คาบูกิโจ (Kabukicho) ใครมาเที่ยวโตเกียวแล้วอยากมาเดินในย่านที่ครบรสเรื่องความบันเทิงและไม่เคยหลับใหล คาบูกิโจ (Kabukicho) เป็นอีกหนึ่งย่านที่ตอบโจทย์นั้นมาก เพราะเราจะได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศสุดคึกคักท่ามกลางราตรีที่ทั่วทั้งย่านนั้นคราคร่ำไปด้วยผู้คนและที่เที่ยวยามค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นบาร์ โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร และไนต์คลับที่มีให้เราได้เลือกเข้ากันแบบละลานตาสุดๆ ซึ่งล่าสุดที่ก๊อตไปมานั้น นี่ไปเที่ยวมาหลายที่มาก ทั้ง ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ที่เลื่องลือในเรื่องของศูนย์รวมบาร์ที่รวมกระจุกอยู่ในตรอกซอกซอยแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมี ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) ที่โดดเด่นในเรื่องของบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเก่าแก่ และขึ้นชื่อในเรื่องของเมนูปิ้งย่างที่ต้องมาลองชิมสักครั้ง ซึ่งตรอกแห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตรอกที่แช๊ะภาพได้สนุกไม่แพ้กัน เอ้า ความบันเทิงแบบครบเครื่องนี้เราหาได้จาก คาบูกิโจ (Kabukicho) เค้าเลยแหละ และนอกจากสองตรอกที่ก๊อตไปมาแล้ว รีวิวนี้เรายังไปแวะถ่ายรูปกับน้องแมวสามสีบนจอ LED เสมือนจริงอีกด้วย ส่วนบรรยากาศจะเป็นยังไงนั้น ลองตามก๊อตไปอ่านรีวิวเต็มด้วยกันเร้วว
- รีวิวเต็ม โตเกียว (Tokyo) 28 ที่เที่ยว
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneyland แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneysea แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo แบบละเอียด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในโตเกียว (Tokyo)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
รู้จักกับ คาบูกิโจ (Kabukicho)
คาบูกิโจ (Kabukicho) ย่านไนท์ไลฟ์ในเขตชินจูกุ (Shinjuku) ที่ครบจบมากที่สุดของโตเกียว ทั้งบาร์ โรงแรม โรงละคร ร้านค้าและร้านอาหาร รวมไปไนต์คลับอยู่เยอะมาก โดยถูกขนานนามว่าเป็น “ย่านโคมแดงที่ไม่เคยหลับใหล” โดยชื่อของ คาบูกิโจ (Kabukicho) นั้นมาจากแผนการก่อสร้างโรงละครคาบูกิ (Kabuki Theater) เมื่อปลายทศวรรษที่ 1940 ซึ่งแม้ว่าโรงละครแห่งนี้จะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา แต่ผู้คนในสมัยนั้นยังคงเรียกชื่อย่านนี้ว่า คาบูกิโจ (Kabukicho) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการทิ้งระเบิดลงในเมืองโตเกียว ส่งผลให้บริเวณ คาบูกิโจ (Kabukicho) ถูกทำลายลงไปด้วย แต่ไม่นานหลังจากนั้น ภายหลังที่สงครามโลกสงบลง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาช่วยกันปรับปรุงพื้นที่และฟื้นฟู คาบูกิโจ (Kabukicho) ให้กลายมาเป็นย่านแห่งความบันเทิงอีกครั้ง ซึ่งมีการปรับทัศนียภาพ ปรับปรุงอาคารบ้านเรือน ทำให้ย่านแห่งนี้กลับมาคึกคักและได้รับความนิยมจากทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1956 ภายในย่านแห่งนี้ได้มีการสร้างโรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงบัลเล่ต์ ไปจนถึงลานไอซ์สเก็ต ที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของความบันเทิงในช่วงเวลานั้น