ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) หนึ่งในศาลเจ้าสำคัญและอยู่คู่โตเกียวมากว่า 100 ปี คือ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านฮาราจูกุ (Harajuku) ย่านสุดครึกครื้นของเหล่าวัยรุ่นโตเกียว แต่ทว่าพอเราได้ก้าวเท้าเข้ามาในอาณาเขตของศาลเจ้านั้น ที่นี่เหมือนโลกคู่ขนานกับเมืองอันพลุกพล่านวุ่นวายเลยก็ได้ เพราะเราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบอันเงียบสงบและดั้งเดิมของญี่ปุ่น ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีของผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้นับแสนต้น โดยความพิเศษของ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) นอกจากจะตั้งอยู่ใจกลางป่าท่ามกลางเมืองแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ยังสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิเมจิ และจักรพรรดินีโชเก็น พระชายาของพระองค์อีกด้วย นั่นเลยทำให้คนญี่ปุ่นนิยมมาจัดพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ศาลเจ้านี้กันไม่ขาดสาย แถมยังแวะเวียนมาสักการะขอพรกันหลายล้านคนต่อปี จนที่นี่กลายเป็นศาลเจ้าอันโด่งดังไปเลยทีเดียว
- รีวิวเต็ม โตเกียว (Tokyo) 28 ที่เที่ยว
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneyland แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneysea แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo แบบละเอียด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในโตเกียว (Tokyo)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
รู้จักกับ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu)
ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1920 บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 7 แสนตารางเมตร ในย่านฮาราจูกุ (Harajuku) เขตชิบูย่า (Shibuya) ของโตเกียว (Tokyo) เพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิเมจิ และจักรพรรดินีโชเก็น พระชายาของพระองค์ โดยศาลเจ้าแห่งนี้เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตในญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่บนผืนป่าอันเงียบสงบ และเมื่อปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมาถือเป็นวันครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งศาลเจ้าพอดีเลย
จักรพรรดิเมจิ คือ จักรพรรดิองค์ที่ 122 ของญี่ปุ่น (โดยจักรพรรดิองค์ปัจจุบันคือจักรพรรดิองค์ที่ 126) พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงเวลาของการสิ้นสุดของรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ (Tokugawa Shogunate) และญี่ปุ่นยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เปิดประเทศมากมายนัก พอ จักรพรรดิเมจิ ขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงริเริ่มที่จะส่งเสริมมิตรภาพกับประเทศอื่นๆ รวมไปถึงได้นำเอาอารยธรรมตะวันตกและเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้วจากต่างประเทศเข้ามาเรียนรู้และพัฒนาภายในประเทศญี่ปุ่น แต่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของญี่ปุ่นเอาไว้ ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีจนเรียกได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงวางรากฐานยุคใหม่ของญี่ปุ่น
