สิงคโปร์ (Singapore) อีกหนึ่งประเทศยอดฮิตที่นั่งเครื่องบินจากบ้านเราไปเพียง 2 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว แม้ว่าจะเป็นประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็กที่สุดในอาเซียน แต่ สิงคโปร์ (Singapore) ถือเป็นจุดหมายปลายทางสุดป๊อบของคนไทยเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากสถานที่เที่ยวครบครันทั้งเมืองเก่า เมืองใหม่ ไปจนถึงสวนสนุกแล้ว เหล่าขนส่งสาธารณะที่ สิงคโปร์ (Singapore) ยังสะดวกสบายง่ายต่อการเดินทางเที่ยวอีกด้วย
โดยรีวิวนี้ก๊อตมีสถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมห้ามพลาดใน สิงคโปร์ (Singapore) มาแนะนำให้ทุกคนได้มาตามรอยกันแบบจัดเต็ม กับ 3 สาย 3 สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น ‘สายแอดเวนเจอร์’ กับกิจกรรมหวาดเสียวสุดมันส์ ไปจนถึงเดินส่องสัตว์กันแบบจัดเต็ม หรือจะเป็น ‘สายสำรวจเมือง’ ตอบโจทย์คนที่ชอบเดินเที่ยวสำรวจเมือง หลงใหลในสถาปัตยกรรม และชอบเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น และสุดท้ายกับ ‘สายฟู้ดดี้’ ที่จะออกไปตามล่ากินอาหารสตรีทฟู้ดอันเลื่องชื่อกันแบบพุงกาง เอาล่ะ ใครจะเป็นสายไหนกันบ้าง แต่ละกิจกรรมที่ก๊อตเอามาฝากจะม่วนจอยขนาดไหน มาหาคำตอบไปด้วยกันเร้วว
สถานที่และกิจกรรมในสิงคโปร์ (Singapore) สำหรับสายแอดเวนเจอร์ สำรวจเมือง และฟู้ดดี้
สายแอดเวนเจอร์
- Mandai Wildlife Reserve
- สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo)
- สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise)
- กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa
สายสำรวจเมือง
สายฟู้ดดี้
สำหรับคนที่อยากมาทำกิจกรรม จะสายแอดเวนเจอร์ สายสำรวจเมือง หรือสายฟู้ดดี้ แล้วไม่อยากเสียเวลามาจองตั๋วหน้างาน สามารถจองตั๋วทุกกิจกรรมผ่าน Klook มาก่อนได้เลย หรือจะเข้าไปส่องรายละเอียดโปรโมชันอื่นๆ ที่ Klook เค้าก็มีให้เลือกเพียบ คลิกดูรายละเอียดที่นี่เลย
เริ่มเที่ยวสิงคโปร์ กับสายแอดเวนเจอร์
Mandai Wildlife Reserve
มาเริ่มกันที่กิจกรรมเอาใจสายแอดเวนเจอร์ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าใน สิงคโปร์ (Singapore) นั้น มีกิจกรรมและสถานที่เที่ยวแนวแอดเวนเจอร์เยอะมาก ทั้งกิจกรรมดูสัตว์ ส่องนกใน สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo) และ สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) ที่ใครเป็นคนชอบส่องสัตว์ และอยากมาให้อาหารสัตว์แบบใกล้ชิด ท่ามกลางธรรมชาติที่เหมือนเราได้หลุดเข้าไปในผืนป่าคือต้องมาลอง โดยทั้งสองที่นี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ Mandai Wildlife Reserve ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกพัฒนาให้เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่าขนาดใหญ่ของสิงคโปร์ ภายในแบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo), สวนสัตว์ริเวอร์วันเดอร์ส (River Wonders) (เดิมชื่อ River Safari), สิงคโปร์ไนท์ ซาฟารี (Singapore Night Safari), สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) (เดิมชื่อ Jurong Bird Park) และ Rainforest Wild Park โดยทั้งหมดนั้นอยู่ในพื้นที่ติดๆ กัน ที่เรียกว่า Mandai Wildlife Reserve นั่นเอง
สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo)
