ฮาราจูกุ (Harajuku) หนึ่งในย่านจี๊ดจ๊าดที่เต็มไปด้วยสีสันและผู้คนที่เดินขวักไขว่คึกคักมากที่สุดอีกแห่งของโตเกียว (Tokyo) ซึ่งย่านนี้เค้าโด่งดังมาจากแฟชั่นสตรีทอันเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมสุดป๊อบของวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น ที่ใครเป็นสายแฟจัดๆ ไม่ควรพลาด เพราะ ฮาราจูกุ (Harajuku) มีทั้ง ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ถนนช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยร้านค้าแฟชั่น เสื้อผ้ามือสอง รวมถึงเสื้อผ้าสไตล์คาวาอิ (Kawaii), โลลิต้า (Lolita), พังค์ (Punk) และโกธิค (Goth) ที่ขายกันแบบละลานตาบนถนนความยาวกว่า 400 เมตร ใครที่รักการแต่งตัวและหลงใหลในเรื่องของแฟชั่นที่นี่ยิ่งกว่าสวรรค์บอกเลย ยังไม่หมดเท่านั้น ฮาราจูกุ (Harajuku) เองยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) หนึ่งในศาลเจ้าหลักของโตเกียวที่อยู่คู่เมืองมาแล้วกว่า 100 ปี แถมศาลเจ้ายังเป็นที่เล่าขานถึงความงดงามของที่ตั้งซึ่งอยู่ท่ามกลางผืนป่านับแสนต้นอีกด้วย ทั้งหมดนี้มันเลยทำให้ ฮาราจูกุ (Harajuku) เป็นอีกย่านที่เที่ยวสนุกและช้อปมันส์กระจายม๊าก ก๊อตยกให้เป็นอีกย่านที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยวโตเกียว (Tokyo) เลยนาจา
- รีวิวเต็ม โตเกียว (Tokyo) 28 ที่เที่ยว
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneyland แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneysea แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo แบบละเอียด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในโตเกียว (Tokyo)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
รู้จักกับ ย่านฮาราจูกุ (Harajuku)
ฮาราจูกุ (Harajuku) ย่านสุดเก๋ไม่ซ้ำใครที่ตั้งอยู่ระหว่างชินจูกุ (Shinjuku) และชิบูย่า (Shibuya)ในโตเกียว (Tokyo) โดยย่านแห่งนี้มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านสตรีทแฟชั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่รวมรวมเอาสไตล์การแต่งตัวต่างๆ ของวัยรุ่นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นพังค์ (Punk),โกธิค (Goth) และไซเบอร์ (Cyber) ไปจนถึงสไตล์คาวาอิ (Kawaii) และสไตล์โลลิต้า (Lolita) สุดน่ารักเอาไว้ ซึ่งในช่วงสุดสัปดาห์โดยเฉพาะวันอาทิตย์ คนหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่น เค้าก็จะแต่งตัวในสไตล์ต่างๆ กันแบบจัดหนักจัดเต็มแล้วมารวมตัวกันรอบๆ ฮาราจูกุ (Harajuku) เพื่อพบปะสังสรรค์กลุ่มคนที่ชื่นชอบแฟชั่น รวมถึงโชว์แฟชั่นในสไตล์ของตัวเองสู่คนอื่นๆ
สำหรับความเจริญรุ่งเรืองของ ฮาราจูกุ (Harajuku) เริ่มในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยช่วงนั้นกองทัพสหรัฐได้เข้ามาตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ในโตเกียว ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากย่านนี้มากนัก ทีนี้ผู้คนเค้าเลยเริ่มเปิดกิจการร้านค้าเพื่อจำหน่ายสินค้าให้กับเหล่าทหารอเมริกา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 1970 ได้มีห้างสรรพสินค้าหลายแห่งเริ่มมาเปิดให้บริการที่นี่ โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่เค้าขายกันก็จะเป็นข้าวของของสำหรับวัยรุ่น ทำให้ช่วงเวลานั้นมีเหล่าวัยรุ่นญี่ปุ่นแห่มาเที่ยวที่นี่กันคึกคัก
