สิงคโปร์ (Singapore) ประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กที่สุดในอาเซียน แต่จัดว่าหนึ่งในประเทศยอดฮิตที่คนไทยชอบไปเที่ยวกันมากที่สุด ด้วยความที่เค้าเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก นั่งเครื่องไปสองชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว แถมบ้านเมืองของเค้ายังเดินทางสะดวกด้วยรถสาธารณะ อาคารและตึกก็หรูหราอลังการ นอกจากนี้ที่เที่ยวสิงคโปร์เองเค้าก็เยอะเหมาะกับการมาเที่ยว ดังนั้น นี่ไม่แปลกใจเลยว่าสิงคโปร์เค้าจะฮิตขนาดนี้
บอกเลยว่า ทริปสิงคโปร์รอบนี้กิจกรรมเราแน่นมากกกก พูดไปจะหาว่าเว่อร์ แต่ที่เที่ยวแน่นจริง เอาเป็นว่าไปตามดูกันว่า 6 วันนี้ก๊อตจะเที่ยวครบไหม จะไปอื่นๆ ที่ไหนอีกบ้าง มาเที่ยวสิงคโปร์ในฉบับปี 2023 ไปด้วยกันเลยย
- รีวิวเต็ม สิงคโปร์ 28 ที่เที่ยว จัดเต็ม
- รีวิวเต็ม Universal Studios Singapore (USS) ละเอียด รู้เรื่องมากที่สุด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในสิงคโปร์ (Singapore)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
แพลนเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore)
โดยครั้งนี้ถือว่าเป็นการกลับมาเที่ยวสิงคโปร์ในรอบ 3 ปีหลังจากโควิดของก๊อตเลยก็ว่าได้ โดยเราจะไปกันถึง 6 วัน เที่ยวจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นขึ้นไปบนจุดชมวิวสกายพาร์คที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Sands Skypark Observation Deck (Marina Bay Sands)) ที่เราจะได้เห็นวิวเมืองสิงคโปร์แบบไกลสุดลูกหูลูกตา หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศไปดื่มด่ำธรรมชาติใน การ์เดนส์บายเดอะเบย์ (Garden By The Bay) ที่รอบนี้เราเข้าไปดูฟลาวเวอร์โดมและคลาวด์ฟอเรสต์ (Flower Dome & Cloud Forest) กันเกือบทั้งวัน และรอบนี้ก๊อตยังได้ติ๊กถูกกิจกรรมใน Bucket List ของตัวเอง ด้วยการไปกระโดดบันจี้จัมพ์ครั้งแรกที่เกาะ Sentota บอกเลยว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่โคตรมันส์ รวมทั้งยังได้กลับมาเล่นเครื่องเล่นใน Universal Studios Singapore (USS) ที่ไม่ว่าจะมารอบไหน ก็แฮปปี้ทุกครั้ง อ่ะ มาดูแพลนกันเล้ย
แนะนำที่พักและโรงแรมในสิงคโปร์
คนที่กำลังหาที่พักใน สิงคโปร์ (Singapore) อยู่ล่ะก็ ก๊อตจะแนะนำย่านที่พักให้ โดยก๊อตขอแบ่งแยกออกเป็นย่านที่แนะนำตามนี้เลย ซึ่งแต่ละย่านเค้าก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน รวมถึงราคาที่พักที่เหวี่ยงตามพื้นที่ด้วย ซึ่งบอกก่อนว่าเรทราคาโรงแรมในสิงคโปร์ถือว่าแพงม๊าก แถมขนาดตัวห้องโดยส่วนมากมักจะเล็กด้วย ยังไงลองดูตามที่ก๊อตแนะนำก่อนได้ พยายามคัดมาให้แล้วเด้อ
#1 ย่านมารีน่าเบย์ (Marina Bays)
ย่านมารีน่าเบย์ (Marina Bays) คือบริเวณส่วนรอบๆ อ่าวมารีน่าทั้งหมด ที่มีทั้ง เมอร์ไลอ้อน (Merlion) และฝั่งตรงข้ามอย่าง The Shoppes และ Marina Bays Sands Hotel ที่สามารถเดินทะลุไป Garden by The Bay ได้ บริเวณนี้ เรียกว่าเป็นย่านใจกลางแหล่งท่องเที่ยวและแลนด์มาร์คสำคัญในสิงคโปร์เลยแหละ ใครที่มาเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกและเงินในกระเป๋าพร้อมจ่ายโรงแรมราคาแพง แนะนำให้มานอนที่นี่เลย ย่านนี้คือแหล่งรวมโรงแรมตัวท็อปของสิงคโปร์ แถมการเดินทางยังสะดวกสุดๆ สามารถเดินไปยังที่ต่างๆ ได้แบบชิลๆ เลย ส่วนใครที่ถามหาโรงแรมที่ราคาไม่แรงนั้นมีมั้ย ตอบเลยว่าไม่มีจ้า 555555
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): Marina Bay Sands Singapore / The Fullerton Bay Hotel Singapore / Mandarin Oriental, Singapore
#2 ย่านธุรกิจใจกลางเมือง (CBD) รวม Chinatown + Raffles Place + Telok Ayer
สำหรับย่านธุรกิจใจกลางเมือง หรือ Central Business District (CBD) ของสิงคโปร์นั้น จะรวมไปตั้งแต่ ย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown) ที่ของกินเยอะม๊าก และมีวัดดังอย่าง วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) ที่คนไทยชอบไปไหว้ รวมถึง ย่านราฟเฟิลเพลส (Raffles Place) ที่เป็นแหล่งดงตึกออฟฟิศ สามารถเดินไป เมอร์ไลอ้อน (Merlion) ได้สบาย และ ย่านทีล็อกอาเยอร์ (Telok Ayer) ที่มีฟู้ดคอร์ทที่ใหญ่และดังที่สุดของสิงคโปร์ อย่างตลาดเหล่าปาสัท (Lau Pa Sat) ตั้งอยู่ด้วย ย่านนี้ถือเป็นย่านที่ค่อนข้างโอเคเลย เป็นย่านใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวก และมีที่ท่องเที่ยวเยอะ และแน่อนว่าตรงนี้ เป็นอีกย่านที่โรงแรมแพงม๊ากเช่นเดียวกัน แต่ราคาที่ไม่แรงมากก็ยังมีให้เลือกอยู่ แต่มันจะเป็นโรงแรมแบบแคปซูล (กึ่งๆ โฮสเทล) เท่านั้น
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): The Clan Hotel Singapore / PARKROYAL Collection Pickering
– โรงแรมดี ราคาเอื้อมถึงได้ (6,000-10,000 บาท/คืน): Amoy Hotel / The Scarlet Singapore
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 2,500 บาท/คืน): CUBE Boutique Capsule Hotel at Chinatown / Wink Capsule Hostel at Chinatown
#3 ย่านแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River) รวม Clarke Quay + Fort Canning + City Hall
คนที่เป็นสายเที่ยวกลางคืน เที่ยวแบบชิล ชอบดื่ม แนะนำให้ไปพักแถวๆ เลียบแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River) ตรง คลากคีย์ (Clarke Quay) ได้เลย ตรงนี้ถือเป็นย่าน Nightlife ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ดีๆ เยอะม๊าก แต่ถ้าใครเป็นสายเที่ยวมิวเซียม ดูงานอาร์ตที่แกลอรี่ อีกฝั่งที่เป็นย่านหน่วยงานรัฐ หรือ ซิตี้ฮอล์ (City Hall) คือคำตอบ ทั้งสองฝั่งนั้น ฟีลลิ่งแตกต่างกันชัดเจนมากๆ นะ และแต่ละฝั่งก็มีสถานีรถไฟใต้ดินทั้งสองฝั่ง แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลย สำหรับราคาที่พักในย่านนี้ก็ลดลงมาค่อนข้างเยอะจากย่าน CBD และ Marina Bay ใครที่มาแบบบัตเจทหน่อย และยังอยากอยู่ใจกลางเมือง ลองดูแถวนี้ก็ได้
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): Raffles Singapore / InterContinental Singapore Robertson Quay / The Capitol Kempinski Hotel Singapore / The Warehouse Hotel
– โรงแรมดี ราคาเอื้อมสบาย (6,000-10,000 บาท/คืน): Holiday Inn Express Singapore Clarke Quay / Paradox Singapore Merchant Court at Clarke Quay
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 6,000 บาท/คืน): lyf Funan Singapore / KINN Capsule Hotel / Champion Hotel City
#4 ย่านบูกิส (Bugis)
สำหรับคนที่ต้องการที่พักที่ราคาถูกมาหน่อย แนะนำให้มาแถวบูกิส (Bugis) ที่ก๊อตเลือกพักในทริปสิงคโปร์ล่าสุด ถือว่าค่อนข้างประทับใจมาก มีรถไฟฟ้าใต้ดินสองสายตัดผ่าน สามารถเดินทางเข้าดาวน์ทาวน์ได้สะดวกโดยใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที แถมตรงนี้ยังมีห้างขนาดใหญ่ 2-3 ห้างติดกัน ที่เราสามารถเดินเล่นช้อปปิ้งได้อย่างสนุก และมีของกินเยอะด้วยเด้อ ส่วนราคาที่พักนั้น ค่อนข้างถูกว่ากว่ามากเมื่อเทียบกับใจกลางเมืองดาวน์ทาวน์ ถือว่าดีและแนะนำเลยแหละ
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
– โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): InterContinental Singapore / Andaz Singapore
– โรงแรมดี ราคาเอื้อมสบาย (5,000-10,000 บาท/คืน): PARKROYAL on Beach Road / Village Hotel Bugis by Far East Hospitality
– โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 5,000 บาท/คืน): Hotel G Singapore / The Pod Boutique Capsule Hotel
การเดินทางภายในสิงคโปร์
สำหรับใครที่จะมาเที่ยวสิงคโปร์ไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางเลยนะ เพราะที่นี้ระบบขนส่งมวลชนนั้นรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ที (MRT) หรือแม้แต่รถเมล์ของสิงคโปร์ ที่เราสามารถเดินทางได้สะดวกสบาย เนื่องจากเค้าออกแบบระบบขนส่งสาธารณะมาเป็นอย่างดีเลย
ทีนี้ การจะเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะให้สะดวกในสิงคโปร์ ก๊อตแนะนำให้เราซื้อบัตรเติมเงิน EZ-Link ที่เราสามารถใช้ขึ้นได้ทั้งรถไฟและรถเมล์ได้ในบัตรเดียว โดยราคาขายบัตรเค้าจะอยู่ที่$12 โดยเป็นค่าบัตร $5 และมีเงินติดในบัตรให้เราใช้ $7 ซึ่งถ้าเงินหมด เราสามารถเติมเงินได้ตามสถานีรถไฟฟ้า หรือตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปของเค้าได้เลย
ใครที่อยากได้บัตร EZ-Link แบบอุ่นใจตั้งแต่ที่ไทย ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อที่สิงคโปร์ เราสามารถซื้อผ่าน KLOOK ได้นะ มันจะเป็นบัตร NETS FlashPay ที่เหมือนกับ EZ-Link ซื้อผ่าน KLOOK ลิงค์นี้ได้เลย
หรือถ้าใครที่มีบัตรเดบิต หรือเครดิตการ์ด Mastercard และ Visa ที่เป็นระบบ PayPass หรือ PayWave ที่แตะบัตรได้เลยล่ะก็ ตอนนี้ทั้งรถไฟ MRT และรถเมล์ทั้งหมดในสิงคโปร์รองรับการจ่ายด้วยการแตะจ่ายเรียบร้อยแล้ว อันนี้คือโคตรดีและสะดวกมาก โดยที่เราไม่ต้องซื้อ EZ-Link เล้ย
แต่ถ้าใครคิดว่าจะไปเที่ยวไแล้วต้องขึ้นรถเมล์ ไม่ก็รถไฟฟ้าแบบจัดเต็มกันทุกวัน สามารถซื้อบัตร Singapore Tourist Pass ซึ่งเป็นบัตรขึ้นรถไฟและรถเมล์แบบเหมา Unlimited เป็นรายวัน อย่างเหมาหนึ่งวัน ราคาจะอยู่ที่ $10, สองวัน $16 หรือสามวัน $20 นั่นเอง
เริ่มต้นเที่ยวสิงคโปร์กันเลย
DAY 1 : มัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque)
เริ่มต้นเที่ยวสิงคโปร์วันแรก เราจะไปกันที่ มัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque) หนึ่งในมัสยิดที่เก่าแก่และมีสำคัญต่อชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์มาก ที่นี่เค้าโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม รูปทรงอาคารสีขาว ตัดด้วยโดมสีทองบนยอดขนาดใหญ่ที่ตั้งสง่ากลางเมือง มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่สุดฮิตที่นักท่องเที่ยวหลายคนต้องแวะมาถ่ายรูป ฟีลยืนคูลตรงซุ้มประตูทางเข้านี้ ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่ง Instagrammable Spot ที่ถ่ายออกมาแล้ว ยอดไลค์คือถล่มทลายเลยทีเดียว
เห็นแบบนี้แล้ว มัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1824 โดยแต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยของสุลต่าน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นมัสยิดและกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมในสิงคโปร์ โดยในปี 1932 อาคารด้านในถูกบูรณะขึ้นใหม่ โดยเงินส่วนใหญ่ที่ใช้ในการปรับปรุงอาคารมาจากชาวบ้านที่ยากจนที่เค้ารวมเงินกันและได้นำมาบริจาค จนแล้วเสร็จและถูกใช้เป็นสถานที่ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งภายในห้องโถงสามารถจุคนได้มากถึง 5,000 คนเลยเชียวนะและด้วยความเก่าแก่ของมัสยิดสุลต่าน (Sultan Mosque) รวมทั้งสถาปัตยกรรมที่งดงามของเค้า ทำให้ทุกวันนี้มัสยิดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติของสิงคโปร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่นี่มักจะเป็นจุดที่คนเค้าชอบไปถ่ายรูปกันโดยเฉพาะบริเวณซุ้มประตูทางเข้าที่เห็นฉากหลังเป็นโดมมัสยิดสีทองตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง หลายคนอาจจะมาถ่ายรูปแล้วก็ไปที่อื่นต่อเลย แต่ถ้าใครที่มีเวลาซักหน่อย ก๊อตอยากให้ทุกคนได้ลองเดินเข้าไปดูด้านใน ถ้าใครใส่ขาสั้นเข้ามาแบบก๊อต เค้าจะมีโสร่งให้เราใส่ก่อนเข้าไปด้านในด้วยนะ ดังนั้น ไม่ต้องห่วง



บรรยากาศข้างในเราจะได้เห็นผู้คนที่เค้านับถือศาสนาอิสลามมาทำพิธีกันตามปกติ โดยตัวอาคารและสถาปัตยกรรมของเค้างดงาม แปลกตาเราไปอีกแบบ พร้อมทั้งยังมีนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาของคนมุสลิมให้เราได้ศึกษาอยู่อีกด้วย โดยรวมของที่นี่ เราจะได้เห็นอีกมุมของสิงคโปร์ ที่ถ้าปกติภาพจำเราก็จะเป็นฟีลคนจีน-สิงคโปร์ แต่พอเราได้เข้ามาย่านนี้ มีคนมุสลิมอาศัยอยู่เยอะมาก มันทำให้เราได้เห็นความหลากหลายของคนและเชื้อชาติที่เค้าอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสวยงาม ได้สัมผัสบรรยากาศแบบใหม่ และที่สำคัญถ่ายรูปสวยมากเลยแหละ


ฮาจิ หรือ ตรอกฮัจญี (Haji Lane) + ถนนอาหรับ (Arab Lane)
เดินออกมาจากมัสยิดแล้วเราก็มาต่อกันที่ย่านฮาจิ หรือตรอกฮัจญี (Haji Lane) ถนนสายเล็กๆ ในย่านกัมปง กลาม (Kampong Glam) ของสิงคโปร์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสตรีทอาร์ทและตึกแถวสไตล์ชิโนยูโรเปียน (Shino-Europian : สถาปัตยกรรมที่ประดับตกแต่งด้วยลวดลายแบบจีน และยุโรปผสมกัน) ซึ่งบรรยากาศยื่นนี้ถือว่ามีคิวท์ เพราะตึกรามบ้านช่องในตรอกนี้เค้ามีสีสันสดใส และมีความคัลเลอร์ฟูลจัด นักท่องเที่ยวเค้าก็เลยนิยมปักหมุดมาถ่ายรูป แถมแถวนี้ยังมีคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านค้า และบาร์เยอะอีก คนก็เลยมาจิบกาแฟ และช้อปปิ้งกันเยอะมากด้วยนั่นเอง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าซอยนี้ มีกลิ่นอายความเป็นเมืองเก่าภูเก็ต หรือสงขลาบ้านเราเหมือนกันนะ โดยตามผนังของอาคาร และกำแพงก็จะถูกแต่งแต้มไปด้วยภาพวาดที่ต่างกันออกไป ซึ่งถ่ายรูปออกมาก็น่ารักดี ส่วนใครที่มาช็อปปิ้ง ร้านค้าส่วนใหญ่ในตรอกนี้เค้าจะขายกันตั้งแต่ เสื้อผ้า กระเป๋า และพวกสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ เต็มสองข้างทาง ซึ่งถ้าใครมาเดินเล่นย่านนี้ก๊อตแนะนำให้เดินไปสุดตรอกเลยนะ ใกล้ๆ กับถนน Beach Road จะมีพวกร้านคาเฟ่น่ารักๆ ร้านอาหารให้เราได้เลือกกินเพียบเลย



