เบิร์น (Bern) หากใครมาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) แล้วไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ ก๊อตถือว่าเรายังมาไม่ถึงสวิสของจริง เพราะ เบิร์น (Bern) นอกจากจะเป็นเมืองหลวงของสวิสแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมให้ได้มาสัมผัส ผ่านโครงสร้างเมืองที่ยังคงสถาปัตยกรรมหินทรายสุดคลาสสิก ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน สะพานโค้ง หรือหอคอยเก่าแก่ที่ยังคงตั้งตระหง่าน ท่ามกลางเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ ราวกับได้พาเราย้อนเวลากลับไปในยุคกลาง นอกจากนี้ เบิร์น (Bern) ยังมีวิหารเก่าแก่ รวมถึงมีบ้านพักของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกอยู่อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ทุกมุมเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเก่าแก่ที่ผสมผสานเข้ากับบรรยากาศแบบร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ใครชื่นชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มาเที่ยว เบิร์น (Bern) แล้วรับรองว่าจะต้องตกหลุมรักเมืองหลวงแห่งนี้อย่างแน่นอน
รู้จักเบิร์น (Bern)
เบิร์น (Bern) เมืองหลวงของ สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกตอนกลางของประเทศ ริมฝั่งแม่น้ำอาเร (Aare River) เมืองนี้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1191 โดย เบอร์โธลด์ที่ 5 ดยุกแห่งแซห์ริงเงิน (Berthold V, Duke of Zähringen) ซึ่งได้เลือกพื้นที่แหลมที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำแห่งนี้เพื่อสร้างฐานทัพ เนื่องจากมีป้อมปราการนิเดกก์ (Nydegg Castle) ตั้งเด่นเป็นสง่าทำให้เหมาะแก่การป้องกันเมืองตรงจุดข้ามแม่น้ำอาเร ซึ่งในอดีตถือเป็นเขตชายแดนระหว่างชาวเยอรมันและชาวฝรั่งเศสในแคว้น เบอร์กันดี (Burgundy) โดยที่มาของชื่อเมือง เบิร์น (Bern) นั้น ว่ากันว่าเบอร์โธลด์ที่ 5 ตั้งกฎไว้ว่าจะตั้งชื่อเมืองตามสัตว์ตัวแรกที่เขาล่าได้ และปรากฏว่าสัตว์ที่เขาล่าได้ก็คือ ‘หมี’ (Bär) ดังนั้นเมืองนี้จึงได้ชื่อว่า “Bern” ที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Bär” ในภาษาเยอรมัน ซึ่งแปลว่า หมี และหมีก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้นั่นเอง
เมื่อราชวงศ์แซห์ริงเงินสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1218 เบิร์น (Bern) ได้รับสถานะเป็นเมืองจักรวรรดิอิสระ (Free Imperial City) จากเมืองก็เริ่มขยายอำนาจด้วยการครอบครองดินแดนโดยรอบ และกลายเป็นรัฐอิสระที่มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1353 เบิร์น (Bern) ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาพันธรัฐสวิส (Swiss Confederation) และไม่นานก็กลายเป็นผู้นำสำคัญของสมาพันธรัฐแห่งนี้ แต่ในปี ค.ศ. 1405 เมืองได้เกิดเหตุไฟไหม้ ซึ่งอาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ที่สร้างจากไม้ไหม้ไปกับเปลวเพลิงจนเกือบหมด ภายหลังทั้งเมืองจึงถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหินทราย (Sandstone) ซึ่งยังคงความงดงามและเป็นเอกลักษณ์มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจาก เบิร์น (Bern) จะเป็นเมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) แล้ว เมืองแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางสำคัญขององค์กรนานาชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สหภาพไปรษณีย์ (International Postal Union), สหภาพโทรเลข (Telegraph Union), สหภาพการรถไฟ (Railway Union) และสหภาพลิขสิทธิ์ (Copyright Union) นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญ ทั้งการผลิตสินค้าสิ่งพิมพ์ ช็อกโกแลต เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า สารเคมี และผลิตภัณฑ์ยา อีกทั้งยังเป็นแหล่งค้าขายผลผลิตทางการเกษตร และเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟที่แสนคึกคัก
ส่วนสถานที่เที่ยวในเมืองก็มีหลากหลาย อย่างมหาวิหาร สวนหมี ไปจนถึงย่านเมืองเก่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO อีกด้วยเรียกได้ว่า เบิร์น (Bern) เป็นมากกว่าเมืองหลวงของสวิส แต่ยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวที่รอให้เราได้มาสัมผัสและเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ใครชื่นชอบบรรยากาศเหล่านี้ ปักหมุดมาเที่ยว เบิร์น (Bern) ได้เลย แล้วจะหลงรักเมืองหลวงแห่งนี้แน่นอน
เที่ยวให้คุ้มด้วย Swiss Travel Pass
ใครจะมาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะมาเที่ยวเมืองไหน ก๊อตแนะนำว่าควรซื้อ Swiss Travel Pass มาไว้ด้วย เพราะพาสนี้เราสามารถเอามาใช้ขึ้นขนส่งสาธารณะได้ทุกอย่างในสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เรือ และรถประจำทางต่างๆ โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว และระยะทาง นอกจากนี้ Swiss Travel Pass ยังใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างพิพิธภัณฑ์ชื่อดังกว่า 500 แห่งในสวิสได้ฟรี อีกทั้งยังใช้เป็นส่วนลดในการขึ้นกระเช้า ขึ้นยอดเขาดังๆ ได้ด้วยนะ
⚡️ความดีงามของ Swiss Travel Pass คือนอกจากเราจะใช้ขึ้นรถไฟทั่วไปได้แล้ว พาสยังรวมถึงรถไฟชมวิวพาโนราม่าฟรี ซึ่งรวมทั้งรถไฟ Glacier Express, Golden Pass, Bernina Express และ Gotthard Panorama Express นอกจากนี้ยังใช้ล่องเรือฟรีได้อีกเยอะมาก
สำหรับ Swiss Travel Pass ก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่านเอเจนซี่อย่าง Klook และ KKday ซึ่งในหน้าเว็บจะมีรายละเอียดของพาสอธิบายเอาไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมีตัวเลือกพาสให้ซื้อหลากหลาย ทั้งแบบพาสแบบต่อเนื่อง 3, 4, 8 หรือ 15 วัน รวมถึงมีแบบ E-Ticket ด้วย นอกจากนี้ยังมี บัตร Swiss Half Fare Card และบัตร Swiss Transfer Ticket ขายครบอีก
> เช็คราคาและซื้อ Swiss Travel Pass [ผ่าน Klook] / [ผ่าน KKday]
เริ่มเที่ยว เบิร์น (Bern) กันเล้ยย
อาคารรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ (Federal Palace)
สำหรับที่เที่ยวแรกในเบิร์น (Bern) ที่ก๊อตเลือกมาเยือนก็คือ อาคารรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ (Federal Palace) จุดเด่นของที่นี่คงหนีไม่พ้นสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอเรอเนสซองส์อันงดงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ใครที่เคยอ่านรีวิวเบิร์นผ่านตา แล้วเห็นภาพของอาคารหลังใหญ่ที่โดดเด่นด้วยโดมสีเขียวบนหลังคาสีทองนั้น อาคารหลังนั้นก็คือ อาคารรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเบิร์นเลยก็ว่าได้
อาคารรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ แห่งนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1894 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1902 ภายใต้การออกแบบของ ฮันส์ วิลเฮล์ม เอาเออร์ (Hans Wilhelm Auer) สถาปนิกชาวสวิส ที่เลือกใช้วัสดุก่อสร้างจากภายในประเทศถึง 95% เพื่อสะท้อนถึงความเป็นเอกภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรมของสวิตเซอร์แลนด์ให้กับผู้คนได้เห็น ตัวอาคารแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ ปีกตะวันตก (West Wing), ปีกตะวันออก (East Wing) และอาคารรัฐสภากลาง (Parliament Building) โดยโดมสีเขียวที่เตะตาเรามาแต่ไกลนั้น ถือเป็นจุดไฮไลท์ที่ดึงดูดสายตาผู้คนเลย
ปัจจุบันนี้ อาคารรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าเยี่ยมชม โดยเราสามารถเข้าร่วมทัวร์นำชมได้ ซึ่งเค้าจะพาไปเรียนรู้เกี่ยวกับอาคารและการทำงานของรัฐสภาสวิส พร้อมกับสัมผัสการตกแต่งภายในที่อลังการงาน แต่บอกก่อนว่า ทริปนี้ตัวก๊อตไม่ได้เข้าไปด้านในอาคารรัฐสภานะ เพราะจุดหมายหลักที่เราตั้งใจมาเลยก็คือ บริเวณด้านหลังอาคาร ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวเมืองเบิร์นจากมุมสูง ท่ามกลางแม่น้ำอาเร (Aare River) ที่กำลังไหลตัดผ่านได้แบบตระการตาสุดๆ นั่นเอง
สำหรับจุดชมวิวด้านหลังอาคารรัฐสภาวิวนี้ จะเป็นลานระเบียงขนาดใหญ่เปิดโล่งยื่นหน้าออกไปยังวิวเมืองที่คนเค้ามาเล่นกิจกรรมอย่างพวกเปตอง ไม่ก็หมากรุกยักษ์บนพื้นด้วยกัน โดยตรงนี้ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยมากที่สุดสำหรับก๊อต เพราะนอกจากเราจะได้มานั่งพักผ่อนบนเก้าอี้ที่ตั้งเรียงรายริมระเบียงแล้ว ยังได้ชมวิวพาโนราม่าของแม่น้ำอาเร (Aare River) สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านบ้านเรือนและอาคารเก่าแก่ ท่ามกลางฉากหลังของต้นไม้สีเขียวและท้องฟ้าอันสดใส มันเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบแบบที่นั่งเฉยๆ ก็เหมือนได้พักไปทั้งใจ
ซึ่งก๊อตเองก็อยู่เก็บภาพวิวและถ่ายบรรยากาศรอบๆ อาคารรัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ กันอยู่สักพัก จากนั้นเราก็เดินกลับออกมา ซึ่งส่วนตัวนั้น แอบเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปด้านใน เพราะจากที่เห็นสถาปัตยกรรมด้านนอกตัวอาคาร ก็พอเดาได้เลยว่าด้านในนั้นจะต้องอลังการกว่าเยอะมาก แต่ด้วยความที่เวลาเรามีจำกัด การได้เดินเก็บภาพรอบๆ ก็ถือว่าโอเคแล้ว ใครอยากมาเช็คอินว่ามาถึงเบิร์นแล้ว ยังไงก็ต้องมาที่นี่ เพราะนอกจากจะได้สัมผัสกับสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิกแล้ว เรายังได้ดื่มด่ำกับวิวเมืองและธรรมชาติที่โอบล้อมไว้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งมุมสงบๆ ที่ควรแวะมานั่งปล่อยใจและซึมซับบรรยากาศเป็นที่สุด
ย่านเมืองเก่าเบิร์น (Old Town of Bern)
ย่านเมืองเก่าเบิร์น (Old Town of Bern) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเบิร์น (Bern) โดยย่านนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 ครอบคลุมเส้นทางเดินเท้าที่ยาวประมาณ 6 กิโลเมตร และยังคงรักษาเสน่ห์และบรรยากาศดั้งเดิมของยุคกลางไว้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับใครที่อยากเดินเที่ยว เมืองเก่าเบิร์น (Old Town of Bern) แบบง่ายที่สุด ก๊อตแนะนำให้เริ่มต้นจากฝั่งใกล้สถานีรถไฟหลัก แล้วค่อยๆ เดินตรงไปตามถนนเส้นหลักอย่าง Kramgasse ที่ทอดผ่านใจกลางเมืองเก่า เส้นทางนี้จะพาเราเดินผ่าน หอนาฬิกาดาราศาสตร์ (Zytglogge Clock Tower) ที่เปรียบเสมือนหัวใจของเมืองเก่า แล้วต่อเนื่องไปจนเกือบสุดปลายแหลมของเมืองใกล้กับสวนหมี
