ชิบูย่า (Shibuya) มาเที่ยวโตเกียวทั้งที อีกหนึ่งย่านที่เราต้องมาเที่ยวให้ได้เลยก็คือ ชิบูย่า (Shibuya) ย่านแลนด์มาร์คที่ถือเป็นไอคอนของความเป็นโตเกียวมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นสวรรค์ของขาช้อปเพราะที่นี่อัดแน่นไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ร้านค้า และแบรนด์ดังอยู่เยอะและ ย่านชิบูย่า (Shibuya) เองยังมี ‘ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing)’ ทางข้ามม้าลายอันโด่งดังที่ถูกนำไปใช้เป็นฉากในหนังระดับโลกมาแล้วหลายเรื่อง หรือจะเป็น ‘รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue)’ ที่สร้างขึ้นจากเรื่องราวของสุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่เฝ้ารอเจ้าของกลับมาจากทำงานนานนับ 10 ปี จนกระทั่งน้องตุยไป รูปปั้นที่ว่านั้นก็ตั้งอยู่ในย่านนี้ด้วยนั่นเอง
ทั้งนี้ ชิบูย่า (Shibuya) ไม่ได้มีที่เที่ยวแค่นี้ แต่เค้ายังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ ให้ได้สัมผัสกันอีกมากมาย ทั้งสวนสาธารณะลอยฟ้าใจกลางเมืองอย่าง ‘มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park)’ รวมถึงยังมี ‘ชิบูย่า สกาย (Shibuya Sky)’ จุดชมวิวสกายไลน์เมืองที่เราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวแบบสวยสับอยู่อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มีอยู่รอเราแล้วที่ ชิบูย่า (Shibuya) เลย แน่นอนว่ารีวิวนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวทุกที่ที่ว่ามา รวมถึงยังมีที่เที่ยวอื่นๆ อีกเพียบ ดังนั้น ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วต้องอ่านรีวิวนี้ให้จบ เพราะก๊อตรับรองได้เลยว่าว่าจะต้องมีคนอยากมาตามรอยกันอย่างแน่นอน
- รีวิวเต็ม โตเกียว (Tokyo) 28 ที่เที่ยว
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneyland แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Tokyo Disneysea แบบละเอียด
- รีวิวเต็ม Harry Potter – Warner Bros. Studio Tour Tokyo แบบละเอียด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในโตเกียว (Tokyo)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
รู้จักกับ ชิบูย่า (Shibuya)
ชิบูย่า (Shibuya) ย่านคึกคักมากที่สุดแห่งในโตเกียวที่เต็มไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และสถานบันเทิง อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) ที่ได้ชื่อว่ามีผู้เข้ามาใช้งานและพลุกพล่านมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลย ส่งผลให้ในแต่ละวันมีคนญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะเวียนมาเยือนย่านนี้กันแบบไม่ขาดสายกันเลยทีเดียว
สำหรับประวัติของ ชิบูย่า (Shibuya) นั้น ต้องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งถือเป็นยุคแรกของย่านแห่งนี้เลยก็ว่าได้ โดยในช่วงเวลานั้น ชิบูย่า (Shibuya) เป็นเพียงแค่พื้นที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่ทำการเกษตรกรรม โดยชื่อ ชิบูย่า (Shibuya) นั้น ว่ากันมาจากตระกูลชิบูย่าซึ่งอ้างสิทธิ์ในพื้นที่แห่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ชิบูย่า (Shibuya) ยังคงไม่ได้รับการพัฒนามากนัก จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603 – 1868) ย่านแห่งนี้จึงเริ่มมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางโคชู ไคโด (Koshu Kaido) ถนนสายหลักที่มุ่งตรงเข้าสู่โตเกียว (Tokyo) ทำให้ผู้คนที่เดินทางผ่านบนถนนสายนี้มักจะหยุดพักรถในย่าน ชิบูย่า (Shibuya) อยู่เสมอ นำมาซึ่งการจับจ่ายซื้อข้าวของส่งผลให้ย่านแห่งนี้เป็นที่รู้จักและพัฒนาขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้มีการพัฒนาเส้นทางรถไฟเข้ามายังย่าน ชิบูย่า (Shibuya) โดยในปี ค.ศ. 1885 มีการเปิดสถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) บนสายยามานาโตะ (Yamanote Line) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาการเติบโตที่พีคที่สุดของย่านเลยก็ว่าได้ เพราะการเปิดสถานีรถไฟส่งผลให้ผู้คนเดินทางเข้าออกในย่านนี้มากยิ่งขึ้น จนในที่สุด ชิบูย่า (Shibuya) กลายเป็นเขตเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านมากแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่านแห่งนี้ยิ่งขยายตัวและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง ปี ค.ศ. 1950 และ 1960 มีการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าและอาคารพาณิชย์ขึ้นมาภายในย่านหลายแห่ง
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 ชิบูย่า (Shibuya) ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถานที่เที่ยวสำคัญเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชิบูย่า 109 (Shibuya 109) ห้างสรรพสินค้าแฟชั่นที่รวบรวมไอเท็มเริ่ดๆ สำหรับสาวๆ, 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ทางข้ามม้าลายที่มีผู้คนข้ามมากที่สุดในโลก, ตึกชิบูย่า ฮิคาริเอะ (Shibuya Hikarie) ตึกสูง 34 ชั้นที่ภายในเป็นทั้งห้าง และจุดชมวิว, ชิบูย่า สกาย (Shibuya Sky) หนึ่งในจุดชมวิวสุดฮิตใจกลาง ชิบูย่า (Shibuya) แบบพาโนราม่า นอกจากนี้ยังมีสถานที่อื่นๆ อยู่ภายในย่านอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำให้ ชิบูย่า (Shibuya) กลายเป็นศูนย์กลางการช้อปปิ้งและความบันเทิงอีกด้วย