เดินออกมาจากตรอกฮัจญี (Haji Lane) ไม่ไกลมากนัก เราสามารถเดินทะลุมาที่ ถนนอาหรับ (Arab Street) ได้ด้วย โดยมันเป็นถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกแถวสองชั้นที่ถูกทาด้วยสีสดๆ ไม่ต่างกันเลย แถมยังเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ขายสินค้าเกี่ยวกับชาวอาหรับและชาวมุสลิม สำหรับที่มาของชื่อถนนว่ากันว่ามาจาก ชื่อของพ่อค้าชาวอาหรับ Syed Ali Bin Mohamed Al Junied ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ในบริเวณนี้ ซึ่งในภาษาทมิฬ ถนนอาหรับเป็นที่รู้จักในชื่อ Pukadai Sadkku (ถนนร้านขายดอกไม้) นั่นเอง
ใครที่จะมาย่านนี้วสามารถมาได้ตลอดทั้งวันเลยนะ โดยในช่วงกลางวันย่านนี้จะคึกคักเต็มไปด้วยร้านค้าตามสองข้างทางที่มีสินค้าเกี่ยวกับอาหรับและมุสลิมขายกันครบ ไม่ว่าจะเป็น พรมทอมือลวดลายสวยงามแปลกตา เครื่องแต่งกายของชาวมุสลิม และน้ำหอมมากมายที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลตลอดที่เราเดินเที่ยวกัน
พอตกเย็นทั้งย่านจะกลายเป็นสวรรค์ของคนรักอาหารอาหรับ ที่เราจะได้ลิ้มรสไปกับอาหารอาหรับแบบต้นตำรับ ที่มีให้เราเลือกกินเยอะมาก อย่างเช่น อาหารโมร็อกโก อาหารเลบานอน อาหารตุรกี และที่ขายกันเยอะมากแบบเรียงติดกันเลย คือ อาหารมาเลเซียและอาหารอินเดีย เรียกได้ว่าเลือกกินกันไม่ถูกเลยเชียว
ส่วนตัวก๊อตว่าย่านนี้มันโคตรจะคัลเลอร์ฟูลเลย แถมยังมีร้านค้า คาเฟ่ให้เราได้เลือกกินเพียบ ซึ่งจุดที่ก๊อตแนะนำให้มาถ่ายรูปคือ เหล่าตึกหลากสีสัน ที่ถูกเพนท์เป็นลายกราฟฟิกตี้สุดอาร์ท และยังมีเหล่ารูปปั้นตามมุมอาคารต่างๆ ที่มันเพิ่มสีสันให้ย่านนี้ขึ้นไปแบบ 300% บางตึกนี่เพนท์กันจริงจังทั้งตึกเลยเน้อ สายอาร์ทนี่ต้องมาเซลฟี่คู่ นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่คึกครื้นตลอดทั้งวัน เราจะมาตอนไหนก็มีสินค้า อาหารให้ได้เลือกกิน ใครอยากมาลองกินอาหารอาหรับแบบออริจินี่ไม่ควรพลาดเลย
ย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India)
มาต่อกับอีกย่าน นั่นคือ ลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) หนึ่งในย่านชุมชนเก่าแก่ของคนอินเดียที่เค้าอพยพเข้ามาพักอาศัยอยู่ในสิงคโปร์ตั้งแต่สมัยสร้างประเทศ ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศและวัฒนธรรมความเป็นอินเดียต้องมาที่นี่เลย ย่านนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารอินเดีย ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า วัดฮินดูต่างๆ รวมเอาไว้มากมายให้เราได้เข้าไปสัมผัส ถือเป็นอีกหนึ่งย่านท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสิงคโปร์เลยก็ว่าได้
แต่เดิมย่านนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ เซรังกูน (Serangoon) ที่ตั้งตามชื่อถนนสายแรกสุดในสิงคโปร์ และถือเป็นเส้นทางการค้า และขนส่งที่สำคัญในช่วงเวลานั้น เสริมกับบริเวณนี้ที่ใกล้กับแม่น้ำโรชอร์ (Rochor) บริเวณนี้เลยถูกพัฒนากลายเป็นย่านอยู่อาศัย การขนส่ง รวมไปถึงการพาณิชย์ต่างๆ
โดยในยุคอาณานิคม คนอังกฤษได้นำชาวอินเดียมาเป็นแรงงานในการก่อสร้างและทำงานหนักต่างๆ จนทำให้ภายในย่านแห่งนี้เริ่มมีชาวอินเดียเข้ามาทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก บางคนก็เริ่มตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ต่อ จนในปี 1980 ที่ย่านนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นว่า ลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) อย่างเป็นทางการ จากการท่องเที่ยวสิงคโปร์ (STPB) ซึ่งที่นี่ก็จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนชาวอินเดีย ร้านค้ามากมาย และยังมีนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่ชาวอินเดีย ที่แวะเวียนเข้ามาสัมผัสบรรยากาศ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในย่านนี้ ที่มีอาคารบ้านเรือนสีสันสดใส ตั้งเรียงรายต่อกันไปตามแปลนของถนน และยังมีชาวอินเดียจำนวนมากที่ยังไส่สาหรี่เดินเตร็ดเตร่ไปมา อาหาร และของฝากต่างก็ล้วนเป็นอินเดียแท้ๆ ขนาดย่อมที่ถูกยกเอามาตั้งเอาไว้ในสิงคโปร์ เรียกได้ว่าสามารถเดินเล่นเพลินๆ กันได้ตลอดทั้งวันเลย
วัดศรี วิรามกาลีอัมมัน (Sri Veeramakaliamman Temple)
วัดศรี วิรามกาลีอัมมัน (Sri Veeramakaliamman Temple) วัดฮินดูเก่าแก่ที่สุด ตั้งอยู่ตอนกลางของลิตเติ้ลอินเดีย ที่นี่เป็นหนึ่งในวัดที่ได้รับความนิยมจากคนอินเดียรวมไปถึงนักท่องเที่ยวอย่างมาก เรียกได้ว่าใครมาเที่ยวย่านลิตเติ้ลอินเดีย จะต้องแวะเวียนมาเที่ยวที่นี่เน้อ
โดยวัดศรี วิรามกาลีอัมมัน (Sri Veeramakaliamman Temple) ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เจ้าแม่ศรีวิรามกาลีอัมมัน หรือเจ้าแม่กาลี โดยเค้ามีความเชื่อกันว่าพระนางเป็นผู้ทำลายความชั่วร้ายและปกป้องผู้บริสุทธิ์ ทั้งยังมีพลังอำนาจมากที่สุดอีกด้วย ทำให้คนอินเดียที่อาศัยอยู่ที่นี่เค้านิยมมาไหว้ บูชาเจ้าแม่กาลี บ้างก็มาขอพรให้ได้เลื่อนขั้นในหน้าที่การงาน ขอพรเรื่องของสุขภาพ ไปจนถึงการมาขอลูกจากเจ้าแม่ด้วย
คนที่นี่เค้าเชื่อกันว่าคนงานที่ทำงานในไซต์งานที่กำปง กะปอร์เป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่ได้สร้างศาลเจ้าขึ้นมาบริเวณไซต์งานนี้ เพื่ออุทิศให้กับเจ้าแม่กาลี ตั้งแต่ปี 1855 ต่อมาภายหลังในช่วงปี 1881 ชาวเบงกอลเค้าก็ได้มาสร้างวัดขึ้นในบริเวณนี้ เวลาผ่านไปตอนแรกๆ นั้นภายในวัดเค้ายังไม่ได้มีรูปปั้นเจ้าแม่กาลีนะ จนกระทั่งในปี 1908 ตัววัดเริ่มมีการทรุดโทรม ทางเทศบาลเค้าเลยจัดคนเข้ามาดูแล และบูรณะ ก่อนจะนำรูปปั้นเจ้าแม่กาลีมาจากอินเดียใต้เข้ามาติดตั้งเอาไว้ภายในวัด รวมถึงยังได้มีศาลเจ้า และรูปปั้นสำคัญอื่นๆ อีกมากมายเพิ่มเข้ามา
ที่นี่เค้ามีเรื่องเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สิงคโปร์สู้รบกับญี่ปุ่น ซึ่งช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดใส่สิงคโปร์กันรัวๆ ผู้คนมากมายต่างขอเข้ามาหลบระเบิดภายในวัดแห่งนี้ และได้อ้อนวอนแก่เจ้าแม่กาลีให้ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ตัววัดและทุกคนที่มาขอหลบภัยต่างรอดตาย และตัววัดไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุสงครามเลยเว้ย ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนเค้าเคารพนับถือกันมากๆ เลย
เรื่องบรรยากาศของวัดนี่ให้ความรู้สึกเหมือนเรามาวัดแขกบ้านเราที่สีลมเลยเว้ย แต่ที่นี่จะมีความอินเดียจ๋ากว่า เริ่มตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าวัดขนาดใหญ่ที่ตกแต่งไปด้วยรูปปั้นเทพเจ้า ในท่าทางต่างๆ ที่ด้านบนซุ้มประตูทางเข้า โดยเราสามารถถ่ายรูปได้แค่บริเวณหน้าวัดนะ ส่วนด้านในเค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปแล้ว
ภายในก็จะมีศาลาที่ช่วงหลังคาเค้ามีรูปทรงเว้าโค้งมน ด้านบนของเพดานเต็มไปด้วยรูปวาดมากมาย และตรงกลางด้านในของศาลาจะมีรูปปั้นของเจ้าแม่กาลีตั้งเด่นสง่าเอาไว้ให้เราได้สักการะ พร้อมทั้งมีรูปปั้นองค์อื่นๆ อยู่รอบข้าง ใครที่เคยไหว้วัดแขกที่สีลมบ้านเราจะรู้ ช่วงที่เราต้องเดินเอาดอกไม้เข้าไปถวายด้านใน ระหว่างทางเดินทั้งสองฝั่งจะเต็มไปด้วยเทพองค์ต่างๆ ที่คนอินเดียเค้านับถือกัน ที่นี่ก็คล้ายๆ กันเลย ส่วนเรื่องขอพรอันนี้ใครอยากจะขอพรอะไรก็ลองๆ ดู
ส่วนตัวก๊อตแนะนำให้มานะ ถ้าใครมาถึงย่านลิตเติ้ลอินเดียแล้ว ก็สามารถเดินต่อมาที่วัดได้ อย่างน้อยเรามาต่างบ้านต่างเมืองได้เคารพสิ่งศักดิสิทธิ์ของเค้า ก็ถือเป็นการเริ่มต้นเที่ยวด้วยความสิริมงคล และอีกอย่างที่อยากให้มาเห็นกับตาคือพวกสถาปัตยกรรมของเค้า รวมถึงรูปปั้นเจ้าแม่กาลีของจริง ที่แบบแค่มองก็สัมผัสได้ถึงความขลังแล้ว
บ้าน Tan Teng Niah
อีกหนึ่งในไฮไลท์ที่ใครมาย่านลิตเติ้ลอินเดียต้องมาถ่ายรูปคือ คือ บ้าน Tan Teng Niah หรือที่เราคุ้นเคยกันในบ้านสีสันสดใส หนึ่งในสัญลักษณ์ของย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) ที่เราจะได้เห็นบ้านที่ถูกทาสีแบบคัลเลอร์ฟูลแบบขั้นสุดจนทุกคนต้องมาถ่ายรูปกันให้ได้



โดยตัวบ้านนี้เป็นบ้านเก่าของ Tan Teng Niah นักธุรกิจชาวจีนที่มีฐานะดี และเป็นเจ้าของโรงงานทำขนมหลายแห่งตามถนนเซรังกูน (Serangoon Road) ซึ่งบ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1900 ซึ่งถือเป็นวิลล่าจีนหลังสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในย่านลิตเติ้ลอินเดีย โดยในปี 1980 ตัวบ้านนั้นได้รับการปรับปรุงและอนุรักษ์เพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์ จนได้รับรางวัล Singapore Institute of Architects Honorable Mention ในปี 1991 อีกด้วยนะ



แน่นอนว่า ตัวบ้าน Tan Teng Niah เค้าก็จะสีสันคัลเลอร์ฟูลแบบยกมาทุกสีกันเลยทีเดียว โดยเราสามารถไปยืนถ่ายรูปเล่นด้านนอกตัวบ้านได้เท่านั้น ใครมาย่านลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) ก๊อตอยากให้เดินหาเจ้าบ้านหลังนี้มากกก คือสีเค้าน่ารักมากกก ถ่ายรูปออกมาแล้วจี๊ดจ๊าดสุดด
DAY 2: CapitaSpring (Green Oasis + Sky Garden)
วันที่สองเราไปเริมต้นเที่ยวกันที่ CapitaSpring กันก่อน กับตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ หนึ่งในที่ถ่ายรูปดังใน Instagram ของสิงคโปร์ที่ทุกคนต้องมาตามรอย โดยตึก CapitaSpring ถือว่าเป็นโครงการ Mixed-use ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกชื่อดังอย่าง Bjarke Ingels Group ร่วมกันกับ Carlo Ratti สถาปนิกชาวอิตาเลียน จนออกมาเป็นอาคารรูปทรงทันสมัย ที่ภายในเต็มมีทั้งออฟฟิศ ร้านอาหาร ที่พักอาศัย และไฮไลท์เด็ดคือ สวนสาธารณะลอยฟ้า และจุดชมวิวเมืองสิงคโปร์ที่ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวกัน




บอกเลยว่าใครที่ชื่นชอบการเดินเล่นในสวนสาธารณะ จะต้องเลิฟที่นี่ เพราะเค้ามีสวนสาธารณะลอยฟ้าที่บรรยากาศดีมากก โดยเราจะไปกันที่ Green Oasis บริเวณชั้น 17-20 กันก่อน ซึ่งก๊อตแนะนำให้ขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 20 แล้วค่อยๆ เดินไล่ลงมาที่ชั้น 17 นะ มันจะเดินชิลสบายมาก โดยเราสามารถเดินวนดูวิวเมืองเค้าได้แบบ 360 องศาเลยเว้ย



Green Oasis เค้าบรรยากาศ ฟีลมันเหมือนเรามาเดินเล่นพักผ่อนในสวนกลางเมืองที่คล้ายเหมือนเขาวงกตบนตึกใหญ่ที่เค้าดีไซน์มาในแบบโค้งเว้าโดยที่แต่ละชั้นจะไม่เหมือนกัน โดยเราสามารถเดินเล่นชิลๆ ดูต้นไม้ และวิวตึกรอบทิศทาง ซึ่งเราสามารถมองเห็นวิวตึกน้อยใหญ่ล้อมรอบ, City Hall, มารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) และวิวของเมืองได้แบบไกลสุดลูกหูลูกตา และแน่นอนว่า ที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ฮิตสำหรับการถ่ายรูปไปแล้ว เพราะมันสวยและถ่ายรูปปังมากก






CapitaSpring มันยังไม่หมดเว้ย เราไปต่อกันที่ Sky Garden สวนลอยฟ้าบนชั้น 51 ที่ก๊อตยกให้เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ดีที่สุดของสิงคโปร์ ซึ่งก๊อตอยากให้ทุกคนมามาก เพราะตรงนี้เราสามารถมองเห็นวิวเมืองสิงคโปร์ได้แบบ 360 องศา รวมถึงวิวเวิ้งมารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) ที่โคตรสวย แถมตรงนี้เองเค้ายังคงคอนเซ็ปสวนสีเขียว และดอกไม้ที่ถูกปลูกและจัดวางเอาไว้อย่างกลมกลืน แม้จะไม่ใช่พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่แต่ก็ทำให้เราได้เห็นความใส่ใจของเค้าที่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในทุกๆ พื้นที่ที่เค้าสามารถทำได้







เห็นความเริ่ดของ CapitaSpring แบบนี้แล้ว นี่อยากบอกว่า ทุกอย่างเค้าเข้าฟรี! แต่ก่อนทุกคนจะมาเที่ยวที่นี่ ให้เช็คช่วงปิดบริการเค้าให้ดีๆ น้า อย่าง Green Oasis และ Sky Garden เค้าจะเปิดให้เราขึ้นไปในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เท่านั้น โดยเค้าจะมี 2 ช่วงเวลาสำหรับคนนอก คือ 08:30-10:30 น. และ 14:30-06:00 น. โดยในช่วงเวลา 10:30-14:00 น. นั้น เค้าจะเปิดให้เฉพาะผู้พักอาศัย ผู้เช่าออฟฟิศ หรือแขกที่มากินข้าวในร้านอาหารเท่านั้นเน้อ