นั่นยิ่งทำให้ คาบูกิโจ (Kabukicho) เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหนึ่งในย่านธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นไปเป็นที่เรียบร้อย และด้วยการพัฒนาแบบก้าวกระโดด มีจำนวนผู้คนมาเที่ยวเยอะ ภายในย่าน และระแวกรอบนอกมักมีการค้าประเวณีอยู่เสมอ ทีนี้ ทางการเค้าจึงต้องการจะยกระดับพื้นที่แห่งนี้ด้วยการออกกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจความบันเทิงขึ้นมาใหม่ (the New Entertainment Business Act ) ที่ควบคุมช่วงเวลาการเปิด – ปิดสถานบันเทิงต่างๆ ซึ่งเดิมที่ทุกร้านภายในย่านเคยเปิดให้บริการได้ยาวๆ จนเกือบรุ่งสางก็ถูกสั่งให้ปิดเร็วขึ้น โรงละครที่มีรอบการแสดงตลอดทั้งค่ำคืนถูกลดจำนวนลง ร้านเกมต่างๆ เริ่มทยอยปิดตัวตามกันไป เกิดเป็นช่องโหว่ให้กับธุรกิจความบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ ทั้งบาร์ คลับ ที่เริ่มเข้ามาจับจองพื้นที่ของย่านในการเปิดธุรกิจเหล่านี้ขึ้นมา จนสุดท้าย คาบูกิโจ (Kabukicho) กลายเป็นย่านโคมแดงอย่างที่ผู้คนเลื่องลือและยังคงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมอยู่เนืองแน่นในทุกค่ำคืน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1999 คาบูกิโจ (Kabukicho) ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งย่านสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอีกด้วย
ปัจจุบันนี้ คาบูกิโจ (Kabukicho) แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในย่านโคมแดงของญี่ปุ่นที่มีร้านค้า บาร์ และสถานที่บันเทิงมากกว่า 3,000 ร้าน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกคนที่มาสามารถมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยได้เลย เพราะเค้าได้ทำการก่อตั้งสมาคมเจ้าหน้าที่ดูแลนักท่องเที่ยวในคาบูกิโจขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำจุดเที่ยว และร้านค้าที่ปลอดภัยให้สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือน เนื่องจากพื้นที่ของ คาบูกิโจ (Kabukicho) มีชื่อเสียงในเรื่องความอันตรายและความไม่ปลอดภัย อีกทั้งในบางธุรกิจ หรือร้านค้าหลายแห่งยังคงชาร์จราคาสินค้าและบริการต่างๆ กับลูกค้าสูงเกินไป ดังนั้น สมาคมนี้จึงทำหน้าที่คอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวนั่นเอง ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ใครที่ตั้งใจมาเที่ยว คาบูกิโจ (Kabukicho) ให้มั่นใจได้เลยว่าปลอดภัยและสามารถเที่ยวได้ทั้งช่วงเวลากลางวัน และช่วงเวลากลางคืนเลยแหละ ถือเป็นอีกหนึ่งย่านในโตเกียวที่ก๊อตแนะนำว่าควรมาสัมผัสของจริงด้วยตาของตัวเองกันสักครั้ง เพราะมันจี๊ดจ๊าดม๊ากกก
วิธีการเดินทางมาที่คาบูกิโจ (Kabukicho)
รถไฟใต้ดิน: วิธีที่สะดวกที่สุดในการมาที่นี่คือรถไฟใต้ดินโดยสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้กับ คาบูกิโจ (Kabukicho) มากที่สุดคือ สถานีชินจูกุ ( Shinjuku Station) ซึ่งสามารถเดินทางมาตามนี้ได้เลย
- โดยรถไฟใต้ดิน (Tokyo Metro):
- สถานีชินจูกุ ( Shinjuku Station : ให้ขึ้นรถไฟสายฟูกุโตชิน (Fukutoshin Line) และสายมารุโนชิ (Marunouchi Line) นั่งมาลงที่ สถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
