โตเกียว (Tokyo) ก๊อตเชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองของญี่ปุ่นที่ทุกต้องฝันอยากมาเที่ยวซักครั้งในชีวิต ด้วยความฟู่ฟ่าของแสงสี ความญี่ปุ่นจากวัฒนธรรมป็อปคัลท์เจอร์ทั้งจากอนิเมะ มังงะ และจากหนังต่างๆ ที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วจนหลายคนตั้งหน้าตั้งตาที่อยากจะได้มาเห็นโตเกียวของจริง โตเกียวเองยังมีที่เที่ยวและแลนด์มาร์คเยอะมาก แบบที่เรียกว่าไม่มาคือไม่ได้แล้ว ทั้งห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) อันโด่งดัง วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) วัดดังประจำเมืองที่มีเอกลักษณ์ด้วยโคมไฟสีแดงยักษ์ หรือแม้แต่สวนสนุกในฝันของใครหลายคนอย่าง Tokyo Disneyland และ Tokyo DisneySea ที่พิเศษสุดด้วยการเป็นสวนสนุกธีมน้ำแห่งแรกและแห่งเดียวของโลก แต่ถ้าแค่นี้ยังไม่หนำใจ ใครที่เป็นแฟนๆ ของแฮรี่และผองเพื่อน ให้พุ่งมาที่ Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo ต่อได้เลย แกรจะได้หลุดเข้าไปในโลกแห่งเวทย์มนต์ที่กลับออกมาแล้วจะประทับใจไม่รู้ลืม
ซึ่งทั้งหมดที่ก๊อตเล่าเกริ่นกันมา อยากจะบอกว่าเป็นแค่น้ำจิ้มจาก 28 ที่เที่ยวทั้งหมดในรีวิวนี้ เพราะมหากาพย์ โตเกียว (Tokyo) ที่ก๊อตบอกตอนแรกนั้น มันยิ่งใหญ่อลังมาก เนื่องจากเราจะไปเที่ยวกันถึง 6 ย่าน รวมสนุก ซึ่งแต่ละย่านนั้นจัดหนักจัดเต็มเที่ยวกันจนขาลาก ดังนั้น ใครที่กำลังเล็งมาเที่ยว โตเกียว (Tokyo) และอยากมาตามเก็บแลนด์มาร์คดังให้ครบ เอาว่ามาเที่ยวครั้งเดียวให้คุ้ม แต่ยังไม่รู้จะแพลนเที่ยวยังไง ให้อ่านรีวิวนี้จนจบเพราะก๊อตคัดที่เที่ยวเริ่ดๆ มาเสิร์ฟให้แล้วจ๊า
รู้จักโตเกียว (Tokyo)
โตเกียว (Tokyo) เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นที่ครองแชมป์มหานครที่มีประชากรมากที่สุดในโลกมาหลายปีซ้อน โดย โตเกียว (Tokyo) เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคคันโตบนชายฝั่งตอนกลางของเกาะฮอนชู (Honshu Island) ภายในเมืองถูกแบ่งออกมาเป็น 23 เขต ซึ่งแต่ละพื้นที่นั้นล้วนแต่มีชื่อเสียงในด้านวัฒนธรรม เทคโนโลยีล้ำสมัย มีวัดเก่าแก่ตั้งอยู่มากมาย ท่ามกลางย่านธุรกิจสำคัญๆ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว
ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 18 ขณะนั้น ชื่อเดิมของโตเกียวนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘เอโดะ (Edo)’ ซึ่งมีความหมายว่าปากน้ำ โดนตรงกับลักษณะของพื้นที่ซึ่งเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ เท่านั้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1603 ที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งของรัฐบาลโชกุนโทคุงาวะ (Tokugawa Shogunate) ส่งผลให้เอโดะในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเมืองที่ผู้คนรู้จักมากขึ้น และเพียงไม่กี่สิบปีต่อมา เอโดะได้เติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีผู้คนอาศัยอยู่นับล้านคน จนในปี ค.ศ. 1868 ได้มีการฟื้นฟูเมจิขึ้น จักรพรรดิและเมืองหลวงได้ย้ายจากเกียวโต (Kyoto) ไปยังเอโดะ โดยได้เปลี่ยนชื่อเมืองให้กลายมาเป็น ‘โตเกียว (Tokyo)’ ที่หมายความ ‘เมืองหลวงตะวันออก’ นั่นเอง
โตเกียว (Tokyo) จึงเป็นเมืองที่อยู่คู่ญี่ปุ่นนับตั้งแต่นั้นมา จนเมื่อ ปี ค.ศ. 1923 เมืองแห่งนี้ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่คันโต (Kanto) ซึ่งขณะนั้นเมืองได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก อีกทั้งในปี ค.ศ. 1945 ยังถูกทำลายซ้ำอีกครั้งจากเหตุโจมตีทางอากาศในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กวาดล้างสิ่งปลูกสร้าง อาคารบ้านเรือน รวมถึงสิ่งต่างๆ ภายใน โตเกียว (Tokyo) ไปเกือบหมดทั้งเมือง เรียกได้ว่าช่วงเวลานั้นเมืองได้เสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงศตวรรษที่ 20 ดูเหมือนจะเป็นยุคที่ โตเกียว (Tokyo) กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เนื่องจากมีการบูรณะและพัฒนาเมืองไปอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจภายในเมืองถือเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวขึ้นไปอยู่เป็นอันดับสองของโลก รองลงมาจากอเมริกาเท่านั้น โดยข้อมูลในปี ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา โตเกียว (Tokyo) เป็นที่ตั้งของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึง 29 แห่งจากทั้งหมด 500 แห่งที่ติดอันดับ Fortune Global 500 ประจำปี และมากไปกว่านั้น โตเกียว (Tokyo) ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกจากการจัดอันดับใน Global Livability Ranking ที่เผยแพร่ในปี ค.ศ. 2021 อีกด้วย
ปัจจุบัน โตเกียว (Tokyo) ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจ และเมืองท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันติดอันดับท็อปๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งที่นี่นั่นขึ้นชื่อในเรื่องของการช้อปปิ้ง ความบันเทิง วัฒนธรรม และอาหารที่มีให้เลือกกินอย่างไร้ขีดจำกัด นอกจากนี้ยังมีสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเมืองตั้งอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) วัดเก่าแก่ในย่านอาซากุสะ (Asakusa), ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ในย่านฮาราจูกุ (Harajuku) หรือจะเป็น สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) หนึ่งในสวนเก่าแก่ที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง รวมถึงยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ อยู่คับคั่งซึ่งยังคงรอคอยให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยตัวเอง ดังนั้น โตเกียว (Tokyo) จึงเป็นเมืองแรกๆ ของญี่ปุ่นที่ทุกคนห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่นนั่นเอง
ที่เที่ยวโตเกียว (Tokyo) / สารบัญที่เที่ยว
เรื่องอื่นๆ ที่ควรรู้ของการเที่ยวโตเกียว (Tokyo)
แนะนำที่พักและโรงแรมในโตเกียว (Tokyo)
คนที่กำลังหาที่พักใน โตเกียว (Tokyo) อยู่ล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เราพักในย่านกินซ่า (Ginza), อาซากุสะ (Asakusa), ชินจูกุ (Shinjuku) และ ชิบูย่า (Shibuya) ได้เลย เนื่องจากทั้ง 4 ย่านนี้มีรถไฟใต้ดิน (Tokyo Metro) สาย Ginza Line พาดผ่าน ซึ่งเราสามารถเดินทางไปยังย่านเหล่านี้ได้สะดวก โดยรถไฟใต้ดิน (Tokyo Metro) นั้น ถือเป็นรถไฟสายหลักที่เราจะได้ใช้งานบ่อยที่สุดในการเดินทางไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในโตเกียวเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ อีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางที่สะดวกไม่แพ้กัน คือ รถไฟ JR สาย Yamanote Line เพราะรถไฟสายนี้จะวิ่งเป็นวงกลมเชื่อมต่อศูนย์กลางหลักๆ ของเมืองโตเกียวเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว (Tokyo), อูเอโนะ (Ueno), อิเกบูกูโระ (Ikebukuro), ชินจูกุ (Shinjuku), ชิบูย่า (Shibuya) และชินากาว่า (Shinagawa) โดยย่านที่พักที่ก๊อตแนะนำและมีรถไฟ JR สาย Yamanote Line ผ่านนั้น คือ สถานีโตเกียว / ย่านมารุโนะอุจิ (Tokyo Station/Marunouchi Area)
ซึ่งทั้งห้าย่านนี้นั้น มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบ บัตเจท ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว รวมไปถึงแพลนเที่ยวของแต่ละคน เพราะแต่ละย่านก็จะมีจุดเชื่อมต่อรถไฟสายหลักอื่นๆ ไปยังเมืองต่างๆ รอบๆ โตเกียวด้วยนั่นเอง ดังนั้น เลือกตามที่ตัวเองชอบและสะดวกได้เลยนา สำหรับใครที่เลือกย่านจะไปปักหลักได้แล้ว ก็ลองดูๆ โรงแรมที่ก๊อตแนะนำต่อตามด้านล่างนี้ได้ครับ อันนี้คัดมาให้แบบเริ่ดๆ แล้ว
1. ย่านชินจูกุ (Shinjuku)
ย่านชินจูกุ (Shinjuku) อีกหนึ่งย่านที่ครึกครื้นมากที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียวเลยก็ว่าได้ หากใครเป็นสายกิน สายเที่ยวกลางคืน และสายช้อปปิ้ง ซึ่งก๊อตบอกเลยว่า ย่านชินจูกุ (Shinjuku) นั้นตอบโจทย์มาก เพราะที่นี่คือย่านศูนย์กลางความบันเทิงที่ครบเครื่องมากที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว นอกจากนี้ แถวๆ ชินจูกุเองยังเป็นย่านที่เดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเป็นเดินทางภายในโตเกียวหรือแม้แต่เดินทางออกไปยังเมืองอื่นๆ เพราะเค้ามีสถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) ที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานีรถไฟที่หนาแน่นมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีตรอกชื่อดังอยู่คับคั่ง ทั้ง คาบูกิโจ (Kabukicho) ย่านบันเทิงชื่อดังที่มีเจ้าก็อตซิลล่าตัวใหญ่เป็นแลนด์มาร์ค, โกลเด้นไก (Golden Gai) ย่านเล็กๆ ที่ถูกแบ่งเป็นซอยย่อยๆ ที่ภายในนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม หรือจะเป็น ตรอกโอโมอิเดะ โยโกโจ (Omoide Yokocho) ตรอกที่อัดแน่นไปด้วยร้านอาหาร และร้านแบบอิซากายะให้เราได้เข้าไปดื่มด่ำได้ฟีลแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้มีรอให้เรามาเที่ยวอยู่ใน ย่านชินจูกุ (Shinjuku) แล้ว
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (7,000 ++ บาท/คืน): Park Hyatt Tokyo / Kimpton Shinjuku Tokyo / Hilton Tokyo
- โรงแรมปัง ราคาจ่ายได้ (4,000 – 7,000 บาท/คืน): Hotel Gracery Shinjuku / JR Kyushu Hotel Blossom Shinjuku / Keio Plaza Hotel Tokyo
- โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 4,000 บาท/คืน): WPU Shinjuku / Imano Tokyo Hostel / Sotetsu Fresa Inn Higashi Shinjuku
2. สถานีโตเกียว / ย่านมารุโนะอุจิ (Tokyo Station/Marunouchi Area)
ย่านสถานีโตเกียว (Tokyo Station) หรือ ย่านมารุโนะอุจิ (Marunouchi) เป็นย่านที่ผสมผสานระหว่างกลิ่นอายของประวัติศาสตร์และความสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เนื่องจากย่านนี้เค้าตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace) และยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทชื่อดังหลายๆ บริษัทอีกด้วย โดยสถานีโตเกียว (Tokyo Station) นั้น ถือเป็นศูนย์กลางในการเดินทางของเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะสถานีนี้ถือเป็นสถานีหลักและมีรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นที่เชื่อมโตเกียวไปสู่เมืองอื่นๆ ในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง โดยสถานที่เที่ยวที่ต้องมาเลยก็คือ สวนตะวันออกพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace East Gardens) ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace) หรือจะเป็น ย่านมารุโนะอุจิ (Marunouchi Area) และ อาคารชิน มารุโนะอุจิ (Shin-Marunouchi) ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของแหล่งช้อปปิ้งนั่นเอง
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (7,000 ++ บาท/คืน): Aman Tokyo / Hoshinoya Tokyo / Mandarin Oriental, Tokyo / Shangri-La Hotel Tokyo / Bulgari Hotel Tokyo
– โรงแรมปัง ราคาจ่ายได้ (4,000 – 7,000 บาท/คืน): Hotel Metropolitan Tokyo Marunouchi / Karaksa Hotel Tokyo Station
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 4,000 บาท/คืน): Super Hotel Premier Tokyo – eki Yaesu Chuo-guchi / remm Tokyo Kyobashi
3. ย่านกินซ่า (Ginza)
ย่านกินซ่า (Ginza) ย่านหรูหราและเป็นสวรรค์ของนักช้อปแบรนด์เนมที่มีแฟล็กชิปสโตร์แทบจะทุกแบรนด์ตั้งเรียงรายเป็นตับเรียงยาวกันไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด บอกเลยว่าสายช้อปไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะได้มาช้อปแล้ว ใครที่เป็นสายกินชอบตามล่าร้านอาหารมิชลินสตาร์ ย่านกินซ่า (Ginza) เองยังเป็นแหล่งรวมร้านมิชลินหลายร้านให้เราได้เลือกกินอยู่เยอะมาก แถมยังมี โรงละครคาบุกิซะ (Kabukiza Theatre) ที่เราจะได้ดูศิลปะการแสดงคาบุกิแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น และยังมีตลาดปลาที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวฮิตของโตเกียว อย่างที่แนะนำเลย คือ ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Outer Market) ที่ขึ้นชื่อในด้านอาหารทะเลที่สดใหม่ ใครที่เป็นสายเมนูซีฟู้ดทั้งหลายมาที่นี่แล้วต้องชอบแน่นอน
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (7,000 ++ บาท/คืน): Imperial Hotel Tokyo / The Peninsula Tokyo / The Tokyo EDITION
– โรงแรมปัง ราคาจ่ายได้ (4,000 – 7,000 บาท/คืน): Daiwa Roynet Hotel Ginza PREMIER / Mitsui Garden Hotel Ginza Gochome / Solaria Nishitetsu Hotel
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 4,000 บาท/คืน): Sotetsu Fresa Inn Ginza Sanchome / Hotel Gracery Ginza / The B Ginza
4. ย่านชิบูย่า (Shibuya)
ย่านชิบูย่า (Shibuya) ถือเป็นย่านศูนย์รวมความบันเทิงและร้านค้าปลีกเอาไว้มากมาย โดยย่านนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ทางข้ามม้าลายที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดในโลก จะเรียกว่าเป็นแยกที่คนเค้าใช้เป็นจุดตั้งต้นในการเริ่มออกเดินเที่ยวไปตามตรอกซอกซอย และสถานทื่เที่ยวใกล้เคียงอย่าง ฮาราจูกุ (Harajuku) ย่านสำคัญทางวัฒนธรรมและแฟชั่นของวัยรุ่นที่ไม่เคยหลับใหลทั้งในยามกลางวันและกลางคืน หรือจะเป็นการขึ้นไปดูวิวบน ชิบูย่า สกาย (Shibuya Sky) ซึ่งตั้งอยู่บนตึก Shibuya Scramble Square อาคารที่สูงที่สุดใน ชิบูย่า (Shibuya) ที่เราจะได้ชมวิวสกายไลน์เมืองโตเกียวบนชั้นดาดฟ้าแบบไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ ย่านชิบูย่า (Shibuya) ยังเดินทางสะดวกเพราะมีสถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานีรถไฟหลักของโตเกียว โดยมีทั้งรถไฟ JR สายยามาโนเตะ (JR Yamanote Line) และรถไฟใต้ดินโตเกียว สายกินซ่า (Ginza Line) และสายฮันโซมง (Hanzomon Line) ทำให้สามารถเดินทางจากตรงนี้ไปยังย่านอื่นๆ ในโตเกียวได้สะดวกสบายนั่นเอง
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (7,000 ++ บาท/คืน): Trunk Hotel / Cerulean Tower Tokyu Hotel / Hotel Indigo Tokyo Shibuya
– โรงแรมปัง ราคาจ่ายได้ (4,000 – 7,000 บาท/คืน): Shibuya Stream Excel Hotel Tokyu / All Day Place Shibuya / Hotel Mets Shibuya
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 4,000 บาท/คืน): The Millennials Shibuya / Granbell Hotel Shibuya
5. ย่านอาซากุสะ (Asakusa)
อาซากุสะ (Asakusa) คืออีกจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาดื่มด่ำกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของโตเกียว โดยในย่านนี้เต็มไปด้วยร้านค้างานฝีมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงยังมีแผงสตรีทฟู้ดเปิดขายเรียงรายไปตามแนวถนน โดยสถานที่เที่ยวซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของย่านแห่งนี้เลยก็คือ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) หรือที่เรียกกันว่า วัดอาซากุสะ (Asakusa Temple) สถานที่ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ที่ อาซากุสะ (Asakusa) ยังมีโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) หอกระจายคลื่นที่ปัจจุบันนี้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการเดินทางเที่ยวใน อาซากุสะ (Asakusa) ก็สะดวกสบายด้วยรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro ที่มีอยู่หลายสายซึ่งมันครอบคลุมสถานที่เที่ยวหลักๆ ได้แทบทุกที่เลย
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (7,000 ++ บาท/คืน): MIMARU Tokyo Asakusa Station
– โรงแรมปัง ราคาจ่ายได้ (4,000 – 7,000 บาท/คืน): Asakusa Tobu Hotel / THE GATE HOTEL Kaminarimon
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 4,000 บาท/คืน): APA Hotel Asakusa-Eki-mae / APA Hotel Asakusa Kaminarimon / EXPRESS dormy inn
จากสนามบินเข้าเมืองโตเกียว (Tokyo)
สำหรับการเดินทางจากสนามบินเพื่อเข้ามายังเมืองโตเกียว (Tokyo) ด้วยรถไฟนั้น ถือเป็นวิธีการที่สะดวกสบาย และได้รับความนิยมจากผู้คนและนักท่องเที่ยวมากที่สุด โดยที่โตเกียว (Tokyo) นั้น มีสนามบินหลักๆ ด้วยกัน 2 แห่งคือ สนามบินนาริตะ (Narita International Airport) ซึ่งจะอยู่ห่างจากตัวเมืองโตเกียวประมาณ 60 กิโลเมตร โดยสายการบินส่วนใหญ่ที่บินตรงมาจากไทยจะมาลงที่สนามบินนี้ ส่วนอีกสนามบินหลักของโตเกียวอีกแห่ง คือ สนามบินฮาเนดะ (Haneda Airport) อันนี้จะอยู่ใกล้เมืองมากขึ้น ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเดินเข้าเมืองเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น โดยจะมีสายการบินไม่กี่สายที่บินมาลงที่นี่
สำหรับรถไฟที่ให้บริการจากสนามบินเข้าเมืองโตเกียว (Tokyo) นั้นมีด้วยกัน 2 แบบคือ Keisei และ JR ส่วนรถบัสก็มีให้บริการอยู่หลายสาย ซึ่งหลายคนอาจจะสับสนว่าแล้วต้องนั่งอันไหนดี ก๊อตเลยจะมารายละเอียดทั้งหมดให้เข้าใจกันง่ายๆ ผ่านข้อมูลด้านล่างนี้
เดินทางจากสนามบินนาริตะ (Narita International Airport) เข้าเมืองโตเกียว (Tokyo)
1. รถไฟ : แยกออกเป็น 2 สาย คือ รถไฟสาย Keisei Skyliner, รถไฟสาย JR Narita Express (N’EX)
- โดยรถไฟสาย Keisei Skyliner : ใครที่ไม่มี JR PASS ใดๆ และพักอยู่แถว อาซากุสะ (Asakusa) หรือ อากิฮาบาระ (Akihabra) รถไฟสายที่แนะนำเลยคือ Keisei Skyliner รถไฟสายสีน้ำเงินที่เราสามารถเข้าถึงสถานีหลักๆ ในตัวเมืองโตเกียวได้รวดเร็วมากที่สุด โดยใช้เวลาเดินทางจากสนามบินนาริตะ (Narita International Airport) ถึงสถานีนิปโปริ (Nippori Station) ใน 36 นาที หรือไปยังสถานีอุเอโนะ (Ueno Station)ใน 41 นาที โดยเราสามารถเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yamanote Line เพื่อไปยังย่านชินจูกุ (Shinjuku), ฮาราจูกุ (Harajuku) หรือชิบูย่า (Shibuya) ต่อได้ ราคาค่าโดยสารจะอยู่ที่ 2,570 เยน (~620 บาท) [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- โดยรถไฟสาย JR Narita Express (N’EX) : ใครที่มี JR PASS หรือพักอยู่แถว สถานีโตเกียว / ย่านมารุโนะอุจิ (Tokyo Station/Marunouchi Area) รถไฟ JR Narita Express (N’EX) สามารถเข้าถึงสถานีหลักๆ ใจกลางโตเกียวได้รวดเร็วมากที่สุด โดยใช้เวลาเดินทางจาก สนามบินนาริตะ (Narita International Airport) ถึงสถานีโตเกียว (Tokyo Station) ได้ในเวลา 53 นาที โดยเราสามารถเดินทางเชื่อมต่อจากสถานีไปยังใจกลางโตเกียว, ชินากาว่า (Shinagawa), ชิบูย่า (Shibuya), ชินจูกุ (Shinjuku), อิเคบุคุโระ (Ikebukuro) และโยโกฮาม่า (Yokohama) ต่อได้ ราคาค่าโดยสารของ JR Narita Express (N’EX) เริ่มต้นที่ 3,000 เยน (~725 บาท) [ซื้อผ่าน Klook]
2. รถบัส : รถบัสเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเข้าเมืองโตเกียวที่นักท่องเที่ยวนิยมใช้เช่นกัน เพราะนอกจากราคาถูกกว่าการนั่งรถไฟแล้ว ในแต่ละวันยังมีหลายเที่ยว อีกทั้งยังสามารถนั่งต่อเดียวจากสนามบินถึงตัวเมืองได้เลย โดยเราสามารถฝากกระเป๋าไว้ใต้ท้องรถบัสได้ ไม่ต้องแบกขึ้นลงให้เมื่อยอีกด้วย รถบัสที่แนะนำมี 3 สายหลักๆ
- Tokyo Shuttle Bus ราคาอยู่ที่ 1,000 เยน (~240 บาท) สามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาท์เตอร์ในสนามบิน หรือจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ โดยเส้นทางของรถบัสจะออกจากสนามบินนาริตะไปยังสถานีโตเกียว (Tokyo Station), สถานีกินซ่า (Ginza Station), Kajibashi Parking Lot, Shinonome Shako และ Shinonome Aeon-mae
- The Access Narita ราคาอยู่ที่ 1,000 เยน (~240 บาท) เช่นกัน แต่สะดวกตรงที่เราไม่ต้องจองล่วงหน้า หรือไปเข้าคิวซื้อตั๋ว สามารถไปขึ้นรถบัสตรงป้ายและจ่ายเงินบนรถได้เลย โดยเส้นทางของรถบัสจะออกจากสนามบินนาริตะไปยังสถานีโตเกียว (Tokyo Station), สถานีกินซ่า (Ginza Station), Kajibashi Parking Lot, Shinonome Shako และ Shinonome Aeon-mae เช่นเดียวกับ Tokyo Shuttle Bus
