
สิงคโปร์ (Singapore) ประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กที่สุดในอาเซียน แต่จัดว่าหนึ่งในประเทศยอดฮิตที่คนไทยชอบไปเที่ยวกันมากที่สุด ด้วยความที่เค้าเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก นั่งเครื่องไปสองชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว แถมบ้านเมืองของเค้ายังเดินทางสะดวกด้วยรถสาธารณะ อาคารและตึกก็หรูหราอลังการ นอกจากนี้ที่เที่ยวสิงคโปร์เองเค้าก็เยอะเหมาะกับการมาเที่ยว ดังนั้น นี่ไม่แปลกใจเลยว่าสิงคโปร์เค้าจะฮิตขนาดนี้
บอกเลยว่า ทริปสิงคโปร์รอบนี้กิจกรรมเราแน่นมากกกก พูดไปจะหาว่าเว่อร์ แต่ที่เที่ยวแน่นจริง เอาเป็นว่าไปตามดูกันว่า 6 วันนี้ก๊อตจะเที่ยวครบไหม จะไปอื่นๆ ที่ไหนอีกบ้าง มาเที่ยวสิงคโปร์ในฉบับปี 2022 ไปด้วยกันเลยย
แพลนเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore)
โดยครั้งนี้ถือว่าเป็นการกลับมาเที่ยวสิงคโปร์ในรอบ 3 ปีหลังจากโควิดของก๊อตเลยก็ว่าได้ โดยเราจะไปกันถึง 6 วัน เที่ยวจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นขึ้นไปบนจุดชมวิวสกายพาร์คที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Sands Skypark Observation Deck (Marina Bay Sands)) ที่เราจะได้เห็นวิวเมืองสิงคโปร์แบบไกลสุดลูกหูลูกตา หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศไปดื่มด่ำธรรมชาติใน การ์เดนส์บายเดอะเบย์ (Garden By The Bay) ที่รอบนี้เราเข้าไปดูฟลาวเวอร์โดมและคลาวด์ฟอเรสต์ (Flower Dome & Cloud Forest) กันเกือบทั้งวัน และรอบนี้ก๊อตยังได้ติ๊กถูกกิจกรรมใน Bucket List ของตัวเอง ด้วยการไปกระโดดบันจี้จัมพ์ครั้งแรกที่เกาะ Sentota บอกเลยว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่โคตรมันส์ รวมทั้งยังได้กลับมาเล่นเครื่องเล่นใน Universal Studios Singapore (USS) ที่ไม่ว่าจะมารอบไหน ก็แฮปปี้ทุกครั้ง อ่ะ มาดูแพลนกันเล้ย
แนะนำที่พักและโรงแรมในสิงคโปร์
คนที่กำลังหาที่พักใน สิงคโปร์ (Singapore) อยู่ล่ะก็ ก๊อตจะแนะนำย่านที่พักให้ โดยก๊อตขอแบ่งแยกออกเป็นย่านที่แนะนำตามนี้เลย ซึ่งแต่ละย่านเค้าก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน รวมถึงราคาที่พักที่เหวี่ยงตามพื้นที่ด้วย ซึ่งบอกก่อนว่าเรทราคาโรงแรมในสิงคโปร์ถือว่าแพงม๊าก แถมขนาดตัวห้องโดยส่วนมากมักจะเล็กด้วย ยังไงลองดูตามที่ก๊อตแนะนำก่อนได้ พยายามคัดมาให้แล้วเด้อ
#1 ย่านมารีน่าเบย์ (Marina Bays)
ย่านมารีน่าเบย์ (Marina Bays) คือบริเวณส่วนรอบๆ อ่าวมารีน่าทั้งหมด ที่มีทั้ง เมอร์ไลอ้อน (Merlion) และฝั่งตรงข้ามอย่าง The Shoppes และ Marina Bays Sands Hotel ที่สามารถเดินทะลุไป Garden by The Bay ได้ บริเวณนี้ เรียกว่าเป็นย่านใจกลางแหล่งท่องเที่ยวและแลนด์มาร์คสำคัญในสิงคโปร์เลยแหละ ใครที่มาเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกและเงินในกระเป๋าพร้อมจ่ายโรงแรมราคาแพง แนะนำให้มานอนที่นี่เลย ย่านนี้คือแหล่งรวมโรงแรมตัวท็อปของสิงคโปร์ แถมการเดินทางยังสะดวกสุดๆ สามารถเดินไปยังที่ต่างๆ ได้แบบชิลๆ เลย ส่วนใครที่ถามหาโรงแรมที่ราคาไม่แรงนั้นมีมั้ย ตอบเลยว่าไม่มีจ้า 555555
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): Marina Bay Sands Singapore / The Fullerton Bay Hotel Singapore / Mandarin Oriental, Singapore
#2 ย่านธุรกิจใจกลางเมือง (CBD) รวม Chinatown + Raffles Place + Telok Ayer
สำหรับย่านธุรกิจใจกลางเมือง หรือ Central Business District (CBD) ของสิงคโปร์นั้น จะรวมไปตั้งแต่ ย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown) ที่ของกินเยอะม๊าก และมีวัดดังอย่าง วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) ที่คนไทยชอบไปไหว้ รวมถึง ย่านราฟเฟิลเพลส (Raffles Place) ที่เป็นแหล่งดงตึกออฟฟิศ สามารถเดินไป เมอร์ไลอ้อน (Merlion) ได้สบาย และ ย่านทีล็อกอาเยอร์ (Telok Ayer) ที่มีฟู้ดคอร์ทที่ใหญ่และดังที่สุดของสิงคโปร์ อย่างตลาดเหล่าปาสัท (Lau Pa Sat) ตั้งอยู่ด้วย ย่านนี้ถือเป็นย่านที่ค่อนข้างโอเคเลย เป็นย่านใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวก และมีที่ท่องเที่ยวเยอะ และแน่อนว่าตรงนี้ เป็นอีกย่านที่โรงแรมแพงม๊ากเช่นเดียวกัน แต่ราคาที่ไม่แรงมากก็ยังมีให้เลือกอยู่ แต่มันจะเป็นโรงแรมแบบแคปซูล (กึ่งๆ โฮสเทล) เท่านั้น
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): The Clan Hotel Singapore / PARKROYAL Collection Pickering
– โรงแรมดี ราคาเอื้อมถึงได้ (6,000-10,000 บาท/คืน): Amoy Hotel / The Scarlet Singapore
