สิงคโปร์ (Singapore) ประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดว่าเป็นหนึ่งในประเทศยอดฮิตที่คนไทยชอบไปเที่ยวกันมาก ด้วยความที่เค้าเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก นั่งเครื่องไปสองชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว แถมบ้านเมืองของเค้ายังเดินทางสะดวกด้วยรถสาธารณะ อาคารและตึกก็หรูหราอลังการ นอกจากนี้ที่เที่ยวก็เยอะเหมาะกับการมาเที่ยวที่สุด
สำหรับคนที่กำลังมองหาที่เที่ยวและกิจกรรมห้ามพลาดในสิงคโปร์ บอกเลยว่ามาอยู่ถูกหน้าแล้ว เพราะรีวิวนี้ก๊อตจะพาไปแนะนำกับ 9 ที่เที่ยวและกิจกรรมที่ต้องไปเมื่อเราไปเที่ยวสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นการไปเล่นเครื่องเล่นสุดหวาดเสียวในสวนสนุก Universal Studios Singapore (USS) ไปโดดบันจี้จัมพ์ให้หัวใจเต้นแรงที่ Skypark Sentosa ท่ามกลางวิวทะเลสวยๆ บนเกาะเซนโตซ่า (Sentosa Island) ไปทัวร์เมืองนั่งรถถ่ายรูปกับ Sidecar Heritage Tour ที่เค้าจะพาเรานั่งรถเวสป้าสุดวินเทจเที่ยวรอบเมือง
ยังไม่หมด เราจะขึ้นไปดูวิวสิงคโปร์กันแบบ 360 องศา บนจุดชมวิวสกายพาร์คที่ Sands Skypark Observation Deck บนตึกไอคอนิกสิงคโปร์อย่าง Marina Bay Sands อีกด้วย และสุดท้าย สำหรับคนชอบ Jurassic World รอบนี้ก๊อตยังได้เข้าไปพักที่ห้องธีม Jurassic World Staycation ที่โรงแรมสุดหรูอย่าง Hard Rock Hotels Singapore ที่บอกเลยว่าคอหนัง Jurassic World ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ บอกเลยว่าทริปนี้เราเที่ยวและทำกิจกรรมกันแบบจัดเต็ม จะมันส์สุดเหวี่ยงขนาดไหน ตามก๊อตไปเที่ยวสิงคโปร์กันเลยทุกคนนน
เที่ยวสิงคโปร์ ทั้งสะดวกและสนุกด้วยการจองกิจกรรมผ่าน KLOOK
เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าจะทริปไหน เวลาต้องจองตั๋วกิจกรรมต่างๆ แวบแรกก๊อตจะนึกถึง Klook ทันที โดยส่วนตัวแล้วก๊อตกับ Klook นี่ถือว่าเป็นคู่บุญกันเลย (ขาดเธอไม่ได้ หัวใจขอสารภาพ) เพราะนี่จองตั๋วกับ Klook เค้ามาตลอด ด้วยความที่จะจองอะไรก็สะดวก ใช้งานง่ายๆ บนมือถือ แถมยังมีกิจกรรมครอบคลุม หลากหลาย ตอบโจทย์ก๊อตได้ในทุกทริปเลย
อย่างกิจกรรมในสิงคโปร์เนี่ย จะบอกว่าเวลาเราจองตั๋วกิจกรรมผ่าน Klook ใช่ปะ เราสามารถเอาตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ที่เค้าออกให้บนมือถือ ไปโชว์หน้าประตูได้เลย โดยที่เราไม่ต้องไปเสียเวลาต่อคิวเข้าแถวนานๆ เพื่อแลกเป็นตั๋วจริงหน้าเคาท์เตอร์ขายตั๋วแหละ ซึ่งอันนี้น่ะบอกเลยว่าสะดวกมาก ทุกอย่างคืออยู่ในมือถือหมดแล้วจริงๆ
ส่วนเรื่องราคานั้น ก๊อตแอบกระซิบว่าราคาบางกิจกรรมเค้าขายถูกกว่าหน้าร้านอีกด้วยนะ ยิ่งถ้าเราจองในช่วงที่เค้ามีโปรโมชั่นรายเดือนอีกด้วยล่ะก็ เราสามารถหั่นราคาได้ถูกกว่าการซื้อหน้าเคาท์เตอร์ไปเยอะมากเลย
> คลิกเช็คส่วนลด Klook รายเดือนได้ที่นี่ อัพเดทตลอดทุกเดือน!
สุดท้ายใครจะจองตั๋วกิจกรรมต่างๆ เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ก๊อตแนะนำ Klook เค้านี่แหละ มีหมดทุกกิจกรรม ทั้งตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆ ทัวร์, รถเช่า, ตั๋วรถไฟ, บัตรเข้าชมคอนเสริต์, และซิมมือถือ หรือแม้แต่พ็อกเก็ตไวไฟ สำหรับการท่องเที่ยว แบบเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วจริงๆ ครอบคลุมแบบนี้ ก็ต้องเข้าไปจอง Klook กับเค้าแล้วแหละคู้นนนน
เริ่มต้นเที่ยวสิงคโปร์กันเลยย
1. เล่นเครื่องเล่น Revenge of the Mummy และขึ้นรถไฟเหาะ Battlestar Galactica ที่ Universal Studios Singapore
ถ้าถามว่าเครื่องเล่นไหนใน Universal Studios Singapore (USS) ที่สนุกและต้องกรี๊ดสุด ก๊อตขอยกให้กับ เครื่องเล่นสุดมันส์อย่างรถไฟเหาะแบบ Dark Ride ‘Revenge of the Mummy’ ที่มาในธีมของภาพยนตร์เรื่อง ‘The Mummy’ ที่เราจะได้เข้าไปผจญภัยในสุสานมัมมี่ ที่เราเห็นแล้วต้องขนลุกขนชันกับความเป็นอียิปต์กันตั้งแต่ประตูทางเข้า ด้วยรูปปั้นอนูบิส (Anubis) ขนาดใหญ่ 2 ตัวตั้งตะหง่านอยู่ตรงหน้า
โดยเครื่องเล่น Revenge of the Mummy นั้น เค้าเปิดให้เราได้เข้าเล่นกันตั้งแต่ปี 2010 โดยเครื่องเล่นจะเป็นแบบ Dark Ride ซึ่งคอนเซ็ปและเครื่องเล่นจะคล้ายกับเครื่องเล่นที่ Universal Studios Florida ที่อเมริกา แต่จะมีเนื้อเรื่องที่แตกต่างกันนิดหน่อย โดยของสิงคโปร์จะเป็นภารกิจที่เราจะเอาเหรียญเมดเจย์เพื่อไปตามล่าหนังสือทองคำแห่งชีวิต (Book of Living) โดยระหว่างทางจะมีเหล่ามัมมี่โผล่ออกมาให้ได้ตื่นเต้น และเพิ่มขีดความมันส์เพิ่มเข้าไปอีก ด้วยการให้เราเข้าไปสัมผัสภายในสุสานอียิปต์ได้โดยตรง โดยรถไฟเหาะเค้าก็จะพาเราออกตัวแบบเร็วมาก และมีจังหวะผาดโผนด้วยการหยุดกระชากให้เราได้ลุ้นระทึกกันตลอดเส้นทาง โดยช่วงพีคๆ รถไฟเหาะมันสามารถวิ่งได้เร็วถึง 72 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ใครที่เป็นแฟนหนัง ‘The Mummy’ นี่ว่ามีกรี๊ด เพราะระหว่างทางที่รถไฟเคลื่อนตัวออกไป มันให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังเดินทางเข้าสู่หลุมฝังศพของนักบวชอิมโฮเทป (Imhotep) โดยจะมีข้อความเขียนบนกำแพงว่า ‘Find the Book’ ซึ่งเราจะต้องตามหาหนังสือทองคำแห่งชีวิต ที่จะช่วยทำลายคำสาปของอิมโฮเทปให้เจอ ฟีลมันแบบถ้าเราตามหาหนังสือไม่เจอ เราจะถูกสาปให้อยู่ในห้วงความมืดนี้ตลอดไป