เรียกได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของ ชิบูย่า (Shibuya) ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา มันได้แปรเปลี่ยนพื้นที่ชนบทให้กลายมาเป็นพื้นที่แห่งความทันสมัยและมีความสำคัญต่อวัฒนธรรมของผู้คน นับเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เลยว่า โตเกียว (Tokyo) นั้นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังสามารถหล่อหลอมขนบประเพณีแบบดั้งเดิม ความเก่าแก่เข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว ซึ่งปัจจุบันนี้ ชิบูย่า (Shibuya) ยืนหยัดในฐานะสัญลักษณ์ระดับโลกที่สื่อให้ผู้คนได้เห็นถึงวัฒนธรรมเมืองของญี่ปุ่นนั่นเอง
ที่เที่ยวใน ชิบูย่า (Shibuya)
- เดินเล่นในย่านชิบูย่า (Shibuya)
- Pokémon Center / Nintendo ที่ Shibuya PARCO
- 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing)
- รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue)
- ร้านสตาร์บัคส์ ตรงร้านสึทาน่า สาขาแยกชิบูย่า (Starbucks Coffee Shibuya Tsutaya)
- มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park)
- ชิบูย่า สกาย (Shibuya Sky)
- ตึกชิบูย่า ฮิคาริเอะ (Shibuya Hikarie)
วิธีการเดินทางมาที่ ชิบูย่า (Shibuya)
รถไฟ: วิธีที่สะดวกที่สุดในการมาที่นี่คือรถไฟ โดยสถานีรถไฟที่ใกล้กับ ชิบูย่า (Shibuya) มากที่สุดคือ สถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) ซึ่งสามารถเดินทางมาตามนี้ได้เลย
- โดยรถไฟเจอาร์ :
- สถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) : ให้ขึ้นรถไฟ JR สายยามาโนเตะ (Yamanote Line), สายไซเคียว (Saikyo Line) หรือสายโชนันชินจูกุ (Shonan-Shinjuku Line) นั่งมาลงที่สถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) ได้เลย
- โดยรถไฟใต้ดิน (Tokyo Metro):
- สถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station): ให้ขึ้นรถไฟใต้ดินสายกินซ่า (Ginza Line), สายฮันโซมง Hanzomon Line นั่งมาลงที่ สถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) ได้เลย
บัตรเดินทางต่างๆ ในโตเกียว
- 🎫 บัตรโดยสารรถไฟใต้ดินโตเกียวแบบไม่จำกัด (1, 2 หรือ 3 วัน) [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 บัตร Welcome Suica และบัตรโดยสารรถไฟ JR สำหรับ 1 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- 🎫 JR Tokyo Wide Pass : ใช้ขึ้นสายรถไฟ JR สำหรับเที่ยวเมืองยอดนิยมต่างๆ รอบโตเกียว โดยมีเมืองฮิตอย่าง คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ที่มีภูเขาไฟฟูจิ, นิกโก้ (Nikko), โยโกฮาม่า (Yokohama), คาบสมุทรอิสุ (Izu Peninsula) / มีแบบ 3 วัน ราคาเริ่มต้นราวๆ ~3,600 บาท [ซื้อผ่าน Klook]
เริ่มเที่ยวชิบูย่า (Shibuya) กันเล้ยย
เดินเล่นในย่านชิบูย่า (Shibuya)
ก๊อตขอเริ่มต้นเที่ยวใน ชิบูย่า (Shibuya) ด้วยการพาทุกคนมาเดินส่องบรรยากาศ ช้อปปิ้งชิลๆ สำรวจตรอกซอกซอยในย่านนี้กันก่อน โดยบรรยากาศรอบๆ ในย่าน ชิบูย่า (Shibuya) นั้น นอกจากจะคึกคักเพราะเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวแล้ว ตลอดเวลาที่เราเดินเข้ามานั้น รอบๆ ตัวก๊อตรายล้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ไปจนถึงแหล่งรวมความบันเทิง ที่ตั้งเรียงรายทอดยาวไปตามสองแนวฝั่งของถนน
ใครที่อยากมาช้อปพวกแบรนด์สตรีท แบรนด์แฟชั่นต่างๆ ที่ ชิบูย่า (Shibuya) มีให้ได้เลือกช้อปกันเพลินตามาก และมีหลากหลายซอย รวมถึงหลายห้างให้เราได้เดินช้อปกันแบบหน้ามืดตามัวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น atmos, A Bathing Ape, Supreme, Uniqlo, Muji, A land, ABC Mart ไปจนถึงร้านของเล่นสุดฮิตอย่าง POP MART รวมถึงเหล่าร้านดรักสโตร์ที่ขายทั้งสกินแคร์และเครื่องสำอางค์ และของใช้อื่นๆ ก็มีให้ได้เลือกซื้อกันจนตาลาย นี่ว่าใครเป็นขาช้อปมาย่านนี้ต้องชอบแน่นอน โดยส่วนตัวก๊อตคิดว่าเราสามารถช้อปที่ ชิบูย่า (Shibuya) ได้สบาย ๆแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เพราะร้านรวงส่วนใหญ่เป็นช็อปที่ราคาจับต้องและเข้าถึงได้นั่นเอง
Pokémon Center Shibuya / Nintendo TOKYO ที่ Shibuya PARCO
สำหรับคนรักโปเกมอนและคอเกม ก๊อตอยากให้ทุกคนแวะมาที่ห้าง Shibuya PARCO ชั้น 6 ที่เค้าจะมี Pokémon Center Shibuya และ Nintendo TOKYO รวมถึงมี CAPCOM Store Tokyo ตั้งอยู่ ดังนั้นใครที่ตั้งใจมาเพื่อตามเก็บคอลเลกชันของสะสมต่างๆ ให้รีบพุ่งตัวขึ้นมายังชั้นนี้ได้เลย