สำหรับที่แรกใน Mandai Wildlife Reserve ที่ก๊อตพาทุกคนมาเลยจะเป็น สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo) สวนสัตว์ประจำชาติของสิงคโปร์ ที่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ.1973 ภายใต้แนวคิดของสวนสัตว์แบบระบบเปิด ด้วยการจำลองที่อยู่อาศัยให้เหมือนสภาพแวดล้อมที่สัตว์แต่ละสายพันธุ์อาศัยอยู่จริงๆ นำมาสู่ 12 โซน ที่เราจะได้เข้ามาเป็นนักผจญภัยไปบนผืนป่า พร้อมกับเหล่าสัตว์กว่า 4,200 ตัว
ซึ่งโซนที่ห้ามพลาดเลยก็คือ โซน Australasia ที่เราจะได้เห็นจิงโจ้สีเทาและวอลลาบีจากออสเตรเลีย รวมถึงยังจิงโจ้จากปาปัวนิวกินีแบบตัวจริงเสียงจริง หรือจะเป็นโซน RepTopia ที่เต็มไปด้วยสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์เลื้อยคลานกว่า 60 สายพันธุ์ ใครชอบงูก๊อตบอกเลยว่ามาโซนนี้คือได้ส่องกันแบบจุใจ ยังไม่หมดเท่านั้น เค้ายังมีโซน Orangutan Island & Boardwalk ซึ่งเป็นพื้นที่เกาะกว้างๆ ที่จำลองขึ้นมา โดยให้ลิงอุรังอุตังอาศัยอยู่ในนั้น เสมือนว่าพวกมันได้อยู่บนเกาะกันจริงๆ แบบนั้นเลย คือถ้าใครเป็นสายผจญภัย มา สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo) ก๊อตบอกเลยว่าได้ผจญภัยไปกับฝูงสัตว์มากมายแน่นอน
อีกโซนที่น่ารักไม้แพ้กันคือ Tortoise Shell-ter ที่เต็มไปด้วยเต่าสายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งมาแล้วทุกคนจะได้เห็นเต่ายักษ์อัลดาบร้า (Aldabra giant tortoise) หนึ่งในสายพันธุ์เต่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างตัวที่ก๊อตไปเจอมา น้องหนักถึง 300 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีอายุยืนกว่า 150 ปี อีกด้วย
ส่วนใครอยากฟูลฟีลกับการผจญภัยในสวนสัตว์ พร้อมทั้งได้ใกล้ชิดเหล่าสัตว์ต่างๆ ตรงโซน Orangutan Island & Boardwalk ที่เราส่องน้องลิงอุรังอุตังนั้น ยังมีร้านอาหารไอเดียเก๋กู้ดที่มาพร้อมกับโปรแกรม Breakfast in the Wild at Singapore Zoo ซึ่งจะเป็นการมานั่งกินบุฟเฟ่ท่ามกลางป่าดิบชื้นของสวนสัตว์ โดยความเริ่ดมันอยู่ที่พอกินข้าวเสร็จ เจ้าหน้าที่เค้าจะมาเล่าเรื่องสัตว์ต่างๆ ในสวนสัตว์แห่งนี้ให้เราฟัง มากไปกว่านั้น ยังเอาน้องๆ มาโชว์ตัวให้เราได้เซลฟี่ และถ่ายภาพบรรยากาศแบบใกล้ชิดอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมน่ารักๆ ที่ไม่อยากให้พลาดกันเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือ สวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo) ที่ใครเป็นเหล่านักวางแผนผจญภัย แล้วอยากออกเดินทางไปพร้อมๆ กับสัตว์น้อยใหญ่ ต้องมาเยือนเมื่อมาเที่ยวที่ สิงคโปร์ (Singapore) นั่นเอง
ซื้อบัตรสวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo)
สำหรับช่องทางการซื้อ บัตรสวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo) แนะนำให้เราซื้อจาก Klook ได้เลย โดยซื้อบัตรแล้ว เราจะได้รับการยืนยันทันที เมื่อถึงวันไปสามารถเอาคิวอาร์โค้ดไปสแกนหน้าประตูได้เลย สำหรับสวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo) นั้นจะต้องทำการจองล่วงหน้ามาก่อน ซึ่งบัตรเค้าจะมีด้วยกันหลายแพ็กเกจ คือ
- บัตรเข้าชมพร้อมโดยสารรถราง (ราคาเริ่มต้น 1,241 บาท)
- บัตรแบบคอมโบเที่ยวได้หลายสวนใน Mandai Wildlife Reserve (ราคาเริ่มต้น 2,030 บาท)
- บัตรทำกิจกรรมและกินอาหารในสวนสัตว์ (ราคาเริ่มต้น 1,165 บาท)
*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
🎫 เช็คราคาและซื้อบัตรสวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo) [ซื้อผ่าน Klook]
สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise)