โดยที่เราเห็นแฟชั่นความคาวาอี้ (Kawaii) ใน ฮาราจูกุ (Harajuku) จริงๆ แล้วแฟชั่นสไตล์นี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1995 จากร้านเสื้อผ้าสุดเก๋อย่าง 6%DokiDoki ที่ขายเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดและมีแบบน่ารักให้ได้เลือกเยอะมาก ซึ่งถูกใจเหล่าคนที่เค้าชื่นชอบมังงะ อนิเมะต่างๆ ของญี่ปุ่นที่อยากจะแต่งตัวตามคาแรกเตอร์ของตัวละครที่เค้าชอบ ต่างพากันแวะเวียนมาซื้อชุดที่ร้านจนทำให้ 6%DokiDoki เป็นร้านที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในขณะนั้น จนทำให้ย่าน ฮาราจูกุ (Harajuku) กลายมาเป็นย่านศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
ฮาราจูกุ (Harajuku) เองไม่ได้โดดเด่นเฉพาะเรื่องของแฟชั่นเท่านั้น แต่ย่านแห่งนี้ยังถูกพูดถึงในเรื่องของดนตรี ศิลปะ และวรรณกรรม อีกทั้งยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ อยู่อีกมาย โดยจุดศูนย์กลางของย่านเค้าคือ ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ถนนช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยร้านค้าแฟชั่น เสื้อผ้ามือสอง อาหารสตรีทฟู้ด และร้านเครปชื่อดังที่เรียงรายกันอยู่ตามสองข้างทางของถนนช้อปปิ้งความยาวกว่า 400 เมตร นอกจากนี้ย่าน ฮาราจูกุ (Harajuku) ยังมีสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อย่าง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) หนึ่งในศาลเจ้าหลักของโตเกียวที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิเมจิ และจักรพรรดินีโชเก็น พระชายาของพระองค์ ศาลเจ้าแห่งนี้อยู่คู่เมืองมากว่า 100 ปี ตั้งอยู่ท่ามกลางผืนป่าที่ผู้คนช่วยกันปลูกนับแสนต้น อีกทั้งภายในยังมีทั้งพิพิธภัณฑ์ที่เก็บคอลเลกชันผลงานและข้าวของเครื่องใช้สำคัญของจักรพรรดิ์จัดแสดงอยู่ด้วย
เรียกได้ว่า ฮาราจูกุ (Harajuku) ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งรวมแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันมากมาย ที่ไม่ว่าใครจะหลงใหลในเรื่องของแฟชั่น หรือชื่นชอบในเรื่องของวัฒนธรรม ที่ ฮาราจูกุ (Harajuku) นั้น มีสิ่งเหล่านี้รอคอยให้เราทุกคนได้มาสัมผัสกันแล้ว
ที่เที่ยวใน ย่านฮาราจูกุ (Harajuku)
วิธีการเดินทางมาที่ย่านฮาราจูกุ (Harajuku)
รถไฟ: วิธีที่สะดวกที่สุดในการมาที่นี่คือรถไฟ โดยสถานีรถไฟที่ใกล้กับ ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) มากที่สุดคือ สถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) และ สถานีเมจิจิงกุ มาเอะ (Meiji-jingu-mae Station) ซึ่งสามารถเดินทางมาตามนี้ได้เลย
- โดยรถไฟเจอาร์ :
- สถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) : ให้ขึ้นรถไฟ JR Yamanote Line นั่งมาลงที่ สถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 1 นาที
- โดยรถไฟใต้ดิน (Tokyo Metro):
- สถานีเมจิจิงกุ มาเอะ (Meiji-jingu-mae Station) : ให้ขึ้นรถไฟ Chiyoda Line และ Fukutoshin Line นั่งมาลงที่ สถานีเมจิจิงกุ มาเอะ (Meiji-jingu-mae Station) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
