รีวิว อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) x สวิตเซอร์แลนด์ เมืองสองทะเลสาบ

อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) เมืองแห่งสองทะเลสาบและเมืองสุดป๊อปของสวิสสำหรับสายแอดเวนเจอร์ที่รวมทุกกิจกรรมกลางแจ้งในฝันเอาไว้ครบ ทั้งพาราไกลดิ้ง กระโดดร่ม เล่นสกี เดินป่า ไปจนถึงล่องเรือบนสองทะเลสาบชื่อดังอย่าง ทะเลสาบทูน (Lake Thun) และทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) นอกจากนี้ อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ยังได้รับขนานนามว่าเป็นเมือง “ประตูสู่จุงเฟรา” (Gateway to the Jungfrau) เพราะนอกจากจะตั้งอยู่ระหว่างสองทะเลสาบแล้ว ที่นี่ยังอยู่ใกล้กับภูเขา 3 พี่น้องแห่งสวิตเซอร์แลนด์อย่าง จุงเฟรา (Jungfrau), ไอเกอร์ (Eiger) และ เมินช์ (Mönch) อีกด้วย 

สำหรับการมาเที่ยว อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ของก๊อตนั้น บอกเลยว่าครบรสมาก เพราะเราจะไปเล่นกิจกรรมผาดโผนอย่าง พาราไกลดิ้ง และนั่งเรือเจ็ทโบ๊ทที่วิ่งได้เร็วถึง 85 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมพาไปนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขากรินเดลวาลด์ เฟียส (Grindelwald First) รวมถึงเดินชิลๆ ชมวิวเมืองในมู้ดสโลว์ๆ ที่เงียบสงบอีกด้วย และด้วยความก๊อตได้มาเที่ยว อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) แล้ว 2 ครั้ง ทั้งหน้าหนาวและหน้าฤดูใบไม้ผลิ รีวิวนี้ ก๊อตเลยขอรวมเอาบรรยากาศของ อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ทั้งสองฤดูมารวมเป็นรีวิวเดียว ดังนั้น หากเห็นรูปหิมะปุยๆ แล้วอยู่ดีๆ เปลี่ยนมาเป็นรูปหญ้าเขียว อากาศอุ่นๆ คือไม่ต้องแปลกใจเด้อ ฮ่าๆ

รู้จักกับ อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) 

อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในรัฐแบร์น และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองตากอากาศชื่อดังของสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ที่ต้องมาให้ได้ โดยจุดเด่นของอินเทอร์ลาเคิน คือทำเลที่ตั้งที่ธรรมชาติจัดวางมาอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบทูน (Lake Thun) และทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) พอดิบพอดี โดยมีแม่น้ำอาเร (Aare River) ไหลพาดผ่านใจกลางเมือง และโอบล้อมด้วยทิวเขาอลังการ จนได้ชื่อว่าเป็น ‘เมืองแห่งสองทะเลสาบ’ นั่นเอง

นอกจากนี้ อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ยังเป็นประตูสู่ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ที่มีสถานีรถไฟสูงที่สุดในยุโรปตั้งอยู่อีกด้วย ทำให้เมืองนี้เองเป็นเมืองแห่งกิจกรรมกลางแจ้งเลยก็ว่าได้ สำหรับ อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) นั้น เดิมทีคนท้องถิ่นในสมัยก่อนเรียกเมืองแห่งนี้ว่า “Aarmühle” แต่ด้วยความที่ต้องการใช้ชื่อที่เป็นทางการและให้ผู้คนจำได้ง่ายขึ้น ในปี ค.ศ. 1891 จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเมือง โดยประกาศให้ใช้ชื่อว่า อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) นับตั้งแต่นั้นมา ซึ่งภายหลังการเปลี่ยนชื่อ เมืองแห่งนี้ก็กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ รวมถึงทำกิจกรรมผาดโผนและการปีนเขา ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินให้มาเยือนได้อย่างไม่ขาดสาย ใครที่ชื่นชอบฟีลเที่ยวธรรมชาติก๊อตบอกเลยว่า อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) นี่คือสวรรค์บนดินของสายเที่ยวธรรมชาติที่ต้องมาสักครั้งในชีวิตเลย

แนะนำที่พักในอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken)

ใครที่กำลังมองหาที่พักหรือโรงแรมในอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ก๊อตจะแนะนำให้โฟกัสที่สองย่านหลักอย่างอินเทอร์ลาเคนฝั่งตะวันตก (Interlaken West) และอินเทอร์ลาเคินฝั่งตะวันออก (Interlaken Ost) ก่อนเลย เพราะทั้งสองย่านนี้ถือเป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคมของเมือง มีสถานีรถไฟหลักคือ Interlaken West Station และ Interlaken Ost Station ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังเมืองอื่นๆ ในสวิส รวมถึงที่ท่องเที่ยวในแถบจุงเฟราได้ง่ายสุด แถมสองย่านนี้ยังต่อรถเมล์ ปั่นจักรยาน หรือเดินเล่นในเมืองก็สะดวก เพราะอินเทอร์ลาเคินเป็นเมืองเล็ก เดินเที่ยวเองได้แบบสบายๆ ส่วนใครที่อยากได้ที่พักเงียบๆ หน่อย ก๊อตแนะนำย่านมันเทน ไบ อินเทอร์ลาเคิน (Matten bei Interlaken) เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะอยู่กลางเมือง และได้ฟีลหมู่บ้านน่ารักๆ ที่เหมาะกับสายชิล และยังสามารถเดิน หรือนั่งรถเมล์ไปสถานีรถไฟชิลๆ ได้ด้วยเช่นกัน

⭐️ อ่านแนะนำที่พักอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken): พักย่านไหนดี? แนะนำโรงแรมปี 2025 คลิก

นั่งรถไฟ ซูริค (Zurich) > อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken)

สำหรับทริปนี้ ตามแพลนเที่ยวของก๊อต เราบินมาลงที่ซูริค (Zurich) ก่อน จากนั้นก็อยู่เที่ยวในเมืองอยู่หลายคืน แล้วค่อยนั่งรถไฟมาเที่ยวต่อที่ อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ซึ่งการนั่งรถไฟจากซูริค (Zurich) มายัง อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) นั้น สำหรับก๊อตถือเป็นครั้งที่สองแล้ว เพราะตอนที่เรามาหน้าหนาว ก๊อตก็ได้นั่งรถไฟมาเที่ยวเหมือนกัน 

โดยระหว่างทางที่เรานั่งรถไฟมา ตลอดข้างทางนั้นเต็มไปด้วยหมู่บ้านสลับกับเนินเขาและป่าไม้ ซึ่งความต่างจากสองช่วงฤดูกาลที่ก๊อตได้สัมผัสนั้น ในช่วงหน้าหนาว สองข้างทางจะปกคลุมด้วยหิมะสีขาวฟู ให้ฟีลเหมือนนั่งรถไฟลอยผ่านทะเลมาชเมลโล่ ส่วนช่วงใบไม้ผลิ แม้ไม่มีหิมะ แต่กลับให้บรรยากาศอบอุ่นราวกับมีเตาผิงข้างตัว ทำให้มีความโรแมนติกไปอีกแบบเหมือนกัน

โดยการนั่ง รถไฟจากซูริค (Zurich) มายัง อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) จะใช้เวลานั่งทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ จนในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟ Interlaken Ost กันแล้ว พอลงจากสถานีเราก็ลากกระเป๋าไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปฝากกระเป๋าเข้าโรงแรมกันก่อน จากนั้นเราก็เริ่มต้นเที่ยวใน อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) กันได้เล้ยย

มาเริ่มเที่ยว อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ด้วยกันเร้วว
สวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) 

สวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) สวนเขียวๆ กลางเมืองที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าโรงแรม The VICTORIA-JUNGFRAU Grand Hotel & Spa โดยสวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) ตั้งอยู่บนที่ดินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของอารามออกัสติเนียน (Augustinian Monastery) ก่อนจะถูกยุบในช่วงศตวรรษที่ 16 ที่ดินผืนนี้จึงถูกดัดแปลงมาใช้ในด้านการเกษตร จนในปี ค.ศ. 1860 กลุ่มเจ้าของโรงแรมในท้องถิ่นได้จัดตั้งสหกรณ์เพื่อซื้อที่ดินผืนนี้ และอนุรักษ์ไว้โดยยังคงให้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง ภายใต้แนวคิดที่จะสร้างพื้นที่สาธารณะเพื่อเพิ่มความงดงามให้กับเมือง และใช้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน 

ปัจจุบันนี้ สวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) ทำหน้าที่เป็นสวนสาธารณะและเป็นแหล่งรวมตัวกันของคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ท่ามกลางวิวของสนามหญ้าเขียวๆ รายล้อมไปด้วยสวนดอกไม้หลากสีสันที่เปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาล ยิ่งใครมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน บริเวณรอบๆ ของ สวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันจากสารพัดดอกไม้นานาชนิด ถือเป็นช่วงที่สดใสสุดๆ ของเมืองเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าใครมาในช่วงฤดูหนาว บริเวณสนามหญ้าที่เราเห็นจะถูกเปลี่ยนเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งให้ผู้คนได้มาทำกิจกรรมร่วมกันอีกด้วย 

และที่เป็นไฮไลท์เลย หากเรายืนอยู่ที่สวน เราสามารถมองเห็นยอดเขาสามพี่น้องแห่งอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ได้ ทั้งยอดเขาไอเกอร์ (Eiger), เมินช์ (Mönch) และยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ท่ามกลางสวนสีเขียวที่ถูกโอบล้อมด้วยอาคารสวยๆ และมีวิวของยอดเขาสูงเป็นฉากหลังอีกชั้นหนึ่ง บอกเลยว่ามู้ดตรงนี้คือดีมาก ยืนมองวิวเทือกเขาตัดกับสนามหญ้าแล้วมันสวยแบบต้องหยิบกล้องขึ้นมาทุกสามนาทีเลยเลย 

นอกจากนี้ที่ สวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) ยังถูกใช้เป็นลานจอดสำหรับกิจกรรมพาราไกลดิ้งภายในเมืองอีกด้วย ดังนั้น เวลาที่เราเดินเล่นอยู่รอบๆ สวนในตอนกลางวันจะเห็นว่ามีคนลงจอดที่สนามหญ้าแทบจะตลอดเวลาเลยล่ะ ใครที่อยากเดินชมสวนท่ามกลางมู้ดสวยๆ ของเมือง แนะนำที่นี่เลย

พาราไกลดิ้ง (Paragliding) 

สำหรับใครที่อยากมาเปิดประสบการณ์ชีวิตแบบขั้นสุด กิจกรรมที่ห้ามพลาดเลยในอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ก็คือพาราไกลดิ้งนี่แหละ โดยรอบนี้ก๊อตเลือกมาเล่นกับ Twin Paragliding บริษัทท้องถิ่นที่จะพาเราไปบินฉวัดเฉวียนเหนือเมืองพร้อมนักบินพาราไกลดิ้งมืออาชีพ บอกเลยว่าฟินทุกลมที่ปะทะเข้าหน้าเลย

สำหรับขั้นตอนในการเล่นพาราไกลดิ้งนั้น ตอนที่เราจองมาสามารถเลือกรอบเวลาได้เลย เมื่อถึงเวลาแล้วทางบริษัทจะมีรถตู้มารับถึงที่พัก หรือเราสามารถมาพบกับเค้าได้บริเวณหน้าสวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) จากนั้น เค้าจะพาไปยังจุดขึ้นบินบริเวณ อามิสบูล (Amisbühl) บนบีเทนเบิร์ก (Beatenberg) ซึ่งมีความสูงถึง 1,350 เมตร  โดยเราจะใช้เวลานั่งรถตู้จากในตัวเมืองขึ้นไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงจุดหมายแล้ว 

พอมาถึงบนเขา ด้วยความที่วันนั้นหมอกลงจัดมาก นักบินจึงให้รถจอดตามจุดต่างๆ เพื่อหาทำเลปล่อยตัวที่ดีที่สุด พอได้จุดที่ลมดีแล้วก็ถึงเวลาเตรียมตัว โดยเค้าจะให้เราสวมอุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ จนครบ จากนั้นนักบินจะมาประกบหลังแล้วบรีฟสั้นๆ ซึ่งขั้นตอนไม่ยากเลย แค่เตรียมวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว! พอนักบินนับ ทรี ทู วัน เราก็แค่วิ่งสุดแรงเกิด ซึ่งเอาจริงก๊อตวิ่งไปไม่กี่ก้าว ตัวก็ลอยหวือขึ้นไปบนฟ้าแล้ว

พอได้ขึ้นไปอยู่บนฟ้าจริงๆ ทุกอย่างรอบตัวตอนนั้นสวยจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบเทียบ ลมเย็นๆ พัดกระทบใส่หน้า มือทั้งสองข้างยกโบกไปมาอย่างกับตัวเองเป็นนกที่กำลังบินว่อนอยู่บนท้องฟ้า ทุกอย่างงดงามราวกับอยู่บนสวรรค์ จากบนนี้เราสามารถมองลงไปเห็นวิวของยอดเขาไอเกอร์ (Eiger) มอนช์ (Mönch) และจุงเฟรา (Jungfrau) รวมถึงทะเลสาบทูน (Lake Thun) และทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) ที่ไหลโอบล้อมไปตามอาคารบ้านเรือนได้อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ว่าวันที่ก๊อตได้โบยบินกลับเป็นวันที่มีเมฆครึ้มเยอะมาก สุดท้ายก็เลยอดเห็นวิวยอดเขาสวยๆ ไปโดยปริยาย 

เราใช้เวลาบินอยู่บนฟ้าราวๆ 20 นาที จากนั้นนักบินก็จะพาเราค่อยๆ ลดระดับลงมาเพื่อจอดกันที่ สวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) ซึ่งความตื่นเต้นมันอยู่ที่จังหวะก่อนลงจอด นักบินเค้าจะพาเราหมุนวนอยู่บนอากาศแบบหมุนติ้วตีลังกากลับหัวเหมือนรถไฟเหาะ ถือเป็นช่วงที่ระทึกใจมาก แต่สนุกสุดๆ ซึ่งพอหมุนวนเสร็จเราก็ลงจอดที่สนามหญ้าโดยปลอดภัย เป็นอันจบการมาเปิดประสบการณ์พาราไกลดิ้งที่บอกเลยว่าคุ้มค่าอิ่มเอมใจมาก เพราะนี่เป็นอีกหนึ่ง Bucket List ที่ก๊อตได้ใฝ่ฝันอยากมาทำนานแล้ว ดังนั้น ใครที่แวะมาเที่ยวอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) แล้ว แนะนำว่าต้องลองบินซักครั้งในชีวิตนะเออ

เดินเล่นในเมืองอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) 

หลังจากดิ่งพสุธากันมาแล้ว ก๊อตจะพาทุกคนไปเดินชิลๆ ชมเมืองและธรรมชาติกันต่อ โดยเส้นทางการเดินเที่ยวของก๊อต จะเริ่มจากสวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) และเดินเลียบไปตามถนนเส้นหลักมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟอินเทอร์ลาเคิน โอสท์ (Interlaken Ost) ซึ่งระหว่างทางนี่คือสวรรค์ของนักช้อป เพราะเต็มไปด้วยสารพัดช็อปนาฬิกาลักชู ไปจนถึงร้านขายของที่ระลึกอีกเพียบ ใครที่อยากช้อปนาฬิกาอย่างแบรนด์ Omega, Rolex, Patek Philippe & Co. หรือ Tissot บริเวณนี้มีให้ดูแบบละลานตาม๊าก 