นอกจากสวนสัตว์สิงคโปร์ (Singapore Zoo) ที่มีสัตว์ให้เราส่องกันจนหนำใจแล้ว อีกหนึ่งสถานที่เปิดใหม่ล่าสุดที่ต้องมาใน Mandai Wildlife Reserve เลยก็คือ สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) ใครที่เป็นสายส่องนก แล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาส่องนกสายพันธุ์ต่างๆ ตั้งแต่นกท้องถิ่นในเอเชีย ไล่ยาวไปจนถึงนกจากทั่วโลก มันไม่มีที่ไหนตอบโจทย์เราเท่า สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) อีกแล้ว โดยที่นี่เป็นสวนนกที่เค้าว่ากันว่ามีนกอาศัยอยู่กว่า 3,500 ตัวจากทั้งหมด 400 สายพันธุ์ ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากทั่วทุกมุมโลก ใครที่ชอบส่องนกอยู่แล้ว สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) ไม่ต่างจากสวรรค์เลยล่ะ
สำหรับ สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) เรียกว่าเป็นสวนนกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียเลยก็ว่าได้ โดยเค้ายังอยู่ในพื้นที่ของ Mandai Wildlife Reserve ภายในสวนนกถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 กรง ซึ่งในแต่ละกรง เค้าก็จะจำลองสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้ใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัยจริงของนกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเหล่าต้นไม้ ลำธาร และอากาศ คือทุกอย่างถูกเตรียมการขึ้นมาให้เหมือนกับถิ่นฐานจริงๆ ของนกแต่ละสายพันธุ์เลย
โดยโซนที่ต้องมาดูเลยก็คือ โซน Amazonian Jewels โซนสำหรับนกในเขตร้อนซึ่งมีการปลูกพื้ชและต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากป่าฝนของอเมริกาใต้ อย่างนกที่เป็นไฮไลท์เลย คือ นกแก้วสีทอง นกทูคาเน็ตสีเหลืองนั่นเอง
ไฮไลท์ของ สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) เลยก็คือ Nyungwe Forest Heart Of Africa ที่เค้าจำลองหุบเขาที่ปกคลุมด้วยผืนป่าในทวีปแอฟริกา ข้างในเป็นที่อยู่อาศัยของนกกว่า 80 สายพันธุ์ ซึ่งที่ต้องมาเก็บภาพเลยจะเป็น นกฟลามิงโก้เล็ก (Lesser Flamingo) สีขาวอมชมพูสุดน่ารัก ที่มีให้ได้มองดูกันแบบละลานตาเลย
นอกจากโซนที่ก๊อตเล่าให้ฟังแล้ว ใน สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) ยังมีโซนอื่นๆ อีกเยอะมาก รวมถึงยังมีโซน Ocean Network Express Penguin Cove ที่เค้าจำลองธารน้ำแข็งจากมหาสมุทรแอตแลนด์ติกมาไว้ในแทงค์ขนาดใหญ่ ให้เหล่าเพนกวินถึง 4 สานพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น King penguin, Gentoo Penguin, Northern rockhopper penguin และ Humboldt penguin ได้มาว่ายน้ำโฉบเฉี่ยวให้เราดูกันแบบเพลินตา ใครที่อยากมาดูนก ส่องสัตว์แนะนำให้มาที่ สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) ได้เลย มาแล้วอยู่เที่ยวกันได้ยาวๆ
ซื้อบัตรสวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise)
สำหรับช่องทางการซื้อบัตรเข้า สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) แนะนำให้ซื้อผ่าน Klook ได้เลย โดยจะต้องทำการจองล่วงหน้ามาก่อน 1 วัน และหลังจากซื้อบัตรแล้ว เราจะได้รับการยืนยันทันที เมื่อถึงวันไปสามารถเอาคิวอาร์โค้ดไปสแกนหน้าประตูได้เลย โดยบัตรจะมีด้วยกันหลายแพ็กเกจ คือ
- บัตรเข้าชมอย่างเดียว (ราคาเริ่มต้น 1,244 บาท) บัตรเข้าชมรวมอาหารในสวนนก (ราคาเริ่มต้น 909 บาท)
- บัตรแบบคอมโบเที่ยวได้หลายสวนใน Mandai Wildlife Reserve (ราคาเริ่มต้น 2,030 บาท)
- บัตรทำกิจกรรมและกินอาหารในสวนนก (ราคาเริ่มต้น 1,743 บาท)
*ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
