วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) หากใครมาเที่ยวโตเกียว (Tokyo) แล้วอยากมาเช็คอินวัดดังประจำเมืองจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) วัดพุทธที่อายุกว่า 1,400 ปี ซึ่งถือว่ามีชื่อเสียงและเก่าแก่มากที่สุดในโตเกียว ใครที่เคยเสิรจข้อมูลที่เที่ยวในโตเกียวแล้วเห็นภาพของโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ในซุ้มประตูทางที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปนั้น รูปนั้นไม่ใช่ที่ไหน สามารถไปถ่ายได้เลยที่ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) เลย และนอกจากโคมไฟสีแดงแล้ว ที่วัดแห่งนี้ยังเลื่องลือในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ที่คนเค้าเชื่อกันว่าเราสามารถมาขอพรได้ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรัก เรื่องเรียน การงาน ต่างก็มาขอที่นี่ได้หมดเลย ซึ่งรีวิวนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปส่องบรรยากาศภายในวัดกันแบบทุกซอกทุกมุม เอาให้อ่านจบรีวิวแล้วอยากปักหมุดมาเที่ยวตามรอยกันอย่างแน่นอน
- รีวิวเต็ม โตเกียว (Tokyo) 28 ที่เที่ยว
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneyland แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneysea แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo แบบละเอียด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในโตเกียว (Tokyo)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
รู้จักกับ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple)
วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 628 ซึ่งเป็นปีที่ 36 ของการครองราชย์ของจักรพรรดิซุยโกะ (Empress Suiko) ในสมัยอะสุกะ (Asuka Period) โดยชาวประมง 2 คนพี่น้องอย่าง ฮิโนะคุมะ ฮามานาริ (Hinokuma Hamanari) และฮิโนะคุมะ ทาเคนาริ (Hinokuma Takenari) ได้ไปตกปลาที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) ก่อนจะพบเข้ากับรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมที่ติดอยู่ในแหจับปลา ซึ่งทั้งสองในตอนนั้นไม่ได้มีความรู้มากนัก จึงพยายามนำรูปปั้นนั้นโยนกลับคืนลงสู่แม่น้ำไป แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าพวกเขาจะย้ายไปทอดแหตรงไหนก็ยังมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์เดิมติดแหกลับคืนมาอยู่ดี ชาวประมงทั้งคู่เลยนำรูปปั้นนั้นกลับไปให้ผู้นำหมู่บ้านดู และต่อมาจึงได้มีการสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นที่บูชารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ ซึ่งวัดได้สร้างแล้วเสร็จจริงๆ ในปี ค.ศ. 645 จึงถือได้ว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองโตเกียวนั่นเอง
แต่กว่าจะมาเป็น วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ที่งดงามและทรงคุณค่าอย่างในปัจจุบันนั้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงและได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในภายหลัง (ช่วงปี ค.ศ. 1958) โดย วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และสันติภาพในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากในช่วงแรกนั้นเคยเป็นวัดในนิกายเท็นได และหลังจากสร้างวัดขึ้นมาใหม่ได้แยกตัวออกมาเป็นวัดอิสระ ซึ่งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันมากมายที่เกิดขึ้นที่วัดแห่งนี้ ส่งผลให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว อีกทั้งยังกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวและผู้ที่มีศรัทธาแวะเวียนมาสักการะกันอยู่ตลอดทั้งปี
