทางเดินนั้น จะเป็นพื้นที่เหมือนเนินสูงที่มีอาคารหลักตั้งอยู่ ซึ่งบอกก่อนว่าก๊อตไม่ได้เข้าไปด้านในอาคารนะ เนื่องจากอาคารหลักของวัดเค้าสงวนเอาไว้สำหรับสมาชิกของนิกายนิชิเร็นโชชู (Nichiren Shoshu) หรือคนที่เดินทางมาที่นี่พร้อมกับสมาชิกเท่านั้น ซึ่งก๊อตเองก็เลือกที่จะยืนเคารพอยู่ลานด้านนอกแทน จากนั้นก็เดินสำรวจบรรยากาศรอบๆ ที่ค่อนข้างสงบกันอยู่สักพัก แล้วเราก็เดินกลับลงมาทางเดิม
หากใครมาเที่ยวที่ชิซึโอะกะ (Shizuoka) แล้วอยากมาวัดที่อยู่ท่ามกลางวิวฟูจิสวยๆ ก๊อตอยากให้มากันที่ วัดไทเซคิจิ (Taisekiji Temple) ยิ่งช่วงนี้สถานที่มันยังใหม่มากๆ และคนยังไม่ได้มากันเยอะ คือเดินเที่ยวและถ่ายรูปเพลินเลยแหละ
หมดอายุ: 10-10-2024
หมดอายุ: 10-10-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
น้ำตกจินบะ (Jinba Falls)
น้ำตกจินบะ (Jinba Falls) หนึ่งในน้ำตกเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่บรรยากาศดีงาม จนถูกขนานนามว่าเป็น “น้ำตกสำหรับครอบครัว” ใครที่มาเที่ยวชิซึโอกะ (Shizuoka) แล้วพาเด็กๆ หรือคุณพ่อคุณแม่มาด้วย หากอยากเที่ยวชมธรรมชาติชิลๆ และความชุ่มฉ่ำของน้ำตกแล้วล่ะก็ ก๊อตแนะนำ น้ำตกจินบะ (Jinba Falls) เลย เพราะที่นี่เราไม่ต้องเดินบุกป่าฝ่าเขาเข้าไปให้ลำบาก ด้วยเส้นทางเดินที่ง่ายทั้งต่อเด็กและผู้สูงอายุ บวกกับบรรยากาศสบายๆ ของสายน้ำที่ไหล่ฟู่ฟ่าจนเกิดเป็นแอ่งน้ำและสายลำธารเล็กๆ จึงทำให้ที่นี่เค้าเหมาะสำหรับเป็นสถานที่เที่ยวพักผ่อนสำหรับคนทุกวัย ที่สามารถมาเที่ยวเล่นน้ำแบบม่วนจอยได้เลย
สำหรับ น้ำตกจินบะ (Jinba Falls) ก่อตั้งโดยรัฐบาลโชกุนคามาคุระ (ค.ศ. 1185-1333) ซึ่งขณะนั้นเหล่าโชกุนเค้าก็ได้มาล่าสัตว์ในบริเวณน้ำตกแห่งนี้ และได้มีการตั้งค่ายพักแรมอีกด้วย จากนั้นทางรัฐบาลโชกุนคามาคุระ จึงได้มีการตั้งชื่อน้ำตกที่พวกเขามาค้างอ้างแรมว่า น้ำตกจินบะ (Jinba Falls) ซึ่งคำว่า จินบะ (Jinba) เองนั้นมีหมายความว่า “จุดตั้งแคมป์” อีกด้วย โดยปัจจุบัน น้ำตกจินบะ (Jinba Falls) นอกจากจะใสแจ๋วจนมองเห็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำแล้ว อุณหภูมิของน้ำที่ไหลลงมาจากโขดหินลงสู่พื้นด้านล่างนั้น ยังมีความเย็นอยู่ตลอดทั้งปี ทีนี้ชาวบ้านในท้องถิ่นเค้าเลยเรียกน้ำตกว่าแห่งนี้ว่าเป็น “ตู้เย็นธรรมชาติ” อีกทั้งยังนำเอาผักหรือพวกเครื่องดื่มกระป๋องมาแช่เย็นในน้ำตกไปอี๊ก