เริ่มจาก Pokémon Center Shibuya กันก่อน ซึ่งหาร้านได้ไม่ยากเลย เพราะเค้าตกแต่งร้านด้วยโทนสีดำตัดด้วยแสงไฟนีออนให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ก้าวเข้าสู่โลกไซไฟของเหล่าโปเกมอนกันจริงๆ โดยด้านหน้าของ Pokémon Center Shibuya ยังมีเจ้ามิวทู (Mewtwo) สีขาวตัวใหญ่ตั้งอยู่ในหลอดแก้วยักษ์คอยต้อนรับเราอีกด้วย
สำหรับ Pokémon Center Shibuya นั้น คือ ร้านขายสารพัดสินค้าลิขสิทธิ์แท้ของโปเกม่อน ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา โมเดล ฟิกเกอร์ การ์ดเกม และสารพัดสินค้าปุ๊กปิ๊กอีกมหาศาล โดยโปเกม่อน ถือว่าเป็นเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีผู้ติดตามและโด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นและทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งสาขาที่ Shibuya PARCO นี้คือสาขาที่ 14 ของ Pokémon Center ที่เค้าได้เปิดกระจายกันไปตามเมืองใหญ่ๆ ในญี่ปุ่น สำหรับบรรยากาศภายใน Pokémon Center Shibuya หลังจากเดินผ่านเจ้ามิวทูเข้ามาแล้ว รอบกายก๊อตตอนนี้มันเต็มไปด้วยสินค้าลิขสิทธิ์แท้จากโปเกมอนอยู่แน่นเอี๊ยด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียน ตุ๊กตาพวงกุญแจ โมเดลตุ๊กตา ฟิกเกอร์ ของใช้ต่างๆ ไปจนถึงขนมจากเหล่าตัวละครในโปเกม่อนที่ทำออกมาได้น่ารักน่าตำกลับบ้านสุดๆ ซึ่งคาแรกเตอร์ดังๆ ทั้งฝั่งคนอย่าง ซาโตชิ, เซเรน่า และคาสึมิ ไปจนถึงฝั่งของโปเกมอนทั้งปิกาจู, เซนิกาเมะ, ลิซาโดะ รวมไปถึงผองเพื่อนทั้งหลายทั้งมวล มีมาให้เราช้อปหมดแล้วที่ Pokémon Center Shibuya คือสาวกโปเกม่อนเข้ามาในนี้สามารถอยู่ช้อปกันได้ยาวๆ
หลังจากเราเดินออกมาจาก Pokémon Center Shibuya ตรงข้ามกันเลยคือ Nintendo TOKYO ร้านขายสินค้าปลีกของ Nintendo ที่พิเศษสุดๆ ตรงที่ Nintendo TOKYO เค้าเป็นสาขาแรกในญี่ปุ่น โดยร้านเค้าตกแต่งด้วยโทนสีแดง-ขาว และเปิดไฟสว่างคลีนๆ ภายในเต็มไปด้วยสินค้ามากมายจากเหล่าตัวละครป๊อบๆ ในเกมต่างๆ ของเค้าไม่ว่าจะเป็น Mario, Legend of Zelda, Animal Crossing, Splatoon, Pikmin, Kirby of the Stars และ Fire emblem ที่ยกขบวนกันมาในรูปแบบของโมเดล ตุ๊กตา ของใช้ และของปุ๊กปิ๊กน่ารักๆ ให้ได้ซื้อกลับบ้านกันแบบไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งที่ก๊อตชอบเลย คือมุมลองเล่นเกม Nintendo Switch ของเค้าที่ยกเอาจอหลากหลายขนาดมาเชื่อมต่อเข้ากับ Nintendo Switch ให้คนที่เข้ามาในร้านได้ลองประลองฝีมือกันอีกด้วย เอาเป็นว่าใครที่เป็นแฟน Nintendo อยู่แล้วจะลองมาเล่นดูก็ได้นา
ยังไม่หมดเท่านั้น บนชั้น 6 เค้ายังมีช็อปอื่นๆ อยู่ด้วย อย่าง Touken Ranbu Yorozuya Honpo, CAPCOM STORE TOKYO, JUMP SHOP ก็มีตั้งเรียงรายอยู่เป็นตับให้เราได้ช้อปกันต่อแบบจุใจ ใครที่ชื่นชอบตัวการ์ตูนจากอนิเมะของค่ายไหนก็เลือกเข้าร้านที่ใช่ได้เลย เรียกได้ว่า Shibuya PARCO เป็นอีกจุดหมายที่คอเกมและแฟนๆ อนิเมะห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing)
ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ใครที่เคยเห็นภาพของทางข้ามม้าลายขนาดใหญ่ตรง 5 แยกที่รายล้อมไปด้วยอาคารและตึกท่ามกลางแสง สี เสียงสุดคึกคัก พร้อมกับผู้คนจำนวนมหาศาลล้านแปดเดินข้ามไปมาบนทางม้าลาย ก๊อตจะบอกว่าที่นี่คือ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) แลนด์มาร์คประจำโตเกียว (Tokyo) ที่โด่งดังและมักจะโผล่อยู่ในหน้าจอหนังระดับโลกแบบนับนิ้วกันไม่หวาดไม่ไหวจนเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งไอคอนิกของโตเกียวและญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้ว
ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อทางข้ามม้าลายชิบูย่า ตั้งอยู่บริเวณทางออกของสถานีชิบูย่า (Shibuya Station) โดยที่นี่เรียกได้ว่าเป็นทางม้าลายใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของโตเกียว (Tokyo) ซึ่งว่ากันว่าเป็นทางข้ามม้าลายที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ โดยบรรยากาศของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) นั้น ยังครึกครื้นม๊าก ยิ่งใครมาเดินช่วงกลางคืน เราจะได้ดื่มด่ำไปกับแสง สี เสียงจากจอ LED มากมายที่ติดอยู่ตามมุมตึก รวมถึงแสงไฟหลากสีที่เปิดออกมาจากเหล่าอาคารและตึกที่อยู่รายล้อมส่งผลให้ทั่วทั้งแยกระยิบระยับเป็นดั่งราตรีที่ไม่มีวันสิ้นสุดเลยแหละ ทั้งหมดนี้มันเลยทำให้ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) โด่งดังขึ้นมาเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่าทางม้าลายแห่งนี้ได้ไปโผล่อยู่ในภาพยนต์ดังหลายเรื่องของโลก ไม่ว่าจะเป็น Fast and the Furious หรือ Resident Evil รวมถึงถูกนำไปเขียนลงนิตยสาร และบล็อกต่างๆ นับไม่ถ้วนกันเลยทีเดียว