🎫 เช็คราคาและซื้อบัตร สวนนกเบิร์ดพาราไดซ์ (Bird Paradise) [ซื้อผ่าน Klook]
กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa
สำหรับสายแอดเวนเจอร์ที่อยากทำกิจกรรมแบบเต็มสตรีมปลุกอะดรีนาลีนในร่างกายให้พุ่งปรี๊ดไปกับการเหินฟ้าท้ามฤตยู ที่ สิงคโปร์ (Singapore) มีกิจกรรมแนวแอดเวนเจอร์เยอะมาก ซึ่งอีกหนึ่งอย่างที่ต้องมาลองเลยก็คือ การ กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa ท่ามกลางวิวทะเลสวยๆ ของสิงคโปร์ (Singapore) ที่นอกจากจะได้มากระโดดบันจี้จัมพ์ปล่อยพลังกันสุดฤทธิ์แล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้เราได้เลือกเล่นเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Skybridge ทางเดินลอยฟ้ายาวกว่า 50 เมตร หรือจะเป็น GiantSwing เครื่องเล่นที่มัดตัวเราเอาไว้ในแนวนอนแล้วพาบินแกว่งไปมาเข้าหาชายหาดด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. ซึ่งใครอยากลองเล่นอันไหนสามารถเลือกได้ตามชอบเลย
สำหรับการ กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa เค้ามีหลายแพ็คเกจให้เราเลือกลองเลย ไม่ว่าจะเป็นกระโดดลงไปแบบหัวจุ่มสระ หรือไม่จุ่มสระ รวมไปถึงยังมีให้กระโดดเดี่ยว หรือจะเล่นเป็นคู่ที่เค้าเรียกกันว่า ‘Tandem Bungy Jump’ ก็ได้ ความเริ่ดคือ กระโดดบันจี้จัมพ์คู่ของที่นี่ ถือเป็นที่แรกในเอเชีย และเป็นที่เดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการกระโดดบันจี้จัมพ์เป็นคู่อีกด้วย
โดยแพ็คเกจในการกระโดดบันจี้จัมพ์กับทาง Skypark Sentosa จะมีให้เลือกกันเยอะมาก แต่ที่แนะนำเลยจะเป็นการกระโดดคู่แบบ Tandem Bungy Jump ที่ใครมากับเพื่อนหรือแฟน แล้วอยากลองมากระโดดบันจี้จัมพ์สักครั้งในชีวิต แต่ยังไม่กล้าเล่นคนเดียวขนาดนั้น แพ็คเกจนี้คือตอบโจทย์สุดๆ แล้ว โดยการกระโดดบันจี้จัมพ์นั้น เราจะต้องขึ้นไปยังชั้น 17 และกระโดดลอยตัวละลิ่วลงมาสู่พื้นด้านล่าง ซึ่งนาทีตอนกระโดดบอกได้คำเดียวเลยว่าหวาดเสียวมาก แต่พอลงมาสักพักแล้ว ความรู้สึกสนุกมันเข้ามาแทนที่ อย่างก๊อตเอง นี่ถือเป็นการกระโดดครั้งแรกที่ถือว่าโอเคมากๆ เลย ใครที่อยากลองกระโดดบันจี้จัมพ์ครั้งแรกแนะนำให้มาที่นี่ได้เลย เพราะเราจะได้กระโดดลงไปท่ามกลางวิวทะเลสวยๆ ของสิงคโปร์ โดยรวมมู้ดมันดีย์งามมาก ประทับใจสุดๆ สักครั้งในชีวิตอยากให้ทุกคนได้ลองกัน
ซื้อบัตรกระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa
สำหรับช่องทางการซื้อบัตรกระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa แนะนำให้ซื้อผ่าน Klook ได้เลย ซึ่งตอนซื้อเราจะต้องระบุวันที่และเวลาที่จะมาให้เรียบร้อย หลังได้รับการยืนยันแล้ว Klook จะส่งคิวอาร์โค้ดมาให้ เราสามารถเอาไปสแกนที่เคาท์เตอร์ของ Skypark Sentosa ได้ทันที ซึ่งบัตรจะมีด้วยกันหลายแพ็กเกจ คือ
- บัตรกระโดดบันจจี้จัมพ์แบบคนเดียว (ราคา 2,512 บาท)
- บัตรกระโดดบันจี้จัมพ์แบบ 2 คน (ราคา 5,074 บาท)
- บัตรกระโดดบันจี้จัมพ์ พ่วงมาด้วยสะพานลอยฟ้า และอาหาร (ราคา 2,639 บาท)
* ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
🎫 เช็คราคาและซื้อบัตร กระโดดบันจี้จัมพ์ที่ Skypark Sentosa [ซื้อผ่าน Klook]
สายสำรวจเมือง
ถนนค็องเซค (Keong Saik Road)