วิธีการเดินทางมาที่วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple)
รถไฟใต้ดิน: วิธีที่สะดวกที่สุดในการมาที่นี่คือรถไฟใต้ดิน โดยสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้กับ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) มากที่สุดคือ สถานีอาซากุสะ (Asakusa Station) ซึ่งสามารถเดินทางมาตามนี้ได้เลย
- โดยรถไฟใต้ดิน (Tokyo Metro):
- สถานีอาซากุสะ (Asakusa Station): ให้ขึ้นรถไฟสาย Tokyo Metro Ginza Line นั่งมาลงที่สถานีอาซากุสะ (Asakusa Station) แล้วใช้ทางออก 3
- 🎫 บัตรโดยสารรถไฟใต้ดินโตเกียวแบบไม่จำกัด (1, 2 หรือ 3 วัน) [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 บัตร Welcome Suica และบัตรโดยสารรถไฟ JR สำหรับ 1 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
เริ่มเที่ยว วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) กันเลย
สำหรับการเดินเที่ยวใน วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ก๊อตจะพาทุกคนค่อยๆ เดินส่องกันทีละโซนไปเริ่มจากทางเข้าของวัดไล่ยาวเข้าไปถึงอาคารหลักที่ตั้งอยู่ภายใน ซึ่งสิ่งแรกที่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์หลักของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ที่ทุกคนต้องเจอเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในเขตของวัดเลยก็คือ ซุ้มประตูคามินาริมง (Kaminarimon) บริเวณทางเข้าที่เชื่อกันว่าประตูนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 942 โดยผู้บัญชาการทหารไทระ โนะ คิโยโมริ (Taira no Kinmasa) และได้รับการบูรณะอยู่หลายครั้งจากเหตุเพลิงไหม้ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งจุดเด่นของประตูแห่งนี้คือเค้าจะมีโคมสีแดงขนาดใหญ่สูงกว่า 3.9 เมตร หนักถึง 700 กิโลกรัม ห้อยเอาไว้ โดยขนาบข้างด้วยรูปปั้นของฟูจิน (Fujin) และไรจิน (Raijin) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสายลมและพายุ นอกจากนี้ด้านหลังของประตูยังมีรูปปั้นของริวจิน (Ryujin) ที่เป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำตั้งอยู่ด้วย ว่ากันว่ารูปปั้นทั้งหมดนี้ช่วยป้องกันเรื่องไฟไหม้ พายุ และน้ำท่วมนั่นเอง
ซึ่งบริเวณซุ้มประตูนั้น เป็นหนึ่งในจุดที่มีคนมาถ่ายรูปคู่กับโคมสีแดงกันเยอะมาก ซึ่งก๊อตเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เราก็แวะถ่ายรูปเล่นกันพอกรุบกริบพร้อมกับชุดยูกาตะหล่อๆ ที่ตอนถ่ายอยู่นั้นหลายคนที่เดินผ่านก๊อตต่างก็หันมายกนิ้วโป้งให้ด้วย ฟีลชมว่ายูเท่ห์มากอะไรประมาณนั้นด้วยแหละ 555555 เอาเป็นว่าใครอยากจะเช่าชุดกิโมโน หรือชุดยูกาตะมาใส่ถ่ายรูปเหมือนก๊อต นี่มีเขียนพิกัดร้านเช่าแยกมาให้ในตอนท้ายของรีวิวด้วยนา เอาล่ะ มาเริ่มเดินเที่ยวเข้าไปภายในกันต่อโลด
ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street)
พ้นจาก ซุ้มประตูคามินาริมง (Kaminarimon) มันจะเป็นเส้นทางถนนเลียบตรงเข้าไปสู่อาคารหลักของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) โดยจะเป็น ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) หนึ่งในถนนช้อปปิ้งความยาวกว่า 250 เมตร ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาซากุสะ ทั้งยังเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย โดยชื่อ “Nakamise” นั้น ถือเป็นชื่อดั้งเดิมที่ญี่ปุ่นเค้าตั้งให้กับถนนช้อปปิ้งที่อยู่ในเขตบริเวณวัดหรือศาลเจ้า ดังนั้น หากเราลองเสิร์จข้อมูลของ ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ชื่อของถนนแห่งนี้จึงไม่ได้มีเพียงแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่น แต่เค้าต้องการสื่อให้ผู้คนได้เห็นถึงความหมายของการเป็นย่านที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดนั่นเอง