พอเราเดินพ้นจากแนวร้านค้าและช็อป จะเป็นโซนเขียวๆ ของ สวนเคอร์ซาลการ์เทน (Kursaal Garden) อันแสนร่มรื่นที่รายล้อมด้วยต้นไม้และไม้ประดับหลากชนิด นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับ Kursaal Interlaken สถานที่สำหรับเหล่านักเสี่ยงโชค รวมถึงยังเป็นพื้นที่จัดคอนเสิร์ต งานอีเวนต์ และการจัดงานสำคัญต่างๆ ในเมือง

นอกจากร้านค้าแล้ว สองข้างทางยังเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนสวยๆ ที่เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ อย่างการออกมานั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์แบบเนิบๆ ท่ามกลางบรรยากาศสโลว์ไลฟ์ที่หาได้ยากในเมืองใหญ่ รวมถึงบางจุดก็มีแปลงดอกไม้น่ารักๆ ปลูกเพิ่มความสดใสให้กับเมืองอีกด้วย 

ซึ่งพอก๊อตเดินต่อขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอกับสวนญี่ปุ่นกลางเมืองที่ชื่อว่า “Japanischer Garten Interlaken” ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางอาคารเก่าแก่ ภายในบรรยากาศร่มรื่น มีบ่อปลาคราฟ และมุมนักพักผ่อนให้ได้มาปล่อยใจจอยๆ 

หลังจากเดินมาซักพัก เราก็เริ่มมองเห็นแม่น้ำอาเร (Aare River) โดยบริเวณเลียบแม่น้ำจะมีเก้าอี้ตัวยาวตั้งเรียงรายเป็นจุดๆ ให้คนได้มานั่งพักผ่อน ท่ามกลางวิวของแม่น้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ที่ไหลเอื่อยๆ รายล้อมไปด้วยต้นไม้และบ้านคน เป็นภาพที่มองสบายตาเว่อร์ แถมในบางจุดก็มีเหล่าเป็ด และห่านลอยตุ๊บป่องเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน บางตัวก็เดินโชว์สเต็ปอยู่บนพื้นให้เราได้เก็บภาพสวยๆ  

ก๊อตเดินชมธรรมชาติจนเรามาถึงบริเวณ สถานีรถไฟอินเทอร์ลาเคิน โอสท์ (Interlaken Ost) เรียบร้อย ใครที่เล่นพาราไกลดิ้งเสร็จแล้ว อยากชมธรรมชาติบ้านเมืองของเค้า สามารถเดินเล่นตามรูทนี้ของก๊อตได้เลย 

ล่องเรือทะเลสาบทูน (Lake Thun)

มาถึงอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘เมืองแห่งสองทะเลสาบ’ ทั้งที การมาล่องเรือชมวิวจึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบทูน (Lake Thun) หรือทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) ซึ่งทั้งสองทะเลสาบนั้นสวยกันคนละฟีล และสำหรับใครที่มี Swiss Travel Pass อยู่ในมือ บอกเลยว่าคุ้มมาก เพราะเราสามารถขึ้นเรือได้แบบฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเลย โดยก๊อตขอพาทุกคนไปเริ่มล่องเรือกันที่ ทะเลสาบทูน (Lake Thun) ก่อนเลย โดยเราสามารถขึ้นเรือได้ที่ ท่าเรือ Interlaken West ที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเมืองนั่นเอง

สำหรับการ ล่องเรือทะเลสาบทูน (Lake Thun) เรือจะพาเราล่องไปบนผืนน้ำกว้างๆ ด้วยความเร็วไม่มากนัก ทำให้เรามีเวลาดื่มด่ำกับวิวสวยๆ สองฝั่งได้อย่างเต็มที่ ใครอยากชมวิวเมืองจากกลางน้ำ ก๊อตบอกเลยว่าต้องมาลอง โดยเรือที่ล่องกันนั้น จะเป็นเรือ 2 ชั้น ที่มีทั้งโซนอินดอร์และเอ้าท์ดอร์ให้เราได้เลือกนั่ง ซึ่งหลายคนเลือกมานั่งเรือดินเนอร์ชมวิวแบบชิลๆ กับบรรยากาศและมื้ออาหารสไตล์สวิสบนเรือ โดยข้างในที่เป็นโซนอินดอร์จะเป็นห้องกระจกที่เต็มไปด้วยโต๊ะเก้าอี้ มาพร้อมรายการอาหารและเครื่องดื่มให้ได้สั่ง แต่ด้วยความที่ก๊อตไม่ได้จะกินข้าว ก๊อตเลยเลือกขึ้นไปที่ชั้นสองซึ่งเป็นห้องกระจกพาโนรามาที่เหมาะกับสายเสพวิว เพราะบนดาดฟ้าเรือ สามารถมองเห็นวิวแบบเต็มตา สวยขนาดที่ไม่อยากกะพริบตาเลย

ส่วนตัวก๊อตประทับใจทริปล่องเรือนี้มาก ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนจริงที่ได้ปล่อยใจไปกับวิวทะเลสาบสีมรกต สลับกับภาพหมู่บ้านไม้สีน้ำตาลน่ารักๆ ที่ตั้งลดหลั่นกันบนเนินเขา พร้อมยอดเขาหิมะสวิสแอลป์เป็นฉากหลัง บอกเลยว่าเป็นบรรยากาศสโลว์ไลฟ์ที่ฮีลใจสุดๆ

ชมวิวอยู่ราวๆ สองชั่วโมง ก๊อตก็ลงที่ท่าเรือเมืองทูน (Thun) ที่มีความพลุกพล่านมากกว่า อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) มากกว่า โดยตอนที่ไปถึงเมืองทูน ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีครึ้มเพราะเย็นมากแล้ว ก๊อตเลยเดินเล่นเบาๆ ในเมือง ก่อนจะขึ้นรถไฟกลับอินเทอร์ลาเคินนั่นเอง 

ล่องเรือทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) 

เรามาปิดท้ายกันด้วยการล่องเรือใน ล่องเรือทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) หนึ่งในทะเลสาบที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alps) มีความยาวประมาณ 14 กิโลเมตร และกว้าง 2.8 กิโลเมตร ส่วนจุดที่ลึกที่สุดนั้นลึกถึง 260 เมตร เลื่องลือในเรื่องของน้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ที่ใสกิ๊งราวกับคริสตัล ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามและมีเสน่ห์มากที่สุดแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) นอกจากนี้ ทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) ยังเป็นแหล่งรวมกิจกรรมทางน้ำ รวมถึงมีจุดเดินป่า และเดินชมวิวเลียบทะเลสาบอยู่อีกมากมาย ซึ่งจุดนี้เอง ทำให้ ทะเลสาบแห่งนี้สามารถดึงดูดคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวให้มาเยือนอยู่ได้ตลอดทั้งปีเลย

สำหรับการล่องเรือในทะเลสาบเบรียนซ์ เราจะไปขึ้นเรือกันที่ท่าเรือท่าเรืออินเทอร์ลาเคินตะวันออก (Interlaken Ost) ซึ่งปลายทางของเรือจะไปจบที่ท่าเรือเบรียนซ์ แต่ทริปนี้ของก๊อตเราล่องไปถึงแค่ น้ำตกกีสบาค (Giessbach Waterfall) แล้วก็นั่งกลับมาที่อินเทอร์ลาเคินเหมือนเดิม ส่วนใครที่มีเวลาเหลือๆ อยากปล่อยใจจอยๆ ล่องเรือดื่มด่ำกับวิวแบบจัดเต็มก็สามารถนั่งไปจนถึงปลายทางแล้วนั่งกลับมาได้ โดยการล่องเรืออย่างเดียวโดยไม่แวะลงเที่ยวระหว่างทาง จะใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1.20 ชั่วโมง เท่านั้น ซึ่งรอบนี้ก๊อตแวะเที่ยวระหว่างทาง เลยใช้เวลานานถึงเกือบหนึ่งวันเลยทีเดียว สำหรับรอบเรือนั้น ในแต่ละฤดูกาลจะต่างกันออกไป อย่างช่วงที่ก๊อตไป เที่ยวแรกของวันจะเริ่มต้นช่วง 9 โมงเช้า ยังไงใครจะมาตามรอยอย่าลืมเช็ครอบเวลาเดินเรือกันด้วยนะ เพื่อที่เราจะได้วางแพลนเที่ยวได้ถูก