บรรยากาศโดยรอบน้ำตกเหมือนเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ที่ล้อมรอบไปด้วยแนวโขดหิน และผืนป่า ซึ่งตัวน้ำตกเขาก็ไหล่ซู่ซ่าลงมาจากแนวโขดหินด้านบนตกกระทบลงสู่พื้นด้านล่างไหลวนไปรอบๆ ราวกับลำธารย่อมๆ ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้นแทบไม่มีคนเลย เราเลยเลือกมุมที่ชอบแล้วถ่ายรูปเล่นได้สบายเลยแหละ ซึ่งธรรมชาติของที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก และแอบบอกว่าอากาศข้างในนี้เย็นฉ่ำสุด และที่เค้าบอกว่าสายน้ำจาก น้ำตกจินบะ (Jinba Falls) นั้นเย็นฉ่ำตลอดปี อันนี้จิ้มพิสูจน์มาให้แล้ว คือเย็นจริ้งง
ส่วนตัวก๊อตคิดว่าใครพอมีเวลาว่างแล้วไม่ได้แพลนไปไหนต่อ ก็ลองมานั่งชิลๆ ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศฉ่ำๆ ของ น้ำตกจินบะ (Jinba Falls) ได้นา นี่ว่าแม้เค้าจะเป็นน้ำตกขนาดเล็ก แต่ไวบ์มันไม่ได้แย่เลย ให้ฟีลสถานที่พักผ่อนสบายๆ ที่เหมาะกับการพกหนังสือเล่มโปรดมาสักเล่ม แล้วแบกเก้าอี้มานั่งอ่านจอยๆ ไปกับบรรยากาศเย็นที่มันมีความน่ารักหนุบหนับช่วยฮีลใจเราได้ดีมากเลยล่ะ
ทะเลสาบทะนุกิ (Lake Tanuki)
ทะเลสาบทานูกิ (Lake Tanuki) อีกหนึ่งจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของชิซึโอะกะ (Shizuoka) หากใครเป็นสายตามล่าต้าวฟูจิซัง ก๊อตแนะนำว่าให้ปักหมุดมาเก็บวิวที่นี่เข้ากรุไปด้วย ด้วยบรรยากาศของทะเลสาบที่ห้อมล้อมไปด้วยหุบเขาและต้นไม้ มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิลูกโตที่ในยามท้องฟ้าเปิดแล้วแสงแดดตกกระทบลงมาคือโคตรสวย โดยเฉพาะบริเวณผิวของน้ำในทะเลสาบจะปรากฏภาพของเงาสะท้อนฟูจิซังที่สวยราวกับภาพวาดจากศิลปินเลยเชียว ซึ่งใครที่ขับรถมาเที่ยวเองแบบก๊อตเราสามารถเอารถเข้าไปจอดตรงลานจอดรถของเค้าแล้วเดินลงมาส่องทิวทัศน์สวยๆ ได้เลย
ทะเลสาบทานูกิ (Lake Tanuki) เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองฟูจิโนะมิยะ (Fujinomiya) จังหวัดชิซึโอกะ (Shizuoka) อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ (Fuji-Hakone-Izu) โดย ทะเลสาบทานูกิ (Lake Tanuki) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำของแม่น้ำชิบะ (Shiba River) เมื่อปี ค.ศ. 1935 จนเกิดเป็นอ่างเก็บน้ำ ก่อนจะมีการขุดขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับในการชลประทาน ซึ่ง ทะเลสาบทานูกิ (Lake Tanuki) มีความลึกประมาณ 8 เมตร และมีเส้นรอบวง 4 กิโลเมตร และปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้ถูกจัดว่าเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและนกนานาชนิด รวมถึงยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในหมู่คนท้องถิ่นที่เค้านิยมมาเที่ยวพักผ่อนตามริมทะเลสาบในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยรอบๆ ทะเลสาบมีกิจกรรมให้เราเลือกทำเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ที่ตั้งแคมป์ ตกปลา ไปจนถึงจุดพายเรือที่สามารถมาทำร่วมกันได้ด้วย