เปลี่ยนบรรยากาศพาสายสำรวจเมืองไปเดินเล่นย่านโคมแดงบน ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) กันต่อ โดยที่นี่เป็นอีกหนึ่งย่านเก่าแก่ของสิงคโปร์ (Singapore) ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเป็นมาของผู้คนในช่วงทศวรรษ 1970 ซึ่งชื่อของ ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) ถูกตั้งตาม Tan Keong Saik นักธุรกิจชาวจีนที่มาทำการค้าขายอยู่ในสิงคโปร์ (Singapore) ยุคแรกๆ ก่อนที่ในช่วงทศวรรษ 1970 จะแปรเปลี่ยนมาเป็นย่านโคมแดงสุดคึกคัก เต็มไปด้วยสถานบันเทิง และที่โด่งดังเลย จะเป็นกลุ่มผู้หญิงชายขอบที่ถูกมองข้ามในยุคสมัยนั้น อย่าง Ma Je หญิงจากกว้างตุ้งที่มาทำงานเป็นแม่บ้านเพื่อกาเงินส่งกลับไปให้ครอบครัว มีเป้าหมายที่จะไม่แต่งงาน, Pei Pa Zai นักร้องที่คอยให้ความบันเทิงแก่แขก และ Dai Gu Liong หญิงขายบริการ ซึ่งผู้หญิงเหล่านี้ แม้จะไม่มีคนเหลียวแล แต่ในยุคสมัยนั้นกลับเป็นกลุ่มผู้หญิงที่มีความสำคัญต่อย่านแห่งนี้ เพราะมีส่วนช่วยทำให้ย่านเจริญขึ้นมาได้นั่นเอง
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
หลังจากเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) ก็ถูกพัฒนาต่อมาจนปัจจุบันนี้กลายมาเป็นเหมือนย่านเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยร้านค้างานฝีมือ ร้านขายผลงานของเหล่าศิลปิน ไปจนถึงบาร์และร้านอาหารอีกมากมาย ซึ่ง ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) เป็นถนนสายสั้นๆ ที่ไม่ได้ยาวอะไรมาก แต่ที่คนเค้านิยมมาเลย เพราะอาคารต่างๆ ที่อยู่ในถนนสายนี้ต่างเป็นอาคารเก่าแก่ที่ถูกอนุรักษ์ดูแลเอาไว้เป็นอย่างดี ผู้คนเลยมักมาเดินสำรวจและชมความงามของอาคาร และตึกต่างๆ อย่างตึกที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็คือ Potato Head Singapore ตึกที่ตั้งอยู่ใจกลางแยก โดดเด่นด้วยตัวอาคารสีขาวตัดแดง ด้านในเปิดเป็นร้านอาหาร และบาร์ บรรยากาศรอบๆ เลยจะครึกครื้นเป็นพิเศษ โดยที่นี่เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คของย่านที่คนเค้านิยมมาถ่ายรูปกันเลย
นอกจากนี้ ใน ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) ยังเป็นที่ตั้งของวัดฮินดูชื่อดังอย่าง วัดลายัน สิทธิ วินายกะ (Sri Layan Sithi Vinayagar Temple) ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1925 เพื่อสักการะบูชาพระพิฆเนศ เทพเจ้าในศาสนาฮินดู ที่คนเค้ามีความเชื่อว่าจะประทานพรในเรื่องของการเรียนรู้และปัดเป่าอุปสรรคสิ่งไม่ดีออกไปจากชึวิต ทำให้ที่วัดแห่งนี้มีผู้คนมาสักการะขอพรกันอยู่ตลอด ใครที่อยากชมความงามของสถาปัตยกรรมสไตล์ฮินดู พร้อมทั้งได้มาขอพรกับพระพิฆเนศ สามารถมาที่วัด วัดลายัน สิทธิ วินายกะ (Sri Layan Sithi Vinayagar Temple) ได้เลย
สำหรับคนที่อยากมาเดินเที่ยวใน ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเดินจากจุดไหน หรืออยากเดินเที่ยวให้เข้าใจถึงประวัติความเป็นมาของย่านแห่งนี้มากขึ้น ก๊อตแนะนำมาเที่ยวกับทัวร์จะดีที่สุด โดยจะเป็นทัวร์จาก Klook ที่เค้าจะพาเราไปเดินเที่ยวตาม ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) ผ่านอาคารและวัดที่ก๊อตเพิ่งเล่าไปด้านบน พร้อมกับไกด์แบบเสียงในแอป ที่มีมีการบรรยายถึงสถานที่ต่างๆ ของย่านแห่งนี้ จากเรื่องราวของชาร์เมน เหลียง (Charmaine Leung) ผู้เขียนหนังสือ 17A Keong Saik Road ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเติบโตขึ้นมามาท่ามกลางถนนค็องเซค (Keong Saik Road) ในฐานะลูกสาวของเจ้าของซ่อง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็จะเล่าถึงผู้หญิง 3 กลุ่มอย่าง Ma Je, Pei Pa Zai และ Dai Gu Liong อยู่ด้วย