พอเรือเริ่มออกจากท่าเรืออินเทอร์ลาเคินตะวันออก (Interlaken Ost) เท่านั้น เราจะได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศสวยๆ พร้อมกับอากาศเย็นสบาย โดยมีสายลมพัดเอื่อยๆ มากระทบหน้าให้รู้สึกสดชื่นตลอดทาง ระหว่างที่เรือล่องไปด้วยความชิลๆ บนผิวน้ำมีเหล่าน้องเป็ดว่ายน้ำผุดๆ โผล่ๆ ให้ได้เห็นกันแบบเพลินตา ท่ามกลางทิวทัศน์ตามสองข้างทางที่เต็มไปด้วยหมู่บ้านไม้น่ารักๆ สลับกับภูเขาเขียวๆ ท่ามกลางผาหินสูงที่ตั้งตะหง่านเรียงรายกันไป ถือเป็นวิวที่มองได้ไม่มีเบื่อเลย และชวนให้เราว้าวกันตลอดเส้นทางเลย

หลังจากนั่งเรือล่องทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) กันมาพักใหญ่ จุดแรกที่เราแวะลงเที่ยวกันคือ หมู่บ้านอิเซลท์วัลด์ (Iseltwald) หมู่บ้านประมงเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับทะเลสาบ ใครอยากสัมผัสบรรยากาศสุดโรแมนติก โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอันงดงามราวกับหลุดออกมาจากหนังสือนิทาน ด้วยบ้านชาเลต์ไม้สีสันสดใส ห้อมล้อมเอาไปด้วยทะเลสาบสีเขียวมรกต และเทือกเขาที่สูงตระหง่าน อีกทั้งยังได้มาตามรอยซีรีส์เกาหลีชื่อดัง Crash Landing on You ต้องไม่พลาด อิเซลท์วัลด์ (Iseltwald) หมู่บ้านเล็กๆ ที่จะมอบบรรยากาศสุดอบอุ่นให้กับทุกคน

โดยไฮไลท์สำคัญของหมู่บ้านแห่งนี้ที่ทุกคนต้องแวะเลยก็คือ ท่าเรือสหายผู้กอง (Crash Landing on You Pier) ท่าเรือไม้เล็กๆ ที่ยื่นออกไปบนทะเลสาบที่ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือที่เราลงเมื่อกี้ ซึ่งจุดนี้เองที่ไปโผล่อยู่ในฉากดังของซีรีส์เกาหลี Crash Landing on You ที่รีจองฮยอก พระเอกของเรื่องกำลังเล่นเปียโนอยู่ ที่นี่เลยกลายเป็นจุดเช็คอินที่แฟนซีรีส์ต้องมาตามรอยเก็บภาพให้ได้สักครั้ง แต่แอบกระซิบก่อนว่าตอนนี้ ถ้าเราจะเข้าไปถ่ายรูปบนท่าเรือ เค้าจะเก็บค่าเข้าคนละ 5 ฟรังก์ (~200 บาท) แล้วนะ ซึ่งเราสามารถจ่ายเงินที่ตู้ตรงทางเข้าได้เลย ขอบอกว่าคิวยาวเหยียด แต่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยจริง

ซึ่งก๊อตใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้าน รวมถึงไปนั่งชิวอยู่ที่ร้านอาหารกึ่งบาร์เล็กๆ ในหมู่บ้านอยู่ร่วมชั่วโมง โดยบรรยากาศในหมู่บ้านนั้นเงียบสงบ บ้านไม้ชาเล่ต์สีน้ำตาลน่ารักๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์ ถูกปลูกกระจายกันไป ระหว่างทางมีสนามเด็กเล่นและสวนดอกไม้สวยๆ รวมถึงยังมีปราสาทซีเบิร์ก (Seeburg Castle) ที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 ด้วยตัวอาคารอันเลอค่ามีสถาปัตยกรรมที่ดูคล้ายปราสาทเล็กๆ โดดเด่นด้วยดีไซน์คลาสสิกและบรรยากาศสุดโรแมนติก ท่ามกลางแนวขุนเขาที่ทอดตัวเรียงรายเป็นฉากหลังสุดอลังการ ถือเป็นอีกจุดที่ก๊อตแนะนำให้ได้มาเก็บภาพสวยๆ กันเลย 

หลังจากได้รูปจนหนำใจแล้ว ก๊อตก็เดินกลับออกมามารอขึ้นเรือเพื่อไปกันต่อนั่นเอง น้ำตกกีสส์บาค (Giessbach Falls) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอิเซิลท์วัลด์ (Iseltwald) โดยระหว่างทางนั้นเราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวตลอดสองข้างทางของทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) แบบฟูลฟีลสุด ด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นของบ้านไม้สีน้ำตาลที่ตั้งเรียงรายไปตามแนวทะเลสาบ ท่ามกลางขุนเขาสูงตระหง่าน บางจุดมีปราสาทหลังโตให้ได้ชมความงดงามอีกด้วย ซึ่งใช้เวลานั่งไม่นานเราก็มาถึง น้ำตกกีสบาค (Giessbach Waterfall) กันแล้ว

สำหรับน้ำตกแห่งนี้ เค้าตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามของ ทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) โดยมีต้นกำเนิดมาจากแอ่งน้ำในหุบเขาสูง ฟาวฮอร์น (Faulhorn) น้ำตกหลายชั้นที่ไหลแรงแต่สง่างามผ่านแนวชั้นหินถึง 14 ชั้น รวมระยะทางกว่า 400 เมตร ซึ่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้มีการสร้างเส้นทางเดินเท้าขึ้นสู่ตัวน้ำตก รวมถึงทางเดินลอดใต้น้ำตก ทำให้เริ่มมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาชื่นชมความงามของ น้ำตกกีสบาค (Giessbach Falls) แบบไม่ขาดสายเลย โดยจุดเด่นของ น้ำตกกีสบาค (Giessbach Falls) คือทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่บนเขาสูง ท่ามกลางวิวพาโนราม่าของทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) และเทือกเขาสูงชันเบื้องหน้า นอกจากนี้บริเวณเชิงเขาด้านล่างยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมเก่าแก่อย่าง Grand Hotel Giessbach ที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคทองของการท่องเที่ยวสวิส ยืนตระหง่านอยู่เชิงน้ำตกอย่างสง่างาม ทำให้ที่นี่กลายเป็นทั้งสถานที่พักผ่อนและจุดเริ่มต้นของการเดินสำรวจน้ำตกอีกด้วย

การมาเที่ยว น้ำตกกีสบาค (Giessbach Falls) เราได้เดินเทรลไปตามเส้นทางในป่าเพื่อชมความอลังการของน้ำตก โดยเริ่มต้นเดินเข้าสู่เส้นทางสำรวจน้ำตก Circular Trail ซึ่งเป็นเส้นทางสีเขียวที่มีระยะทางประมาณ 2.8 กิโลเมตร เส้นทางนี้เริ่มจากโรงแรมและวนรอบน้ำตกกลับมาที่จุดเริ่มต้นนั่นเอง ซึ่งระหว่างทาง เราก็จะได้ชมความงดงามของต้นสนและต้นไม้นานาพันธุ์ ที่ปกคลุมไปด้วยมอสและตะไคร่ที่ชุ่มชื้น ส่วนตามพื้นจะมีตอไม้และโขดหินกระจายอยู่ ท่ามกลางเสียงซู่ซ่าของน้ำตกที่ไหลลงมาตามชั้นหิน พร้อมกับวิวทะเลสาบเบรียนซ์และโรงแรม Grand Hotel Giessbach ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา ถือเป็นภาพที่สวยอลังการเกินบรรยายมาก