เดินเลียบเเม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River Walk)
พอก๊อตเดินชิลๆ กินลมชมวิวเสร็จแล้ว เราก็จะเดินไปเที่ยวต่อกันที่เมอร์ไลออน แต่ระหว่างทางเราจะต้องเดินเลียบไปตามแม่น้ำสิงคโปร์ (Singapore River Walk) โดยระหว่างทางก็ชิลๆ ทางเดินทำอย่างดี พร้อมกับเหล่ารูปปั้นตามทาง และวิวเมืองและดงตึกของสิงคโปร์ ให้เราดูและเดินได้แบบเพลินๆ เลย
ถ้าเล่าย้อนกลับไปในยุคอาณานิคม แม่น้ำสิงคโปร์เคยเป็นศูนย์กลางตลาดที่มีการซื้อขายที่รุ่งเรือง โดยมีท่าเรือทั้งหมด 3 ท่า ได้แก่ ท่าเรือโรเบิร์ตสัน คีย์ (Robertson Quay), ท่าเรือโบ๊ต คีย์ (Boat Quay) และ ท่าเรือคลาร์ก คีย์ (Clarke Quay) โดยมีเรือจอดเทียบท่าอยู่เต็มทั้งสามท่าเลย ซึ่งในปัจจุบันนี้ แม่น้ำสิงคโปร์เป็นแม่น้ำสายหลักของสิงคโปร์ รวมถึงมีย่านท่องเที่ยวยอดฮิตที่ตั้งเรียงรายตลอดริมแม่น้ำเลยแหละ บอกเลยว่ายิ่งตอนกลางคืนคือครึกครื้นสุด โดยเฉพาะแถวท่าเรือทั้งสามแห่ง ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยบาร์ และร้านอาหารมากมาย
และก่อนที่เราจะเดินไปถึงเมอร์ไลออน เราจะต้องเดินผ่าน สะพานคาเวนาห์ (Cavenagh Bridge) สะพานแขวนแห่งเดียวของสิงคโปร์ และยังเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดด้วย ซึ่งสะพานนี้เค้าใช้สำหรับเป็นสะพานคนข้ามเท่านั้น โดยตัวสะพานถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1870 เพื่อฉลองความสัมพันธ์ระหว่างสิงคโปร์และอังกฤษ ซึ่งแต่เดิมสะพานนี้มีชื่อว่า Edinburgh Bridge เพื่อต้อนกับการมาเยือนของเชื้อพระวงศ์จาก Ediburgh ก่อนจะถูกเปลี่ยนให้เป็น Cavenagh ตามนามสกุลของผู้ปกครองสิงคโปร์เมื่อปี 1859 ถึง 1867 แทนนั่นเอง
ซึ่งระหว่างทางที่เราเดินผ่านสะพานนั้น เราจะได้เห็นรูปปั้นที่เค้าต้องการสื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยก่อน ด้วยความที่เค้าเป็นเมืองท่า เราก็จะได้เห็นเหล่ารูปปั้นของคนในสมัยก่อนที่เค้าอาศัยอยู่ใกล้ๆ ท่าน้ำ ในท่าทางต่างๆ ตั้งเรียงรายอยู่ข้างทาง เป็นอีกมุมที่มาถ่ายรูปได้เก๋เช่นกัน ใครเดินมาเมอร์ไลออนแล้วผ่านก็ลองแวะถ่ายรูปเล่นดูได้นะ


เมอร์ไลออน (Merlion)
หนึ่งที่เที่ยวที่ต้องมาสำหรับคนมาเที่ยวสิงคโปร์ที่แรกก็คือ เมอร์ไลออน (Merlion) ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ประจำชาติสิงคโปร์ กับเจ้าหัวสิงห์โตลำตัวเป็นปลาอยู่ในท่าพ่นน้ำตลอดเวลา ซึ่งใครมาเที่ยวสิงคโปร์ร้อยทั้งร้อยต้องมายืนถ่ายคู่ อ้าปากรับน้ำจากเมอร์ไลออนแน่นอน
เมอร์ไลออน (Merlion) ถือเป็นตัวแทนของชื่อดั้งเดิมของประเทศสิงคโปร์ คือ สิงหะปุระ หรือ เมืองสิงโต ในภาษามาเลย์ แต่ในบันทึกของชาวมลายูบอกไว้ว่า มาจากน้องสิงโตที่เจ้าชายซางนิลาอุตามะ (ผู้ค้นพบเกาะสิงคโปร์) ได้มาพบน้องตอนที่พระองค์ขึ้นฝั่งบนเกาะสิงคโปร์ในปี ค.ศ. ที่ 11 และในส่วนของลำตัวที่เป็นปลานั้น มาจากจุดเริ่มต้นของชาวสิงคโปร์ในฐานะหมู่บ้านชาวประมง ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า Temasek (เทมาเส็ก) ซึ่งมีรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า ทาสิก ที่หมายความว่าทะเลสาบในภาษามาเลย์นั่นเอง
เมอร์ไลออนถูกสร้างขึ้นโดยช่างมีผีมือชาวสิงคโปร์ ลิม นัง เส็ง (Lim Nang Seng) มีความสูงประมาณ 8.6 เมตร และหนักกว่า 70 ตัน และได้เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกันยายน ปี 1972 โดยตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ เพื่อคอยต้อนรับผู้คนที่มาเยือนสิงคโปร์ โดยคนที่มาเปิดตัวเมอร์ไลออนตอนนั้นก็คือ ลี กวนยู (Lee Kuan Yew) นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์นั่นเอง
และที่เราเห็นเมอร์ไลออนตั้งสวยๆ ยืนพ่นน้ำอยู่ตลอดเวลาตรงจุดนี้นั้น ถือว่าเป็นจุดตั้งเมอร์ไลออนจุดใหม่ที่เค้าย้ายมาจากจุดเดิมราวๆ 120 เมตร เหตุมันเกิดจากสะพานเอสพลานาด (Esplanade Bridge) ที่สร้างเสร็จในปี 1997 มาบดบังทัศนียภาพเจ้าเมอร์ไลออนที่ตั้งอยู่ จากแต่ก่อนที่ใครมาเที่ยวแล้วจะได้ยืนถ่ายรูปเก๋ๆ กับวิวด้านหลังเป็นสิงห์โตพ่นน้ำ กลับมองไม่เห็น และไม่โดดเด่นเหมือนเคย ด้วยเหตุฉะนี้ ในปี 2002 เค้าจึงได้มีการย้ายเมอร์ไลออนมาไว้ในเมอร์ไลออนพาร์ค ข้างหน้าโรงแรมฟูลเลอร์ตัน (Fullerton Hotel) และหันหน้าออกไปยังอ่าวมารีน่า เบย์ (Marina Bay) ทางทิศตะวันออก เพราะเชื่อว่าเป็นทิศที่นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง โดยในสวนแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของเมอร์ไลออนจิ๋ว ตัวลูกที่เล็กกว่า ชื่อว่า ‘Merlion Cub’ สูง 2 เมตรและหนัก 3 ตัน ทำให้ในตอนนี้เราสามารถไปยื่นเซลฟี่ ทำท่าทางอ้าปากรองรับน้ำได้สบายๆ แถมยังได้เห็นตัวเมอร์ไลออนกันแบบเด่นชัดเต็มสองตา



ใครจะมาเที่ยวที่นี่ก๊อตแนะนำให้มาช่วงเย็นๆ แล้วอยู่รอถึงมืดได้เลย เราจะได้เห็นฝั่งมารีน่า เบย์เค้าเปิดไฟระยิบระยับกันแบบจัดเต็ม และยังได้สนุกไปกับกิจกรรมอ้าปากรับน้ำ ที่จะอ้าปากกว้างแค่ไหนก็ไม่ผิด เพราะตรงนั้นต่างคนต่างหามุมเหมาะๆ มายืนทำท่าเดียวกันหมดเลย 5555 นี่ยกให้เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำชาติของเค้าที่มันเหมือนไฟท์บังคับว่ามากี่รอบๆ ก็ต้องมาเซลฟี่คู่ด้วย ฟีลมันเหมือนกับเวลาเราไปเที่ยวแลนด์มาร์คสำคัญๆ ของแต่ละประเทศอ่ะ ถ้าสิงคโปร์ มันก็ต้องเจ้าสิงห์โตทะเล เมอร์ไลออนนี่แหละแกร๊
หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore)
มาต่อกันที่ หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) หอศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ที่ภายในเต็มไปด้วยผลงานศิลปะสมัยใหม่ทั้งจากศิลปินสิงคโปร์รวมถึงศิลปินจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยสิงคโปร์เองเค้าตั้งใจให้งานศิลปะเหล่านี้ที่สะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ความเป็นสิงคโปร์ให้คนรุ่นหลังได้ดูถึงความมา อีกทั้งยังส่งเสริมและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในสิงคโปร์ ให้ไปถึงระดับภูมิภาค และระดับโลกเลย
แต่เดิมพื้นที่ตรง หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) นี้ คือ อาคารศาลฎีกา และศาลาว่าการของสิงคโปร์ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติและมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ด้วยเน้อ ความป๊อบของที่นี่คือเค้าได้รางวัลการันตีมากมาย และหนึ่งในรางวัลที่น่าภูมิใจเลยของเค้า คือ ที่นี่ถูกจัดว่าเป็นหอศิลป์แห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการจัดอันดับจากหนังสือพิมพ์ The Art Newspaper ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก ในปี 2020 อยู่ในอันดับที่ 20 ด้วยนะ เริ่ดที่สุด



ภายในหอศิลป์เต็มไปด้วยผลงานศิลปะมากกว่า 8,000 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของคอลเลคชั่นผลงานระดับชาติของสิงคโปร์ที่สุดแสนจะเลอค่า และยังเป็นแหล่งรวบรวมมีผลงานจากศิลปินชาวสิงคโปร์ชื่อดัง เอาไว้ให้เราได้มาดูกัน ไม่ว่าจะเป็นผลงานของ Georgette Chen, Chen Chong Swee และ Liu Kang นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงผลงานศิลปะสมัยใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มาจนถึงปัจจุบัน และไฮไลท์เด็ดคือเค้ามีผลงานจากศิลปินชื่อดังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอื่นๆ จากทั่วโลกจัดเอาไว้ อย่างเช่น ผลงานของ Raden Saleh (อินโดนีเซีย), Latiff Mohidin (มาเลเซีย) และ Nguyen Gia Tri (เวียดนาม)
และยังมีผลงานจากศิลปินชื่อดังระดับโลก อย่าง ผลงานของ Yayoi Kusama คุณป้าที่มาพร้อมหน้าม้าสีแดง ศิลปินหญิงชาวญี่ปุ่นชื่อดังระดับโลก เป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าแม่แห่ง 'Polka Dot' ผลงานลายจุดสีจี๊ดๆ ที่ก๊อตเชื่อว่าเคยผ่านตาใครหลายคน นั่นล่ะ! ผลงานของป้าแกเอง หรือจะเป็นผลงานของ Mark Rothko จิตรกรชาวลัตเวีย ที่ถูกยกให้เป็นศิลปินระดับตำนาน ซึ่งภาพวาดของเค้าเคยถูกซื้อในราคาที่แพงที่สุดมาแล้ว หอศิลป์แห่งนี้เค้าก็ได้เอาผลงานของเค้ามาจัดโชว์เอาไว้ด้วย
ใครจะเที่ยวชม หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) ก๊อตจะบอกก่อนว่า เราสามารถเข้าไปเดินเล่นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ยกเว้นแต่ห้องแกลอรีที่จัดแสดงงานต่างๆ นั้น เราจะต้องซื้อบัตรเข้าชมนั่นเองมั โดยภายในอาคารเค้ามีทั้งหมด 6 ชั้น ให้เราได้เดินดูผลงานต่างๆ เยอะมาก คือเราสามารถใช้เวลาทั้งวันสำหรับการเดินดูที่นี่ได้เลย
อันที่ก๊อตชอบมาคืองาน Installation Arts บนชั้น 5 ที่มีผลงาน Horizon Field Singapore ผลงานของ Antony Gormley ประติมากรชาวอังกฤษ ที่เอาเส้นเหล็กมาดัดให้คดเคี้ยววางบนลานโล่งๆ ให้ได้ถ่ายรูปใกล้ๆ และที่ห้ามพลาดคือชั้นบนสุดคือ ชั้น 6 กับ Coleman Deck Padang Deck ดาดฟ้ากลางแจ้งที่เราสามารถขึ้นมาดื่มด่ำกับวิวของสิงคโปร์ได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว ซึ่งชั้นนี้เราสามารถขึ้นมาดูได้ฟรีโดยไม่เสียเงินเลย
สำหรับคนที่เป็นสายถ่ายรูป ไม่เน้นเข้าดูพวกนิทรรศการ หรืองานศิลปะจริงจัง ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ Instagram Worthy อย่างชั้น 5-6 ของอาคาร ที่พึ่งบอกไป รวมถึงด้านในอาคารต่างๆ ที่ไม่ใช่ส่วนของแกลอรี่ คือมันมีหลากหลายมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก อย่างเช่น สะพานทางเดินเชื่อมตึกด้านใน มุมข้างในอาคารที่มีโดมของห้องสมุดสีขาว และยังมีห้องสมุดสาธารณะ ที่ให้อารมณ์เหมือนเราเข้ามาอยู่ในห้องของนักกฎหมายสมัยก่อนที่เค้าจะเปลี่ยนศาลฎีกามาเป็นหอศิลป์เลย อันนี้ดีมากก อย่างเท่ห์ ทั้งหมดนี้ถือเป็นจุดถ่ายรูปที่หลายคนไม่รู้ และไม่ได้เข้ามาเพราะคิดว่ามันเสียเงินนั่นเอง





ส่วนนิทรรศการที่เราต้องเสียเงินเข้ามาดูนั้น ราคาบัตรจะอยู่ที่ 20 SGD เราจะซื้อหน้างานก็ได้ หรือจะซื้อผ่าน KLOOK ก็ได้หมด โดยเราจะได้เห็นภาพวาดหลากหลายแขนง อย่างภาพวาดสิงคโปร์สมัยก่อนในยุคอาณานิคมกับอังกฤษ จนถึงยุคปัจจุบัน โดยเค้าแบ่งเป็นยุคๆ ให้เราเห็นถึงความเป็นมาของประเทศ มีตั้งแต่สมัยก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ, ช่วงที่อยู่รวมกันมาเลเซีย มาจนถึงช่วงที่ประกาศแยกตัวออกเป็นประเทศสิงคโปร์โดยสมบูรณ์ รวมทั้งยังได้มีงานอาร์ทมากมาย อย่าง รูปปั้น ภาพวาดแคนวาส และรูปถ่ายจัดแสดงโชว์เอาไว้ให้ได้ดูอีกด้วย ใครสนใจประวัติศาสตร์บ้านเมืองเค้าและอยากเสพงานศิลป์นี่แนะนำให้เสียตังค์เข้ามาดูจริงๆ
ซื้อบัตรเข้าชมนิทรรศการในหอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) กับ Klook คลิก
เรียกได้ว่ามาที่นี่แล้วเหมือนได้หลุดเข้าไปในสวรรค์ของคนรักงานศิลปะ เราจะได้ดื่มด่ำไปกับงานศิลปะมากมาย ผลงานดังและหายากที่ถูกจัดแสดงเอาไว้ให้ได้เห็นใกล้ๆ ส่วนตัวก๊อตประทับใจที่นี่มาก ใครที่เป็นสายอาร์ตมิวเซียม และรักในการถ่ายรูปอยู่แล้ว มาที่นี่คือได้รูปกลับบ้านเพียบ เพราะเค้ามีมุมถ่ายรูปเยอะมากก ภายในเค้ามีพื้นที่เยอะมากก เป็นหอศิลป์ขนาดใหญ่ที่แบ่งพื้นที่จัดนิทรรศการได้หลากหลาย คือมาที่นี่แล้ว ก๊อตสามารถอยู่ในนี้ได้ตลอดทั้งวันเลย เลิฟฟฟ
สะพานฮีลิกซ์ (Helix Bridge)
ด้วยความที่เราเที่ยว หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) เสร็จ แล้วจะเดินไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ (ArtScience Museum) ต่อ จุดที่เราต้องเดินผ่านเลย คือ สะพานฮีลิกซ์ (Helix Bridge) สะพานคนเดินรูปทรงเกลียวคู่สุดคูลบริเวณอ่าวมาริน่า (Marina Bay) ที่เชื่อมต่อระหว่างฝั่ง Marina Center (โซนที่มีชิงช้าสวรรค์ Singapore Flyer) และฝั่ง Marina South (โซนที่มีตึกเรือ Marina Bay Sands และ Garden by the Bay) เข้าไว้ด้วยกัน
โดยเจ้า สะพานฮีลิกซ์ (Helix Bridge) ตัวนี้ที่เราเห็นเค้าดีไซน์โค้งเกลียวไปมาเนี่ย เค้าได้แรงบันดาลใจในการสร้างมาจากโครงสร้างของ DNA นะเว้ย โคตรครีเอท ซึ่งตัวสะพานเค้ามีความยาวประมาณ 280 เมตร และเปิดให้เฉพาะคนเดินเท่านั้น