นอกจากนี้ที่ ทะเลสาบทานูกิ (Lake Tanuki) ยังเป็นหนึ่งในจุดที่เราสามารถมาดูวิวของภูเขาไฟฟูจิได้งดงามไม่แพ้ทะเลสาบทั้ง 5 อันโด่งดัง อย่าง ทะเลสาบยามานากะโกะ (Lake Yamanakako), ทะเลสาบคาวากุจิ (Lake Kawaguchi), ทะเลสาบไซโกะ (Lake Saiko), ทะเลสาบโชจิโกะ (Shojiko) และทะเลสาบโมโตสุโกะ (Motosuko) โดย ทะเลสาบทานูกิ (Lake Tanuki) ยังเป็นอีกหนึ่งจุดในญี่ปุ่นที่เราสามารถมาชมปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า “Double Diamond Fuji” หรือเพชรฟูจิคู่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นตรงกับยอดภูเขาไฟฟูจิ เกิดเป็นแสงส่องสว่างราวกับประกายของเพชรจากบนยอดเขานั่นเอง โดยในหนึ่งปี ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งที่นี่จะเกิดขึ้นใกล้กับวันที่ 20 เมษายน และ 20 สิงหาคม ซึ่งก๊อตบอกเลยว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้หาดูกันง่ายๆ เน้อ
สำหรับมุมสวยๆ ที่ก๊อตอยากแนะนำมาฝากกันเลย คือ บริเวณสุดถนนของทะเลสาบที่มีสะพานปลาที่เค้าสร้างออกไปบนทะเลสาบ ยื่นหน้าออกสู่ภูเขาไฟฟูจิ โดยจุดนี้เป็นอีกหนึ่งมุมที่คนเค้านิยมมาแวะถ่ายรูปและยืนดื่มด่ำกับวิวสวยๆ กันเยอะมาก แน่นอนว่าก๊อตเองก็ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะเดินสำรวจให้ครบรอบๆ เราเลยเลือกเที่ยวกันที่บริเวณนี้
หากใครลองเสิร์จชื่อ ทะเลสาบทานูกิ (Lake Tanuki) บนอินเตอร์เน็ตก่อนจะมาเที่ยวที่นี่ จะต้องเห็นภาพสวยๆ ของสะพานไม้ขนาดไม่ใหญ่มากพาดอยู่บนผืนน้ำ โดยรอบๆ รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวๆ และตรงกลางของภาพนั้น คือ ภูเขาไฟฟูจิที่เห็นกันได้แบบเต็มสายตา ซึ่งทั้งหมดที่ก๊อตเล่ามานี้บรรยากาศจริงๆ ที่เรากำลังยืนมองกันอยู่นั้นไม่ต่างกันเลย ใครที่คิดว่าในภาพสวยจึ้งแล้ว แกร ของจริงยิ่งใหญ่มาก มันไม่ใช่ว่าทะเลสาบเค้าขนาดใหญ่อะไรแบบนั้นนะ แต่มันคือไวบ์ของธรรมชาติ ผืนน้ำ และฟูจิซัง ที่พอทุกอย่างเค้ามาอยู่ร่วมกันในเฟรมสายตาเดียวแบบนี้ ก๊อตเลยรู้สึกใจฟูและอิ่มเอมไปกับธรรมชาติสุดๆ เป็นวิวที่เลอค่ามาก น่าเสียดายไปหน่อยในวันที่ก๊อตไปนั้น เมฆเยอะจนคลุมโปงต้าวภูเขาไฟฟูจิไปจนเกือบมิด ฮือออ