บัตรเดินทางต่างๆ ในโตเกียว
- 🎫 บัตรโดยสารรถไฟใต้ดินโตเกียวแบบไม่จำกัด (1, 2 หรือ 3 วัน) [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 บัตร Welcome Suica และบัตรโดยสารรถไฟ JR สำหรับ 1 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 JR Tokyo Wide Pass : ใช้ขึ้นสายรถไฟ JR สำหรับเที่ยวเมืองยอดนิยมต่างๆ รอบโตเกียว โดยมีเมืองฮิตอย่าง คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ที่มีภูเขาไฟฟูจิ, นิกโก้ (Nikko), โยโกฮาม่า (Yokohama), คาบสมุทรอิสุ (Izu Peninsula) / มีแบบ 3 วัน ราคาเริ่มต้นราวๆ ~3,600 บาท [ซื้อผ่าน Klook]
เริ่มเที่ยวใน ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) กันเล้ยย
ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street)
ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ถนนช้อปปิ้งที่มีความความยาวประมาณ 400 เมตร เชื่อมระหว่างถนนฮาราจูกุ (Harajuku Dori) บริเวณหน้าสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) ไปจนถึงถนนเมจิ (Meiji Dori) ในย่านฮาราจูกุ (Harajuku) โดยจุดที่ง่ายที่สุดในการเริ่มเดินย่านนี้คือการเดินจากจากสถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) เด้อ
เริ่มแรกที่เราจะได้ย่างก้าวข้ามถนนเพื่อไปยังถนนช้อปปิ้งด้านในนั้น บรรยากาศตรงซุ้มประตูทางเข้ามีป้ายตัวอักษรตัวเบอเร้อระบุเอาไว้ว่า ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ที่เสมือนเป็นถนนสู่ ‘ฮาราจูกุ (Harajuku)’ ของแท้ เมื่อเรามองเข้าไปในถนนนั้นถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง เพราะถือเป็นถนนช้อปปิ้งที่คนเยอะแบบแตกแตน ขนาบข้างไปด้วยสารพัดร้านอาหาร ร้านขนม รวมไปถึงร้านเสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์ต่างๆ ชุดคอสเพลย์ เครื่องประดับ รองเท้า และของมือสอง ไปจนถึงสารพัดสินค้าปุ๊กปิ๊กและร้านขายสินค้าไอดอล ดารานักร้องของญี่ปุ่นอีกด้วย ใครที่เป็นสายแฟแล้วอยากมาตามหาแรร์ไอเท็มปังๆ ก๊อตบอกเลยว่า ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) มีขายให้เราเลือกกันจนตาแตก กระเป๋าตังค์ฟี๊บกันเลยทีเดียว 55555
นอกจากร้านแฟชั่นจ๋าๆ แล้ว ตามสองข้างทางเค้ายังมีสตรีทฟู้ดราคาสบายกระเป๋าตั้งแผงขายกันทั้งเมนูต้ม ผัด แกง ทอด ใครหิวและอยากลองกินอาหารญี่ปุ่น ชอบร้านไหนจะแวะซื้อกินระหว่างทางก็ได้นา แต่ที่ต้องลองและเป็นขนมดังของถนนเส้นนี้คือร้านขนมเครป ซึ่งตลอดทางเดินใน ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) เค้าเปิดขายกันอยู่หลายร้านเลย โดยร้านที่ก๊อตเลือกกินคือ SWEET BOX ร้านเครปป้ายสีข้าวตัวหนังสือสีแดงเด่นหรา คึกคักไปด้วยคนรอซื้ออยู่เยอะมาก โดยเคล็ดลับความอร่อยของเค้า คือแป้งเครปโฮมเมดที่ทำกันอย่างพิถีพิถันเสิร์ฟมาพร้อมกับผลไม้สดชิ้นโตๆ หวานฉ่ำๆ ที่รสชาติอร่อยมาก ใครที่เลือกไม่ถูกว่าจะกินเครปร้านไหนดีก็ลองร้านนี้ได้เลยจ๊า
ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando)