ใครเดินผ่านก็แวะถ่ายรูปเล่นได้นะ ก๊อตว่าดีไซน์เค้าสวยดี ซึ่งระหว่างตัวสะพานเค้ามีจุดชมวิวให้ได้เดินออกไปดูถึง 4 จุดเลย ยิ่งมาตอนกลางคืนที่ทั้งสะพานเค้าตกแต่งไปด้วยแสงไฟมากมาย ยิ่งดีย์ เอาจริงใครสะดวกมาตอนไหนก็มา เป็นหนึ่งในสะพานที่ทรงกิ๊บเก๋สุด
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ (ArtScience Museum)
เดินพ้นสะพานฮีลิกซ์ (Helix Bridge) มาไม่ไกลมาก เราก็มาถึงที่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ (ArtScience Museum) พิพิธภัณฑ์รูปทรงดอกบัวสีขาว หนึ่งในแลนด์มาร์คดังของสิงคโปร์ที่ต้องมา โดยที่นี่เค้าอัดแน่นไปด้วยนิทรรศการในด้านของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวมถึงผลงานศิลปะอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมเอาไว้อยู่ในที่เดียว
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ (ArtScience Museum) โดดเด่นด้วยอาคารสีขาวรูปทรงคล้ายดอกบัว แต่จริงๆ แล้วที่นี่ถูกออกแบบให้เป็นสัญลักษณ์การผายมือสิบนิ้วเพื่อต้อนรับสู่สิงคโปร์ ซึ่งแต่ละนิ้วถูกสร้างให้กรองแสงธรรมชาติทำให้เวลาเราเข้ามาดูนิทรรศการของเค้า แสงข้างในมันจะนวลเนียนและดีที่สุด
ใครจะมาดูงานศิลป์ของที่นี่เค้าแบ่งโซนออกเป็น 2 โซนเน้อ เริ่มที่โซนแรก คือโซนนิทรรศการถาวร (Permanent Exhibition) ของหอศิลป์วิทยาศาสตร์ (ArtScience Gallery) ซึ่งแบ่งเป็นหอศิลป์ 3 อย่าง คือ ความอยากรู้ (Curiosity), แรงบันดาลใจ (Inspiration) และการแสดงออก (Expression) อีกโซนคือ นิทรรศการระดับนานาชาติ (Touring Exhibitions) ที่เค้าจะจัดแสดงโชว์นิทรรศการของศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น เลโอนาร์โดดาวินชี (Leonardo da Vinci), ซัลวาดอร์ดาลี (Salvador Dalí), แอนดี วอร์ฮอ (Andy Warhol), วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent Van Gogh)
แต่ส่วนใหญ่นิทรรศการของที่นี่เค้าก็จะสลับหมุนเวียนกันไป ซึ่งจะเน้นในเรื่องของศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างเรื่องของฟิสิกส์ ชีววิทยา แต่ที่ก๊อตแนะนำเลยคือ นิทรรศการถาวร Future World: Where Art Meets Science ที่เค้าจัดแสดงงานศิลปะจากภาพวาด มัลติมีเดีย และประติมากรรม ที่เค้าสร้างขึ้นโดยอิงจากความเป็นไปได้ตามหลักของวิทยาศาสตร์ และใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม
ความป๊อบของงานนิทรรศการนี้ ที่ทำให้คนทั่วโลกแห่มาเที่ยวชม คือ การนำเสนองานศิลปะผ่านทางดิจิทัล ที่ให้เราได้มีส่วนร่วมในตัวผลงาน ไม่ว่าจะเป็นโซนธรรมชาติที่เพิ่มความครีเอทด้วยการให้เราได้เล่นกับแสงไฟ อย่างฉากน้ำตกไหลตามทางที่เค้ามีเซ็นเซอร์ตรวจจับ เวลาเราเดินแหวกเข้าไปตัวน้ำตกมันจะแหวกออกแล้วไหลอ้อมตัวเรา อันนี้โคตรดี



หรือจะห้องแสดงไฟหลากสี ที่เค้าให้เราเดินเข้าไปชม ซึ่งถ้าใครส่องรีวิวสิงคโปร์อันก่อนๆ ของก๊อตจะต้องเคยเห็นเจ้าม่านไฟที่เล่นแสงระยิบระยับราวกับเพชรกระทบกับแสงจนเกิดเป็นแสงแวววาวไปทั่ว อันนี้ก็ปังไม่ไหว ถ่ายรูปคือเริ่ดมาก
นอกจากนี้ยังมีโซน Interactive Art สำหรับเด็กที่ป๊อบไม่แพ้กัน โดยภายในเต็มไปด้วยกิจกรรมมากมายที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมมัลติมีเดียให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ผ่านเทคโนโลยีสุดล้ำ เช่นห้องใต้ทะเล ห้องบอลลูน ห้องของเล่น ฟีลมันเหมือนสนามเด็กเล่นจากโลกอนาคตอ่ะ เราเลยจะเห็นพ่อแม่เค้าจูงมือลูกๆ มาเที่ยวในนี้เพียบเลย นี่อย่าว่าแต่น้องๆ หนูๆ ที่ดูตื่นเต้นและสนุกไปกับของต่างๆ ก๊อตเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้น้องๆ นี่ก็เล่นไปหลายมุมเลย สนุกดี เหมือนได้ย้อนกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง 5555




ใครมาเที่ยวสิงคโปร์ต้องมาดูงานศิลปะที่นี่ บอกเลยว่ามันละลานตา เหมือนเราได้หลุดเข้าไปอยู่อีกโลกนึงเลย เป็นสถานที่ที่มาได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เหมาะมาทำกิจกรรมครอบครัวร่วมกันมาก เรื่องงานศิลป์ผ่านมัลติมีเดียนี่ไม่มีอะไรติดเลย เพราะเค้าจัดแสดงเอาไว้ดีมาก นอกจากนี้ยังมีพวกภาพวาด ประติมากรรมต่างๆ จากศิลปินชื่อดังระดับโลกอีกเพียบให้เราได้เห็นกันใกล้ๆ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สุดแสนจะครีเอท มาแล้วโคตรจะแอคทีฟ และที่สำคัญเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ไม่คิดว่าจะเอางานศิลปะ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมารวมเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวเบอร์นี้ นี่มากี่ครั้งก็ประทับใจ
ซื้อบัตรเข้า พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ (ArtScience Museum) กับ Klook คลิก
The Shoppes + Marina Bay Sands Hotel
ใครเที่ยว ArtScience Museum เสร็จแล้ว ก๊อตแนะนำให้มาเดินเล่นต่อตรงที่ The Shoppes ห้างดังที่ใครมาเที่ยวสิงคโปร์ต้องมาเดิน ที่นี่เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ภายในเต็มไปด้วยแบรนด์หรูชั้นนำเพียบ ใครที่เป็นสายช็อปปิ้งแบรนด์เนมไฮเอนด์ ที่นี่คือสวรรค์เพราะช็อปแต่ละแบรนด์นั้นโคตรใหญ่ และส่วนมากเป็นช็อป Flagship แบบดูเพล็กซ์ด้วยนะ ยังไม่หมดเท่านี้ ใครที่เป็นขาเสี่ยงทาย ที่นี่เค้ายังมีคาสิโนให้เรามาลุ้นรับโชคหรือแม้ละลายทรัพย์ให้จางกันอีกด้วยน้า 55555
เอ้อ เผื่อใครไม่รู้ บริเวณหน้าห้าง The Shoppes เค้ามี Flagship Store ของ Louis Vuitton ที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลกด้วยนะ (อันดับ 1 คือช็อป Champs-Elysees ที่ฝรั่งเศส) โดยเค้ามีตึกช็อปแยกออกมาจากห้าง โดยมีแรงบันดาลใจการออกแบบมากจากคริสตัลลอยน้ำที่ตั้งเด่นสง่าจนแทบจะกลายเป็นแลนด์มาร์คหนึ่งของสิงคโปร์ไปเรียบร้อยแล้ว ใครที่จะเดินเข้าไปชมหลุยส์สวยๆ ของช็อปนี้ ก็คือต้องเข้าจากประตูด้านในห้างและลอดออกมายังตึกด้านนอกนะเอ้อ
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังมี Apple Store สาขาใหม่ล่าสุด และเป็นแห่งแรกที่สร้างอยู่บน Marina Bay Sand ด้วย ซึ่งสาขานี้โดดเด่นด้วยดีไซน์สุดคูล รูปทรงโดมกระจกกลมลอยอยู่บนผิวน้ำ รายล้อมไปด้วยวิวตึกสวยๆ ของสิงคโปร์ บอกเลยว่าปังอีกเช่นกัน
เอาจริง ด้วยความที่ห้างเค้าค่อนข้างใหญ่โต และฟาซาดตึกนั้นแต่งด้วยกระจกเป็นแถบยาว ทำให้บรรยากาศของห้างที่นี่นั้นปลอดโปร่ง แถมยังมีความอลังการด้วยการจำลองคลองคล้ายกับที่ ‘คลองเมืองเวนิส’ เอาไว้กลางห้าง ซึ่งถ้าใครว่าง เราสามารถไปนั่งเรือเล่นชมวิวบรรยากาศได้ นอกจากนี้เค้ายังมีอ่างน้ำวนขนาดใหญ่หน้าห้างที่ตกลงมากลางห้างชั้นล่างชนิดที่ว่าเว่อร์สุดอะไรสุด ซึ่งถ้าใครที่ไม่ได้จะช้อปปิ้งอะไร แค่ฟีลอยากมาเดินเล่น ที่นี่ก็โอเคในการมาเที่ยวและหาอะไรกิน เพราะในห้างเค้าก็มีร้านอาหารและมีฟู้ดคอร์ดที่ขายอาหารในราคาที่ค่อนข้างโอเคอยู่นะ


ถ้าใครที่มาเที่ยวห้าง The Shoppes แล้ว เราสามารถขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นบนเพื่อเดินทะลุผ่าน Marina Bay Sands เข้าไปยัง Garden By The Bays ได้อีกด้วยะ ซึ่งทางเดินนี้ เราจะได้เห็นบรรยากาศข้างในโรงแรมแลนด์มาร์คอันดับหนึ่งของสิงคโปร์จากมุมสูง โดยที่เราไม่ต้องเป็นแขกของโรงแรมเค้าเลย


DAY 3: Universal Studios Singapore (USS)
Universal Studios Singapore (USS) / ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ สวนสนุกยอดฮิต จากค่าย Universal Studios หนึ่งเดียวในอาเซียนที่คนไทยนิยมไปเที่ยวมากที่สุด ถือเป็นท็อปลิสในแพลนของใครหลายคนที่กำลังจะไปเที่ยวสิงคโปร์แน่นอน และถึงแม้ที่นี่ เค้าจะไม่ได้ใหญ่โตอลังการเหมือนที่ประเทศอื่น แต่ USS เองก็มีอะไรพิเศษที่มีเฉพาะที่สิงคโปร์ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นจากเรื่อง Sesame Street รวมถึง Puss In Boots จากเรื่อง Shrek ด้วย ใครที่เป็นแฟนหนังและสวนสนุกจากค่าย Universal Studios ก็คือห้ามพลาด รีวิวนี้ก๊อตจะไปรีวิวเกือบทุกซอกทุกมุม เล่นกันมันทุกโซนแบบขาลาก จนทุกคนต้องร้องขอยาดมกันแน่นอน งานนี้จะได้กรี๊ดกันเลเวลไหน ตามก๊อตไปเที่ยวกันโลดด
ซื้อบัตร Universal Studios Singapore (USS) / ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ ที่ไหนดี?
ถ้าถามก๊อตว่าซื้อบัตร Universal Studios Singapore (USS) ที่ไหนแล้วราคาดี สะดวก ตัวก๊อตเองขอแนะนำ KLOOK เลย เพราะด้วยราคาที่ดี มีให้เลือกหลากหลายแพ็คเกจ รวมถึงมี Universal Express Pass ให้เราได้เลือกซื้อด้วย ซึ่งเมื่อเราซื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตั๋วเค้าจะมาเป็นแบบ e-Ticket ที่เราสามารถแสกนใช้เข้า USS ผ่านมือถือได้เลยแหละ บอกเลยว่าดีจริงและสะดวกมาก ก๊อตเลยอยากแนะนำให้ทุกคนซื้อจาก KLOOK นี่แหละ สบายสุดแล้วว
> เช็คราคาและซื้อบัตร Universal Studios Singapore (USS) จาก KLOOK คลิก
บัตรเบ่ง Universal Express Pass ลัดคิวเครื่องเล่น
บอกเลยว่า แต่ละเครื่องเล่นฮิตใน Universal Studios Singapore (USS) ต่อคิวนานมากกกกก โดยเฉพาะเครื่องเล่น Revenge of the Mummy และ Battlestar Galactica นี่รอกันประมาณ 90-120 นาทีเลยนะ ถ้าใครคิดว่า มาเที่ยวสวนสนุกทั้งทีแล้วควรต้องเก็บให้หมด หากเราไม่ได้ซื้อ Universal Express เราต้องเสียเวลารอทุกอันเลยแหละ ซึ่งแน่นอนว่าทาง Universal Studios Singapore (USS) เค้าก็มีทางลัดมาให้ อย่างบัตรเบ่ง Universal Express ที่มีด้วยกันทั้งหมด 2 แบบ คือ Universal Express และ Universal Express Unlimited โดยต่างกันคือ แบบแรกจะเล่นได้เครื่องเล่นละ 1 ครั้ง ส่วนอีกอันคือเข้าเล่นได้แบบไม่จำกัดเล้ย ซึ่ง Express Pass นี้ถือเป็นบัตรเสริม Add-on ที่เราซื้อเพิ่มจากบัตรเข้า Universal Studios Singapore (USS) ปกตินะเอ้อ
1.) Universal Express (ราคา 50 SGD)
สำหรับบัตร Universal Express นั้น เราจะสามารถเล่นแต่ละเครื่องเล่นได้ครั้งละ 1 ครั้ง โดยบัตรจะเป็นบัตรแบบระบุวันที่และสามารถใช้ได้เฉพาะในวันที่เราเลือกเท่านั้น และไม่สามารถใช้ได้กับเครื่องเล่น Canopy Flyer และ Treasure Hunter รวมถึงที่นั่งชมการแสดงแถวหน้า
2.) Universal Express (ราคา 80 SGD)
บัตรแบบที่สอง คือ Universal Express Unlimited สามารถเข้าใช้เครื่องเล่นได้ไม่จำกัด โดยบัตรผ่านแต่ละใบเป็นแบบระบุวันที่และสามารถใช้ได้เฉพาะในวันที่เราเลือกเท่านั้น และไม่สามารถใช้ได้กับเครื่องเล่น Canopy Flyer และ Treasure Hunter รวมถึงที่นั่งแถวหน้าในการชมการแสดงเช่นกัน
> เช็คราคาและซื้อบัตร Universal Express Pass จาก KLOOK คลิก
เครื่องเล่นห้ามพลาดของ Universal Studios Singapore (USS) / ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์
สำหรับเครื่องเล่นห้ามพลาดใน Universal Studios Singapore (USS) นั้น เอาจริง ถ้ามีเวลาก็อยากแนะนำให้ลองเล่นมันทุกอัน เพราะต้องบอกว่า USS เค้ามีให้เลือกเล่นกันตั้งแต่เลเวลน้องอนุบาล ไปจนถึงพี่มหาลัยเลย แต่ที่ก๊อตคัดมาตามตารางด้านนี้ คือเลือกมาจากความสนุกในระดับผู้ใหญ่ที่ห้ามพลาด ซึ่งก็จะมีตามนี้เลย
เหตุผลห้ามพลาด | เครื่องเล่น USS ห้ามพลาด |
สายรถไฟเหาะ สนุก-หวาดเสียว | - Battlestar Galactica: HUMAN vs. CYLON - Revenge of the Mummy |
เครื่องเล่นตื่นตาตื่นใจ | - TRANSFORMERS The Ride: The Ultimate 3D Battle - Jurassic Park Rapids Adventure |
มีที่เดียวในโลก เฉพาะที่สิงคโปร์ | - Sesame Street Spaghetti Space Chase - Puss In Boots' Giant Journey |
เอาล่ะ! ใครอยากอ่านรีวิวเต็ม Universal Studios Singapore (USS) แบบทุกซอก ทุกโซน คลิก
DAY 4: กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa
คนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวสิงคโปร์ ไม่มาเที่ยวตามแลนด์มาร์คดัง ก็ต้องเที่ยวสวนสนุก แต่ใครจะคิดว่าสิงคโปร์เค้ามีที่เที่ยวแนวแอดเวนเจอร์เยอะมากเลยนะ ยิ่งบนเกาะ Sentosa ที่นอกจากจะมี Universal Studios Singapore ที่ทุกคนต้องมาแล้ว เค้ายังมีเส้นทางเดินเทรล ชายทะเล และสถานที่ให้เล่นกิจกรรมผาดโผด ไม่ว่าจะทางบก หรือทางน้ำเค้าก็มีให้ได้เลือกเล่นเยอะเลย อย่างที่ก๊อตจะพาไปเล่นในครั้งนี้คือการกระโดดบันจี้จัมพ์ ท่ามกลางวิวทะเลสวยๆ ที่บอกเลยว่านี่เป็นการกระโดดบันจี้จัมพ์ครั้งแรกในชีวิตของก๊อตเลย
ซึ่งที่เราจะไปกระโดดบันจี้จัมพ์นั้น คือ Skypark Sentosa ภายในเค้าจะมีกิจกรรมให้เราได้เลือกเล่นเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Skybridge ทางเดินลอยฟ้ายาวกว่า 50 เมตร ที่ก๊อตว่าใครกลัวความสูงยังอยู่ในระดับที่เดินเล่นไหว หรือจะเป็น GiantSwing เครื่องเล่นที่มัดตัวเราเอาไว้ในแนวนอนแล้วพาบินแกว่งไปมาเข้าหาชายหาดด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. และสุดท้ายที่ก๊อตเลือกเล่นคือ กระโดดบันจี้จัมพ์ บนความสูงกว่า 47 เมตร ที่บอกเลยว่าตื่นเต้นโคตรๆ เพราะนี่เป็นการกระโดดครั้งแรกในชีวิตจริงๆ
การกระโดดบันจี้จัมพ์ของที่นี่เราสามารถเลือกได้หลากหลายแพ็คเกจเลยนะ จะกระโดดลงไปให้หัวไม่จุ่มสระน้ำ หรือจุ่มสระน้ำ จะกระโดดเดี่ยว หรือกระโดดเป็นคู่ หรือที่เค้าเรียกกันว่า ‘Tandem Bungy Jump’ ก็เลือกได้เลย ซึ่งความพิเศษของการกระโดดบันจี้จัมพ์คู่ก็คือ ที่นี่เค้าเป็นที่แรกในเอเชีย และเป็นที่เดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการกระโดดบันจี้จัมพ์เป็นคู่ด้วย


ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในการกระโดดบันจี้จัมพ์ของก๊อต เราเลือกเป็นแพ็คเกจ Tandem Bungy Jump จาก Klook สำหรับกระโดดคู่มา โดยการกระโดดของเราจะต้องขึ้นลิฟท์ขึ้นไปบนชั้น 17 แล้วจะมีพี่ๆ พนักงานเค้าคอยต้อนรับ และเริ่มอธิบายสำหรับขั้นตอนต่างๆ ให้เราเข้าใจสำหรับการกระโดดในครั้งนี้ รวมถึงใส่อุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ ที่เค้าให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นที่หนึ่ง
ถึงนาทีสำคัญที่เราจะต้องกระโดดแล้วโว้ย อะดรีนาลีนในร่างกายก็เริ่มพุ่งขึ้น เราต้องค่อยๆ กระดึ๊บๆ ไปยืนตรงขอบเพื่อเตรียมกระโดด คุณพี่เค้าก็เอาแต่บอกให้เดินออกไปข้างหน้าอีก เดินออกไปอีก 5555 วินาทีนั้นกลัวมากก แต่มันไม่ได้มีเวลาเตรียมใจนาน พอเราไปยืนได้ที่เหมาะแล้ว พี่เค้าก็นับถอยหลังแล้วผลักเราเบาๆ ให้ตัวมันร่วงลงมา ทางนี้ทำไรไม่ได้เลยนอกจากกรีดร้องงงงงงงง
แต่พอถึงจังหวะที่ลงมาแล้วจริงๆ ไอ้ความหวาดเสียวมันมีแค่ตอนยืนรอกระโดดเองเว้ย แบบตอนนั้นตื่นเต้นไปหมด แถมยืนบนที่สูงขนาดนั้น ขานี่เกร็งใช้ได้ แต่พอได้กระโดดลงมา มันเหมือนทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เพียงเสี้ยววินาที มันแบบเฮือกกก แล้วก็เด้งดึ๋งๆ ไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่สักพัก พอเชือกนิ่งก็จะมีพี่พนักงานด้านล่างเอาไม้ยาวๆ มาสอยเรา เราก็แค่จับไม้ แล้วเค้าก็จะพาเราลงมาบนพื้นด้านล่าง บอกเลยว่าสุดมากกกกกก แบบนี่กระโดดไปแล้วหรอวะ ทำได้จริงๆ หรอเนี่ย อยู่แบบนี้
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
สำหรับก๊อต ก่อนหน้าที่เราจะมากระโดดบันจี้จัมพ์ ก๊อตเคยคิดว่ามันคือสิ่งหนึ่งที่ต้องทำสักครั้งในชีวิต มันเหมือนเราได้ติ๊กถูกใน Bucket List ที่เราตั้งเป้าเอาไว้ ถามว่ามันหวาดเสียวไหม มันหวาดเสียวแค่ตอนที่เดินออกไปรอกระโดดซึ่งมันมีเวลาทำใจแค่แปปเดียวเเล้วเค้าผลักเลยอะ 55555555
ความรู้สึกหลังกระโดดเหมือนเราได้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น ตัวก๊อตเองกระโดดครั้งแรกที่นี่ถือว่าโอเคมากๆ เลยนะ ใครที่อยากลองกระโดดบันจี้จัมพ์ครั้งแรกแนะนำให้มาที่นี่เลย เราได้กระโดดลงไปท่ามกลางวิวทะเลสวยๆ ของสิงคโปร์ มันช่วยลดความตื่นเต้นหวาดเสียวได้เยอะ แล้วครั้งต่อไปเราค่อยอัพเลเวลไปกระโดดที่โหดๆ กว่านี้ อย่างที่นิวซีแลนด์ หรือออสเตรเลียก็ว่ากันไป
นี่แนะนำมากสำหรับใครที่อยากมากระโดดฟีลแฟน อยากทำกิจกรรมโคตรตื่นเต้นไปด้วยกันต้องมา และไม่ต้องห่วงเรื่องระบบความปลอดภัยนะ มาตรฐานเค้าดีมากกก อุปกรณ์เซฟตี้ที่บอกไปว่าเว่อร์สุดก็คือไม่เกินจริง รัดขาทางเราแน่นเอี๊ยด แต่ตอนกระโดดแล้วเชือกมันดึงตัวเราไปตามแรงโน้มถ่วงโลกคือไม่เจ็บเลยนะ ดีมากเว้ยย สักครั้งในชีวิตอยากให้ได้ลองกัน ประทับใจจจ
ซื้อบัตรกิจกรรม กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa กับ KLOOK คลิก
มารีน่า บาร์ราจ (Marina Barrage)
หลายครั้งที่เห็นรูปสนามหญ้าอันกว้างๆ ที่มีเมืองสิงคโปร์เป็นแบล็คกราวด์อยู่ด้านหลังโดยที่เราสามารถเห็นทุกสถานที่ไฮไลท์ของสิงคโปร์ได้ภายในที่เดียว มันมีอยู่ที่เดียวเลยนั่นคือ มารีน่า บาร์ราจ (Marina Barrage) โดยที่นี่อยู่ติดกับ Garden By The Bay แต่อาจจะต้องเดินไกลซักหน่อยนะ ฮ่าๆ
มารีน่า บาร์ราจ (Marina Barrage) แท้จริงแล้วเค้าคือเขื่อน สร้างขึ้นบริเวณปากน้ำของร่องน้ำ Marina โดยเป็นเแหล่งเก็บน้ำแห่งที่ 15 ของประเทศ ที่ทางการสิงคโปร์เค้าได้พัฒนาพื้นที่รอบๆ ให้กลายมาเป็นพื้นที่สาธารณะ มีพิพิธภัณฑ์ มีสนามหญ้าด้านบนให้คนสิงคโปร์มาใช้เวลาว่างชิลๆ กันที่นี่ ซึ่งคนสิงคโปร์เค้าจะชอบมาปั่นจักรยาน นั่งปิกนิกและเล่นว่าวกัน ใครที่อยากมาเล่นว่าวไม่ต้องเตรียมมาให้วุ่นวายเพราะเค้ามีขายกันแถวๆ นั้นเลย
นอกจากนี้เรายังสามารถมองเห็นวิวมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) ได้แบบเต็มตา ใครมาเดินเล่นแถวนี้ก๊อตแนะนำให้อยู่จนค่ำเลยนะ บอกเลยว่าจากจุดนี้เราสามารถอยู่ดูพระอาทิตย์ตกดินได้สวยมากๆ เลยเว้ยย โคตรโรแมนติก เสียดายที่ก๊อตไม่ได้มาตอนค่ำๆ
Gardens by the Bay
ย้ายโซนกันมาฝั่งมารีนาเบย์แซนส์ (Marina Bay Sands) กันบ้าง แน่นอนว่ามาถึงย่านนี้ ก็ต้องไปเที่ยวแลนด์มาร์คดังของเค้าอย่าง Gardens by the Bay อุทยานธรรมชาติขนาดใหญ่ อยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำมารีนา ที่ถูกสร้างขึ้นจากวิสัยทัศน์ของคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติสิงคโปร์ที่จะสร้างสวนในเมืองที่มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยพืชพันธุ์หลากหลายชนิดจากทั่วโลก ตั้งแต่ชนิดพันธุ์ในภูมิอากาศเย็นและอบอุ่น ไปจนถึงป่าเขตร้อน โดยการออกแบบทั้งหมดของ Garden by the Bay นั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) ดอกไม้ประจำชาติของสิงคโปร์ ที่ตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ คือ Miss Agnes Joaquim นั่นเอง
ภายใน Gardens by the Bay นั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 สวน ด้วยกัน คือ Bay South, Bay East และ Bay Central โดยสวนที่ก๊อตอยากแนะนำ คือ เบย์ เซาท์ การ์เดน (Bay South) สวนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสามสวน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ฟลาวเวอร์โดม และ คลาวด์ฟอเรสต์ (Flower Dome & Cloud Forest) เรือนกระจกขนาดยักษ์ ที่ถูกออกแบบโดยบริษัท WilkinsonEyre และ Grant Associates โดยมีวัตถุประสงค์ในการออกแบบเพื่อแสดงเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารแบบยั่งยืนในเรื่องของสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นพื้นที่ศึกษาพืชพันธุ์ธรรมชาติให้กับผู้เข้ามาเยี่ยมอีกด้วย ซึ่งตัวอาคารฟลาวเวอร์โดม (Flower Dome) ถือเป็นเรือนกระจกแก้วที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยนะ
Supertree Grove
นอกจากนี้ภายใน Gardens by the Bay ยังมีอีกหนึ่งจุดที่เป็นมุมป๊อบในการมาถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว คือ เหล่าต้น Supertree Grove ต้นไม้ยักษ์ที่ตรงแกนกลางของต้นทำจากคอนกรีตเสริมด้วยเหล็ก กิ่งก้านของต้นเป็นโครงโลหะเหล็ก สูงประมาณ 25-50 เมตร หรือเทียบเท่าตึกสูง 10-16 ชั้น มีทั้งหมด 18 ต้น โดยรอบๆ ลำต้นของแต่ละต้นนั้นจะถูกตกแต่งไปด้วยไม้เล็กๆ อย่างเฟิร์นสายพันธุ์ต่างๆ เถาองุ่น ต้นสับปะรดหลากสี กล้วยไม้ และดอกไม้ในเขตร้อน
แต่ที่ก๊อตจะแนะนำถ้าใครมาแล้วมีเวลา อยากได้ภาพมุมสูงแบบเริ่ดๆ ให้ลองขึ้นไปบนสะพาน OCBC Skyway หรือทางเดินลอยฟ้า มีความยาวประมาณ 128 เมตรและอยู่สูงจากพื้น 22 เมตร เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่าง Supertrees (เฉพาะกลุ่มต้นที่อยู่ใจกลาง) ซึ่งเราจะสามารถมองเห็นแสง สี เสียงได้แบบใกล้ชิด ทั้งยังได้มองเห็นวิวโดยรอบขณะที่โชว์ได้อีกด้วย ซึ่งในส่วนนี้เราจะต้องเสียตังค์ขึ้นไปนะ แต่บอกเลยว่าบรรยากาศดีคุ้มค่าแน่นอน
Flower Dome และ Cloud Forest
ขอเกริ่นก่อนว่ารอบนี้เรากลับไปเที่ยวแบบคนรักต้นไม้มากขึ้น เพราะช่วงหลังๆ มานี้ก๊อตสรรหาต้นไม้มาปลูกเยอะมากก รอบนี้ได้กลับไปเที่ยวฟลาวเวอร์โดมและคลาวด์ฟอเรสต์เราเลยจะแฮปปี้กับต้นไม้มากๆ มาเริ่มต้นกันที่ ฟลาวเวอร์โดมกันก่อน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าโดมดอกไม้ ภายในนี้อัดแน่นไปด้วยดอกไม้นานาชนิด เรียกได้ว่าหลายๆ ต้นเราจะได้เห็นจากที่นี่เป็นครั้งแรกเลย
ซื้อบัตรกิจกรรม Flower Dome และ Cloud Forest ใน Gardens by the Bay กับ KLOOK คลิก
ฟลาวเวอร์โดม (Flower Dome)
ในส่วนของ ฟลาวเวอร์โดม (Flower Dome) เป็นสวนดอกไม้ในเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตามที่ระบุไว้ใน Guinness Book of World Records ปี 2015 มีพื้นที่มากกว่า 1 ล้านตารางเมตร จัดว่าเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของประเทศสิงคโปร์ ใช้งบในการสร้างประมาณ 24,000 ล้านบาท ภายในจำลองบรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่แห้งและเย็น อีกทั้งยังมีสวนอื่นๆ อีก 8 โซน ได้แก่ เบาบับ, สวนฉ่ำ, สวนออสเตรเลีย, สวนแอฟริกาใต้, สวนอเมริกาใต้, สวนมะกอก, สวนแคลิฟอร์เนีย และสวนเมดิเตอร์เรเนียน สวนทั้งแปดแห่งนี้จัดแสดงดอกไม้และพืชแปลกใหม่จากภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนและกึ่งแห้งแล้งจาก 5 ทวีปเลย
ไฮไลท์ของที่นี่คือ เค้าจะจัดสวนดอกไม้ตามฤดูกาล และตกแต่งประดับประดาไปด้วยหลอดไฟสีสันต่างๆ ซึ่งในช่วงเวลากลางคืนที่นี่จะสวยมากกก กลายเป็นอีกจุดหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในการมาดูความงดงามของสวนท่ามกลางแสงสี ใครที่ชื่นชอบดอกไม้สายพันธุ์แปลกๆ ที่นี่เค้ารวบรวมเอาไว้ให้เราได้ดูเพียบ คือเดินดูกันตาแฉะก็ยังไม่ครบ แถมอากาศก็เย็นสบาย อยู่กันได้ยาวๆ ตลอดทั้งวัน





คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest)
ในส่วนของ คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest) สวนสีเขียวขนาดมหึมา ที่มีละอองหมอกลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ อากาศภายในถูกควบคุณความชื้นอยู่ที่ 80-90% ในอุณหภูมิ 23°C – 25°C จำลองสภาพอากาศที่พบในบริเวณภูเขาเขตร้อนชื้นบนความสูงช่วง 1,000-3,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งพบได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้
ไฮไลท์เด็ดของ คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest) คือ ‘ป่าในเมฆหมอก’ ที่มีภูเขาสูงกว่า 42 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางโดม ที่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ถูกปลูกห้อมล้อมเอาไว้ ซึ่งเราสามารถขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุด แล้วค่อยๆ เดินวนลงมาตามมุมต่างๆ ได้บอกเลยว่าเพลินกับการดูต้นไม้ต่างๆ ที่ถูกปลูกเรียงรายกันไป ท่ามกลางน้ำตกสูง 35 เมตรที่ไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา บรรยากาศในโซนนี้จะเย็นสดชื่น แถมเฟรซสุดๆ ไปเลย ก๊อตนี่โคตรชอบและประทับใจมากเลย
สำหรับต้นไม้ที่เราจะได้เจอเยอะมากใน คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest) ก็คือต้นไม้ในเขตร้อนชื้นนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ตระกูอโลคาเซีย (Alocasia) ทั้งหลายที่มีให้เราดูเยอะมาก ใบนี้ใหญ่มิดครึ่งตัวก๊อตได้เลย และที่เยอะและหลากหลายไม่แพ้กันคือต้นไม้ตระกูลบีโกเนีย (Begonia) ที่มีให้เราดูเยอะจนฉ่ำตา นอกจากนี้เค้าก็จะมีต้นไม้อื่นๆ ให้เราดูอย่างต้นขวัญใจหลายคนอย่าง มอนสเตอร่า กล้วยไม้ ดอกหน้าวัว และอื่นๆ อีกเยอะแยะเลย ใครที่ปลูกต้นไม้ บอกเลยว่าเอนจอยมากแน่นอน