โดยส่วนตัวแล้ว ก๊อตยกให้ ทะเลสาบทานูกิ (Lake Tanuki) เป็นทะเลสาบที่เหมาะกับการมานั่งชิลสุดๆ เพราะที่นี่มีโต๊ะปิกนิกที่เราสามารถซื้อขนม หรือจะซื้อเครื่องดื่มที่ชอบมานั่งกินริมทะเลสาบท่ามกลางบรรยากาศของสายน้ำอันเงียบสงบ และมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิลูกเบอเร้อ ซึ่งมู้ดมันสวยสะกดใจมาก ยิ่งใครเป็นสายแคมป์ปิ้ง บริเวณรอบๆ ทะเลสาบเค้ามีจุดกางเต็นท์ให้เราได้มานอนดื่มด่ำและสูดอากาศฉ่ำๆ ของธรรมชาติเข้าปอดกันจนหนำใจคอยให้บริการอยู่ด้วยนา แต่เรื่องเต็นท์นี่อาจจะต้องแบกมากันเองเน้อ ก๊อตไม่แน่ใจ เพราะเราเน้นมาถ่ายรูปแล้วกลับจ๊า
DAY2 :
ป่าสนมิโฮะ โนะ มะซึบะระ (Miho no Matsubara)
วันที่สองเรามากันที่ ป่าสนมิโฮะ โนะ มะซึบะระ (Miho no Matsubara) จุดดูวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยเลอค่า จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกของภูเขาไฟฟูจิในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2013 อีกด้วย อีกทั้งยังป๊อบในหมู่นักท่องเที่ยวและคนชอบตกปลามาก ด้วยไวบ์ของทะเลสีฟ้าครามตัดกับชายหาดหินสีเข้มๆ ที่ยาวกว่า 7 กิโลเมตร ถูกปกคลุมด้วยต้นสนกว่า 30,000 ต้น และยังมีภูเขาไฟฟูจิเป็นแบล็คกราวด์ซ้อนทับอยู่ด้านหลัง แน่นอนว่าที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งจุดในการมาดูวิวภูเขาไฟฟูจิได้สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเลยก็ว่าได้ ซึ่งเราไม่สามารถหาวิวแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกแล้ว คือต้องปักหมุดมาเที่ยวกันที่ ป่าสนมิโฮะโนะมัตสึบาระ (Miho no Matsubara) เท่านั้นเลย
แรกเริ่มที่เราได้เดินเข้าไปใน ป่าสนมิโฮะโนะมัตสึบาระ (Miho no Matsubara) บรรยากาศโดยรอบรายล้อมไปด้วยต้นสนที่ขึ้นปกคลุมจนเกิดเป็นร่มเงาตลอดทางเดิน อีกทั้งยังร่มรื่นและเงียบสงบ เมื่อก๊อตเดินใกล้เข้าไปถึงตัวชายหาดเราก็จะเริ่มได้ยินเสียงคลื่นคละเคล้าไปกับเสียงของสายลมราวกับเสียงดนตรีจากธรรมชาติขับกล่อมให้ได้รู้สึกผ่อนคลายไปด้วย
แต่ก่อนที่เราจะลงไปถึงตัวชายหาดนั้นภายใน ป่าสนมิโฮะโนะมัตสึบาระ (Miho no Matsubara) ยังมีศาลเจ้ามิโฮะ (Miho Shrine) ศาลเจ้าสำคัญที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกจากยูเนสโกตั้งอยู่ภายในอีกด้วย ยังไม่หมดเท่านั้น ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของตำนานเทวทูต ซึ่งเป็นรากฐานของละครโนห์ฮาโกโรโมะ (Nougaku) ศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมอีกด้วย โดยในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่สองของเดือนตุลาคม เมืองชิซึโอกะ (Shizuoka) เค้าจะจัดเทศกาลฮาโกโรโมะ และจะมีการจัดแสดงละครโนห์ (Noh Drama) ตรงบริเวณปลายทางเดินตรงป่าสนใกล้กับ “ต้นสนฮาโกโรโมะ (Hagoromo no Matsu)” ที่คนในเมืองเค้าเชื่อว่าเป็นต้นสนที่มีความเกี่ยวข้องกับตำนานเทวทูต
โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า เทวทูตตนหนึ่งได้มายังผืนป่าแห่งนี้ และได้ถอดเสื้อคลุมนางฟ้า (Hagoromo) ตัวสวยออกจากตัว ก่อนจะพาดเอาไว้บนกิ่งของต้นสนฮาโกโรโมะ (Hagoromo no Matsu) แล้วลงไปอาบน้ำในบริเวณชายหาด แต่เมื่อเทวทูตกลับขึ้นมาปรากฏว่ามีชาวประมงชื่อว่าฮาคุเรียว (Hakuryo) ได้นำเสื้อคลุมตัวดังกล่าวของตนไป เทวทูตเห็นเช่นนั้นเลยร้องขอให้ชาวประมงนำเสื้อคลุมกลับมาคืน แต่ฮาคุเรียวดันยืนกรานหนักแน่นว่าเสื้อคลุมนี้เป็นของตัวเอง เพราะเขาเป็นผู้พบมัน ทีนี้เทวทูตจึงเศร้าโศกเสียใจเพราะหากไม่มีเสื้อคลุมก็ไม่สามารถกลับไปยังสวรรค์ได้ ฮาคุเรียวที่เห็นดังนั้น จึงใจอ่อนยอมคืนให้ แต่มีข้อแม้ว่าเทวทูตจะต้องร่ายระบำสวรรค์พร้อมทั้งสวมเสื้อคลุมไปด้วย เทวทูตจึงยินยอมเต้นรำตามชาวประมง แต่เมื่อเต้นรำเสร็จแล้วนั้น เทวทูตก็หายวับไปในสายหมอกทันที
ตำนานนี้เองนำมาซึ่งเทศกาลฮาโกโรโมะที่จะมีการจัดแสดงละครโนห์ (Noh Drama) โดยอิงพล็อตและเนื้อเรื่องมาจากตำนานของเทวทูตและชาวประมง โดยนักแสดงเค้าจะทำการแสดงอยู่ใกล้กับ ต้นสนฮาโกโรโมะ (Hagoromo no Matsu) จึงเรียกได้ว่าต้นสนต้นนี้ มีความสำคัญทางวัฒนธรรมสำหรับผู้คนที่นี่ อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของความงดงามทางธรรมชาติอีกด้วย
จากบริเวณของต้นสน เราสามารถเดินเชื่อมลงมาสู่ชายหาดต่อได้เลยนะ ทั้งเสียงคลื่นที่ชัดเจนมากขึ้น ท่ามกลางไวบ์สบายๆ ของชายหาดที่มีคนมาเดินเล่นกินลมชมวิว บ้างก็มีคนญี่ปุ่นมายืนตกปลาให้ได้เห็นกันอีกด้วย และที่เป็นไฮไลท์ของชายหาดเค้าเลยคือ วิวที่สวยสับมาก เพราะจากจุดนี้เราสามารถมองเห็นวิวของต้าวฟูจิที่ถ้าวันไหนฟ้าเปิดอากาศเป็นใจ เค้าจะตั้งสง่าเป็นฉากหลังให้ได้เชยชมกันแบบหนุบหนับใจ โดยมีสายน้ำจากทะเลคั่นกลางและมีทิวของป่าสนพลาดอยู่กรายๆ บอกเลยว่าเป็นวิวที่ไม่ควรพลาดเลยหากใครจะมาตามล่าต้าวฟูจิ
สำหรับใครที่เดินเล่นจนพอใจแล้ว ขาเดินกลับออกมาก๊อตแนะนำให้ลองแวะเข้าไป Miho Shirube (Shizuoka City Miho no Matsubara Culture & Creativity Center) ศูนย์ครีเอทีฟสเปซให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาดูและเรียนรู้เกี่ยวกับต้นสน รวมไปถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมิโฮะกันแบบทะลุปรุโปร่ง ภายในก็จะแสดงข้อมูล และภาพให้เราได้รู้ถึงที่มาที่ไปของพื้นที่ ซึ่งก๊อตคิดว่าหากใครอยากเที่ยวแบบรู้ลึกรู้จริง ก่อนเดินเข้าไปก็มาแวะที่นี่ก่อนได้ แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสจะเดินมาดูขากลับแบบก๊อตก็ได้ เพราะภายในเค้ามีสินค้า และของที่ระลึกขายอยู่ด้วย คือซื้อเสร็จแล้วหิ้วของกลับออกไปได้เลย