หากใครเดินช้อปปิ้งจาก ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ครบหมดทุกตรอกซอกซอยแล้ว แต่ยังอยากช้อปต่อโดยเฉพาะแบรนด์เนมทั้งหลาย ก๊อตแนะนำให้พุ่งตัวมาที่ ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) ที่อยู่ใกล้กันได้เลย โดยบรรยากาศของถนนเส้นนี้จะต่างออกไปจากถนนทาเคชิตะแบบลิบลับ บริเวณตามทางเดินเต็มไปด้วยความร่มรื่นจากแนวต้นไม้ที่ทอดยาวกว่า 1 กิโลเมตร แถมร้านรวงบนถนนช้อปปิ้งนี้ยังคราคร่ำไปด้วยแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง คาเฟ่ และร้านอาหารที่ดูโมเดิร์นทันสมัยอีกทั้งยังดูหรูหรามากกว่า จนถนนสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นถนน Champs-Élysées แห่งโตเกียวกันเลยทีเดียว
ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) ถือเป็นอีกหนึ่งในย่านช้อปปิ้งที่หรูหราและยังเป็นย่านที่น่าอยู่มากที่สุดในโตเกียว ตัวถนนตั้งอยู่ในชิบูย่า (Shibuya) และมินาโตะ (Minato) ทอดยาวจากทางเข้าศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) ไปยังถนนอาโอยามะ (Aoyama Street) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีโอโมเตะซันโด (Omotesando Station) ซึ่งทั้งย่านนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วงยุคสมัยไทโช (Taisho Era) ก่อนจะเป็นที่รู้จักในฐานะถนน “งานแสดงผลงานทางสถาปัตยกรรม” ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเพราะอาคารที่อยู่ตามสองฝั่งของแนวถนนนั้นต่างออกแบบได้งดงามและมีดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตาไม่เหมือนย่านอื่นๆ
ภายใน ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) มีร้านแฟลกชิปสโตร์แฟชั่นมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นลักชูรี่แบรนด์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Tod’s, Dior, Alexander McQueen, Gucci, FENDI, Hermès, Bulgari และแบรนด์อื่นๆ อีกเพียบ บอกเลยว่าใครที่อยากมาช้อปแบรนด์เนมแบบจัดหนักจัดเต็ม ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) คือตอบโจทย์มาก เพราะเค้ายกแทบทุกแบรนด์ดังบนโลกใบนี้มาตั้งรวมเอาไว้ในถนนเส้นนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นอีกตัวเลือกในการช้อปปิ้งแบรนด์เนมจากถนนกินซ่า (Ginza) ที่ดีมากเลยทีเดียวแหละ
The Espace Louis Vuitton Tokyo
สำหรับสายอาร์ต สายแกลอรี่ชื่นชมงานศิลปะ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าถนน ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) นั้นมีอาร์ตแกลอรี่ของ Louis Vuitton ซ่อนตัวอยู่ด้านบนของช้อป โดยเค้ามีชื่อเก๋ๆ ว่า ‘The Espace Louis Vuitton Tokyo’ กับพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการที่ทาง Louis Vuitton จัดทำขึ้นเพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยขึ้นใหม่ บนพื้นที่ของช้อป Louis Vuitton หลายแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่มิวนิก, เวนิซ, ปักกิ่ง โซล, โอซาก้า และโตเกียว โดยแกลอรี่ก๊อตกำลังจะพาทุกคนไปเดินชมกันนี้ คือช้อป Louis Vuitton Omotesando นั่นเอง
บอกก่อนว่าใครที่ตั้งใจมาดูนิทรรศการศิลปะของเค้าอย่างเดียว แต่ไม่ใช่สายแบรนด์เนมแล้วแอบเขินไม่กล้าเดินเข้าช็อป บอกเลยว่าไม่ต้องกลัวและเดินเข้ามาได้เลย เพราะก๊อตก็เข้าไปแบบตาสีตาสามากแล้วบอกว่าเราอยากไปแกลอรีดูนิทรรศการ พนักงานของทางช็อปบริการดีเว่อร์ พร้อมแนะนำให้เราเดินไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังชั้น 7 ซึ่งเป็นชั้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะอยู่ ซึ่งเราสามารถเข้ามาชมได้ฟรีๆ เลยนา