โดยทัวร์จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ถือเป็นอีกกิจกรรมอย่างหนึ่งที่นอกจากจะได้สำรวจเมืองแบบกว้างมากขึ้นแล้ว ยังได้เรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเค้าอีกด้วย ใครที่อยากเป็นนักสำรวจเมืองแบบนี้ ก๊อตอยากให้ลองจองทัวร์มากันดู รับรองว่าได้ทั้งความรู้และความสนุกกลับกันไปแน่นอน
ซื้อทัวร์ ถนนค็องเซค (Keong Saik Road)
ใครที่สนใจซื้อทัวร์ ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) จาก Klook เค้ามาพร้อม Self-audio guide ราคาปกติอยู่ที่ 634 บาท แต่ตอนนี้เค้ามีโปรโมชันลดราคา 50% เหลือเพียง 317 บาทเท่านั้น ซึ่งเราสามารถซื้อผ่านหน้าเว็บได้เลย โดยจะได้รับคิวอาร์โค้ดมา จากนั้นให้นำไปสแกนที่หน้างาน พร้อมรับเครื่องบรรยายเสียง *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
🎫 เช็คราคาและซื้อทัวร์ ถนนค็องเซค (Keong Saik Road) [ซื้อผ่าน Klook]
พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore)
อีกหนึ่งสถานที่ที่ก๊อตอยากชวนสายสำรวจเมืองทุกคนมาเลยก็คือ พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore) ซึ่งเป็นบังเกอร์ใต้ดินของอังกฤษ ที่สร้างกันมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1936 มีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการป้องกันระเบิด ปกป้องบุคลากรและยุทโธปกรณ์ทางทหารระหว่างการโจมตีทางอากาศในช่วงสมัยนั้นอีกด้วย คนที่ชื่นชอบเรื่องประวัติศาสตร์และสงครามโลก รวมถึงอยากรู้อยากเห็นว่าในสมัยนั้น เบื้องหลังของสงครามเหล่าทหารเขาวางแผนกลยุทธต่างๆ ในสถานที่แบบใด มาที่ พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore) ก๊อตบอกเลยว่าจะต้องชอบกันแน่นอน เพราะที่นี่มีคำตอบเหล่านั้นเอาไว้ให้สายสำรวจเมืองได้เข้ามาส่องกันแบบทุกซอกทุกมุม
ซึ่งเรื่องราวความเป็นมาของ พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore) มันเริ่มมาจากที่อังกฤษยอมจำนนต่อญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1942 ซึ่งหลังจากการยึดครองของญี่ปุ่น (1942-1945) บังเกอร์ใต้ดินแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไป จนมีการค้นพบอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 1980 และได้ทำการบูรณะปรับปรุงก่อนจะเปิดให้ผู้คนเข้าชมบางส่วนในช่วงทศวรรษ 1990 ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ที่นี่ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ก่อนจะกลับมาเปิดอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 2016 ในฐานะ พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore) พร้อมกับทำหน้าที่เป็นอนุสรณ์สถานประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามของสิงคโปร์ รวมถึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่คอยเตือนใจให้ผู้คนได้นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่หล่อหลอมกันมาจนกลายมาเป็น สิงคโปร์ (Singapore) อย่างปัจจุบันนี้นั่นเอง
สำหรับ พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore) จะมีอยู่ด้วยกัน 13 ห้อง รูทการเดินก็จะเป็นเส้นทางออกสำรวจไปในแต่ละห้อง ภายในยังคงมีอุปกรณ์สื่อสาร เครื่องไม้เครื่องมือที่เค้าใช้จริงในช่วงสมัยนั้นจัดแสดงอยู่ อย่างที่เป็นไฮไลท์เลย คือการทำหุ่นทหารขนาดเท่าตัวคนจริงๆ ขึ้นมา ซึ่งแต่ละตัวก็จะอยู่ในท่าทางและกิจกรรมที่ต่างกันออกไป ซึ่งจะทำให้คนที่มาเยือนจินตนาการเห็นภาพที่เกิดขึ้นจริงในยุคนั้นได้มากขึ้น ยังไม่หมดเท่านั้น นอกจากสารพัดข้าวของแล้ว เค้ายังมี พวกภาพถ่าย รวมถึงภาพความเสียหายของสิงคโปร์ในช่วงสงครามให้ได้ดูเพื่อเตือนใจกันอีกด้วย