พอก๊อตถ่ายรูปกันจนเสร็จแล้ว จากนั้นก๊อตรีบเดินกลับตามเส้นทางลงมายังโรงแรม แล้วตรงไปที่ท่าเรือเพื่อขึ้นเรือต่อ โดยก๊อตเลือกเดินลงเขาแทนการนั่งรถราง เพราะนอกจากทางเดินจะเป็นทางลาดลงที่ไม่เหนื่อยแล้ว ระหว่างทางยังได้ดื่มด่ำกับเส้นทางธรรมชาติที่มีมุมสวยๆ ของต้นไม้ ใบหญ้า และยังสามารถมองเห็นรถรางที่วิ่งผ่านด้านบนได้อีกด้วย นี่จึงเป็นการมาสำรวจ น้ำตกกีสบาค (Giessbach Falls) ของก๊อต ที่ใครชอบเที่ยวแบบผจญภัยท่ามกลางธรรมชาติ ต้องปักหมุดมาเช็คอินที่นี่ให้ได้เลย มันมีแต่ความใจฟูอยู่เต็มไปหมดเลย 

นั่งเรือเจ็ทโบ๊ท (Jetboat)

หากใครที่รู้สึกว่าการล่องเรือใน ทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) ยังไม่หนำใจมากพอ แล้วอยากปิดท้ายด้วยกิจกรรมมันส์ๆ ให้การเที่ยวมันฟลูฟีลมากยิ่งขึ้นนั้น ก๊อตแนะนำให้มาลอง นั่งเรือเจ็ทโบ๊ท (Jetboat) ซึ่งเค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่เราจะได้ล่องเรือความเร็วสูงไปบน ทะเลสาบเบรียนซ์ (Lake Brienz) พร้อมกับดื่มด่ำวิวของภูเขา หน้าผาสูง น้ำตก และเมืองที่อยู่รายล้อมนั่นเอง 

สำหรับ เรือเจ็ทโบ๊ท (Jetboat) ที่เรานั่งกันนั้น สามารถมาขึ้นได้ที่ ท่าเรือของเจ็ทโบ๊ท (Jetboat) เลย ในเมืองอินเทอร์ลาเคิน โดยเรือที่เราจะได้นั่งกันนั้น เป็นเรือขนาดเล็กสีแดง ที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 85 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งก่อนที่เราจะไปมันส์บนเรือนั้น เราจะต้องใส่ชุดสูทกันน้ำและเสื้อกันฝนกันก่อน เนื่องจากระหว่างที่เรานั่งเรืออยู่ด้วยความเร็วและแรงเหวี่ยงมหาศาลนั้น น้ำในทะเลสาบจะสาดกระจุยกระจายสุดมาก ซึ่งก๊อตบอกเลยว่าทุกคนจะเปียกแน่นอน ดังนั้น ชุดที่เค้าให้ใส่นี่แหละที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าเราเปียกนั่นเอง

เมื่อเรือพุ่งทะยานออกมายังทะเลสาบได้สักพัก กัปตันของเราก็ชวนเราเม้าท์มอยเรื่องสนุกๆ และคอยเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสลับกับยิงคำถามเกี่ยวกับทะเลสาบเบรียนซ์ให้เราทายเล่นกันเพลินๆ ทำให้เราได้รู้จักที่นี่มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะจุดสำคัญๆ อย่างพวกหน้าผาที่มีรูปหัวใจ น้ำตกขนาดใหญ่ ไปจนถึงหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายอยู่ข้างทาง โดยความสนุกของการนั่งเรือ คือ ในบางจุดกัปตันจะพาเราหมุนเรือแบบ 360 องศา ซึ่งจะมีการบอกล่วงหน้าเพื่อให้ทุกคนบนเรือได้เตรียมตัว เตรียมหน้าแช๊ะภาพกับกล้อง GoPro ที่อยู่หน้าเรือนั่นเอง บอกเลยว่าจังหวะเรือหมุนติ้วๆ เป็นอะไรที่ระทึกเร้าใจมาก เพราะน้ำในทะเลสาบมันจะกระเด็นสาดใส่หน้าเราเต็มๆ ยิ่งก๊อตนั่งอยู่หน้าสุดด้วยนะ ถ้าไม่มีชุดกันน้ำ นี่เปียกตั้งแต่ผมยันเท้าแน่นอน 5555555

โดยการ นั่งเรือเจ็ทโบ๊ท (Jetboat) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที กัปตันจะพาเรากลับเข้าฝั่ง ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่บนเรือมันสนุกมาก จังหวะที่เค้าพาวิ่งไปช้าๆ เราก็จะได้มองวิวสองฝั่งแบบเพลินตาสุดๆ แต่จังหวะที่เรือขับเร็วๆ มันก็สนุกสุดเหวี่ยงมาก ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์นั่งเรือที่ก๊อตชอบมาก ใครที่รู้สึกอยากเพิ่มสีสันให้กับชีวิต แนะนำมาลองเล่นได้เลย ถือเป็นการปิดจบที่ครบรสมากสำหรับก๊อต

หมู่บ้านกรินเดลวัลด์ (Grindelwald)

หากใครยังไม่เต็มอิ่มกับการเที่ยวในอินเทอร์ลาเคิน ก๊อตอยากชวนให้นั่งรถไฟจากบริเวณสถานีรถไฟอินเทอร์ลาเคิน โอสท์ (Interlaken Ost) มายัง หมู่บ้านกรินเดลวัลด์ (Grindelwald) โดยเราจะใช้เวลานั่งรถไฟประมาณ 35 นาที เพื่อมาลงยัง สถานีกรินเดลวัลด์ (Grindelwald Station) เราก็จะมาถึงหมู่บ้านไม้สไตล์สวิสแท้ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนี้ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ยุคกลางที่ในสมัยนั้นเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของสวิส

ปัจจุบันนี้ หมู่บ้านกรินเดลวัลด์ (Grindelwald) เลื่องลือในเรื่องทิวทัศน์ของภูเขาที่งดงามและยังเป็นศูนย์รวมกิจกรรมกลางแจ้งที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี ทำให้บรรยากาศของหมู่บ้านคึกคักและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งแรกที่ก๊อตจะทำเลยคือการนั่งกระเช้าขึ้นไปยังด้านบนของยอดเขากรินเดลวาลด์ เฟียส (Grindelwald First) โดยเราจะต้องเดินผ่านหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามแนวสองฝั่งของถนน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะเปิดเป็นร้านอาหาร ไม่ก็ร้านขายของ โดยแต่ละร้านที่ก๊อตเดินผ่านมา บอกเลยว่ามีลูกค้าเข้าออกอยู่เนืองแน่นมาก 

เดินเล่นตามเมืองมาเรื่อยๆ พร้อมกับเก็บบรรยากาศสวยๆ ตามสองข้างทาง ก๊อตก็มาถึงจุดขึ้นกระเช้าเพื่อไปยังยอดเขากันแล้ว โดยก๊อตขึ้นจากบริเวณสถานีเฟิร์สบาห์น (Firstbahn) หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Grindelwald BGF ความน่ารักระหว่างขึ้นกระเช้าคือ เราจะได้ดื่มด่ำกับวิวของหุบเขาที่มีบ้านคนและน้องวัว แกะ แพะ ยืนเล็มหญ้าให้ได้มองกันอยู่ตลอดเส้นทาง บางจุดก็ฟู่ฟ่าด้วยน้ำตกขนาดใหญ่ท่ามกลางต้นสนมากมาย เป็นมู้ดที่หากใครมาวันฟ้าเปิด ก๊อตบอกเลยว่าเหมือนนั่งกระเช้าอยู่ท่ามกลางสวรรค์ เพราะมองไปทางไหนก็สวยตระการตาไปหมด