ภายหลังในปี ค.ศ. 1912 ที่ จักรพรรดิเมจิ สิ้นพระชนม์ลง รวมถึงพระชายาของพระองค์ “จักรพรรดินีโชเก็น” ได้สิ้นพระชนม์ตามหลังในปีค.ศ. 1914 ผู้คนในเมืองต่างมีความปรารถนาที่จะรำลึกถึงคุณธรรมและแสดงความเคารพต่อทั้งสองพระองค์ จึงได้มีการก่อสร้าง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ขึ้นมา ด้วยการบริจาคต้นไม้ 100,000 ต้น จากทั่วประเทศญี่ปุ่น และมีอาสาสมัครเข้ามาร่วมในการก่อสร้าง จนกระทั่งศาลเจ้าแห่งนี้แล้วเสร็จในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปีค.ศ. 1920 โดยป่าที่ปลูกเอาไว้รอบๆ ศาลเจ้านั้น ได้รับการในการวางแผนในการปลูกจากผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ที่เค้าได้คิดและคาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ถึง 100 ปี โดยเป็นป่าที่มนุษย์สร้างขึ้นและมีเป้าหมายเพื่อเป็นป่าธรรมชาติที่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง และจนถึงปัจจุบันนี้ที่ล่วงเลยมากว่า 100 ปี ผืนป่ารอบๆ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ก็ยังคงงดงามและอุดมสมบูรณ์อยู่มากๆ ตามที่เค้าตั้งใจไว้นั่นเอง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 กลุ่มศาลเจ้าต่างๆ ภายในเมือง ถูกโจมตีทางอากาศและเกิดไฟไหม้จนได้รับความเสียหาย ซึ่ง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่ถูกโจมตี แต่โชคยังดีที่มีป่าห้อมล้อมเอาไว้ จึงไม่ได้พังทลายลงจนหมด ต่อมาในปี ค.ศ. 1958 ผู้คนได้เข้ามาช่วยกันฟื้นฟูศาลเจ้าแห่งนี้จนกลับมาเป็นศาลเจ้าที่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม และอยู่คู่กับโตเกียวมาจนถึงปัจจุบัน โดย ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เลื่องลือในเรื่องของความโชคดี ซึ่งคนเค้าก็จะนิยมมาขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอในเรื่องหน้าที่การงาน ไปจนถึงขอลูกกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานแบบโบราณสำหรับหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นที่เค้าต้องการจัดแบบประเพณีดั้งเดิมอยู่อีกด้วย ดังนั้นถ้าใครมาเที่ยวแล้วเจอคู่รักพร้อมญาติพี่น้องเดินขบวนเข้ามาภายในศาลเจ้าก็ไม่ต้องแปลกใจไปเด้อ เค้าจัดพิธีแต่งงานกันนั่นเอง
วิธีการเดินทางมาที่ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu)
รถไฟ: วิธีที่สะดวกที่สุดในการมาที่นี่คือรถไฟ โดยสถานีรถไฟที่ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) มากที่สุดคือ สถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) และ สถานีเมจิจิงกุ มาเอะ (Meiji-jingu-mae Station) ซึ่งสามารถเดินทางมาตามนี้ได้เลย
- โดยรถไฟเจอาร์ :
- สถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) : ให้ขึ้นรถไฟ JR Yamanote Line นั่งมาลงที่ สถานีฮาราจูกุ (Harajuku Station) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 1 นาที
- โดยรถไฟใต้ดิน (Tokyo Metro):
- สถานีเมจิจิงกุ มาเอะ (Meiji-jingu-mae Station) : ให้ขึ้นรถไฟ Chiyoda Line และ Fukutoshin Line นั่งมาลงที่ สถานีเมจิจิงกุ มาเอะ (Meiji-jingu-mae Station) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 1 นาที
บัตรเดินทางต่างๆ ในโตเกียว
- 🎫 บัตรโดยสารรถไฟใต้ดินโตเกียวแบบไม่จำกัด (1, 2 หรือ 3 วัน) [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 บัตร Welcome Suica และบัตรโดยสารรถไฟ JR สำหรับ 1 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 JR Tokyo Wide Pass : ใช้ขึ้นสายรถไฟ JR สำหรับเที่ยวเมืองยอดนิยมต่างๆ รอบโตเกียว โดยมีเมืองฮิตอย่าง คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ที่มีภูเขาไฟฟูจิ, นิกโก้ (Nikko), โยโกฮาม่า (Yokohama), คาบสมุทรอิสุ (Izu Peninsula) / มีแบบ 3 วัน ราคาเริ่มต้นราวๆ ~3,600 บาท [ซื้อผ่าน Klook]
เริ่มเที่ยว ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu)
สิ่งแรกที่เราสังเกตได้ตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อเราเดินเข้ามาในพื้นที่ของศาลเจ้าคือ เสาโทริอิ (Torii) สีน้ำตาลทองขนาดใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมจนเกิดเป็นร่มเงาทำให้บรรยากาศมันร่มรื่นเอามากๆ ซึ่งตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของทางเดินเพื่อเข้าไปยัง ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ที่ตั้งอยู่ภายใน ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณราวๆ 10 นาที โดยสองข้างทางที่เราเดินเข้ามาเรื่อยๆ นั้นเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีไปหมด และเผื่อใครยังไม่รู้ธรรมเนียมเล็กๆ ของคนญี่ปุ่น เค้าเชื่อกันว่า ประตูโทริอิ (Torii) นั้น ถือเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างผืนดินศักดิ์สิทธิ์และผืนโลก เมื่อก้าวข้ามประตูโทริอิเข้ามา คนเค้าจะนิยมเดินอยู่ฝั่งซ้ายไม่ก็ฝั่งขวาทางใดทางหนึ่ง โดยเว้นพื้นที่ตรงกลางเอาไว้ เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าทางเดินตรงกลางนั้น “เป็นทางเดินของเทพเจ้า” นั่นเอง