และมันจะมาฉากระทึกอันนึง ที่เราขี่เข้าไปแล้วจะเจอกับเอเวอลีน คาร์นาฮัน โอคอนเนลล์ ที่จะคอยบอกให้เราค้นหาหนังสือให้เจอแล้วฆ่านักบวชอิมโฮเทป (Imhotep) นั่นซะ! แต่ชีดันบอกรายละเอียดไม่จบ ก็ถูกนักบวชอิมโฮเทป (Imhotep) ดูดวิญญาณไปก่อนจะบอกความลับบางอย่างกับเรา หลังจากนั้นเสียงอันเหี้ยมโหดของนักบวชมารก็ตะโกนขึ้นมาว่าเราจะไม่มีทางเจอหนังสือเล่มนี้ และวิญญาณของเราจะตกเป็นของมันตลอดไป
บอกเลยว่าอันนี้โคตรเรียล เหมือนยกหนัง ‘The Mummy’ มาไว้ตรงหน้า ด้วยความที่เค้ายกฉากและตัวละครจริงจากในภาพยนตร์มา มันเลยทำให้เราอินและเข้าถึงสุสานมัมมี่มากขึ้น ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องมาลองเล่นสักครั้ง มันมาครบทั้งความสนุก ความมันส์ และความสยดสยองตามสไตล์หนังแบบเป๊ะๆ เลยย
มาต่อกันอีกหนึ่งเครื่องเล่นที่พลาดไม่ได้ คือ รถไฟเหาะ Battlestar Galactica จากซีรีย์เรื่อง Battlestar Galactic ที่วิ่งด้วยความสูงกว่า 42 เมตร แบบรางคู่ โดยเราสามารถเลือกความเสียว โดยเค้าจะมีรถไฟเหาะแยกกันชัดเจนสองฝั่ง คือฝั่งดี ‘Human’ และ ฝั่งตัวร้าย ‘Cylon’ โดยสองอันนี้แตกต่างกันที่ เป็นรถไฟเหาะแบบนั่งปกติ และแบบห้อยขานั่นเอง
สำหรับรถไฟเหาะฝั่งดี Human เราจะได้นั่งรถไฟแบบรางสีแดงที่เป็นการนั่งบนรถปกติ ซึ่งเค้าจะมีความเร็วในเลเวลพอดี ไม่หวาดเสียวจนเกินไป ให้ฟีลเป็นคนดี ชีวิตไม่ต้องผาดโผนมาก 5555 แต่ถ้าเราเลือกนั่งฝั่งตัวร้าย Cylon เราจะได้นั่งห้อยขาบนรถไฟเหาะรางสีน้ำเงิน อันนี้บอกเลยโคตรมันส์ เหมาะกับการเป็นคนรว้ายๆ เว่อร์ ความสนุกมันอยู่ที่รถไฟมันจะพาเราเหาะเหิน ไต่อากาศ หมุนเกลียวตีลังกาล้านตลบ แบบขึ้นแล้วมีร้องขอชีวิต ลงมาร้องขอยาดมเลยเชียว ฮ่าๆ
เครื่องเล่น Battlestar Galactica ถือเป็นเครื่องเล่นรถไฟเหาะสองตัวที่หวาดเสียวและสนุกที่สุดสำหรับก๊อต เมื่อเทียบกับเครื่องเล่นทั้งหมดใน Universal Studios Singapore แล้วแหละ ด้วยความมันส์ขนาดนี้ บอกเลยว่าคิวต่อแถวนานม๊าก ต่อคิวขั้นต่ำคือ 60 นาที หรือช่วงไหนที่พีค ก๊อตเจอมาแล้วที่ 150 นาทีเลยแหละ ดังนั้น ใครที่ไม่อยากเสียเวลา แนะนำให้ซื้อ Fast Pass เพื่อลัดคิวและประหยัดเวลาสำหรับสองเครื่องเล่นนี้ได้เลย
ใครที่ชื่นชอบ หลงใหลในกิจกรรมหวาดเสียว มา Universal Studios Singapore ต้องห้ามพลาดสองเครื่องเล่นนี้นะ อ้อ! อย่าลืมพกยาดมกันด้วยล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าก๊อตไม่เตือน 5555
ซื้อบัตรกิจกรรม เข้า Universal Studios Singapore กับ KLOOK คลิก
2. กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa
คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวสิงคโปร์ ไม่มาเที่ยวตามแลนด์มาร์คดัง ก็ต้องเที่ยวสวนสนุก แต่ใครจะคิดว่าสิงคโปร์เค้ามีที่เที่ยวแนวแอดเวนเจอร์เยอะมากเลยนะ ยิ่งบนเกาะ Sentosa ที่นอกจากจะมี Universal Studios Singapore ที่ทุกคนต้องมาแล้ว เค้ายังมีเส้นทางเดินเทรล ชายทะเล และสถานที่ให้เล่นกิจกรรมผาดโผด ไม่ว่าจะทางบก หรือทางน้ำเค้าก็มีให้ได้เลือกเล่นเยอะเลย อย่างที่ก๊อตจะพาไปเล่นในครั้งนี้คือการกระโดดบันจี้จัมพ์ ท่ามกลางวิวทะเลสวยๆ ที่บอกเลยว่านี่เป็นการกระโดดบันจี้จัมพ์ครั้งแรกในชีวิตของก๊อตเลย
ซึ่งที่เราจะไปกระโดดบันจี้จัมพ์นั้น คือ Skypark Sentosa ภายในเค้าจะมีกิจกรรมให้เราได้เลือกเล่นเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Skybridge ทางเดินลอยฟ้ายาวกว่า 50 เมตร ที่ก๊อตว่าใครกลัวความสูงยังอยู่ในระดับที่เดินเล่นไหว หรือจะเป็น GiantSwing เครื่องเล่นที่มัดตัวเราเอาไว้ในแนวนอนแล้วพาบินแกว่งไปมาเข้าหาชายหาดด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. และสุดท้ายที่ก๊อตเลือกเล่นคือ กระโดดบันจี้จัมพ์ บนความสูงกว่า 47 เมตร ที่บอกเลยว่าตื่นเต้นโคตรๆ เพราะนี่เป็นการกระโดดครั้งแรกในชีวิตจริงๆ
การกระโดดบันจี้จัมพ์ของที่นี่เราสามารถเลือกได้หลากหลายแพ็คเกจเลยนะ จะกระโดดลงไปให้หัวไม่จุ่มสระน้ำ หรือจุ่มสระน้ำ จะกระโดดเดี่ยว หรือกระโดดเป็นคู่ หรือที่เค้าเรียกกันว่า ‘Tandem Bungy Jump’ ก็เลือกได้เลย ซึ่งความพิเศษของการกระโดดบันจี้จัมพ์คู่ก็คือ ที่นี่เค้าเป็นที่แรกในเอเชีย และเป็นที่เดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการกระโดดบันจี้จัมพ์เป็นคู่ด้วย
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในการกระโดดบันจี้จัมพ์ของก๊อต เราเลือกเป็นแพ็คเกจ Tandem Bungy Jump จาก Klook สำหรับกระโดดคู่มา โดยการกระโดดของเราจะต้องขึ้นลิฟท์ขึ้นไปบนชั้น 17 แล้วจะมีพี่ๆ พนักงานเค้าคอยต้อนรับ และเริ่มอธิบายสำหรับขั้นตอนต่างๆ ให้เราเข้าใจสำหรับการกระโดดในครั้งนี้ รวมถึงใส่อุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ ที่เค้าให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นที่หนึ่ง
ถึงนาทีสำคัญที่เราจะต้องกระโดดแล้วโว้ย อะดรีนาลีนในร่างกายก็เริ่มพุ่งขึ้น เราต้องค่อยๆ กระดึ๊บๆ ไปยืนตรงขอบเพื่อเตรียมกระโดด คุณพี่เค้าก็เอาแต่บอกให้เดินออกไปข้างหน้าอีก เดินออกไปอีก 5555 วินาทีนั้นกลัวมากก แต่มันไม่ได้มีเวลาเตรียมใจนาน พอเราไปยืนได้ที่เหมาะแล้ว พี่เค้าก็นับถอยหลังแล้วผลักเราเบาๆ ให้ตัวมันร่วงลงมา ทางนี้ทำไรไม่ได้เลยนอกจากกรีดร้องงงงงงงง
แต่พอถึงจังหวะที่ลงมาแล้วจริงๆ ไอ้ความหวาดเสียวมันมีแค่ตอนยืนรอกระโดดเองเว้ย แบบตอนนั้นตื่นเต้นไปหมด แถมยืนบนที่สูงขนาดนั้น ขานี่เกร็งใช้ได้ แต่พอได้กระโดดลงมา มันเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เพียงเสี้ยววินาที มันแบบเฮือกกก แล้วก็เด้งดึ๋งๆ ไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่สักพัก พอเชือกนิ่งก็จะมีพี่พนักงานด้านล่างเอาไม้ยาวๆ มาสอยเรา เราก็แค่จับไม้ แล้วเค้าก็จะพาเราลงมาบนพื้นด้านล่าง บอกเลยว่าสุดมากกกกกก แบบนี่กระโดดไปแล้วหรอวะ ทำได้จริงๆ หรอเนี่ย อยู่แบบนี้