สำหรับ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) นั้น มีขึ้นตั้งแต่ราวๆ ปี ค.ศ. 1932 เมื่อรถไฟสายโตคิวโทโยโกะ (Tokyu Toyoko) ในสถานีรถไฟชิบูย่า (Shibuya Station) เปิดทำการ ทำให้ช่วงเวลานั้น ชิบูย่า กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจของโตเกียว อีกทั้งยังเป็นจุดแวะพักสำคัญระหว่างโตเกียว (Tokyo) กับโยโกฮาม่า (Yokohama) อีกด้วย โดยข้อมูลสถิติการเดิรข้ามถนนของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ในช่วงปี ค.ศ. 2016 นั้นมีจำนวนผู้คนเดินผ่านทางข้ามม้าลายที่แยกแห่งนี้สูงถึง 3,000 คนต่อสัญญาณไฟเขียวหนึ่งครั้งที่เปิดให้คนเดินผ่าน (ทุกๆ 2 นาที) เลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้จะมีผู้คนเดินพลุกพล่านมากแค่ไหน แต่บริเวณ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) กลับไม่เคยมีการจราจรติดขัดเลย แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนก็ตาม
ปัจจุบันนี้ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ได้กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคนหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มักจะมานัดพบและมารวมตัวกันในแยกแห่งนี้ก่อนจะเริ่มออกเดินเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ และแน่นอนว่าทุกคนนั้นต่างมาเพื่อถ่ายรูปชิคๆ ท่ามกลางทางม้าลายที่มีผู้คนกำลังเดินผ่านไปมานั่นเอง โดยบริเวณ ห้าแยกของเค้าจะเป็นลักษณะทางข้ามม้าลายขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยตึกสูง ซึ่งจากทางม้าลายนั้นมันสามารถเดินข้ามไปสู่ถนน 5 เส้นที่แยกตัดไปออกไปตามซอกซอยในย่านชิบูย่าได้ โดยไฮไลท์ของที่นี่เลยคือ ทางม้าลายที่อยู่ใจกลางแยก ซึ่งในทุกๆ 2 นาที จะมีสัญญาณไฟเขียวเปิดขึ้นเพื่อให้ผู้คนเดินข้ามผ่านไปมา และแน่นอนว่ามีนักท่องเที่ยวหลายคนนั้นมาเดินสับๆ ถ่ายรูปกันแบบแตกแตน โดยช่วงเวลาพีคๆ มีคนเดินข้ามทางม้าลายนี้กว่า 3,000 คนต่อหนึ่งไฟเขียว ถึงขนาดที่ว่ามีการตั้งชื่อให้ปรากฏการณ์การข้ามถนนแยกนี้ว่า “Scramble” (วุ่นวายยุ่งเหยิง) เพราะพอสัญญาณไฟเขียวแสดงขึ้นปุ๊บ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจะแห่แหนลงมาบนทางข้ามม้าลายเพื่อเดินข้ามกันให้ขวัก
โดยตึกและอาคารที่อยู่รอบ ๆ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) มีตั้งแต่ตึกสำนักงาน ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และสถานบันเทิงเยอะแยะมาก เรียกว่าเดินถ่ายสนุกและช็อปต่อกันได้เพลินๆ เล้ย ยิ่งถ้าใครมาที่นี่ในช่วงเวลากลางคืน ตึกเหล่านี้เค้าจะเปิดแสงไฟพร้อมกับจอแอลอีดีที่แสดงโฆษณากันแบบพรึ่บพรั่บ ทำให้ทั่วทั้ง ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ส่องสว่างเจิดจ้าสุดๆ
รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue)
อีกหนึ่งแลนด์มาร์คดังของ 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ที่ใครมาเที่ยวย่านนี้แล้วอยากจะนัดพบปะเพื่อนฝูงแต่กลัวหลงทางหากันไม่เจอ หนึ่งในจุดสังเกตุการณ์ง่ายๆ ที่คนญี่ปุ่นเค้านิยมใช้เป็นสถานที่นัดพบเลยก็คือบริเวณ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ฮาจิโกะ สแควร์ (Hachiko Square) ใกล้กับทางข้ามม้าลาย 5 แยกชิบูย่า โดยรูปปั้นนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ที่เกิดจากเรื่องราวของศาสตราจารย์เอซาบูโร อูเอโนะ อาจารย์ภาควิชาเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว (Tokyo University) ที่ได้รับเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ อาคิตะ อินุ (Japanese Akita Inu) ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้าของเป็นอย่างมาก โดยศาสตราจารย์เค้าได้ตั้งชื่อสุนัขของตนว่า “ฮาจิ” ที่หมายถึงเลข 8 เลขนำโชคของคนญี่ปุ่น
โดยทุกๆ เช้าที่ ศาสตราจารย์เดินทางไปทำงานที่มหาลัย เจ้าฮาจิจะวิ่งตามไปส่งจนถึงสถานีชิบูย่า (Shibuya Station) เสมอ และพอถึงบ่าย 3 มันจะวิ่งกลับมารอเจ้านายที่เดิมจนกลายเป็นภาพคุ้นตาของผู้คนในระแวกนั้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1925 ศาสตราจารย์อูเอโนะ เสียชีวิตลงจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกตาย และไม่ได้เดินทางกลับมาที่สถานีรถไฟอีกเลย แต่เจ้าฮาจิยังคงทำหน้าที่ของมันด้วยการมารอศาสตราจารย์ในทุกๆ วัน แม้ว่าคนที่ผ่านไปผ่านมาจะบอกมันว่าเจ้านายไม่กลับมาแล้วก็ตาม ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปจนถึงปี ค.ศ. 1935 เจ้าฮาจิก็ได้ตายไปด้วยวัย 11 ปี โดยได้มีการนำเอาร่างของฮาจิมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติญี่ปุ่น (National Museum of Nature) ในสวนอุเอโนะ กรุงโตเกียว รวมถึงได้สร้างป้ายอนุสรณ์ของฮาจิอยู่ข้างๆ หลุมศพของศาสตราจารย์อูเอโนะ และสร้างรูปปั้นมาตั้งไว้ใจกลางย่านชิบูย่าอีกด้วย
เรื่องราวความจงรักภักดีของฮาจิที่มีต่อศาสตราจารย์อูเอโนะถูกพูดถึงและเป็นข่าวในวงกว้าง จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Hachi : a Dog’s Tale (ปี ค.ศ. 1987) โดยได้ดัดแปลงเนื้อหามาจากเรื่องราวของฮาจิ และศาสตราจารย์อูเอโนะ ซึ่งหนังก็ทำออกมาได้ดีและเรียกน้ำตาของคนดูไปไม่น้อยเลยเชียว ปัจจุบันนี้ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) ได้กลายเป็นจุดฮิตที่คนนิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันไปแล้ว โดยในวันที่ 8 เมษายนของทุกปีที่ญี่ปุ่นนั้น เค้าจะถือว่าเป็นวันรำลึกและบำรุง รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) ในขณะเดียวกันก็มีชาวญี่ปุ่นบางกลุ่มที่เค้ากำหนดให้ทุกวันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสุนัขผู้ซื่อสัตย์อีกด้วย