ซึ่งถนนเส้นหลักนั้น ตลอดสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยอาคารหินทรายคลาสสิก น้ำพุเก่าแก่ตั้งเรียงราย ร้านค้า คาเฟ่ และซอกซอยเล็กๆ ที่ชวนให้แวะตลอดทาง จะเดินช้าๆ ถ่ายรูป หยุดจิบกาแฟ หรือแวะร้านขายของฝากก็เลือกได้ตามใจเลย อย่างก๊อตเองก็เดินตรงไปตามถนนเส้นนี้ที่ถือเป็นเส้นหลักของเมืองเก่าเบิร์น และมีบ้างที่แวะเข้าตรอกซอกซอยต่างๆ ที่สนใจจนสุดปลายทางที่สวนหมีนั่นเอง
ถ้าให้พูดถึงเสน่ห์ของเมืองเก่าเบิร์นแบบที่ไม่มีที่ไหนเหมือน ก๊อตขอยกให้กับซุ้มโค้งแบบอาเขต (Arcade) ที่ทอดตัวยาวตลอดถนนสายหลักของเมืองเก่านี่แหละ เพราะนี่ไม่ใช่แค่สถาปัตยกรรมหินทรายที่สวยคลาสสิกเท่านั้น แต่ยังเป็นโครงสร้างที่ใช้งานได้จริงที่คนเมืองใช้กันแดดกันฝนมาตั้งแต่ยุคกลาง โดยทางเดินใต้ซุ้มโค้งเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “Lauben” ซึ่งพาดผ่านย่านเมืองเก่าเบิร์นเป็นระยะทางกว่า 6 กิโลเมตร และถือเป็นหนึ่งในเส้นทางช้อปปิ้งในร่มที่ยาวที่สุดในยุโรป โดยเราจะได้เดินอยู่ใต้แนวเสาโค้งมนที่เรียงตัวกันอย่างต่อเนื่อง พร้อมร้านค้า แกลเลอรี คาเฟ่ และร้านแบรนด์โลคอลที่ซ่อนตัวอยู่ในอาคารหินทรายแบบเนียนๆ ฟีลเดินเล่นชิลๆ แต่เสมือนอยู่ในยุโรปยุคกลางแบบไม่รู้ตัวเลย
นอกจากอาคารบ้านเรือนที่สะท้อนสถาปัตยกรรมยุคกลางแล้ว ไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดในย่านเมืองเก่านี้ คือ หอนาฬิกาดาราศาสตร์ (Zytglogge Clock Tower) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ซึ่งยังคงเดินหน้าทำงานอย่างแม่นยำ และที่สำคัญ ไม่ว่าเราจะเดินไปมุมไหนของเมือง เราก็มักจะเห็นยอดแหลมสูงเสียดฟ้าของ มหาวิหารเบิร์น (Bern Cathedral) โผล่มาทักทายอยู่เสมอ ซึ่งความอลังการของทั้งสองที่นี้ ก๊อตมีเรื่องเล่าแบบเจาะลึกแยกไว้ให้ต่างหากเลย
อีกหนึ่งจุดที่สะดุดตาก๊อตไม่แพ้กัน และอยากให้ทุกคนได้สังเกตเมื่อเราเดินเล่นในเมืองเก่า คือน้ำพุแห่งเบิร์น ซึ่งจะเป็นน้ำพุรูปปั้นต่างๆ ในท่าทางที่ต่างกันออกไป โดยน้ำพุที่มีชื่อเสียงในเมืองเก่าเบิร์นนั้นจะพบเห็นได้ตลอดแนวถนนสายหลักของเมืองเก่า ไม่ว่าจะเป็นบน Kramgasse, Marktgasse หรือถนนเส้นอื่นๆ และถ้าเรามองดีๆ ที่รูปปั้นบนน้ำพุ เราจะเห็นว่าแต่ละตัวแฝงเรื่องราวเอาไว้ด้วย อย่างน้ำพุรูปปั้น Kindlifresserbrunnen ซึ่งเป็นรูปปั้นยักษ์กินเด็ก คนเค้าเชื่อกันว่าเป็นการเตือนเด็กๆ ให้ประพฤติตัวดีๆ นั่นเอง
ส่วนใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศของสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์แบบเต็มอิ่ม ก๊อตแนะนำให้แวะไปที่ ศาลาว่าการเมืองเบิร์น (City Hall) ที่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1406-1416 ก่อนจะได้รับการบูรณะในปี ค.ศ. 1942 หรือจะเดินลัดเลาะไปยัง โบสถ์นิเดกก์ (Nydegg Church) โบสถ์เก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นทับบนที่ตั้งเดิมของป้อมปราการในอดีต โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1341 และยังคงรักษาสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคไว้ได้อย่างงดงามมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดเป็นเสน่ห์ของย่านเมืองเก่าที่เหมือนพาเราย้อนเวลากลับไปยังอดีต ราวกับว่าเวลาได้หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น และไม่ว่าจะเดินไปทางไหนกันต่อ ก๊อตรับรองเลยว่าทุกคนจะได้พบกับความงดงามของเมืองเก่าที่จะทำให้หัวใจพองโตอย่างแน่นอน