เดินเข้ามากันสักพัก เราจะเจอกับมุมสองข้างทางที่ฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยถังสาเก และอีกฝั่งคือถังไวน์จากตะวันตก ที่ตั้งเรียงรายซ้อนกันขึ้นไปอยู่หลายชั้น โดยถังเหล่านี้ผู้คนเค้านำมาถวายให้กับศาลเจ้าเพื่อเอาไว้ใช้สำหรับดื่มเพื่อเป็นศิริมงคลในโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วันปีใหม่ หรือวันแต่งงาน ซึ่งจุดนี้เป็นอีกมุมที่ถ่ายรูปออกมาสวยเก๋ไม่น้อยเลยแหละ
เดินต่อไปอีกไม่ไกลจะเจอกับเสาโทริอิ (Torii) ขนาดใหญ่สีเดียวกับต้นแรกที่เราเจอตรงทางเข้าเป๊ะ โดยด้านหลังของเสาโทริอิ (Torii) จะมีอาคารและซุ้มประตู ให้ทุกคนเดินผ่านเข้ามาได้เลย จะเจอกับภาพของลานกว้างๆ ที่อยู่ด้านหน้าอาคารหลักของ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ซึ่งบรรยากาศเค้าจะเป็นลานโล่งๆ ด้านในมีอาคารหลักตั้งสง่าและเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวที่เค้ากำลังสักการะกันอยู่ พื้นที่รอบๆ ยังคงมองเห็นต้นไม้เขียวๆ โดยตอนที่ก๊อตไปนั้นเราเจอคู่รักชาวญี่ปุ่นเค้ากำลังเดินจูงมือในชุดแต่งงานแบบดั้งเดิมมาเข้าพิธีกันที่นี่ด้วย





สำหรับใครที่เข้าไปไหว้ขอพรในอาคารหลักกันเสร็จแล้ว ขากลับออกมาลองเดินมาตรงบริเวณซุ้มใต้ต้นไม้ที่เค้าเอาไว้แขวนแผ่นไม้ Ema สำหรับขอพรกันได้ โดยเราจะเห็นแผ่นไม้มากมายถูกแขวนไปอยู่บนที่ห้อย ซึ่งใครที่ต้องการเขียนคำขอพรสามารถซื้อแผ่นไม้จากทางศาลเจ้าได้เลย เค้ามีขายในราคา 500 เยน (~120 บาท) ใครที่อยากได้โชคแบบคอมพลีทจัดเต็มก็ลองซื้อแล้วเขียนขอพรมาห้อยกันดูเด้อ
นอกจากบรรยากาศรอบๆ ของศาลเจ้าที่ก๊อตเก็บภาพมาฝากทุกคนแล้วนั้น ที่นี่ยังมี พิพิธภัณฑ์ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu Museum) ซึ่งเปิดใหม่ในปี ค.ศ. 2019 โดยถูกออกแบบอย่างหรูหราจาก คุมะ เคนโกะ (Kuma Kengo) สถาปนิกชื่อดัง ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสมบัติจากคอลเลกชันของศาลเจ้า รวมถึงข้าวของส่วนตัวของ จักรพรรดิ์ จักรพรรดินี ไปจนถึงรถม้าที่จักรพรรดิ์ใช้เสด็จไปร่วมงานประกาศรัฐธรรมนูญเมจิอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1889 ใครที่อยากเที่ยวชมศาลเจ้าพร้อมทั้งได้เรียนรู้เรื่องราวและประวัติศาสตร์แบบเจาะลึกลองเข้ามาได้ แต่บอกก่อนว่าการที่เราจะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์นี้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะ
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ


สรุปเลย ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าสำคัญที่ใครมาเที่ยวโตเกียว ก๊อตแนะนำว่าควรค่าแก่การมาที่นี่สักครั้ง เพราะนอกจากเราจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายความเก่าแก่ของศาลเจ้าอายุนับ 100 ปีแล้วท่ามกลางผืนป่าใจกลางเมืองแล้ว เรายังได้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้คนที่เค้าตั้งใจสร้างศาลเจ้าที่นี่ขึ้นมาเพื่อเคารพต่อ จักรพรรดิ์ จักรพรรดินี ที่แม้ว่าทั้งสองพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) เปรียบเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองพระองค์นั้น เป็นที่รักใคร่ของผู้คนและได้ทรงสร้างคุณงามความดีเอาไว้เป็นอย่างมาก มันเลยเหมือนเป็นอีกสถานที่ที่น่าภาคภูมิใจของโตเกียวที่ใครมีโอกาสได้มาเที่ยวแล้วไม่ควรพลาดเลย
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