📸 สำหรับใครที่อยากถ่ายรูป คลาวด์ฟอเรสต์ (Cloud Forest) แบบปังๆ ให้ฟีลแบบหมอกโลกอนาคต ก๊อตแนะนำให้เราถ่ายตอนที่เค้าปล่อยหมอกออกมาจากภูเขา ซึ่งเค้าจะปล่อยออกมาทุกวันในช่วงเวลา 10.00, 12.00, 14.00, 16.00, 18.00 และ 20.00 โดยแต่ละรอบจะปล่อยประมาณ 20 นาที สามารถถ่ายรูปรัวๆ ได้เลย
เอาเป็นว่าแม้จะไม่ใช่สายต้นไม้ ก๊อตก็อยากให้มาเที่ยวที่นี่ คือมาสิงคโปร์แล้วไม่มา ฟลาวเวอร์โดม และ คลาวด์ฟอเรสต์ (Flower Dome & Cloud Forest) นี่ถือว่ามาไม่ถึงนะ มันเหมือนอีกหนึ่งในแลนด์มาร์คของสิงคโปร์ที่ทุกคนต้องมา ส่วนตัวก๊อตชอบที่นี่มากกก ด้วยความที่สิงคโปร์เค้าเป็นประเทศที่เพิ่งตั้งประเทศมาได้ไม่นาน ทั้งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเค้าเป็นทะเล พื้นที่ส่วนมากเลยถูกทำเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ก็พวกอาคารสำนักงานต่างๆ การที่เค้าทำสวนสาธารณะ และมีโดมเรือนกระจกมหึมาที่ภายในแน่นไปด้วยต้นไม้สายพันธุ์ต่างๆ มันทำให้เห็นว่าสิงคโปร์เค้าให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะ และพื้นที่สีเขียวที่ต้องการให้คนบ้านเค้ามีสถานที่เอาไว้มาใช้พักผ่อนจริงๆ มันไม่ใช่การเพิ่มพื้นที่เพื่อสร้างตึก สร้างอาคารสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ แต่มันคือการสร้างพื้นที่สีเขียวที่โคตรจะจรรโลงใจ ที่แสดงถึงความใส่ใจคนบ้านเค้ามากๆ แถมทั้งสองโดมยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอีก โคตรดีเลย ต้องมาา


⚡️จะบอกว่าทั้งฟลาวเวอร์โดมและคลาวด์ฟอเรสต์ (Flower Dome & Cloud Forest) เราต้องเสียเงินค่าเข้านะ ซึ่งก๊อตก็ได้ซื้อผ่าน Klook มาในราคาเบาๆ ถูกกว่าปกติเช่นเคย แถมบัตรเข้ายังเป็น Digital QR Code ที่เราสามารถโชว์ได้จากมือถือ และติ๊ดเข้าได้ที่หน้าเกทประตู โดยไม่ต้องไปเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋วเล้ย
สกายพาร์ค มารีน่า เบย์ แซนด์ส (Sands Skypark Observation Deck - Marina Bay Sands)
ส่องธรรมชาติกันหนำใจแล้ว เราไปเที่ยวดูวิวสิงคโปร์มุมสูงแบบฉ่ำๆ 360 องศา กันที่ จุดชมวิวสกายพาร์คที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Sands Skypark Observation Deck (Marina Bay Sands)) หนึ่งในที่เที่ยวสิงคโปร์ที่ป๊อบมากไม่แพ้กัน แถมยังเป็นจุดชมวิวเมืองสิงคโปร์ที่ดีมากที่สุดอีกด้วย ซึ่งช่วงที่ก๊อตไปนั้นคนเยอะมากก แต่โชคดีที่เราจองผ่าน Klook มา ไม่ต้องไปต่อคิวรอขึ้นเลย แค่โชว์ตั๋วก็สแกนเข้าข้างใน และเดินขึ้นไปได้เลยเว้ย ที่สำคัญราคาถูกมากกก
ซื้อตั๋วกิจกรรม ชมวิวสกายพาร์คที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส กับ KLOOK คลิก
หากใครยังไม่รู้จัก โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) ล่ะก็ ที่ถือเป็นตึกแลนด์มาร์คที่ถือเป็นไอคอนของสิงคโปร์เทียบเท่ากับเมอไลอ้อน (Merlion) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ยักษ์ของสิงคโปร์ ที่ร่วมมือกับ Las Vegas Sands Corporation ที่รวมเอาโรงแรมชั้นนำระดับโลก ศูนย์รวมความบันเทิง คาสิโน แหล่งช้อปปิ้งมารวมกันเอาไว้ ซึ่งรวมถึงจุดชมวิวด้านบนที่เราจะขึ้นไปดูนี้ด้วย สำหรับตึก Marina Bay Sands Hotel นั้นสูงตระหง่านโดดเด่นเว่อร์วังมาก เค้าสร้างออกมาเป็นรูปไพ่ 3 สำรับเรียงกัน ด้านบนสุดถูกทับด้วยเรือพาดยาวที่เรียกกันว่า Sands Sky Park ที่มีสระว่ายน้ำกลางแจ้งของโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก ใครที่อยากไปว่ายน้ำแช่ตัวกับวิวอลังของสิงคโปร์ ก็คือต้องไปนอนโรงแรมเค้าน้า
สำหรับการขึ้นไปดูวิวบน Sands Skypark Observation Deck (Marina Bay Sands) นั้น เมื่อเราโชว์ตั๋วบนมือถือเรียบร้อย เราก็จะได้ขึ้นมาที่ชั้นที่ 57 ซึ่งด้านบนเราสามารถมองเห็นวิวของสิงคโปร์ได้แบบรอบทิศทางเลย บอกเลยว่าบรรยากาศโคตรดี เราสามารถมองลงไปเห็นพื้นที่สีเขียวๆ ของ Gardens by the Bay เหล่าซุปเปอร์ทรี โกรฟ (Supertree Grove) กลุ่มต้นไม้ยักษ์ที่มีโครงสร้างเป็นคอนกรีตและเหล็ก ตกแต่งเป็นสวนแนวตั้งจำนวน 18 ต้น ที่ทอดยาวไปจนถึงช่องแคบสิงคโปร์
นอกจากนี้ เรายังมองเห็นสกายไลน์ของสิงคโปร์ ที่มีดงตึกธนาคารและการเงินหลากหลายตึก อ่าวมารีนาเบย์ที่มีช็อปของ Louis Vuitton สาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และตึกรูปดอกบัวรูปทรงสวยงามอย่าง The Art Science Museum รวมไปถึงมองเห็นตึกรามบ้านช่องของบ้านเค้า ไกลแบบสุดลูกหูลูกตาเล้ย




ส่วนตัวก๊อตว่าวิว Skyline ของสิงคโปร์ก็สวยไม่แพ้ที่อื่นๆ ที่เคยไปมาทั่วโลกเลยนะ ภาพวิวมุมกว้างของมารีนาเบย์คือเดอะเบส ช่วงเวลาที่แนะนำให้ขึ้นมาคือตั่งแต่ 5 โมงเย็น แล้วอยู่ยาวๆ ไปจนถึงมืดเลย เราจะได้เห็นเมืองเค้าตั้งแต่ช่วงสว่าง ยันช่วงเย็นแก่ๆ ที่เริ่มมีแสงพระอาทิตย์ตกกระทบ สาดส่องไปทั่วทุกตึกที่รายล้อม ก่อนจะได้ดื่มด่ำไปกับภาพความงดงามของเมืองสิงคโปร์ในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงไฟมากมายจากตึกและอาคารต่างๆ เป็นภาพวิวมุมสูงที่สวยงามมาก
ที่ก๊อตชอบสุดๆ คือถ้าเราอยู่ด้านบนตอนช่วง 19.45 หรือ 20.45 เราจะได้เห็นเค้ากำลังแสดงไฟ Garden Rhapsody บริเวณ Supertree Grove ที่ Garden by the Bay แบบมุมสูงด้วยนะ แสงไฟนี่ระยิบระยับ ส่องสว่างไปทั่วเลย โอ้ยยย อันนี้คือดีย์ แนะนำให้มามากๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มาเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรกเด้อ
Garden Rhapsody Light and Sound Shows
หลังจากที่ดูวิวของ Supertree Grove แบบมุมสูงบนจุดชมวิวสกายพาร์คที่โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Sands Skypark Observation Deck (Marina Bay Sands)) กันพอหอมปากหอมคอแล้ว พอลงมาด้านล่าง ก๊อตเลยจะพาทุกคนไปดูของจริงแบบใกล้ๆ ซึ่งเราจะได้ดูในอีกมู้ดที่เป็นเวลากลางคืน บอกเลยว่าสวยสะบัดกว่ากลางวันม๊ากกก เพราะในช่วงกลางคืนเหล่าต้น Supertrees Grove หรือกลุ่มต้นไม้ยักษ์เหล่านี้จะถูกเพิ่มสีสันไปด้วยแสงสีมากมาย ที่เปิดเล่นตามจังหวะเพลง Rainforest Orchestra, Australasia และ Oceania สลับกันไปในแต่ละรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ โดยที่บรรยากาศต่างกับตอนกลางวันลิบลับ
โดยแสงที่เราเห็นวิบวับกันยามค่ำคืนในช่วงแสดงโชว์นั้น มาจากพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงโซล่าเซลล์ด้านบนของแต่ละต้น โดยในแต่ละวันเค้าจะโชว์อยู่สองช่วงเวลาคือ 19.45 น. และ 20.45 น. ครั้งละประมาณ 15 นาที เราสามารถเดินเข้ามาดูได้ฟรีเลยเน้อ




บอกเลยว่าใครอยู่รอดูนี่คือคุ้มมากนะ ส่วนตัวก๊อตบรรยากาศในตอนกลางคืนต่างจากในตอนกลางวันแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยเว้ย ตอนกลางคืนคือเปิดไฟอลังการสุด เรื่องของสีสันคือเริ่ด ใครได้มาดูโชว์นี่จะสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่อลังการ โดยการแสดงในแต่ละรอบเค้าก็จะสลับปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะ อย่างตอนที่ก๊อตไปเราได้ฟังแนว Orchestra ซึ่งเค้าทำออกมาได้ดีมาก ไฟมันจะกระพริบไปตามจังหวะของดนตรีเลย ให้ความรู้สึกเหมือนต้นไม้มันกำลังเต้นระบำไปกับเสียงเพลง
โดยรวมแล้ว ขอยกนิ้วให้กับความอลังการงานสร้างของเค้า ที่ยิ่งใหญ่ แสดงดี จนอยากให้ทุกคนมาดู มันให้ความรู้สึกมีอะไรให้ดูมากกว่าการที่มาเดินชมธรรมชาติของเค้าเฉยๆ แต่เรายังได้เพลินไปกับดนตรี แสงสี และบรรยากาศยามค่ำคืนสุดคึกครื้น ได้เห็นสิงคโปร์ในอีกมุมทื่แม้เค้าจะเป็นประเทศใหม่ และไม่ได้มีพื้นดินเยอะเหมือนคนอื่นเขา แต่ประเทศเค้าก็สามารถเนรมิตทุกอย่างขึ้นมาได้ ทั้งยังทำให้เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คชื่อดังที่ใครมาเที่ยวสิงคโปร์ต้องมาสักครั้งในชีวิต อันนี้โคตรดีย์ จากใจเลย
DAY 5: Sidecar Heritage Tour
Sidecar Heritage Tour อีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ ถือเป็นกิจกรรมน้องใหม่ที่ก๊อตไม่ค่อยเห็นคนมารีวิวเยอะมากนัก แต่จะบอกว่านี่คือทัวร์ที่เหล่าเซเลปชอบมานั่งรถดูเมืองสิงคโปร์เค้าแหละ มันเป็นทัวร์รถจักรยานยนต์เวสป้าแนววินเทจแห่งแรกของโลกที่จะพาเราไปสัมผัสและชมบรรยากาศของสิงคโปร์ให้มากขึ้นผ่านการขี่จักรยานชมเมือง ส่องสถาปัตยกรรมสไตล์วิกตอเรีย ซึ่งมีทั้งศูนย์กลางของการบริการและที่ทำการของรัฐบาล รวมถึงบ้านเรือนอาคารต่างๆ ในช่วงยุคอาณานิคมของอังกฤษ
นอกจากนี้ทัวร์นี้เค้ายังมีโปรแกรมพาไปดูพิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย, แคปิตอลสิงคโปร์, หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์, โรงละครเอสพลานาดออนเดอะเบย์, ดิอาร์ตสเฮาส์, โรงละครวิกตอเรียและคอนเสิร์ตฮอลล์วิคตอเรีย ไปจนถึงภาพวาดบนผนังอันสวยงามอีกด้วย คือเยอะมาก ซึ่งโปรแกรมทัวร์จะแตกต่างกันออกไปตามย่านที่เราเลือกเลยแหละ ใครที่สนใจก็ลองซื้อทัวร์นี้ได้ที่ Klook เลย
จองกิจกรรม ทัวร์นั่งรถเวสป้าสุดวินเทจกับ Sidecar Heritage Tour กับ Klook ในราคาดีๆ คลิก
โดยโปรแกรมที่ก๊อตเลือกเค้าจะพาเราไป ย่านกาตงและจูเชียต (Katong – Joo Chiat) หนึ่งในย่านเมืองวัฒนธรรมของชาวเปอรานากัน (กลุ่มชาวจีนเชื้อสายมาลายู) ที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ ที่ซึ่งเราจะได้เห็นชมร้านค้าที่ตกแต่งไปด้วยโทนสีสดใสคิวท์ๆ แบบพาสเทล รวมถึงตัวอาคารและบ้านเรือนสไตล์วิคตอเรียและเปอรานากันที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้นั่นเอง





ทัวร์นี้เราไม่ต้องไปขับเวสป้าเองนะ ฮ่าๆ แต่เค้าก็จะพาเรากระโดดขึ้นนั่งเวสป้าที่เป็นที่นั่งเล็กๆ ข้างคนขับ พาเราไปเที่ยวและเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่จูเชียต (Joo Chiat) นั่นแหละ โดยที่แรกที่เค้าจะพาไปคือภาพวาดน้องเต่าสีสันสดใส ซึ่งเค้าก็เล่าว่าแต่เดิมย่านนี้เคยเป็นย่านที่อยู่ติดริมทะเลมาก่อน และชอบมีเต่ามาวางไข่ริมทะเลตรงนี้นั่นเอง โดยบ้านตรงนี้เค้าเป็นบ้านแบบยกใต้ถุนสูง แสดงให้เห็นถึงบ้านที่ตั้งอยู่ริมทะเลโดยยกถุนสูงไว้เผื่อน้ำทะเลหนุนสูงนั่นแหละ
เป็นที่น่าเสียดายที่เกาะสิงคโปร์นั้นมีพื้นที่จำกัด ทำให้พื้นที่ริมทะเลตรงนี้ถูกถมทะเลจนกลายเป็นพื้นที่ใหม่ที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นเอง จากที่เคยมีน้องเต่ามาวางไข่ก็ไม่มีแล้ว แต่บ้านเรือนตรงนี้ที่ยกถุนสูงไว้ก็ยังคงอยู่ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และระลึกว่าพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นอะไรมาก่อนนั่นเอง
อีกจุดที่เค้าพาไปก็คือ บ้านเปอรานากัน (Peranakan Houses) หลากสีสันแบบพาสเทลที่โคตรคิวท์ จนตอนนี้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดฮิตในสิงคโปร์ที่คนชอบมาถ่ายรูปลง Instagram กันนั่นเอง บ้านสไตล์เปอรานากันรวมถึงบ้านสไตล์วิคตอเรียในยุคอาณานิคมอังกฤษ เป็นบ้านที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ และถูกอนุรักษ์โดยรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งเค้ามีข้อแม้สำหรับคนอยู่อาศัยว่าห้ามดัดแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวบ้านทั้งหมด แต่ด้านในนั้น สามารถทำอะไรก็ได้ ซึ่งทัวร์เค้าก็พาไปส่องหลังบ้านเหล่านี้แล้วต้องร้องโอ้โห เพราะการตกแต่งด้านในของบ้านนั้นโมเดิร์นมาก คือโคตรแตกต่างจาก Facade ด้านหน้าบ้างอย่างที่สุดเลยแหละ
ส่วนตัวก๊อตคิดว่าย่านนี้มันมีเสน่ห์ของความเก่าแก่ที่ถูกปรับให้อยู่ร่วมกับความทันสมัยในแบบฉบับของสิงคโปร์ เราเลยจะได้เห็นอาคาร บ้านเรือนหลากหลายรูปทรง รวมไปถึงภาพวาดบนผนังสวยๆ ที่เติมสีสันให้กับสิงคโปร์ดูน่ารักมากยิ่งขึ้นนั่นเอง บอกเลยว่าดีย์