หอนาฬิกาดาราศาสตร์ (Zytglogge Clock Tower)
หอนาฬิกาดาราศาสตร์ (Zytglogge Clock Tower) คือหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมายังย่านเมืองเก่าเบิร์น (Old Town of Bern)โดยหอนาฬิกาแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นประตูเมืองมาก่อน แต่เมื่อมีการสร้างประตูเมืองแห่งใหม่ขึ้นมา หอนาฬิกาดาราศาสตร์ จึงได้ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายมาเป็นหอนาฬิกาบอกเวลาแก่ชาวเมือง พร้อมทั้งมีการติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์อันซับซ้อนเข้าไปอีกด้วย
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
โดย หอนาฬิกาดาราศาสตร์ (Zytglogge Clock Tower) สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 (ประมาณปี ค.ศ. 1218-1220) โดยช่วงแรกถูกใช้เป็นประตูเมืองด้านตะวันตกของเบิร์น ปัจจุบันตัวหอคอยมีความสูงรวมประมาณ 54.5 เมตร นับจากพื้นถึงยอดแหลม ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนการใช้งานของหอนาฬิกาอยู่หลายครั้ง ทั้งให้เป็น หอคอยเฝ้าระวัง และเรือนจำสำหรับผู้หญิง แต่ภายหลังเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1405 ซึ่งทำลายโครงสร้างเดิมไปเกือบทั้งหมด หอนาฬิกาแห่งนี้จึงได้รับการบูรณะใหม่ และติดตั้งนาฬิกาดาราศาสตร์เข้าไปในช่วงปี ค.ศ. 1527-1530 โดยช่างนาฬิกาฝีมือเยี่ยมนั่นเอง
จุดเด่นของที่นี่คือ หน้าปัดขนาดมหึมาที่ติดตั้งคร่อมประตู ภายในแสดงทั้งเวลา วันที่ ไปจนถึงราศี ซึ่งทุกๆ 4 นาที ก่อนครบชั่วโมง จะมีเหล่าตุ๊กตามากมายไม่ว่าจะเป็น ไก่ขัน ตัวตลก นักรบ และหมี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบิร์น โผล่ออกมาจากนาฬิกาแล้วเต้นรำให้เราได้เห็น ท่ามกลางผู้คนที่มายืนรอชมเสียงร้องของนาฬิกาเมื่อครบชั่วโมงด้วยความตื่นเต้น
สำหรับใครที่อยากชมความอลังการจากภายในหอนาฬิกา สามารถซื้อทัวร์เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมได้ โดยทัวร์จะพาเราไปเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของหอคอย และการทำงานของนาฬิกาดาราศาสตร์ พร้อมทั้งพาไปยังจุดชมวิวด้านบน ที่เราจะได้ดื่มด่ำกับวิวของเมืองเบิร์นจากมุมสูงได้แบบพาโนราม่าเลย ส่วนบริเวณรอบๆ หอนาฬิกาดาราศาสตร์ นั้น รายรอบด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินจับจ่ายซื้อของกันให้ขวัก ซึ่งก๊อตเองได้เก็บภาพหอนาฬิกาพร้อมถ่ายรูปมาคู่กันมาพอหอมปากหอมคอ ถือเป็นอีกจุดเช็คอินว่าเรามาถึงเมืองบิร์นแล้วจริงๆ
บ้านของไอสไตน์ (Einstein House / Einsteinhaus)
หากใครอยากสัมผัสบรรยากาศบ้านพักของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ต้องไม่พลาดมาที่ บ้านของไอน์สไตน์ (Einstein House / Einsteinhaus) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องพักของไอน์สไตน์และครอบครัว แต่ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่เปิดให้ผู้คนได้เข้ามาเรียนรู้และซึมซับบรรยากาศในยุคที่เค้าเคยอาศัยอยู่ที่นี่