- Airport Limousine ค่าโดยสารอยู่ที่ 1,000 เยน (~240 บาท) โดยรถบัสจะจอดตามจุดต่างๆ ถึง 23 จุดในโตเกียว อีกทั้งยังไปรับผู้โดยสารจากสนามบินฮาเนดะ (Haneda Airport) อีกด้วย ซึ่งเส้นทางรถที่วิ่งผ่านมีตั้งแต่ TCAT (Tokyo City Air Terminal), ชินจูกุ (Shinjuku), สถานีโตเกียว (Tokyo Station), อาซากุสะ (Akasaka) ไปจนถึงสถานีชากูจิ – โคเอน (Shakujii-koen Station) สามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาท์เตอร์ในสนามบิน หรือจองล่วงหน้าจาก Klook หรือ KKday มาก่อนได้ [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
3. บริการรถลีมูนซีนรับ-ส่งสนามบิน : สำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ หรือมาเที่ยวกันเป็นครอบครัวใหญ่ ที่อาจจะพาผู้สูงอายุมาด้วยนั้น หากอยากเดินทางเข้าเมืองที่สะดวกสบายกว่าการใช้ขนส่งสาธารณะ ที่ญี่ปุ่นเค้าก็มีบริการรถรับ – ส่ง จากสนามบินนาริตะเข้าเมืองโตเกียวอยู่นะ โดยรถที่ให้บริการมีตั้งแต่รถแท็กซี่ รถบัส รถหรู ไปจนถึงรถตู้ขนาดใหญ่ ที่เราสามารถเลือกตามความต้องการได้เลยส่วนช่องทางการจองก๊อตแนะนำให้เราจองผ่าน Klook หรือ KKday เพราะสะดวกใช้งานง่าย [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
เดินทางจากสนามบินฮาเนดะ (Haneda Airport) เข้าเมืองโตเกียว (Tokyo)
1. รถไฟ Tokyo Monorail : ใครที่มี JR PASS แบบทั่วประเทศ หรือจะมาตัวเปล่า และพักอยู่แถว สถานีโตเกียว / ย่านมารุโนะอุจิ (Tokyo Station/Marunouchi Area), ชิบูย่า (Shibuya) และชินจูกุ (Shinjuku) แนะนำให้ขึ้น Tokyo Monorail ซึ่งเป็นรถไฟเข้าเมืองที่เชื่อมต่อเข้ากับอาคารผู้โดยสารถึง 3 แห่งในสนามบิน โดยมีปลายทางคือ สถานีฮามามัตสึโจ (Hamamatsucho Station) ใช้เวลาเดินทางเพียง 13 นาที ซึ่งจาก สถานีฮามามัตสึโจ (Hamamatsucho Station) เราสามารถเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR สาย Yamanote Line เพื่อเดินทางต่อเข้าไปยังโตเกียวได้ และสถานที่สำคัญหลักๆ ของเมืองได้ โดยราคาค่าโดยสารของ Tokyo Monorail อยู่ที่ 500 เยน (~120 บาท)
2. โดยรถบัส : การเลือกขึ้นรถบัสเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์คนมาเที่ยวแล้วขนกระเป๋ามาเยอะได้ดีพอสมควร เพราะบนรถบัสเค้ามีที่เก็บกระเป๋า รวมถึงยังมีที่นั่งที่เราสามารถขึ้นแล้วนั่งยาวๆ จากสนามบินไปลงยังในตัวเมืองโตเกียวได้เลย รถบัสที่แนะนำคือ Airport Limousine ค่าโดยสารอยู่ที่ 1,000 เยน (~240 บาท) โดยรถบัสจะจอดตามจุดต่างๆ ถึง 23 จุดในโตเกียว อีกทั้งยังไปรับผู้โดยสารจากสนามบินฮาเนดะ (Haneda Airport) อีกด้วย ซึ่งเส้นทางรถที่วิ่งผ่านมีตั้งแต่ TCAT (Tokyo City Air Terminal), ชินจูกุ (Shinjuku), สถานีโตเกียว (Tokyo Station), อาซากุสะ (Akasaka) ไปจนถึงสถานีชากูจิ – โคเอน (Shakujii-koen Station) สามารถซื้อตั๋วได้ที่เคาท์เตอร์ในสนามบิน หรือจองล่วงหน้าจาก Klook มาก่อนได้ [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
3. บริการรถรับ – ส่ง : สำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ หรือมาเที่ยวกันเป็นครอบครัวใหญ่ ที่อาจจะพาผู้สูงอายุมาด้วยนั้น หากอยากเดินทางเข้าเมืองที่สะดวกสบายกว่าการใช้ขนส่งสาธารณะ อีกทั้งยังไม่ต้องไปเสียเวลาต่อแถวเข้าคิวที่ญี่ปุ่นเค้าก็มีบริการรถรับ – ส่ง จากสนามบินฮาเนดะเข้าเมืองโตเกียวอยู่นะ โดยรถที่ให้บริการมีตั้งแต่รถแท็กซี่ รถบัส รถหรู ไปจนถึงรถตู้ ที่เราสามารถเลือกตามความต้องการได้เลยส่วนช่องทางการจองก๊อตแนะนำให้เราจองผ่าน Klook หรือ KKday เพราะสะดวกใช้งานง่าย [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
วิธีการเดินทางจากโอซาก้า (Osaka) <-> โตเกียว (Tokyo)
สำหรับคนที่เที่ยวอยู่ในโอซาก้า (Osaka) แล้วอยากมาเที่ยวที่ โตเกียว (Tokyo) ต่อนั้น วิธีที่ก๊อตแนะนำที่สุดคือการนั่งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซนที่เราสามารถตรงดิ่งจากโอซาก้ามาลงที่โตเกียวได้เพียงแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ถือว่าเริ่ดสุด แต่ถ้าใครที่เป็นสายประหยัดล่ะก็ อาจจะลองดูรถบัสข้ามเมืองก็ได้
- โดยรถไฟชินคันเซน (⭐️⭐️ แนะนำ): การเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่ก๊อตแนะนำมากที่สุดสำหรับไปเที่ยวโตเกียว (Tokyo) เนื่องจากเราสามารถนั่งตรงจากโอซาก้ามาลงที่โตเกียวได้เลย อีกทั้งเค้ายังมีเส้นทางและรถไฟให้บริการหลายสายอีกด้วย
- รถไฟชินคันเซน: รถไฟความเร็วสูงที่วิ่งตรงจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) มายังสถานีชิน โอซาก้า (Shin-Osaka Station) โดยจะ 2 ขบวนให้เลือกตามความระยะเวลา ใครที่มีพาส JR Pass แบบ All Area (ทั่วประเทศ) สามารถกระโดดขึ้นรถไฟทั้งสองสายนี้ได้เลย
- Nozomi Shinkansen: ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 2.30 ชั่วโมง โดยราคาตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาสและไม่ระบุที่นั่งสำหรับขบวน เริ่มต้น 13,620 เยน (~3,390 บาท) หรือใครอยากจองตั๋วแบบเลือกที่นั่งได้ ราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 14,650 เยน (~3,640 บาท)
- Nozomi Shinkansen ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาสและไม่ระบุที่นั่งเริ่มต้น 13,620 เยน (~3,390 บาท) และตั๋วแบบเลือกที่นั่งได้ ราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 14,340 เยน (~3,560 บาท)
- 🎫 ดูและจองตั๋วรถไฟในญี่ปุ่นทุกเส้นทาง ผ่าน Klook
- 🎫 Japan Rail Pass – All Area (JR Pass) : สามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR ได้ทั่วประเทศ รวมถึงรถไฟหัวกระสุน Shinkansen เกือบทุกสาย ทั่วประเทศญี่ปุ่น มีแบบ 7 วัน ราคาเริ่มต้นราวๆ ~12,000 บาท [ซื้อผ่าน Klook] [ซื้อผ่าน KKday]
- รถไฟชินคันเซน: รถไฟความเร็วสูงที่วิ่งตรงจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) มายังสถานีชิน โอซาก้า (Shin-Osaka Station) โดยจะ 2 ขบวนให้เลือกตามความระยะเวลา ใครที่มีพาส JR Pass แบบ All Area (ทั่วประเทศ) สามารถกระโดดขึ้นรถไฟทั้งสองสายนี้ได้เลย
- รถบัสทางไกล: การเดินทางด้วยรถบัสเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ราคาตั๋วถูกกว่าการนั่งรถไฟความเร็วสูง แต่ต้องแลกกับระยะเวลาที่จะนานมากกว่า โดยมีรถบัสจากโอซาก้า (Osaka) มายังโตเกียว (Tokyo) ให้บริการอยู่หลายเจ้า แต่ถ้าให้ก๊อตแนะนำและไม่เสียเวลาเที่ยว แนะนำให้เราจองรถแบบ Overnight Bus แบบดีหน่อย ที่เราสามารถนอนบนรถข้ามคืนได้เลย ตื่นมาปุ๊ปก็ถึงโตเกียวแล้ว โดยราคานั้นจะถูกว่ารถไฟครึ่งนึง ราคาเริ่มต้นที่ 4,000 เยน (~970 บาท) ไปจนถึง 7,900 เยน (~1,920 บาท) ตามระดับคลาสของที่นั่งและตัวรถ
วิธีการเดินทางเที่ยวในเมืองโตเกียว (Tokyo)
รถไฟใต้ดิน (Tokyo Metro)(⭐️⭐️ แนะนำ): วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุดในการเที่ยวภายในเมืองโตเกียว (Tokyo) ที่ก๊อตแนะนำเลยคือ รถไฟใต้ดิน (Osaka Metro) เนื่องจากเค้ามีเส้นทางที่ครอบคลุมพื้นที่เมืองและเข้าถึงสถานที่เที่ยวต่างๆ อยู่เยอะมาก ซึ่งรถไฟใต้ดินของโตเกียวก็จะแบ่งออกเป็น 13 สาย โดยแยกเป็นของ Toei Subway 4 สาย และของ Tokyo Metro อีก 9 สาย ซึ่งสายที่มีผู้คนใช้บริการมากที่สุดเลยคือ สายสีส้ม Ginza Line ที่วิ่งผ่านย่านกินซ่า (Ginza), อาซากุสะ (Asakusa), ชินจูกุ (Shinjuku) และ ชิบูย่า (Shibuya) ซึ่งถือเป็นรถไฟสายหลักที่เราจะได้ใช้งานบ่อยที่สุดในโตเกียวเลยก็ว่าได้
บัตรเดินทางต่างๆ ในโตเกียว
- 🎫 บัตรโดยสารรถไฟใต้ดินโตเกียวแบบไม่จำกัด (1, 2 หรือ 3 วัน) [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 บัตร Welcome Suica และบัตรโดยสารรถไฟ JR สำหรับ 1 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 JR Tokyo Wide Pass : ใช้ขึ้นสายรถไฟ JR สำหรับเที่ยวเมืองยอดนิยมต่างๆ รอบโตเกียว โดยมีเมืองฮิตอย่าง คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ที่มีภูเขาไฟฟูจิ, นิกโก้ (Nikko), โยโกฮาม่า (Yokohama), คาบสมุทรอิสุ (Izu Peninsula) / มีแบบ 3 วัน ราคาเริ่มต้นราวๆ ~3,600 บาท [ซื้อผ่าน Klook]
ข้อมูลแน่นแล้ว มาเริ่มเดินทางเที่ยวในโตเกียว (Tokyo) กันเล้ยย
ย่านอาซากุสะ (Asakusa)
อาซากุสะ (Asakusa) เป็นย่านสำคัญของเขตไทโต (Taito) เมืองโตเกียว (Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น โดยย่านนี้เคยเป็นย่านบันเทิงชั้นนำของโตเกียวมานานหลายศตวรรษ ย้อนกลับไปในสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603 – 1867) ที่ อาซากุสะ (Asakusa) ยังเป็นย่านที่ตั้งอยู่นอกเขตเมือง ขณะนั้นย่านแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของโรงละครคาบุกิ (Kabuki Theaters) และย่านโคมแดงขนาดใหญ่ จนกระทั่งในช่วงปลายทศวรรษที่ 1800 และต้นทศวรรษที่ 1900 ความบันเทิงสมัยใหม่ รวมถึงโรงภาพยนตร์ ได้เข้ามาตั้งรกรากในย่าน อาซากุสะ (Asakusa) มากขึ้น ส่งผลให้ย่านนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความบันเทิงเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ของ อาซากุสะ (Asakusa) ได้ถูกทำลายลงในการโจมตีทางอากาศในปี ค.ศ. 1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้สถานที่เที่ยวหลักอย่าง วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) พังทลายลงไปด้วย โดยก่อนจะมีการสร้างวัดขึ้นมาให้ ทางเมืองโตเกียวได้ปรับปรุงพื้นที่ของย่าน อาซากุสะ (Asakusa) ให้กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง รวมถึงได้มีการสร้าง โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อาคารที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และยังเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลก ในปี ค.ศ. 2011 ด้วยความสูงถึง 634 เมตร อีกด้วย และนี่ก็ทำให้ อาซากุสะ (Asakusa) กลายเป็นย่านที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเพิ่มมากขึ้น จนเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งย่านดังที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยวโตเกียว (Tokyo) นั่นเอง
วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) กันเลย
หากใครมาเที่ยวย่านอาซากุสะ (Asakusa) สถานที่เที่ยวห้ามพลาดเลยคือ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) วัดพุทธที่อายุกว่า 1,400 ปี ซึ่งถือว่ามีชื่อเสียงและเก่าแก่มากที่สุดในโตเกียว โดยวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 628 ซึ่งเป็นปีที่ 36 ของการครองราชย์ของจักรพรรดิซุยโกะ (Empress Suiko) ในสมัยอะสุกะ (Asuka Period) โดยชาวประมง 2 คนพี่น้องอย่าง ฮิโนะคุมะ ฮามานาริ (Hinokuma Hamanari) และฮิโนะคุมะ ทาเคนาริ (Hinokuma Takenari) ได้ไปตกปลาที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) ก่อนจะพบเข้ากับรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมที่ติดอยู่ในแหจับปลา ซึ่งทั้งสองในตอนนั้นไม่ได้มีความรู้มากนัก จึงพยายามนำรูปปั้นนั้นโยนกลับคืนลงสู่แม่น้ำไป แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าพวกเขาจะย้ายไปทอดแหตรงไหนก็ยังมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์เดิมติดแหกลับคืนมาอยู่ดี ชาวประมงทั้งคู่เลยนำรูปปั้นนั้นกลับไปให้ผู้นำหมู่บ้านดู และต่อมาจึงได้มีการสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นที่บูชารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ ซึ่งวัดได้สร้างแล้วเสร็จจริงๆ ในปี ค.ศ. 645 จึงถือได้ว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองโตเกียวนั่นเอง
แต่กว่าจะมาเป็น วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ที่งดงามและทรงคุณค่าอย่างในปัจจุบันนั้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงและได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง (ช่วงปี ค.ศ. 1958) โดย วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และสันติภาพในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากในช่วงแรกนั้นเคยเป็นวัดในนิกายเท็นได และหลังจากสร้างวัดขึ้นมาใหม่ได้แยกตัวออกมาเป็นวัดอิสระ ซึ่งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันมากมายที่เกิดขึ้นที่วัดแห่งนี้ ส่งผลให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว อีกทั้งยังกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวและผู้ที่มีศรัทธาแวะเวียนมาสักการะกันอยู่ตลอดทั้งปี
สำหรับการเดินเที่ยวใน วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ก๊อตจะพาทุกคนค่อยๆ เดินส่องกันทีละโซนไปเริ่มจากทางเข้าของวัดไล่ยาวเข้าไปถึงอาคารหลักที่ตั้งอยู่ภายใน ซึ่งสิ่งแรกที่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์หลักของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ที่ทุกคนต้องเจอเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในเขตของวัดเลยก็คือ ซุ้มประตูคามินาริมง (Kaminarimon) บริเวณทางเข้าที่เชื่อกันว่าประตูนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 942 โดยผู้บัญชาการทหารไทระ โนะ คิโยโมริ (Taira no Kinmasa) และได้รับการบูรณะอยู่หลายครั้งจากเหตุเพลิงไหม้ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งจุดเด่นของประตูแห่งนี้คือเค้าจะมีโคมสีแดงขนาดใหญ่สูงกว่า 3.9 เมตร หนักถึง 700 กิโลกรัม ห้อยเอาไว้ โดยขนาบข้างด้วยรูปปั้นของฟูจิน (Fujin) และไรจิน (Raijin) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสายลมและพายุ นอกจากนี้ด้านหลังของประตูยังมีรูปปั้นของริวจิน (Ryujin) ที่เป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำตั้งอยู่ด้วย ว่ากันว่ารูปปั้นทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันเรื่องไฟไหม้ พายุ และน้ำท่วมนั่นเอง
ซึ่งบริเวณซุ้มประตูนั้น เป็นหนึ่งในจุดที่มีคนมาถ่ายรูปคู่กับโคมสีแดงกันเยอะมาก ซึ่งก๊อตเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เราก็แวะถ่ายรูปเล่นกันพอกรุบกริบพร้อมกับชุดยูกาตะหล่อๆ ที่ตอนถ่ายอยู่นั้นหลายคนที่เดินผ่านก๊อตต่างก็หันมายกนิ้วโป้งให้ด้วย ฟีลชมว่ายูเท่ห์มากอะไรประมาณนั้นด้วยแหละ 555555 เอาเป็นว่าใครอยากจะเช่าชุดกิโมโน หรือชุดยูกาตะมาใส่ถ่ายรูปเหมือนก๊อต นี่มีเขียนพิกัดร้านเช่าแยกมาให้ในตอนท้ายของรีวิวด้วยนา เอาล่ะ มาเริ่มเดินเที่ยวเข้าไปภายในกันต่อโลด
ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street)
พ้นจาก ซุ้มประตูคามินาริมง (Kaminarimon) มันจะเป็นเส้นทางถนนเลียบตรงเข้าไปสู่อาคารหลักของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) โดยจะเป็น ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) หนึ่งในถนนช้อปปิ้งความยาวกว่า 250 เมตร ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาซากุสะ ทั้งยังเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย โดยชื่อ “Nakamise” นั้น ถือเป็นชื่อดั้งเดิมที่ญี่ปุ่นเค้าตั้งให้กับถนนช้อปปิ้งที่อยู่ในเขตบริเวณวัดหรือศาลเจ้า ดังนั้น หากเราลองเสิร์จข้อมูลของ ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ชื่อของถนนแห่งนี้จึงไม่ได้มีเพียงแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่น แต่เค้าต้องการสื่อให้ผู้คนได้เห็นถึงความหมายของการเป็นย่านที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดนั่นเอง
โดยเชื่อกันว่า ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ในเขต วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) นั้น เริ่มต้นขึ้นในช่วงระหว่างปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 เมื่อคนท้องถิ่นในอาซากุสะได้รับอนุญาตให้เปิดร้านค้าในบริเวณวัดได้ ซึ่งส่วนหนึ่งทางวัดเองต้องการให้พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ทำหน้าที่ทำความสะอาดบริเวณวัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่ง วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ในขณะนั้น ถือเป็นศูนย์กลางแห่งการแสวงบุญและมีผู้คนเดินทางมามากมาย ร้านค้าที่เข้ามาเปิดกันอยู่ภายในเขตวัดจึงได้ขายอาหารและเครื่องดื่มกัน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1885 ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีระเบียบและน่าเดินมากขึ้น ซึ่งกว่าจะมาเป็นอาคารร้านค้าแบบดั้งเดิมที่เราเห็นหน้าตาในปัจจุบันนี้ ครั้งหนึ่งร้านรวงเหล่านี้เคยพังทลายลงเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาแล้วเด้อ
บรรยากาศสองข้างทางที่ก๊อตเดินเข้ามาเห็นนั้น เต็มไปด้วยร้านค้าขายของกิน และของที่ระลึกตั้งเรียงรายเข้าไปมากกว่า 90 ร้านให้เราได้เลือกซื้อกัน ซึ่งส่วนตัวก๊อตเราเน้นเดินผ่านชิลๆ ไม่ได้แวะ เพราะตั้งใจว่าจะเข้าไปอาคารหลักของวัดเร็วๆ อีกทั้งตอนนั้นคนมหาศาลมากแบบมากที่สุด ก๊อตเลยเก็บเป็นภาพบรรยากาศรอบๆ มาฝากทุกคนแทน แต่ถ้าใครอยากหาของฝาก ของกินกรุบกริบ ตรงนี้ก็มีร้านให้เลือกทานอร่อยๆ เยอะนะ
ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate)
สุดทางของ ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ก่อนเดินถึงอาคารหลัก เป็นที่ตั้งของ ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) ประตูในชั้นที่สองของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ที่มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ประตูนิโอมง (Niomon Gate) เนื่องจากมีรูปปั้นนิโอ (仁王) หรือผู้พิทักษ์ท่าทางโกรธเกรี้ยวสององค์ประดิษฐานอยู่ที่ทั้งสองด้านของประตู โดยตรงกลางของ ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) โดดเด่นด้วยโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่มีคำว่า “โคะบุเนะมาจิ” (小舟町 / Kobunemachi) เขียนเอาไว้ ซึ่งคนเค้าก็นิยมมาเซลฟี่ถ่ายรูปคู่กับโคมไฟสีแดงอันนี้เช่นกัน
สำหรับ ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) โครงสร้างปัจจุบันที่เราเห็นกันนี้เค้าสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1964 ด้วยวัสดุทนไฟเนื่องจากก่อนหน้านี้ประตูเคยถูกทำลายด้วยไฟ และการโจมตีทางอากาศ โดย ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) ทำหน้าที่เป็นที่เก็บสมบัติ และทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติอย่าง พระสูตร พระไตรปิฎก อีกทั้งด้านหลังของประตูมีรองเท้าฟางขนาดใหญ่ที่มีความยาว 4.5 เมตร กว้าง 1.5 เมตร และหนักกว่า 500 กิโลกรัมแขวนเอาไว้อยู่คู่หนึ่ง โดยคนญี่ปุ่นเค้ามีความเชื่อกันว่า รองเท้าฟางคู่นี้เป็นรองเท้าที่สามารถไล่ภูติผีปีศาจร้ายให้ออกไปจากพื้นที่ได้อีกด้วย ใครที่ถ่ายรูปกับซุ้มประตูแรกยังไม่หนำใจหรือคนเยอะเกินจะต่อคิวไหว เราสามารถแวะถ่ายกับ ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) แทนได้เช่นกันนะ
อาคารหลักของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple)
มาถึงไฮไลท์สำคัญของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) อย่าง อาคารหลักของวัด และเจดีย์ 5 ชั้นที่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าไปไหว้ข้างในกันนั้น ก๊อตจะบอกว่าอาคารหลักที่เราเห็นกันนี้เป็นอาคารที่เค้าบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1649 เนื่องจากอาคารหลังเดิมนั้นได้ถูกทำลายลงไปในช่วงสงคราม โดยคนส่วนใหญ่ที่มาที่วัดแห่งนี้ เค้าก็มักที่จะมาขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมที่ประดิษฐานอยู่ภายในอาคารหลักกัน ซึ่งว่ากันว่าเราสามารถขอพรกันได้ทุกเรื่องเลย ไม่ว่าจะเป็นความรัก สุขภาพ หน้าที่การงาน ใครใคร่อยากขอเรื่องอะไรก็ลองมาไหว้ขอกันดูนา ซึ่งก็อตก็เดินขึ้นไปบนอาคารหลักแล้วก็ไหว้ขอพรกันไปเรียบร้อย
จากนั้นเราก็เดินลงมายังด้านล่าง ซึ่งจะเห็นว่ามีคนมายืนห้อมล้อมอยู่ตามกระถางปักธูปที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของอาคารหลักกันเยอะมาก โดยคนญี่ปุ่นเค้าเชื่อกันว่า หากเราได้มาปัดเอาควันธูปเหล่านี้ใส่ตัวจะเป็นเหมือนการชะล้างสิ่งไม่ดีให้ออกไปจากตัวเรา ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจถ้าเห็นผู้คนเค้ามายืนกวักควันเข้าหาตัวกันเด้อ ปิดท้ายกันด้วยการไปเดินเลือกซื้อพวกเครื่องรางที่ขายกันอยู่ข้างๆ อาคารหลัก ซึ่งเค้าว่ากันว่าเครื่องรางที่ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) นั้นขลังมาก สายมูทั้งหลายอย่าพลาดเลยเชียว โดยเครื่องรางแต่ละชิ้นของเค้าก็มีบอกชัดเจนว่าแก้เคล็ดหรือเสริมโชคเรื่องอะไรบ้าง สำหรับคนที่ซื้อแล้ว บางคนเค้าเชื่อว่าให้เราเอาเครื่องรางนั้น หันหน้าอธิษฐานไปยังเจ้าแม่กวนอิม รวมถึงไปที่กระถางธูปแล้วเอาควันกวักเข้าหาเครื่องรางด้วย เสมือนเป็นการปลุกเสกนั่นเอง แต่อันนี้เป็นเรื่องบอกต่อกันมานะ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคนเลย
และนี่ก็คือทั้งหมดที่เราเดินเที่ยวกันอยู่ภายใน วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ใครที่อยากมาสัมผัสกับวัดอันเก่าแก่ และขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมอายุกว่า 1,400 ปี มาเที่ยวโตเกียวต้องปักหมุดมาที่นี่ เค้าเป็นเหมือนวัดดังที่ใครไม่มามันเหมือนเรามาไม่ถึงเมืองเค้าจริงๆ เด้อ
ศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center)
ส่วนใครที่อยากได้ภาพมุมลับ มุมสูงของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) แบบไม่เหมือนใคร ตรงข้ามกับประตูคามินาริมง (Kaminarimon) มีอาคารหน้าตาดูทันสมัยตั้งสง่าอยู่ริมถนน นั่นคือ ศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวในเขตไทโตะ (Taito ) ที่ให้ข้อมูลและบริการที่เป็นประโยชน์แก่นักท่องเที่ยว ตามแนวคิด “ค้นหา แสดง และสนับสนุน” ที่ใครสงสัยหรือมีข้อมูลอยากสอบถามเกี่ยวกับการเที่ยวภายในเมือง สามารถเดินเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ได้เลย
แต่ที่ก๊อตมายัง ศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) นี่ไม่ได้มาถามหาข้อมูล แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเราสามารถเดินขึ้นไปชมวิวบนชั้นดาดฟ้าของอาคารเค้าได้ ซึ่งเราสามารถกดลิฟท์ไปยังชั้นบนสุดได้ฟรีเลยนะ โดยวิวบนชั้นดาดฟ้าเราจะได้ดื่มด่ำไปกับภาพมุมสูงของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) กันตั้งแต่ ซุ้มประตูคามินาริมง (Kaminarimon) ไล่ยาวเข้าไปตาม ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) จนถึง อาคารหลักของวัดได้แบบเต็มสายตาเลย ซึ่งวิวบนนี้มันก็ให้ไวบ์ที่สวยแปลกตากันไปอีกแบบ ยิ่งตรงซุ้มประตูจากมุมสูงนั้น ตัวประตูเค้าสวยมาก มันมีกลิ่นอายความขลังอยู่เต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมองออกไปเห็นวิวของ โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลได้อีกด้วย
โดยรวมแล้วใครอยากมาดูวิวแบบปั๊วะไม่เหมือนใคร แนะนำให้มาลองชมวิวบนดาดฟ้าของ ศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) เป็นอีกหนึ่งจุดที่ชมวิวได้สวยมากๆ มันช่วยเติมเต็มให้การมาเที่ยว วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ของก๊อตนั้นคอมพลีทมากๆ เลยทีเดียว
เช่าชุดกิโมโนและยูกาตะที่ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) สาขาสถานีอาซากุสะ (Asakusa)
สำหรับคนที่อยากเที่ยวบริเวณ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) เนียนๆ ทำฟีลเป็นคนญี่ปุ้นญี่ปุ่นถ่ายรูปสวยๆ ก๊อตแนะนำให้เราเช่าชุดยูกาตะ หรือชุดกิโมโนกันได้เลย โดยก๊อตแนะนำให้มาเช่าชุดยูกาตะที่ร้าน กิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) สาขาสถานีอาซากุสะ (Asakusa) ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของวัด เพราะเช่าปุ๊บเราสามารถเดินข้ามถนนเข้าไปเที่ยวถ่ายรูปในวัดกันต่อได้
ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) นั้นมีทั้งชุดยูกะตะสำหรับผู้ชาย และชุดกิโมโนสำหรับผู้หญิงให้บริการเช่าอยู่หลายร้อยชุดเลย โดยใครที่ไม่อยากเสียเวลามารอคิวหน้าร้าน ก๊อตแนะนำให้จองล่วงหน้าผ่าน Klook มาแบบก๊อตเลยก็ได้นา ข้อดีของการจองผ่านคลูก คือเราจะได้ราคาเช่าที่ประหยัดลงกว่าหน้าร้าน แถมยังไม่ต้องมาเข้าคิวรอหน้าร้านให้เสียเวลาเลยล่ะ สะดวกสบายของจริง
สำหรับการมาใช้บริการนั้น พอมาถึงหน้าร้านก็แค่โชว์ E-Ticket ที่จองมาให้กับทางร้านดู แค่นี้เค้าก็จะพาเราเข้าไปโซนชุดยูกาตะแล้ว แล้วเค้าก็จะปล่อยให้เราเลือกจนหนำใจ เมื่อได้ชุดที่ถูกใจแล้ว ทางร้านเค้าก็มีเจ้าหน้าที่มาคอยช่วยเราแต่งตัวอีกด้วยนะ ไม่ใช่แค่ฝั่งหนุ่มๆ อย่างที่ก๊อตเลือกกันอยู่ แต่สำหรับโซนสาวๆ เค้าก็มีช่างมาแต่งหน้า ทำผมให้ด้วยแหละ เช่าชุดกิโมโนและยูกาตะที่ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) บอกเลยว่าสะดวกสบายมาก
เช่าชุดกิโมโนและยูกาตะที่ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) สาขาสถานีอาซากุสะ (Asakusa)
สำหรับคนที่อยากเที่ยวให้ได้ฟีลญี่ปุ่นจัดๆ อีกหนึ่งพร๊อพที่ควรแก่การเสียตังค์เลยคือการมาเช่าชุดยูกาตะ และชุดกิโมดนใส่เพื่อเดินเที่ยวใน วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ให้มันฟูลฟีลขั้นสุด ซึ่งการเช่าชุดของเค้านั้นจะมีหลายแพ็คเกจให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการเช่าชุดกิโนเดี่ยวๆ หรือการเช่าชุดที่เป็นทางการ หรือใครมากับแฟนจะมาเช่าแบบคู่รัก 2 คน พร้อมตากล้องก็มีให้เลือกกันแบบจุใจ โดยราคาเช่าชุดนั้นจะเริ่มตั้งแต่ 3,000 เยน (~725 บาท) สามารถจองผ่าน Klook มาได้เลย
> เช่าชุดกิโมโนและยูกาตะที่ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) สาขาสถานีอาซากุสะ (Asakusa) [ผ่าน Klook คลิก
เวิร์คชอปทำเทมาริซูชิและซุปมิโซะ (Temari Sushi + Miso Soup) ในอาซากุสะ (Asakusa)
ใครว่างๆ อยากให้ลองรับบทเป็นเชฟ มาเรียนทำ เทมาริซูชิและซุปมิโซะ (Temari Sushi + Miso Soup) แถวๆ อาซากุสะ (Asakusa) กันซักหน่อย นี่คลาสเรียนที่เราจะได้มาทำเทมาริ ซูชิ และได้ชิมซุปมิโซะที่ไม่เหมือนใคร แถมเราจะยังได้กินซูชิฝีมือตัวเองเป็นอาหารกลางวันอีกด้วย ฮ่า โดยบรรยากาศของห้องเรียนที่ก๊อตเข้ามาถึงจะเป็นเหมือนห้องอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีโต๊ะและเก้าอี้ให้ได้นั่งกันเป็นกลุ่มๆ โดยจะมีครูมาสอนที่เค้าพูดได้ทั้งภาษาญี่ปุ่น อังกฤษ และจีน ซึ่งพอเราได้ที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว เค้าจะปล่อยให้เราไปตักข้าวญี่ปุ่นเพื่อมาปั้นเป็นซูชิกันคนละ 200 กรัม จากนั้นนำข้าวมาเทรวมลงในหม้อขนาดใหญ่ที่อยู่กลางโต๊ะ ซึ่งจะมีวัตถุดิบในการทำทั้งหมดจัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยากเลย ครูเค้าจะให้เราตักข้าวมาใส่แรปพลาสติกที่ใช้ห่ออาหาร แล้วบิดๆ หมุนๆ ให้ข้าวออกมาเป็นรูปวงกลม แล้วค่อยเอาหน้าที่เตรียมไว้ อย่างแซลม่อน ทูน่า ปูอัด แตงกวา มาวางลงไป จากนั้นก็บิดแรปพลาสติกวนๆ ไปมาให้ได้รูปทรงวงกลมนั่นเอง ซึ่งก๊อตบอกเลยว่าพึ่งรู้ครั้งแรกว่าเจ้าซูชิลูกกลมๆ เค้าทำกันแบบนี้นี่เอง ซึ่งในตอนท้ายของการเรียนเราก็ต้องชิมฝีมือของตัวเองเป็นมื้อกลางวันด้วยนา โดยระยะเวลาทั้งหมดที่ใช้เรียนอยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมง
เมื่อได้ซูชิแล้ว ก็ถึงขั้นตอนของการมาทำซุปมิโซะกัน ซึ่งครูจะให้ซุปเรามาคนละถ้วย จากนั้นเค้าก็จะเอามิโซะบอลรสชาติต่างๆ มาให้เราเลือก ใครเลือกรสชาติที่ต้องการได้แล้ว ก็นำมิโซะบอลที่ได้มาบดขยี้ลงไปในซุปของตัวเอง แค่นี้เราก็จะได้มาเป็นซุปมิโซะรสชาติตามชอบนั่นเอง ซึ่งนี่ลองมาแล้ว อร่อยเว่อร์มากก เป็นอีกคลาสที่ได้ใช้สมาธิในการปั้นซูชิ แล้วก็อิ่มท้องไปกับเมนูที่เราปั้นขึ้นมาเอง ถือว่าเป็นมื้อที่ภาคภูมิใจอยู่เด้อ
เวิร์คชอปทำเทมาริซูชิและซุปมิโซะ (Temari Sushi + Miso Soup) ในอาซากุสะ (Asakusa)
สำหรับใครที่อยากเปิดประสบการณ์ลองทำเทมาริซูชิและซุปมิโซะ (Temari Sushi + Miso Soup) เหมือนก๊อตนั้น สามารถจองครอสผ่าน Klook มาได้เลย ราคาจะอยู่ที่ 7,500 เยน (~1,810 บาท) ซึ่งที่นี่เค้าไม่ได้มีแค่สอนทำเทมาริซูชิและซุปมิโซะเท่านั้น แต่ยังมีสอนทำเทมาริซูชิและขนมญี่ปุ่น หรือถ้าใครมีเวลาเหลือๆ จะจองทำอาหารมาพร้อมกับทัวร์เที่ยวท้องถิ่นไปด้วย เค้าก็มีให้เราเลือกหลายแบบหลายราคาเลย สามารถคลิกดูเพิ่มเติมได้เด้อ
> จองเวิร์คชอปทำเทมาริซูชิ และซุปมิโซะ (Temari Sushi + Miso Soup) ในอาซากุสะ (Asakusa) [ผ่าน Klook คลิก]
โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree)
โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) สถานที่ที่เป็นทั้งหอกระจายคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวเมืองโตเกียว ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) มากนัก โดยความยิ่งใหญ่ของ โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) นั้น ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และยังเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลก ตั้งปี ค.ศ. 2011 ที่ผ่านมา ด้วยความสูงถึง 634 เมตร เลยทีเดียว
ซึ่งก๊อตต้องบอกกันก่อนว่า ที่เรามาขึ้น โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) เนื่องจากเรามาร่วมงานอีเวนต์หนึ่ง ดังนั้นรูทเที่ยวใน โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) มันเลยจะไม่ได้เดินซอกแซกเหมือนเรามาเที่ยวกันเอง โดยก๊อตได้มาดินเนอร์กันที่ห้องอาหาร Sky Restaurant 634 (Musashi) ความดีงามเลยคือเราจะได้มานั่งกินข้าวท่ามกลางวิวสกายไลน์ของเมืองโตเกียว (Tokyo) แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว
ยิ่งใครที่มากินมื้อค่ำแบบก๊อตด้วยแล้ว เราจะเห็นวิวเมืองกันตั้งแต่ช่วงพลบค่ำไล่ไปจนถึงช่วงค่ำที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปเลย ยสำหรับใครมาวันฟ้าเปิดด้วยนะ จากบนนี้สามารถมองออกไปเห็นภูเขาไฟฟูจิในเวลากลางวันได้อีกด้วย ดังนั้น ใครอยากหาอะไรทานพร้อมกับวิวสวยๆ หรือจะพาคนคุยหรือแฟนมาเดท สามารถมาทานที่นี่ได้โลด โรแมนติกมาก บอกเลอ
สำหรับวิวช่วงกลางคืนนั้น ทั่วทั้งเมืองเปล่งแสงประกายระยิบระยับไปด้วยแสงไฟมากมายที่เปิดอยู่ตามอาคารบ้านเรือนและตึกต่างๆ ที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งวิวจากบน โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) ที่มองจากข้างบนลงไปนั้นมันยิ่งทำให้เมืองเค้าดูยิ่งใหญ่ อีกทั้งตัวเมืองเค้ายังพาดผ่านด้วยแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) ที่พอผืนน้ำกระทบเข้ากับแสงไฟแล้วช่างดูแพรวพราวเหมือนมีคนยกเอากาแล็กซี่มาตั้งเอาไว้ตรงหน้าให้ได้ส่องดูกันแบบจุใจ นี่ว่าใครอยากมาดูวิวเมืองช่วงกลางคืนแบบนี้ ก๊อตอยากให้ลองขึ้นมายังจุดชมวิวด้านบนกันดู หรือถ้าใครอยากได้โมเมนต์พิเศษมากขึ้นไปอีก ให้เราดินเนอร์ด้านบนไปด้วยเลย โดยก๊อตแนะนำให้มากันช่วงเย็นแล้วนั่งชิลๆ เรื่อยๆ ไปจนมืดเลยนา แกรเอ้ยย วิวสวยมากจริงๆ
บัตรขึ้นโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree)
ใครอยากมาดื่มด่ำกับวิวสกายไลน์สวยๆ ของโตเกียวในแบบฉบับไม่เหมือนใครบน โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) นั้น สามารถซื้อบัตรล่วงหน้าผ่าน Klook มาก่อนได้ โดยเค้าจะมีขายกันหลายแพ็คเกจ ตั้งแต่บัตรขึ้นมาจุดชมวิวโซน Tembo Deck ที่ความสูง 350 เมตร หรือจะเป็นอีกแบบที่รวมเอาจุดชมวิวโซน Galleria ที่ความสูงกว่า 450 เมตรเข้ามาด้วย อันนี้ขึ้นอยู่กับทุกคนเลยนา สามารถเลือกให้ตอบโจทย์ตัวเองได้เลย
- บัตรเข้าโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) โซน Tembo Deck ที่ความสูง 350 ราคา 1,800 เยน (~435 บาท)
- บัตรเข้าโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) โซน Tembo Deck ที่ความสูง 350 + โซน Galleria ที่ความสูงกว่า 450 เมตร ราคา 2,700 เยน (~650 บาท)
> จองบัตรขึ้นโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) [ผ่าน Klook คลิก]
สรุปการมาเที่ยวย่านอาซากุสะ (Asakusa)
อาซากุสะ (Asakusa) เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ใครอยากเที่ยวโตเกียวให้ฟูลฟีล ก๊อตแนะนำให้มาที่นี่ได้เลย เพราะเราจะได้เติมแต้มบุญขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมใน วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ที่เก่าแก่อายุอานามกว่า 1,400 ปี แถมยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้เรามาเลือกทำกัน อย่างการเช่าชุดยูกาตะและกิโมโนใส่เดินเที่ยวชมวัดตีเนียนเป็นชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ที่ก๊อตว่าถ่ายรูปออกมาแล้วภาพที่ได้คือสวยไม่พอ เค้ายังมีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นสูงปรี๊ดกันอีกด้วย หรือใครอยากเข้าถึงอาหารญี่ปุ่นให้มากขึ้น กิจกรรมเรียนทำซูชิที่ก๊อตไปมาก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่นี่คิดว่าตอบโจทย์และสนุกอยู่นา แถมเรายังได้ชิมอาหารฝีมือตัวเองที่ถูกสอนโดยครูชาวญี่ปุ่นแต๊ๆ ที่จบคลาสแล้วสุดแสนจะภูมิใจ ยิ่งได้มาปิดท้ายทริปกับวิวสกายไลน์เมืองโตเกียวสุดอลังบน โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) อีก ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันเลยทำให้การมาเที่ยวที่ อาซากุสะ (Asakusa) ของก๊อตนั้นเต็มไปด้วยความแฮปปี้และคอมพลีทสุดๆ แบบที่ว่าใครแพลนมาเที่ยวโตเกียว ก๊อตอยากให้มาตามรอยกันม๊ากก บอกเลยว่าเป็นการมาเที่ยวที่ครบรสแน่นอน
ย่านกินซ่า (Ginza)
อีกหนึ่งย่านที่ใครเป็นสายช้อปปิ้งแบรนด์เนมไม่ควรพลาดเลยก็คือ ย่านกินซ่า (Ginza) เพราะย่านนี้ได้ชื่อว่าเป็นย่านหรูหรามากที่สุดในโตเกียวที่สองในโตเกียว (Tokyo) ที่ก๊อตมาเที่ยวในโตเกียว (Tokyo) คือ ย่านกินซ่า (Ginza) ย่านช้อปปิ้งดังตั้งอยู่ในเขตชูโอ (Chuo-ku) ของโตเกียว (Tokyo) ภายในนั้นเต็มไปด้วยแหล่งรวมความบันเทิงระดับไฮเอนด์แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า ร้านบูติก หอศิลป์ ไนท์คลับ ร้านอาหารและร้านกาแฟอีกมากมาย ถือเป็นอีกหนึ่งย่านหรูในโตเกียวที่ราคาของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในย่านกินซ่าถือว่าแพงที่สุดในญี่ปุ่น โดยที่ดิน 1 ตารางเมตรบริเวณในย่าน กินซ่า (Ginza) มีมูลค่าเฉลี่ย 43 ล้านเยน หรือประมาณ 10.3 ล้านบาท กันเลยทีเดียว เปรียบเทียบกันกับประเทศไทย ราคาที่ดินแพงที่สุดของเราคือย่านสยามสแควร์, ชิดลม และเพลินจิต ซึ่งราคาต่อ 1 ตารางเมตร เฉลี่ยนอยู่ราวๆ เก้าแสนถึงหนึ่งล้านบาทเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าย่านนี้คือย่านทองคำของญี่ปุ่น และหลายคนเองก็อาจจะไม่รู้ว่าชื่อย่าน กินซ่า (Ginza) ในภาษาญี่ปุ่นนั้นยังหมายความว่า “โรงกษาปณ์เงิน” อีกด้วย
ทั้งนี้ เราต้องย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1612 ที่ ย่านกินซ่า (Ginza) ได้มีการก่อตั้งโรงกษาปณ์เงินขึ้น ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้มีชื่อเรียกย่านนี้อย่างเป็นทางการ พอโรงกษาปณ์เงินเค้าสร้างแล้วเสร็จ จึงมีการเรียกชื่อย่านว่า กินซ่า (Ginza) ที่มีความหมายถึงโรงกษาปณ์เงินนั่นเอง โดยย่านนี้ก็เปิดเป็นแหล่งช้อปปิ้งมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคันโต เมื่อปี ค.ศ. 1923 กินซ่า (Ginza) เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย แต่หลังจากนั้นก็ได้รับการพัฒนาและได้กลายมาเป็นย่านช้อปปิ้งสุดหรูชื่อดังประจำเมือง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ที่สุดในโตเกียว และยังเป็นหนึ่งในย่านช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย
แลนด์มาร์คของย่าน กินซ่า (Ginza) ที่ต้องมาถ่ายภาพเก็บบรรยากาศเอาไว้ เลยก็คือ กินซ่า วาโกะ (Ginza Wako) ตึกที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1894 ภายใต้ชื่ออาคาร K. Hattori โดยผู้บุกเบิก Seiko แบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่น ตัวอาคารตั้งอยู่บริเวณแยก Ginza 4-Chome ที่ตัดระหว่างถนน Chuo และ Harumi Dori เรียกได้ว่าอยู่ใจกลางย่าน กินซ่า (Ginza) เลย โดยอาคารแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของย่านไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งบริเวณบนยอดของอาคารจะมีหอนาฬิกาขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักกันดีของคนญี่ปุ่น รวมถึงนักท่องเที่ยว ที่หากมาเยือนย่านนี้คนเค้าก็จะมาแวะถ่ายรูปกับอาคารแล้วเสยกล้องให้เห็นหอนาฬิกาด้านบน โดยปัจจุบันนี้ ภายในอาคาร กินซ่า วาโกะ (Ginza Wako) เค้าคือห้างสรรพสินค้าที่โคตรหรูหราเอาเรื่องเลย
สำหรับใครที่ตั้งใจจะมาละลายทรัพย์กันแบบจัดหนักจัดเต็ม ร้านค้าต่างๆ ในย่านนี้เค้าเปิดให้บริการกันทุกวันไม่มีวันหยุด แต่ที่ก๊อตแนะนำเลย หากเรามาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตั้งแต่เวลาเที่ยงไปจนถึง 6 โมงเย็น เค้าจะปิดถนนทั้งเส้นไม่ให้รถสัญจรเข้ามา (ในช่วงเดือนตุลาคม – มีนาคม ปิดถนนถึงเวลา 17:00 น.) ทีนี้ก็เดินสนุกเป็นสวรรค์ของขาช้อปที่จะได้เดินซื้อของกันแบบอิสระท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคัก ซึ่งทั้งหมดนี้เองมันดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนในท้องถิ่นให้มาเยือนย่านนี้กันไม่ขาดสายนั่นเอง
สำหรับการเดินเที่ยวใน ย่านกินซ่า (Ginza) ของก๊อตนั้น เราก็เดินเลียบไปตามถนนส่องดูร้านค้า แบรนด์ดังไปจนถึงแบรนด์ไฮเอนด์ไปเรื่อยๆ ซึ่งบรรยากาศของสองข้างทางที่ก๊อตเดินเข้ามานั้น ให้เรียกว่าทุกแบรนด์บนโลกนี้ได้มากระจุกตัวรวมกันอยู่ในย่านนี้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Hermes, Chanel, Louis Vuitton, Bulgari หรือ Celine และแบรนด์ระดับลักชูอีกพรึ่บพรั่บ ซึ่งส่วนใหญ่มาตั้งกันแบบแฟล็กชิพสโตร์ ที่เล่นใหญ่จัดเต็มฟู่ฟ่ากันตั้งแต่ฟาซาดหน้าร้านที่เหมือนเค้าทำมาสู้กันแบบไม่มีใครยอมใคร ที่แค่เราได้เดินผ่านและแวะถ่ายรูปกับบรรยากาศรอบๆ แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้ว
เผื่อใครกลัวว่าจะมีแต่แบรนด์แพงๆ จริงๆ ที่ ย่านกินซ่า (Ginza) เค้ายังมีแบรนด์แมสๆ ราคาน่ารักๆ อยู่อีกเพียบเลยนา อย่างที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ MUJI และ Uniqlo ซึ่งที่นี่เค้ามีเป็นช้อป MUJI Global Flagship Store และ Uniqlo Global Flagship Store เลยเด้อ ใครที่อยากช้อปเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้จากทั้งสองในราคาสบายกระเป๋า อีกทั้งยังราคาเบ๊าเบากว่าบ้านเราหลายตังค์บอกเลยว่าห้ามพลาด ยิ่ง Uniqlo Global Flagship Store ที่นี่เค้ามีถึง 12 ชั้น ให้ได้เดินช้อปกันจนขาลาก แถมความพิเศษของสาขานี้ก็คือเค้ามี Uniqlo Cafe แห่งแรกให้เราได้มาลิ้มรสเครื่องดื่มจาก Uniqlo อีกด้วย
สำหรับคนรักเครื่องเขียน อีกร้านที่พลาดไม่ได้เลยคือ กินซ่า อิโตะยะ (Ginza Itoya) ร้านเครื่องเขียนขนาดใหญ่ที่เค้ามีให้เราเข้าถึง 2 อาคาร คือ อาคารหลัก G.Itoya ที่ตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ ใครมาแล้วหาไม่เจอให้สังเกตป้ายรูปคลิปหนีบกระดาษสีแดงบนป้ายชื่อของร้าน ส่วนอีกร้านคือ K.Itoya ร้านนี้จะโดดเด่นด้วยป้ายรูปปากกาหมึกซึมขนาดใหญ่ที่บริเวณหน้าร้านนั่นเอง
โดยอาคารที่ก๊อตเข้ามาจะเป็น G.Itoya ภายในมีถึง 8 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีอุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องเขียน ของตกแต่งบ้าน งานคราฟ กระดาษ ไปจนถึงข้าวของเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอัดแน่นให้ได้มาส่องกันแบบจุใจ บอกเลยว่าใครที่เป็นคนรักการเขียนเข้ามาในนี้คือนิพพานมาก มันละลานตาสุดๆ อย่างสีไม้ เค้าก็จะมีให้เลือกกันแบบทุกเฉดสีจัดเรียงกันเอาไว้ให้เราได้เลือกจนตาแตก 55555 หรือชั้นที่มีปากกาหรูๆ ขาย เค้าก็จะมีขายกันแต่ปากกาให้เลือกซื้อกันหลายแบรนด์ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็ราคาแรงๆ ทั้งนั้นเลย คือวันที่ก๊อตเข้าไป นี่เดินขึ้นๆ ลงๆ ชั้นนั้น โผล่ชั้นนี้กันหลายรอบมาก เพราะมองไปทางไหนก็อยากได้ไปหมด
สุดท้าย อย่างที่ก๊อตบอกไปข้างต้นว่า ทุกสุดสัปดาห์ที่ย่าน กินซ่า (Ginza) เค้าจะปิดถนนไม่ให้รถสัญจรเข้ามา ซึ่งก๊อตไปช่วงเวลานั้นพอดี ความสนุกอีกอย่างนอกจากเดินช้อปปิ้งแล้ว คือตามมุมต่างๆ บนถนนจะมีเก้าอี้มาตั้งให้เราได้นั่งโพสต์ท่าเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ ของย่านกันอีกด้วย คือมันทำให้การมาเดินช้อปที่นี่คอมพลีทสุดๆ จนก๊อตขอยกให้ กินซ่า (Ginza) เป็นอีกย่านช้อปปิ้งที่สนุกที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลย ยิ่งคนรักแบรนด์เนม หรืออยากจะช้อปของไฮเอนด์ต่างๆ ที่บางชิ้นนั้นถูกกว่าบ้านเรามาก ยิ่งต้องมา เพราะคำว่า “ล้มละลาย” อยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว 55555555555
ย่านฮาราจูกุ (Harajuku)