สำหรับก๊อต ก่อนหน้าที่เราจะมากระโดดบันจี้จัมพ์ ก๊อตเคยคิดว่ามันคือสิ่งหนึ่งที่ต้องทำสักครั้งในชีวิต มันเหมือนเราได้ติ๊กถูกใน Bucket List ที่เราตั้งเป้าเอาไว้ ถามว่ามันหวาดเสียวไหม มันหวาดเสียวแค่ตอนที่เดินออกไปรอกระโดดซึ่งมันมีเวลาทำใจแค่แปปเดียวเเล้วเค้าผลักเลยอะ 55555555
ความรู้สึกหลังกระโดดเหมือนเราได้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น ตัวก๊อตเองกระโดดครั้งแรกที่นี่ถือว่าโอเคมากๆ เลยนะ ใครที่อยากลองกระโดดบันจี้จัมพ์ครั้งแรกแนะนำให้มาที่นี่เลย เราได้กระโดดลงไปท่ามกลางวิวทะเลสวยๆ ของสิงคโปร์ มันช่วยลดความตื่นเต้นหวาดเสียวได้เยอะ แล้วครั้งต่อไปเราค่อยอัพเลเวลไปกระโดดที่โหดๆ กว่านี้ อย่างที่นิวซีแลนด์ หรือออสเตรเลียก็ว่ากันไป
นี่แนะนำมากสำหรับใครที่อยากมากระโดดฟีลแฟน อยากทำกิจกรรมโคตรตื่นเต้นไปด้วยกันต้องมา และไม่ต้องห่วงเรื่องระบบความปลอดภัยนะ มาตรฐานเค้าดีมากกก อุปกรณ์เซฟตี้ที่บอกไปว่าเว่อร์สุดก็คือไม่เกินจริง รัดขาทางเราแน่นเอี๊ยด แต่ตอนกระโดดแล้วเชือกมันดึงตัวเราไปตามแรงโน้มถ่วงโลกคือไม่เจ็บเลยนะ ดีมากเว้ยย สักครั้งในชีวิตอยากให้ได้ลองกัน ประทับใจจจ
ซื้อบัตรกิจกรรม กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa กับ KLOOK คลิก
Flash Sale! โรงแรมในสิงคโปร์ ลดแรง จาก KLOOK ตอนนี้
3. เดินชมต้นไม้และดอกไม้ที่ Flower Dome และ Cloud Forest ที่ Gardens by the Bay
ย้ายโซนกันมาฝั่งมารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) กันบ้าง แน่นอนว่ามาถึงย่านนี้ ก็ต้องไปเที่ยวแลนด์มาร์คดังของเค้าอย่าง Gardens by the Bay อุทยานธรรมชาติขนาดใหญ่ อยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำมารีนา ที่ถูกสร้างขึ้นจากวิสัยทัศน์ของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติสิงคโปร์ที่จะสร้างสวนในเมืองที่มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยพืชพันธุ์หลากหลายชนิดจากทั่วโลก ตั้งแต่ชนิดพันธุ์ในภูมิอากาศเย็นและอบอุ่น ไปจนถึงป่าเขตร้อน โดยการออกแบบทั้งหมดของ Garden by the Bay นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) ดอกไม้ประจำชาติของสิงคโปร์ ที่ตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ คือ Miss Agnes Joaquim นั่นเอง
ภายใน Gardens by the Bay นั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 สวน ด้วยกัน คือ Bay South, Bay East และ Bay Central โดยสวนที่ก๊อตอยากแนะนำ คือ เบย์ เซาท์ การ์เดน (Bay South) สวนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสามสวน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ฟลาวเวอร์โดม และ คลาวด์ฟอเรสต์ (Flower Dome & Cloud Forest) เรือนกระจกขนาดยักษ์ ที่ถูกออกแบบโดยบริษัท WilkinsonEyre และ Grant Associates โดยมีวัตถุประสงค์ในการออกแบบเพื่อแสดงเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารแบบยั่งยืนในเรื่องของสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นพื้นที่ศึกษาพืชพันธุ์ธรรมชาติให้กับผู้เข้ามาเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งตัวอาคารฟลาวเวอร์โดม (Flower Dome) ถือเป็นเรือนกระจกแก้วที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยนะ
ขอเกริ่นก่อนว่ารอบนี้เรากลับไปเที่ยวแบบคนรักต้นไม้มากขึ้น เพราะช่วงหลังๆ มานี้ก๊อตสรรหาต้นไม้มาปลูกเยอะมากก รอบนี้ได้กลับไปเที่ยวฟลาวเวอร์โดมและคลาวด์ฟอเรสต์เราเลยจะแฮปปี้กับต้นไม้มากๆ มาเริ่มต้นกันที่ ฟลาวเวอร์โดมกันก่อน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าโดมดอกไม้ ภายในนี้อัดแน่นไปด้วยดอกไม้นานาชนิด เรียกได้ว่าหลายๆ ต้นเราจะได้เห็นจากที่นี่เป็นครั้งแรก
ฟลาวเวอร์โดม (Flower Dome)
ในส่วนของ ฟลาวเวอร์โดม (Flower Dome) เป็นสวนดอกไม้ในเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตามที่ระบุไว้ใน Guinness Book of World Records ปี 2015 มีพื้นที่มากกว่า 1 ล้านตารางเมตร จัดว่าเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของประเทศสิงคโปร์ ใช้งบในการสร้างประมาณ 24,000 ล้านบาท ภายในจำลองบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่แห้งและเย็น อีกทั้งยังมีสวนอื่นๆ อีก 8 โซน ได้แก่ เบาบับ, สวนฉ่ำ, สวนออสเตรเลีย, สวนแอฟริกาใต้, สวนอเมริกาใต้, สวนมะกอก, สวนแคลิฟอร์เนีย และสวนเมดิเตอร์เรเนียน สวนทั้งแปดแห่งนี้จัดแสดงดอกไม้และพืชแปลกใหม่จากภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนและกึ่งแห้งแล้งจาก 5 ทวีปเลย
ไฮไลท์ของที่นี่คือ เค้าจะจัดสวนดอกไม้ตามฤดูกาล และตกแต่งประดับประดาไปด้วยหลอดไฟสีสันต่างๆ ซึ่งในช่วงเวลากลางคืนที่นี่จะสวยมากกก กลายเป็นอีกจุดหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในการมาดูความงดงามของสวนท่ามกลางแสงสี ใครที่ชื่นชอบดอกไม้สายพันธุ์แปลกๆ ที่นี่เค้ารวบรวมเอาไว้ให้เราได้ดูเพียบ คือเดินดูกันตาแฉะก็ยังไม่ครบ แถมอากาศก็เย็นสบาย อยู่กันได้ยาวๆ ตลอดทั้งวัน
คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest)
ในส่วนของ คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest) สวนสีเขียวขนาดมหึมา ที่มีละอองหมอกลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ อากาศภายในถูกควบคุณความชื้นอยู่ที่ 80-90% ในอุณหภูมิ 23°C – 25°C จำลองสภาพอากาศที่พบในบริเวณภูเขาเขตร้อนชื้นบนความสูงช่วง 1,000-3,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งพบได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้