บริเวณรอบๆ ของ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) เค้าจะมีที่นั่งพักให้คนมานั่งเล่นกัน ท่ามกลางบรรยากาศรอบข้างที่เต็มไปด้วยผู้คนแบบมหาศาลม๊ากก เนื่องจากคนเค้าจะมาถ่ายรูปกับรูปปั้นแล้ว จุดนี้ยังเป็นสถานที่นัดพบที่คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชอบนัดแนะมาเจอกันอีกด้วย ด้วยความที่ตรงรูปปั้นนี้เสมือนเป็นแลนด์มาร์คจุดเดียวของแยกชิบูย่า ทำให้การนั้นเจอนั้นง่ายและไม่หลงนั่นเอง ฟีลแบบมาด้วยกันแล้วแยกย้ายช้อปปิ้ง เสร็จแล้วก็มานัดเจอกันตรง รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) แบบนี้ เราเลยจะเห็นว่า รอบข้างของรูปปั้นไม่เคยได้เงียบเหงา เพราะมีคนมาหยุดรอเพื่อน และถ่ายรูปเล่นกันอยู่ตลอดเวลา
จึงเรียกได้ว่า รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) นั้น เป็นรูปปั้นดังประจำเมืองโตเกียวไปเป็นที่เรียบร้อย หากใครมีโอกาสได้มาเที่ยวในย่านชิบูย่า แล้วอยากถ่ายรูปลงโซเชียลให้คนรู้ว่าเรามาที่ไหน ก๊อตบอกเลยว่า รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) เป็นอีกหนึ่งจุดห้ามพลาดที่ต้องมากัน ดังนั้น อย่าลืมจดที่นี่ลงลิสต์เที่ยวด้วยเด้อ
ร้านสตาร์บัคส์ ตรงร้านสึทาน่า สาขาแยกชิบูย่า (Starbucks Coffee Shibuya Tsutaya)
หากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาดูวิวมุมสูงของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) แต่ไม่รู้ว่าจะต้องขึ้นไปดูที่ไหน ที่แรกที่ก๊อตแนะนำเลยคือ ร้านสตาร์บัคส์ ตรงร้านสึทาน่า สาขาแยกชิบูย่า (Starbucks Coffee Shibuya Tsutaya) หนึ่งในจุดดูวิวสุดป๊อบที่เห็นเด่นชัดตั้งแต่เราเดินข้ามถนนใจกลาง ห้าแยก ซึ่งร้านเค้าจะตั้งอยู่บนชั้นสองของร้าน Tsutaya โดยเราสามารถซื้อกาแฟจากบริเวณชั้น 1 แล้วถือขึ้นไปหาที่นั่งดื่มบนชั้น 2 ได้เลย โดยเค้าจะมีโต๊ะบาร์ยาวๆ ให้ลูกค้าได้มาเลือกนั่งดูวิวห้าแยกชิบูย่าด้านล่างได้แบบเต็มสายตาเลย
แต่ก๊อตบอกก่อนเลยว่าใครจะมาที่ ร้านสตาร์บัคส์ ตรงร้านสึทาน่า สาขาแยกชิบูย่า (Starbucks Coffee Shibuya Tsutaya) อาจจะต้องเตรียมใจมาก่อน เพราะที่นั่งบนนี้เค้าเต็มไวม๊าก เราอาจจะต้องถือกาแฟเดินส่องนั่นนี่ไปพลางๆ พอมีจังหวะคนลุก เก้าอี้ว่างปุ๊บให้รีบพุ่งตัวไปนั่งติดขอบกระจกได้เลย เราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) จากชั้นสองลงมา ไวบ์ของผู้คนที่เดินข้ามถนนไปมาในช่วงสัญญาณไฟเขียวก็จะต่างกันจากตอนที่เรายืนถ่ายรูปเล่นกันอยู่ด้านล่างนา เป็นอีกมุมฮิตที่ต้องมาเลย
มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park)
สำหรับคนที่มาเที่ยวย่าน ชิบูย่า (Shibuya) แล้วอยากหามุมกิน ช้อป และพักผ่อนไปในตัว แถมยังมีกิจกรรมมากมายให้ได้มาทำนั้น ก๊อตแนะนำให้มากันได้ที่ มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ได้เลย เพราะที่นี่เป็นแลนด์มาร์คใจกลางย่านชิบูย่าที่รวบรวมเอาทั้งศูนย์การค้า โรงแรม สวนสาธารณะลอยฟ้า รวมไปถึงกิจกรรมมากมาย ทั้งลานสเก็ตบอร์ด, หน้าผาจำลอง, พื้นที่เล่นทรายกับเด็กๆ มารวมเข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว จนกลายมาเป็นแหล่งคอมมูนิตี้แบบครบครันที่ไม่ควรพลาด
มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) เดิมทีนั้นที่นี่เป็นเพียงสวนสาธารณะบนลานจอดรถ แต่ในภายหลังได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ใช้สอยถึง 4 ชั้น โดยตั้งแต่ชั้น 1 - 3 ได้ปรับให้เป็นศูนย์การค้า Rayard Miyashita Park ส่วนในบริเวณชั้น 4 เปิดเป็นสวนสาธารณะและโรงแรม ซึ่ง มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) โฉมใหม่นี้เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อช่วงเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมานี่เอง
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
สำหรับบรรยากาศรอบๆ ของ มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) นั้น ภาพลักษณ์โดยรวมจากที่เรามองอยู่ข้างนอก เค้าเป็นเหมือนห้างที่ตั้งอยู่ริมถนนทั่วไปเลย แต่บรรยากาศจะดูครึกครื้นเอาเรื่อง โดยบริเวณชั้น 1 ซึ่งเป็นพื้นที่ของศูนย์การค้า Rayard Miyashita Park ด้านนอกของเค้าเรียงรายไปด้วยร้านอาหารแบบอิซากายะ (Izakaya) ที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงแบบสุดฤทธิ์ ใครหิวอยากจะแวะกินสามารถเดินเลือกร้านที่ชอบแล้วพุ่งตัวเข้าไปฝากท้องกันก่อนได้
ในส่วนของศูนย์การค้า Rayard Miyashita Park นั้น ภายในให้ฟีลเหมือนห้างขนาดย่อมๆ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ชั้น โดยเป็นแนวยาวลึกเข้าไปประมาณ 330 เมตร ทำให้เค้าแบ่งพื้นที่ช้อปปิ้งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งเหนือและฝั่งใต้ เต็มไปด้วยร้านค้ามากกว่า 90 ร้าน มีสินค้าขายตั้งแต่ร้านแบรนด์สตรีท แบรนด์แฟชั่น ทั้งเสื้อผ้า ของใช้ อุปกรณ์กีฬา ร้านขายแผ่นเสียง ไปจนถึงสารพัดของจิปาถะที่มีดีไซน์เก๋ๆ ในราคาจับต้องได้ นอกจากนี้ยังมีช็อปสินค้าระดับไฮเอนด์ที่คัดสรรมาให้เราได้เลือกช้อปกันเป็นอย่างดี หรือถ้าใครอยากจับจ่ายเหล่าของกิน ที่นี่เค้าก็มีร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ให้ได้แวะเวียนเข้าไปด้วยนา