ฮาราจูกุ (Harajuku) เป็นอีกย่านสุดเก๋ไม่ซ้ำใครตั้งอยู่ระหว่างชินจูกุ (Shinjuku) และชิบูย่า (Shibuya)ในโตเกียว (Tokyo) โดยย่านแห่งนี้มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านสตรีทแฟชั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่รวมรวมเอาสไตล์การแต่งตัวต่างๆ ของวัยรุ่นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นพังค์ (Punk),โกธิค (Goth) และไซเบอร์ (Cyber) ไปจนถึงสไตล์คาวาอิ (Kawaii) และสไตล์โลลิต้า (Lolita) สุดน่ารักเอาไว้ ซึ่งในช่วงสุดสัปดาห์โดยเฉพาะวันอาทิตย์ คนหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่น เค้าก็จะแต่งตัวในสไตล์ต่างๆ กันแบบจัดหนักจัดเต็มแล้วมารวมตัวกันรอบๆ ฮาราจูกุ (Harajuku) เพื่อพบปะสังสรรค์กลุ่มคนที่ชื่นชอบแฟชั่น รวมถึงโชว์แฟชั่นในสไตล์ของตัวเองสู่คนอื่นๆ
สำหรับความเจริญรุ่งเรืองของ ฮาราจูกุ (Harajuku) เริ่มในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยช่วงนั้นกองทัพสหรัฐได้เข้ามาตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ในโตเกียว ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากย่านนี้มากนัก ทีนี้ผู้คนเค้าเลยเริ่มเปิดกิจการร้านค้าเพื่อจำหน่ายสินค้าให้กับเหล่าทหารอเมริกา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 1970 ได้มีห้างสรรพสินค้าหลายแห่งเริ่มมาเปิดให้บริการที่นี่ โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่เค้าขายกันก็จะเป็นข้าวของของสำหรับวัยรุ่น ทำให้ช่วงเวลานั้นมีเหล่าวัยรุ่นญี่ปุ่นแห่มาเที่ยวที่นี่กันคึกคัก
โดยที่เราเห็นแฟชั่นความคาวาอี้ (Kawaii) ใน ฮาราจูกุ (Harajuku) จริงๆ แล้วแฟชั่นสไตล์นี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1995 จากร้านเสื้อผ้าสุดเก๋อย่าง 6%DokiDoki ที่ขายเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดและมีแบบน่ารักให้ได้เลือกเยอะมาก ซึ่งถูกใจเหล่าคนที่เค้าชื่นชอบมังงะ อนิเมะต่างๆ ของญี่ปุ่นที่อยากจะแต่งตัวตามคาแรกเตอร์ของตัวละครที่เค้าชอบ ต่างพากันแวะเวียนมาซื้อชุดที่ร้านจนทำให้ 6%DokiDoki เป็นร้านที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในขณะนั้น จนทำให้ย่าน ฮาราจูกุ (Harajuku) กลายมาเป็นย่านศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
ฮาราจูกุ (Harajuku) เองไม่ได้โดดเด่นเฉพาะเรื่องของแฟชั่นเท่านั้น แต่ย่านแห่งนี้ยังถูกพูดถึงในเรื่องของดนตรี ศิลปะ และวรรณกรรม อีกทั้งยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ อยู่อีกมาย โดยจุดศูนย์กลางของย่านเค้าคือ ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ถนนช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยร้านค้าแฟชั่น เสื้อผ้ามือสอง อาหารสตรีทฟู้ด และร้านเครปชื่อดังที่เรียงรายกันอยู่ตามสองข้างทางของถนนช้อปปิ้งความยาวกว่า 400 เมตร นอกจากนี้ย่าน ฮาราจูกุ (Harajuku) ยังมีสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อย่าง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) หนึ่งในศาลเจ้าหลักของโตเกียวที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิเมจิ และจักรพรรดินีโชเก็น พระชายาของพระองค์ ศาลเจ้าแห่งนี้อยู่คู่เมืองมากว่า 100 ปี ตั้งอยู่ท่ามกลางผืนป่าที่ผู้คนช่วยกันปลูกนับแสนต้น อีกทั้งภายในยังมีทั้งพิพิธภัณฑ์ที่เก็บคอลเลกชันผลงานและข้าวของเครื่องใช้สำคัญของจักรพรรดิ์จัดแสดงอยู่ด้วย
เรียกได้ว่า ฮาราจูกุ (Harajuku) ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งรวมแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันมากมาย ที่ไม่ว่าใครจะหลงใหลในเรื่องของแฟชั่น หรือชื่นชอบในเรื่องของวัฒนธรรม ที่ ฮาราจูกุ (Harajuku) นั้น มีสิ่งเหล่านี้รอคอยให้เราทุกคนได้มาสัมผัสกันแล้ว
ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street)
ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ถนนช้อปปิ้งที่มีความความยาวประมาณ 400 เมตร เชื่อมระหว่างถนนฮาราจูกุ (Harajuku Dori) บริเวณหน้าสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) ไปจนถึงถนนเมจิ (Meiji Dori) ในย่านฮาราจูกุ (Harajuku) โดยจุดที่ง่ายที่สุดในการเริ่มเดินย่านนี้คือการเดินจากจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) เด้อ
เริ่มแรกที่เราจะได้ย่างก้าวข้ามถนนเพื่อไปยังถนนช้อปปิ้งด้านในนั้น บรรยากาศตรงซุ้มประตูทางเข้ามีป้ายตัวอักษรตัวเบอเร้อระบุเอาไว้ว่า ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ที่เสมือนเป็นถนนสู่ ‘ฮาราจูกุ (Harajuku)’ ของแท้ เมื่อเรามองเข้าไปในถนนนั้นถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง เพราะถือเป็นถนนช้อปปิ้งที่คนเยอะแบบแตกแตน ขนาบข้างไปด้วยสารพัดร้านอาหาร ร้านขนม รวมไปถึงร้านเสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์ต่างๆ ชุดคอสเพลย์ เครื่องประดับ รองเท้า และของมือสอง ไปจนถึงสารพัดสินค้าปุ๊กปิ๊กและร้านขายสินค้าไอดอล ดารานักร้องของญี่ปุ่นอีกด้วย ใครที่เป็นสายแฟแล้วอยากมาตามหาแรร์ไอเท็มปังๆ ก๊อตบอกเลยว่า ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) มีขายให้เราเลือกกันจนตาแตก กระเป๋าตังค์ฟี๊บกันเลยทีเดียว 55555
นอกจากร้านแฟชั่นจ๋าๆ แล้ว ตามสองข้างทางเค้ายังมีสตรีทฟู้ดราคาสบายกระเป๋าตั้งแผงขายกันทั้งเมนูต้ม ผัด แกง ทอด ใครหิวและอยากลองกินอาหารญี่ปุ่น ชอบร้านไหนจะแวะซื้อกินระหว่างทางก็ได้นา แต่ที่ต้องลองและเป็นขนมดังของถนนเส้นนี้คือร้านขนมเครป ซึ่งตลอดทางเดินใน ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) เค้าเปิดขายกันอยู่หลายร้านเลย โดยร้านที่ก๊อตเลือกกินคือ SWEET BOX ร้านเครปป้ายสีข้าวตัวหนังสือสีแดงเด่นหรา คึกคักไปด้วยคนรอซื้ออยู่เยอะมาก โดยเคล็ดลับความอร่อยของเค้า คือแป้งเครปโฮมเมดที่ทำกันอย่างพิถีพิถันเสิร์ฟมาพร้อมกับผลไม้สดชิ้นโตๆ หวานฉ่ำๆ ที่รสชาติอร่อยมาก ใครที่เลือกไม่ถูกว่าจะกินเครปร้านไหนดีก็ลองร้านนี้ได้เลยจ๊า
ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando)
หากใครเดินช้อปปิ้งจาก ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ครบหมดทุกตรอกซอกซอยแล้ว แต่ยังอยากช้อปต่อโดยเฉพาะแบรนด์เนมทั้งหลาย ก๊อตแนะนำให้พุ่งตัวมาที่ ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) ที่อยู่ใกล้กันได้เลย โดยบรรยากาศของถนนเส้นนี้จะต่างออกไปจากถนนทาเคชิตะแบบลิบลับ บริเวณตามทางเดินเต็มไปด้วยความร่มรื่นจากแนวต้นไม้ที่ทอดยาวกว่า 1 กิโลเมตร แถมร้านรวงบนถนนช้อปปิ้งนี้ยังคราคร่ำไปด้วยแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง คาเฟ่ และร้านอาหารที่ดูโมเดิร์นทันสมัยอีกทั้งยังดูหรูหรามากกว่า จนถนนสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นถนน Champs-Élysées แห่งโตเกียวกันเลยทีเดียว
ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) ถือเป็นอีกหนึ่งในย่านช้อปปิ้งที่หรูหราและยังเป็นย่านที่น่าอยู่มากที่สุดในโตเกียว ตัวถนนตั้งอยู่ในชิบูย่า (Shibuya) และมินาโตะ (Minato) ทอดยาวจากทางเข้าศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) ไปยังถนนอาโอยามะ (Aoyama Street) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีโอโมเตะซันโด (Omotesando Station) ซึ่งทั้งย่านนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงยุคสมัยไทโช (Taisho Era) ก่อนจะเป็นที่รู้จักในฐานะถนน “งานแสดงผลงานทางสถาปัตยกรรม” ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเพราะอาคารที่อยู่ตามสองฝั่งของแนวถนนนั้นต่างออกแบบได้งดงามและมีดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตาไม่เหมือนย่านอื่นๆ
ภายใน ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) มีร้านแฟลกชิปสโตร์แฟชั่นมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นลักชูรี่แบรนด์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Tod’s, Dior, Alexander McQueen, Gucci, FENDI, Hermès, Bulgari และแบรนด์อื่นๆ อีกเพียบ บอกเลยว่าใครที่อยากมาช้อปแบรนด์เนมแบบจัดหนักจัดเต็ม ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) คือตอบโจทย์มาก เพราะเค้ายกแทบทุกแบรนด์ดังบนโลกใบนี้มาตั้งรวมเอาไว้ในถนนเส้นนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นอีกตัวเลือกในการช้อปปิ้งแบรนด์เนมจากถนนกินซ่า (Ginza) ที่ดีมากเลยทีเดียวแหละ
The Espace Louis Vuitton Tokyo
สำหรับสายอาร์ต สายแกลอรี่ชื่นชมงานศิลปะ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าถนน ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) นั้นมีอาร์ตแกลอรี่ของ Louis Vuitton ซ่อนตัวอยู่ด้านบนของช้อป โดยเค้ามีชื่อเก๋ๆ ว่า ‘The Espace Louis Vuitton Tokyo’ กับพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการที่ทาง Louis Vuitton จัดทำขึ้นเพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยขึ้นใหม่ บนพื้นที่ของช้อป Louis Vuitton หลายแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่มิวนิก, เวนิซ, ปักกิ่ง โซล, โอซาก้า และโตเกียว โดยแกลอรี่ก๊อตกำลังจะพาทุกคนไปเดินชมกันนี้ คือช้อป Louis Vuitton Omotesando นั่นเอง
บอกก่อนว่าใครที่ตั้งใจมาดูนิทรรศการศิลปะของเค้าอย่างเดียว แต่ไม่ใช่สายแบรนด์เนมแล้วแอบเขินไม่กล้าเดินเข้าช็อป บอกเลยว่าไม่ต้องกลัวและเดินเข้ามาได้เลย เพราะก๊อตก็เข้าไปแบบตาสีตาสามากแล้วบอกว่าเราอยากไปแกลอรีดูนิทรรศการ พนักงานของทางช็อปบริการดีเว่อร์ พร้อมแนะนำให้เราเดินไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังชั้น 7 ซึ่งเป็นชั้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะอยู่ ซึ่งเราสามารถเข้ามาชมได้ฟรีๆ เลยนา
สำหรับ The Espace Louis Vuitton Tokyo เปิดตัวในปี ค.ศ. 2011 ใจกลางโอโมเตะซันโด (Omotesando) ถือเป็นศูนย์รวมความหลงใหลในความคิดสร้างสรรค์ที่หลุยส์ วิตตองมีร่วมกับประเทศญี่ปุ่น และพอเราออกมาจากลิฟต์จะเจอเข้ากับห้องจัดแสดงที่มีลักษณะเป็นเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมทำจากกระจกใสล้อมรอบ ซึ่งหมดนี้ถูกออกแบบโดย Jun Aoki สถาปนิกชาวญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงนิทรรศการที่สนับสนุนผลงานศิลปะร่วมสมัยใหม่ๆ โดยตลอดทั้งปีจะมีการจัดแสดงผลงานศิลปะหมุนเวียนกันไปอยู่ตลอดนั่นเอง
โดยตอนที่ก๊อตไปนั้น เราไปทันช่วงที่เค้าจัดแสดงนิทรรศการ L>espace)(… ซึ่งเป็นนิทรรศการพิเศษจากผลงานของ Cerith Wyn Evans ศิลปินชาวเวลส์ ที่นำเสนอผลงานในรูปแบบประติมากรรม หรืองานศิลปะจัดวาง โดยศิลปินได้สำรวจการปรากฏของรูปแบบในอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ข้อความ (ส่วนใหญ่มักเป็นสีนีออน) แสง เสียง หรือวิดีโอ ซึ่งในนิทรรศการครั้งนี้ศิลปินได้เล่นกับอักษรพาลินโดรมแบบลาติน โดยนำเอาเส้นไฟนีออนมาขดตัวจนเกิดเป็นอักษรที่มีทั้งเป็นข้อความยาวๆ และที่เป็นลักษณะรูปทรงราวกับโคมไฟห้อยระย้าลงมาจากเพดานให้เราได้มาตีความถึงโลกแห่งความเป็นจริงและพื้นที่เหนือจินตนาการไปด้วยกัน ทั้งนี้ งานนี้เค้าได้จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนิทรรศการทั้งหมดของที่นี่จะเป็นแบบหมุนเวียนจัดกันไป ดังนั้น ถ้าเรามาแล้วจะไม่ได้เจองานแบบก๊อต ยังไงลองเช็คงานที่เค้าจัดปัจจุบันได้จากเว็บเค้าเลย
Kiddy Land
สำหรับใครที่เดินส่องแบรนด์เนมกันจนตาแฉะแล้วอยากเปลี่ยนไวบ์มาเดินส่องของเล่นน่ารักๆ ยังมีอีกหนึ่งร้านใน ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) ที่ก๊อตแนะนำเลยคือ คิดดี้แลนด์ (Kiddy Land) ร้านขายของเล่นชื่อดังที่เป็นแหล่งรวบรวมสารพัดสินค้าปุ๊กปิ๊กมากมายเอาไว้ในที่เดียวให้เราได้มาช้อปกันแบบจุใจ
คิดดี้แลนด์ (Kiddy Land) จะเป็นอาคารสูง 4 ชั้น ด้านหน้าร้านโดดเด่นด้วยประตูกระใจที่เปิดโล่งให้เรามองเข้าไปเห็นตัวการ์ตูนน่ารักๆ และป้ายร้านสีแดงตัวอักษรสีขาวขนาดใหญ่ ซึ่งพอเราเดินเข้ามาภายในร้าน แต่ละชั้นเค้าก็จะขายสินค้าจากตัวการ์ตูนดังๆ อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Snoopy Town ที่สาวกการ์ตูนเรื่อง Peanuts ห้ามพลาดเพราะเราจะได้เข้าไปช้อปสินค้าของสนูปปี้และเหล่าผองเพื่อนกันแบบเต็มอิ่ม หรือใครเป็นแฟนมังงะตัวการ์ตูนจิ๋วสุดน่ารักอย่างเจ้ากระต่ายน้อยในเรื่อง Chiikawa ที่นี่เค้าก็มี Chiikawa Land ที่ขายกันตั้งแต่ ตุ๊กตา กาชาปอง ฟิกเกอร์ ไปจนถึงของสะสมกระจุ๊กกระจิ๊กให้ได้เลือกสรรกันแบบเพลินตา
นอกจากนี้ยังมีสินค้าจาก Rilakkuma Store, Hello Kitty Shop, Studio Ghibli, โดราเอม่อน, ชินจัง, โปเกมอน รวมไปถึงสินค้าจากแบรนด์ฝั่งอเมริกันที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างเช่น Star Wars, Disney และ Marvel ขายอยู่ด้วย ก๊อตบอกเลยว่าทั้ง 4 ชั้นที่นี่เดินขึ้นลงเป็นว่าเล่นนั้น มีสินค้าให้ได้เลือกซื้อกันแบบละลานตาม๊าก ตั้งแต่ของสะสม อาร์ตทอย กระเป๋า ถุงผ้า ไล่ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้และสารพัดของตกแต่งที่หากไม่หักห้ามใจดีๆ เราอาจล้มละลายได้ 555555 เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบการ์ตูนทั้งฝั่งของญี่ปุ่น และฝั่งอเมริกันอยู่แล้ว หากได้มาเที่ยวโตเกียวแล้วอยากช้อปของเล่นแบบครบครันให้ปักหมุดมาที่ คิดดี้แลนด์ (Kiddy Land) ได้เลย รับรองว่ามีคนกระเป๋าฉีกกลับไทยแน่นอน
ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu)
อีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดของย่านฮาราจูกุ (Harajuku) ก็คือ ศาลเจ้าศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ที่ถือเป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ประจำโตเกียวที่ต้องมาสักการะขอพร โดยศาลเจ้านี้เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตในญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บนผืนป่าอันเงียบสงบ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1920 บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 7 แสนตารางเมตร ในย่านฮาราจูกุ (Harajuku) เขตชิบูย่า (Shibuya) ของโตเกียว (Tokyo) เพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิเมจิ และจักรพรรดินีโชเก็น พระชายาของพระองค์ โดยศาลเจ้าแห่งนี้เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตในญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บนผืนป่าอันเงียบสงบ และเมื่อปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมาถือเป็นวันครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งศาลเจ้าพอดีเลย
จักรพรรดิเมจิ คือ จักรพรรดิองค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น (โดยจักรพรรดิองค์ปัจจุบันคือจักรพรรดิองค์ที่ 126) พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงเวลาของการสิ้นสุดของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ (Tokugawa Shogunate) และญี่ปุ่นยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เปิดประเทศมากมายนัก พอ จักรพรรดิเมจิ ขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงริเริ่มที่จะส่งเสริมมิตรภาพกับประเทศอื่นๆ รวมไปถึงได้นำเอาอารยธรรมตะวันตกและเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้วจากต่างประเทศเข้ามาเรียนรู้และพัฒนาภายในประเทศญี่ปุ่น แต่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของญี่ปุ่นเอาไว้ ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีจนเรียกได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงวางรากฐานยุคใหม่ของญี่ปุ่น
ภายหลังในปี ค.ศ. 1912 ที่ จักรพรรดิเมจิ สิ้นพระชนม์ลง รวมถึงพระชายาของพระองค์ “จักรพรรดินีโชเก็น” ได้สิ้นพระชนม์ตามหลังในปีค.ศ. 1914 ผู้คนในเมืองต่างมีความปรารถนาที่จะรำลึกถึงคุณธรรมและแสดงความเคารพต่อทั้งสองพระองค์ จึงได้มีการก่อสร้าง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ขึ้นมา ด้วยการบริจาคต้นไม้ 100,000 ต้น จากทั่วประเทศญี่ปุ่น และมีอาสาสมัครเข้ามาร่วมในการก่อสร้าง จนกระทั่งศาลเจ้าแห่งนี้แล้วเสร็จในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปีค.ศ. 1920 โดยป่าที่ปลูกเอาไว้รอบๆ ศาลเจ้านั้น ได้รับการในการวางแผนในการปลูกจากผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ที่เค้าได้คิดและคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ถึง 100 ปี โดยเป็นป่าที่มนุษย์สร้างขึ้นและมีเป้าหมายเพื่อเป็นป่าธรรมชาติที่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง และจนถึงปัจจุบันนี้ที่ล่วงเลยมากว่า 100 ปี ผืนป่ารอบๆ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ก็ยังคงงดงามและอุดมสมบูรณ์อยู่มากๆ ตามที่เค้าตั้งใจไว้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 กลุ่มศาลเจ้าต่างๆ ภายในเมือง ถูกโจมตีทางอากาศและเกิดไฟไหม้จนได้รับความเสียหาย ซึ่ง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่ถูกโจมตี แต่โชคยังดีที่มีป่าห้อมล้อมเอาไว้ จึงไม่ได้พังทลายลงจนหมด ต่อมาในปี ค.ศ. 1958 ผู้คนได้เข้ามาช่วยกันฟื้นฟูศาลเจ้าแห่งนี้จนกลับมาเป็นศาลเจ้าที่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม และอยู่คู่กับโตเกียวมาจนถึงปัจจุบัน โดย ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เลื่องลือในเรื่องของความโชคดี ซึ่งคนเค้าก็จะนิยมมาขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอในเรื่องหน้าที่การงาน ไปจนถึงขอลูกกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานแบบโบราณสำหรับหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นที่เค้าต้องการจัดแบบประเพณีดั้งเดิมอยู่อีกด้วย ดังนั้นถ้าใครมาเที่ยวแล้วเจอคู่รักพร้อมญาติพี่น้องเดินขบวนเข้ามาภายในศาลเจ้าก็ไม่ต้องแปลกใจไปเด้อ เค้าจัดพิธีแต่งงานกันนั่นเอง
สำหรับบรรยากาศของศาลเจ้า จุดแรกที่เราเข้ามาเจอเลยก็คือ เสาโทริอิ (Torii) สีน้ำตาลทองขนาดใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมจนเกิดเป็นร่มเงาทำให้บรรยากาศมันร่มรื่นเอามากๆ ซึ่งตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของทางเดินเพื่อเข้าไปยัง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ที่ตั้งอยู่ภายใน ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณราวๆ 10 นาที โดยสองข้างทางที่เราเดินเข้ามาเรื่อยๆ นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีไปหมด และเผื่อใครยังไม่รู้ธรรมเนียมเล็กๆ ของคนญี่ปุ่น เค้าเชื่อกันว่า ประตูโทริอิ (Torii) นั้น ถือเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างผืนดินศักดิ์สิทธิ์และผืนโลก เมื่อก้าวข้ามประตูโทริอิเข้ามา คนเค้าจะนิยมเดินอยู่ฝั่งซ้ายไม่ก็ฝั่งขวาทางใดทางหนึ่ง โดยเว้นพื้นที่ตรงกลางเอาไว้ เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าทางเดินตรงกลางนั้น “เป็นทางเดินของเทพเจ้า” นั่นเอง
เดินเข้ามากันสักพัก เราจะเจอกับมุมสองข้างทางที่ฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยถังสาเก และอีกฝั่งคือถังไวน์จากตะวันตก ที่ตั้งเรียงรายซ้อนกันขึ้นไปอยู่หลายชั้น โดยถังเหล่านี้ผู้คนเค้านำมาถวายให้กับศาลเจ้าเพื่อเอาไว้ใช้สำหรับดื่มเพื่อเป็นศิริมงคลในโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วันปีใหม่ หรือวันแต่งงาน ซึ่งจุดนี้เป็นอีกมุมที่ถ่ายรูปออกมาสวยเก๋ไม่น้อยเลยแหละ
เดินต่อไปอีกไม่ไกลจะเจอกับเสาโทริอิ (Torii) ขนาดใหญ่สีเดียวกับต้นแรกที่เราเจอตรงทางเข้าเป๊ะ โดยด้านหลังของเสาโทริอิ (Torii) จะมีอาคารและซุ้มประตู ให้ทุกคนเดินผ่านเข้ามาได้เลย จะเจอกับภาพของลานกว้างๆ ที่อยู่ด้านหน้าอาคารหลักของ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ซึ่งบรรยากาศเค้าจะเป็นลานโล่งๆ ด้านในมีอาคารหลักตั้งสง่าและเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวที่เค้ากำลังสักการะกันอยู่ พื้นที่รอบๆ ยังคงมองเห็นต้นไม้เขียวๆ โดยตอนที่ก๊อตไปนั้นเราเจอคู่รักชาวญี่ปุ่นเค้ากำลังเดินจูงมือในชุดแต่งงานแบบดั้งเดิมมาเข้าพิธีกันที่นี่ด้วย
สำหรับใครที่เข้าไปไหว้ขอพรในอาคารหลักกันเสร็จแล้ว ขากลับออกมาลองเดินมาตรงบริเวณซุ้มใต้ต้นไม้ที่เค้าเอาไว้แขวนแผ่นไม้ Ema สำหรับขอพรกันได้ โดยเราจะเห็นแผ่นไม้มากมายถูกแขวนไปอยู่บนที่ห้อย ซึ่งใครที่ต้องการเขียนคำขอพรสามารถซื้อแผ่นไม้จากทางศาลเจ้าได้เลย เค้ามีขายในราคา 500 เยน (~120 บาท) ใครที่อยากได้โชคแบบคอมพลีทจัดเต็มก็ลองซื้อแล้วเขียนขอพรมาห้อยกันดูเด้อ