ไฮไลท์เด็ดของ คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest) คือ ‘ป่าในเมฆหมอก’ ที่มีภูเขาสูงกว่า 42 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางโดม ที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ถูกปลูกห้อมล้อมเอาไว้ ซึ่งเราสามารถขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุด แล้วค่อยๆ เดินวนลงมาตามมุมต่างๆ ได้บอกเลยว่าเพลินกับการดูต้นไม้ต่างๆ ที่ถูกปลูกเรียงรายกันไป ท่ามกลางน้ำตกสูง 35 เมตรที่ไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา บรรยากาศในโซนนี้จะเย็นสดชื่น แถมเฟรซสุดๆ ไปเลย ก๊อตนี่โคตรชอบและประทับใจมากเลย
สำหรับต้นไม้ที่เราจะได้เจอเยอะมากใน คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest) ก็คือต้นไม้ในเขตร้อนชื้นนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ตระกูอโลคาเซีย (Alocasia) ทั้งหลายที่มีให้เราดูเยอะมาก ใบนี้ใหญ่มิดครึ่งตัวก๊อตได้เลย และที่เยอะและหลากหลายไม่แพ้กันคือต้นไม้ตระกูลบีโกเนีย (Begonia) ที่มีให้เราดูเยอะจนฉ่ำตา นอกจากนี้เค้าก็จะมีต้นไม้อื่นๆ ให้เราดูอย่างต้นขวัญใจหลายคนอย่าง มอนสเตอร่า กล้วยไม้ ดอกหน้าวัว และอื่นๆ อีกเยอะแยะเลย ใครที่ปลูกต้นไม้ บอกเลยว่าเอนจอยมากแน่นอน
📸 สำหรับใครที่อยากถ่ายรูป คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest) แบบปังๆ ให้ฟีลแบบหมอกโลกอนาคต ก๊อตแนะนำให้เราถ่ายตอนที่เค้าปล่อยหมอกออกมาจากภูเขา ซึ่งเค้าจะปล่อยออกมาทุกวันในช่วงเวลา 10.00, 12.00, 14.00, 16.00, 18.00 และ 20.00 โดยแต่ละรอบจะปล่อยประมาณ 20 นาที สามารถถ่ายรูปรัวๆ ได้เลย
เอาเป็นว่าแม้จะไม่ใช่สายต้นไม้ ก๊อตก็อยากให้มาเที่ยวที่นี่ คือมาสิงคโปร์แล้วไม่มา ฟลาวเวอร์โดม และ คลาวด์ฟอเรสต์ (Flower Dome & Cloud Forest) นี่ถือว่ามาไม่ถึงนะ มันเหมือนอีกหนึ่งในแลนด์มาร์คของสิงคโปร์ที่ทุกคนต้องมา ส่วนตัวก๊อตชอบที่นี่มากกก ด้วยความที่สิงคโปร์เค้าเป็นประเทศที่เพิ่งตั้งประเทศมาได้ไม่นาน ทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเค้าเป็นทะเล พื้นที่ส่วนมากเลยถูกทำเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ก็พวกอาคารสำนักงานต่างๆ การที่เค้าทำสวนสาธารณะ และมีโดมเรือนกระจกมหึมาที่ภายในแน่นไปด้วยต้นไม้สายพันธุ์ต่างๆ มันทำให้เห็นว่าสิงคโปร์เค้าให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะ และพื้นที่สีเขียวที่ต้องการให้คนบ้านเค้ามีสถานที่เอาไว้มาใช้พักผ่อนจริงๆ มันไม่ใช่การเพิ่มพื้นที่เพื่อสร้างตึก สร้างอาคารสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ แต่มันคือการสร้างพื้นที่สีเขียวที่โคตรจะจรรโลงใจ ที่แสดงถึงความใส่ใจคนบ้านเค้ามากๆ แถมทั้งสองโดมยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอีก โคตรดีเลย ต้องมาา
⚡️จะบอกว่าทั้ง ฟลาวเวอร์โดมและคลาวด์ฟอเรสต์ (Flower Dome & Cloud Forest) เราต้องเสียเงินค่าเข้านะ ซึ่งก๊อตก็ได้ซื้อผ่าน Klook มาในราคาเบาๆ ถูกกว่าปกติเช่นเคย แถมบัตรเข้ายังเป็น Digital QR Code ที่เราสามารถโชว์ได้จากมือถือ และติ๊ดเข้าได้ที่หน้าเกทประตู โดยไม่ต้องไปเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋วเล้ย
ซื้อบัตรกิจกรรม Flower Dome และ Cloud Forest ใน Gardens by the Bay กับ KLOOK คลิก
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
4. ชมวิวสิงคโปร์มุมสูง ที่สกายพาร์คที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Sands Skypark Observation Deck (Marina Bay Sands))
ส่องธรรมชาติกันหนำใจแล้ว เราไปเที่ยวดูวิวสิงคโปร์มุมสูงแบบฉ่ำๆ 360 องศา กันที่ จุดชมวิวสกายพาร์คที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Sands Skypark Observation Deck (Marina Bay Sands)) หนึ่งในที่เที่ยวสิงคโปร์ที่ป๊อบมากไม่แพ้กัน แถมยังเป็นจุดชมวิวเมืองสิงคโปร์ที่ดีมากที่สุดอีกด้วย ซึ่งช่วงที่ก๊อตไปนั้นคนเยอะมากก แต่โชคดีที่เราจองผ่าน Klook มา ไม่ต้องไปต่อคิวรอขึ้นเลย แค่โชว์ตั๋วก็สแกนเข้าข้างใน และเดินขึ้นไปได้เลยเว้ย ที่สำคัญราคาถูกมากกก
หากใครยังไม่รู้จัก โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) ล่ะก็ ที่ถือเป็นตึกแลนด์มาร์คที่ถือเป็นไอคอนของสิงคโปร์เทียบเท่ากับเมอไลอ้อน (Merlion) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ยักษ์ของสิงคโปร์ ที่ร่วมมือกับ Las Vegas Sands Corporation ที่รวมเอาโรงแรมชั้นนำระดับโลก ศูนย์รวมความบันเทิง คาสิโน แหล่งช้อปปิ้งมารวมกันเอาไว้ ซึ่งรวมถึงจุดชมวิวด้านบนที่เราจะขึ้นไปดูนี้ด้วย สำหรับตึก Marina Bay Sands Hotel นั้นสูงตระหง่านโดดเด่นเว่อร์วังมาก เค้าสร้างออกมาเป็นรูปไพ่ 3 สำรับเรียงกัน ด้านบนสุดถูกทับด้วยเรือพาดยาวที่เรียกกันว่า Sands Sky Park ที่มีสระว่ายน้ำกลางแจ้งของโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก ใครที่อยากไปว่ายน้ำแช่ตัวกับวิวอลังของสิงคโปร์ ก็คือต้องไปนอนโรงแรมเค้าน้า
สำหรับการขึ้นไปดูวิวบน Sands Skypark Observation Deck (Marina Bay Sands) นั้น เมื่อเราโชว์ตั๋วบนมือถือเรียบร้อย เราก็จะได้ขึ้นมาที่ชั้นที่ 57 ซึ่งด้านบนเราสามารถมองเห็นวิวของสิงคโปร์ได้แบบรอบทิศทางเลย บอกเลยว่าบรรยากาศโคตรดี เราสามารถมองลงไปเห็นพื้นที่สีเขียวๆ ของ Gardens by the Bay เหล่าซุปเปอร์ทรี โกรฟ (Supertree Grove) กลุ่มต้นไม้ยักษ์ที่มีโครงสร้างเป็นคอนกรีตและเหล็ก ตกแต่งเป็นสวนแนวตั้งจำนวน 18 ต้น ที่ทอดยาวไปจนถึงช่องแคบสิงคโปร์