โดยเชื่อกันว่า ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ในเขต วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) นั้น เริ่มต้นขึ้นในช่วงระหว่างปลายศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 เมื่อคนท้องถิ่นในอาซากุสะได้รับอนุญาตให้เปิดร้านค้าในบริเวณวัดได้ ซึ่งส่วนหนึ่งทางวัดเองต้องการให้พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ทำหน้าที่ทำความสะอาดบริเวณวัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่ง วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ในขณะนั้น ถือเป็นศูนย์กลางแห่งการแสวงบุญและมีผู้คนเดินทางมามากมาย ร้านค้าที่เข้ามาเปิดกันอยู่ภายในเขตวัดจึงได้ขายอาหารและเครื่องดื่มกัน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1885 ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีระเบียบและน่าเดินมากขึ้น ซึ่งกว่าจะมาเป็นอาคารร้านค้าแบบดั้งเดิมที่เราเห็นหน้าตาในปัจจุบันนี้ ครั้งหนึ่งร้านรวงเหล่านี้เคยพังทลายลงเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาแล้วเด้อ
บรรยากาศสองข้างทางที่ก๊อตเดินเข้ามาเห็นนั้น เต็มไปด้วยร้านค้าขายของกิน และของที่ระลึกตั้งเรียงรายเข้าไปมากกว่า 90 ร้านให้เราได้เลือกซื้อกัน ซึ่งส่วนตัวก๊อตเราเน้นเดินผ่านชิลๆ ไม่ได้แวะ เพราะตั้งใจว่าจะเข้าไปอาคารหลักของวัดเร็วๆ อีกทั้งตอนนั้นคนมหาศาลมากแบบมากที่สุด ก๊อตเลยเก็บเป็นภาพบรรยากาศรอบๆ มาฝากทุกคนแทน แต่ถ้าใครอยากหาของฝาก ของกินกรุบกริบ ตรงนี้ก็มีร้านให้เลือกทานอร่อยๆ เยอะนะ
ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate)
สุดทางของ ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) ก่อนเดินถึงอาคารหลัก เป็นที่ตั้งของ ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) ประตูในชั้นที่สองของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ที่มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ประตูนิโอมง (Niomon Gate) เนื่องจากมีรูปปั้นนิโอ (仁王) หรือผู้พิทักษ์ท่าทางโกรธเกรี้ยวสององค์ประดิษฐานอยู่ที่ทั้งสองด้านของประตู โดยตรงกลางของ ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) โดดเด่นด้วยโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่มีคำว่า “โคะบุเนะมาจิ” (小舟町 / Kobunemachi) เขียนเอาไว้ ซึ่งคนเค้าก็นิยมมาเซลฟี่ถ่ายรูปคู่กับโคมไฟสีแดงอันนี้เช่นกัน
สำหรับ ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) โครงสร้างปัจจุบันที่เราเห็นกันนี้เค้าสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1964 ด้วยวัสดุทนไฟเนื่องจากก่อนหน้านี้ประตูเคยถูกทำลายด้วยไฟ และการโจมตีทางอากาศ โดย ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) ทำหน้าที่เป็นที่เก็บสมบัติ และทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติอย่าง พระสูตร พระไตรปิฎก อีกทั้งด้านหลังของประตูมีรองเท้าฟางขนาดใหญ่ที่มีความยาว 4.5 เมตร กว้าง 1.5 เมตร และหนักกว่า 500 กิโลกรัมแขวนเอาไว้อยู่คู่นหนึ่ง โดยคนญี่ปุ่นเค้ามีความเชื่อกันว่า รองเท้าฟางคู่นี้เป็นรองเท้าที่สามารถไล่ภูติผีปีศาจร้ายให้ออกไปจากพื้นที่ได้อีกด้วย ใครที่ถ่ายรูปกับซุ้มประตูแรกยังไม่หนำใจหรือคนเยอะเกินจะต่อคิวไหว เราสามารถแวะถ่ายกับ ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate) แทนได้เช่นกันนะ
อาคารหลักของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple)
มาถึงไฮไลท์สำคัญของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) อย่าง อาคารหลักของวัด และเจดีย์ 5 ชั้นที่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าไปไหว้ข้างในกันนั้น ก๊อตจะบอกว่าอาคารหลักที่เราเห็นกันนี้เป็นอาคารที่เค้าบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1649 เนื่องจากอาคารหลังเดิมนั้นได้ถูกทำลายลงไปในช่วงสงคราม โดยคนส่วนใหญ่ที่มาที่วัดแห่งนี้ เค้าก็มักที่จะมาขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมที่ประดิษฐานอยู่ภายในอาคารหลักกัน ซึ่งว่ากันว่าเราสามารถขอพรกันได้ทุกเรื่องเลย ไม่ว่าจะเป็นความรัก สุขภาพ หน้าที่การงาน ใครใคร่อยากขอเรื่องอะไรก็ลองมาไหว้ขอกันดูนา ซึ่งก็อตก็เดินขึ้นไปบนอาคารหลักแล้วก็ไหว้ขอพรกันไปเรียบร้อย
จากนั้นเราก็เดินลงมายังด้านล่าง ซึ่งจะเห็นว่ามีคนมายืนห้อมล้อมอยู่ตามกระถางปักธูปที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของอาคารหลักกันเยอะมาก โดยคนญี่ปุ่นเค้าเชื่อกันว่า หากเราได้มาปัดเอาควันธูปเหล่านี้ใส่ตัวจะเป็นเหมือนการชะล้างสิ่งไม่ดีให้ออกไปจากตัวเรา ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจถ้าเห็นผู้คนเค้ามายืนกวักควันเข้าหาตัวกันเด้อ ปิดท้ายกันด้วยการไปเดินเลือกซื้อพวกเครื่องรางที่ขายกันอยู่ข้างๆ อาคารหลัก ซึ่งเค้าว่ากันว่าเครื่องรางที่ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) นั้นขลังมาก สายมูทั้งหลายอย่าพลาดเลยเชียว โดยเครื่องรางแต่ละชิ้นของเค้าก็มีบอกชัดเจนว่าแก้เคล็ดหรือเสริมโชคเรื่องอะไรบ้าง สำหรับคนที่ซื้อแล้ว บางคนเค้าเชื่อว่าให้เราเอาเครื่องรางนั้น หันหน้าอธิษฐานไปยังเจ้าแม่กวนอิม รวมถึงไปที่กระถางธูปแล้วเอาควันกวักเข้าหาเครื่องรางด้วย เสมือนเป็นการปลุกเสกนั่นเอง แต่อันนี้เป็นเรื่องบอกต่อกันมานะ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคนเลย
และนี่ก็คือทั้งหมดที่เราเดินเที่ยวกันอยู่ภายใน วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ใครที่อยากมาสัมผัสกับวัดอันเก่าแก่ และขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมอายุกว่า 1,400 ปี มาเที่ยวโตเกียวต้องปักหมุดมาที่นี่ เค้าเป็นเหมือนวัดดังที่ใครไม่มามันเหมือนเรามาไม่ถึงเมืองเค้าจริงๆ เด้อ
ศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center)
ส่วนใครที่อยากได้ภาพมุมลับ มุมสูงของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) แบบไม่เหมือนใคร ตรงข้ามกับประตูคามินาริมง (Kaminarimon) มีอาคารหน้าตาดูทันสมัยตั้งสง่าอยู่ริมถนน นั่นคือ ศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวในเขตไทโตะ (Taito ) ที่ให้ข้อมูลและบริการที่เป็นประโยชน์แก่นักท่องเที่ยว ตามแนวคิด “ค้นหา แสดง และสนับสนุน” ที่ใครสงสัยหรือมีข้อมูลอยากสอบถามเกี่ยวกับการเที่ยวภายในเมือง สามารถเดินเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ได้เลย
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