สรุปเลย ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าสำคัญที่ใครมาเที่ยวโตเกียว ก๊อตแนะนำว่าควรค่าแก่การมาที่นี่สักครั้ง เพราะนอกจากเราจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายความเก่าแก่ของศาลเจ้าอายุนับ 100 ปีแล้วท่ามกลางผืนป่าใจกลางเมืองแล้ว เรายังได้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้คนที่เค้าตั้งใจสร้างศาลเจ้าที่นี่ขึ้นมาเพื่อเคารพต่อ จักรพรรดิ์ จักรพรรดินี ที่แม้ว่าทั้งสองพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เปรียบเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองพระองค์นั้น เป็นที่รักใคร่ของผู้คนและได้ทรงสร้างคุณงามความดีเอาไว้เป็นอย่างมาก มันเลยเหมือนเป็นอีกสถานที่ที่น่าภาคภูมิใจของโตเกียวที่ใครมีโอกาสได้มาเที่ยวแล้วไม่ควรพลาดเลย
สรุปการมาเที่ยวย่าน ย่านฮาราจูกุ (Harajuku)
การมาเที่ยว ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) ของก๊อต ยกให้เป็นอีกหนึ่งย่านที่เที่ยวสนุกและครบรสมาก ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศสุดจี๊ดจ๊าดของถนนช้อปปิ้งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยนักท่องเที่ยวและขาช้อปที่มาเดินจับจ่ายซื้อของกันเยอะเว่อร์ โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่ขายกันอยู่ในถนนช้อปปิ้งนั้นจะออกไปในแนวแฟชั่นญี่ปุ่นจ๋าๆ ที่ใครชื่นการชอบแต่งตัวจัดๆ อยากมาสัมผัสกับแฟชั่นอันหลากหลายมาที่นี่แล้วถูกใจแน่นอน ส่วนที่ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) บรรยากาศนั้นงดงามและเงียบสงบม๊ากก เหมือนเป็นอีกหนึ่งโลกที่ถูกแยกออกมาจากฟีลเมืองเพื่อพาผู้คนปลีกตัวออกจากความวุ่นวายให้ได้มาพักกายพักใจท่ามกลางสิ่งศักดิ์สิทธิ์กัน เป็นสองสถานที่ที่ไวบ์ต่างกันลิบลับแต่กลับตั้งอยู่ในย่านเดียวกันได้อย่างกลมกลืน เอาเป็นว่าใครที่อยากมาเที่ยวไวบ์ประมาณนี้ ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) เป็นอีกหนึ่งย่านที่ตอบโจทย์นั้นมากๆ เลย คือมาเที่ยวโตเกียวยังไงมันก็ต้องมาที่นี่เด้อ
ย่านชิบูย่า (Shibuya)
ชิบูย่า (Shibuya) ย่านแลนด์มาร์คที่ถือเป็นไอคอนของความเป็นโตเกียวมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นสวรรค์ของขาช้อปเพราะที่นี่อัดแน่นไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และสถานบันเทิง อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) ที่ได้ชื่อว่ามีผู้เข้ามาใช้งานและพลุกพล่านมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลย ส่งผลให้ในแต่ละวันมีคนญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะเวียนมาเยือนย่านนี้กันแบบไม่ขาดสายกันเลยทีเดียว
สำหรับประวัติของ ชิบูย่า (Shibuya) นั้น ต้องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งถือเป็นยุคแรกของย่านแห่งนี้เลยก็ว่าได้ โดยในช่วงเวลานั้น ชิบูย่า (Shibuya) เป็นเพียงแค่พื้นที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่ทำการเกษตรกรรม โดยชื่อ ชิบูย่า (Shibuya) นั้น ว่ากันมาจากตระกูลชิบูย่าซึ่งอ้างสิทธิ์ในพื้นที่แห่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ชิบูย่า (Shibuya) ยังคงไม่ได้รับการพัฒนามากนัก จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603 – 1868) ย่านแห่งนี้จึงเริ่มมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางโคชู ไคโด (Koshu Kaido) ถนนสายหลักที่มุ่งตรงเข้าสู่โตเกียว (Tokyo) ทำให้ผู้คนที่เดินทางผ่านบนถนนสายนี้มักจะหยุดพักรถในย่าน ชิบูย่า (Shibuya) อยู่เสมอ นำมาซึ่งการจับจ่ายซื้อข้าวของส่งผลให้ย่านแห่งนี้เป็นที่รู้จักและพัฒนาขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้มีการพัฒนาเส้นทางรถไฟเข้ามายังย่าน ชิบูย่า (Shibuya) โดยในปี ค.ศ. 1885 มีการเปิดสถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) บนสายยามานาโตะ (Yamanote Line) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาการเติบโตที่พีคที่สุดของย่านเลยก็ว่าได้ เพราะการเปิดสถานีรถไฟส่งผลให้ผู้คนเดินทางเข้าออกในย่านนี้มากยิ่งขึ้น จนในที่สุด ชิบูย่า (Shibuya) กลายเป็นเขตเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านมากแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่านแห่งนี้ยิ่งขยายตัวและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง ปี ค.ศ. 1950 และ 1960 มีการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าและอาคารพาณิชย์ขึ้นมาภายในย่านหลายแห่ง
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 ชิบูย่า (Shibuya) ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถานที่เที่ยวสำคัญเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชิบูย่า 109 (Shibuya 109) ห้างสรรพสินค้าแฟชั่นที่รวบรวมไอเท็มเริ่ดๆ สำหรับสาวๆ, 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ทางข้ามม้าลายที่มีผู้คนข้ามมากที่สุดในโลก, ตึกชิบูย่า ฮิคาริเอะ (Shibuya Hikarie) ตึกสูง 34 ชั้นที่ภายในเป็นทั้งห้าง และจุดชมวิว, ชิบูย่า สกาย (Shibuya Sky) หนึ่งในจุดชมวิวสุดฮิตใจกลาง ชิบูย่า (Shibuya) แบบพาโนราม่า นอกจากนี้ยังมีสถานที่อื่นๆ อยู่ภายในย่านอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำให้ ชิบูย่า (Shibuya) กลายเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งและความบันเทิงอีกด้วย
เรียกได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของ ชิบูย่า (Shibuya) ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา มันได้แปรเปลี่ยนพื้นที่ชนบทให้กลายมาเป็นพื้นที่แห่งความทันสมัยและมีความสำคัญต่อวัฒนธรรมของผู้คน นับเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เลยว่า โตเกียว (Tokyo) นั้นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังสามารถหล่อหลอมขนบประเพณีแบบดั้งเดิม ความเก่าแก่เข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ซึ่งปัจจุบันนี้ ชิบูย่า (Shibuya) ยืนหยัดในฐานะสัญลักษณ์ระดับโลกที่สื่อให้ผู้คนได้เห็นถึงวัฒนธรรมเมืองของญี่ปุ่นนั่นเอง
เดินเล่นในย่านชิบูย่า (Shibuya)
ก๊อตขอเริ่มต้นเที่ยวในย่าน ชิบูย่า (Shibuya) ด้วยการพาทุกคนมาเดินส่องบรรยากาศ ช้อปปิ้งชิลๆ สำรวจตรอกซอกซอยในย่านนี้กันก่อน โดยบรรยากาศรอบๆ ในย่าน ชิบูย่า (Shibuya) นั้น นอกจากจะคึกคักเพราะเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวแล้ว ตลอดเวลาที่เราเดินเข้ามานั้น รอบๆ ตัวก๊อตรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ไปจนถึงแหล่งรวมความบันเทิง ที่ตั้งเรียงรายทอดยาวไปตามสองแนวฝั่งของถนน
ใครที่อยากมาช้อปพวกแบรนด์สตรีท แบรนด์แฟชั่นต่างๆ ที่ ชิบูย่า (Shibuya) มีให้ได้เลือกช้อปกันเพลินตามาก และมีหลากหลายซอย รวมถึงหลายห้างให้เราได้เดินช้อปกันแบบหน้ามืดตามัวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น atmos, A Bathing Ape, Supreme, Uniqlo, Muji, A land, ABC Mart ไปจนถึงร้านของเล่นสุดฮิตอย่าง POP MART รวมถึงเหล่าร้านดรักสโตร์ที่ขายทั้งสกินแคร์และเครื่องสำอางค์ และของใช้อื่นๆ ก็มีให้ได้เลือกซื้อกันจนตาลาย นี่ว่าใครเป็นขาช้อปมาย่านนี้ต้องชอบแน่นอน โดยส่วนตัวก๊อตคิดว่าเราสามารถช้อปที่ ชิบูย่า (Shibuya) ได้สบาย ๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เพราะร้านรวงส่วนใหญ่เป็นช็อปที่ราคาจับต้องและเข้าถึงได้นั่นเอง
Pokémon Center Shibuya / Nintendo TOKYO ที่ Shibuya PARCO
สำหรับคนรักโปเกมอนและคอเกม ก๊อตอยากให้ทุกคนแวะมาที่ห้าง Shibuya PARCO ชั้น 6 ที่เค้าจะมี Pokémon Center Shibuya และ Nintendo TOKYO รวมถึงมี CAPCOM Store Tokyo ตั้งอยู่ ดังนั้นใครที่ตั้งใจมาเพื่อตามเก็บคอลเลกชันของสะสมต่างๆ ให้รีบพุ่งตัวขึ้นมายังชั้นนี้ได้เลย
เริ่มจาก Pokémon Center Shibuya กันก่อน ซึ่งหาร้านได้ไม่ยากเลย เพราะเค้าตกแต่งร้านด้วยโทนสีดำตัดด้วยแสงไฟนีออนให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ก้าวเข้าสู่โลกไซไฟของเหล่าโปเกมอนกันจริงๆ โดยด้านหน้าของ Pokémon Center Shibuya ยังมีเจ้ามิวทู (Mewtwo) สีขาวตัวใหญ่ตั้งอยู่ในหลอดแก้วยักษ์คอยต้อนรับเราอีกด้วย
สำหรับ Pokémon Center Shibuya นั้น คือ ร้านขายสารพัดสินค้าลิขสิทธิ์แท้ของโปเกม่อน ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา โมเดล ฟิกเกอร์ การ์ดเกม และสารพัดสินค้าปุ๊กปิ๊กอีกมหาศาล โดยโปเกม่อน ถือว่าเป็นเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีผู้ติดตามและโด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นและทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งสาขาที่ Shibuya PARCO นี้คือสาขาที่ 14 ของ Pokémon Center ที่เค้าได้เปิดกระจายกันไปตามเมืองใหญ่ๆ ในญี่ปุ่น สำหรับบรรยากาศภายใน Pokémon Center Shibuya หลังจากเดินผ่านเจ้ามิวทูเข้ามาแล้ว รอบกายก๊อตตอนนี้มันเต็มไปด้วยสินค้าลิขสิทธิ์แท้จากโปเกมอนอยู่แน่นเอี๊ยด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียน ตุ๊กตาพวงกุญแจ โมเดลตุ๊กตา ฟิกเกอร์ ของใช้ต่างๆ ไปจนถึงขนมจากเหล่าตัวละครในโปเกม่อนที่ทำออกมาได้น่ารักน่าตำกลับบ้านสุดๆ ซึ่งคาแรกเตอร์ดังๆ ทั้งฝั่งคนอย่าง ซาโตชิ, เซเรน่า และคาสึมิ ไปจนถึงฝั่งของโปเกมอนทั้งปิกาจู, เซนิกาเมะ, ลิซาโดะ รวมไปถึงผองเพื่อนทั้งหลายทั้งมวล มีมาให้เราช้อปหมดแล้วที่ Pokémon Center Shibuya คือสาวกโปเกม่อนเข้ามาในนี้สามารถอยู่ช้อปกันได้ยาวๆ
หลังจากเราเดินออกมาจาก Pokémon Center Shibuya ตรงข้ามกันเลยคือ Nintendo TOKYO ร้านขายสินค้าปลีกของ Nintendo ที่พิเศษสุดๆ ตรงที่ Nintendo TOKYO เค้าเป็นสาขาแรกในญี่ปุ่น โดยร้านเค้าตกแต่งด้วยโทนสีแดง-ขาว และเปิดไฟสว่างคลีนๆ ภายในเต็มไปด้วยสินค้ามากมายจากเหล่าตัวละครป๊อบๆ ในเกมต่างๆ ของเค้าไม่ว่าจะเป็น Mario, Legend of Zelda, Animal Crossing, Splatoon, Pikmin, Kirby of the Stars และ Fire emblem ที่ยกขบวนกันมาในรูปแบบของโมเดล ตุ๊กตา ของใช้ และของปุ๊กปิ๊กน่ารักๆ ให้ได้ซื้อกลับบ้านกันแบบไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งที่ก๊อตชอบเลย คือมุมลองเล่นเกม Nintendo Switch ของเค้าที่ยกเอาจอหลากหลายขนาดมาเชื่อมต่อเข้ากับ Nintendo Switch ให้คนที่เข้ามาในร้านได้ลองประลองฝีมือกันอีกด้วย เอาเป็นว่าใครที่เป็นแฟน Nintendo อยู่แล้วจะลองมาเล่นดูก็ได้นา
ยังไม่หมดเท่านั้น บนชั้น 6 เค้ายังมีช็อปอื่นๆ อยู่ด้วย อย่าง Touken Ranbu Yorozuya Honpo, CAPCOM STORE TOKYO, JUMP SHOP ก็มีตั้งเรียงรายอยู่เป็นตับให้เราได้ช้อปกันต่อแบบจุใจ ใครที่ชื่นชอบตัวการ์ตูนจากอนิเมะของค่ายไหนก็เลือกเข้าร้านที่ใช่ได้เลย เรียกได้ว่า Shibuya PARCO เป็นอีกจุดหมายที่คอเกมและแฟนๆ อนิเมะห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing)
ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ใครที่เคยเห็นภาพของทางข้ามม้าลายขนาดใหญ่ตรง 5 แยกที่รายล้อมไปด้วยอาคารและตึกท่ามกลางแสง สี เสียงสุดคึกคัก พร้อมกับผู้คนจำนวนมหาศาลล้านแปดเดินข้ามไปมาบนทางม้าลาย ก๊อตจะบอกว่าที่นี่คือ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) แลนด์มาร์คประจำโตเกียว (Tokyo) ที่โด่งดังและมักจะโผล่อยู่ในหน้าจอหนังระดับโลกแบบนับนิ้วกันไม่หวาดไม่ไหวจนเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งไอคอนิกของโตเกียวและญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้ว
ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อทางข้ามม้าลายชิบูย่า ตั้งอยู่บริเวณทางออกของสถานีชิบูย่า (Shibuya Station) โดยที่นี่เรียกได้ว่าเป็นทางม้าลายใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของโตเกียว (Tokyo) ซึ่งว่ากันว่าเป็นทางข้ามม้าลายที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ โดยบรรยากาศของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) นั้น ยังครึกครื้นม๊าก ยิ่งใครมาเดินช่วงกลางคืน เราจะได้ดื่มด่ำไปกับแสง สี เสียงจากจอ LED มากมายที่ติดอยู่ตามมุมตึก รวมถึงแสงไฟหลากสีที่เปิดออกมาจากเหล่าอาคารและตึกที่อยู่รายล้อมส่งผลให้ทั่วทั้งแยกระยิบระยับเป็นดั่งราตรีที่ไม่มีวันสิ้นสุดเลยแหละ ทั้งหมดนี้มันเลยทำให้ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) โด่งดังขึ้นมาเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่าทางม้าลายแห่งนี้ได้ไปโผล่อยู่ในภาพยนต์ดังหลายเรื่องของโลก ไม่ว่าจะเป็น Fast and the Furious หรือ Resident Evil รวมถึงถูกนำไปเขียนลงนิตยสาร และบล็อกต่างๆ นับไม่ถ้วนกันเลยทีเดียว
สำหรับ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) นั้น มีขึ้นตั้งแต่ราวๆ ปี ค.ศ. 1932 เมื่อรถไฟสายโตคิวโทโยโกะ (Tokyu Toyoko) ในสถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) เปิดทำการ ทำให้ช่วงเวลานั้น ชิบูย่า กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจของโตเกียว อีกทั้งยังเป็นจุดแวะพักสำคัญระหว่างโตเกียว (Tokyo) กับโยโกฮาม่า (Yokohama) อีกด้วย โดยข้อมูลสถิติการเดิรข้ามถนนของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ในช่วงปี ค.ศ. 2016 นั้นมีจำนวนผู้คนเดินผ่านทางข้ามม้าลายที่แยกแห่งนี้สูงถึง 3,000 คนต่อสัญญาณไฟเขียวหนึ่งครั้งที่เปิดให้คนเดินผ่าน (ทุกๆ 2 นาที) เลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้จะมีผู้คนเดินพลุกพล่านมากแค่ไหน แต่บริเวณ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) กลับไม่เคยมีการจราจรติดขัดเลย แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนก็ตาม
ปัจจุบันนี้ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ได้กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคนหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มักจะมานัดพบและมารวมตัวกันในแยกแห่งนี้ก่อนจะเริ่มออกเดินเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ และแน่นอนว่าทุกคนนั้นต่างมาเพื่อถ่ายรูปชิคๆ ท่ามกลางทางม้าลายที่มีผู้คนกำลังเดินผ่านไปมานั่นเอง โดยบริเวณ ห้าแยกของเค้าจะเป็นลักษณะทางข้ามม้าลายขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยตึกสูง ซึ่งจากทางม้าลายนั้นมันสามารถเดินข้ามไปสู่ถนน 5 เส้นที่แยกตัดไปออกไปตามซอกซอยในย่านชิบูย่าได้ โดยไฮไลท์ของที่นี่เลยคือ ทางม้าลายที่อยู่ใจกลางแยก ซึ่งในทุกๆ 2 นาที จะมีสัญญาณไฟเขียวเปิดขึ้นเพื่อให้ผู้คนเดินข้ามผ่านไปมา และแน่นอนว่ามีนักท่องเที่ยวหลายคนนั้นมาเดินสับๆ ถ่ายรูปกันแบบแตกแตน โดยช่วงเวลาพีคๆ มีคนเดินข้ามทางม้าลายนี้กว่า 3,000 คนต่อหนึ่งไฟเขียว ถึงขนาดที่ว่ามีการตั้งชื่อให้ปรากฏการณ์การข้ามถนนแยกนี้ว่า “Scramble” (วุ่นวายยุ่งเหยิง) เพราะพอสัญญาณไฟเขียวแสดงขึ้นปุ๊บ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจะแห่แหนลงมาบนทางข้ามม้าลายเพื่อเดินข้ามกันให้ขวัก
โดยตึกและอาคารที่อยู่รอบ ๆ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) มีตั้งแต่ตึกสำนักงาน ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และสถานบันเทิงเยอะแยะมาก เรียกว่าเดินถ่ายสนุกและช็อปต่อกันได้เพลินๆ เล้ย ยิ่งถ้าใครมาที่นี่ในช่วงเวลากลางคืน ตึกเหล่านี้เค้าจะเปิดแสงไฟพร้อมกับจอแอลอีดีที่แสดงโฆษณากันแบบพรึ่บพรั่บ ทำให้ทั่วทั้ง ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ส่องสว่างเจิดจ้าสุดๆ
รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue)
อีกหนึ่งแลนด์มาร์คดังของ 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ที่ใครมาเที่ยวย่านนี้แล้วอยากจะนัดพบปะเพื่อนฝูงแต่กลัวหลงทางหากันไม่เจอ หนึ่งในจุดสังเกตุการณ์ง่ายๆ ที่คนญี่ปุ่นเค้านิยมใช้เป็นสถานที่นัดพบเลยก็คือบริเวณ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ฮาจิโกะ สแควร์ (Hachiko Square) ใกล้กับทางข้ามม้าลาย 5 แยกชิบูย่า โดยรูปปั้นนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ที่เกิดจากเรื่องราวของศาสตราจารย์เอซาบูโร อูเอโนะ อาจารย์ภาควิชาเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว (Tokyo University) ที่ได้รับเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ อาคิตะ อินุ (Japanese Akita Inu) ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้าของเป็นอย่างมาก โดยศาสตราจารย์เค้าได้ตั้งชื่อสุนัขของตนว่า “ฮาจิ” ที่หมายถึงเลข 8 เลขนำโชคของคนญี่ปุ่น
โดยทุกๆ เช้าที่ ศาสตราจารย์เดินทางไปทำงานที่มหาลัย เจ้าฮาจิจะวิ่งตามไปส่งจนถึงสถานีชิบูย่า (Shibuya Station) เสมอ และพอถึงบ่าย 3 มันจะวิ่งกลับมารอเจ้านายที่เดิมจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของผู้คนในระแวกนั้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1925 ศาสตราจารย์อูเอโนะ เสียชีวิตลงจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกตาย และไม่ได้เดินทางกลับมาที่สถานีรถไฟอีกเลย แต่เจ้าฮาจิยังคงทำหน้าที่ของมันด้วยการมารอศาสตราจารย์ในทุกๆ วัน แม้ว่าคนที่ผ่านไปผ่านมาจะบอกมันว่าเจ้านายไม่กลับมาแล้วก็ตาม ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปจนถึงปี ค.ศ. 1935 เจ้าฮาจิก็ได้ตายไปด้วยวัย 11 ปี โดยได้มีการนำเอาร่างของฮาจิมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติญี่ปุ่น (National Museum of Nature) ในสวนอุเอโนะ กรุงโตเกียว รวมถึงได้สร้างป้ายอนุสรณ์ของฮาจิอยู่ข้างๆ หลุมศพของศาสตราจารย์อูเอโนะ และสร้างรูปปั้นมาตั้งไว้ใจกลางย่านชิบูย่าอีกด้วย
เรื่องราวความจงรักภักดีของฮาจิที่มีต่อศาสตราจารย์อูเอโนะถูกพูดถึงและเป็นข่าวในวงกว้าง จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Hachi : a Dog’s Tale (ปี ค.ศ. 1987) โดยได้ดัดแปลงเนื้อหามาจากเรื่องราวของฮาจิ และศาสตราจารย์อูเอโนะ ซึ่งหนังก็ทำออกมาได้ดีและเรียกน้ำตาของคนดูไปไม่น้อยเลยเชียว ปัจจุบันนี้ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) ได้กลายเป็นจุดฮิตที่คนนิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันไปแล้ว โดยในวันที่ 8 เมษายนของทุกปีที่ญี่ปุ่นนั้น เค้าจะถือว่าเป็นวันรำลึกและบำรุง รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) ในขณะเดียวกันก็มีชาวญี่ปุ่นบางกลุ่มที่เค้ากำหนดให้ทุกวันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสุนัขผู้ซื่อสัตย์อีกด้วย
บริเวณรอบๆ ของ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) เค้าจะมีที่นั่งพักให้คนมานั่งเล่นกัน ท่ามกลางบรรยากาศรอบข้างที่เต็มไปด้วยผู้คนแบบมหาศาลม๊ากก เนื่องจากคนเค้าจะมาถ่ายรูปกับรูปปั้นแล้ว จุดนี้ยังเป็นสถานที่นัดพบที่คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชอบนัดแนะมาเจอกันอีกด้วย ด้วยความที่ตรงรูปปั้นนี้เสมือนเป็นแลนด์มาร์คจุดเดียวของแยกชิบูย่า ทำให้การนั้นเจอนั้นง่ายและไม่หลงนั่นเอง ฟีลแบบมาด้วยกันแล้วแยกย้ายช้อปปิ้ง เสร็จแล้วก็มานัดเจอกันตรง รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) แบบนี้ เราเลยจะเห็นว่า รอบข้างของรูปปั้นไม่เคยได้เงียบเหงา เพราะมีคนมาหยุดรอเพื่อน และถ่ายรูปเล่นกันอยู่ตลอดเวลา
จึงเรียกได้ว่า รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) นั้น เป็นรูปปั้นดังประจำเมืองโตเกียวไปเป็นที่เรียบร้อย หากใครมีโอกาสได้มาเที่ยวในย่านชิบูย่า แล้วอยากถ่ายรูปลงโซเชียลให้คนรู้ว่าเรามาที่ไหน ก๊อตบอกเลยว่า รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) เป็นอีกหนึ่งจุดห้ามพลาดที่ต้องมากัน ดังนั้น อย่าลืมจดที่นี่ลงลิสต์เที่ยวด้วยเด้อ
ร้านสตาร์บัคส์ ตรงร้านสึทาน่า สาขาแยกชิบูย่า (Starbucks Coffee Shibuya Tsutaya)
หากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาดูวิวมุมสูงของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) แต่ไม่รู้ว่าจะต้องขึ้นไปดูที่ไหน ที่แรกที่ก๊อตแนะนำเลยคือ ร้านสตาร์บัคส์ ตรงร้านสึทาน่า สาขาแยกชิบูย่า (Starbucks Coffee Shibuya Tsutaya) หนึ่งในจุดดูวิวสุดป๊อบที่เห็นเด่นชัดตั้งแต่เราเดินข้ามถนนใจกลาง ห้าแยก ซึ่งร้านเค้าจะตั้งอยู่บนชั้นสองของร้าน Tsutaya โดยเราสามารถซื้อกาแฟจากบริเวณชั้น 1 แล้วถือขึ้นไปหาที่นั่งดื่มบนชั้น 2 ได้เลย โดยเค้าจะมีโต๊ะบาร์ยาวๆ ให้ลูกค้าได้มาเลือกนั่งดูวิวห้าแยกชิบูย่าด้านล่างได้แบบเต็มสายตาเลย