สำหรับ The Espace Louis Vuitton Tokyo เปิดตัวในปี ค.ศ. 2011 ใจกลางโอโมเตะซันโด (Omotesando) ถือเป็นศูนย์รวมความหลงใหลในความคิดสร้างสรรค์ที่หลุยส์ วิตตองมีร่วมกับประเทศญี่ปุ่น และพอเราออกมาจากลิฟต์จะเจอเข้ากับห้องจัดแสดงที่มีลักษณะเป็นเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมทำจากกระจกใสล้อมรอบ ซึ่งหมดนี้ถูกออกแบบโดย Jun Aoki สถาปนิกชาวญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงนิทรรศการที่สนับสนุนผลงานศิลปะร่วมสมัยใหม่ๆ โดยตลอดทั้งปีจะมีการจัดแสดงผลงานศิลปะหมุนเวียนกันไปอยู่ตลอดนั่นเอง
โดยตอนที่ก๊อตไปนั้น เราไปทันช่วงที่เค้าจัดแสดงนิทรรศการ L>espace)(… ซึ่งเป็นนิทรรศการพิเศษจากผลงานของ Cerith Wyn Evans ศิลปินชาวเวลส์ ที่นำเสนอผลงานในรูปแบบประติมากรรม หรืองานศิลปะจัดวาง โดยศิลปินได้สำรวจการปรากฏของรูปแบบในอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ข้อความ (ส่วนใหญ่มักเป็นสีนีออน) แสง เสียง หรือวิดีโอ ซึ่งในนิทรรศการครั้งนี้ศิลปินได้เล่นกับอักษรพาลินโดรมแบบลาติน โดยนำเอาเส้นไฟนีออนมาขดตัวจนเกิดเป็นอักษรที่มีทั้งเป็นข้อความยาวๆ และที่เป็นลักษณะรูปทรงราวกับโคมไฟห้อยระย้าลงมาจากเพดานให้เราได้มาตีความถึงโลกแห่งความเป็นจริงและพื้นที่เหนือจินตนาการไปด้วยกัน ทั้งนี้ งานนี้เค้าได้จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนิทรรศการทั้งหมดของที่นี่จะเป็นแบบหมุนเวียนจัดกันไป ดังนั้น ถ้าเรามาแล้วจะไม่ได้เจองานแบบก๊อต ยังไงลองเช็คงานที่เค้าจัดปัจจุบันได้จากเว็บเค้าเลย
Kiddy Land
สำหรับใครที่เดินส่องแบรนด์เนมกันจนตาแฉะแล้วอยากเปลี่ยนไวบ์มาเดินส่องของเล่นน่ารักๆ ยังมีอีกหนึ่งร้านใน ถนนช้อปปิ้งโอโมเตะซันโด (Omotesando) ที่ก๊อตแนะนำเลยคือ คิดดี้แลนด์ (Kiddy Land) ร้านขายของเล่นชื่อดังที่เป็นแหล่งรวบรวมสารพัดสินค้าปุ๊กปิ๊กมากมายเอาไว้ในที่เดียวให้เราได้มาช้อปกันแบบจุใจ
คิดดี้แลนด์ (Kiddy Land) จะเป็นอาคารสูง 4 ชั้น ด้านหน้าร้านโดดเด่นด้วยประตูกระใจที่เปิดโล่งให้เรามองเข้าไปเห็นตัวการ์ตูนน่ารักๆ และป้ายร้านสีแดงตัวอักษรสีขาวขนาดใหญ่ ซึ่งพอเราเดินเข้ามาภายในร้าน แต่ละชั้นเค้าก็จะขายสินค้าจากตัวการ์ตูนดังๆ อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Snoopy Town ที่สาวกการ์ตูนเรื่อง Peanuts ห้ามพลาดเพราะเราจะได้เข้าไปช้อปสินค้าของสนูปปี้และเหล่าผองเพื่อนกันแบบเต็มอิ่ม หรือใครเป็นแฟนมังงะตัวการ์ตูนจิ๋วสุดน่ารักอย่างเจ้ากระต่ายน้อยในเรื่อง Chiikawa ที่นี่เค้าก็มี Chiikawa Land ที่ขายกันตั้งแต่ ตุ๊กตา กาชาปอง ฟิกเกอร์ ไปจนถึงของสะสมกระจุ๊กกระจิ๊กให้ได้เลือกสรรกันแบบเพลินตา