บัตรเดินทางต่างๆ ในโตเกียว
- 🎫 บัตรโดยสารรถไฟใต้ดินโตเกียวแบบไม่จำกัด (1, 2 หรือ 3 วัน) [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 บัตร Welcome Suica และบัตรโดยสารรถไฟ JR สำหรับ 1 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 JR Tokyo Wide Pass : ใช้ขึ้นสายรถไฟ JR สำหรับเที่ยวเมืองยอดนิยมต่างๆ รอบโตเกียว โดยมีเมืองฮิตอย่าง คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ที่มีภูเขาไฟฟูจิ, นิกโก้ (Nikko), โยโกฮาม่า (Yokohama), คาบสมุทรอิสุ (Izu Peninsula) / มีแบบ 3 วัน ราคาเริ่มต้นราวๆ ~3,600 บาท [ซื้อผ่าน Klook]
เริ่มเที่ยวคาบูกิโจ (Kabukicho) กันเล้ยย
GODZILLA at Hotel Gracery Shinjuku
สำหรับคนที่เคยดูรีวิวคาบูกิโจ (Kabukicho) จากที่อื่นๆ ก๊อตเชื่อว่าหลายคนจะต้องเคยเห็นภาพของหัวเจ้าก๊อตซิลล่าบิ๊กเบิ้มเกาะติดอยู่บนตึกสูงภายในย่านผ่านตากันมาอย่างแน่นอน ซึ่งที่นี่เค้าคือ Hotel Gracery Shinjuku โรงแรมชื่อดังที่มีจุดขายด้วยหัวของก๊อตซิลล่าขนาดใหญ่ที่เกาะอยู่ด้านบนของตึกโรงแรม ซึ่งใครที่เป็นสาวกของก๊อตซิลล่าแล้วอยากมาเก็บโมเม้นต์นอนพักท่ามกลางราชันแห่งมอนสเตอร์ นี่บอกเลยว่าควรค่าแก่การจองมานอนที่นี่สักคืนม๊าก
ภายในโรงแรมของเค้าออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ของก็อตซิลล่า ผ่านห้องพัก 2 แบบ คือ GODZILLA VIEW ROOM ห้องพักที่ใครเข้าพักจะได้มองเห็นวิวของหัวก๊อตซิลล่าในมุมมองที่ต่างกันออกไป และอีกแบบคือ GODZILLA ROOM ห้องที่คนชอบก๊อตซิลล่าจะได้หลุดเข้าไปนอนอยู่ท่ามกลางห้องพักที่ตกแต่งไปด้วยก๊อตซิลล่า ทั้งบนผนัง วอลเปเปอร์ ของตกแต่ง ไปจนถึงศิลปะจัดวางให้ได้ตื่นตาตื่นใจระหว่างเข้าพัก ถือเป็นอีกหนึ่งโรงแรมแนะนำในย่านนี้สำหรับคนที่ชื่นชอบก๊อตซิลล่า ส่วนคนที่ไม่ได้เข้าพักแบบเราก็สามารถมองเห็นเจ้าก๊อตซิลล่าได้จากด้านนอกของย่านคาบูกิโจ (Kabukicho) ในชินจูกุได้เช่นกัน บอกเลยว่าอลังการงานสร้างและเลอค่าในความเป็นญี่ปุ่นมาก 5555
ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome)
แน่นอนว่าการมาเที่ยว คาบูกิโจ (Kabukicho) ในชินจูกุนั้น จะคอมพลีทไม่ได้เลยถ้าเราไม่ได้เที่ยวกลางคืน ฮ่าๆ ดังนั้น ก๊อตขอเริ่มเที่ยวชมแสง สี เสียงในย่าน ชินจูกุ ซันโจเมะ (Shinjuku-Sanchome) ซึ่งจะอยู่ระหว่างทางก่อนที่จะไปถึง ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) กันก่อน โดยที่นี่แม้จะไม่ได้โด่งดังเท่า แต่บรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน ซึ่งภายในย่านแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารนานาชาติ รวมไปถึงร้านอาหารญี่ปุ่นแบบโลเคิล ร้านคาราโอเกะ และบาร์ดนตรีที่ว่าดีมากที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว (Toyko) เลยแหละ
ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) ก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับ ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยถนนเส้นนี้นั้นใหญ่และสบายตัวมาก ซึ่งบรรยากาศภายในย่านแห่งนี้ก็จัดจ้านเต็มไปด้วยแสง สี เสียงไม่แพ้กัน โดยบริเวณบนถนนสายหลักของ ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) ที่ก๊อตเดินเข้ามานั้น เต็มไปด้วยบาร์แบบดั้งเดิมที่มีกลิ่นอายของความโลคอลญี่ปุ่นค่อนข้างมากอยู่ แถมยังดูครึกครื้นเพราะมีนักท่องราตรีชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายที่แวะเวียนเข้ามาในย่านนี้แห่งนี้เพื่อหาร้านที่ชอบแล้วนั่งดื่มกันชิลๆ โดยร้านรวงส่วนใหญ่ที่อยู่ตามสองข้างทางเน้นขายเครื่องดื่มเป็นร้านแบบอิซากายะ (Izakaya) รวมถึงยังมีร้านขายอาหารหลากหลายประเภทให้เราได้เลือกกิน ใครเดินผ่านแล้วชอบร้านไหนก็แวะเข้าได้ตามสะดวกเลย
ส่วนตัวก๊อตไปลองกินมาร้านนึง แต่เราจำชื่อร้านไม่ได้ รสชาติอาหารและราคาของเค้าจัดว่าดีเลยแหละ สำหรับบรรยากาศร้านที่เราเข้ามาจะเป็นไวบ์บาร์เก่าแก่ ตกแต่งแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม โดยผู้คนไม่เยอะมาทำให้ได้ฟีลชิลๆ ไม่แออัด ซึ่งเครื่องดื่มก๊อตได้ลองสั่งเป็น Sour Cocktail มาดื่มกัน มันจะเป็นเครื่องดื่มผลไม้ผสมแอล ที่ดื่มแล้วรสชาติเหมือนกินผลไม้ผสมโซดาเลย เปรี้ยวหวานซ่าสุด บอกเลยว่ารสชาติอร่อยดื่มง่าย แต่อย่าดื่มเยอะมาก ไม่เช่นนั้นมีเดี้ยงแน่ 55555
เกร็ดความรู้เล็กน้อยจากไกด์นำเที่ยว จริงๆ แล้วคนญี่ปุ่นในวัยทำงาน หรือวัยผู้ใหญ่ เค้าจะชอบดื่มเบียร์กันมาก รองลงมาเป็นวัยรุ่นก็นิยมเป็น Sour Cocktail อย่างที่ก๊อตสั่ง โดยเค้าจะสั่งมากินคู่กับยากิโทริ ไก่ย่างเสียบไม้แบบญี่ปุ่นเป็นของกับแกล้ม โดยที่มีทั้งแบบย่างโรยเกลือ ไปจนถึงย่างราดซอสเด็ดของเค้า นอกจากนี้ยังนิยมกินคู่กับไก่ทอดราดซอสนัมบังกันอีกด้วย
หลังจากเราเดินเที่ยวมาได้สักพัก ส่วนตัวก๊อตคิดว่า ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) เป็นอีกหนึ่งย่านที่ใหญ่เอาเรื่อง มีถนนหลายซอยให้ได้เดินสำรวจกันเยอะม๊าก ตามบริเวณถนนค่อนข้างที่จะมีพื้นที่ให้เดินกันพอสมควร ไม่ได้แคบหรือเล็กไป ทีนี้เวลาเดินเล่นอยู่ในย่านแห่งนี้เราเลยไม่รู้สึกแออัด แถมยังเดินชม แสง สี เสียง ได้แบบเต็มอิ่มอีกด้วย ซึ่งใครที่หาอะไรกินจนอิ่มหนำสำราญใจแล้วอยากหากิจกรรมผ่อนคลาย หรืออยากดูการแสดงท้องถิ่นของญี่ปุ่น ชินจุกุ ซันโชเมะ (Shinjuku San-chome) ยังมี Shinjuku Suehirotei โรงละครเก่าแก่ประจำย่านที่เปิดให้บริการมากกว่า 100 ปี โดยที่นี่นับว่าเป็นโรงละครเก่าแก่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในเมืองแม้จะผ่านช่วงสงครามมาแล้วก็ตาม ซึ่งรอบการแสดงจะมีอยู่ด้วยกัน 2 รอบ คือ รอบกลางวัน 12:00 – 16:30 น. และรอบกลางคืนเวลา 17:00 – 21:00 น. ใครมีเวลาเหลือๆ จะซื้อตั๋วเข้าไปดูการแสดงก็ได้นา
ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai)
ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวกลางคืนยอดฮิตในเมืองโตเกียว (Tokyo) ที่ผู้คนและนักท่องเที่ยวนิยมมากันอยู่เนืองแน่น ใครอยากมาหาบาร์ไว้ดื่มยามค่ำคืนในเมืองโตเกียวก๊อตบอกเลยว่าที่นี่คือเริ่ด ด้วยเสน่ห์ของ ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ที่เต็มไปด้วยบาร์มากมายตั้งเรียงรายกันมากกว่า 200 ร้าน อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยบาร์แบบเคาน์เตอร์บาร์สไตล์ญี่ปุ่น ท่ามกลางแสงสีจากป้ายนีออนและโคมไฟที่ติดประดับตกแต่งเอาไว้ด้านหน้าร้าน ให้ไวบ์ที่ไม่เหมือนย่านไหน บอกเลยว่าสายนั่งชิลที่มาเที่ยวโตเกียว (Tokyo) นั้นต้องมาที่ ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ซักครั้ง รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน
ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ตั้งอยู่ในย่านคาบูกิโจ (Kabukicho) ของ ชินจูกุ (Shinjuku) เปิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1945 ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีทั้งหมด 6 ซอยที่รวมเข้าไว้ด้วยกัน โดยในช่วงเวลานั้นตรอกแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านการเป็นตลาดมืดและย่านโคมแดงที่มีการค้าประเวณี รวมถึงเป็นย่านกินดื่มตลอดเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงปี ค.ศ. 1950 เรื่อยมา ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) นั้นได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยว นักเขียน และศิลปินที่แห่แหนกันมายังย่านนี้จนทำให้ตรอกแห่งนี้โด่งดังไปทั่วจนกลายมาเป็นย่านเที่ยวกลางคืนสุดป๊อบของเมืองโตเกียว (Tokyo) ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยเสน่ห์ของย่านนี้คือบรรยากาศและอาคารที่เหมือนโดนหยุดเวลาเอาไว้ในช่วงยุค 1950 หรือเมื่อ 70 กว่าปีก่อนนั่นเอง
ภายใน ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) นั้นเต็มไปด้วยตรอกเล็กๆ ส่องแสงเจิดจ้าสะดุดตามาแต่ไกลด้วยป้ายไฟนีออนหลากสีสันที่ติดตกแต่งกันแทบจะทุกมุมที่เราเดินผ่าน บอกเลยว่ายืนถ่ายรูปตรงไหนก็ได้ภาพออกมาปั๊วะมากๆ จนที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งจุดสำหรับเหล่าช่างภาพ Instagrammer ที่ชอบมาถ่ายรูปตรอกซอกซอยของที่นี่นั่นเอง
สำหรับร้านที่ก๊อตไปใน ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) คือ ARAKU เป็นร้านที่เปิดอยู่บนชั้นสองของอาคารที่อยู่ใน ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ซึ่งเราจะต้องเดินลัดเลาะขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสองที่เป็นที่ตั้งของร้าน ซึ่งสิ่งแรกที่ก๊อตสัมผัสได้เลยคือบรรยากาศโคซี่ สบายๆ ภายในร้านมีกระดาษโน้ต และเงินสกุลต่างๆ ถูกแปะติดไปตามผนัง และเพดานจนแทบมองไม่เห็นสีจริงๆ ของผนังเลยทีเดียว ซึ่งพอเราเดินเข้าไปส่องกันใกล้ๆ จะเห็นว่ามันมีข้อความเขียนเอาไว้บนกระดาษและเงินเหล่านั้นด้วย ซึ่งนี่พกแบงก์ 20 บาทบ้านเราไปพอดี เลยขอเขียนเป็นพยานซักหน่อยว่า HashCorner ได้มาเยือนบาร์แห่งแล้ว จากนั้นก็เอาไปแปะอยู่บนผนังสักแมท
สำหรับเครื่องดื่มของที่นี่ ก๊อตบอกเลยว่ามีหมดตั้งแต่สายหวานไปจนถึงสายแข็ง เหมาะกับสายดื่ม และคนรักการสังสรรค์สุดๆ ซึ่งพอเราได้ที่นั่งปุ๊บ นี่ก็จิ้มสั่งเครื่องดื่มมาก่อนเลย โดยก๊อตเลือกเป็น “มัทฉะผสมแอล” เสิร์ฟมาเหมือนมัทฉะนมทั่วไป แต่รสสัมผัสที่ดื่มเข้าปากคำแรกนั้น หวานหอมมัทฉะสุดๆ เอ้า ก็รสชาติเดียวกับมัทฉะนมเลยแหละ แทบไม่มีความขมของแอลแทรกเข้ามาเลย มันดื่มง่าย กลืนลงคอคล้องคล่อง แต่บอกก่อนว่าดื่มไปสัก 3 แก้ว มีมึนหัวแน่นอน 55555
หมดอายุ: 10-10-2024