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 2,500 บาท/คืน): CUBE Boutique Capsule Hotel at Chinatown / Wink Capsule Hostel at Chinatown
#3 ย่านแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River) รวม Clarke Quay + Fort Canning + City Hall
คนที่เป็นสายเที่ยวกลางคืน เที่ยวแบบชิล ชอบดื่ม แนะนำให้ไปพักแถวๆ เลียบแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River) ตรง คลากคีย์ (Clarke Quay) ได้เลย ตรงนี้ถือเป็นย่าน Nightlife ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ดีๆ เยอะม๊าก แต่ถ้าใครเป็นสายเที่ยวมิวเซียม ดูงานอาร์ตที่แกลอรี่ อีกฝั่งที่เป็นย่านหน่วยงานรัฐ หรือ ซิตี้ฮอล์ (City Hall) คือคำตอบ ทั้งสองฝั่งนั้น ฟีลลิ่งแตกต่างกันชัดเจนมากๆ นะ และแต่ละฝั่งก็มีสถานีรถไฟใต้ดินทั้งสองฝั่ง แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลย สำหรับราคาที่พักในย่านนี้ก็ลดลงมาค่อนข้างเยอะจากย่าน CBD และ Marina Bay ใครที่มาแบบบัตเจทหน่อย และยังอยากอยู่ใจกลางเมือง ลองดูแถวนี้ก็ได้
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): InterContinental Singapore Robertson Quay / The Capitol Kempinski Hotel Singapore / The Warehouse Hotel
– โรงแรมดี ราคาเอื้อมสบาย (6,000-10,000 บาท/คืน): Holiday Inn Express Singapore Clarke Quay / Paradox Singapore Merchant Court at Clarke Quay
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 6,000 บาท/คืน): lyf Funan Singapore / KINN Capsule Hotel / Champion Hotel City
#4 ย่านบูกิส (Bugis)
สำหรับคนที่ต้องการที่พักที่ราคาถูกมาหน่อย แนะนำให้มาแถวบูกิส (Bugis) ที่ก๊อตเลือกพักในทริปสิงคโปร์ล่าสุด ถือว่าค่อนข้างประทับใจมาก มีรถไฟฟ้าใต้ดินสองสายตัดผ่าน สามารถเดินทางเข้าดาวน์ทาวน์ได้สะดวกโดยใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที แถมตรงนี้ยังมีห้างขนาดใหญ่ 2-3 ห้างติดกัน ที่เราสามารถเดินเล่นช้อปปิ้งได้อย่างสนุก และมีของกินเยอะด้วยเด้อ ส่วนราคาที่พักนั้น ค่อนข้างถูกว่ากว่ามากเมื่อเทียบกับใจกลางเมืองดาวน์ทาวน์ ถือว่าดีและแนะนำเลยแหละ
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): InterContinental Singapore / Andaz Singapore
– โรงแรมดี ราคาเอื้อมสบาย (5,000-10,000 บาท/คืน): PARKROYAL on Beach Road / Village Hotel Bugis by Far East Hospitality
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 5,000 บาท/คืน): Hotel G Singapore / The Pod Boutique Capsule Hotel
การเดินทางภายในสิงคโปร์
สำหรับใครที่จะมาเที่ยวสิงคโปร์ไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางเลยนะ เพราะที่นี้ระบบขนส่งมวลชนนั้นรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ที (MRT) หรือแม้แต่รถเมล์ของสิงคโปร์ ที่เราสามารถเดินทางได้สะดวกสบาย เนื่องจากเค้าออกแบบระบบขนส่งสาธารณะมาเป็นอย่างดีเลย
ทีนี้ การจะเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้สะดวกในสิงคโปร์ ก๊อตแนะนำให้เราซื้อบัตรเติมเงิน EZ-Link ที่เราสามารถใช้ขึ้นได้ทั้งรถไฟและรถเมล์ได้ในบัตรเดียว โดยราคาขายบัตรเค้าจะอยู่ที่$12 โดยเป็นค่าบัตร $5 และมีเงินติดในบัตรให้เราใช้ $7 ซึ่งถ้าเงินหมด เราสามารถเติมเงินได้ตามสถานีรถไฟฟ้า หรือตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปของเค้าได้เลย
ใครที่อยากได้บัตร EZ-Link แบบอุ่นใจตั้งแต่ที่ไทย ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อที่สิงคโปร์ เราสามารถซื้อผ่าน KLOOK ได้นะ มันจะเป็นบัตร NETS FlashPay ที่เหมือนกับ EZ-Link ซื้อผ่าน KLOOK ลิงค์นี้ได้เลย
หรือถ้าใครที่มีบัตรเดบิต หรือเครดิตการ์ด Mastercard และ Visa ที่เป็นระบบ PayPass หรือ PayWave ที่แตะบัตรได้เลยล่ะก็ ตอนนี้ทั้งรถไฟ MRT และรถเมล์ทั้งหมดในสิงคโปร์รองรับการจ่ายด้วยการแตะจ่ายเรียบร้อยแล้ว อันนี้คือโคตรดีและสะดวกมาก โดยที่เราไม่ต้องซื้อ EZ-Link เล้ย
แต่ถ้าใครคิดว่าจะไปเที่ยวไแล้วต้องขึ้นรถเมล์ ไม่ก็รถไฟฟ้าแบบจัดเต็มกันทุกวัน สามารถซื้อบัตร Singapore Tourist Pass ซึ่งเป็นบัตรขึ้นรถไฟและรถเมล์แบบเหมา Unlimited เป็นรายวัน อย่างเหมาหนึ่งวัน ราคาจะอยู่ที่ $10, สองวัน $16 หรือสามวัน $20 นั่นเอง
เริ่มต้นเที่ยวสิงคโปร์กันเลย
DAY 1 : มัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque)