หลังจากนั้นเราก็ขี่รถวนไปตามเส้นทางของเค้าอีกหน่อยก็เป็นอันครบเวลาตามตารางทัวร์ที่เราได้จองไว้ พี่เค้าก็จะขี่มาส่งเราตรงจุดเดิม ส่วนตัวก๊อตคิดว่า ทัวร์นี้น่ารักมากกก หนึ่งเลยคือตัวรถเวสป้าที่เค้าเอามาทำพ่วงข้างมันน่ารักหนุบหนับใจมาก แถมเวลาที่เค้าพาเรานั่งเวสป้าไปตามเส้นทาง บรรยากาศของ ย่านกาตงและจูเชียต (Katong – Joo Chiat) ก็ดูน่ารักและดีไปหมด ฟีลเหมือนเราได้นั่งรถเล่นทัวร์เมืองเก่าที่มีทั้งความคลาสสิค และทันสมัยอยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งชั่วโมงที่ได้เรียนรู้และเห็นอีกมุมของสิงคโปร์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน ร้านค้ามากมายทื่ดีไซน์รูปทรงสไตล์เปอรานากันและวิคตอเรียผสมคละเคล้ากันไป ใครมาเที่ยวสิงคโปร์นี่อยากให้ลองมาทัวร์ดูนะ และไม่ต้องกลัวเหงาเลยเพราะพี่คนขับเค้าจะชวนเราคุยตลอดเส้นทางเลยหล่ะ 5555
สะพานอัลคาฟ (Alkaff Bridge)
สะพานอัลคาฟ (Alkaff Bridge) สะพานน่ารักสีสันสดใสที่ถือเป็นแลนด์มาร์คคิวท์ๆ รูปร่างเหมือนกับเรือที่สร้างข้ามแม่น้ำเชื่อมสองฝั่ง โดยเค้าเป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดินข้ามแม่น้ำสิงคโปร์หรือปั่นจักรยานข้ามกันไปมาในย่านโรเบิร์ตสันคีย์ (Robertson Quay) ไม่ไกลจากสวนสาธารณะฟอร์ทแคนนิง (Fort Canning Park) มากนัก ถือเป็นอีกจุดที่น่ามาถ่ายรูปเล่นมากก



สวนสาธารณะ Fort Canning Park
อีกหนึ่งส่วนสาธารณะยอดฮิตในสิงคโปร์ที่กลายเป็นจุดยอดฮิตของการถ่ายรูป Instagrammable ของคนไทยก็คือสวนสาธารณะ Fort Canning Park กับอุโมงค์ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เราจะต้องไปโพสต์ท่าอยู่ด้านบน ถือว่าเป็นมุมป๊อบที่คนไทยชอบมาถ่ายรูปกันมากก
สวนสาธารณะ Fort Canning Park หนึ่งในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของสิงคโปร์ ที่แต่เดิมเคยเป็นป้อมปราการและหอสั่งการในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปัจจุบันภายในสวนได้แบ่งโซนออกเป็นลานกิจกรรม ลานแสดงดนตรี พื้นที่สวน รวมไปถึงพื้นที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ รวมถึงอาคารและสิ่งปลูกสร้างทางประวัติศาสตร์ เรียกได้ว่าเป็นสวนสาธารณะที่รวมเอาทั้งอดีตและปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกัน
ที่ก๊อตมาสวนสาธารณะ Fort Canning Park เนี่ย ก็คือตั้งใจมาถ่ายรูปมุมอุโมงค์ต้นไม้โดยเฉพาะเลย ซึ่งเราสามารถหาจุดอุโมงค์ต้นไม้นี้ได้ แค่พิมพ์ว่า 'Fort Canning Park Tree Tunnel' ใน Google Map ได้เลย เพราะถ้าให้เดินหาเองเนี่ย บอกเลยว่าหลงแน่นอน เพราะสวนสาธารณะเค้าใหญ่ม๊าก
ถ้าใครที่จะไปถ่ายรูปตรงนี้ล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้ไปตั้งแต่เช้า เพราะถ้าเราไปเวลาสายๆ ถึงเย็น บอกเลยว่าเราต้องต่อคิวถ่ายรูปนานมาก ประมาณ 30-50 นาที ได้ เพราะมุมนี้ถือเป็นมุมป๊อปมากที่สุดอีกจุดนึงในสิงคโปร์เลยแหละ ถ้าถามว่าแลกกับรูปที่ได้คุ้มไหม มันก็คุ้มนั่นแหละ ด้วยความที่บันไดวนมันสามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้ ทำให้พอเราตั้งกล้องถ่ายจากด้านล่างขึ้นมา เราเลยจะได้รูปสวยๆ ของอุโมงค์ท่ามกลางธรรมชาติเขียวๆ เลย


แอบบอกอีกมุมลับ เมื่อเราถ่ายรูปอุโมงค์ต้นไม้เสร็จแล้ว ให้เราลองเดินตัดไปยังทางออกด้านขวา มันจะมีทางเดินที่ด้านข้างเป็นกำแพงสองฝั่งกั้น ส่วนตัวก๊อตว่ามุมนี้ก็ถ่ายรูปสวยไม่แพ้กันเลย ถือว่าเป็นโบนัสการได้รูปหลังจากต่อแถวกันมาอย่างยาวนานแล้วนั่นเอง 555555โดยรวมแล้วถือเป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่น กว้างใหญ่ ทั้งยังอยู่ใจกลางเมืองเดินทางง่ายๆ ใครที่จะไปล่องเรือต่อที่ท่าเรือคลากคีย์แบบก๊อตจะมาแวะเดินเล่นข้ามเวลาก็ไม่เสียหายน้า แถมได้รูปกลับบ้านเพียบเลย



ล่องเรือชมเมืองสิงคโปร์ (Singapore River Cruise)
อีกหนึ่งกิจกรรมที่เน้นกินลม ชมวิวเพลินๆ ไปกับบรรยากาศของสิงคโปร์ผ่านการล่องเรือบนแม่น้ำสิงคโปร์ นั่นก็คือกิจกรรม ล่องเรือชมเมืองสิงคโปร์ (Singapore River Cruise) หนึ่งในกิจกรรมที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กิจกรรมอื่นๆ ที่เราจะได้เห็นสถานที่ต่างๆ ที่สำคัญของสิงคโปร์มากมายแบบเต็มอิ่มในระยะเวลา 40 นาที ที่คุ้มค่ามากกก
จองตั๋วกิจกรรม ล่องเรือกับ สิงคโปร์ ริเวอร์ ครูซ กับ KLOOK คลิก
ทุกคนเชื่อไหม กิจกรรมล่องเรือที่เรากำลังจะทำนี้ถือเป็นอีกหนึ่งการอนุรักษ์เรื่องราวในอดีตของสิงคโปร์ให้กับคนรุ่นหลังๆ ได้เห็น ด้วยการเอาเรือไม้บัมโบ๊ท หรือที่มีอีกชื่อว่า ‘ทงคัง (เรือท้องแบน)’ ที่สมัยก่อนในช่วงศตวรรษที่ 19 ถึง 20 ที่สิงคโปร์ยังเป็นเมืองอาณานิคมของอังกฤษ เค้ามักจะนิยมใช้เรือไม้บัมโบ๊มบรรทุกสินค้าเพื่อไปค้าขายผ่านแม่น้ำสิงคโปร์, แม่น้ำโรเชอร์ (Rochor) และ แม่น้ำกัลลัง (Kallang) นั่นเอง
ซึ่งการ ล่องเรือชมเมืองสิงคโปร์ (Singapore River Cruise) เค้าอยากให้ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสไปกับเรือบัมโบ๊ทต่างๆ ผ่านการล่องเรือไปตามแม่น้ำ โดยครอบคลุมย่านฮิตของสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือคลาร์ก คีย์ (Clarke Quay), ท่าเรือโบ๊ทคีย์ (Boat Quay) และอ่าวมารีน่า (Marina Bay) โดยระหว่างเส้นทาง เราจะได้เห็นสถานที่สำคัญของสิงคโปร์เยอะมากเลยแหละ เรียกว่าเต็มอิ่มสุด
โดยตอนแรกๆ นั้นทางบริษัทมีเรือให้บริการเพียง 4 ลำเท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้เค้ามีเรือเพิ่มขึ้นเป็น 24 ลำ โดยในช่วงปี 2008 ทางบริษัทได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของเรือจากเครื่องยนต์ดีเซลให้มาเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อช่วยอนุรักษ์ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย เจ๋งมาก
ในช่วงที่ก๊อตไปนั้นตามจริงเราก็จะล่องเรือไปตามเส้นทางปกติของเค้าคือขึ้นเรือที่ท่าเรือคลาร์ก คีย์ (Clarke Quay) แล้วล่องเรือผ่านไปทางท่าเรือโบ๊ทคีย์ (Boat Quay) ก่อนจะล่องออกไปทางอ่าวมารีน่า (Marina Bay) เพื่อดูสถานที่สำคัญต่างๆ แต่วันนั้นทางสิงคโปร์เค้ามีการซ้อมพิธีด้านการทหารของเค้า ทำให้ก๊อตไม่ได้ล่องเรืออกไปทางอ่าวมารีน่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การล่องเรือของเราน่าเบื่อแต่อย่างใด แต่เราได้เห็นเครื่องบินทหารบินว่อนพร้อมกับแขวนธงชาติสิงคโปร์ล่องลอยบนท้องฟ้า ก็คือฮึกเหิมมากเว่อร์ นอกจากนี้ ตลอดเส้นทางเราก็จะได้เห็นดงตึกสูงชะลูดในดาวน์ทาวน์ จนถึงกลุ่มตัวบ้านและอาคารเลียบแม่น้ำที่ดูมีชีวิตชีวา ถือเป็นอีกมุมที่เราได้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนสิงคโปร์ที่อยู่อาศัยในย่านริมแม่น้ำแบบจริงจัง
ก๊อตว่าการล่องเรือมันเหมาะกับทุกคนเลยนะ ยิ่งใครที่อยากมาดูเรื่องราวของสิงคโปร์ผ่านทางวิวของแม่น้ำนี่แนะนำมาก สองข้างทางของบ้านเมืองเค้าจะไม่เหมือนของบ้านเราเลย มันจะมีการจัดแปลนที่เป็นระเบียบ สวยงาม มีเลนสำหรับให้คนมาเดิน วิ่งออกกำลังกาย มีร้านค้า ร้านอาหารที่ตั้งเรียงรายให้ได้เห็น แถมเรายังได้เห็นเหล่าแลนด์มาร์คต่างๆ ของเค้าจากวิวที่เราไม่สามารถมองเห็นได้จากการเดินบนท้องถนน นี่บอกเลยว่าเป็น 40 นาทีที่คุ้มค่ามาก กิจกรรมนี้ไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง


สถานีตำรวจ Old Hill Street Police Station
เสร็จจากล่องเรือ ก๊อตก็เดินมาถ่ายรูปเล่นสวยๆ กันต่อที่ สถานีตำรวจ Old Hill Street Police Station อาคารเก่าแก่สูง 6 ชั้น ที่เคยเป็นสถานีตำรวจของ Singapore Police Force แต่กลับมีดีไซน์สุดคิ้วท์ที่เค้าทาสีเรนโบว์บนหน้าต่างทั้งหมดกว่า 927 บานเลย
อาคารสีสันสดใสที่เห็นนี้ แต่เดิมเค้ามีไว้สำหรับคุมขังนักโทษจริงๆ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของหน่วยงานแห่งกองบัญชาการตำรวจอันเก่าแก่ของสิงคโปร์ ก่อนที่จะกลายมาเป็นอาคารหลักของกระทรวงการสื่อสาร และสารสนเทศ และกระทรวงวัฒนธรรม ชุมชน และเยาวชน ในปัจจุบัน
โดยที่นี่ยังเป็นที่รู้จักในชื่อ Balai Polis Hill Street Lama ในภาษามาเลย์ โดยในปี 1999 ได้เปลี่ยนชื่อจาก Old Hill Street Police Station เป็น ‘MITA Building’ ซึ่งต่อมาในปี 2004 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น ‘MICA Building’ และถูกใช้มาเรื่อยๆ จนในปี 2012 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘สถานีตำรวจ Old Hill Street’
ความสุดครีเอทของอาคาร คือ สีของหน้าต่างใน 4 ชั้นแรกมีสีสันสดใสในโทนสีเหมือนกัน ในขณะที่หน้าต่างด้านบนขึ้นไป จะค่อยๆ เข้มเพื่อเน้นให้เห็นระเบียงที่มีคานยื่นออกมา จัดว่าเป็นหนึ่งในกิมมิคที่น่าสนใจของตัวอาคารแห่งนี้เลย และด้วยความคิวท์ขนาดนี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปสวยๆ ด้านหน้าตึกกัน ด้วยความที่เราล่องเรือชมวิวตรงแม่น้ำสิงคโปร์เสร็จแล้ว สถานีตำรวจอันนี้มันอยู่ไม่ไกลกันมาก เลยเดินมาถ่ายรูปเล่นซักหน่อย แต่ถ้าถามก๊อตว่าควรต้องมาแบบปักหมุดเจาะจงเลยไหม ถ้าในแพลนมีที่เที่ยวแถวนี้ ก็ควรมาถ่ายรูปซักหน่อย แต่ถ้าไม่ได้มาทำอะไรแถวนี้เลย จะข้ามไปเลยก็ได้นะ 555555


เหล่าปาสัท (Lau Pa Sat) + Satay 7&8
เที่ยวกันมาแบบจัดหนักจัดเต็มแล้ว เราไปเดินหาอะไรกินกันที่ เหล่าปาสัท (Lau Pa Sat) ศูนย์อาหารหรือที่เค้าเรียกกันว่า Hawker Center ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ที่เค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งด้านในมีอาหารให้เราเลือกกินเยอะมากแบบมากที่สุด ใครที่อยากหาของกินแบบให้เลือกไม่อัน แนะนำให้มาที่นี่ บอกเลยว่านี่คือสวรรค์ของนักกินของจริ๊งงง อยากกินอะไร ที่นี่มีให้กินหมดดดด!
แต่เดิม เหล่าปาสัท (Lau Pa Sat) คือ ตลาดทีล็อก อาเยอร์ (Telok Ayer Market) ที่ถือเป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ 150 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งตัวอาคารของที่นี่นั้นมีรูปทรงโดดเด่นงดงามตามสไตล์วิคตอเรีย แถมยังได้รับการประกาศเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในปี 1973 อีกด้วย
ความพิเศษของ เหล่าปาสัท (Lau Pa Sat) นั้น ทุกๆ วัน ตั้งแต่เวลา 1 ทุ่มเป็นต้นไป เค้าจะปิดถนนหนึ่งฝั่งเพื่อขายสะเต๊ะกันยาวๆ ทั้งแถบ จนถูกเรียกว่า Satay Street ด้วย ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องได้กลิ่นเตาถ่านที่กำลังย่างสะเต๊ะลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ และแน่นอนว่าเรามาถึง เหล่าปาสัท (Lau Pa Sat) จะไม่มาลองกินสะเต๊ะก็เหมือนมาไม่ถึง
และร้านที่เราเลือกกินในครั้งนี้คือ Satay 7&8 ร้านดังที่ใครมาย่านนี้จะต้องมาลิ้มรสความอร่อย ซึ่งร้านเค้าก็จะมีตั้งแต่สะเต๊ะหมู เนื้อ ไก่ กุ้ง และอื่นๆ ให้เราได้เลือกเพียบเลย โดยก๊อตได้ซื้อว้อยเช่อจาก Klook มาแล้วเรียบร้อย ซึ่งเราสามารถเอาคูปองในโทรศัพท์ไปยื่นให้เค้าได้เลยที่หน้าร้าน
ซื้อคูปองร้านสะเต๊ะ Satay 7&8 กับ KLOOK คลิก
สำหรับชุดที่ก๊อตเลือกมาคือ Satay Set A with Rice Cake โดยในเซตจะมีทั้ง ไก่สะเต๊ะ 10 ไม้, สะเต๊ะเนื้อ 10 ไม้, สะเต๊ะกุ้ง 6 ไม้ และ แป้งเค้กข้าว 2 ชิ้น เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มแตงกวา ส่วนตัวก๊อตชอบสะเต๊ะเนื้อวัวของเค้ามาก ไม่เหนียว มีความนุ่มละมุน ส่วนเนื้ออื่นๆ อย่างไก่ หรือกุ้งก็รสชาติดี ถูกปากถูกใจ ยิ่งซอสที่เค้าใช้หมักสาระพัดเนื้อแล้วเอาไปย่างบนเตาถ่านนะ เวลากินเราจะได้ความกลิ่นหอมไหม้ๆ จากเตาถ่านมาด้วยแหละ รสชาติสะเต๊ะโดยรวมนั้นมันออกแนวหวานๆ แต่ไม่หวานเลี่ยน ส่วนตัวก๊อตถือว่าอร่อย และคิดว่ามันกินง่ายมาก ซึ่งก๊อตแนะนำให้เราสั่งเบียร์ซักเหยือกสองเหยือกมากินคู่ด้วย รับรองว่าฟินนน




DAY 6: ไชน่าทาวน์ (Chinatown)
ไชน่าทาวน์ (Chinatown) อีกหนึ่งย่านเก่าแก่สุดป๊อบที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเที่ยวกันเยอะมาก ไชน่าทาวน์ (Chinatown) ถือเป็นย่านที่อยู่ของชาวจีนที่เค้าอพยพเข้ามาในสิงคโปร์ ภายในก็จะเต็มไปด้วยวัดวาอาราม ร้านขายยาแผนโบราณ ร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายของฝาก และยังมีพวกบาร์สมัยใหม่ รวมถึงร้านชิคๆ อยู่รวมกันในย่านนี้อีกด้วย
โดยโซนหลักของย่านนี้จะอยู่บริเวณถนน Pagoda Street ที่เป็นถนนยาวตรงไป มีตึกรามบ้านช่องที่นี่รู้สึกได้ว่าเหมือนอยู่เมืองเก่าภูเก็ตเว่อร์ แตกต่างตรงที่ที่นี่สีสันแปลกตามากกว่า ซึ่งเค้าจะปิดถนนไม่ให้รถวิ่งผ่านเลย ใครที่อยากมาหาอะไรกิน เดินเล่นชิลๆ ช้อปปิ้งซื้อของ หรือกำลังอยากได้พวกของฝากสไตล์จีน พวกของจุกจิก พวงกุญแจกลับบ้าน ลองมาเดินเล่นดูได้นะ