โดยรวมแล้วเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดีงามมาก ใครที่ชอบเรื่องราวของสงครามโลก มาที่นี่ก๊อตคิดว่าน่าจะว้าวและตื่นตาตื่นใจแบบทุกตารางเมตรที่เดินสำรวจอยู่ในนั้นแน่นอน มันแบบเปิดโลกเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ของก๊อตได้กว้างขึ้นมาก อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสกันจริงๆ
ซื้อบัตร พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore) ผ่าน Klook
สำหรับช่องทางการซื้อบัตร พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore) จาก Klook หลักๆ จะมีอยู่ 2 แพ็กเกจ คือ
- บัตรเข้าชมที่มาพร้อมเครื่องช่วยบรรยาย และสิทธิ์เข้าชมห้องฉายภาพเสมือนจริงแบบ 270 องศา ราคา 507 บาท
- บัตรเข้าชมที่พ่วงการเล่นกิจกรรม และเกมเพื่อลุ้นรับของรางวัล ราคา 964 บาท *ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
🎫 เช็คราคาและซื้อบัตร พิพิธภัณฑ์แบทเทิลบ็อกซ์ในสิงคโปร์ (Battlebox Singapore) [ซื้อผ่าน Klook]
สายฟู้ดดี้
ตะลุยกินใน Chinatown Complex Market and Food Centre
ปิดท้ายกันด้วยการเอาใจสายฟู้ดดี้ รักในการกินอาหาร อีกหนึ่งสถานที่ที่รวมเอาร้านสตรีทฟู้ดสุดอร่อยของ สิงคโปร์ (Singapore) มามัดรวมไว้ให้เราได้กินในที่เดียวเลยก็คือ Chinatown Complex Market and Food Centre ที่ตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ ใครอยากลองอาหารสตรีทฟู้ดร้านเด็ดร้านปังพุ่งตัวมาที่นี่ได้เลย ซึ่งความเริ่ดของสตรีทฟู้ดสิงคโปร์ (Singapore) คือเค้าเป็นประเทศแรกที่ได้รับการยอมรับจาก UNESCO มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 ให้เป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ดังนั้น จึงมั่นใจได้เลยว่ามาแล้วจะได้กินของอร่อยๆ แน่นอน
Chinatown Complex Market and Food Centre ถือเป็นศูนย์อาหารแผงลอยที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ในปัจจุบันเลย บรรยากาศภายในให้ฟีลเหมือนเราอยู่ในโรงอาหารสมัยเด็กๆ ที่รอบๆ เต็มไปด้วยร้านขายอาหารตั้งแผงเรียงรายกันเป็นตับ โดยเค้ามีร้านอาหารแผงลอยมากกว่า 260 ร้าน ที่ขายอาหารสิงคโปร์แท้ๆ ในราคาไม่แพง อย่างร้านที่ต้องมากินเลยก็คือ ร้าน Ming Fa Fishball ร้านบะหมี่เก่าแก่ที่เปิดกันมากว่า 80 ปี โด่งดังในเรื่องเส้นที่นุ่ม น้ำซุปกลมกล่อม และลูกชิ้นปลาทำเอง นอกจากนี้ยังมีร้าน Hakka Hatch & Yong Tau Foo ที่ใครอยากลิ้มรสฮากกาแบบออริจิ รวมถึงได้กินหย่งเต่าฝู่ (Yong Tau Foo) ที่เป็นต้นตำรับของเย็นตาโฟ บอกเลยว่าห้ามพลาดร้านนี้
ยังไม่หมดเท่านั้น อีกร้านที่แนะนำเลยคือ Ann Chin Popiah ที่การันตีความอร่อยด้วยรางวัล Michelin’s Plate ในปี ค.ศ. 2018 กับเมนูปอเปี๊ยะทำมือแบบเก่าแก่ ที่เปิดกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1958 ซึ่งเค้าจะทำและทอดให้เราได้กินแบบสดใหม่ทุกวัน แต่ถ้าใครอยากกินฟีลข้าวแกง มาลองร้าน Nasi Padang Mamifita ข้าวแกงที่มีต้นตำรับมาจากอินโดนีเซีย ซึ่งที่ร้านเค้าก็มีให้เราเลือกกินหลากหลายเมนูเลย นอกจากที่ Chinatown Complex Market and Food Centre ยังมีร้านอื่นๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Hawker Chan ที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ ขึ้นชื่อในเรื่องของข้าวมันไก่ที่เนื้อนุ่มละมุน และหมี่ผัดซีอิ๊วรสชาติกลมกล่อมที่ปรุงด้วยซีอิ๊วสูตรเข้มข้น หรือใครที่อยากกินข้าวหม้อดินแบบออริจิ ที่ร้าน Lian He Ben Ji บอกเลยว่าห้ามพลาด เพราะข้าวของที่นี่ถูกหุงในหม้อดินแบบดั้งเดิม ท็อปด้านบนมาด้วยไส้กรอก ปลาเค็ม และไก่หมักสุดอร่อย ส่วนใครที่เป็นสายเส้น แนะนำเป็นร้าน Zhao Ji ที่ขายทั้งบะหมี่หมูและกุ้งเสิร์ฟมาในน้ำซุปเข้มข้นรสกลมกล่อม นอกจากนี้พวก บักกุ๊ดเต๋ (Buk Kut Teh), หมี่ผัด (Char Kway Teow), ติ่มซำ (Dim Sum), ปอเปี๊ยะ (Popiah), อายัมเปนเยค (Ayam Penyet) ไปจนถึงของหวานก็มีให้ได้ลิ้มลองกันแบบหนำใจเลย