ปิดจบเที่ยว ป่าสนมิโฮะโนะมัตสึบาระ (Miho no Matsubara) ได้แบบคอมพลีทมาก ส่วนตัวก๊อตชอบที่นี่นะ เหมือนเราได้มาให้ธรรมชาติบำบัดเลย เค้าเป็นสถานที่เที่ยวเชิงธรรมชาติที่มีทั้งป่าสนและทะเลในพื้นที่เดียวกัน และใครที่อยากมาตามล่าวิวภูเขาไฟฟูจิด้วยแล้ว ป่าสนมิโฮะโนะมัตสึบาระ (Miho no Matsubara) เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ
เส้นทางซัทตะ โทเกะ (Satta Pass)
สำหรับใครที่ขับรถมาเที่ยวเองแบบก๊อตนั้น นี่แนะนำให้ขับรถมาที่ เส้นทางซัทตะ โทเกะ (Satta Pass) ที่มีจุดชมวิวอันโด่งดังที่เราสามารถมองออกไปเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิ ท่ามกลางอ่าวสุรุกะ (Suruga Bay) และคาบสมุทรอิสึ (Izu Peninsula) ที่สวยสับที่สุดอีกจุดหนึ่ง ซึ่งที่นี่เค้าเป็นที่รู้จักจากภาพวาดของ อุตะกาวะ ฮิโรชิเกะ ศิลปินภาพอุคิโยะเอะที่โด่งดังไปทั่วโลกในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ครั้งหนึ่งเค้าเคยวาดภาพจุดชมวิวในยุคสมัยที่ยังไม่มีถนนอยู่ด้านล่าง ซึ่งทุกวันนี้ภาพวาดนั้นยังเป็นภาพวาดในตำนานที่หากใครลองเสิร์จ เส้นทางซัทตะ โทเกะ (Satta Pass) บนอินเตอร์เน็ตจะต้องมีรูปภาพของศิลปินโผล่ขึ้นมาให้เห็นด้วยเสมอ
ตรงจุดนี้เราจะได้เห็นวิวของฟูจิซังเบื้องหน้าท่ามกลางน้ำสีฟ้าครามและเนินเขาสีเขียวชอุ่มที่เต็มไปด้วยต้นส้มเขียวหวานสุดปุ๊กปิ๊ก โดยบริเวณตรงกลางมีถนนไฮเวย์ที่พาดคดเคี้ยวไปตามเชิงเขา ซึ่งบรรยากาศโดยรวมนั้น ช่างเป็นภาพที่งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ สายลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน พร้อมวิวเส้นทางสวยๆ ซึ่งความน่ารักบนจุดชมวิวนี้อีกอย่าง คือเค้ามีส้มเขียวหวานใส่ถุงวางขายให้เราซื้อและจ่ายเงินได้ด้วยตัวเอง ใครที่เห็นต้นส้มระหว่างทางขึ้นมาแล้วอยากลิ้มรสชาติของเค้าก็ลองซื้อมากินดูได้ ตอนที่ก๊อตไปเค้าจะมีชั้นวางที่เราสามารถหยิบแล้วใส่เงินลงในกระปุกได้เลย โดยเค้าขายในราคา 200 เยนเท่านั้น
ที่พักในชิซึโอกะ (Shizuoka)
Super Hotel Fujinomiya