นอกจากนี้ เรายังมองเห็นสกายไลน์ของสิงคโปร์ ที่มีดงตึกธนาคารและการเงินหลากหลายตึก อ่าวมารีนาเบย์ที่มีช็อปของ Louis Vuitton สาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และตึกรูปดอกบัวรูปทรงสวยงามอย่าง The Art Science Museum รวมไปถึงมองเห็นตึกรามบ้านช่องของบ้านเค้า ไกลแบบสุดลูกหูลูกตาเล้ย
ส่วนตัวก๊อตว่าวิว Skyline ของสิงคโปร์ก็สวยไม่แพ้ที่อื่นๆ ที่เคยไปมาทั่วโลกเลยนะ ภาพวิวมุมกว้างของมารีนาเบย์คือเดอะเบส ช่วงเวลาที่แนะนำให้ขึ้นมาคือตั่งแต่ 5 โมงเย็น แล้วอยู่ยาวๆ ไปจนถึงมืดเลย เราจะได้เห็นเมืองเค้าตั้งแต่ช่วงสว่าง ยันช่วงเย็นแก่ๆ ที่เริ่มมีแสงพระอาทิตย์ตกกระทบ สาดส่องไปทั่วทุกตึกที่รายล้อม ก่อนจะได้ดื่มด่ำไปกับภาพความงดงามของเมืองสิงคโปร์ในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟมากมายจากตึกและอาคารต่างๆ เป็นภาพวิวมุมสูงที่สวยงามมาก
ที่ก๊อตชอบสุดๆ คือถ้าเราอยู่ด้านบนตอนช่วง 19.45 หรือ 20.45 เราจะได้เห็นเค้ากำลังแสดงไฟ Garden Rhapsody บริเวณ Supertree Grove ที่ Garden by the Bay แบบมุมสูงด้วยนะ แสงไฟนี่ระยิบระยับ ส่องสว่างไปทั่วเลย โอ้ยยย อันนี้คือดีย์ แนะนำให้มามากๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มาเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกเด้อ
ซื้อตั๋วกิจกรรม ชมวิวสกายพาร์คที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส กับ KLOOK คลิก
5. นั่งรถเวสป้าสุดวินเทจ ทัวร์เมืองถ่ายรูปกับ Sidecar Heritage Tour
Sidecar Heritage Tour อีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ ถือเป็นกิจกรรมน้องใหม่ที่ก๊อตไม่ค่อยเห็นคนมารีวิวเยอะมากนัก แต่จะบอกว่านี่คือทัวร์ที่เหล่าเซเลปชอบมานั่งรถดูเมืองสิงคโปร์เค้าแหละ มันเป็นทัวร์รถจักรยานยนต์เวสป้าแนววินเทจแห่งแรกของโลกที่จะพาเราไปสัมผัสและชมบรรยากาศของสิงคโปร์ให้มากขึ้นผ่านการขี่จักรยานชมเมือง ส่องสถาปัตยกรรมสไตล์วิกตอเรีย ซึ่งมีทั้งศูนย์กลางของการบริการและที่ทำการของรัฐบาล รวมถึงบ้านเรือนอาคารต่างๆ ในช่วงยุคอาณานิคมของอังกฤษ นอกจากนี้ทัวร์นี้เค้ายังมีโปรแกรมพาไปดูพิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย, แคปิตอลสิงคโปร์, หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์, โรงละครเอสพลานาดออนเดอะเบย์, ดิอาร์ตสเฮาส์, โรงละครวิกตอเรียและคอนเสิร์ตฮอลล์วิคตอเรีย ไปจนถึงภาพวาดบนผนังอันสวยงามอีกด้วย คือเยอะมาก ซึ่งโปรแกรมทัวร์จะแตกต่างกันออกไปตามย่านที่เราเลือกเลยแหละ
โดยโปรแกรมที่ก๊อตเลือกเค้าจะพาเราไปย่านกาตงและจูเชียต (Katong – Joo Chiat) หนึ่งในย่านเมืองวัฒนธรรมของชาวเปอรานากัน (กลุ่มชาวจีนเชื้อสายมาลายู) ที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ ที่ซึ่งเราจะได้เห็นชมร้านค้าที่ตกแต่งไปด้วยโทนสีสดใสคิวท์ๆ แบบพาสเทล รวมถึงตัวอาคารและบ้านเรือนสไตล์วิคตอเรียและเปอรานากันที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้นั่นเอง
ทัวร์นี้เราไม่ต้องไปขับเวสป้าเองนะ ฮ่าๆ แต่เค้าก็จะพาเรากระโดดขึ้นนั่งเวสป้าที่เป็นที่นั่งเล็กๆ ข้างคนขับ พาเราไปเที่ยวและเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่จูเชียต (Joo Chiat) นั่นแหละ โดยที่แรกที่เค้าจะพาไปคือภาพวาดน้องเต่าสีสันสดใส ซึ่งเค้าก็เล่าว่าแต่เดิมย่านนี้เคยเป็นย่านที่อยู่ติดริมทะเลมาก่อน และชอบมีเต่ามาวางไข่ริมทะเลตรงนี้นั่นเอง โดยบ้านตรงนี้เค้าเป็นบ้านแบบยกใต้ถุนสูง แสดงให้เห็นถึงบ้านที่ตั้งอยู่ริมทะเลโดยยกถุนสูงไว้เผื่อน้ำทะเลหนุนสูงนั่นแหละ
เป็นที่น่าเสียดายที่เกาะสิงคโปร์นั้นมีพื้นที่จำกัด ทำให้พื้นที่ริมทะเลตรงนี้ถูกถมทะเลจนกลายเป็นพื้นที่ใหม่ที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นเอง จากที่เคยมีน้องเต่ามาวางไข่ก็ไม่มีแล้ว แต่บ้านเรือนตรงนี้ที่ยกถุนสูงไว้ก็ยังคงอยู่ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และระลึกว่าพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นอะไรมาก่อนนั่นเอง
อีกจุดที่เค้าพาไปก็คือ บ้านเปอรานากัน (Peranakan Houses) หลากสีสันแบบพาสเทลที่โคตรคิวท์ จนตอนนี้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดฮิตในสิงคโปร์ที่คนชอบมาถ่ายรูปลง Instagram กันนั่นเอง บ้านสไตล์เปอรานากันรวมถึงบ้านสไตล์วิคตอเรียในยุคอาณานิคมอังกฤษ เป็นบ้านที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ และถูกอนุรักษ์โดยรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งเค้ามีข้อแม้สำหรับคนอยู่อาศัยว่าห้ามดัดแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวบ้านทั้งหมด แต่ด้านในนั้น สามารถทำอะไรก็ได้ ซึ่งทัวร์เค้าก็พาไปส่องหลังบ้านเหล่านี้แล้วต้องร้องโอ้โห เพราะการตกแต่งด้านในของบ้านนั้นโมเดิร์นมาก คือโคตรแตกต่างจาก Facade ด้านหน้าบ้างอย่างที่สุดเลยแหละ
ส่วนตัวก๊อตคิดว่าย่านนี้มันมีเสน่ห์ของความเก่าแก่ที่ถูกปรับให้อยู่ร่วมกับความทันสมัยในแบบฉบับของสิงคโปร์ เราเลยจะได้เห็นอาคาร บ้านเรือนหลากหลายรูปทรง รวมไปถึงภาพวาดบนผนังสวยๆ ที่เติมสีสันให้กับสิงคโปร์ดูน่ารักมากยิ่งขึ้นนั่นเอง บอกเลยว่าดีย์