เริ่มต้นเที่ยวสิงคโปร์วันแรก เราจะไปกันที่ มัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque) หนึ่งในมัสยิดที่เก่าแก่และมีสำคัญต่อชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์มาก ที่นี่เค้าโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม รูปทรงอาคารสีขาว ตัดด้วยโดมสีทองบนยอดขนาดใหญ่ที่ตั้งสง่ากลางเมือง มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่สุดฮิตที่นักท่องเที่ยวหลายคนต้องแวะมาถ่ายรูป ฟีลยืนคูลตรงซุ้มประตูทางเข้านี้ ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่ง Instagrammable Spot ที่ถ่ายออกมาแล้ว ยอดไลค์คือถล่มทลายเลยทีเดียว
เห็นแบบนี้แล้ว มัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1824 โดยแต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยของสุลต่าน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นมัสยิดและกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมในสิงคโปร์ โดยในปี 1932 อาคารด้านในถูกบูรณะขึ้นใหม่ โดยเงินส่วนใหญ่ที่ใช้ในการปรับปรุงอาคารมาจากชาวบ้านที่ยากจนที่เค้ารวมเงินกันและได้นำมาบริจาค จนแล้วเสร็จและถูกใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งภายในห้องโถงสามารถจุคนได้มากถึง 5,000 คนเลยเชียวนะและด้วยความเก่าแก่ของมัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque) รวมทั้งสถาปัตยกรรมที่งดงามของเค้า ทำให้ทุกวันนี้มัสยิดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติของสิงคโปร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่นี่มักจะเป็นจุดที่คนเค้าชอบไปถ่ายรูปกันโดยเฉพาะบริเวณซุ้มประตูทางเข้าที่เห็นฉากหลังเป็นโดมมัสยิดสีทองตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง หลายคนอาจจะมาถ่ายรูปแล้วก็ไปที่อื่นต่อเลย แต่ถ้าใครที่มีเวลาซักหน่อย ก๊อตอยากให้ทุกคนได้ลองเดินเข้าไปดูด้านใน ถ้าใครใส่ขาสั้นเข้ามาแบบก๊อต เค้าจะมีโสร่งให้เราใส่ก่อนเข้าไปด้านในด้วยนะ ดังนั้น ไม่ต้องห่วง



บรรยากาศข้างในเราจะได้เห็นผู้คนที่เค้านับถือศาสนาอิสลามมาทำพิธีกันตามปกติ โดยตัวอาคารและสถาปัตยกรรมของเค้างดงาม แปลกตาเราไปอีกแบบ พร้อมทั้งยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาของคนมุสลิมให้เราได้ศึกษาอยู่อีกด้วย โดยรวมของที่นี่ เราจะได้เห็นอีกมุมของสิงคโปร์ ที่ถ้าปกติภาพจำเราก็จะเป็นฟีลคนจีน-สิงคโปร์ แต่พอเราได้เข้ามาย่านนี้ มีคนมุสลิมอาศัยอยู่เยอะมาก มันทำให้เราได้เห็นความหลากหลายของคนและเชื้อชาติที่เค้าอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสวยงาม ได้สัมผัสบรรยากาศแบบใหม่ และที่สำคัญถ่ายรูปสวยมากเลยแหละ


ฮาจิ หรือ ตรอกฮัจญี (Haji Lane) + ถนนอาหรับ (Arab Lane)
เดินออกมาจากมัสยิดแล้วเราก็มาต่อกันที่ย่านฮาจิ หรือตรอกฮัจญี (Haji Lane) ถนนสายเล็กๆ ในย่านกัมปง กลาม (Kampong Glam) ของสิงคโปร์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสตรีทอาร์ทและตึกแถวสไตล์ชิโนยูโรเปียน (Shino-Europian : สถาปัตยกรรมที่ประดับตกแต่งด้วยลวดลายแบบจีน และยุโรปผสมกัน) ซึ่งบรรยากาศยื่นนี้ถือว่ามีคิวท์ เพราะตึกรามบ้านช่องในตรอกนี้เค้ามีสีสันสดใส และมีความคัลเลอร์ฟูลจัด นักท่องเที่ยวเค้าก็เลยนิยมปักหมุดมาถ่ายรูป แถมแถวนี้ยังมีคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านค้า และบาร์เยอะอีก คนก็เลยมาจิบกาแฟ และช้อปปิ้งกันเยอะมากด้วยนั่นเอง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าซอยนี้ มีกลิ่นอายความเป็นเมืองเก่าภูเก็ต หรือสงขลาบ้านเราเหมือนกันนะ โดยตามผนังของอาคาร และกำแพงก็จะถูกแต่งแต้มไปด้วยภาพวาดที่ต่างกันออกไป ซึ่งถ่ายรูปออกมาก็น่ารักดี ส่วนใครที่มาช็อปปิ้ง ร้านค้าส่วนใหญ่ในตรอกนี้เค้าจะขายกันตั้งแต่ เสื้อผ้า กระเป๋า และพวกสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ เต็มสองข้างทาง ซึ่งถ้าใครมาเดินเล่นย่านนี้ก๊อตแนะนำให้เดินไปสุดตรอกเลยนะ ใกล้ๆ กับถนน Beach Road จะมีพวกร้านคาเฟ่น่ารักๆ ร้านอาหารให้เราได้เลือกกินเพียบเลย



เดินออกมาจากตรอกฮัจญี (Haji Lane) ไม่ไกลมากนัก เราสามารถเดินทะลุมาที่ ถนนอาหรับ (Arab Street) ได้ด้วย โดยมันเป็นถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกแถวสองชั้นที่ถูกทาด้วยสีสดๆ ไม่ต่างกันเลย แถมยังเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ขายสินค้าเกี่ยวกับชาวอาหรับและชาวมุสลิม สำหรับที่มาของชื่อถนนว่ากันว่ามาจาก ชื่อของพ่อค้าชาวอาหรับ Syed Ali Bin Mohamed Al Junied ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ในบริเวณนี้ ซึ่งในภาษาทมิฬ ถนนอาหรับเป็นที่รู้จักในชื่อ Pukadai Sadkku (ถนนร้านขายดอกไม้) นั่นเอง