ยิ่งกระเช้าไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาพบ้านเรือนด้านล่างค่อยๆ เล็กลง จนสุดท้ายเหลือเพียงแต่วิวของเนินเขาสีเขียวแซมน้ำตาลที่ลดหลั่นกันไปท่ามกลางป่าสนสุดลูกหูลูกตา อย่างวันที่ก๊อตไปนั้น หมอกสีขาวลอยล่องอยู่ในระดับที่เรามองเห็นได้ใกล้มาก ฟีลเหมือนนั่งกระเช้าอยู่บนสวรรค์ที่ก๊อตอยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตาเนื้อมาก เพราะวิวจริงๆ เค้าสวยกว่าในภาพที่เราถ่ายมาแบบสุดๆ

ยอดเขากรินเดลวาลด์ เฟียส (Grindelwald First)

นั่งชมวิวอยู่บนกระเช้าไม่นาน ก๊อตก็ขึ้นมาถึงสถานีปลายทางบน ยอดเขากรินเดลวาลด์ เฟียส (Grindelwald First) ที่ความสูง 2,168 เมตร ที่นี่คือสวรรค์ของสายกิจกรรมกลางแจ้งเพราะมีเครื่องเล่นสุดระทึกให้เลือกลองเพียบ ไม่ว่าจะเป็น First Flyer ที่เราจะได้นั่งนั่งสลิงห้อยขาที่จะพาเราลอยไปในอากาศบนเส้นทางยาว 800 เมตร ด้วยความเร็ว 84 กิโลเมตร/ ชั่วโมง หรือจะเป็น First Glider ที่บินร่อนไปเหมือนนกแบบนุ่มนวล แต่ถ้าใครชอบความตื่นเต้นและท้าทาย ต้องไปลอง First Mountain Cart ที่ให้เราบังคับรถสามล้อไถลงเขาไปเลย

แต่ที่ก๊อตตั้งใจมาเลยก็คือ First Cliff Walk โดยเค้าจะเป็นเส้นทางเดินที่สร้างอยู่ติดกับหน้าผาให้เราได้เดินลัดเลาะไปตามเส้นทาง โดยไฮไลท์เลยก็คือบริเวณ สะพานแขวนที่มองเห็นวิวของหุบเขากรินเดลวาลด์ (Grindelwald) และยอดเขาไอเกอร์ (Eiger) ส่วนอีกจุดคือบริเวณจุดชมวิวที่สร้างยื่นออกไปจากหน้าผา ที่เราจะได้เห็นวิวของยอดเขาแอลป์และธรรมชาติที่งดงาม แต่น่าเสียดายที่วันที่ก๊อตไปนั้นหมอกลงจัดมาก ระดับที่ว่ารอบตัวเราขาวโพลนไปหมดจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย นี่เลยทำได้แค่เก็บภาพบรรยากาศเท่าที่ไหวมาฝากทุกคนแทนนะ ส่วนภาพวันฟ้าใสในรีวิวนี้ ก๊อตเอาภาพจากเว็บการท่องเที่ยวสวิสที่ก๊อตเอามาให้ทุกคนได้ดู เพื่อให้นึกภาพออกว่าที่นี่นั้นสวยขนาดไหนนะเออ 

บอกเลยว่าหากเรามาเที่ยวในวันฟ้าเปิด เส้นทางเดินบนนี้เหมือนสวรรค์ของจริง เพราะเราจะได้ดื่มด่ำกับวิวได้แบบสวยอลังการมาก โดยรวมแล้ว การขึ้นมาบน ยอดเขากรินเดลวาลด์ เฟียส (Grindelwald First) ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องมาทำ ยิ่งใครที่เป็นสายกิจกรรมกลางแจ้ง ชอบเล่นอะไรผาดโผนหน่อยๆ บนนี้มีอะไรให้ได้มาลองเล่นเพียบ แถมยังเป็นจุดที่หากมาวันฟ้าใสเป็นใจ วิวที่ได้สัมผัสนั้น เรียกได้ว่าเป็นวิวหลักล้านของแท้เลย

ร้านอาหาร Berggasthaus First

สำหรับใครที่เดินเล่นจนหิวแล้วอยากเติมพลัง ด้านบนเค้ามีร้านอาหารที่ชื่อ Berggasthaus First ตั้งอยู่ด้วยนะ โดยเราสามารถเดินจากสถานีขึ้นมา หรือเดินออกมาจากทางเดินเลียบเขาก็จะมาถึงร้านกันแล้ว ซึ่งร้านนี้เค้าเป็นร้านอาหารที่ได้ชื่อว่าวิวสวยมากที่สุดแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าการทานอาหารของที่นี่จะฟินมากยิ่งขึ้นด้วยวิวของเทือกเขาแอลป์โดยรอบได้อย่างแน่นอน

ภายในร้านบรรยากาศโฮมมี่ๆ เหมือนเรามาบ้านเพื่อน เฟอร์นิเจอร์และวัสดุของร้านล้วนเป็นไม้ให้ฟีลอบอุ่น ในส่วนของที่นั่งมีที่นั่งทั้งแบบอินดอร์ และเอาท์ดอร์ที่เป็นระเบียงกลางแจ้ง โดยที่นี่เน้นเสิร์ฟอาหารสวิสแบบดั้งเดิม อย่างพวกชีสฟองดู (Cheese Fondue), แร็กเกลต (Raclette) และอาหารท้องถิ่นอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีอาหารจานหลัก และเครื่องดื่มให้ได้มาเลือกกินหลากหลาย

สำหรับอาหารสวิสดั้งเดิมที่ก๊อตอยากแนะนำคือ Älpler Mac and Cheese พาสต้าที่คลุกเคล้าเข้ากับมันฝรั่งหั่นพอดีคำ มาในซอสและชีสรสนัว โรยหน้ามาด้วยเบคอนกรอบๆ และหัวหอมทอดกลิ่นหอมฟรุ้ง เสิร์ฟคู่กับซอสแอปเปิ้ลสูตรเด็ดจากทางร้าน กินเข้ากันตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดี ส่วนเครื่องดื่มจะสายแอล สายน้ำอัดลม หรือสายหวานที่นี่เค้าก็มีให้เลือกตั้งแต่ไวน์ กาแฟ ไปจนถึงช็อกโกแลตร้อนกันเลยทีเดียว ดังนั้น ใครที่อยากหาอะไรกิน แนะนำให้แวะที่ Berggasthaus First ก๊อตเชื่อว่าอาหารเค้าถูกปากคนไทยแน่นอน เพราะนัวสะใจมาก

กระท่อมอัลไพน์ เก็มส์ฮึทเทอะ (Alpine Gemshütte)

ติดกับร้านอาหารจะมีกระท่อมหลังเล็กๆ สไตล์อัลไพน์ตั้งอยู่ท่ามกลางเนินเขา ที่นี่คือ กระท่อมอัลไพน์ เก็มส์ฮึทเทอะ (Alpine Gemshütte) ซึ่งเดิมทีเคยเป็นโบสถ์มาก่อน แต่ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่พักบนยอดเขา Grindelwald First Mountain Hotel ที่กระจายตัวอยู่บน กรินเดลวัลด์ (Grindelwald) โดย กระท่อมอัลไพน์ เก็มส์ฮึทเทอะ (Alpine Gemshütte) สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึง 15 คนเลยทีเดียว ใครที่อยากเข้าพักบนเขา ที่นี่ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีเลย

ความเริ่ดคือ การเข้าพักที่นี่ เราจะได้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางวิวของหมอกและหุบเขาอันกว้างใหญ่ ที่สามารถมองลอดผ่านทางหน้าต่างได้โดยไม่มีอะไรมาบดบังความงดงามนี้ ใครอยากได้มู้ดตื่นขึ้นมาบนยอดเขา อีกทั้งยังมาเที่ยวกันเป็นแก๊งใหญ่ อยากเปิดประสบการณ์พักบนยอดเขาแบบกิ๊บเก๋สักคืน ก็ลองติดต่อเข้ามาพักได้ ซึ่งความพิเศษของที่นี่อีกอย่าง นอกจากจะเป็นที่พักได้แล้ว กระท่อมอัลไพน์ เก็มส์ฮึทเทอะ (Alpine Gemshütte) ยังเป็นสถานที่สำหรับใช้จัดงานแต่ง หรือทำพิธีต่างๆ ให้กับผู้คนได้อีกด้วย คือคนท้องถิ่นเค้าบอกมาเลยว่า กระท่อมหลังนี้เคยผ่านพิธีแต่งงานของคู่บ่าวสาวมานับไม่ถ้วนเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นอีก Hidden Gem ของกรินเดลวัลด์ (Grindelwald) จริงๆ 