หมดอายุ: 10-10-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ส่วนตัวก๊อตชอบร้าน ARAKU เพราะเค้าเป็นอีกหนึ่งบาร์ที่มีความเป็นบาร์ Hidden Gem เล็กๆ ที่หลบซ่อนอยู่ในตรอกแห่งนี้ ด้วยความบรรยากาศร้านดี มีกิมมิคน่ารักๆ อย่างพวกแปะโน้ต ติดเงินตามผนังร้าน แถมเครื่องดื่มก็มีความครีเอทสุดๆ ที่เอาความเป็นญี่ปุ่นมาผสมผสานไปกับแอลกอฮอล์ เสิร์ฟออกมาได้แบบประทับใจเว่อร์ โดยรวมแล้ว ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวในโตเกียว (Tokyo) ที่ใครชื่นชอบบรรยากาศการเที่ยวในยามค่ำคืน หรือกำลังมองหาที่นั่งชิลๆ ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ให้ฟีลเหมือนเราได้ย้อนยุคกลับไปเที่ยวบาร์ในสมัยก่อน คลาคล่ำไปด้วยแสง สี และป้ายไฟนีออนอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ก๊อตคิดว่าสายคอนเท้นต์มาแล้วจะต้องชอบ เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนก็ถ่ายรูปออกมาได้สวยสับมาก
Cross Shinjuku Vision
อีกหนึ่งแลนด์มาร์คใหม่ยอดฮิตของโตเกียวที่ผุดขึ้นมาหลากหลายจุดคือจอ LED 3D ที่ทุกคนต้องเคยเห็นในโลกโซเชียลกันมาบ้าง ซึ่งตรงชินจูกุ (Shinjuku) เอง นั้นมีอยู่หนึ่งจุดที่ก๊อตอยากให้ทุกคนมาดูก็คือ Cross Shinjuku Vision หรือชื่อเล่นที่หลายคนเรียกกันก็คือ “แมวสามสีที่ชินจูกุ” กับภาพสามมิติของเจ้าเหมียวสามสีหน้าตาน่ารักน่าชังที่กำลังเดินส่องและเล่นกับผู้คนที่เดินผ่านไป บ้างก็นอนขี้เซา ซึ่งทุกแอคชั่นของน้องนั้น หากเรายืนดูจอในมุมที่ถูกองศานั้น น้องเหมือนจะหลุดออกมาจากจอ LED กันเลยทีเดียว คือโคตรน่ารัก
สำหรับเจ้าเหมียวตัวสีดำ ส้ม ขาว หรือที่ผู้คนในย่านนี้เรียกกันว่า “แมวสามสี” นั้น เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2021 โดย Cross Shinjuku Vision ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือจอบิลบอร์ดโฆษณานี่แหละ แต่ด้วยความที่น้องมีความสามมิติ ฟีลเหมือนจะออกมานอกจอได้ ก็เลยกลายเป็นไวรัลและทำให้ผู้คนมาตามรอยดูน้องกันนั่นเอง
ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho)
หากให้ก๊อตพูดถึงอีกหนึ่งตรอกที่ไวบ์เก่าแก่ไม่แพ้ ตรอกโกลเด้นไก (Golden Gai) ที่เราไปมาก่อนหน้านี้ ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) ถือเป็นอีกหนึ่งตรอกที่เหมือนพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสู่อดีตของเมืองโตเกียว (Tokyo) ในช่วงเกือบ 80 ปีที่ผ่านมา โดย ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางออกทิศตะวันตกของสถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) เป็นย่านบาร์บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร มีต้นกำเนิดมาจากตลาดกลางแจ้งที่ก่อตัวขึ้นภายใต้เศษซากปรักหักพังของโตเกียว (Tokyo) ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งปัจจุบันนี้ผู้คน ร้านค้าที่อยู่ภายในตรอกแห่งนี้ยังคงรักษาบรรยากาศและกลิ่นอายของโตเกียวในยุคก่อนไว้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนญี่ปุ่นแท้ๆ และนักท่องเที่ยวนิยมมากัน