แต่ที่ก๊อตมายัง ศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) นี่ไม่ได้มาถามหาข้อมูล แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเราสามารถเดินขึ้นไปชมวิวบนชั้นดาดฟ้าของอาคารเค้าได้ ซึ่งเราสามารถกดลิฟท์ไปยังชั้นบนสุดได้ฟรีเลยนะ โดยวิวบนชั้นดาดฟ้าเราจะได้ดื่มด่ำไปกับภาพมุมสูงของ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) กันตั้งแต่ ซุ้มประตูคามินาริมง (Kaminarimon) ไล่ยาวเข้าไปตาม ถนนช้อปปิ้งนากามิเสะ (Nakamise Shopping Street) จนถึง อาคารหลักของวัดได้แบบเต็มสายตาเลย ซึ่งวิวบนนี้มันก็ให้ไวบ์ที่สวยแปลกตากันไปอีกแบบ ยิ่งตรงซุ้มประตูจากมุมสูงนั้น ตัวประตูเค้าสวยมาก มันมีกลิ่นอายความขลังอยู่เต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมองออกไปเห็นวิวของ โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลได้อีกด้วย
โดยรวมแล้วใครอยากมาดูวิวแบบปั๊วะไม่เหมือนใคร แนะนำให้มาลองชมวิวบนดาดฟ้าของ ศูนย์วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอาซากุสะ (Asakusa Culture Tourist Information Center) เป็นอีกหนึ่งจุดที่ชมวิวได้สวยมากๆ มันช่วยเติมเต็มให้การมาเที่ยว วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ของก๊อตนั้นคอมพลีทมากๆ เลยทีเดียว
เช่าชุดกิโมโนและยูกาตะที่ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) สาขาสถานีอาซากุสะ (Asakusa)
อย่างที่ก๊อตบอกไปในตอนต้น ใครที่อยากเที่ยว วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) และทำตัวเนียนๆ ฟีลเป็นคนญี่ปุ้นญี่ปุ่นถ่ายรูปสวยๆ ก๊อตแนะนำให้เราเช่าชุดยูกาตะ หรือชุดกิโมโนกันได้เลย โดยก๊อตแนะนำให้มาเช่าชุดยูกาตะที่ร้าน กิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) สาขาสถานีอาซากุสะ (Asakusa) ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของวัด เพราะเช่าปุ๊บเราสามารถเดินข้ามถนนเข้าไปเที่ยวถ่ายรูปในวัดกันต่อได้
ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) นั้นมีทั้งชุดยูกะตะสำหรับผู้ชาย และชุดกิโมโนสำหรับผู้หญิงให้บริการเช่าอยู่หลายร้อยชุดเลย โดยใครที่ไม่อยากเสียเวลามารอคิวหน้าร้าน ก๊อตแนะนำให้จองล่วงหน้าผ่าน Klook มาแบบก๊อตเลยก็ได้นา ข้อดีของการจองผ่านคลูก คือเราจะได้ราคาเช่าที่ประหยัดลงกว่าหน้าร้าน แถมยังไม่ต้องมาเข้าคิวรอหน้าร้านให้เสียเวลาเลยล่ะ สะดวกสบายของจริง
สำหรับการมาใช้บริการนั้น พอมาถึงหน้าร้านก็แค่โชว์ E-Ticket ที่จองมาให้กับทางร้านดู แค่นี้เค้าก็จะพาเราเข้าไปโซนชุดยูกาตะแล้ว แล้วเค้าก็จะปล่อยให้เราเลือกจนหนำใจ เมื่อได้ชุดที่ถูกใจแล้ว ทางร้านเค้าก็มีเจ้าหน้าที่มาคอยช่วยเราแต่งตัวอีกด้วยนะ ไม่ใช่แค่ฝั่งหนุ่มๆ อย่างที่ก๊อตเลือกกันอยู่ แต่สำหรับโซนสาวๆ เค้าก็มีช่างมาแต่งหน้า ทำผมให้ด้วยแหละ เช่าชุดกิโมโนและยูกาตะที่ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) บอกเลยว่าสะดวกสบายมาก
เช่าชุดกิโมโนและยูกาตะที่ร้านกิโมโน มิยาบิ (Kimono Miyabi) สาขาสถานีอาซากุสะ (Asakusa)
สำหรับคนที่อยากเที่ยวให้ได้ฟีลญี่ปุ่นจัดๆ อีกหนึ่งพร๊อพที่ควรแก่การเสียตังค์เลยคือการมาเช่าชุดยูกาตะ และชุดกิโมดนใส่เพื่อเดินเที่ยวใน วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) ให้มันฟูลฟีลขั้นสุด ซึ่งการเช่าชุดของเค้านั้นจะมีหลายแพ็คเกจให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการเช่าชุดกิโนเดี่ยวๆ หรือการเช่าชุดที่เป็นทางการ หรือใครมากับแฟนจะมาเช่าแบบคู่รัก 2 คน พร้อมตากล้องก็มีให้เลือกกันแบบจุใจ โดยราคาเช่าชุดนั้นจะเริ่มตั้งแต่ 3,000 เยน (~725 บาท) สามารถจองผ่าน Klook มาได้เลย
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