งานแข่งสกีเลาเบอร์ฮอร์น (Lauberhorn Ski Race)

นอกเหนือจากที่เที่ยวสวยๆ และการล่องเรือที่ก๊อตเล่าไปก่อนหน้านี้แล้ว ก๊อตขอเล่าอีกหนึ่งประสบการณ์ล้ำค่ากับการได้ไปดูงานระดับโลกอย่าง งานแข่งสกีเลาเบอร์ฮอร์น (Lauberhorn Ski Race) ซึ่งถือเป็นการแข่งขันสกีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป และเป็นหนึ่งในรายการกีฬาฤดูหนาวที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โดยมีผู้เข้าร่วมชมกว่า 30,000 คนต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งสถานที่จัดงานก็อยู่ไม่ไกลจากอินเทอร์ลาเคิน โดยจัดขึ้นที่บริเวณภูเขาเลาเบอร์ฮอร์น (Lauberhorn) ระหว่างหมู่บ้านเวงเงิน (Wengen) และกรินเดลวัลด์ (Grindelwald) นั่นเอง 

โดยก่อนหน้านี้ ก๊อตมีโอกาสมาอินเทอร์ลาเคินร่วมกับสายการบิน SWISS ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของงานแข่งนี้พอดี เราเลยได้มีโอกาสมาสัมผัสกับงานแข่งขันนี้กันแบบจัดเต็ม ซึ่งปกติแล้ว หากเราจะเดินทางขึ้นไปชมการแข่งขันสกีนี้ จะนั่งรถไฟขึ้นไปยังสถานีไคลเนอไชเด็ค (Kleine Scheidegg) ซึ่งตั้งอยู่กลางเทือกเขา แต่รอบนี้พิเศษสุดๆ เพราะก๊อตได้บินด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปยังสถานีเลย บอกเลยว่ากรี๊ดมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์  ซึ่งความเว่อร์วังคือ ตลอดเส้นทางที่เราบินอยู่บนท้องฟ้า สามารถมองออกไปเห็นวิวของแนวเทือกเขาด้านล่างได้ ซึ่งมันสวยมาก เพราะภูเขาแต่ละลูกจะเต็มไปด้วยหิมะสีขาวปกคลุมอยู่เต็มไปหมด

พอลงจากเฮลิคอปเตอร์ที่ไคลเนอไชเด็ค (Kleine Scheidegg) ตัวก๊อตเองยังต้องเดินต่อไปยังเลาเบอร์ฮอร์น (Lauberhorn) ที่เป็นสนามแข่ง งานแข่งสกีเลาเบอร์ฮอร์น (Lauberhorn Ski Race) นั่นเอง โดยระหว่างทางนั้น เราจะได้เห็นภาพอันสวยงามของเทือกเขาสวิสแอลป์ (Swiss Alps) พร้อมกับบรรยากาศที่สนุกสนานของฝรั่งที่พร้อมจะไปเล่นและดูการแข่งสกีตลอดทาง

เมื่อเราเดินมาถึงงาน คลื่นมนุษย์ที่หลั่งไหลมาชมการแข่งขันจากทั่วทุกมุมโลก ทุกคนนั้นล้วนแต่งตัวจัดเต็ม และต่างพากันยืนอยู่บนหิมะเพื่อเตรียมพร้อมไปเอ็นจอยกับงานแข่งเว่อร์ สำหรับ งานแข่งสกีเลาเบอร์ฮอร์น (Lauberhorn Ski Race) ถือเป็นหนึ่งในรายการกีฬาฤดูหนาวที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ชมราว 30,000 คนต่อปี ซึ่งเส้นทางดาวน์ฮิลล์ของที่นี่ถือเป็นตำนานของวงการสกีโลกเพราะเป็นสนามแข่งที่ยาวที่สุดในโลก โดยมีระยะทางกว่า 4.4 กิโลเมตร โดยใช้เวลาการแข่งขันเฉลี่ยราว 2 นาทีครึ่ง ซึ่งใช้เวลาแข่งนานกว่าสนามอื่นถึง 30-45 วินาที โดยไฮไลท์คือช่วง Haneggschuss เป็นโซนที่นักกีฬาทำความเร็วได้สูงสุดถึง 160 กม./ชม. ซึ่งถือเป็นความเร็วสูงสุดในเวิลด์คัพเลยทีเดียว

และอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ทุกคนรอคอยก็คือ การแสดงทางอากาศสุดตระการตาจาก Patrouille Suisse ทีมแสดงผาดโผนทางอากาศของกองทัพอากาศสวิส ที่จะบินโชว์ด้วยฝูงบินเจ็ต F-5E Tiger II เหนือเทือกเขาแอลป์ ท่ามกลางฉากหลังของยอดเขาไอเกอร์ (Eiger), เมินช์ (Mönch) และจุงเฟรา (Jungfrau) ที่สวยจับใจ เป็นโมเมนต์ที่ทั้งอลังการสุดๆ และเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ฤดูหนาวที่ทั้งตื่นเต้นและน่าประทับใจที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ของก๊อตเลย

ส่วนบรรยากาศรอบๆ ลานแข่งสกีนั้น เราจะได้ซึมซับความสวยงามของเทือกเขาสวิสแอลป์ (Swiss Alps) พร้อมกับบรรยากาศคึกคักและสนุกสนานของฝรั่งที่พร้อมจะไปดูการแข่งสกีและเชียร์นั่นเอง ใครที่อยากดู งานแข่งสกีเลาเบอร์ฮอร์น (Lauberhorn Ski Race) ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยิ่งใหญ่ระดับโลกขนาดนี้ ต้นปีให้ลองจองตั๋วมาชมกันได้ โดยรวมมันเป็นงานแข่งขันที่ทำออกมาได้ดีมาก อีกทั้งยังได้ดูโชว์เครื่องบินที่มีให้ดูแค่ปีละครั้ง คือหาดูได้ยากมากบอกเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือ ของแถมที่ก๊อตอยากเล่า เพราะถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีที่ไม่มีวันลืมเลย 

ที่พักในอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken)
The VICTORIA-JUNGFRAU Grand Hotel & Spa

สำหรับโรงแรมที่ก๊อตได้พักใน อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) จะมีอยู่ด้วยกัน 2 โรงแรม ซึ่งก๊อตจะรีวิวไปทีละที่ เริ่มจากโรงแรมที่ดีและหรูหราสุดของเมืองอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) คือ The VICTORIA-JUNGFRAU Grand Hotel & Spa โรงแรมระดับ 5 ดาว ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 150 ปี อีกทั้งยังตั้งอยู่ในทำเลที่โคตรจะโดดเด่น เพราะอยู่กลางเมืองด้านหน้าของ สวนเฮอเฮ่อมัท (Hohematte) เลย แค่บรรยากาศด้านนอกที่เห็นก็ต้องบอกเลยว่าเว่อร์วังอลังการสมกับเป็นโรงแรมแกรนด์โฮเทลจริงๆ

ห้องพักที่ก๊อตได้นอนนั้นคือห้องแบบ Junior Suite Deluxe สำหรับสองคน (แต่นี่นอนคนเดียว) ภายในห้องขนาด 40 ตร.ม. โอ่อ่ากว้างขวางมาก แถมยังแบ่งสัดส่วนอย่างเป็นระเบียบ มีทั้งโซนที่เป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำ และที่มากไปกว่านั้น วิวของห้องที่ก๊อตเข้าพัก ดันอยู่ด้านหน้าโรงแรมที่หันหน้าออกไปทางเทือกเขาสวิสแอลป์ (Swiss Alps) อีกด้วย และด้วยความที่ห้องพักของก๊อตมีระเบียงให้ออกไปนั่งชิล ชมวิวเมืองและสวนเขียวๆ แบบเพลินๆ คือทั้งดีและฟินมากกก