ไฮไลท์ของ มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ที่ทำให้ก๊อตตั้งใจมาเที่ยวที่นี่เลยคือ บริเวณของสวนสาธารณะที่อยู่บนดาดฟ้าของชั้น 4 ซึ่งเค้าจะเป็นพื้นที่สีเขียวกว้างๆ มีสนามหญ้าขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เพิ่มความร่มรื่นให้กับพื้นที่ให้เราได้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งตอนที่ก๊อตไปนั้นเป็นช่วงที่เค้าจัดแสดงผลงานอินสตอลเลชันของโดราเอม่อนแซมอยู่ด้วย นอกจากเราจะได้มาผ่อนคลายไปกับธรรมชาติแล้วยังได้ดื่มด่ำกับงานศิลปะอีกต่างหาก โชคไม่ดีไปหน่อยที่ฝนตก ทุกอย่างเลยชุ่มฉ่ำแถมความเงียบเหงาไปหน่อย ฮ่าๆ
นอกจากนี้ บนสวนสาธารณะยังมีพื้นที่อเนกประสงค์ให้ได้มาทำกิจกรรมอยู่เยอะม๊าก เริ่มจากกิจกรรมปีนหน้าผาจำลอง ที่เค้ามีหน้าผาจำลองความสูงถึง 8 เมตรให้ได้มาทดลองปีน ซึ่งใครที่เป็นสายปีนผาแต่ไม่ได้พกอุปกรณ์มาด้วย ไม่ต้องกังวลไปเพราะที่นี่เค้ามีอุปกรณ์แบบครบเซตให้เช่า รวมถึงมีรองเท้าสำหรับปีนผาตั้งแต่ของเด็กไปจนถึงของผู้ใหญ่เตรียมไว้ให้ด้วย หรือใครเป็นสายสตรีทรักในการเล่นสเก็ตบอร์ดหรืออยากลองเล่นสักครั้ง บนนี้มีสนามสำหรับเล่นสเก็ตบอร์ดจริงๆ มาให้เราได้ลองเรียนกันด้วย แต่กิจกรรมนี้บอกก่อนว่ามีค่าเรียนนา ส่วนราคาและรายละเอียดสามารถติดต่อที่หน้างานได้เลย ส่วนใครที่อาจมาเที่ยวกันเป็นครอบครัวมีเจ้าตัวน้อยมาด้วย ที่นี่ยังมีมีกิจกรรมกีฬาบนชายหาด และลานเล่นทรายสำหรับเด็กรวมอยู่ด้วย ดังนั้น ไม่ต้องกลัวว่าเจ้าตัวน้อยจะเบื่อกันเลย และหากเดินเล่นก็แล้ว ลุยกิจกรรมแบบจัดเต็มมาเหนื่อยๆ บนนี้มีสตาร์บัคส์ และฟู๊ดทรัคขายอาหารอยู่ด้วย จะแวะเติมพลังก่อนกลับลงไปก็ได้เด้อ
โดยรวมแล้ว มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ส่วนตัวก๊อตว่าเค้าทำออกมาได้ดี และถือว่าตอบโจทย์คนทุกไลฟ์สไตล์ แถมยังครบครันทั้งเรื่องกิน เที่ยว ช้อป ยิ่งพื้นที่สวนของเค้าที่อยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่อันพลุกพล่าน มันทำให้เราเห็นว่าเค้าใส่ใจเรื่องพื้นที่สีเขียวมากแค่ไหน แม้จะเป็นสวนบนชั้น 4 ของตึก แต่ที่นี่ก็ช่วยแต่งแต้มให้เมืองมันมีสีเขียวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นสถานที่ให้ผู้คนได้ปลีกวิเวกหนีจากความวุ่นวายมาพักใจจอยๆ ท่ามกลางธรรมชาติได้ดีเลยเชียว เอาเป็นว่าใครมาเที่ยวโตเกียว (Tokyo) ลองมาได้เลย ไม่ผิดหวังแน่นอน
ชิบูย่า สกาย (Shibuya Sky)
ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) สำหรับคนที่อยากหาจุดชมวิวสกายไลน์เมืองโตเกียวสวยๆ ล่ะก็ หนึ่งในจุดชมวิวที่ก๊อตอยากลากแขนจูงมือทุกคนมาเลย คือ ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) ที่ถือเป็นจุดชมวิวใหม่ของโตเกียว ที่ตั้งอยู่บนยอดตึก Shibuya Scramble หนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในชิบูย่า โดยมีทั้งจุดชมวิวทั้งแบบอินดอร์และเอาท์ดอร์บนดาดฟ้า แถมไม่ได้มีดีแค่ให้ขึ้นมาดูวิวสวยๆ เท่านั้น แต่เค้ายังมาพร้อมนิทรรศการหมุนเวียนที่จัดสลับสับเปลี่ยนกันเรื่อยๆ แถมยังมีรูฟท็อปที่จะมี DJ มาบรรเลงเพลงให้เราได้โยกย้ายกันไม่ซ้ำในแต่ละวัน รวมถึงยังมีมุมฉายหนังกลางดาดฟ้า และมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกเพียบจนทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในที่เที่ยวโตเกียวที่ต้องมากันเลยทีเดียว
สำหรับ ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) ตั้งอยู่บนอาคาร Shibuya Scramble หนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในย่านชิบูย่าในระดับความสูง 47 ชั้น โดยสูงจากระดับพื้นดิน 230 เมตร โดยจุดชมวิวนั้นเพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา โดยจุดชมวิวถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ Sky Gallery (ชั้น 45 จุดชมวิวอินดอร์) และ Sky Stage (ชั้น 46 จุดชมวิวบนดาดฟ้า) โดยวิวจากด้านบนของ ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) หากเรามาในวันฟ้าเปิดจะได้เห็นเมืองโตเกียวและแลนด์มาร์คสำคัญกันแบบพรึ่บพรั่บ ไม่ว่าจะเป็น โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) และ โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) รวมถึงยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) ได้อีกด้วย
การมาเที่ยว ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) ตรงหน้าตึก Shibuya Scramble จะมีทางขึ้นไปยังชั้น 14 ที่เป็นทางเข้าจุดชมวิวโดยเฉพาะเลย โดยเมื่อถึงสล็อตเวลาที่เราจองมาล่วงหน้าแล้ว เราโชว์ตั๋วให้พนักงานดูได้เลย เค้าจะพาเราเดินไปขึ้นลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ซึ่งใช้เวลาขึ้นลิฟต์ไม่นานก็มาถึงชั้น 45 แล้ว เมื่อเดินออกจากลิฟต์มันจะต้องเดินผ่านอุโมงค์เหมือนเป็นประตูพาเราไปสู่จุดชมวิวกันก่อน จากนั้นใครที่พกของติดตัวมาด้วย พนักงานจะแนะนำให้เรานำข้าวของฝากไว้ในล็อกเกอร์ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ลุยโลดด