แต่ก๊อตบอกก่อนเลยว่าใครจะมาที่ ร้านสตาร์บัคส์ ตรงร้านสึทาน่า สาขาแยกชิบูย่า (Starbucks Coffee Shibuya Tsutaya) อาจจะต้องเตรียมใจมาก่อน เพราะที่นั่งบนนี้เค้าเต็มไวม๊าก เราอาจจะต้องถือกาแฟเดินส่องนั่นนี่ไปพลางๆ พอมีจังหวะคนลุก เก้าอี้ว่างปุ๊บให้รีบพุ่งตัวไปนั่งติดขอบกระจกได้เลย เราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) จากชั้นสองลงมา ไวบ์ของผู้คนที่เดินข้ามถนนไปมาในช่วงสัญญาณไฟเขียวก็จะต่างกันจากตอนที่เรายืนถ่ายรูปเล่นกันอยู่ด้านล่างนา เป็นอีกมุมฮิตที่ต้องมาเลย
มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park)
สำหรับคนที่มาเที่ยวย่าน ชิบูย่า (Shibuya) แล้วอยากหามุมกิน ช้อป และพักผ่อนไปในตัว แถมยังมีกิจกรรมมากมายให้ได้มาทำนั้น ก๊อตแนะนำให้มากันได้ที่ มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ได้เลย ที่นี่เป็นแลนด์มาร์คใจกลางย่านที่รวมรวมเอาทั้งศูนย์การค้า โรงแรม และสวนสาธารณะลอยฟ้ามารวมเข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว จนกลายมาเป็นแหล่งคอมมูนิตี้ที่ให้ผู้คนได้มาปล่อยใจจอยๆ ไปกับพื้นที่สีเขียวกลางเมือง พร้อมกับได้ช้อปปิ้งและทำกิจกรรมร่วมกัน
มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ตั้งอยู่ในชิบูย่า (Shibuya) ของโตเกียว เดิมทีนั้นที่นี่เป็นเพียงสวนสาธารณะบนลานจอดรถ แต่ในภายหลังได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ใช้สอยถึง 4 ชั้น โดยตั้งแต่ชั้น 1 – 3 ได้ปรับให้เป็นศูนย์การค้า Rayard Miyashita Park ส่วนในบริเวณชั้น 4 เปิดเป็นสวนสาธารณะและโรงแรม ซึ่ง มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) โฉมใหม่นี้เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อช่วงเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมานี่เอง
สำหรับบรรยากาศรอบๆ ของ มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) นั้น ภาพลักษณ์โดยรวมจากที่เรามองอยู่ข้างนอก เค้าเป็นเหมือนห้างที่ตั้งอยู่ริมถนนทั่วไปเลย แต่บรรยากาศจะดูครึกครื้นเอาเรื่อง โดยบริเวณชั้น 1 ซึ่งเป็นพื้นที่ของศูนย์การค้า Rayard Miyashita Park ด้านนอกของเค้าเรียงรายไปด้วยร้านอาหารแบบอิซากายะ (Izakaya) ที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงแบบสุดฤทธิ์ ใครหิวอยากจะแวะกินสามารถเดินเลือกร้านที่ชอบแล้วพุ่งตัวเข้าไปฝากท้องกันก่อนได้
สำหรับภายในศูนย์การค้านั้นให้ฟีลเหมือนห้างขนาดย่อมๆ ที่เต็มไปด้วยช็อปตั้งอยู่มากมาย มีสินค้าขายตั้งแต่ร้านแบรนด์สตรีท แบรนด์แฟชั่น ทั้งเสื้อผ้า ของใช้ อุปกรณ์กีฬา ร้านขายแผ่นเสียง ไปจนถึงสารพัดของจิปาถะที่มีดีไซน์เก๋ๆ ในราคาจับต้องได้ นอกจากนี้ยังมีช็อปสินค้าระดับไฮเอนด์ที่คัดสรรมาให้เราได้เลือกช้อปกันเป็นอย่างดี หรือถ้าใครอยากจับจ่ายเหล่าของกิน ที่นี่เค้าก็มีร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ให้ได้แวะเวียนเข้าไปด้วยนา
ไฮไลท์ของ มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ที่ทำให้ก๊อตตั้งใจมาเที่ยวที่นี่เลยคือ บริเวณของสวนสาธารณะที่อยู่บนดาดฟ้าของชั้น 4 ซึ่งเค้าจะเป็นพื้นที่สีเขียวกว้างๆ มีสนามหญ้าขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เพิ่มความร่มรื่นให้กับพื้นที่ให้เราได้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้นเป็นช่วงที่เค้าจัดแสดงผลงานอินสตอลเลชันของโดราเอม่อนแซมอยู่ด้วย นอกจากเราจะได้มาผ่อนคลายไปกับธรรมชาติแล้วยังได้ดื่มด่ำกับงานศิลปะอีกต่างหาก โชคไม่ดีไปหน่อยที่ฝนตก ทุกอย่างเลยชุ่มฉ่ำแถมความเงียบเหงาไปหน่อย ฮ่าๆ
นอกจากนี้ บนสวนสาธารณะยังมีพื้นที่อเนกประสงค์ให้ได้มาทำกิจกรรมอยู่เยอะม๊าก เริ่มจากกิจกรรมปีนหน้าผาจำลอง ที่เค้ามีหน้าผาจำลองความสูงถึง 8 เมตรให้ได้มาทดลองปีน ซึ่งใครที่เป็นสายปีนผาแต่ไม่ได้พกอุปกรณ์มาด้วย ไม่ต้องกังวลไปเพราะที่นี่เค้ามีอุปกรณ์แบบครบเซตให้เช่า รวมถึงมีรองเท้าสำหรับปีนผาตั้งแต่ของเด็กไปจนถึงของผู้ใหญ่เตรียมไว้ให้ด้วย หรือใครเป็นสายสตรีทรักในการเล่นสเก็ตบอร์ดหรืออยากลองเล่นสักครั้ง บนนี้มีสนามสำหรับเล่นสเก็ตบอร์ดจริงๆ มาให้เราได้ลองเรียนกันด้วย แต่กิจกรรมนี้บอกก่อนว่ามีค่าเรียนนา ส่วนราคาและรายละเอียดสามารถติดต่อที่หน้างานได้เลย ส่วนใครที่อาจมาเที่ยวกันเป็นครอบครัวมีเจ้าตัวน้อยมาด้วย ที่นี่ยังมีมีกิจกรรมกีฬาบนชายหาด และลานเล่นทรายสำหรับเด็กรวมอยู่ด้วย ดังนั้น ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าตัวน้อยจะเบื่อกันเลย และหากเดินเล่นก็แล้ว ลุยกิจกรรมแบบจัดเต็มมาเหนื่อยๆ บนนี้มีสตาร์บัคส์ และฟู๊ดทรัคขายอาหารอยู่ด้วย จะแวะเติมพลังก่อนกลับลงไปก็ได้เด้อ
สรุปจากที่เราเดินเล่นกันมาครบทุกชั้นใน มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ส่วนตัวก๊อตว่าเค้าทำออกมาได้ดี และถือว่าตอบโจทย์คนทุกไลฟ์สไตล์ แถมยังครบครันทั้งเรื่องกิน เที่ยว ช้อป ยิ่งพื้นที่สวนของเค้าที่อยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่อันพลุกพล่าน มันทำให้เราเห็นว่าเค้าใส่ใจเรื่องพื้นที่สีเขียวมากแค่ไหน แม้จะเป็นสวนบนชั้น 4 ของตึก แต่ที่นี่ก็ช่วยแต่งแต้มให้เมืองมันมีสีเขียวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นสถานที่ให้ผู้คนได้ปลีกวิเวกหนีจากความวุ่นวายมาพักใจจอยๆ ท่ามกลางธรรมชาติได้ดีเลยเชียว เอาเป็นว่าใครมาเที่ยวโตเกียว (Tokyo) ลองมาได้เลย ไม่ผิดหวังแน่นอน
ชิบูย่า สกาย (Shibuya Sky)
ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) เป็นหนึ่งในจุดชมวิวสุดฮิตใจกลางชิบูย่า (Shibuya) ของโตเกียว (Tokyo) ที่ทุกคนได้แตะขอบฟ้าไปด้วยกัน ท่ามกลางทิวทัศน์แบบพาโนราม่า 360 องศา ของโตเกียวที่เราสามารถมองออกไปตึกรามบ้านช่องแบบไกลสุดสายตา และนอกจาก ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) จะเป็นจุดชมวิวเมืองแล้ว ด้านบนนี้ยังมีกิจกรรมมากมายให้เราได้มาทำ ทั้งนั่งชิล ชมผลงานนิทรรศการ ฟังเพลงผ่อนคลายบนรูฟท็อป รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่ตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย จนทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในที่เที่ยวโตเกียวที่ต้องมากันเลยทีเดียว
สำหรับ ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) ตั้งอยู่บนอาคาร Shibuya Scramble หนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในย่านชิบูย่าในระดับความสูง 47 ชั้น โดยสูงจากระดับพื้นดิน 230 เมตร โดยจุดชมวิวนั้นเพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โดยจุดชมวิวถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ Sky Gallery (ชั้น 45 จุดชมวิวอินดอร์) และ Sky Stage (ชั้น 46 จุดชมวิวบนดาดฟ้า) โดยวิวจากด้านบนของ ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) หากเรามาในวันฟ้าเปิดจะได้เห็นเมืองโตเกียวและแลนด์มาร์คสำคัญกันแบบพรึ่บพรั่บ ไม่ว่าจะเป็น โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) และ โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) รวมถึงยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) ได้อีกด้วย
สำหรับการมาเที่ยว ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) ตรงหน้าตึก Shibuya Scramble จะมีทางขึ้นไปยังชั้น 14 ที่เป็นทางเข้าจุดชมวิวโดยเฉพาะเลย โดยเมื่อถึงสล็อตเวลาที่เราจองมาล่วงหน้าแล้ว เราโชว์ตั๋วให้พนักงานดูได้เลย เค้าจะพาเราเดินไปขึ้นลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ซึ่งใช้เวลาขึ้นลิฟต์ไม่นานก็มาถึงชั้น 45 แล้ว เมื่อเดินออกจากลิฟต์มันจะต้องเดินผ่านอุโมงค์เหมือนเป็นประตูพาเราไปสู่จุดชมวิวกันก่อน จากนั้นใครที่พกของติดตัวมาด้วย พนักงานจะแนะนำให้เรานำข้าวของฝากไว้ในล็อกเกอร์ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ลุยโลดด
โดยจุดชมวิวแรกของเราจะอยู่ที่บริเวณชั้น 45 ซึ่งเป็นโซน Sky Gallery ลักษณะเป็นจุดชมวิวแบบอินดอร์ ซึ่งจะเป็นชั้นสี่เหลี่ยมกว้างๆ รายล้อมไปด้วยผนังกระจกใส ภายในเป็นทางเดินวนรอบๆ ตัวอาคารให้เราสามารถมองวิวเมืองโตเกียว (Tokyo) ได้รอบทิศทาง ซึ่งวิวบนนี้เค้าสวยม๊ากก อย่างภาพบรรยากาศมุมสูงของ 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ที่ห้อมล้อมไปด้วยตึกและอาคารมากมายในช่วงมืดไปแล้วนั้น ตามตรอกซอกซอยของเค้ามันเปล่งประกายระยิบระยับจากแสงไฟหลากสีสัน ยิ่งในบริเวณทางข้ามม้าลายที่เป็นแลนด์มาร์คนะ จัดว่าเป็นมุมที่แสงสีพร่างพราวสุดๆ และด้วยความที่เราอยู่ชมวิวอยู่บนชั้นที่สูงมากๆ มันเลยทำให้มองเห็นผู้คนที่เดินกันให้ขวักอยู่ข้างล่างไม่ต่างอะไรกับมดตัวจิ๋วๆ ที่กำลังเดินสวนกันไปมาเลย เป็นวิวที่มองแล้วมีแต่คำว่าสวยแบบตะโกนเว่อร์
นอกจากนี้ยังมองเห็นสถานที่เที่ยวฮิต และแลนด์มาร์คอื่นๆ อีกด้วยนา ไม่ว่าจะเป็น มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) แหล่งคอมมูนิตี้ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร และสวนสาธารณะบนดานฟ้าอยู่ร่วมกัน ซึ่งจากบนนี้เราสามารถมองเห็นพื้นที่ทั้งหมดของเค้าที่เปิดไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งตึกได้ด้วย เป็นวิวในอีกมุมมองหนึ่งที่สวยเอาเรื่อง และยังไม่หมดเท่านั้นนะ เพราะจากบนชั้น 45 นี้ ยังมองออกไปไกลจนเห็นถึง โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) ซึ่งตั้งสง่าท่ามกลางเมืองโตเกียว (Tokyo) ล้อมรอบไปด้วยดงตึก และถนนที่มีรถราวิ่งสวนกันไปมา เป็นอีกมุมที่สวยจับจิตจับใจจนอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องขึ้นมาแช๊ะภาพเอาไว้เป็นความทรงจำ
นอกจากการดูวิวเมืองโตเกียวสวยๆ แล้ว ชั้นนี้เค้ายังมีนิทรรศการหมุนเวียนจัดแสดงอยู่ด้วยนะ อย่างก๊อตมาเที่ยวที่นี่แล้ว 2 รอบ ก๊อตก็เจอนิทรรศการใหม่ทั้งสองรอบเลย ซึ่งงานแรกจะเป็นฟีลเหมือนพาเราหลุดเข้าไปสู่โลกของพฤกษศาสตร์ที่เค้ายกเอาความสดชื่นของต้นไม้ และดอกไม้นานาพันธุ์มาจัดแสดงเอาไว้ให้เราได้เดินชม ความดีงามมันอยู่ที่ตามแต่ละมุมตึก จะมีการจัดพร๊อพของต้นไม้นานาพันธ์และดอกไม้สวยๆ ให้ได้แวะถ่ายกันเป็นจุดๆ อีกด้วย ส่วนนิทรรศการอีกงานบรรยากาศแตกต่างกันลิบลับ งานนี้เค้าทำเป็นทางเดินให้เราเดินวนรอบชั้น ซึ่งตามมุมและพื้นรวมไปถึงตามเพดานจะมีลูกบอลสีเงินมากมายวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ฟีลเหมือนอวกาศหน่อยๆ ที่ถ่ายรูปออกมาสวยไม่แพ้กันเลย
สำหรับใครที่เดินวนดูจนครบทั้ง 4 มุมตึกแล้ว ชั้นนี้เองยังมีบาร์ขายเครื่องดื่มให้เราได้สั่งเครื่องดื่มมานั่งดื่มชิลๆ พร้อมกับชมวิวเมืองโตเกียวด้านล่างได้ด้วยนะ แต่ถ้าใครอยากดูวิวบนดาดฟ้าแบบเอาท์ดอร์ ให้เราเดินขึ้นไปต่อที่ชั้น 46 ซึ่งจะเป็นโซน Sky Stage พื้นที่กลางแจ้งบนดาดฟ้าที่เราสามารถมาเพลิดเพลินกับทิวทัศน์เส้นขอบฟ้าของเมืองได้โดยไม่มีอะไรมากั้น
โดยชั้น 46 จะมีทั้งรูฟท็อปที่ในแต่ละวันจะมี DJ มาเปิดเพลงเล่นดนตรีให้ได้ฟังกันแบบสดๆ หรือจะเป็นมุม Rooftop Theatre ซึ่งจะมีการฉายหนังบนจอภาพขนาดใหญ่บนดาดฟ้าให้เราได้รับชมกันในบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร และที่เป็นไฮไลท์เลยคือมุมถ่ายรูปสามเหลี่ยมมุมตึกที่ยื่นหน้าออกไปหาเมืองด้านล่าง ซึ่งเป็นจุดที่ให้ผู้คนนิยมมาโพสต์ภาพถ่ายรูปกับวิวสกายไลน์เมืองกันแตกแตนสุดๆ อีกมุมป๊อบที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยเพราะคนเค้าชอบมาถ่ายวิดีโอลง IG Reels กันเยอะม๊าก คือ มุมบันไดเลื่อนจากดาดฟ้าลงไปยังชั้น 45 ซึ่งจะเป็นบันไดเลื่อนข้างตึกที่ขณะลงไปนั้น สามารถมองออกไปเห็นวิวเมืองด้านล่างที่เหมือนโอบล้อมรอบตัวเราไว้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองรอบที่ก๊อตมาเที่ยวที่ ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) นั้น อากาศไม่เป็นใจจากฝนที่ตกหนักทั้งสองรอบ ซึ่งเมื่อไหร่ที่สภาพอากาศไม่ดี ทั้งหมดของชั้น 46 เค้าก็จะปิดไม่ให้คนขึ้นไป และไม่มีการรีฟันด์ค่าเข้าด้วยนะเออ เพราะมันเป็นสิ่งที่เค้าเองก็ควบคุมไม่ได้นั่นเอง แง้
แต่ถึงเราจะแห้วขนาดนี้ ก๊อตยังคงแนะนำว่า การขึ้นมาดูวิวบน ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ก๊อตแนะนำมาก ด้วยความที่เค้าตั้งอยู่บนยอดตึกที่สูงที่สุดในย่านชิบูย่า นั่นหมายความว่าเราจะได้ส่องวิวสกายไลน์ของเมืองโตเกียวที่สูงกว่าใครเพื่อนในย่านนี้ อีกทั้งบนนี้ยังมองลงไปเห็นวิว 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ได้แบบเต็มสายตาเว่อร์ นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการและกิจกรรมอื่นๆ ให้ได้มาทำกันเยอะมาก คือเราสามารถขึ้นมาอยู่บนนี้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน แล้วนั่งเล่นยาวๆ ไปจนถึงฟ้ามืดได้เลย แกรจะได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของชิบูย่าในไวบ์ที่อบอุ่นด้วยแสงแดดสุดท้ายของวัน ก่อนจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับแสงไฟระยิบระยับอย่างกับอยู่ท่ามกลางกาแล็กซี่ของโตเกียวในช่วงเวลากลางคืน เอาเป็นว่าใครที่เป็นสายเก็บวิวเมืองแบบมุมสูง หากมาเที่ยวโตเกียวต้องจด ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) เข้าไปในแพลนเที่ยวด้วย มันคุ้มค่ากับการขึ้นมามากเลยล่ะ!
ตึกชิบูย่า ฮิคาริเอะ (Shibuya Hikarie)
สำหรับคนที่อยากดูวิว ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) จากมุมสูง อีกจุดที่ก๊อตแนะนำให้ทุกคนมาคือตึก ชิบูย่า ฮิคาริเอะ (Shibuya Hikarie) ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) กันได้เลย โดยที่นี่เป็นตึกสูง 34 ชั้น ที่เป็นทั้งห้างสรรพสินค้า ShinQs ที่มีร้านค้ามากกว่า 200 ร้าน ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ชั้น B3 ไปจนถึงชั้น 5 นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร และคาเฟ่ พื้นที่สำหรับจัดแสดงนิทรรศการศิลปะ โรงละคร รวมไปถึงชั้นสำนักงานอีกด้วย
แต่ที่ก๊อตจะพาทุกคนมาดูวิว ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) นั้น ให้ทุกคนกดลิฟต์ขึ้นมาที่ชั้น 11 ได้เลย โดยชั้นนี้เค้าเป็นพื้นที่โล่งพร้อมกับกระจกใสตั้งแต่พื้นจรดเพดานที่เราสามารถมายืนแล้วส่องดูวิวของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) กันได้แบบฟรีๆ นั่นเอง
นอกจากจะได้มาดูวิวสวยๆ แล้ว ในตอนที่ก๊อตไปนั้นบนชั้นนี้ยังมีนิทรรศการเล็กๆ เกี่ยวกับการพัฒนาย่านชิบูย่าจัดแสดงอยู่ด้วย ที่ก๊อตชอบก็คือการได้มาเดินส่องโมเดลจำลองย่านนี้ ที่ฝั่งหนึ่งเป็นโมเดลจำลองย่านนี้แบบภาพกว้างๆ และอีกฝั่งจะเป็นโมเดลจำลองย่านชิบูย่าที่ต่อจากเลโก้ ความน่ารักมันอยู่ที่เค้าจำลองตั้งแต่ตึกรางบ้านช่องบนพื้นดินไล่ลึกลงไปถึงรถไฟใต้ดิน ซึ่งชิ้นงานได้ยกเอาสถานีรถไฟใต้ดินเซตขึ้นมาให้ได้เห็นกันแบบสมจริง โดยมีเหล่าฟิกเกอร์เลโก้ตัวจิ๋วมากมายอยู่ในท่าทางและกิจกรรมที่ต่างกันออกไป ให้บรรยากาศเหมือนเราอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินจริงๆ เลย ถือว่าเป็นการขึ้นมาดูวิวแล้วได้ดูโมเดลน่ารักๆ ไปในตัวด้วย ถือว่าดีงามเลยแหละ
สรุปเที่ยวชิบูย่า (Shibuya)
ชิบูย่า (Shibuya) สำหรับก๊อตแล้วถือเป็นอีกหนึ่งย่านที่ครบเครื่องมาก ทั้งเรื่องกิน เที่ยว ช้อป เริ่มจากของกินก่อนเลย คือเค้ามีร้านอาหารให้เลือกสรรกันตั้งแต่ร้านสตรีทฟู้ด ไปจนถึงร้านดังๆ ที่ใครใคร่อยากลองแบบไหนในย่านนี้มีให้เลือกหมด ซึ่งอาหารส่วนใหญ่จากที่ก๊อตแรนด้อมกินกันมา ราคาอยู่ในระดับไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงเข้าถึงได้ แถมรสชาติถูกป่ก ส่วนเรื่องเที่ยว ในย่านนี้มีแลนด์มาร์คมากมายให้ได้มาตามรอยเยอะมาก ทั้ง 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ทางข้ามม้าลายชื่อดังที่ใครมาเที่ยวโตเกียวต่างก็ปักหมุดมาที่นี่ หรือจะเป็น รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์เตือนใจในเรื่องความซื่อสัตย์ระหว่างคนกับสัตว์ รวมถึงยังมีพื้นที่สีเขียวๆ ท่ามกลางพื้นที่เมืองอย่าง มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ให้ผู้คนได้หลบไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย คือย่านนี้เค้ามีความเป็นเมืองจัดๆ ทุกอย่างดูทันสมัยไปหมด แต่ยังคงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวกันมาก อันนี้ประทับใจเว่อร์ และสุดท้ายกับเรื่องช้อป แกรเอ้ย ร้านรวงในย่านนี้คือตาแตกมาก มีตั้งแต่แบรนด์สตรีทไปจนถึงไฮเอนด์แบบที่ขาช้อปมาแล้วมีล้มละลายแน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้มันช่วยทำให้ ชิบูย่า (Shibuya) กลายเป็นอีกหนึ่งในย่านเที่ยวในโตเกียวที่กลมกล่อมมาก เอาว่า ก๊อตยกให้เป็นอีกหนึ่งย่านที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยวโตเกียวเลยเชียว
ชินจูกุ (Shinjuku)
ชินจูกุ (Shinjuku) ย่านที่เลื่องลือในเรื่องของแหล่งรวมความบันเทิง ธุรกิจ และแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ เป็น 1 ใน 23 เขตพิเศษของโตเกียว (Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) ที่พลุกพล่านที่สุดในโลก และอาคารศาลาว่าการโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารของรัฐบาลโตเกียวอีกด้วยโดยในปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา มีข้อมูลระบุเอาไว้ว่า ชินจูกุ (Shinjuku) มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 346,235 คน ส่งผลให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนไม่ขาดสาย แน่นอนว่าย่านนี้ก็เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยมมาเที่ยวด้วยเช่นกัน
สำหรับเรื่องราวความเป็นมาของ ชินจูกุ (Shinjuku) ต้องย้อนกลับไปในช่วงยุคสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603-1868) โดย ชินจูกุ (Shinjuku) นั้นทำหน้าที่เป็นเพียงสถานีเล็กๆ ที่ผู้คนภายในเมืองใช้เป็นจุดพักระหว่างเดินทาง ไปยังเมืองเอโดะ (เมืองโตเกียวในปัจจุบัน) กับยามานาชิ (Yamanashi) และนากาโน่ (Nagano) เท่านั้น ก่อนจะได้รับการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคันโต เมื่อปี ค.ศ. 1923 แต่ด้วยความที่พื้นที่ทั่วไปของ ชินจูกุ (Shinjuku) มีความเสถียรภาพทำให้สิ่งปลูกสร้าง อาคารต่างๆ ส่วนใหญ่รอดพ้นจากความเสียหายไปได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีการสร้างตึกสูงระฟ้าขึ้นมาบริเวณพื้นที่ของ ชินจูกุ (Shinjuku) ซึ่งถือว่าเป็นเพียงไม่กี่พื้นที่ในโตเกียว (Tokyo) ที่มีตึกสูงอยู่มากมาย
อย่างไรก็ตามในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองช่วงปี ค.ศ. 1945 ได้มีการโจมตีทางอากาศและอาคารเกือบ 90% ใน ชินจูกุ (Shinjuku) ถูกทำลายลงไป โชคยังดีที่พวกโครงสร้างเส้นทางและรถไฟต่างๆ ภายในพื้นที่ยังคงอยู่ ทำให้ทางการเค้าพัฒนาและฟื้นฟู ชินจูกุ (Shinjuku) ให้กลับมารุ่งโรจน์และอยู่คู่กับโตเกียว (Tokyo) ได้อีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว และทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่มาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันอย่างที่เราเห็นกันนั่นเอง นั่นเลยทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่หนึ่งที่วัยรุ่นและนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเที่ยวกันเยอะมาก เรียกได้ว่าใครตั้งใจจะมากิน เที่ยว ช้อป ที่ ชินจูกุ (Shinjuku) มีครบจบในที่เดียวเลยแหละ
สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden)
สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen) สวนสาธารณะแห่งชาติกลางเมืองในย่านชินจูกุ (Shinjuku) และยังเป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดในโตเกียว (Tokyo) โดยสวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1909 บนพื้นที่เขตคฤหาสน์ของตระกูลขุนนางตระกูลไนโตะ (Naito) ในสมัยเอโดะ เพื่อเป็นสวนที่ใช้สำหรับพักผ่อนของราชวงศ์ จนกระทั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen) ถูกโจมตีทางอากาศและพื้นที่ส่วนใหญ่ของสวนถูกทำลายลง ต่อมาในปี ค.ศ. 1949 ได้มีการปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดของสวนให้กลับมางดงามอีกครั้ง และได้เปิดเป็น “อุทยานหลวงชินจุกุแห่งชาติ” (National Park Shinjuku Imperial Gardens) เพื่อให้ผู้คนได้เข้ามาสัมผัสกับธรรมชาติ โดยปัจจุบันนี้สวนแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น และเรียกกันว่า สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen) นั่นเอง