สำหรับการมาเที่ยวในชิซึโอกะ (Shizuoka) ก๊อตขับรถไปนอนกันที่เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) เนื่องจากเป็นจุดที่ก๊อตขับลงมาจากเมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) และเมืองนี้เองก็อยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิมาก เดินทางสะดวก อีกทั้ง Super Hotel Fujinomiya ก็ราคาสบายกระเป๋าด้วย โดยก๊อตจองห้องพักมาสำหรับ 3 คน ตกคืนละ 4,000 บาท ซึ่งหารออกมาแล้วนี่ว่าคุ้มค่าเลยแหละ หากเทียบกับทำเลของโรงแรมที่ตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ มีที่จอดรถฟรี ใกล้ๆ กันมี 7-11, ร้านไดโซ (Daiso) และร้านกาแฟ Doutor Coffee ตั้งอยู่ติดกัน ซึ่งนี่ว่ามันค่อนข้างตอบโจทย์สำหรับคนที่อาจจะไม่ได้ขับรถเที่ยวเองเหมือนกัน เพราะสามารถเดินเท้าไปไหนมาไหนได้สะดวก
Super Hotel Fujinomiya ตอนที่ก๊อตเข้าไปพักเหมือนทางโรงแรมเค้าเพิ่งจะรีโนเวทโรงแรมเสร็จไปหมาดๆ บรรยากาศทั้งข้างนอกและภายในก็เลยจะยังเอี่ยมอ่องน่าอยู่สุดๆ สำหรับห้องที่ก๊อตจองมาของจริงค่อนข้างเล็กมาก แต่ยังดีที่เราได้เป็นห้องแบบคอนเนคที่เชื่อมสองห้องที่เราสามารถเปิดประตูไปมาหากันได้ ทำให้เหมือนได้ห้องนอนมา 2 ห้อง และแน่นอนว่า มาพร้อมห้องน้ำส่วนตัว 2 ห้องเช่นกัน ซึ่งนี่เลยแบ่งกันนอนกับเพื่อนได้สบายๆ โดยที่ไม่ต้องมานอนเบียดกันให้แออัดแต่อย่างใด
ส่วนในเรื่องของอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพักนั้นถือว่าครบครัน ยิ่งใครที่ขับรถมาเที่ยวเองแบบก๊อตที่นี่เค้ามีที่จอดรถให้ฟรีด้วย คือสะดวกมากๆ แต่ขอเสียอย่างเดียวเลยก็คือพื้นที่ของห้องที่มันแคบจริง แคบเกิ้นจนนี่กางกระเป๋าเดินทางออกมาบนพื้นไม่ได้เลย เลยแอบจะขัดใจตรงนี้นิดหน่อย ส่วนที่เหลืออย่างอื่นโอเคหมดเลย ใครจะมาพักที่นี่ก็จองกันมาได้นา แต่ถ้าแบกกระเป๋าไซซ์ใหญ่ๆ มาเที่ยวด้วย ช่วยจองห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องของก๊อตด้วย 555555
สรุปการมาเที่ยวชิซึโอกะ (Shizuoka)
จบแล้วกับการโร้ดทริปของก๊อตและเพื่อนที่ชิซึโอกะ (Shizuoka) ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่น่าสนใจและมีที่เที่ยวเชิงธรรมชาติที่งดงามมาก ยิ่งใครที่อยากมาตามล่าวิวต้าวฟูจิฟูใจ และนึกถึงเพียงแค่ที่คาวาฟูจิโกะ หรือไม่ก็ฮาโกเน่ โดยมองข้ามชิซึโอกะ (Shizuoka) ไป ก๊อตอยากแนะนำให้มาที่นี่เลย เพราะไม่ว่าเราจะขับรถไปเที่ยวจุดไหนก็สามารถมองเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิได้แบบเต็มสายตา อย่างกับมีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยเลย และที่สำคัญคนเลิฟชาเขียวยิ่งต้องมา เพราะเราจะได้ลิ้มรสชาติชาเขียวจากแหล่งปลูกชาชั้นดีแบบออริจิแท้ๆ ที่ทั้งหมดนี้หาได้จาก ชิซึโอกะ (Shizuoka) เค้าเลยแหละ
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡
1 comment
ทริปชิซึโอกะนี้คุณไปช่วงเดือนไหนฮะสวยจัง พอดีแพลนจะไป กพ ปีหน้า จะมีแต่หิมะไหมน้อ