ไฮไลท์ที่ควรมาถ่ายรูปเล่นคือตามถนนเค้าจะประดับประดาไปด้วยโคมไฟเพียบเลย ให้มู้ดจีนจ๋าจัดๆ เลย และถ้าใครอยากหาของกินในราคาที่ไม่แพง ให้มาตรง Chinatown Food Street เลย มีร้านอาหารหลายเจ้ามาก ซึ่งรสชาติก๊อตว่าถูกปากคนไทยอยู่น้าา ยกให้เป็นย่านที่ผสมผสานความเก่าแก่และความสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างมีเสน่ห์จริงๆ
วัดศรีมาริอัมมันต์ (Sri Mariamman Temple)
ใครมาเที่ยวย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown) หากเดินมาสุดทางของถนน Pagoda Street เราจะเจอกับ วัดศรีมาริอัมมันต์ (Sri Mariamman Temple) เป็นวัดที่ชาวอินเดียทางตอนใต้ที่อพยพมายังสิงคโปร์ สร้างขึ้นเพื่อถวายเจ้าแม่มาริอัมมันต์ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการรักษาอาการเจ็บป่วยและบำบัดโรคภัยต่างๆ
โดยวัดศรีมาริอัมมันต์ (Sri Mariamman Temple) ถือว่าเป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่สุดในสิงคโปร์เลยแหละ บริเวณประตูทางเข้าที่เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ 6 ชั้นประดับประดาไปด้วยรูปปั้นของเหล่าทวยเทพ สิงสาราสัตว์ในตำนาน ภายในจะเป็นโถงทางเดินกว้างๆ ยาวไปจนถึงที่ตั้งของเจ้าแม่มาริอัมมันต์ โดยจะมีผ้าม่านรูปเทพเจ้าต่างๆ ติดอยู่ตามทางเดิน ให้ความรู้สึกขลังกันทุกย่างก้าวเลยทีเดียว
สำหรับใครที่มาช่วงเดือนพฤศจิกายน จะบอกว่าที่นี่เค้ามีเทศกาลดีปาวลี หรือเทศกาลแห่งแสงไฟ ซึ่งถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองประจำปีของชาวฮินดู บริเวณวัดจะมีการจัดพิธีทางศาสนา และคึกครื้นไปด้วยการประดับประดาแสงไฟ ใครดชคดีมาเที่ยวช่วงนี้ก้จะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับความงามของแสงไฟ และได้เห็นพิธีทางศาสนากันแบบจัดเต็มเลย
วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple)
วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญทางศาสนาของสิงคโปร์ไปเรียบร้อยแล้ว เป็นวัดที่เราสามารถเดินต่อมาจากไชน่าทาวน์ได้เลย ซึ่งก๊อตแนะนำว่าเราควรมาไหว้ขอพรที่วัดมาก โดย วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth Relic Temple) นั้นเป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังของจีน ในส่วนของการออกแบบตัวอาคารได้แรงบันดาลใจจากพุทธมณฑล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในศาสนาพุทธและสื่อความหมายถึงจักรวาลสร้างเพื่อเป็นที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งทางวัดเค้าจะเก็บไว้ที่ชั้น 4 นั่นเอง
โดยพระเขี้ยวแก้วนี้ประดิษฐานอยู่ในสถูปเจดีย์ใหญ่ มีน้ำหนัก 3,500 กิโลกรัม และทำจากทองคำแท้หนัก 320 กิโลกรัม โดยทองคำ 234 กิโลกรัม ทั้งนี้ในส่วนของหอพระธาตุจะทางวัดเค้าอนุญาตให้เข้าได้เฉพาะพระภิกษุเท่านั้น แต่เราก็สามารถเข้าชมพระเขี้ยวแก้วได้เน้อ โดยเค้าจะจัดพื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยวเอาไว้ต่างหาก นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมทางพุทธศาสนาบนชั้น 3 ของวัด ซึ่งจัดแสดงพระพุทธรูปและสิ่งล้ำค่าต่างๆ ทางพุทธศาสนา เช่น พระบรมสารีริกธาตุ พระชิวหา ให้เราได้เข้ามาเดินชมด้วยนะ
แต่ที่ก๊อตชอบคือบริเวณงชั้นหนึ่ง เป็นชั้นที่สวยมาก รอบๆ กำแพงห้องโถงถูกตกแต่งแกะสลักสวยงาม มีพระพุทธรูปแบบจีนปางค์ต่างๆ ตั้งอยู่ บอกเลยว่าสวยมากจริงๆเน้อ ใครที่เป็นสายมู อย่างเติมแต้มบุญแนะนำว่าควรมา
Jewel Changi Canopy Park + Canopy Park
สุดท้ายก่อนบินกลับไทย ก๊อตจะพาไปเที่ยวที่สนามบินชางงี สนามบินของสิงคโปร์ที่ได้รับคัดเลือกว่าเป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกติดต่อกันยาวหลายปี ที่นี่จัดว่าเป็นสนามบินขนาดใหญ่ที่ภายในครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เดินทางก็ง่ายด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกันอย่างไม่สะดุด และล่าสุดกับอาคารที่ชื่อว่า Jewel Changi ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสุดล้ำ โดยเค้าทำให้เป็นทั้งศูนย์กลางทางการบิน ศูนย์การค้า และสถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ โดยไฮไลท์ของที่นี่ก็คือน้ำตก HSBC Rain Vortex น้ำตกในร่มขนาดยักษ์ใจกลางตึกกลาสเฮาส์ Jewel รวมถึงสวนในร่มสไตล์ทรอปิคอลที่เหมาะสำหรับการมาเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด
⚡️ ใครที่จะมาเที่ยว Jewel Changi เราสามารถเข้ามาเที่ยวได้โดยที่เราไม่ต้องมีตั๋วเครื่องบินนะ เพราะตึกเค้าตั้งแยกออกมาจากเทอร์มินอลสนามบิน โดยเป็นตึกกึ่งกลางระหว่างเทอร์มินอล 1 และ 3 แหละ สามารถมาเดินเล่นห้าง ชมน้ำตกได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเราจะไป Canopy Park ชั้นบนสุด อันนี้จะต้องเสียเงินค่าบัตรเข้าชมนะ
เอาล่ะ เรามาเริ่มด้วยไฮไลท์เด็ดของ Jewel Changi กันที่น้ำตก HSBC Rain Vortex น้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูงกว่า 40 เมตร ที่ดูแล้วโคตรอลังการ โดยตัวน้ำตกจะไหลตกลงมาจากรูกว้างของโดมกระจกชั้นบนลงสู่ชั้นล่างของห้าง ก่อนที่น้ำจะหมุนเวียนไหลกลับขึ้นไปและลงมาใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า น้ำตกนี้ใช้น้ำหมุนเวียนถึง 50,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งน้ำตกเค้าจะมีโชว์แสงสีกับน้ำตกให้เราได้ชมตอนกลางคืนด้วยนะ โดยวันจันทร-พฤหัส เค้าจะมีโชว์ไฟรอบ 20.00 น. และ 21.00 น. ส่วนรอบศุกร์-อาทิตย์ จะมีรอบ 22.00 น. เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งรอบแหละ


สำหรับคนที่อยากทำกิจกรรมอื่นๆ มากกว่าการแค่ช้อปปิ้งและดูน้ำตก เราสามารถเดินขึ้นมายังชั้นบนสุดของตึก Jewel Changi Airport ที่เค้าจะมีโซน Canopy Park หรือสวนในร่มตั้งอยู่ ซึ่งใครจะเข้ามาในโซนนี้จะต้องซื้อบัตรเข้าชมนะ โดยเค้าจะขายบัตรแยกเป็นกิจกรรมว่าเราอยากทำอะไร โดยมีตั้งแต่ Canopy Bridge, Hedge Maze, Mirror Maze, Bouncing Net และ Walking Net ซึ่งแต่ละกิจกรรมนั้น เค้าก็จะรวมบัตรเข้า Canopy Park เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตัวก๊อตเองนั้น ซื้อเป็นแบบ Bouncing Net + Free Canopy Park มาในราคาเพียง 521 บาท/คน เท่านั้น
ซื้อบัตรกิจกรรม Bouncing Net + Free Canopy Park กับ KLOOK คลิก




เอาล่ะ เรามาเริ่มเที่ยวกัน! เริ่มแรกที่เราย่างก้าวเข้ามาภายในของ Canopy Park นั้น จะเป็นทางเดินทอดยาวที่เต็มไปด้วยต้นไม้สไตล์ทรอปิคอลกว่า 2,000 ต้น และมีซุ้มกิจกรรมให้เราได้เข้าไปเยี่ยมชม อย่างจุดแรกคือ Topirary Walk ที่เราสามารถเดินเข้าไปในสวนที่เต็มไปด้วยรูปสัตว์น่ารักต่างๆ ที่เค้าจะเอามาตั้งหมุนเวียนสลับกันไป ท่ามกลางป่าเขียวๆ




นอกจากนี้เค้ายังมีโซน Foggy Bowls ที่เหมือนเป็นสนามหญ้าหมอกๆ ให้เหล่าเด็กเค้าสนุกด้วยการวิ่งเล่น และยังมี Discovery Slides สไลเดอร์ 4 ทิศทางที่น้องๆ หนูๆ จะต้องชอบ เพราะมันเป็นสไลด์เดอร์ขนาดใหญ่ที่น้องสามารถปีนขึ้นไปแล้วไถลลงมาได้อย่างสนุกสนานเลย



และที่ต้องบอกเลยคือ หากคนที่เสียบัตรเข้ามาในโซน Canopy Park เราสามารถเห็นและได้ดูน้ำตก HSBC Rain Vortex ในแบบฉบับของคนเสียเงินเท่านั้นด้วยนะเอ้อ ด้วยความโซนนี้ต้องเสียตังค์เข้ามา เราเลยจะได้ดูน้ำตกในมุมพิเศษที่อยู่สูงที่สุดของตึก Jewel Changi แล้ว โดยมุมที่ก๊อตชอบก็คือ ตรงลานทางเข้าของ Canopy Park และมุมบน Discovery Slides ซึ่งบอกเลยว่าโคตรสวย แถมสูงม๊ากก ยืนตรงนั้นก็คือขาสั่นเลยแหละ 55555
สุดท้าย เรามาจบกับกิจกรรมที่ก๊อตเสียเงินซื้อในครั้งนี้ก็คือ เจ้าสวนตาข่าย Bouncing Net ที่มีความยาวประมาณ 250 เมตร ที่ฟีลเหมือนแทมโพลีนยักษ์ แต่เป็นตาข่ายเชือกให้เราได้เดินวน กระโดดเล่นไปมา ท่ามกลางต้นไม้นานาพันธุ์ ให้ฟีลธรรมชาติโอบกอดเว่อร์ แต่จะบอกว่าแค่เดินเด้งดึ๋งๆ ลงไปตามทางของเค้านี่เล่นเอาหอบเหมือนกันนะ ได้เหงื่อเอาเรื่องเลยแหละ โดยรวมถือว่าสนุกและแนะนำเลย
สรุปแล้ว ก๊อตขอยกให้เค้าเป็นสนามบินที่โคตรของโคตรดีเลย ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เดินทางเชื่อมต่อจากตัวเมืองมายังสนามบินก็ง่ายดาย แถมยังมีห้างที่เต็มไปด้วยสวนสีเขียวและน้ำตกขนาดใหญ่ให้ผู้คนได้มาพักผ่อน ใครที่เพิ่งแลนด์ดิ้ง กำลังจะบินกลับไทย หรือแวะมาเปลี่ยนเครื่องนานๆ นี่ไม่ต้องกลัวเลยนะว่าจะไม่มีอะไรทำ เพราะเค้ามีอะไรหลายอย่างให้เราได้ทำเพียบเล้ย
โรงแรมและที่พักในสิงคโปร์
Village Hotel Bugis
ทริปสิงคโปร์รอบนี้เรามาพักกันที่ Village Hotel Bugis ในย่านบูกิต (Bugis) หนึ่งในย่านที่ก๊อตว่าเดินทางสะดวก ใกล้กับรถไฟถึง 2 สาย คือ สายดาวน์ทาวน์ (DTL) ที่เราสามารถนั่งไปมารีน่า เบย์ แซนด์ส (Marina Bay Sands) และอีกสายคือ East -West Line นอกจากนี้โรงแรมยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่เที่ยวฮิตหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น Bugis Junction Bugis Street, ห้าง OG Albert, วัดกวนอิมตงฮุดโช (The Kwan Im Thong Hood Cho Temple) และ บันไดวนสุดเก๋ (Spiral Staircases)
โดยก๊อตจองห้องพักมาในราคาประมาณ 4,000 บาทต่อคืน ถือเป็นราคากลางๆ ที่พอรับได้ ซึ่งห้องที่เราได้นั้นกว้างมากถ้าเทียบกับขนาดห้องพักของโรงแรมอื่นๆ ที่อยู่ในระดับราคาเดียวกัน ภายในมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ทีวี LCD ไดร์เป่าผม เตารีด แถมฟรี Wi-Fi ในห้อง นอกจากนี้ยังมีบริการซักรีด สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ห้องฟิตเนส และอาหารเช้าให้ได้กินอีกด้วย





โดยรวมแล้วก๊อตว่า Village Hotel Bugis เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ก๊อตว่ามันคุ้มค่ากับราคาที่เราจ่ายไป ด้วยความที่ห้องพักเค้ากว้างมาก มีพื้นที่ใช้งานเยอะ ถ้าเทียบกับโรงแรมอื่นๆ ในราคาเท่านี้ เรียกได้ว่าเราไม่ได้ห้องพักที่ใหญ่เบอร์นี้แน่นอน ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน แบบมีให้ครบ ส่วนเรื่องของอาหารเช้าก๊อตว่ามันโอเคในระดับหนึ่ง เราสามารถฝากท้องกับทางโรงแรมได้ และที่ประทับใจสุดคือเรื่องของโลเคชั่นที่สะดวกโคตร อยู่ใกล้ที่เที่ยวฮิต มีห้างสรรพสินค้ารายล้อม แถมยังเดินทางสะดวกเพราะมีรถไฟให้นั่งได้ถึง 2 สาย ใครมาเที่ยวสิงคโปร์และกำลังมองหาโรงแรม ก๊อตแนะนำ Village Hotel Bugis เลยย
สรุปการเที่ยวสิงคโปร์
ทั้งหมดนี้คือเที่ยวสิงคโปร์ ฉบับอัพเดทปี 2022 ที่ก๊อตบอกเลยว่า เที่ยว 6 วันยังไงก็ไม่ครบ! คือสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีที่เที่ยวเยอะมากกกก เป็นหนึ่งในประเทศที่ก๊อตไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ ก๊อตรักในความเป็นประเทศใหม่ แต่ใส่ใจเรื่องธรรมชาติเป็นที่หนึ่ง เห็นได้จากการถมทะเลเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และพื้นที่สาธารณะให้คนบ้านเค้ามีพื้นที่ได้มาใช้งานร่วมกัน มันแสดงให้เห็นว่าเค้าให้ความสำคัญกับคนบ้านเค้ามาก แถมสถานที่เที่ยวแต่ละที่ก็ฮิตแบบบางอันดังไกลระดับโลกเลยนะ และแทบทุกที่เราสามารถเดินเชื่อมกันได้หมดเลยเว้ย แต่ถ้าต้องนั่งขนส่งสาธารณะก็ไม่ต้องกังวล เพราะเดินทางง่าย สะดวกโคตร มีบัตรใบเดียวก็คือขึ้น-ลงได้หมด จะทางบก ทางน้ำ ยกให้เป็นประเทศที่เที่ยวสนุก เรียกได้ว่าสนุกมากเลย ครบทุกรสของการมาเที่ยวต่างประเทศ และนี่ต้องกลับมาซ้ำอีกแน่นอน เพราะ 6 วันมานี้ มันเที่ยวไม่พอจริงๆ
รีวิวและบทความเกี่ยวกับเที่ยวสิงคโปร์ยังไม่หมด คลิกอ่านต่อได้เลย!
1. รีวิว สิงคโปร์ (ปี 2022)
2. รีวิว สิงคโปร์ (ปี 2018)
3. กิจกรรมและที่เที่ยวสิงคโปร์ห้ามพลาด! (ปี 2022)
4. รีวิว Universal Studios Singapore (ปี 2022)
5. 8 โรงแรมคูลๆ แนะนำในสิงคโปร์
6. Jurassic World Staycation, Hard Rock Hotel Singapore