สำหรับ บ้านของไอสไตน์ (Einstein House / Einsteinhaus) นั้น เป็นห้องเช่าในชั้น 2 ของอพาร์ตเมนต์บนถนน Kramgasse 49 ในย่านเมืองเก่าของเบิร์น (Old Town of Bern) โดยไอสไตน์ มิเลวา ภรรยา และฮันส์ ลูกชายของเขา ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ในปี ค.ศ. 1903 และอาศัยอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1905 ซึ่งเป็นช่วงที่ไอน์สไตน์ดำรงตำแหน่งในสำนักงานสิทธิบัตรสวิส (Swiss Federal Patent Office) โดยช่วงเวลาที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ และทำให้ห้องพักแห่งนี้กลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในชีวิตของไอน์สไตน์เลย
เวลาผ่านไปนับร้อยปี ห้องพักแห่งนี้ได้รับการฟื้นฟูในปี ค.ศ. 2015 โดย European Physical Society และ American Physical Society ซึ่งได้ร่วมกันสร้าง บ้านของไอสไตน์ (Einstein House / Einsteinhaus) ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ภายในอาคารถูกปรับปรุงให้มีบรรยากาศเหมือนในอดีต โดยตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ย้อนยุคและการจัดวางข้าวของต่างๆ ให้ใกล้เคียงกับสมัยที่ไอน์สไตน์อาศัยอยู่ นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงบันทึก บทความ และเอกสารสำคัญที่ไอน์สไตน์เขียนขึ้นขณะอยู่ในเบิร์นให้เราได้เห็นและศึกษากันแบบใกล้ชิด จนที่นี่กลายมาเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองที่ผู้คนมาตามรอยกันพรึ่บพรั่บ
โดยบรรยากาศตอนที่ก๊อตไปนั้น บริเวณชั้นล่างสุดจะเป็นร้านขายของที่ระลึก ที่เต็มไปด้วยสินค้าที่เกี่ยวข้องกับไอน์สไตน์ ทั้งรูปปั้น โปสการ์ด สมุด ตุ๊กตา และของอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีคาเฟ่ไอน์สไตน์เปิดอยู่ด้วย แต่แอบบอกว่าคนมหาศาลมาก คือที่เราเห็นเค้ายืนออกันอยู่หน้าร้าน นั่นเพราะว่าเค้ารอคิวเข้าไปด้านในคาเฟ่กันนั่นเอง
ส่วนใครที่อยากขึ้นไปดูห้องพักของไอสไตน์นั้น เราจะต้องเดินผ่านบันไดวนเก่าเพื่อขึ้นไปยังชั้นสอง ซึ่งระหว่างที่เดินขึ้นไปนั้น ก๊อตก็จินตนาการไปว่า นี่เรากำลังเดินขึ้นบันไดเดียวกับที่ไอสไตน์เค้าใช้ขึ้นลงทุกวันเลยนะเนี่ย สภาพบันไดถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีให้ใกล้เคียงกับในอดีตมาก ซึ่งพอเราขึ้นมาถึงชั้น 2 แล้ว จะพบกับห้องพักของไอน์สไตน์ที่ถูกจัดแสดงไว้อย่างเป็นระเบียบ เฟอร์นิเจอร์สไตล์ยุคต้นศตวรรษที่ 20 ถูกนำมาจัดวางใหม่ พร้อมทั้งภาพถ่ายและข้อมูลเกี่ยวกับช่วงชีวิตของไอน์สไตน์ที่เบิร์น ซึ่งอันนี้ก๊อตไม่ได้เข้าไปด้านใน เราเลยเก็บภาพด้านนอกคร่าวๆ มาฝากแทน
นอกจากนี้บริเวณชั้น 3 ยังมีโซนนิทรรศการที่นำเสนอชีวประวัติและผลงานของไอน์สไตน์ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ และสิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมถึงวิดีโอความยาว 20 นาที ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตและแนวคิดของไอน์สไตน์ ตั้งแต่ช่วงที่เขายังเป็นหนุ่มจนถึงช่วงเวลาที่เขากลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษอยู่อีกด้วย เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ หรืออยากมาตามรอยชีวิตและผลงานของไอน์สไตน์ บ้านไอน์สไตน์ (Einstein House / Einsteinhaus) เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ก๊อตแนะนำสุดๆ รับรองว่าการได้เดินเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศในบ้านหลังนี้ จะทำให้เราได้เห็นอีกมุมหนึ่งของชายผู้เป็นตำนานแห่งวิทยาศาสตร์ของโลกเลยล่ะ