นอกจากนี้ยังมีสินค้าจาก Rilakkuma Store, Hello Kitty Shop, Studio Ghibli, โดราเอม่อน, ชินจัง, โปเกมอน รวมไปถึงสินค้าจากแบรนด์ฝั่งอเมริกันที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างเช่น Star Wars, Disney และ Marvel ขายอยู่ด้วย ก๊อตบอกเลยว่าทั้ง 4 ชั้นที่นี่เดินขึ้นลงเป็นว่าเล่นนั้น มีสินค้าให้ได้เลือกซื้อกันแบบละลานตาม๊าก ตั้งแต่ของสะสม อาร์ตทอย กระเป๋า ถุงผ้า ไล่ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้และสารพัดของตกแต่งที่หากไม่หักห้ามใจดีๆ เราอาจล้มละลายได้ 555555 เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบการ์ตูนทั้งฝั่งของญี่ปุ่น และฝั่งอเมริกันอยู่แล้ว หากได้มาเที่ยวโตเกียวแล้วอยากช้อปของเล่นแบบครบครันให้ปักหมุดมาที่ คิดดี้แลนด์ (Kiddy Land) ได้เลย รับรองว่ามีคนกระเป๋าฉีกกลับไทยแน่นอน
ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu)
อีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดของย่านฮาราจูกุ (Harajuku) ก็คือ ศาลเจ้าศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ที่ถือเป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ประจำโตเกียวที่ต้องมาสักการะขอพร โดยศาลเจ้านี้เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตในญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บนผืนป่าอันเงียบสงบ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1920 บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 7 แสนตารางเมตร ในย่านฮาราจูกุ (Harajuku) เขตชิบูย่า (Shibuya) ของโตเกียว (Tokyo) เพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิเมจิ และจักรพรรดินีโชเก็น พระชายาของพระองค์ โดยศาลเจ้าแห่งนี้เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตในญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บนผืนป่าอันเงียบสงบ และเมื่อปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมาถือเป็นวันครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งศาลเจ้าพอดีเลย
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
จักรพรรดิเมจิ คือ จักรพรรดิองค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น (โดยจักรพรรดิองค์ปัจจุบันคือจักรพรรดิองค์ที่ 126) พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงเวลาของการสิ้นสุดของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ (Tokugawa Shogunate) และญี่ปุ่นยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เปิดประเทศมากมายนัก พอ จักรพรรดิเมจิ ขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงริเริ่มที่จะส่งเสริมมิตรภาพกับประเทศอื่นๆ รวมไปถึงได้นำเอาอารยธรรมตะวันตกและเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้วจากต่างประเทศเข้ามาเรียนรู้และพัฒนาภายในประเทศญี่ปุ่น แต่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของญี่ปุ่นเอาไว้ ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีจนเรียกได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงวางรากฐานยุคใหม่ของญี่ปุ่น
ภายหลังในปี ค.ศ. 1912 ที่ จักรพรรดิเมจิ สิ้นพระชนม์ลง รวมถึงพระชายาของพระองค์ “จักรพรรดินีโชเก็น” ได้สิ้นพระชนม์ตามหลังในปีค.ศ. 1914 ผู้คนในเมืองต่างมีความปรารถนาที่จะรำลึกถึงคุณธรรมและแสดงความเคารพต่อทั้งสองพระองค์ จึงได้มีการก่อสร้าง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ขึ้นมา ด้วยการบริจาคต้นไม้ 100,000 ต้น จากทั่วประเทศญี่ปุ่น และมีอาสาสมัครเข้ามาร่วมในการก่อสร้าง จนกระทั่งศาลเจ้าแห่งนี้แล้วเสร็จในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปีค.ศ. 1920 โดยป่าที่ปลูกเอาไว้รอบๆ ศาลเจ้านั้น ได้รับการในการวางแผนในการปลูกจากผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ที่เค้าได้คิดและคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ถึง 100 ปี โดยเป็นป่าที่มนุษย์สร้างขึ้นและมีเป้าหมายเพื่อเป็นป่าธรรมชาติที่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง และจนถึงปัจจุบันนี้ที่ล่วงเลยมากว่า 100 ปี ผืนป่ารอบๆ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ก็ยังคงงดงามและอุดมสมบูรณ์อยู่มากๆ ตามที่เค้าตั้งใจไว้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 กลุ่มศาลเจ้าต่างๆ ภายในเมือง ถูกโจมตีทางอากาศและเกิดไฟไหม้จนได้รับความเสียหาย ซึ่ง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่ถูกโจมตี แต่โชคยังดีที่มีป่าห้อมล้อมเอาไว้ จึงไม่ได้พังทลายลงจนหมด ต่อมาในปี ค.ศ. 1958 ผู้คนได้เข้ามาช่วยกันฟื้นฟูศาลเจ้าแห่งนี้จนกลับมาเป็นศาลเจ้าที่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม และอยู่คู่กับโตเกียวมาจนถึงปัจจุบัน โดย ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เลื่องลือในเรื่องของความโชคดี ซึ่งคนเค้าก็จะนิยมมาขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอในเรื่องหน้าที่การงาน ไปจนถึงขอลูกกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานแบบโบราณสำหรับหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นที่เค้าต้องการจัดแบบประเพณีดั้งเดิมอยู่อีกด้วย ดังนั้นถ้าใครมาเที่ยวแล้วเจอคู่รักพร้อมญาติพี่น้องเดินขบวนเข้ามาภายในศาลเจ้าก็ไม่ต้องแปลกใจไปเด้อ เค้าจัดพิธีแต่งงานกันนั่นเอง
สำหรับบรรยากาศของศาลเจ้า จุดแรกที่เราเข้ามาเจอเลยก็คือ เสาโทริอิ (Torii) สีน้ำตาลทองขนาดใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมจนเกิดเป็นร่มเงาทำให้บรรยากาศมันร่มรื่นเอามากๆ ซึ่งตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของทางเดินเพื่อเข้าไปยัง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ที่ตั้งอยู่ภายใน ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณราวๆ 10 นาที โดยสองข้างทางที่เราเดินเข้ามาเรื่อยๆ นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีไปหมด และเผื่อใครยังไม่รู้ธรรมเนียมเล็กๆ ของคนญี่ปุ่น เค้าเชื่อกันว่า ประตูโทริอิ (Torii) นั้น ถือเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างผืนดินศักดิ์สิทธิ์และผืนโลก เมื่อก้าวข้ามประตูโทริอิเข้ามา คนเค้าจะนิยมเดินอยู่ฝั่งซ้ายไม่ก็ฝั่งขวาทางใดทางหนึ่ง โดยเว้นพื้นที่ตรงกลางเอาไว้ เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าทางเดินตรงกลางนั้น “เป็นทางเดินของเทพเจ้า” นั่นเอง
เดินเข้ามากันสักพัก เราจะเจอกับมุมสองข้างทางที่ฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยถังสาเก และอีกฝั่งคือถังไวน์จากตะวันตก ที่ตั้งเรียงรายซ้อนกันขึ้นไปอยู่หลายชั้น โดยถังเหล่านี้ผู้คนเค้านำมาถวายให้กับศาลเจ้าเพื่อเอาไว้ใช้สำหรับดื่มเพื่อเป็นศิริมงคลในโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วันปีใหม่ หรือวันแต่งงาน ซึ่งจุดนี้เป็นอีกมุมที่ถ่ายรูปออกมาสวยเก๋ไม่น้อยเลยแหละ