สำหรับภายในห้องพัก ก๊อตบอกเลยว่านอกจากแปลนห้องที่แบ่งสัดส่วนดีแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีมาให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน โซฟาเบดที่หากเมื่อยๆ แล้วยังไม่อยากขึ้นเตียงก็มานอนเอกเขนกได้ รวมถึงยังมีเครื่องทำกาแฟที่เค้าจะเติมแคปซูลให้ฟรีตลอดเวลา อันนี้ถูกใจคอกาแฟอย่างก๊อตมาก ส่วนเตียงนอนก็หนานุ่มนอนสบายสุดๆ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ห้องน้ำ คือแกร ห้องน้ำที่นี่ใหญ่อลังการม๊าก อย่างกับห้องน้ำในวังจากหนังยุโรปที่ดูมา คือประทับใจมาก ชอบสุดๆ 

ส่วนเรื่องอาหารเช้านั้น ถือว่าดีและตัวเลือกเยอะมาก โดยเค้าจะมีห้องอาหารให้เราได้เข้าไปกินข้าวกันแบบจุใจ ภายในห้องอาหารตกแต่งโคตรสวยและเลอค่าแบบหรูหราหมาเห่าของจริง แต่แอบเสียดายที่ก๊อตไม่ได้ถ่ายรูปห้องอาหารมาจ้า แต่อยากบอกว่าใครที่เข้าพัก ให้ตื่นมากินข้าวเช้าได้เลย มันเหมือนเราซ้อมเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายฟีลนั้นเลย อันนี้ไม่ได้เว่อร์ พูดจริงๆ 55555

ใครที่มีบัตเจทถึง ก๊อตแนะนำให้มาลองพักที่ The VICTORIA-JUNGFRAU Grand Hotel & Spa จริงๆ แม้ราคาอาจจะแรงหน่อย แต่เมื่อเทียบกับบรรยากาศและโลเคชั่นใจกลางเมืองที่เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกสุดๆ แล้ว บอกเลยว่าคุ้มค่ามาก โดยราคาห้องต่ำสุดจะเริ่มต้นที่ 12,000 บาท/คืน ส่วนห้อง Junior Suite Deluxe ที่ก๊อตรีวิวนั้นจะเริ่มที่ 25,000 บาท/คืน 

Backpackers Villa Sonnenhof 

จากที่พักที่แพงที่สุดในเมืองแล้ว อีกหนึ่งที่พักสำหรับสายบัตเจที่ก๊อตได้มีโอกาสมานอนก็คือ Backpackers Villa Sonnenhof โฮสเทลน่ารักๆ ที่มาในบรรยากาศแบบเป็นกันเองสุดๆ ซึ่งที่นี่เรียกว่าป๊อบในหมู่นักท่องเที่ยวที่มากันเป็นแก๊งค์เพื่อน หรือสายแบ็คแพ็คเกอร์มาก เพราะนอกจากราคาต่อคืนที่เทียบกับการเข้าพักโรงแรมอื่นๆ จะถูกมากแล้ว ภายในเค้ายังมีห้องพักที่เรียบง่าย และมีห้องหลายไทป์ให้เลือก รวมถึงยังมีพื้นที่ส่วนกลางให้ได้ใช้ร่วมกันแบบจุใจเลย 

ห้องพักที่ Backpackers Villa Sonnenhof จะมีทั้งแบบห้องพักรวม และห้องพักส่วนตัว โดยห้องพักรวมจะเหมาะกับสายแบกเป้เที่ยวคนเดียว แล้วต้องการหาเพื่อนใหม่ๆ ในระหว่างทางเที่ยว สำหรับห้องพักแบบส่วนตัว จะเป็นห้องพักที่มีให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ห้องเตียงเดี่ยวไปจนถึงเหมาห้อง 6 เตียง ซึ่งส่วนตัวก๊อตเลือกเข้าพักเป็นห้องแบบ 2 เตียงเดี่ยว ภายในห้องขนาดกำลังพอดี มีพื้นที่ให้เรากางกระเป๋าได้สบายๆ โดยก๊อตได้ห้องที่มีหน้าต่างหันหน้าออกไปทางถนน ซึ่งฝั่งตรงข้ามจะเป็นพื้นที่สนามหญ้าที่เค้าเอาวัวมาผูกกินหญ้ากัน ตลอดทั้งคืนเราเลยจะได้ยินเสียงกระดิ่งกรุ้งกริ้งไม่หยุดกันเลยทีเดียว

ส่วนในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานให้ครบครัย โดยในห้องจะมีที่กางกระเป๋า รวมถึงโต๊ะเก้าอี้ที่เราสามารถนั่งทำงานได้ สำหรับพื้นที่ส่วนกลาง เค้าจะมีโซนแยกพวกห้องครัวที่บอกเลยว่าใครชอบทำอาหารมาแล้วชอบแน่นอน เพราะด้านในนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำอาหารแบบครบมาก กระทะ หม้อ เตาแก๊ส ตู้เย็น และอุปกรณ์อื่นๆ มีครบหมด เราสามารถมาทำอาหารและนั่งกินในโซนโต๊ะเก้าอี้ที่เค้าจัดไว้ให้ได้เลย 

ส่วนที่เหลือจะเป็นโซนห้องซักผ้า ห้องนั่งเล่น ไปจนถึงพื้นที่สวนกลางแจ้ง ซึ่งทั้งหมดนี้เราสามารถใช้งานได้ทุกอย่าง ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางของ Backpackers Villa Sonnenhof ครอบคลุมทุกฟังก์ชันการเข้าพักมาก และที่เริ่ดเลยคือเค้ามีมื้อเช้าให้ด้วยนะ แต่จะเป็นอาหารง่ายๆ อย่างซีเรียล ขนมปัง และแยมให้ได้มาฝากท้องกัน โดยรวม Backpackers Villa Sonnenhof สำหรับก๊อตเป็นโฮสเทลที่ดีเลยล่ะ ใครอยากเซฟงบที่พักแล้วเอาเงินไปลงกับการเที่ยว ก๊อตแนะนำเลย ที่พักสะอาดสะอ้าน ถึงจะเป็นโฮสเทลแต่มันดูเงียบสงบไม่วุ่นวาย ใครมองหาห้องพักราคาเบาๆ มาที่นี่ได้เล้ยย

สรุปการมาเที่ยว อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken)

และนี่ก็คือการมาเที่ยว อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) ทั้งหมดของก๊อตนั่นเอง ส่วนตัวก๊อตเอง นี่เป็นการกลับมาเที่ยวเมืองนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เยอะมาก ทั้งพาราไกลดิ้งที่เปิดประสบการณ์ชีวิตสุดๆ เจ็ทโบ๊ทสุดมันส์ ยังไม่นับการได้ขึ้นไปบนยอดเขากรินเดลวาลด์ เฟียส (Grindelwald First) ที่แม้จะมองเห็นวิวเทือกเขาแอลป์แบบจางๆ แต่เส้นทางบนกระเช้าที่ขึ้นไปในบางจุดเราก็ได้ดื่มด่ำกับวิวด้านล่างแบบตระการตามาก ยกให้เป็นเมืองที่มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย แถมมู้ดเมืองก็ดี เดินไปทางไหนก็ถ่ายรูปออกมาสวยสับทุกมุม ใครที่มาเที่ยวสวิสแล้วอยากเปิดโลกอย่างแท้จริง อินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) คือที่สุดแล้ว 

ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025

⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก

หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡

> ส่วนลด Agoda.com (อโกด้า)
> ส่วนลด Booking.com (บุคกิ้ง)
>  ส่วนลด Expedia (เอ็กซ์พีเดีย)
> ส่วนลด Klook (คลุก)
> ส่วนลด KKday ( เคเคเดย์)