หลังจากนั้นเราก็ขี่รถวนไปตามเส้นทางของเค้าอีกหน่อยก็เป็นอันครบเวลาตามตารางทัวร์ที่เราได้จองไว้ พี่เค้าก็จะขี่มาส่งเราตรงจุดเดิม ส่วนตัวก๊อตคิดว่า ทัวร์นี้น่ารักมากกก หนึ่งเลยคือตัวรถเวสป้าที่เค้าเอามาทำพ่วงข้างมันน่ารักหนุบหนับใจมาก แถมเวลาที่เค้าพาเรานั่งเวสป้าไปตามเส้นทาง บรรยากาศของย่านกาตงและจูเชียต (Katong – Joo Chiat) ก็ดูน่ารักและดีไปหมด ฟีลเหมือนเราได้นั่งรถเล่นทัวร์เมืองเก่าที่มีทั้งความคลาสสิค และทันสมัยอยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งชั่วโมงที่ได้เรียนรู้และเห็นอีกมุมของสิงคโปร์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน ร้านค้ามากมายทื่ดีไซน์รูปทรงสไตล์เปอรานากันและวิคตอเรียผสมคละเคล้ากันไป ใครมาเที่ยวสิงคโปร์นี่อยากให้ลองมาทัวร์ดูนะ และไม่ต้องกลัวเหงาเลยเพราะพี่คนขับเค้าจะชวนเราคุยตลอดเส้นทางเลยหล่ะ 5555
จองกิจกรรม ทัวร์นั่งรถเวสป้าสุดวินเทจกับ Sidecar Heritage Tour กับ Klook ในราคาดีๆ คลิก
6. ล่องเรือชมเมือง กับ สิงคโปร์ ริเวอร์ครูซ (Singapore River Cruise)
อีกหนึ่งกิจกรรมที่เน้นกินลม ชมวิวเพลินๆ ไปกับบรรยากาศของสิงคโปร์ผ่านการล่องเรือบนแม่น้ำสิงคโปร์ นั่นก็คือกิจกรรม สิงคโปร์ ริเวอร์ ครูซ (Singapore River Cruise) หนึ่งในกิจกรรมที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กิจกรรมอื่นๆ ที่เราจะได้เห็นสถานที่ต่างๆ ที่สำคัญของสิงคโปร์มากมายแบบเต็มอิ่มในระยะเวลา 40 นาที ที่คุ้มค่ามากกก
ทุกคนเชื่อไหม กิจกรรมล่องเรือที่เรากำลังจะทำนี้ถือเป็นอีกหนึ่งการอนุรักษ์เรื่องราวในอดีตของสิงคโปร์ให้กับคนรุ่นหลังๆ ได้เห็น ด้วยการเอาเรือไม้บัมโบ๊ท หรือที่มีอีกชื่อว่า ‘ทงคัง (เรือท้องแบน)’ ที่สมัยก่อนในช่วงศตวรรษที่ 19 ถึง 20 ที่สิงคโปร์ยังเป็นเมืองอาณานิคมของอังกฤษ เค้ามักจะนิยมใช้เรือไม้บัมโบ๊มบรรทุกสินค้าเพื่อไปค้าขายผ่านแม่น้ำสิงคโปร์, แม่น้ำโรเชอร์ (Rochor) และ แม่น้ำกัลลัง (Kallang) นั่นเอง
ซึ่งทาง สิงคโปร์ ริเวอร์ ครูซ (Singapore River Cruise) เค้าอยากให้ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสไปกับเรือบัมโบ๊ทต่างๆ ผ่านการล่องเรือไปตามแม่น้ำ โดยครอบคลุมย่านฮิตของสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือคลาร์ก คีย์ (Clarke Quay), ท่าเรือโบ๊ทคีย์ (Boat Quay) และอ่าวมารีน่า (Marina Bay) โดยระหว่างเส้นทาง เราจะได้เห็นสถานที่สำคัญของสิงคโปร์เยอะมากเลยแหละ เรียกว่าเต็มอิ่มสุด
โดยตอนแรกๆ นั้นทางบริษัทมีเรือให้บริการเพียง 4 ลำเท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้เค้ามีเรือเพิ่มขึ้นเป็น 24 ลำ โดยในช่วงปี 2008 ทางบริษัทได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของเรือจากเครื่องยนต์ดีเซลให้มาเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อช่วยอนุรักษ์ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย เจ๋งมาก
ในช่วงที่ก๊อตไปนั้นตามจริงเราก็จะล่องเรือไปตามเส้นทางปกติของเค้าคือขึ้นเรือที่ท่าเรือคลาร์ก คีย์ (Clarke Quay) แล้วล่องเรือผ่านไปทางท่าเรือโบ๊ทคีย์ (Boat Quay) ก่อนจะล่องออกไปทางอ่าวมารีน่า (Marina Bay) เพื่อดูสถานที่สำคัญต่างๆ แต่วันนั้นทางสิงคโปร์เค้ามีการซ้อมพิธีด้านการทหารของเค้า ทำให้ก๊อตไม่ได้ล่องเรืออกไปทางอ่าวมารีน่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การล่องเรือของเราน่าเบื่อแต่อย่างใด แต่เราได้เห็นเครื่องบินทหารบินว่อนพร้อมกับแขวนธงชาติสิงคโปร์ล่องลอยบนท้องฟ้า ก็คือฮึกเหิมมากเว่อร์ นอกจากนี้ ตลอดเส้นทางเราก็จะได้เห็นดงตึกสูงชะลูดในดาวน์ทาวน์ จนถึงกลุ่มตัวบ้านและอาคารเลียบแม่น้ำที่ดูมีชีวิตชีวา ถือเป็นอีกมุมที่เราได้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนสิงคโปร์ที่อยู่อาศัยในย่านริมแม่น้ำแบบจริงจัง
ก๊อตว่าการล่องเรือมันเหมาะกับทุกคนเลยนะ ยิ่งใครที่อยากมาดูเรื่องราวของสิงคโปร์ผ่านทางวิวของแม่น้ำนี่แนะนำมาก สองข้างทางของบ้านเมืองเค้าจะไม่เหมือนของบ้านเราเลย มันจะมีการจัดแปลนที่เป็นระเบียบ สวยงาม มีเลนสำหรับให้คนมาเดิน วิ่งออกกำลังกาย มีร้านค้า ร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายให้ได้เห็น แถมเรายังได้เห็นเหล่าแลนด์มาร์คต่างๆ ของเค้าจากวิวที่เราไม่สามารถมองเห็นได้จากการเดินบนท้องถนน นี่บอกเลยว่าเป็น 40 นาทีที่คุ้มค่ามาก กิจกรรมนี้ไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง
จองตั๋วกิจกรรม ล่องเรือกับ สิงคโปร์ ริเวอร์ ครูซ กับ KLOOK คลิก
7. กินสะเต๊ะที่ร้าน Satay 7&8 ที่เหล่าปาสัท (Lau Pa Sat)
เที่ยวกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มแล้ว ต่อไปก๊อตจะพาทุกคนไปตามรอยกินสะเต๊ะกันที่ ตลาดเหล่าปาสัท (Lau Pa Sat Festival Market) ศูนย์อาหาร หรือที่เค้าเรียกกันว่า Hawker Center ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ที่เค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งด้านในมีอาหารให้เราเลือกกินเยอะมากแบบมากที่สุด นอกจานี้ ในทุกๆ วัน ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มเป็นต้นไป เค้าจะปิดถนนหนึ่งฝั่งเพื่อขายสะเต๊ะกันยาวๆ ทั้งแถบ จนถูกเรียกว่า Satay Street ที่ไม่ว่าใครเดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องได้กลิ่นเตาถ่านที่กำลังย่างสะเต๊ะลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ
แต่เดิม เหล่าปาสัท (Lau Pa Sat) คือ ตลาดทีล็อก อาเยอร์ (Telok Ayer Market) ที่ถือเป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ 150 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งตัวอาคารของที่นี่นั้นมีรูปทรงโดดเด่นงดงามตามสไตล์วิคตอเรีย แถมยังได้รับการประกาศเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในปี 1973 อีกด้วย โดยถนนสะเต๊ะที่เราจะมากินกันนี้เค้าจะรวบรวมร้านสะเต๊ะมากกว่า 10 ร้านตั้งเรียงรายติดกันให้เราได้เลือกกินกันแบบจุใจเลยทีเดียว
สำหรับการมากินสะเต๊ะรอบนี้ ก๊อตได้ซื้อว้อยเช่อจาก Klook มาแล้วเรียบร้อย ซึ่งเราสามารถเอาคูปองในโทรศัพท์ไปยื่นให้เค้าได้เลยที่หน้าร้าน โดยร้านที่เราเลือกคือ Satay 7&8 ร้านดังที่ใครมาย่านนี้จะต้องมาลิ้มรสความอร่อย ซึ่งร้านเค้าก็จะมีตั้งแต่สะเต๊ะหมู เนื้อ ไก่ กุ้ง และอื่นๆ ให้เราได้เลือกเพียบเลย
ชุดที่ก๊อตเลือกมาคือ Satay Set A with Rice Cake โดยในเซตจะมีทั้ง ไก่สะเต๊ะ 10 ไม้, สะเต๊ะเนื้อ 10 ไม้, สะเต๊ะกุ้ง 6 ไม้ และ แป้งเค้กข้าว 2 ชิ้น เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มแตงกวา ส่วนตัวก๊อตชอบสะเต๊ะเนื้อวัวของเค้ามาก ไม่เหนียว มีความนุ่มละมุน ส่วนเนื้ออื่นๆ อย่างไก่ หรือกุ้งก็รสชาติดี ถูกปากถูกใจ ยิ่งซอสที่เค้าใช้หมักสาระพัดเนื้อแล้วเอาไปย่างบนเตาถ่านนะ เวลากินเราจะได้ความกลิ่นหอมไหม้ๆ จากเตาถ่านมาด้วยแหละ รสชาติสะเต๊ะโดยรวมนั้นมันออกแนวหวานๆ แต่ไม่หวานเลี่ยน ส่วนตัวก๊อตถือว่าอร่อย และคิดว่ามันกินง่ายมาก ซึ่งก๊อตแนะนำให้เราสั่งเบียร์ซักเหยือกสองเหยือกมากินคู่ด้วย รับรองว่าฟินนน
ซื้อคูปองร้านสะเต๊ะ Satay 7&8 กับ KLOOK คลิก
8. Jewel Changi Canopy Park & Bouncing Net
เกือบสุดท้ายแล้ว ก๊อตจะพาไปกันต่อที่สนามบินชางงี สนามบินของสิงคโปร์ที่ได้รับคัดเลือกว่าเป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกติดต่อกันยาวหลายปี ที่นี่จัดว่าเป็นสนามบินขนาดใหญ่ที่ภายในครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เดินทางก็ง่ายด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกันอย่างไม่สะดุด และล่าสุดกับอาคารที่ชื่อว่า Jewel Changi ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสุดล้ำ โดยเค้าทำให้เป็นทั้งศูนย์กลางทางการบิน ศูนย์การค้า และสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ โดยไฮไลท์ของที่นี่ก็คือน้ำตก HSBC Rain Vortex น้ำตกในร่มขนาดยักษ์ใจกลางตึกกลาสเฮาส์ Jewel รวมถึงสวนในร่มสไตล์ทรอปิคอลที่เหมาะสำหรับการมาเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด
⚡️ ใครที่จะมาเที่ยว Jewel Changi เราสามารถเข้ามาเที่ยวได้โดยที่เราไม่ต้องมีตั๋วเครื่องบินนะ เพราะตึกเค้าตั้งแยกออกมาจากเทอร์มินอลสนามบิน โดยเป็นตึกกึ่งกลางระหว่างเทอร์มินอล 1 และ 3 แหละ สามารถมาเดินเล่นห้าง ชมน้ำตกได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเราจะไป Canopy Park ชั้นบนสุด อันนี้จะต้องเสียเงินค่าบัตรเข้าชมนะ
เอาล่ะ เรามาเริ่มด้วยไฮไลท์เด็ดของ Jewel Changi กันที่น้ำตก HSBC Rain Vortex น้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงกว่า 40 เมตร ที่ดูแล้วโคตรอลังการ โดยตัวน้ำตกจะไหลตกลงมาจากรูกว้างของโดมกระจกชั้นบนลงสู่ชั้นล่างของห้าง ก่อนที่น้ำจะหมุนเวียนไหลกลับขึ้นไปและลงมาใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า น้ำตกนี้ใช้น้ำหมุนเวียนถึง 50,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งน้ำตกเค้าจะมีโชว์แสงสีกับน้ำตกให้เราได้ชมตอนกลางคืนด้วยนะ โดยวันจันทร-พฤหัส เค้าจะมีโชว์ไฟรอบ 20.00 น. และ 21.00 น. ส่วนรอบศุกร์-อาทิตย์ จะมีรอบ 22.00 น. เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งรอบแหละ
สำหรับคนที่อยากทำกิจกรรมอื่นๆ มากกว่าการแค่ช้อปปิ้งและดูน้ำตก เราสามารถเดินขึ้นมายังชั้นบนสุดของตึก Jewel Changi Airport ที่เค้าจะมีโซน Canopy Park หรือสวนในร่มตั้งอยู่ ซึ่งใครจะเข้ามาในโซนนี้จะต้องซื้อบัตรเข้าชมนะ โดยเค้าจะขายบัตรแยกเป็นกิจกรรมว่าเราอยากทำอะไร โดยมีตั้งแต่ Canopy Bridge, Hedge Maze, Mirror Maze, Bouncing Net และ Walking Net ซึ่งแต่ละกิจกรรมนั้น เค้าก็จะรวมบัตรเข้า Canopy Park เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตัวก๊อตเองนั้น ซื้อเป็นแบบ Bouncing Net + Free Canopy Park มาในราคาเพียง 521 บาท/คน เท่านั้น
เอาล่ะ เรามาเริ่มเที่ยวกัน! เริ่มแรกที่เราย่างก้าวเข้ามาภายในของ Canopy Park นั้น จะเป็นทางเดินทอดยาวที่เต็มไปด้วยต้นไม้สไตล์ทรอปิคอลกว่า 2,000 ต้น และมีซุ้มกิจกรรมให้เราได้เข้าไปเยี่ยมชม อย่างจุดแรกคือ Topirary Walk ที่เราสามารถเดินเข้าไปในสวนที่เต็มไปด้วยรูปสัตว์น่ารักต่างๆ ที่เค้าจะเอามาตั้งหมุนเวียนสลับกันไป ท่ามกลางป่าเขียวๆ
นอกจากนี้เค้ายังมีโซน Foggy Bowls ที่เหมือนเป็นสนามหญ้าหมอกๆ ให้เหล่าเด็กเค้าสนุกด้วยการวิ่งเล่น และยังมี Discovery Slides สไลเดอร์ 4 ทิศทางที่น้องๆ หนูๆ จะต้องชอบ เพราะมันเป็นสไลด์เดอร์ขนาดใหญ่ที่น้องสามารถปีนขึ้นไปแล้วไถลลงมาได้อย่างสนุกสนานเลย
และที่ต้องบอกเลยคือ หากคนที่เสียบัตรเข้ามาในโซน Canopy Park เราสามารถเห็นและได้รดูน้ำตก HSBC Rain Vortex ในแบบฉบับของคนเสียเงินเท่านั้นด้วยนะเอ้อ ด้วยความโซนนี้ต้องเสียตังค์เข้ามา เราเลยจะได้ดูน้ำตกในมุมพิเศษที่อยู่สูงที่สุดของตึก Jewel Changi แล้ว โดยมุมที่ก๊อตชอบก็คือ ตรงลานทางเข้าของ Canopy Park และมุมบน Discovery Slides ซึ่งบอกเลยว่าโคตรสวย แถมสูงม๊ากก ยืนตรงนั้นก็คือขาสั่นเลยแหละ 55555