ใครที่จะมาย่านนี้วสามารถมาได้ตลอดทั้งวันเลยนะ โดยในช่วงกลางวันย่านนี้จะคึกคักเต็มไปด้วยร้านค้าตามสองข้างทางที่มีสินค้าเกี่ยวกับอาหรับและมุสลิมขายกันครบ ไม่ว่าจะเป็น พรมทอมือลวดลายสวยงามแปลกตา เครื่องแต่งกายของชาวมุสลิม และน้ำหอมมากมายที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลตลอดที่เราเดินเที่ยวกัน
พอตกเย็นทั้งย่านจะกลายเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารอาหรับ ที่เราจะได้ลิ้มรสไปกับอาหารอาหรับแบบต้นตำรับ ที่มีให้เราเลือกกินเยอะมาก อย่างเช่น อาหารโมร็อกโก อาหารเลบานอน อาหารตุรกี และที่ขายกันเยอะมากแบบเรียงติดกันเลย คือ อาหารมาเลเซียและอาหารอินเดีย เรียกได้ว่าเลือกกินกันไม่ถูกเลยเชียว
ส่วนตัวก๊อตว่าย่านนี้มันโคตรจะคัลเลอร์ฟูลเลย แถมยังมีร้านค้า คาเฟ่ให้เราได้เลือกกินเพียบ ซึ่งจุดที่ก๊อตแนะนำให้มาถ่ายรูปคือ เหล่าตึกหลากสีสัน ที่ถูกเพนท์เป็นลายกราฟฟิกตี้สุดอาร์ท และยังมีเหล่ารูปปั้นตามมุมอาคารต่างๆ ที่มันเพิ่มสีสันให้ย่านนี้ขึ้นไปแบบ 300% บางตึกนี่เพนท์กันจริงจังทั้งตึกเลยเน้อ สายอาร์ทนี่ต้องมาเซลฟี่คู่ นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่คึกครื้นตลอดทั้งวัน เราจะมาตอนไหนก็มีสินค้า อาหารให้ได้เลือกกิน ใครอยากมาลองกินอาหารอาหรับแบบออริจินี่ไม่ควรพลาดเลย
ย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India)
มาต่อกับอีกย่าน นั่นคือ ลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) หนึ่งในย่านชุมชนเก่าแก่ของคนอินเดียที่เค้าอพยพเข้ามาพักอาศัยอยู่ในสิงคโปร์ตั้งแต่สมัยสร้างประเทศ ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศและวัฒนธรรมความเป็นอินเดียต้องมาที่นี่เลย ย่านนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารอินเดีย ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า วัดฮินดูต่างๆ รวมเอาไว้มากมายให้เราได้เข้าไปสัมผัส ถือเป็นอีกหนึ่งย่านท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสิงคโปร์เลยก็ว่าได้
แต่เดิมย่านนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เซรังกูน (Serangoon) ที่ตั้งตามชื่อถนนสายแรกสุดในสิงคโปร์ และถือเป็นเส้นทางการค้า และขนส่งที่สำคัญในช่วงเวลานั้น เสริมกับบริเวณนี้ที่ใกล้กับแม่น้ำโรชอร์ (Rochor) บริเวณนี้เลยถูกพัฒนากลายเป็นย่านอยู่อาศัย การขนส่ง รวมไปถึงการพาณิชย์ต่างๆ
โดยในยุคอาณานิคม คนอังกฤษได้นำชาวอินเดียมาเป็นแรงงานในการก่อสร้างและทำงานหนักต่างๆ จนทำให้ภายในย่านแห่งนี้เริ่มมีชาวอินเดียเข้ามาทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก บางคนก็เริ่มตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ต่อ จนในปี 1980 ที่ย่านนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นว่า ลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) อย่างเป็นทางการ จากการท่องเที่ยวสิงคโปร์ (STPB) ซึ่งที่นี่ก็จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนชาวอินเดีย ร้านค้ามากมาย และยังมีนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ชาวอินเดีย ที่แวะเวียนเข้ามาสัมผัสบรรยากาศ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในย่านนี้ ที่มีอาคารบ้านเรือนสีสันสดใส ตั้งเรียงรายต่อกันไปตามแปลนของถนน และยังมีชาวอินเดียจำนวนมากที่ยังไส่สาหรี่เดินเตร็ดเตร่ไปมา อาหาร และของฝากต่างก็ล้วนเป็นอินเดียแท้ๆ ขนาดย่อมที่ถูกยกเอามาตั้งเอาไว้ในสิงคโปร์ เรียกได้ว่าสามารถเดินเล่นเพลินๆ กันได้ตลอดทั้งวันเลย
วัดศรี วิรามกาลีอัมมัน (Sri Veeramakaliamman Temple)
วัดศรี วิรามกาลีอัมมัน (Sri Veeramakaliamman Temple) วัดฮินดูเก่าแก่ที่สุด ตั้งอยู่ตอนกลางของลิตเติ้ลอินเดีย ที่นี่เป็นหนึ่งในวัดที่ได้รับความนิยมจากคนอินเดียรวมไปถึงนักท่องเที่ยวอย่างมาก เรียกได้ว่าใครมาเที่ยวย่านลิตเติ้ลอินเดีย จะต้องแวะเวียนมาเที่ยวที่นี่เน้อ
โดยวัดศรี วิรามกาลีอัมมัน (Sri Veeramakaliamman Temple) ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เจ้าแม่ศรีวิรามกาลีอัมมัน หรือเจ้าแม่กาลี โดยเค้ามีความเชื่อกันว่าพระนางเป็นผู้ทำลายความชั่วร้ายและปกป้องผู้บริสุทธิ์ ทั้งยังมีพลังอำนาจมากที่สุดอีกด้วย ทำให้คนอินเดียที่อาศัยอยู่ที่นี่เค้านิยมมาไหว้ บูชาเจ้าแม่กาลี บ้างก็มาขอพรให้ได้เลื่อนขั้นในหน้าที่การงาน ขอพรเรื่องของสุขภาพ ไปจนถึงการมาขอลูกจากเจ้าแม่ด้วย