สวนหมี (Bear Park)
มาถึงเมืองที่มีสัญลักษณ์เป็นหมีทั้งที จะพลาดไม่แวะ สวนหมี (Bear Park) ได้อย่างไรก่อน ที่นี่คือสวนหมีแห่งใหม่ที่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร ซึ่งภายในออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติที่น้องหมีเคยอยู่มากที่สุด โดยพื้นที่หลักแบ่งออกเป็นสองโซน คือ โซนบ่อปูนขนาดใหญ่ใกล้กับอาคารหลัก และโซนพื้นที่ธรรมชาติริมแม่น้ำอาเร (Aare River) ที่มีอุโมงค์ใต้ทางเดิน เชื่อมต่อระหว่างกันให้น้องหมีได้เดินไปมาอย่างอิสระนั่นเอง
สวนหมีแห่งนี้ เราสามารถเดินมาเที่ยวต่อจากย่านเมืองเก่าได้เลย แค่ข้ามสะพานแม่น้ำอาเรมาเท่านั้น โดยน้องหมีที่อาศัยอยู่ที่นี่คือคู่รักหมีสีน้ำตาลยุโรป (European Brown Bears) ชื่อ Finn และ Björk ทั้งคู่มีลูกสาวตัวน้อยชื่อ Ursina โดยทั้งสามอาศัยอยู่ร่วมกัน ผ่านการดูแลอย่างดีจากเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ Dählhölzli ซึ่งเป็นผู้ดูแลสวนหมีแห่งนี้ พร้อมกับจัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของน้องหมี การเดินชมที่นี่เราสามารถเดินชมได้ฟรีแบบฟรีสไตล์ ให้ฟีลเหมือนเรามาแอบส่องชีวิตประจำวันของน้องหมี เพราะเราสามารถเดินไปตามแนวทางเดินและส่องน้องหมีที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ในบ่อปูน หรือโผล่ออกมาเดินเล่นในพื้นที่ธรรมชาติได้เลย แต่ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้เห็นน้องหมีแบบใกล้ๆ นะ เพราะเค้าอยู่กันอย่างอิสระมาก บางตัวอาจจะหลบอยู่ตามมุมต่างๆ หรือซ่อนตัวอยู่ในโพรงหิน แต่ถ้ามาแล้วแต้มบุญเยอะ เราอาจจะได้เห็นน้องออกมาเดินนวยนาดหาของกินให้เราได้เห็นแบบใกล้ๆ เลยทีเดียว
บรรยากาศตอนที่ก๊อตไปถึงนั้น คนที่มาส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นครอบครัว ทุกคนต่างเกาะขอบรั้ว มองหาน้องหมีและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งหมีทั้ง 3 ตัวก็ดูชิลมาก ไม่ได้ตื่นคนเลยสักนิด ฟีลแบบใครจะถ่ายรูปก็ถ่ายไป พวกชั้นจะใช้ชีวิตตามปกติ คือก๊อตบอกเลยว่าเป็นการเดินชมสวนหมีที่เปิดประสบการณ์ใหม่มากๆ ใครมีโอกาสมาเที่ยวเบิร์น ต้องไม่พลาดแวะมาทักทาย Finn, Björk และ Ursina กันนะ รับรองว่าทั้งน่ารักและน่าประทับใจสุดๆ อีกทั้งตรงสวนหมีนี้ยังเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่เราสามารถมองย้อนกลับไปยังเมืองเก่าได้แบบสวนสุดๆ อีกด้วย
มหาวิหารเบิร์น (Bern Munster)
ปิดท้ายการเที่ยวเบิร์นที่ มหาวิหารเบิร์น (Bern Munster) โบสถ์สไตล์โกธิกตอนปลายที่สำคัญมากที่สุดของเบิร์น อีกทั้งยังเป็นโบสถ์ที่มีหอคอยสูงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย ที่นี่จึงเป็นเหมือนสถานที่พึ่งทางใจของผู้คน รวมถึงยังเป็นสถานที่ในการประกอบพิธีกรรมสำหรับคริสตจักร และถูกใช้เป็นเจ้าภาพจัดงานทางวัฒนธรรมต่างๆ อีกมากมาย
การก่อสร้าง มหาวิหารเบิร์น (Bern Munster) เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1421 และใช้เวลายาวนานหลายศตวรรษกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะส่วนยอดของหอคอยนั้นเพิ่งจะมาสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1893 เรียกได้ว่าการสร้างให้เสร็จสมบูรณ์นั้นใช้เวลานานหลายชั่วอายุคนเลย สำหรับบรรยากาศด้านหน้าของมหาวิหาร เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ยืนถ่ายภาพสวยๆ ซึ่งความอลังการของที่นี่ยิ่งใหญ่ระดับที่ว่า หากเราถ่ายด้วยเลนส์มือถือทั่วไปอาจเก็บยอดโบสถ์ได้ไม่ครบด้วยซ้ำ ซึ่งตัวหอคอยของโบสถ์เค้าสูงถึง 100.6 เมตรเลยทีเดียว