สุดท้าย เรามาจบกับกิจกรรมที่ก๊อตเสียเงินซื้อในครั้งนี้ก็คือ เจ้าสวนตาข่าย Bouncing Net ที่มีความยาวประมาณ 250 เมตร ที่ฟีลเหมือนแทมโพลีนยักษ์ แต่เป็นตาข่ายเชือกให้เราได้เดินวน กระโดดเล่นไปมา ท่ามกลางต้นไม้นานาพันธุ์ ให้ฟีลธรรมชาติโอบกอดเว่อร์ แต่จะบอกว่าแค่เดินเด้งดึ๋งๆ ลงไปตามทางของเค้านี่เล่นเอาหอบเหมือนกันนะ ได้เหงื่อเอาเรื่องเลยแหละ โดยรวมถือว่าสนุกและแนะนำเลย
สรุปแล้ว ก๊อตขอยกให้เค้าเป็นสนามบินที่โคตรของโคตรดีเลย ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เดินทางเชื่อมต่อจากตัวเมืองมายังสนามบินก็ง่ายดาย แถมยังมีห้างที่เต็มไปด้วยสวนสีเขียวและน้ำตกขนาดใหญ่ให้ผู้คนได้มาพักผ่อน ใครที่เพิ่งแลนด์ดิ้ง กำลังจะบินกลับไทย หรือแวะมาเปลี่ยนเครื่องนานๆ นี่ไม่ต้องกลัวเลยนะว่าจะไม่มีอะไรทำ เพราะเค้ามีอะไรหลายอย่างให้เราได้ทำเพียบเล้ย
ซื้อบัตรกิจกรรม Bouncing Net + Free Canopy Park กับ KLOOK คลิก
9. ไปพักห้อง Jurassic World Staycation ที่ Hard Rock Hotels Singapore
สุดท้าย ท้ายสุด ใครที่เป็นแฟนๆ ของภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World นี่ต้องไม่พลาดเมื่อมาเที่ยวสิงคโปร์ เลยก็คือ การมาพักที่ Hard Rock Hotel Singapore กับห้องพักที่ตกแต่งด้วยธีม Jurassic World มาเต็มด้วยสติ๊กเกอร์ตกแต่งห้อง สแตนดี้และของที่ระลึกจากหนังเรื่องนี้แบบจัดเต็ม แถมถ้าใครที่จะแวะเข้าไปเล่นสวนสนุก Universal Studios Singapore นั้น บอกเลยว่าสะดวกสุด เพราะ Hard Rock Hotel Singapore เค้าเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่บนเกาะ Sentosa เดินไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงประตูเข้าเรียบร้อยแล้ว
สำหรับการจองห้องพัก Jurassic World Staycation นั้น จะมีให้เราจองผ่าน Klook เท่านั้น โดยเค้าจะมีแพ็คเกจให้เราเลือกเยอะเลยว่าเราอยากได้แบบไหน ซึ่งก๊อตเองเลือกแบบแพ็คเกจรวมอาหารเช้า รวมถึงตั๋วเข้า Universal Studios Singapore แบบพร้อมเสร็จสรรพ ถือว่าสะดวกและดีมากจริงๆ
บอกเลยว่า ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา ก๊อตนี่โคตรตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นการเจอเข้ากับรอยเท้าของไดโนเสาร์นำทางเราเข้าไปพื้นที่ภายในห้อง เจอกับเตียงนอนที่มีหมอนลาย Jurassic World อยู่ รวมถึงมีการเอาสแตนดี้ของเจ้าเวโลซิแรปเตอร์ (Velociraptor) อย่างเจ้าบูล (Blue) ไดโนเสาร์ที่มีจิตวิญญาณของนักล่า ที่เป็นรองจากทีเรกซ์แค่พันธุ์เดียวเท่านั้น ตั้งคู่กับน้องเบต้า (Beta) ลูกของเจ้าบูลนั่นเอง
ยังไม่หมดเท่านี้ นอกจากนี้บริเวณผนังของห้องพักยังถูกประดับไปด้วยสติ๊กเกอร์ของไดโนเสาร์อย่าง ทีเร็กซ์ หรือ ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus Rex) ไดโนเสาร์ตัวร้ายที่ถือเป็นคู่สร้างคู่สมของ Jurassic World แถมบนเตียงนอนเค้ายังมีของขวัญน่ารักๆ อย่างกระบอกน้ำ ตุ๊กตา และถุงผ้าที่เป็นลวดลายของไดโนเสาร์ในเรื่องให้เราได้เอากลับบ้านฟรีๆ อีกด้วย
ทั้งหมดทั้งมวล คือให้ความรู้สึกเหมือนเราได้หลุดเข้ามาในอาณาจักรของ Jurassic World จริงๆ เรียกได้ว่ามาพักห้องนี้แล้วคอหนังเรื่องนี้คงไม่อยากออกไปข้างนอกแน่ๆ 5555 และที่ก๊อตประทับใจสุดนอกจากห้องพักธีม Jurassic World แล้วคือเรื่องของบริการ ที่เค้าดูแลเราดีมากก
นอกจากนี้โรงแรมของเค้ายังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ด้านหน้าของโรงแรมราวกับยกชายหาดมาไว้ตรงหน้า ฟิตเนสขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์ครบครัน หรือจะเป็นบาร์ที่มีให้เราเลือกดื่มครบจบในที่เดียว นอกจากนี้ อาหารเช้าในโรงแรมยังมีให้เราได้เลือกเยอะ หลากหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะอาหารฝรั่ง อาหารเอเชีย ขนมหวานก็มีให้เลือกกินละลานตาไปหมด ถือว่าครบองค์ อยู่ที่คือสบ๊ายย
ใครที่กำลังจะไปเที่ยวสิงคโปร์ และมองหาที่พักบนเกาะ Sentosa ก๊อตแนะนำให้มาพักที่ Hard Rock Hotels Singapore ได้เลย บอกเลยว่าที่สุดของเซอร์วิสดี แถมยังอยู่ใกล้กับ Universal Studios Singapore เพียงแค่เดินไปไม่กี่นาทีเท่านั้น และที่สำคัญแฟนๆ Jurassic World ที่อยากมานอนดื่มด่ำไปกับน้องๆ ไดโนเสาร์ ยิ่งห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ก๊อตเลิฟเลยย
จอง Jurassic World Staycation ที่ Hard Rock Hotels Singapore ผ่าน KLOOK คลิก
สรุป 9 กิจกรรมและที่เที่ยวในสิงคโปร์
ทั้งหมดนี้คือทั้ง 9 กิจกรรมในสิงคโปร์ ที่ก๊อตคิดทุกคนต้องชื่นชอบ เพราะที่ก๊อตแนะนำไปถือว่าครบทุกรสชาติเว่อร์ ไม่ว่าจะเป็นความสนุก ตื่นเต้น ความอร่อย และความผ่อนคลายที่ทุกคนจะต้องแฮปปี้ สุดท้ายแล้ว ส่วนตัวก๊อตคิดว่าการได้กลับมาเที่ยวสิงคโปร์รอบนี้มันเหมือนมาตามเก็บเหล่ากิจกรรมหลายอย่างที่ก๊อตยังไม่เคยทำมาก่อน
ที่ต้องเก็บไว้ในความทรงจำเลยคือการบรรลุหนึ่ง Bucket List นั่นก็คือ การมากระโดดบันจี้จัมพ์แบบสมใจอยาก ซึ่งโดยรวมถือเป็นการกลับมาเที่ยวสิงคโปร์ที่โคตรประทับใจ จนอยากให้ทุกๆ คนมาตามรอยกันนี่แหละ เชื่อก๊อต สิงคโปร์เค้าเร้าใจและสนุกเว่อร์ อ่านเสร็จแล้วก็จองตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์ รวมถึงจองตั๋วกิจกรรมทั้งหมดจาก KLOOK เค้าได้เลย มันเริ่ดดด!
รีวิวและบทความเกี่ยวกับเที่ยวสิงคโปร์ยังไม่หมด คลิกอ่านต่อได้เลย!
1. รีวิว สิงคโปร์ (ปี 2022)
2. รีวิว สิงคโปร์ (ปี 2018)
3. กิจกรรมและที่เที่ยวสิงคโปร์ห้ามพลาด! (ปี 2022)
4. รีวิว Universal Studios Singapore (ปี 2022)
5. 8 โรงแรมคูลๆ แนะนำในสิงคโปร์
6. Jurassic World Staycation, Hard Rock Hotel Singapore