ย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1946 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่รอบๆ ทางทิศตะวันตกของสถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) ปกคลุมไปด้วยเศษซากของอาคาร บ้านเรือน เศษหินมากมายจากการถูกทำลายลงในช่วงสงครามที่ผ่านมา ซึ่งบริเวณด้านหน้าของ สถานีรถไฟชินจูกุ (Shinjuku Station) ที่เคยมีแผงขายของริมถนน ทั้งขายเสื้อผ้า รองเท้า สบู่ และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ รวมไปถึงร้านอาหารที่มีหลังคาคลุมในขณะนั้น ได้ถูกเผาทำลายจนหมดสิ้น ก่อนจะมีการผุดตลาดมืด “Lucky Street” ซึ่งเป็นตลาดเปิดแผงขายของริมถนนแบบร้านใครร้านมันได้เติบโตขึ้น จนกลายมาเป็น ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) ในขณะนั้น ซึ่งที่นี่ไม่เพียงแค่เปิดแผงขายของจิปาถะและร้านอาหารเท่านั้น แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นตรอกที่ทำหน้าที่เป็นสถานีสำหรับกระจายผู้คนและสินค้า ส่งผลให้มีพ่อค้า แม่ค้า ตบเท้าเข้ามาเริ่มต้นทำธุรกิจอยู่ที่นี่กันเยอะมาก
ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1947 ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) มีการปราบปรามสินค้าควบคุมอย่างเข้มงวด ส่งผลกระทบต่อแป้งที่ใช้ทำบะหมี่ราเมง และแป้งสำหรับทำแพนเค้ก ทำให้การทำธุรกิจในตรอกแห่งนี้กลายเป็นเรื่องที่ดูยากมากขึ้น ยิ่งพวกร้านอาหารทั้งหลายถึงกับต้องปรับตัวกันยกใหญ่ แต่โชคยังดีที่ทางการเค้ามีสินค้าที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่าง เครื่องในวัว และเครื่องในหมู หลงเหลือให้ได้หยิบมาปรุงเป็นอาหารขายกัน นั่นทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา พ่อค้า แม่ค้าในตรอกแห่งนี้จึงเปลี่ยนมาขายเครื่องในย่าง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลานั้น โดยปัจจุบันนี้เรายังคงเห็นร้านรวงมากมายภายในตรอกแห่งนี้ ที่ส่วนใหญ่เป็นร้านโมสึยากิยะ (Motsuyakiya) ร้านขายเครื่องในย่าง และร้านยากิโทริยะ (Yakitoriya) ร้านขายไก่ย่างเสียบไม้ขายกันอยู่แบบละลานตา
ใครอยากลองเมนูปิ้งย่างแกล้มกับเครื่องดื่มเย็นๆ ก็ลองเลือกร้านที่ชอบแล้วเข้าไปนั่งได้เลย ใครอยากได้ฟีลนั่งอยู่ในบาร์เล็กๆ มีเจ้าของร้านมายืนปิ้ง เสิร์ฟเครื่องดื่ม พูดคุยอย่างเป็นกันเอง นี่ว่าแทบทุกร้านใน ตรอกโอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho) ตอบโจทย์นี้มาก หรือถ้าใครที่เป็นสายถ่ายรูปนี่ก็ลองมาเดินถ่ายรูปเล่นได้ เพราะบรรยากาศตอนกลางคืนในตรอกซอยซอยที่มีแสงสีจากโคมแดงป้ายต่างๆ นั้น บอกเลยว่ารูปคือปังมาก
สรุปการมาเที่ยว คาบูกิโจ (Kabukicho)
คาบูกิโจ (Kabukicho) เป็นอีกหนึ่งย่านในโตเกียว (Tokyo) ที่ใครชอบการมาเดินดื่มด่ำไปกับกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่เหมือนได้พาเราย้อนเวลากลับไปอยู่ในช่วงกว่า 80 ปีที่ผ่านมา ก๊อตแนะนำให้ปักหมุดมาเที่ยวย่านนี้ได้เลย เพราะเราจะได้สัมผัสไปกับป้ายไฟนีออนหลากสีที่ไม่ว่าจะเดินไปตรอกซอกซอยไหนก็ถ่ายรูปออกมาสวยสับมาก ที่นี่ยังมีร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมให้ได้มาเดินเลือกกินกันแบบจุใจ และที่พลาดไม่ได้เลยคือ บาร์ท่ามกลางไวบ์สุดคลาสสิกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะประจำย่าน ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำให้ คาบูกิโจ (Kabukicho) เป็นอีกหนึ่งย่านที่กลมกล่อมครบรสเหมาะกับการมาเยือนสักครั้งเมื่อมาเที่ยวที่โตเกียว (Tokyo) จริงๆ
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