โดยจุดชมวิวแรกของเราจะอยู่ที่บริเวณชั้น 45 ซึ่งเป็นโซน Sky Gallery ลักษณะเป็นจุดชมวิวแบบอินดอร์ ซึ่งจะเป็นชั้นสี่เหลี่ยมกว้างๆ รายล้อมไปด้วยผนังกระจกใส ภายในเป็นทางเดินวนรอบๆ ตัวอาคารให้เราสามารถมองวิวเมืองโตเกียว (Tokyo) ได้รอบทิศทาง ซึ่งวิวบนนี้เค้าสวยม๊ากก อย่างภาพบรรยากาศมุมสูงของ 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ที่ห้อมล้อมไปด้วยตึกและอาคารมากมายในช่วงมืดไปแล้วนั้น ตามตรอกซอกซอยของเค้ามันเปล่งประกายระยิบระยับจากแสงไฟหลากสีสัน ยิ่งในบริเวณทางข้ามม้าลายที่เป็นแลนด์มาร์คนะ จัดว่าเป็นมุมที่แสงสีพร่างพราวสุดๆ และด้วยความที่เราอยู่ชมวิวอยู่บนชั้นที่สูงมากๆ มันเลยทำให้มองเห็นผู้คนที่เดินกันให้ขวักอยู่ข้างล่างไม่ต่างอะไรกับมดตัวจิ๋วๆ ที่กำลังเดินสวนกันไปมาเลย เป็นวิวที่มองแล้วมีแต่คำว่าสวยแบบตะโกนเว่อร์
นอกจากนี้ยังมองเห็นสถานที่เที่ยวฮิต และแลนด์มาร์คอื่นๆ อีกด้วยนา ไม่ว่าจะเป็น มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) แหล่งคอมมูนิตี้ที่มีทั้งห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร และสวนสาธารณะบนดานฟ้าอยู่ร่วมกัน ซึ่งจากบนนี้เราสามารถมองเห็นพื้นที่ทั้งหมดของเค้าที่เปิดไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งตึกได้ด้วย เป็นวิวในอีกมุมมองหนึ่งที่สวยเอาเรื่อง และยังไม่หมดเท่านั้นนะ เพราะจากบนชั้น 45 นี้ ยังมองออกไปไกลจนเห็นถึง โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) ซึ่งตั้งสง่าท่ามกลางเมืองโตเกียว (Tokyo) ล้อมรอบไปด้วยดงตึก และถนนที่มีรถราวิ่งสวนกันไปมา เป็นอีกมุมที่สวยจับจิตจับใจจนอดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องขึ้นมาแช๊ะภาพเอาไว้เป็นความทรงจำ
นอกจากการดูวิวเมืองโตเกียวสวยๆ แล้ว ชั้นนี้เค้ายังมีนิทรรศการหมุนเวียนจัดแสดงอยู่ด้วยนะ อย่างก๊อตมาเที่ยวที่นี่แล้ว 2 รอบ ก๊อตก็เจอนิทรรศการใหม่ทั้งสองรอบเลย ซึ่งงานแรกจะเป็นฟีลเหมือนพาเราหลุดเข้าไปสู่โลกของพฤกษศาสตร์ที่เค้ายกเอาความสดชื่นของต้นไม้ และดอกไม้นานาพันธุ์มาจัดแสดงเอาไว้ให้เราได้เดินชม ความดีงามมันอยู่ที่ตามแต่ละมุมตึก จะมีการจัดพร๊อพของต้นไม้นานาพันธ์และดอกไม้สวยๆ ให้ได้แวะถ่ายกันเป็นจุดๆ อีกด้วย ส่วนนิทรรศการอีกงานบรรยากาศแตกต่างกันลิบลับ งานนี้เค้าทำเป็นทางเดินให้เราเดินวนรอบชั้น ซึ่งตามมุมและพื้นรวมไปถึงตามเพดานจะมีลูกบอลสีเงินมากมายวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ฟีลเหมือนอวกาศหน่อยๆ ที่ถ่ายรูปออกมาสวยไม่แพ้กันเลย
สำหรับใครที่เดินวนดูจนครบทั้ง 4 มุมตึกแล้ว ชั้นนี้เองยังมีบาร์ขายเครื่องดื่มให้เราได้สั่งเครื่องดื่มมานั่งดื่มชิลๆ พร้อมกับชมวิวเมืองโตเกียวด้านล่างได้ด้วยนะ แต่ถ้าใครอยากดูวิวบนดาดฟ้าแบบเอาท์ดอร์ ให้เราเดินขึ้นไปต่อที่ชั้น 46 ซึ่งจะเป็นโซน Sky Stage พื้นที่กลางแจ้งบนดาดฟ้าที่เราสามารถมาเพลิดเพลินกับทิวทัศน์เส้นขอบฟ้าของเมืองได้โดยไม่มีอะไรมากั้น
โดยชั้น 46 จะมีทั้งรูฟท็อปที่ในแต่ละวันจะมี DJ มาเปิดเพลงเล่นดนตรีให้ได้ฟังกันแบบสดๆ หรือจะเป็นมุม Rooftop Theatre ซึ่งจะมีการฉายหนังบนจอภาพขนาดใหญ่บนดาดฟ้าให้เราได้รับชมกันในบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร และที่เป็นไฮไลท์เลยคือมุมถ่ายรูปสามเหลี่ยมมุมตึกที่ยื่นหน้าออกไปหาเมืองด้านล่าง ซึ่งเป็นจุดที่ให้ผู้คนนิยมมาโพสต์ภาพถ่ายรูปกับวิวสกายไลน์เมืองกันแตกแตนสุดๆ อีกมุมป๊อบที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยเพราะคนเค้าชอบมาถ่ายวิดีโอลง IG Reels กันเยอะม๊าก คือ มุมบันไดเลื่อนจากดาดฟ้าลงไปยังชั้น 45 ซึ่งจะเป็นบันไดเลื่อนข้างตึกที่ขณะลงไปนั้น สามารถมองออกไปเห็นวิวเมืองด้านล่างที่เหมือนโอบล้อมรอบตัวเราไว้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองรอบที่ก๊อตมาเที่ยวที่ ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) นั้น อากาศไม่เป็นใจจากฝนที่ตกหนักทั้งสองรอบ ซึ่งเมื่อไหร่ที่สภาพอากาศไม่ดี ทั้งหมดของชั้น 46 เค้าก็จะปิดไม่ให้คนขึ้นไป และไม่มีการรีฟันด์ค่าเข้าด้วยนะเออ เพราะมันเป็นสิ่งที่เค้าเองก็ควบคุมไม่ได้นั่นเอง แง้
แต่ถึงเราจะแห้วขนาดนี้ ก๊อตยังคงแนะนำว่า การขึ้นมาดูวิวบน ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ก๊อตแนะนำมาก ด้วยความที่เค้าตั้งอยู่บนยอดตึกที่สูงที่สุดในย่านชิบูย่า นั่นหมายความว่าเราจะได้ส่องวิวสกายไลน์ของเมืองโตเกียวที่สูงกว่าใครเพื่อนในย่านนี้ อีกทั้งบนนี้ยังมองลงไปเห็นวิว 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ได้แบบเต็มสายตาเว่อร์ เอาเป็นว่าใครที่เป็นสายเก็บวิวเมืองแบบมุมสูง หากมาเที่ยวโตเกียวต้องจด ชิบูย่าสกาย (Shibuya Sky) เข้าไปในแพลนเที่ยวด้วย มันคุ้มค่ากับการขึ้นมามากเลยล่ะ!