เดินต่อไปอีกไม่ไกลจะเจอกับเสาโทริอิ (Torii) ขนาดใหญ่สีเดียวกับต้นแรกที่เราเจอตรงทางเข้าเป๊ะ โดยด้านหลังของเสาโทริอิ (Torii) จะมีอาคารและซุ้มประตู ให้ทุกคนเดินผ่านเข้ามาได้เลย จะเจอกับภาพของลานกว้างๆ ที่อยู่ด้านหน้าอาคารหลักของ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ซึ่งบรรยากาศเค้าจะเป็นลานโล่งๆ ด้านในมีอาคารหลักตั้งสง่าและเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวที่เค้ากำลังสักการะกันอยู่ พื้นที่รอบๆ ยังคงมองเห็นต้นไม้เขียวๆ โดยตอนที่ก๊อตไปนั้นเราเจอคู่รักชาวญี่ปุ่นเค้ากำลังเดินจูงมือในชุดแต่งงานแบบดั้งเดิมมาเข้าพิธีกันที่นี่ด้วย
สำหรับใครที่เข้าไปไหว้ขอพรในอาคารหลักกันเสร็จแล้ว ขากลับออกมาลองเดินมาตรงบริเวณซุ้มใต้ต้นไม้ที่เค้าเอาไว้แขวนแผ่นไม้ Ema สำหรับขอพรกันได้ โดยเราจะเห็นแผ่นไม้มากมายถูกแขวนไปอยู่บนที่ห้อย ซึ่งใครที่ต้องการเขียนคำขอพรสามารถซื้อแผ่นไม้จากทางศาลเจ้าได้เลย เค้ามีขายในราคา 500 เยน (~120 บาท) ใครที่อยากได้โชคแบบคอมพลีทจัดเต็มก็ลองซื้อแล้วเขียนขอพรมาห้อยกันดูเด้อ
สรุปเลย ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าสำคัญที่ใครมาเที่ยวโตเกียว ก๊อตแนะนำว่าควรค่าแก่การมาที่นี่สักครั้ง เพราะนอกจากเราจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายความเก่าแก่ของศาลเจ้าอายุนับ 100 ปีแล้วท่ามกลางผืนป่าใจกลางเมืองแล้ว เรายังได้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้คนที่เค้าตั้งใจสร้างศาลเจ้าที่นี่ขึ้นมาเพื่อเคารพต่อ จักรพรรดิ์ จักรพรรดินี ที่แม้ว่าทั้งสองพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เปรียบเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองพระองค์นั้น เป็นที่รักใคร่ของผู้คนและได้ทรงสร้างคุณงามความดีเอาไว้เป็นอย่างมาก มันเลยเหมือนเป็นอีกสถานที่ที่น่าภาคภูมิใจของโตเกียวที่ใครมีโอกาสได้มาเที่ยวแล้วไม่ควรพลาดเลย
และนี่ก็คือการมาเที่ยว ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) ของก๊อต ยกให้เป็นอีกหนึ่งย่านที่เที่ยวสนุกและครบรสมาก ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศสุดจี๊ดจ๊าดของถนนช้อปปิ้งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยนักท่องเที่ยวและขาช้อปที่มาเดินจับจ่ายซื้อของกันเยอะเว่อร์ โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่ขายกันอยู่ในถนนช้อปปิ้งนั้นจะออกไปในแนวแฟชั่นญี่ปุ่นจ๋าๆ ที่ใครชื่นการชอบแต่งตัวจัดๆ อยากมาสัมผัสกับแฟชั่นอันหลากหลายมาที่นี่แล้วถูกใจแน่นอน ส่วนที่ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) บรรยากาศนั้นงดงามและเงียบสงบม๊ากก เหมือนเป็นอีกหนึ่งโลกที่ถูกแยกออกมาจากฟีลเมืองเพื่อพาผู้คนปลีกตัวออกจากความวุ่นวายให้ได้มาพักกายพักใจท่ามกลางสิ่งศักดิ์สิทธิ์กัน เป็นสองสถานที่ที่ไวบ์ต่างกันลิบลับแต่กลับตั้งอยู่ในย่านเดียวกันได้อย่างกลมกลืน เอาเป็นว่าใครที่อยากมาเที่ยวไวบ์ประมาณนี้ ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) เป็นอีกหนึ่งย่านที่ตอบโจทย์นั้นมากๆ เลย คือมาเที่ยวโตเกียวยังไงมันก็ต้องมาที่นี่เด้อ
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