บรรยากาศด้านในที่สัมผัสได้เลยก็คือ ความโอ่อ่าของทางเดินที่มีถึง 3 ช่องทาง ท่ามกลางเก้าอี้ไม้ที่ตั้งเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ บริเวณใกล้กับประตูทางเข้ามีบันไดทางขึ้นไปยังยอดด้านบนของโบสถ์สำหรับชมวิวเมืองอีกด้วย แต่ตอนที่ก๊อตไปเป็นช่วงที่เค้ามีการบูรณะด้านใน บันไดตรงนี้เลยไม่ได้ให้ขึ้นไปเน้อ
เดินลึกเข้าไปสุดด้านในของมหาวิหาร เราจะพบกับแท่นบูชาหลักที่รายล้อมไปด้วยรูปปั้นและงานประติมากรรมสุดประณีต ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อและเรื่องราวทางศาสนาในอดีต ด้านบนของแท่นบูชาเป็นกระจกสี (Stained Glass) ที่มีลวดลายสีสันสดใส สะท้อนแสงจากภายนอกเข้ามาอย่างงดงาม ซึ่งหน้าต่างส่วนใหญ่เป็นของดั้งเดิมจากยุคศตวรรษที่ 15 โดยแต่ละบานจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ในคัมภีร์ไบเบิล ของศาสนาคริสต์ สำหรับก๊อตแล้ว จุดนี้เป็นมุมที่ยิ่งใหญ่และสวยสะกดใจสุดๆ เลย
นอกจากนี้ ส่วนด้านในของมหาวิหารยังมีงานประติมากรรมอีกมากมาย อย่างเช่น Tomb Monument ของตระกูล von Erlach ที่ตั้งอยู่อย่างเงียบๆ เป็นอนุสรณ์สถานและหลุมศพที่สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 17 เพื่อระลึกถึง Friedrich von Erlach ขุนนางผู้ทรงอิทธิพลของเบิร์นในอดีต ตัวงานแกะสลักจากหินอ่อนเป็นฉาก ‘การคร่ำครวญถึงพระคริสต์’ (Lamentation of Christ) ที่มีผู้ชายร่างเปลือยที่ทอดกายนิ่งอยู่ตรงกลางคือพระเยซู และพระแม่มารีอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าโศกเศร้า เป็นฉากที่เงียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังทางอารมณ์สูงมาก
ก๊อตเองค่อยๆ เดินไล่เดินชมไปเรื่อยๆ จากนั้นก็พากันเก็บบรรยากาศมุมกว้าง ก่อนจะเดินกลับออกมา เพราะใกล้ถึงช่วงเวลาที่โบสถ์เค้าปิดให้บริการแล้ว โดยรวมถือเป็นการปิดจบเที่ยวเบิร์นครั้งแรกของก๊อตได้แบบฟลูฟีลมาก มหาวิหารเบิร์น (Bern Munster) ไม่เพียงแต่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและศิลปะที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามานับร้อยปี ยกให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องมาให้ได้เลย
สรุปการมาเที่ยวเบิร์น (Bern)
จบแล้วกับการมาเที่ยว เบิร์น (Bern) กับก๊อตในครั้งนี้ ที่ส่วนตัวบอกเลยว่าตกหลุมรักเมืองแห่งประวัติศาสตร์นี้ไปเป็นที่เรียบร้อย ยิ่งได้เห็นสถาปัตยกรรมสวยๆ ที่ยังคงรักษาดูแลเอาไว้เป็นอย่างดีมาจนถึงปัจจุบันนี้ บวกกับสถานที่เที่ยวต่างๆ ที่เราได้ไปสำรวจมาไม่ว่าจะเป็นย่านเมืองเก่าสุดอบอุ่น สวนหมีน่ารักๆ หรือจะเป็นมหาวิหารอันตระการตา มันยิ่งทำให้ก๊อตชอบ เบิร์น (Bern) ยิ่งขึ้นไปอีก แม้บรรยากาศของเบิร์นอาจไม่หวือหวาเท่าเมืองใหญ่อื่นๆ แต่กลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวจากการผสมผสานกลิ่นอายของประวัติศาสตร์เข้ากับความคลาสสิกที่ดูทันสมัยได้อย่างน่าทึ่ง ใครชื่นชอบมู้ดเมืองฟีลเดินเล่นเมืองเก่าแบบนี้ อยากให้ลองเปิดใจมาเที่ยวที่นี่ดู เพราะบรรยากาศของจริงมันสวยจนคำบรรยายยังวิ่งตามไม่ทัน
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