คนที่นี่เค้าเชื่อกันว่าคนงานที่ทำงานในไซต์งานที่กำปง กะปอร์เป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่ได้สร้างศาลเจ้าขึ้นมาบริเวณไซต์งานนี้ เพื่ออุทิศให้กับเจ้าแม่กาลี ตั้งแต่ปี 1855 ต่อมาภายหลังในช่วงปี 1881 ชาวเบงกอลเค้าก็ได้มาสร้างวัดขึ้นในบริเวณนี้ เวลาผ่านไปตอนแรกๆ นั้นภายในวัดเค้ายังไม่ได้มีรูปปั้นเจ้าแม่กาลีนะ จนกระทั่งในปี 1908 ตัววัดเริ่มมีการทรุดโทรม ทางเทศบาลเค้าเลยจัดคนเข้ามาดูแล และบูรณะ ก่อนจะนำรูปปั้นเจ้าแม่กาลีมาจากอินเดียใต้เข้ามาติดตั้งเอาไว้ภายในวัด รวมถึงยังได้มีศาลเจ้า และรูปปั้นสำคัญอื่นๆ อีกมากมายเพิ่มเข้ามา
ที่นี่เค้ามีเรื่องเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สิงคโปร์สู้รบกับญี่ปุ่น ซึ่งช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดใส่สิงคโปร์กันรัวๆ ผู้คนมากมายต่างขอเข้ามาหลบระเบิดภายในวัดแห่งนี้ และได้อ้อนวอนแก่เจ้าแม่กาลีให้ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ตัววัดและทุกคนที่มาขอหลบภัยต่างรอดตาย และตัววัดไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุสงครามเลยเว้ย ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนเค้าเคารพนับถือกันมากๆ เลย
เรื่องบรรยากาศของวัดนี่ให้ความรู้สึกเหมือนเรามาวัดแขกบ้านเราที่สีลมเลยเว้ย แต่ที่นี่จะมีความอินเดียจ๋ากว่า เริ่มตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าวัดขนาดใหญ่ที่ตกแต่งไปด้วยรูปปั้นเทพเจ้า ในท่าทางต่างๆ ที่ด้านบนซุ้มประตูทางเข้า โดยเราสามารถถ่ายรูปได้แค่บริเวณหน้าวัดนะ ส่วนด้านในเค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปแล้ว
ภายในก็จะมีศาลาที่ช่วงหลังคาเค้ามีรูปทรงเว้าโค้งมน ด้านบนของเพดานเต็มไปด้วยรูปวาดมากมาย และตรงกลางด้านในของศาลาจะมีรูปปั้นของเจ้าแม่กาลีตั้งเด่นสง่าเอาไว้ให้เราได้สักการะ พร้อมทั้งมีรูปปั้นองค์อื่นๆ อยู่รอบข้าง ใครที่เคยไหว้วัดแขกที่สีลมบ้านเราจะรู้ ช่วงที่เราต้องเดินเอาดอกไม้เข้าไปถวายด้านใน ระหว่างทางเดินทั้งสองฝั่งจะเต็มไปด้วยเทพองค์ต่างๆ ที่คนอินเดียเค้านับถือกัน ที่นี่ก็คล้ายๆ กันเลย ส่วนเรื่องขอพรอันนี้ใครอยากจะขอพรอะไรก็ลองๆ ดู
ส่วนตัวก๊อตแนะนำให้มานะ ถ้าใครมาถึงย่านลิตเติ้ลอินเดียแล้ว ก็สามารถเดินต่อมาที่วัดได้ อย่างน้อยเรามาต่างบ้านต่างเมืองได้เคารพสิ่งศักดิสิทธิ์ของเค้า ก็ถือเป็นการเริ่มต้นเที่ยวด้วยความสิริมงคล และอีกอย่างที่อยากให้มาเห็นกับตาคือพวกสถาปัตยกรรมของเค้า รวมถึงรูปปั้นเจ้าแม่กาลีของจริง ที่แบบแค่มองก็สัมผัสได้ถึงความขลังแล้ว
บ้าน Tan Teng Niah
อีกหนึ่งในไฮไลท์ที่ใครมาย่านลิตเติ้ลอินเดียต้องมาถ่ายรูปคือ คือ บ้าน Tan Teng Niah หรือที่เราคุ้นเคยกันในบ้านสีสันสดใส หนึ่งในสัญลักษณ์ของย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) ที่เราจะได้เห็นบ้านที่ถูกทาสีแบบคัลเลอร์ฟูลแบบขั้นสุดจนทุกคนต้องมาถ่ายรูปกันให้ได้



โดยตัวบ้านนี้เป็นบ้านเก่าของ Tan Teng Niah นักธุรกิจชาวจีนที่มีฐานะดี และเป็นเจ้าของโรงงานทำขนมหลายแห่งตามถนนเซรังกูน (Serangoon Road) ซึ่งบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1900 ซึ่งถือเป็นวิลล่าจีนหลังสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในย่านลิตเติ้ลอินเดีย โดยในปี 1980 ตัวบ้านนั้นได้รับการปรับปรุงและอนุรักษ์เพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์ จนได้รับรางวัล Singapore Institute of Architects Honorable Mention ในปี 1991 อีกด้วยนะ



แน่นอนว่า ตัวบ้าน Tan Teng Niah เค้าก็จะสีสันคัลเลอร์ฟูลแบบยกมาทุกสีกันเลยทีเดียว โดยเราสามารถไปยืนถ่ายรูปเล่นด้านนอกตัวบ้านได้เท่านั้น ใครมาย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) ก๊อตอยากให้เดินหาเจ้าบ้านหลังนี้มากกก คือสีเค้าน่ารักมากกก ถ่ายรูปออกมาแล้วจี๊ดจ๊าดสุดด
DAY 2: CapitaSpring (Green Oasis + Sky Garden)
วันที่สองเราไปเริมต้นเที่ยวกันที่ CapitaSpring กันก่อน กับตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ หนึ่งในที่ถ่ายรูปดังใน Instagram ของสิงคโปร์ที่ทุกคนต้องมาตามรอย โดยตึก CapitaSpring ถือว่าเป็นโครงการ Mixed-use ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกชื่อดังอย่าง Bjarke Ingels Group ร่วมกันกับ Carlo Ratti สถาปนิกชาวอิตาเลียน จนออกมาเป็นอาคารรูปทรงทันสมัย ที่ภายในเต็มมีทั้งออฟฟิศ ร้านอาหาร ที่พักอาศัย และไฮไลท์เด็ดคือ สวนสาธารณะลอยฟ้า และจุดชมวิวเมืองสิงคโปร์ที่ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวกัน




บอกเลยว่าใครที่ชื่นชอบการเดินเล่นในสวนสาธารณะ จะต้องเลิฟที่นี่ เพราะเค้ามีสวนสาธารณะลอยฟ้าที่บรรยากาศดีมากก โดยเราจะไปกันที่ Green Oasis บริเวณชั้น 17-20 กันก่อน ซึ่งก๊อตแนะนำให้ขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 20 แล้วค่อยๆ เดินไล่ลงมาที่ชั้น 17 นะ มันจะเดินชิลสบายมาก โดยเราสามารถเดินวนดูวิวเมืองเค้าได้แบบ 360 องศาเลยเว้ย