ตึกชิบูย่า ฮิคาริเอะ (Shibuya Hikarie)
สำหรับคนที่อยากดูวิว ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) จากมุมสูง อีกจุดที่ก๊อตแนะนำให้ทุกคนมาคือตึก ชิบูย่า ฮิคาริเอะ (Shibuya Hikarie) ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) กันได้เลย โดยที่นี่เป็นตึกสูง 34 ชั้น ที่เป็นทั้งห้างสรรพสินค้า ShinQs ที่มีร้านค้ามากกว่า 200 ร้าน ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ชั้น B3 ไปจนถึงชั้น 5 นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร และคาเฟ่ พื้นที่สำหรับจัดแสดงนิทรรศการศิลปะ โรงละคร รวมไปถึงชั้นสำนักงานอีกด้วย
แต่ที่ก๊อตจะพาทุกคนมาดูวิว ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) นั้น ให้ทุกคนกดลิฟต์ขึ้นมาที่ชั้น 11 ได้เลย โดยชั้นนี้เค้าเป็นพื้นที่โล่งพร้อมกับกระจกใสตั้งแต่พื้นจรดเพดานที่เราสามารถมายืนแล้วส่องดูวิวของ ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) กันได้แบบฟรีๆ นั่นเอง
นอกจากจะได้มาดูวิวสวยๆ แล้ว ในตอนที่ก๊อตไปนั้นบนชั้นนี้ยังมีนิทรรศการเล็กๆ เกี่ยวกับการพัฒนาย่านชิบูย่าจัดแสดงอยู่ด้วย ที่ก๊อตชอบก็คือการได้มาเดินส่องโมเดลจำลองย่านนี้ ที่ฝั่งหนึ่งเป็นโมเดลจำลองย่านนี้แบบภาพกว้างๆ และอีกฝั่งจะเป็นโมเดลจำลองย่านชิบูย่าที่ต่อจากเลโก้ ความน่ารักมันอยู่ที่เค้าจำลองตั้งแต่ตึกรางบ้านช่องบนพื้นดินไล่ลึกลงไปถึงรถไฟใต้ดิน ซึ่งชิ้นงานได้ยกเอาสถานีรถไฟใต้ดินเซตขึ้นมาให้ได้เห็นกันแบบสมจริง โดยมีเหล่าฟิกเกอร์เลโก้ตัวจิ๋วมากมายอยู่ในท่าทางและกิจกรรมที่ต่างกันออกไป ให้บรรยากาศเหมือนเราอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินจริงๆ เลย ถือว่าเป็นการขึ้นมาดูวิวแล้วได้ดูโมเดลน่ารักๆ ไปในตัวด้วย ถือว่าดีงามเลยแหละ
สรุปการเที่ยวย่านชิบูย่า (Shibuya)
ชิบูย่า (Shibuya) สำหรับก๊อตแล้วถือเป็นอีกหนึ่งย่านที่ครบเครื่องมาก ทั้งเรื่องกิน เที่ยว ช้อป เริ่มจากของกินก่อนเลย คือเค้ามีร้านอาหารให้เลือกสรรกันตั้งแต่ร้านสตรีทฟู้ด ไปจนถึงร้านดังๆ ที่ใครใคร่อยากลองแบบไหนในย่านนี้มีให้เลือกหมด ซึ่งอาหารส่วนใหญ่จากที่ก๊อตแรนด้อมกินกันมา ราคาอยู่ในระดับไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงเข้าถึงได้ แถมรสชาติถูกป่ก ส่วนเรื่องเที่ยว ในย่านนี้มีแลนด์มาร์คมากมายให้ได้มาตามรอยเยอะมาก ทั้ง 5 แยกชิบูย่า (Shibuya Crossing) ทางข้ามม้าลายชื่อดังที่ใครมาเที่ยวโตเกียวต่างก็ปักหมุดมาที่นี่ หรือจะเป็น รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (Hachikō Memorial Statue) ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์เตือนใจในเรื่องความซื่อสัตย์ระหว่างคนกับสัตว์ รวมถึงยังมีพื้นที่สีเขียวๆ ท่ามกลางพื้นที่เมืองอย่าง มิยาชิตะ ปาร์ค (Miyashita Park) ให้ผู้คนได้หลบไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย คือย่านนี้เค้ามีความเป็นเมืองจัดๆ ทุกอย่างดูทันสมัยไปหมด แต่ยังคงให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวกันมาก อันนี้ประทับใจเว่อร์ และสุดท้ายกับเรื่องช้อป แกรเอ้ย ร้านรวงในย่านนี้คือตาแตกมาก มีตั้งแต่แบรนด์สตรีทไปจนถึงไฮเอนด์แบบที่ขาช้อปมาแล้วมีล้มละลายแน่นอน ซึ่งทั้งหมดนี้มันช่วยทำให้ ชิบูย่า (Shibuya) กลายเป็นอีกหนึ่งในย่านเที่ยวในโตเกียวที่กลมกล่อมมาก เอาว่า ก๊อตยกให้เป็นอีกหนึ่งย่านที่ต้องมาเมื่อมาเที่ยวโตเกียวเลยเชียว
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