ซึ่งใครที่อยากกินอาหารสตรีทฟู้ดเหล่านี้แบบคุ้มเกินคุ้ม ก่อนมาที่นี่ก๊อตแนะนำให้ซื้อบัตร Standard Pass มาจาก Klook ก่อนได้เลย เพราะเค้าเป็นพาสที่เราสามารถเอาไปเลือกกินอาหารร้านต่างๆ ใน Chinatown Complex Market and Food Centre ได้ถึง 9 อย่าง หรือถ้าใครกลัวไม่จุใจ จะซื้อเป็นบัตร Plus Pass! ก็ได้ อันนี้จะอัปเลเวลกินได้ถึง 12 อย่างกันเลย เอาเป็นว่าใครที่อยากมากินอาหารสิงคโปร์แบบออริจิ ฟีลสตรีทฟู้ดที่ยกมาไว้ให้แล้วบนตึก ก๊อตแนะนำที่นี่เลย
ซื้อบัตร Klook Pass ใน Chinatown Complex Market and Food Centre
สำหรับช่องทางการซื้อบัตร Klook Pass ใน Chinatown Complex Market and Food Centre แนะนำให้ซื้อจาก Klook มาก่อนได้เลย โดยจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ
- บัตร Standard Pass ที่แตกย่อยออกมาให้เราเลือกซื้อทั้งแบบ 3,5 และ 7 เมนู จากอาหารทั้งหมด 9 เมนู (ราคาเริ่มต้น 426 บาท)
- บัตร Plus Pass ที่แตกย่อยออกมาให้เราเลือกซื้อทั้งแบบ 3,5 และ 7 เมนู จากอาหารทั้งหมด 12 เมนู (ราคาเริ่มต้น 457 บาท)
* ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน
พอเราซื้อพาสมาแล้ว สามารถนำไปเลือกใช้ตามร้านอาหารได้เลย โดยแต่ละแพ็กเกจเราซื้อได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถซื้อซ้ำได้
สำหรับข้อดีของการซื้อพาสมาจาก Klook คือมันช่วยเซฟงบเราไปได้หลายเหรียญเลยนะ เพราะด้วยความที่เราจ่ายมาราคาเดียว แต่เลือกกินได้หลายอย่าง พอเราเอามาอาหารที่สั่งมาคิดราคารวมกัน มันประหยัดไปได้เยอะเลย คือคุ้มค่ามาก ดังนั้นการมีบัตร Standard Pass จาก Klook มาแล้ว จะช่วยให้ทุกคนรู้สึกได้เลยว่ามื้อนี้ช่างคุ้มค่า สมกับที่เราเป็นสายฟู้ดดี้ตัวจริง
สุดท้ายนี้ ใครอยากมาทำกิจกรรมสนุกๆ รวมถึงกินอาหารอร่อยๆ ที่สิงคโปร์ (Singapore) แบบนี้ อย่าลืมจองตั๋วต่างๆ ผ่าน Klook มาก่อนนา รับรองว่าการมาเที่ยวสิงคโปร์ (Singapore) ของทุกคนจะสะดวกสบายขึ้นอย่างแน่นอน คลิกดูรายละเอียดต่างๆ ได้ที่นี่เลย
และนี่ก็คือ กิจกรรมห้ามพลาดที่ 3 สายอย่าง สายแอดเวนเจอร์ สายสำรวจเมือง และสายฟู้ดดี้ ควรมาตามรอยเมื่อมาเยือน สิงคโปร์ (Singapore) มาก เพราะก๊อตบอกเลยว่าครบรสสุดๆ ทั้งสวนสนุก กระโดดบันจี้จัมพ์ เที่ยวย่านโคมแดง ไปจนถึงกินสตรีทฟูดต่างก็เป็นอีกประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นคนสายไหนก็สามารถทำกิจกรรมรวมถึงไปแต่ละสถานที่เหล่านี้ได้หมดเลย คือมันค่อนข้างครอบคลุมการเที่ยวมาก ทุกคนสามารถเลือกทำตามสายที่ตัวเองชอบได้เลย หรือจะตามเก็บครบทุกที่ก็ไม่ว่ากัน สุดท้ายนี้ก๊อตขอให้การมาเที่ยว สิงคโปร์ (Singapore) ของทุกคนแฮปปี้มีความสุขกลับไทยกันถ้วนหน้าเลย
อ่านรีวิวสิงคโปร์อื่นๆ เพิ่มเติม
แน่นอนว่าสิงคโปร์นั้น ไม่ได้มีแค่ที่เที่ยวนี้ที่เดียว ใครที่กำลังแพลนเที่ยวสิงคโปร์แล้วอยากรู้ว่าที่สิงคโปร์มาที่เที่ยวอะไรบ้าง ก๊อตแนะนำให้อ่านต่อกับรีวิวเต็มสิงคโปร์ของก๊อตได้เลย รับรองว่าอ่านรีวิวเดียวแล้วจบ เพราะก๊อตรวบรวมมาแล้วกับที่เที่ยวทั้งหมด 30 กว่าที่เที่ยว และยังมีรีวิวที่เที่ยวแบบละเอียดในแต่ละสถานที่ด้วย ยังไงลองคลิกลิงค์ด้านต่อจากด้านล่างได้เล้ย