Green Oasis เค้าบรรยากาศ ฟีลมันเหมือนเรามาเดินเล่นพักผ่อนในสวนกลางเมืองที่คล้ายเหมือนเขาวงกตบนตึกใหญ่ที่เค้าดีไซน์มาในแบบโค้งเว้าโดยที่แต่ละชั้นจะไม่เหมือนกัน โดยเราสามารถเดินเล่นชิลๆ ดูต้นไม้ และวิวตึกรอบทิศทาง ซึ่งเราสามารถมองเห็นวิวตึกน้อยใหญ่ล้อมรอบ, City Hall, มารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) และวิวของเมืองได้แบบไกลสุดลูกหูลูกตา และแน่นอนว่า ที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ฮิตสำหรับการถ่ายรูปไปแล้ว เพราะมันสวยและถ่ายรูปปังมากก






CapitaSpring มันยังไม่หมดเว้ย เราไปต่อกันที่ Sky Garden สวนลอยฟ้าบนชั้น 51 ที่ก๊อตยกให้เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ดีที่สุดของสิงคโปร์ ซึ่งก๊อตอยากให้ทุกคนมามาก เพราะตรงนี้เราสามารถมองเห็นวิวเมืองสิงคโปร์ได้แบบ 360 องศา รวมถึงวิวเวิ้งมารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) ที่โคตรสวย แถมตรงนี้เองเค้ายังคงคอนเซ็ปสวนสีเขียว และดอกไม้ที่ถูกปลูกและจัดวางเอาไว้อย่างกลมกลืน แม้จะไม่ใช่พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่แต่ก็ทำให้เราได้เห็นความใส่ใจของเค้าที่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในทุกๆ พื้นที่ที่เค้าสามารถทำได้







เห็นความเริ่ดของ CapitaSpring แบบนี้แล้ว นี่อยากบอกว่า ทุกอย่างเค้าเข้าฟรี! แต่ก่อนทุกคนจะมาเที่ยวที่นี่ ให้เช็คช่วงปิดบริการเค้าให้ดีๆ น้า อย่าง Green Oasis และ Sky Garden เค้าจะเปิดให้เราขึ้นไปในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เท่านั้น โดยเค้าจะมี 2 ช่วงเวลาสำหรับคนนอก คือ 08:30-10:30 น. และ 14:30-06:00 น. โดยในช่วงเวลา 10:30-14:00 น. นั้น เค้าจะเปิดให้เฉพาะผู้พักอาศัย ผู้เช่าออฟฟิศ หรือแขกที่มากินข้าวในร้านอาหารเท่านั้นเน้อ




เดินเลียบเเม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River Walk)
พอก๊อตเดินชิลๆ กินลมชมวิวเสร็จแล้ว เราก็จะเดินไปเที่ยวต่อกันที่เมอร์ไลออน แต่ระหว่างทางเราจะต้องเดินเลียบไปตามแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River Walk) โดยระหว่างทางก็ชิลๆ ทางเดินทำอย่างดี พร้อมกับเหล่ารูปปั้นตามทาง และวิวเมืองและดงตึกของสิงคโปร์ ให้เราดูและเดินได้แบบเพลินๆ เลย
ถ้าเล่าย้อนกลับไปในยุคอาณานิคม แม่น้ำสิงคโปร์เคยเป็นศูนย์กลางตลาดที่มีการซื้อขายที่รุ่งเรือง โดยมีท่าเรือทั้งหมด 3 ท่า ได้แก่ ท่าเรือโรเบิร์ตสัน คีย์ (Robertson Quay), ท่าเรือโบ๊ต คีย์ (Boat Quay) และ ท่าเรือคลาร์ก คีย์ (Clarke Quay) โดยมีเรือจอดเทียบท่าอยู่เต็มทั้งสามท่าเลย ซึ่งในปัจจุบันนี้ แม่น้ำสิงคโปร์เป็นแม่น้ำสายหลักของสิงคโปร์ รวมถึงมีย่านท่องเที่ยวยอดฮิตที่ตั้งเรียงรายตลอดริมแม่น้ำเลยแหละ บอกเลยว่ายิ่งตอนกลางคืนคือครึกครื้นสุด โดยเฉพาะแถวท่าเรือทั้งสามแห่ง ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยบาร์ และร้านอาหารมากมาย
และก่อนที่เราจะเดินไปถึงเมอร์ไลออน เราจะต้องเดินผ่าน สะพานคาเวนาห์ (Cavenagh Bridge) สะพานแขวนแห่งเดียวของสิงคโปร์ และยังเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดด้วย ซึ่งสะพานนี้เค้าใช้สำหรับเป็นสะพานคนข้ามเท่านั้น โดยตัวสะพานถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1870 เพื่อฉลองความสัมพันธ์ระหว่างสิงคโปร์และอังกฤษ ซึ่งแต่เดิมสะพานนี้มีชื่อว่า Edinburgh Bridge เพื่อต้อนกับการมาเยือนของเชื้อพระวงศ์จาก Ediburgh ก่อนจะถูกเปลี่ยนให้เป็น Cavenagh ตามนามสกุลของผู้ปกครองสิงคโปร์เมื่อปี 1859 ถึง 1867 แทนนั่นเอง
ซึ่งระหว่างทางที่เราเดินผ่านสะพานนั้น เราจะได้เห็นรูปปั้นที่เค้าต้องการสื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยก่อน ด้วยความที่เค้าเป็นเมืองท่า เราก็จะได้เห็นเหล่ารูปปั้นของคนในสมัยก่อนที่เค้าอาศัยอยู่ใกล้ๆ ท่าน้ำ ในท่าทางต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่ข้างทาง เป็นอีกมุมที่มาถ่ายรูปได้เก๋เช่นกัน ใครเดินมาเมอร์ไลออนแล้วผ่านก็ลองแวะถ่ายรูปเล่นดูได้นะ


เมอร์ไลออน (Merlion)
หนึ่งที่เที่ยวที่ต้องมาสำหรับคนมาเที่ยวสิงคโปร์ที่แรกก็คือ เมอร์ไลออน (Merlion) ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ประจำชาติสิงคโปร์ กับเจ้าหัวสิงห์โตลำตัวเป็นปลาอยู่ในท่าพ่นน้ำตลอดเวลา ซึ่งใครมาเที่ยวสิงคโปร์ร้อยทั้งร้อยต้องมายืนถ่ายคู่ อ้าปากรับน้ำจากเมอร์ไลออนแน่นอน