ความยิ่งใหญ่ของ สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen) คือภายพื้นที่ของสวนกว่า 365 ไร่ ถูกแบ่งออกเป็นสวนถึง 3 สไตล์ คือ สวนแบบญี่ปุ่น, สวนอังกฤษ และสวนฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังมีมุมให้เราเดินเที่ยวกันเยอะมาก โดยเค้าทำเป็นจุดตัวเลขในแผนที่เอาไว้ถึง 10 จุด ซึ่งเราสามารถดูแผนที่ได้จากทางเข้าของสวนที่แน่นอนว่ามีให้เลือกเข้ากันได้หลายประตูเลย โดยก๊อตเดินเข้ามาจากประตูฝั่งชินจูกุ (Shinjuku Gate) ซึ่งช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ต้นไม้เค้าเริ่มกำลังเปลี่ยนสีพอดี แต่ยังไม่เข้าขั้นพีคๆ แบบแดงจ๋านา มู้ดจะเป็นฟีลสีส้มๆ น้ำตาลๆ ชวนให้อบอุ่นหัวใจมาก
สำหรับจุดแรกที่เราเดินเข้ามาเจอ คือบริเวณหมายเลข 8 ที่เรียกว่า Mother and Child Woods ลักษณะของเค้าจะเป็นสวนขนาดย่อมๆ ที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงชะรูด ที่หากมองผิวเผินนั้นหน้าตาคล้ายกับต้นสนมาก โดยตามพื้นดินเต็มไปด้วยตอไม้รูปทรงแปลกตาที่เหมือนงอกขึ้นมาจากดิน บางอันมีขนาดเล็กๆ เตี้ยบ้างสูงบ้างแล้วแต่ตอ ส่วนตัวก๊อตว่าบริเวณนี้เป็นโซนสวนที่เหมาะสำหรับเด็กๆ ม๊าก เพราะเค้ามีพื้นที่กว้างๆ ให้เด็กๆ ได้มาวิ่งปล่อยพลัง และได้เรียนรู้กับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
มาต่อที่บริเวณหมายเลข 5 ที่ชื่อ Japanese Traditional Garden สวนญี่ปุ่นสไตล์ชิเซ็น ไคยุ (Chisen Kaiyu Style) ที่มีสระน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง รายล้อมไปด้วยต้นไม้และหินที่ประดับประดาเอาไว้ได้อย่างสวยงาม โดนพื้นที่รอบๆ ของสระน้ำมีเส้นทางเดินเลียบไปมาท่ามกลางเนินเขาจำลองที่ลดหลั่นกันออกไป นอกจากนี้ยังมีสะพานขนาดย่อมๆ พาดผ่านอยู่บนสระน้ำให้เราได้เดินขึ้นไปยืนมองวิวลงมาจากด้านบนอีกด้วย ความเริ่ดคือ จากตรงสระน้ำมันมองออกไปเห็นฉากหลังเป็นอาคารสูงเสมือนเป็นหอนาฬิกาประจำ สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen) ได้ด้วยนะ ถือเป็นอีกวิวที่สวยสับมาก ยกให้เป็นสวนญี่ปุ่นอีกแห่งที่จัดองค์ประกอบต่างๆ เอาไว้ได้อย่างลงตัวและสวยเอาเรื่องเลย ส่วนตัวก๊อตชอบบริเวณนี้มาก เห็นแล้วรู้เลยว่านี่คือสวนญี่ปุ่น แถมบรรยากาศยังดีงามมากๆ
ด้วยความที่พื้นที่ของสวนเค้ากว้างขวางมาก แน่นอนว่าก๊อตไม่ได้เดินเที่ยวจนครบ นี่จึงขอปิดท้ายด้วยบริเวณหมายเลข 7 กับ Kyu – Goryo – Tei (Taiwan Pavilion) สวนที่มีโครงสร้างแบบจีนดั้งเดิมที่สร้างขึ้นจากฝีมือของคนญี่ปุ่นในไต้หวัน เมื่อปี ค.ศ. 1927 เพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับรำลึกถึงพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายฮิโรชิ (Prince Hirohito) แห่งจักรพรรดิโชวะ (Showa) โดยบริเวณของสวนมีลักษณะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ตรงกลางมีศาลาตั้งอยู่เหนือผิวน้ำ ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมไปทั่วบริเวณ บรรยากาศสวยงามราวกับภาพวาดเลยแหละ เป็นอีกหนึ่งจุดที่อยากให้เดินมาชมของจริงกันมาก
สำหรับคนที่มีเวลาเหลือ แล้วอยากชื่นชมกับความงดงามของ สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen) ไม่ว่าจะเป็นจุดชมดอกซากุระ แกลเลอรี่ ไปจนถึงเรือนกระจกก็สามารถเดินลัดเลาะไปตามแผนที่ได้เรื่อยๆ เลยนา โดยทุกจุดของเค้ามันเดินเชื่อมหากันได้ แต่เราอาจจะต้องเผื่อเวลามาเดินเที่ยวกันนานหน่อย เพราะสวนกว้างม๊ากก แต่โดยรวมแล้วใครที่อยากหลบมุมมานั่งพักท่ามกลางธรรมชาติสวยๆ ก๊อตแนะนำ สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen) เลย ทุกอย่างมันคุ้มค่าตั๋วเข้ามาที่สุด
ช้อปปิ้งในย่านชินจูกุ (Shinjuku)
อีกหนึ่งกิจกรรมห้ามพลาดใน ชินจูกุ (Shinjuku) ที่ต้องมาทำเลยคือการช้อปปิ้งละลายทรัพย์กันจ๊า เพราะอย่างที่ก๊อตได้บอกไปในตอนต้นว่า ย่านแห่งนี้เป็นย่านศูนย์รวมความันเทิงและเอนเตอร์เทนเอาไว้ แต่ภายในเค้ายังมีแหล่งช้อปปิ้งให้เราได้มาละลายทรัพย์ล้มละลายกันอีกเพียบ ซึ่งร้านรวงทั้งหลายนั้นก็จะอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) มากนัก ดังนั้น ใครที่เดินทางมาด้วยรถไฟแล้วมาลงที่สถานีนี้ สามารถเดินขึ้นมาช้อปต่อได้เลยนา
สำหรับร้านค้าที่อยู่ภายใน ชินจูกุ (Shinjuku) ก็จะมีตั้งแต่ร้านสตรีทแบรนด์ แฟชั่นกิ๊บเก๋ แบรนด์หรู ไปจนถึงห้างสรรพสินค้า ซึ่งล้วนแล้วแต่ขายของตอบโจทย์สายแฟ สายช้อปได้เป็นอย่างดี ทั้ง ABC Mart ร้านขายรองเท้าที่รวมหลากหลายแบรนด์เอาไว้ในที่เดียว ใครที่อยากได้ New Balance, Nike, Adidas หรือ Vans รวมไปถึงรองเท้ารุ่นอื่นๆ ในราคาสบายกระเป๋าลองเดินเข้าร้านเค้าได้เลย นอกจากนี้ยังมีช็อปของ Zara ที่มีคอลเลกชันเสื้อผ้าทั้งชายและหญิงขายอยู่เยอะมาก หรือใครเป็นสาวก Uniqlo ที่ ชินจูกุ (Shinjuku) ก็มีช็อปของเค้าให้เราได้มาละลายทรัพย์อยู่ด้วย
แต่ที่พลาดไม่ได้เลย คือการมาส่องสินค้าในตึก BEAMS JAPAN ห้างสรรพสินค้าสูง 5 ชั้น ที่ภายในนั้นมีคอลเลกชันสินค้าแบรนด์ BEAMS, Ray BEAMS, BEAMS PLUS, Demi-Luxe BEAMS, BEAMS T และ BEAMS BOY ที่ขายกันตั้งแต่สินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า ของสะสม รวมไปถึงงานแฮนด์เมดต่างๆ ที่ส่วนใหญ่เน้นเป็นงานเกี่ยวกับญี่ปุ่นล้วนๆ แต่ที่พิเศษเลย ที่นี่ยังมีสินค้าของ BEAMS Lights ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เค้าเพิ่งเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2007 ที่ผ่านมา โดยขายสินค้าเกี่ยวกับเสื้อผ้าของผู้หญิงและผู้ชายภายใต้แนวคิดชีวิตคือการเดินทาง ผ่านดีไซน์ชุดที่แสนจะเรียบง่ายที่เราทุกคนสามารถมาช้อปไปใส่ได้
นอกจากสินค้ามากมายที่ขายกันอยู่ภายใต้ตึก BEAMS JAPAN ยังมีโซนค่าเฟ่ ร้านอาหาร และแกลเลอรี่เล็กๆ อยู่ด้วย ใครที่ช้อปจนหมดแรงแล้วอยากเติมพลังก่อนไปเดินเที่ยวต่อ สามารถมาแวะหาอะไรกินกันก่อนได้ ก๊อตยกให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งห้างใน ชินจูกุ (Shinjuku) ที่ต้องมาเลย ยิ่งใครเป็นสาวก BEAMS ด้วยแล้ว บอกเลยว่าพลาดไม่ได้
หลังจากเดินส่องสารพัดสิ่งใน BEAMS JAPAN เสร็จเรียบร้อย ก๊อตก็ว๊าปไปหาอะไรกินแบบจริงจังกันต่อ ซึ่งเรายังคงอยู่ใน ชินจูกุ (Shinjuku) อยู่นา โดยร้านที่ก๊อตมาคือ Sobahouse Konjiki Hototogisu ร้านราเมงแห่งที่สามในโลกที่ได้รับดาวมิชลิน โดยทางร้านได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 2019 รองจากร้าน Tsuta และ Nakiryu ซึ่งเมนูขึ้นชื่อของที่นี่คือ โชยุโซบะ เมนูอันเป็นเอกลักษณ์ของทางร้านที่มีให้เลือกใส่เนื้อสัตว์ได้ทั้งหมู วัว และปลา นอกจากนี้ยังมีเมนูซึเคเม็ง หรือบะหมี่จุ่ม ที่เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงไข่ หมูชาชูสไลซ์ และเครื่องเคียงอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่อยากลองกินโซบะแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่นแท้ๆ ต้องมาลองร้านนี้เลยเชียว
ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai)
ถ้าถามถึงสถานที่เที่ยวในยามกลางคืนสุดป๊อบจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ หากไม่ใช่ที่ ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ใครอยากมาหาบาร์ไว้ดื่มยามค่ำคืนที่นี่คือตอบโจทย์มาก โดย ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ตั้งอยู่ในย่านคาบูกิโจ (Kabukicho) ของ ชินจูกุ (Shinjuku) เปิดขึ้นมาในช่วงปี ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายในตรอกมีทั้งหมด 6 ซอยที่รวมเข้าไว้ด้วยกัน โดยในช่วงเวลานั้นตรอกแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านการเป็นตลาดมืดและย่านโคมแดงที่มีการค้าประเวณี รวมถึงเป็นย่านกินดื่มที่คึกคักสุดๆ ของเมือง จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปี ค.ศ. 1950 ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) เริ่มได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว นักเขียน และศิลปินที่เค้าพากันแห่แหนมายังย่านแห่งนี้ จนในที่สุด ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ก็โด่งดังขึ้นมา และได้ชื่อว่าเป็นย่านเที่ยวกลางคืนสุดป๊อบของเมืองโตเกียว (Tokyo) ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยเสน่ห์อีกอย่างของย่านคือ บรรยากาศและอาคารทั้งหมดของเค้าที่ยังตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของยุค 1950 หรือเมื่อ 70 กว่าปีก่อนนั่นเอง
มาถึง ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ทั้งทีไม่หาร้านนั่งชิล นี่เหมือนเรามาไม่ถึงมาก สำหรับร้านแรกที่ก๊อตมา คือ ARAKU ร้านที่เปิดอยู่บนชั้นสองของอาคารที่อยู่ภายในตรอก ซึ่งการจะไปยังร้านนั้น เราจะต้องเดินลัดเลาะขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสองที่เป็นที่ตั้งของร้านกันก่อนนา โดยบรรยากาศของร้านเค้ามันมีความโคซี่ สบายๆ ภายในร้านมีกระดาษโน้ต และเงินสกุลต่างๆ ถูกแปะติดไปตามผนัง และเพดานเยอะมาก แบบติดกันจนแทบมองไม่เห็นสีของผนังจริงๆ เลย ซึ่งพอเราเดินเข้าไปส่องกันใกล้ๆ จะเห็นว่ามันมีข้อความเขียนเอาไว้บนกระดาษและเงินเหล่านั้นด้วย ก๊อตเองมีพกแบงก์ 20 บาทบ้านเราไปพอดี เลยเอามาเขียนข้อความลงไปแล้วนำไปแปะผนัง ฟีลเหมือนเราได้มาเช็คอินแล้วนา
ในส่วนของเครื่องดื่ม ก๊อตบอกเลยว่า ใครเป็นสายซอฟต์ ไปจนถึงสายแข็งที่นี่เค้ามีเครื่องดื่มเหมาะกับทุกคนเลย ซึ่งก๊อตเองก็จิ้มสั่งเครื่องดื่มมาเป็น “มัทฉะผสมแอล” ที่เสิร์ฟมาเหมือนมัทฉะนมทั่วไป แต่รสสัมผัสที่ดื่มเข้าปากคำแรกนั้น หวานหอมมัทฉะสุดๆ รสชาติเดียวกับมัทฉะนมเลย ดิ่มได้เพลินๆ แต่บอกก่อนว่าดื่มไปสัก 3 แก้ว มีมึนหัวเดินเซกันแน่นอน
สรุปแล้วก๊อตยกให้ร้าน ARAKU เป็นอีกร้านที่ควรมา เค้าเป็นอีกหนึ่งบาร์ที่มีความเป็นบาร์ Hidden Gem เล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกแห่งนี้ได้อย่างแนบเนียน อีกทั้งบรรยากาศร้านดีมีกิมมิคน่ารักๆ อย่างพวกแปะโน้ต ติดเงินตามผนังร้านที่มองแล้วเพลินตาถ่ายรูปเก๋ไปอีกแบบ ส่วนเครื่องดื่มแต่ละอย่างของเค้าก็มีความครีเอทสุดๆ เสิร์ฟออกมาได้แบบประทับใจเว่อร์ และหลังจากเราเช็คบิลเรียบร้อยแล้ว ก๊อตก็เดินกลับออกมาบริเวณตรอกด้านนอก พลางเดินชมแสง สี เสียงของ ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ได้ฟีลแบบชิลๆ อีกด้วย
โดยรวมแล้ว ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวในโตเกียว (Tokyo) ที่ใครชื่นชอบบรรยากาศการเที่ยวในยามค่ำคืน หรือกำลังมองหาที่นั่งชิลๆ ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ให้ฟีลเหมือนเราได้ย้อนยุคกลับไปเที่ยวบาร์ในสมัยก่อน คลาคล่ำไปด้วยแสง สี และป้ายไฟนีออนอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ก๊อตคิดว่าสายคอนเท้นต์มาแล้วจะต้องชอบ เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนก็ถ่ายรูปออกมาได้สวยสับมาก ใครแพลนเที่ยวโตเกียวอย่าลืมมาที่นี่ด้วยนา
ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome)
ไม่ไกลจาก ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) มากนัก จะมีอีกหนึ่งย่านที่แม้จะไม่ได้โด่งดังเท่า แต่บรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน นั่นคือ ชินจูกุ ซันโจเมะ (Shinjuku-Sanchome) ที่ภายในย่านแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารนานาชาติ รวมไปถึงร้านอาหารญี่ปุ่นแบบโลเคิล ร้านคาราโอเกะ และบาร์ดนตรีที่ว่าดีมากที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว (Toyko) เลยแหละ
ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) ก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับ ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ซึ่งก็คือช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยถนนเส้นนี้จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ซึ่งบรรยากาศภายในย่านแห่งนี้ก็จัดจ้านเต็มไปด้วยแสง สี เสียงไม่แพ้กัน โดยบริเวณบนถนนสายหลักของ ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) เต็มไปด้วยบาร์แบบดั้งเดิมที่มีกลิ่นอายของความโลคอลญี่ปุ่นตั้งเรียงรายกันเข้าไปเป็นตับ อีกทั้งบรรยากาศก็ดูครึกครื้นเพราะมีนักท่องราตรีชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย โดยร้านรวงส่วนใหญ่ที่อยู่ตามสองข้างทางของ ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) เค้าจะเน้นขายเครื่องดื่มเป็นร้านแบบอิซากายะ (Izakaya) ไปจนถึงอาหารญี่ปุ่นหลากหลายประเภทให้เราได้มาเลือกเดินกิน อันนี้เลือกเข้าร้านตามชอบได้เลยนา
โดยส่วนตัวก๊อตไปลองกินมาร้านนึง แต่บอกก่อนว่าเราจำชื่อร้านไม่ได้ รสชาติอาหารและราคาของเค้าจัดว่าดีเลยแหละ ซึ่งบรรยากาศร้านจะเป็นไวบ์บาร์เก่าแก่ ตกแต่งแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ตอนเราไปคนในร้านไม่เยอะมาก เลยไม่ได้รู้สึกแออัดใดๆ ซึ่งก๊อตได้ลองสั่งเครื่องดื่มเป็น Sour Cocktail มาดื่มกัน มันจะเป็นเครื่องดื่มผลไม้ผสมแอล ที่ดื่มแล้วรสชาติเหมือนกินผลไม้ผสมโซดา มีความเปรี้ยวหวานซ่าๆ ดื่มง่ายมาก แต่นั่นละ ดื่มเยอะมีน็อกแน่นอน 555555
เกร็ดความรู้เล็กน้อยจากไกด์นำเที่ยวที่ก๊อตได้ฟังมา เค้าเล่าว่าจริงๆ แล้วคนญี่ปุ่นในวัยทำงาน หรือวัยผู้ใหญ่ เค้าจะชอบดื่มเบียร์กันมาก ส่วนเหล่าวัยรุ่นจะชอบสั่ง Sour Cocktail อย่างที่ก๊อตสั่งเมื่อครู่ โดยเค้าจะสั่งมากินคู่กับยากิโทริ ไก่ย่างเสียบไม้แบบญี่ปุ่นเป็นของกับแกล้ม ซึ่งจะมีทั้งแบบย่างโรยเกลือ ไปจนถึงย่างราดซอสรสเด็ดของทางร้าน นอกจากนี้ยังนิยมกินคู่กับไก่ทอดราดซอสนัมบังกันอีกด้วย
กินเสร็จแล้วเป็นอันจบการเดินเที่ยวใน ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) โดยรวมก๊อตว่าเค้าเป็นอีกหนึ่งย่านที่ใหญ่เอาเรื่อง มีถนนหลายซอยให้ได้เดินสำรวจท่ามกลาง แสง สี เสียง กันแบบจัดเต็มไม่แพ้ย่านกลางคืนอื่นๆ เลย นอกจากเดินเที่ยว กินแล้ว ใครที่อยากหากิจกรรมผ่อนคลาย หรืออยากดูการแสดงท้องถิ่นของญี่ปุ่น ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) ยังมี Shinjuku Suehirotei โรงละครเก่าแก่ที่เปิดให้บริการมากว่า 100 ปี โดยที่นี่นับว่าเป็นโรงละครเก่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในเมืองแม้จะผ่านช่วงสงครามมาแล้วก็ตาม ซึ่งรอบการแสดงจะมีอยู่ด้วยกัน 2 รอบ คือ รอบกลางวัน 12:00 – 16:30 น. และรอบกลางคืนเวลา 17:00 – 21:00 น. ใครมีเวลาเหลือๆ ลองซื้อตั๋วเข้าไปชมได้นา
Cross Shinjuku Vision
หนึ่งในแลนด์มาร์คใหม่ของโตเกียวที่ต้องมาเลยดูเลยคือ Cross Shinjuku Vision หรือชื่อเล่นที่หลายคนเรียกกันก็คือ “แมวสามสีที่ชินจูกุ” กับภาพสามมิติของเจ้าเหมียวสามสีหน้าตาน่ารักน่าชังที่โผล่อยู่บนจอ LED 3D ในท่าทางที่กำลังเดินส่องสำรวจและเล่นกับผู้คนที่เดินผ่านไปบริเวณชินจูกุ (Shinjuku) ซึ่งทุกแอคชั่นของน้องนั้น หากเรายืนดูจอในมุมที่ถูกองศา มันจะเหมือนว่าเจ้าเหมียวเค้ากำลังจะหลุดออกมาจากจอ LED กันเลยทีเดียว ถือเป็นอีกมุมป๊อบที่ต้องมาแช๊พภาพนั่นเอง
สำหรับเจ้าเหมียวตัวสีดำ ส้ม ขาว หรือที่ผู้คนในย่านนี้เรียกกันว่า “แมวสามสี” นั้น เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2021 โดย Cross Shinjuku Vision ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือจอบิลบอร์ดโฆษณาเลยทุกคน แต่ด้วยความที่เค้ามีความสามมิติสมจริง เวลามายืนดูแล้วให้ฟีลเหมือนเจ้าเหมียวจะออกมานอกจอได้จริงๆ ทีนี้คนก็ถ่ายคลิป และรูปไปโพสต์ลงโซเชียลจนกลายเป็นไวรัลและทำให้ผู้คนรวมไปถึงนักท่องเที่ยวมาตามรอยนั่นเอง
ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho)
พาทุกคนนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสู่อดีตของเมืองโตเกียว (Tokyo) ในช่วงเกือบ 80 ปีที่ผ่านมาไปด้วยกันที่ ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) ที่อยู่ใกล้กับประตูทางออกทิศตะวันตกของสถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) เป็นอีกหนึ่งย่านบาร์เก่าแก่และคึกคักไม่แพ้ตรอกอื่นๆ โดยเค้าตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร มีต้นกำเนิดมาจากตลาดกลางแจ้งที่ก่อตัวขึ้นภายใต้เศษซากปรักหักพังของโตเกียว (Tokyo) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งปัจจุบันนี้แม้จะเปลี่ยนมาเป็นตรอกท่องเที่ยว แต่ผู้คน ร้านค้าที่อยู่ภายในตรอกแห่งนี้ยังคงรักษาบรรยากาศและกลิ่นอายของโตเกียวในยุคก่อนเอาไว้เป็นอย่างดี ทำให้ที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนญี่ปุ่นแท้ๆ และนักท่องเที่ยวนิยมมาสังสรรค์ ดื่มด่ำกับบรรยากาศในยามค่ำคืนนั่นเอง
ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1946 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่รอบๆ ทางทิศตะวันตกของสถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) ปกคลุมไปด้วยเศษซากของอาคาร บ้านเรือน เศษหินมากมายจากการถูกทำลายลงในช่วงสงครามที่ผ่านมา ซึ่งบริเวณด้านหน้าของ สถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) จากเดิมที่เคยมีแผงขายของริมถนน ทั้งขายเสื้อผ้า รองเท้า สบู่ และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ รวมไปถึงร้านอาหารที่มีหลังคาคลุมในขณะนั้น ได้ถูกเผาทำลายลง ต่อมาได้มีการผุดตลาดมืด “Lucky Street” ซึ่งเป็นตลาดเปิดแผงขายของริมถนนแบบร้านใครร้านมันได้เติบโตขึ้น จนกลายมาเป็น ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) ในช่วงขณะนั้น ซึ่งที่นี่ไม่เพียงแค่เปิดแผงขายของจิปาถะและร้านอาหารเท่านั้น แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นตรอกที่ทำหน้าที่เป็นสถานีสำหรับกระจายผู้คนและสินค้า ส่งผลให้มีพ่อค้า แม่ค้า เริ่มต้นเข้ามาทำธุรกิจภายในตรอกแห่งนี้กันมากมาย
ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1947 ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) มีการปราบปรามสินค้าควบคุมอย่างเข้มงวด ส่งผลกระทบต่อแป้งที่ใช้ทำบะหมี่ราเมง และแป้งสำหรับทำแพนเค้ก ส่งผลให้การทำธุรกิจในตรอกแห่งนี้กลายเป็นเรื่องที่ดูยากลำบากมากยิ่งขึ้น ร้านอาหารมากมายเริ่มมีการปรับตัว แต่โชคยังดีที่ทางการเค้ามีสินค้าที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่าง เครื่องในวัว และเครื่องในหมู หลงเหลือให้ได้หยิบมาปรุงเป็นอาหารขายกัน นั่นทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา พ่อค้า แม่ค้าในตรอกแห่งนี้จึงเปลี่ยนมาขายเครื่องในย่าง ซึ่งมันก็ได้รับความนิยมและผลตอบรับที่ดี โดยปัจจุบันนี้เรายังคงเห็นร้านค้ามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านโมสึยากิยะ (Motsuyakiya) ร้านขายเครื่องในย่าง และร้านยากิโทริยะ (Yakitoriya) ร้านขายไก่ย่างเสียบไม้ขายกันอยู่แบบละลานตาเว่อร์
ใครที่อยากลิ้มรสเมนูปิ้งย่างญี่ปุ่นแท้ๆ ลองเดินเลือกร้านที่ชอบแล้วเข้าไปสั่งมากินได้นา ร้านส่วนใหญ่ฟีลดีมาก เป็นแบบนั่งอยู่ในบาร์เล็กๆ ที่มีเจ้าของร้านมายืนปิ้งสารพัดเมนู พร้อมทั้งเสิร์ฟเครื่องดื่ม และยืนพูดคุยกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง บรรยากาศมันสบายๆ ที่สุด ส่วนใครที่เป็นสายคอนเท้นต์ตรอกนี้ก็ไม่น้อยหน้าใครนา เพราะบรรยากาศตอนกลางคืนของเค้ามันมีแสงสีจากโคมแดง และป้ายต่างๆ เปิดสู้กันแบบจี้ดจ้าดมาก บอกเลยว่าไปยืนโพสต์ท่ามุมไหนก็ได้รูปสวยสับสุดๆ
สรุปการมาเที่ยวย่านชินจูกุ (Shinjuku)
และนี่ก็คือแพลนเที่ยวทั้งหมดของก๊อตใน ย่านชินจูกุ (Shinjuku) ที่เราไปมากัน บอกเลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งย่านที่ช้อปปิ้งสนุก และเที่ยวราตรีเริ่ดมาก ใครที่ตั้งเป้ามาเพื่อช้อป นี่ว่ามาย่านนี้กระเป๋าแฟบกลับบ้านกันแน่นอน เพราะเค้ามีสินค้าขายกันตั้งแต่มัลติแบรนด์ ไปจนถึงแบรนด์ดังๆ ระดับไฮเอนด์ให้เราได้เดินช้อปกันจนขาลาก ยิ่งใครที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนท่ามกลางแสง สี เสียง และกลิ่นอายความเก่าแก่ด้วยแล้ว ชินจูกุ (Shinjuku) เป็นอีกย่านที่ครบเครื่องมาก เพราะเต็มไปด้วยตรอกต่างๆ อยู่มากมาย ที่นอกจากเราจะได้มานั่งดื่มชิลๆ แล้ว ยังได้มาสัมผัสกับวัฒนธรรมและบรรยากาศที่เหมือนว่าแต่ละตรอก แต่ละซอยที่เราย่างเท้าเข้าไปนั้น ได้พาเราย้อนเวลากลับไปสู่ญี่ปุ่นเมื่อเกือบ 80 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้เลยทำให้ ชินจูกุ (Shinjuku) เค้าเป็นย่านที่มีเสน่ห์เหมาะกับการเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางในการมาเที่ยว เมื่อมาเยือนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden)
สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) หนึ่งในสวนญี่ปุ่นที่สวยที่สุดในโตเกียว (Tokyo) ที่ก๊อตอยากแนะนำให้ทุกคนมาเที่ยว เพราะที่นี่เป็นสวนเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี ตั้งอยู่ใกล้กับโตเกียวโดม (Tokyo Dome) ในเขตบุงเคียว สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1629 ยุคสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603 – ค.ศ. 1868) โดยขุนนางศักดินา โยริฟุสะ โทคุกาวะ (Yorifusa Tokugawa) ผู้ก่อตั้งตระกูลมิโตะ โทคุกาวะ (Mito Tokugawa) โดยได้ริเริ่มก่อสร้างสวนแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นสวนในที่พักอาศัย ก่อนที่มิตสึคุนิ โทคุกาวะ (Mitsukuni Tokugawa) ลูกชายของเขาและเป็นเจ้าศักดินาคนที่สองจะรับช่วงต่อและพัฒนาสวนจนแล้วเสร็จ โดยนำเอาความเห็นจาก ชู ชุนซุย (Shu Shunsui) ซึ่งเป็นลัทธิขงจื๊อในสมัยราชวงศ์หมิงมาใช้ในการตกแต่งสวน นั่นทำให้สวนแห่งนี้มีทิวทัศน์ที่ผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นและจีนเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านสไตล์ไคยู (Kaiyu) ที่มีสระน้ำอยู่ตรงกลางล้อมรอบไปด้วยภูมิทัศน์อันหลากหลายอย่างเนินเขา ต้นไม้ และหินที่สร้างจากฝีมือของมนุษย์ จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสวนญี่ปุ่นที่สวยที่สุดในโตเกียวเลย
โดยชื่อของ สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) ตั้งมาจากชื่อของหนังสือจีนเรื่อง “Yueyang Lou Ji” โดย Fan Zhongjian ที่กล่าวว่า “ความสุขของประชาชนต้องมาก่อนความสุขของผู้ปกครอง” ซึ่งก๊อตว่าไม่เกินจริง เพราะพื้นที่ของสวนแม้จะรายล้อมไปด้วยโตเกียวโดม (Tokyo Dome) ตึกสูง และสถานที่จัดงานรื่นเริงอยู่มากมาย หากแต่บรรยากาศภายในสวนนั้นกลับร่มรื่น และเงียบสงบ เข้ามาเดินแล้วรู้สึกผ่อนคลายแฮปปี้ ซึ่งคนญี่ปุ่นเองก็นิยมมาเดินเล่นที่นี่เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองเช่นกัน
โดยเราสามารถมาเที่ยวชมความงามและธรรมชาติใน สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Garden) กันได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่สวนเค้าจะสวยสะพรั่งมากที่สุดจะเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงต้นเดือนธันวาคมที่เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เหล่าต้นเมเปิ้ลมากมายที่ปลูกเอาไว้รอบๆ สระน้ำทั้ง 3 แห่งของสวน จะเปลี่ยนเป็นสีส้มและสีแดงแต่งแต้มให้ไวบ์ของสวนดูมีชีวิตชีวาและถ่ายรูปออกมาสวยเริ่ดทุกมุมนั่นเอง
สำหรับการมาเดินเที่ยวชม สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Gardens) ก๊อตเริ่มต้นเดินเข้ามาจากประตูทางเข้าฝั่งตะวันตก (West Gate) ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟอีดาบาชิ (Iidabashi Station) มากนัก บรรยากาศรอบตัวที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาภายในพื้นที่ของสวน คือความเย็นสบายและสดชื่นจากเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งสวนให้ความร่มรื่นสบายตา และจากบริเวณของสวนสามารถมองผ่านออกไปเห็นวิวหลังคาของ โตเกียวโดม (Tokyo Dome) และเหล่าอาคารตึกสูงได้อีกด้วย
ก๊อตเดินลึกเข้ามาอีกหน่อยก็มาเจอกับสระน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางของสวน ท่ามกลางวิวของต้นไม้และโตเกียวโดมที่เริ่มเห็นชัดมากยิ่งขึ้น โดยช่วงที่ก๊อตไปนั้นแม้ว่าเราจะตั้งใจมาเพื่อดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ความที่ก๊อตไปต้นฤดูกาลไปหน่อย ต้นไม้ที่อยู่รอบๆ สระน้ำเลยยังไม่ได้เปลี่ยนสีมากนัก แต่บรรยากาศที่เห็นตอนนั้นก็ดูละมุนและอบอุ่นแถมยังถ่ายรูปออกมาสวยเช่นกัน ซึ่งจากสระน้ำนี้เค้าจะมีเส้นทางให้เราเดินลัดเลาะไปตามพื้นที่สวนลึกเข้าไปด้านในได้อีกด้วยนา
ไฮไลท์สองจุดที่ก๊อตแนะนำเลยคือ บริเวณ Oi-gawa จุดที่เราสามารถไปยืนโพสต์ท่าถ่ายบนแม่น้ำที่ตั้งชื่อตามแม่น้ำโออิกาวะ (Oigawa River) ที่ไหลผ่านเขตอาราชิยามะ (Arashiyama) ของเกียวโต โดยริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองเต็มไปด้วยแนวหิน และต้นไม้ใหญ่สีเขียวๆ ที่แผ่กิ่ง ก้าน ใบปกคลุมไปทั่วบริเวณ ชวนให้รู้สึกเหมือนเรายืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาและแม่น้ำจริงๆ ซึ่งจากมุมนี้จะสามารถถ่ายรูปเสยกลับขึ้นไปเห็นวิวของอีกจุดที่แนะนำคือ Tsuten – Kyo สะพานแดงที่จำลองมาจากสะพาน Tsuten ที่ วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple) ในเกียวโต ซึ่งใครสะดวกจะเดินขึ้นไปบนสะพานแดงแล้วถ่ายย้อนกลับลงมาก็ได้รูปในมุมที่สวยไปอีกแบบ
สำหรับสิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่และอยู่คู่กับ สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Gardens) ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Tokujin-do อาคารไม้หลังเล็กที่ว่ากันว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่รอดพ้นจากภัยพิบัติและสงครามมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งภายในนั้นเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นไม้ของมิตสึคุนิ โทคุกาวะ (Mitsukuni Tokugawa) ที่ย้อนกลับไปในช่วงที่มิตสึคุนิ อายุได้ 18 ปี เขาได้อ่านเรื่องฮาคุอิ เรตสึเดน (Hakui Retsuden) จากงานประวัติศาสตร์จีนชื่อชิกิ (Shiki) แล้วประทับใจมากจนได้สั่งให้สร้างรูปปั้นไม้ของตนพร้อมนำมาเก็บไว้ที่ Tokujin-do ซึ่งของจริงนั้นเราไม่สามารถเข้าไปดูรูปปั้นได้เนื่องจากเค้าจะกั้นด้วยรั้วเล็กๆ โดยจะให้เราเดินส่องดูจากภายนอกเท่านั้น
ถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักใหญ่ก๊อตก็เดินมาถึงจุด Saiko-no-tsutsumi ขั้นบันไดหินที่พาดผ่านสระน้ำรายล้อมไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่ใบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงสด โดยขั้นบันไดหินนี้ เค้าสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบ Xi hu หรือทะเลสาบตะวันตกในมณฑลเจียง จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน ซึ่งสวนส่วนใหญ่ของขุนนางศักดินานั้นมักจะมีการสร้างบันไดหินลักษณะนี้เอาไว้เช่นกัน แต่ที่ สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Gardens) ถือว่าเป็นสถานที่บุกเบิกในการสร้างเลยก็ว่าได้
นอกจากจุดที่ก๊อตพาเดินเล่นไปแล้วนั้น ภายใน สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Gardens) เค้ายังมีมุมอื่นๆ ให้เราเดินส่องกันเยอะม๊ากก ใครที่ชอบเดินชิลๆ ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ พร้อมส่องทิวทัศน์ของสวนญี่ปุ่นที่มีกลิ่นอายความเป็นจีนเข้ามาผสมผสาน ที่นี่เป็นอีกสวนที่ก๊อตอยากให้มากัน ภายในเค้ามันมีต้นไม้อยู่หลากหลายประเภทให้ได้ชื่นชม รวมถึงสระน้ำ สะพาน หินต่างๆ ก็ถูกเซตจัดเอาไว้ได้อย่างงดงาม ยิ่งใครมาช่วงดอกซากุระบานหรือช่วงใบไม้แดงนะ ก๊อตไม่อยากให้ทุกคนพลาดที่จะมาเที่ยวสวนนี้ โดยเฉพาะช่วงราวๆ วันที่ 15 ตุลาคม ยาสไปจนถึงวันที่ 11 ธันวาคมของทุกปี ในเมืองโตเกียวจะมีอยู่ 9 สวนที่จัดเทศกาลใบไม้แดงให้ได้มาชม ซึ่ง สวนโคอิชิกาว่า-โคระคุเอ็น (Koishikawa Korakuen Gardens) เป็น 1 ใน 9 สวนที่จัดเทศกาลนี้อยู่ด้วย ใครมาช่วงนี้บอกเลยว่าคุ้มค่าและต้องประทับใจกันถ้วนหน้าแน่นอน เป็นอีกสวนในโตเกียวที่ควรค่าแก่การมาสัมผัสด้วยตาสักครั้ง
โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
หากใครเป็นแฟนดิสนีย์ตัวยง และกำลังมีแพลนมาเที่ยวญี่ปุ่น ก๊อตไม่อยากให้พลาดเลยกับ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ที่ถือเป็นสวนสนุกดิสนีย์แห่งแรกที่สร้างขึ้นนอกอเมริกา และยังได้ชื่อว่าเป็นสวนสนุกดิสนีย์แลนด์นอกอเมริกาที่มีคนมาเที่ยวมากที่สุดเลย โดยความพิเศษของ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) เป็นสวนสนุกที่มีรูปแบบเดียวกับ Magic Kingdom Park ที่ฟลอริดา และ Disneyland Park ในแคลิฟอร์เนีย แน่นอนว่าใครที่อยากสัมผัสกลิ่นอายความคลาสสิคของดิสนีย์แลนด์ คือเราแทบไม่ต้องที่อเมริกาเลย
สำหรับสวนสนุกดิสนีย์ที่โตเกียวนั้น ไม่ได้มีแต่ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) อย่างเดียว แต่เค้ายังมีอีกปาร์คอย่าง โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) สวนสนุกดิสนีย์ที่มาในธีมการสำรวจทะเลแห่งเดียวในโลกตั้งอยู่อีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ทั้งสองสวนสนุกนี้บริษัท Walt Disney ไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่ได้เป็นคนบริหาร แต่เป็นของบริษัทญี่ปุ่นอย่างบริษัท ‘The Oriental Land’ ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาและเป็นเจ้าของรวมถึงได้สิทธิ์ในการบริหารสวนสนุกและโรงแรมแบรนด์ดิสนีย์ทั้งหมดเลย
เนื่องจาก โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) มีรายละเอียดเยอะมาก ตั้งแต่การซื้อตั๋ว ไฮไลท์เครื่องเล่นห้ามพลาด หรือมีแต่โชว์ต่างๆ ก๊อตทำรีวิวแยกโดยเฉพาะแบบละเอียดยิบ ใครที่อยากอ่านรีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) คลิกอ่านที่นี่เลย
ซื้อบัตรโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ที่ไหนดี?
ซื้อผ่าน OTAs อย่าง Klook หรือ KKday (⭐️ แนะนำ): วิธีที่ก๊อตว่าสะดวกสบาย ซื้อง่าย และราคาดี คือการซื้อบัตรผ่าน Klook หรือ KKdays นั่นเอง โดยเว็บ OTAs เองจะเปิดขายบัตรล่วงหน้าแค่ 2 เดือนเท่ากันกับเว็บโตเกียวดิสนีย์แลนด์ โดยทั้งสองเว็บเค้ามีภาษาไทย และตั๋วที่เค้าออกให้จะเป็น QR Code ที่เราสามารถไปสแกนที่หน้าประตูแล้วเข้าสวนสนุกได้เลย สะดวกเว่อร์
🎫 เช็คราคาและซื้อบัตรโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) [ซื้อผ่าน Klook]
ภายใน โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) เค้ามีทั้งหมด 7 โซน รวมถึงยังมีเครื่องเล่นพิเศษอีก 4 เครื่องเล่นที่มีเฉพาะที่สวนสนุกแห่งนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Enchanted Tale of Beauty and the Beast, Pooh’s Hunny Hunt, Monsters, Inc. Ride & Go Seek และ The Happy Ride with Baymax โดยที่ห้ามพลาดเลยคือเครื่องเล่น Enchanted Tale of Beauty and the Beast เครื่องเล่นใหม่ที่เค้าพึ่งเปิดล่าสุดของโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ที่อิงมาจากหนังดิสนีย์สุดคลาสสิค Beauty and the Beast หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อภาษาไทย ‘โฉมงามกับเจ้าชายอสูร’ ซึ่งก๊อตยกให้เค้าเป็นหนึ่งในเครื่องเล่นที่สนุกที่สุดของสวนสนุกแห่งนี้แล้ว
นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นห้ามพลาด อย่างใครที่เป็นสายรถไฟเหาะ สนุก-หวาดเสียว ต้องมาลองเล่น Big Thunder Mountain Railroad รถไฟเหาะสุดมันส์ ที่ถูกออกแบบให้ดูเหมือนที่ราบสูงพร้อมภูเขาขนาดมหึมาเสมือนเราอยู่ในยุคขุดทอง, Splash Mountain เครื่องเล่นที่สร้างอิงมาจากแอนิเมชันดิสนีย์เรื่อง ‘Song of the South’ ตั้งแต่ปี 1946 นู้น โดยเครื่องเล่นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องเล่นคลาสสิกที่มีทั้งใน Disneyland แคลิฟอร์เนียและ Magic Kingdom ที่ฟลอริดาด้วย ส่วนใครที่เป็นสายเครื่องเล่นตื่นตาตื่นใจ เน้นประสบการณ์ ให้ตรงดิ่งไปที่ Haunted Mansion เครื่องเล่นที่ซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์สไตล์โกธิคที่ข้างในเต็มไปด้วยเหล่าผีสางมากมาย กว่า 999 ตัว แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ Enchanted Tale of Beauty and the Beast, Pooh’s Hunny Hunt, Monsters, Inc. Ride & Go Seek และ The Happy Ride with Baymax เหล่าเครื่องเล่นที่มีที่เดียวในโลก เฉพาะที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) เท่านั้น
โดยรวมแล้วที่ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) โซนต่างๆ และเครื่องเล่นของเค้าถือว่าทำดีและยังสนุกมาก ถึงแม้คนจะมาเที่ยวกันเยอะเต็มสวนสนุก แต่ด้วยความญี่ปุ่นนั้นไม่ได้มีความวุ่นวาย และยังมีความมุ้งมิ้งตามสไตล์คนญี่ปุ่นแหละ ส่วนของซื้อของฝากดิสนีย์ที่นี่ก็มีความน่ารักแบบญี่ปุ๊นนน ญี่ปุ่น ที่ก๊อตบอกเลยว่าทำออกมาได้ดีกว่าหลายประเทศมาก ถือว่ามาครั้งนี้ยังคงประทับใจกับการเที่ยวดิสนีย์แลนด์เช่นเคย สำหรับใครที่อยากอ่านดีเทลแบบละเอียดยิบเหมือนก๊อตจับมือพาไปเที่ยว ให้คลิกอ่านเพิ่มเติมด้านล่างเลยนา นี่ทำรีวิวแยกไว้ให้แล้วจ๊า
คลิกอ่านรีวิวเต็ม โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) ได้ที่นี่
โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ใครมาที่นี่ให้ตัดภาพความปุ๊กปิ๊กน่ารักของเหล่าเจ้าหญิงจากดิสนีย์คลาสสิกทิ้งไปก่อนได้เลย เพราะที่นี่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นธีมที่โตมากขึ้น เหมาะกับเหล่าวัยใสที่ชื่นชอบเครื่องเล่นแนวแอดเวนเจอร์ตื่นเต้นเร้าใจจนทุกคนต้องกรี๊ดกันคอแทบแตก และที่พิเศษสุดๆ เลย คือ โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) นั้นเป็นสวนสนุกธีมน้ำแห่งแรกและแห่งเดียวของโลก นั่นหมายความว่า ต่อให้เราจะบินไปไกลถึงอเมริกา หรือไปทัวร์ดิสนีย์ที่ไหนบนโลกนี้ก็จะไม่ได้สัมผัสกับรรยากาศของสวนสนุกดิสนีย์ธีมน้ำได้อย่างแน่นอน คือแกรต้องจิ้มมาที่ โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ที่ญี่ปุ่นเท่านั้น
ต้องบอกกันก่อนว่า โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) นั้น เพิ่งจะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2544 โดยเป็นสวนสนุกแห่งที่ 2 ที่เปิดอยู่ในโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ต หลังจากโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) เปิดให้บริการมา 18 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 โดยที่ โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) นั้น มาในธีมการสำรวจทะเลที่มีแห่งเดียวในโลก ซึ่งภายในปาร์คเค้าจะมีทะเลสาบขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกันเลยทีเดียว
เนื่องจาก โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) มีรายละเอียดเยอะมาก ตั้งแต่การซื้อตั๋ว ไฮไลท์เครื่องเล่นห้ามพลาด หรือมีแต่โชว์ต่างๆ ก๊อตทำรีวิวแยกโดยเฉพาะแบบละเอียดยิบ ใครที่อยากอ่านรีวิว โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) คลิกอ่านที่นี่เลย
ซื้อบัตรโตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ที่ไหนดี?
ซื้อผ่าน OTAs อย่าง Klook หรือ KKday (⭐️แนะนำ): วิธีที่ก๊อตว่าสะดวกสบาย ซื้อง่าย และราคาดี คือการซื้อบัตรผ่าน Klook หรือ KKdays นั่นเอง โดยเว็บ OTAs เองจะเปิดขายบัตรล่วงหน้าแค่ 2 เดือนเท่ากันกับเว็บโตเกียวดิสนีย์แลนด์ โดยทั้งสองเว็บเค้ามีภาษาไทยและตั๋วที่ออกเค้าออกให้จะเป็น QR Code ที่เราสามารถไปสแกนที่หน้าประตูแล้วเข้าสวนสนุกได้เลย สะดวกเว่อร์
🎫 เช็คราคาและซื้อบัตรโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) [ซื้อผ่าน Klook]
ภายใน โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) แบ่งออกเป็น 7 โซน คือ คือ Mediterranean Harbor, American Waterfront, Port Discovery, Lost River Delta, Arabian Coast, Mermaid Lagoon และ Mysterious Island ซึ่งเค้าจะเปรียบแต่ละโซนเป็นเหมือนท่าเรือ โดยสร้างและอิงมาจากภาพยนตร์ดิสนีย์ทั้งหมด ซึ่งท่าเรือทั้ง 6 แห่งแรกนั้นจะอยู่รายล้อมทะเลสาบขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางปาร์ค ส่วนท่าเรือที่ 7 ก็คือทะเลสาบที่มีภูเขาไฟโพรมีธีอุส (Mount Prometheus) ตั้งอยู่ใจกลางปาร์คนั่นเอง ซึ่งที่ โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) เค้าจะไม่มีปราสาทเหมือนฝั่งโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) แต่เค้าใช้เกาะลึกลับและภูเขาไฟลูกโตนี้มาเป็นสัญลักษณ์แทนเหล่าปราสาทนา
สำหรับเครื่องเล่นห้ามพลาดใน โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ที่ต้องมาเล่นให้ได้เลยเพราะเค้ามีที่นี่ที่เดียวในโลกเท่านั้น คือ Journey to the Center of the Earth เครื่องเล่นสล็อตคาร์ที่สร้างอิงมาจากนวนิยาย ของฌูล แวร์น (Jules Verne) โดยหน้าตาของเครื่องเล่นจะดูเหมือนรถคันใหญ่ที่เอาไว้ใช้ขุดเจาะในเหมือง ส่วนการเล่นคือเราจะนั่งเข้าไปผจญภัยยังใจกลางแกนโลกในภูเขาไฟโพรมีธีอุส (Mount Prometheus) ซึ่งเป็นฐานทัพของกัปตันนีโม่นั่นเอง และอีกเครื่องเล่นคือ 20,000 Leagues Under the Sea เครื่องเล่นฟีลเรือดำน้ำที่อิงจากนวนิยายของฌูล แวร์น (Jules Verne) เช่นกัน โดยเครื่องเล่นนี้เค้าจะเป็นเครื่องเล่นเรือดำน้ำเสมือนเรานั่งอยู่กับกัปตันนีโม่ที่จะพาเราไปสำรวจโลกใต้ท้องทะเล ก่อนที่จะถูกคราเคน (Kraken) สัตว์ยักษ์ในตำนานที่หน้าตาเหมือนปลาหมึกยักษ์เข้าโจมตีจนเรือดำน้ำและไปโผล่อยู่ในอีกโลกที่กัปตันเค้าไม่รู้จักนั่นเอง
นอกจากเครื่องเล่นทั้งสองแล้ว ภายในสวนสนุกยังมีโซนเครื่องเล่นอื่นๆ อีกเพียบ อีกทั้งยังมี พาเหรด Let’s Celebrate with Colors พาเหรดของมิกกี้เมาส์และผองเพื่อนดิสนีย์ของเขาในชุดสีสันสดใสที่ปรากฏตัวอยู่บนเรือลำใหญ่ ล่องอยู่ในทะเลสาบใจกลางปาร์ค ท่ามกลางเสียงเพลงธีมครบรอบ 40 ปี ของ โตเกียว ดิสนีย์รีสอร์ต (Tokyo Disney Resort) อีกด้วย
โดยรวมแล้วที่ โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ส่วนตัวก๊อตประทับใจที่นี่เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ ด้วยความที่ปาร์คนี้ไม่เหมือนกับที่ไหน มาในธีมทะเลโดยเฉพาะ แถมยังมีเครื่องเล่นแนวแอดเวนเจอร์ค่อนข้างเยอะเอาเรื่อง โดยรวมมันเลยกลมกล่อมในความลุยนิดๆ ไม่ได้เจ้าหญิงจ๋าเหมือนฝั่งดิสนีย์แลนด์นั่นเอง ซึ่งของจริงคือยิ่งใหญ่อลังการมาก เอาเป็นว่าใครอยากอ่านรีวิวแยกเดี่ยวๆ ของ โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ก๊อตทำรีวิวแยกเอาไว้ให้แล้วนา จัดหนักจัดเต็มจุใจแน่นอน
คลิกอ่านรีวิวเต็ม โตเกียว ดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) ได้ที่นี่
Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo
ปิดท้ายการมาเที่ยวโตเกียวด้วย Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo ธีมพาร์คแฮร์รี่ พอตเตอร์แห่งแรกในเอเชีย ที่ใครเป็นสาวกของเหล่าพ่อมดแม่มดน้อยจากฮอกวอตส์หากได้มาเที่ยวที่โตเกียว บอกเลยว่าต้องพุ่งตรงมาเที่ยวที่นี่ด้วย เพราะเราจะได้หลุดเข้าไปในโลกของเวทย์มนตร์ ที่นอกจากจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับ แสง สี เสียง ท่ามกลางพร๊อพแบบจัดเต็มแล้ว ยังได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยการสำรวจเบื้องหลังแบบจัดเต็มของภาพยนตร์ Harry Potter และ Fantastic Beasts แบบเจาะลึกเหมือนได้ไปเป็นหนึ่งในทีมผู้สร้างด้วยเลย
เนื่องจาก Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo มีรายละเอียดอยู่เยอะมาก ตั้งแต่การซื้อตั๋ว วิธีการไป รวมไปถึงห้องต่างๆ ที่อยู่ภายในอีกเยอะม๊าก ซึ่งก๊อตได้ทำรีวิวแยกโดยเฉพาะแบบละเอียดสุดไว้ให้แล้ว ใครที่อยากอ่านรีวิว Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo คลิกอ่านที่นี่เลย
ซื้อบัตร Warner Bros. Studio Tour Tokyo – The Making of Harry Potter ที่ไหนดี?
ซื้อผ่าน Klook (⭐️แนะนำ): วิธีที่สะดวกสบาย ซื้อง่าย และราคาดีมากที่สุดสำหรับก๊อต คือการซื้อบัตรผ่าน Klook ที่จะมาเป็นแบบ e-ticket ที่เราสามารถใช้ได้เลยที่หน้างาน โดยเค้าจะมีบัตรอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ บัตรเข้าชมสตูดิโอทัวร์อย่างเดียว และแบบแพ็คกับบัตรรถไฟ Seibu 1 Day Pass หรือ Tokyo Subway นั่นเอง โดยแต่ละบัตรนั้นก็จะแยกบัตรไปอีกตามอายุ คือ ผู้ใหญ่ 6,300 เยน (~1,530 บาท) / อายุ 12-17 ปี ราคาบัตรอยู่ที่ 5,200 เยน (~1,270 บาท) และ เด็ก อายุ 4-11 ปี ราคาบัตรอยู่ที่ 3,800 %