เมอร์ไลออน (Merlion) ถือเป็นตัวแทนของชื่อดั้งเดิมของประเทศสิงคโปร์ คือ สิงหะปุระ หรือ เมืองสิงโต ในภาษามาเลย์ แต่ในบันทึกของชาวมลายูบอกไว้ว่า มาจากน้องสิงโตที่เจ้าชายซางนิลาอุตามะ (ผู้ค้นพบเกาะสิงคโปร์) ได้มาพบน้องตอนที่พระองค์ขึ้นฝั่งบนเกาะสิงคโปร์ในปี ค.ศ. ที่ 11 และในส่วนของลำตัวที่เป็นปลานั้น มาจากจุดเริ่มต้นของชาวสิงคโปร์ในฐานะหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า Temasek (เทมาเส็ก) ซึ่งมีรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า ทาสิก ที่หมายความว่าทะเลสาบในภาษามาเลย์นั่นเอง
เมอร์ไลออนถูกสร้างขึ้นโดยช่างมีผีมือชาวสิงคโปร์ ลิม นัง เส็ง (Lim Nang Seng) มีความสูงประมาณ 8.6 เมตร และหนักกว่า 70 ตัน และได้เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี 1972 โดยตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ เพื่อคอยต้อนรับผู้คนที่มาเยือนสิงคโปร์ โดยคนที่มาเปิดตัวเมอร์ไลออนตอนนั้นก็คือ ลี กวนยู (Lee Kuan Yew) นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์นั่นเอง
และที่เราเห็นเมอร์ไลออนตั้งสวยๆ ยืนพ่นน้ำอยู่ตลอดเวลาตรงจุดนี้นั้น ถือว่าเป็นจุดตั้งเมอร์ไลออนจุดใหม่ที่เค้าย้ายมาจากจุดเดิมราวๆ 120 เมตร เหตุมันเกิดจากสะพานเอสพลานาด (Esplanade Bridge) ที่สร้างเสร็จในปี 1997 มาบดบังทัศนียภาพเจ้าเมอร์ไลออนที่ตั้งอยู่ จากแต่ก่อนที่ใครมาเที่ยวแล้วจะได้ยืนถ่ายรูปเก๋ๆ กับวิวด้านหลังเป็นสิงห์โตพ่นน้ำ กลับมองไม่เห็น และไม่โดดเด่นเหมือนเคย ด้วยเหตุฉะนี้ ในปี 2002 เค้าจึงได้มีการย้ายเมอร์ไลออนมาไว้ในเมอร์ไลออนพาร์ค ข้างหน้าโรงแรมฟูลเลอร์ตัน (Fullerton Hotel) และหันหน้าออกไปยังอ่าวมารีน่า เบย์ (Marina Bay) ทางทิศตะวันออก เพราะเชื่อว่าเป็นทิศที่นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง โดยในสวนแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของเมอร์ไลออนจิ๋ว ตัวลูกที่เล็กกว่า ชื่อว่า ‘Merlion Cub’ สูง 2 เมตรและหนัก 3 ตัน ทำให้ในตอนนี้เราสามารถไปยื่นเซลฟี่ ทำท่าทางอ้าปากรองรับน้ำได้สบายๆ แถมยังได้เห็นตัวเมอร์ไลออนกันแบบเด่นชัดเต็มสองตา



ใครจะมาเที่ยวที่นี่ก๊อตแนะนำให้มาช่วงเย็นๆ แล้วอยู่รอถึงมืดได้เลย เราจะได้เห็นฝั่งมารีน่า เบย์เค้าเปิดไฟระยิบระยับกันแบบจัดเต็ม และยังได้สนุกไปกับกิจกรรมอ้าปากรับน้ำ ที่จะอ้าปากกว้างแค่ไหนก็ไม่ผิด เพราะตรงนั้นต่างคนต่างหามุมเหมาะๆ มายืนทำท่าเดียวกันหมดเลย 5555 นี่ยกให้เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำชาติของเค้าที่มันเหมือนไฟท์บังคับว่ามากี่รอบๆ ก็ต้องมาเซลฟี่คู่ด้วย ฟีลมันเหมือนกับเวลาเราไปเที่ยวแลนด์มาร์คสำคัญๆ ของแต่ละประเทศอ่ะ ถ้าสิงคโปร์ มันก็ต้องเจ้าสิงห์โตทะเล เมอร์ไลออนนี่แหละแกร๊
หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore)
มาต่อกันที่ หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) หอศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ที่ภายในเต็มไปด้วยผลงานศิลปะสมัยใหม่ทั้งจากศิลปินสิงคโปร์รวมถึงศิลปินจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยสิงคโปร์เองเค้าตั้งใจให้งานศิลปะเหล่านี้ที่สะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ความเป็นสิงคโปร์ให้คนรุ่นหลังได้ดูถึงความมา อีกทั้งยังส่งเสริมและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในสิงคโปร์ ให้ไปถึงระดับภูมิภาค และระดับโลกเลย
แต่เดิมพื้นที่ตรง หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) นี้ คือ อาคารศาลฎีกา และศาลาว่าการของสิงคโปร์ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติและมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ด้วยเน้อ ความป๊อบของที่นี่คือเค้าได้รางวัลการันตีมากมาย และหนึ่งในรางวัลที่น่าภูมิใจเลยของเค้า คือ ที่นี่ถูกจัดว่าเป็นหอศิลป์แห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการจัดอันดับจากหนังสือพิมพ์ The Art Newspaper ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก ในปี 2020 อยู่ในอันดับที่ 20 ด้วยนะ เริ่ดที่สุด



ภายในหอศิลป์เต็มไปด้วยผลงานศิลปะมากกว่า 8,000 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของคอลเลคชั่นผลงานระดับชาติของสิงคโปร์ที่สุดแสนจะเลอค่า และยังเป็นแหล่งรวบรวมมีผลงานจากศิลปินชาวสิงคโปร์ชื่อดัง เอาไว้ให้เราได้มาดูกัน ไม่ว่าจะเป็นผลงานของ Georgette Chen, Chen Chong Swee และ Liu Kang นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงผลงานศิลปะสมัยใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มาจนถึงปัจจุบัน และไฮไลท์เด็ดคือเค้ามีผลงานจากศิลปินชื่อดังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอื่นๆ จากทั่วโลกจัดเอาไว้ อย่างเช่น ผลงานของ Raden Saleh (อินโดนีเซีย), Latiff Mohidin (มาเลเซีย) และ Nguyen Gia Tri (เวียดนาม)
และยังมีผลงานจากศิลปินชื่อดังระดับโลก อย่าง ผลงานของ Yayoi Kusama คุณป้าที่มาพร้อมหน้าม้าสีแดง ศิลปินหญิงชาวญี่ปุ่นชื่อดังระดับโลก เป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าแม่แห่ง 'Polka Dot' ผลงานลายจุดสีจี๊ดๆ ที่ก๊อตเชื่อว่าเคยผ่านตาใครหลายคน นั่นล่ะ! ผลงานของป้าแกเอง หรือจะเป็นผลงานของ Mark Rothko จิตรกรชาวลัตเวีย ที่ถูกยกให้เป็นศิลปินระดับตำนาน ซึ่งภาพวาดของเค้าเคยถูกซื้อในราคาที่แพงที่สุดมาแล้ว หอศิลป์แห่งนี้เค้าก็ได้เอาผลงานของเค้ามาจัดโชว์เอาไว้ด้วย
ใครจะเที่ยวชม หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) ก๊อตจะบอกก่อนว่า เราสามารถเข้าไปเดินเล่นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ยกเว้นแต่ห้องแกลอรีที่จัดแสดงงานต่างๆ นั้น เราจะต้องซื้อบัตรเข้าชมนั่นเองมั โดยภายในอาคารเค้ามีทั้งหมด 6 ชั้น ให้เราได้เดินดูผลงานต่างๆ เยอะมาก คือเราสามารถใช้เวลาทั้งวันสำหรับการเดินดูที่นี่ได้เลย
อันที่ก๊อตชอบมาคืองาน Installation Arts บนชั้น 5 ที่มีผลงาน Horizon Field Singapore ผลงานของ Antony Gormley ประติมากรชาวอังกฤษ ที่เอาเส้นเหล็กมาดัดให้คดเคี้ยววางบนลานโล่งๆ ให้ได้ถ่ายรูปใกล้ๆ และที่ห้ามพลาดคือชั้นบนสุดคือ ชั้น 6 กับ Coleman Deck Padang Deck ดาดฟ้ากลางแจ้งที่เราสามารถขึ้นมาดื่มด่ำกับวิวของสิงคโปร์ได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว ซึ่งชั้นนี้เราสามารถขึ้นมาดูได้ฟรีโดยไม่เสียเงินเลย
สำหรับคนที่เป็นสายถ่ายรูป ไม่เน้นเข้าดูพวกนิทรรศการ หรืองานศิลปะจริงจัง ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ Instagram Worthy อย่างชั้น 5-6 ของอาคาร ที่พึ่งบอกไป รวมถึงด้านในอาคารต่างๆ ที่ไม่ใช่ส่วนของแกลอรี่ คือมันมีหลากหลายมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก อย่างเช่น สะพานทางเดินเชื่อมตึกด้านใน มุมข้างในอาคารที่มีโดมของห้องสมุดสีขาว และยังมีห้องสมุดสาธารณะ ที่ให้อารมณ์เหมือนเราเข้ามาอยู่ในห้องของนักกฎหมายสมัยก่อนที่เค้าจะเปลี่ยนศาลฎีกามาเป็นหอศิลป์เลย อันนี้ดีมากก อย่างเท่ห์ ทั้งหมดนี้ถือเป็นจุดถ่ายรูปที่หลายคนไม่รู้ และไม่ได้เข้ามาเพราะคิดว่ามันเสียเงินนั่นเอง





ส่วนนิทรรศการที่เราต้องเสียเงินเข้ามาดูนั้น ราคาบัตรจะอยู่ที่ 20 SGD เราจะซื้อหน้างานก็ได้ หรือจะซื้อผ่าน KLOOK ก็ได้หมด โดยเราจะได้เห็นภาพวาดหลากหลายแขนง อย่างภาพวาดสิงคโปร์สมัยก่อนในยุคอาณานิคมกับอังกฤษ จนถึงยุคปัจจุบัน โดยเค้าแบ่งเป็นยุคๆ ให้เราเห็นถึงความเป็นมาของประเทศ มีตั้งแต่สมัยก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ, ช่วงที่อยู่รวมกันมาเลเซีย มาจนถึงช่วงที่ประกาศแยกตัวออกเป็นประเทศสิงคโปร์โดยสมบูรณ์ รวมทั้งยังได้มีงานอาร์ทมากมาย อย่าง รูปปั้น ภาพวาดแคนวาส และรูปถ่ายจัดแสดงโชว์เอาไว้ให้ได้ดูอีกด้วย ใครสนใจประวัติศาสตร์บ้านเมืองเค้าและอยากเสพงานศิลป์นี่แนะนำให้เสียตังค์เข้ามาดูจริงๆ
ซื้อบัตรเข้าชมนิทรรศการในหอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) กับ Klook คลิก
เรียกได้ว่ามาที่นี่แล้วเหมือนได้หลุดเข้าไปในสวรรค์ของคนรักงานศิลปะ เราจะได้ดื่มด่ำไปกับงานศิลปะมากมาย ผลงานดังและหายากที่ถูกจัดแสดงเอาไว้ให้ได้เห็นใกล้ๆ ส่วนตัวก๊อตประทับใจที่นี่มาก ใครที่เป็นสายอาร์ตมิวเซียม และรักในการถ่ายรูปอยู่แล้ว มาที่นี่คือได้รูปกลับบ้านเพียบ เพราะเค้ามีมุมถ่ายรูปเยอะมากก ภายในเค้ามีพื้นที่เยอะมากก เป็นหอศิลป์ขนาดใหญ่ที่แบ่งพื้นที่จัดนิทรรศการได้หลากหลาย คือมาที่นี่แล้ว ก๊อตสามารถอยู่ในนี้ได้ตลอดทั้งวันเลย เลิฟฟฟ
สะพานฮีลิกซ์ (Helix Bridge)
ด้วยความที่เราเที่ยว หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) เสร็จ แล้วจะเดินไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ (ArtScience Museum) ต่อ จุดที่เราต้องเดินผ่านเลย คือ สะพานฮีลิกซ์ (Helix Bridge) สะพานคนเดินรูปทรงเกลียวคู่สุดคูลบริเวณอ่าวมาริน่า (Marina Bay) ที่เชื่อมต่อระหว่างฝั่ง Marina Center (โซนที่มีชิงช้าสวรรค์ Singapore Flyer) และฝั่ง Marina South (โซนที่มีตึกเรือ Marina Bay Sands และ Garden by the Bay) เข้าไว้ด้วยกัน
โดยเจ้า สะพานฮีลิกซ์ (Helix Bridge) ตัวนี้ที่เราเห็นเค้าดีไซน์โค้งเกลียวไปมาเนี่ย เค้าได้แรงบันดาลใจในการสร้างมาจากโครงสร้างของ DNA นะเว้ย โคตรครีเอท ซึ่งตัวสะพานเค้ามีความยาวประมาณ 280 เมตร และเปิดให้เฉพาะคนเดินเท่านั้น


