จุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ใครที่คิดว่าการมาเที่ยว สวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) เหมือนได้มาเยือนสวรรค์บนดินแล้ว ชีวิตเรายังคอมพลีทได้อีก หากได้ขึ้นมายัง ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) หนึ่งในเทือกเขาสวิสแอลป์ที่โด่งดังไปทั่วโลก ด้วยบรรยากาศของหิมะขาวโพลนที่อยู่ตามแนวยอดเขาตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะมองไปยังทิศทางไหนรอบตัวของเราก็รายล้อมไปด้วยหิมะจนดูเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางมาชเมลโล่สีขาวนิ่มฟู ที่ก๊อตบอกเลยว่าเป็นบรรยากาศที่เว่อร์วังมาก ซึ่งด้านบนยอดเขานั้น มีไฮไลท์ห้ามพลาดอย่างจุดชมวิวที่ได้รับการยกย่องให้เป็นพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของยุโรปจาก UNESCO อีกด้วย ใครที่อยากได้มู้ดของหิมะขาวๆ ท่ามกลางยอดเขาสูง การได้ขึ้นมาบน ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) เป็นอะไรที่เริ่ดและคุ้มค่าสุดๆ แล้ว
รู้จัก จุงเฟรายอค (Jungfraujoch)
ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) หรือเรียกอีกชื่อว่า จุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) ตั้งอยู่ในเมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) ของสวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) ถือเป็นหนึ่งในยอดเขาของเทือกเขาแอลป์ที่มีชื่อเสียงและเปรียบเหมือนแลนด์มาร์คประจำสวิสไปเป็นที่เรียบร้อย โดยยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) มีความสูงถึง 4,158 เมตร (13,642 ฟุต) ทำให้พื้นที่ด้านบนของยอดเขามีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี ดังนั้น ใครที่ตั้งใจอยากมาเห็นหิมะขาวโพลนราวกับมาชเมลโล่ที่ปกคลุมไปตามยอดเขา ก๊อตบอกเลยว่าขึ้นมาบนนี้ได้เห็นกันแบบจุใจมาก
ความเว่อร์วังของ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะที่นี่ได้รับการยกย่องให้เป็นพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของยุโรปจาก UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 2001 แถมบนยอดเขายังมีจุดชมวิวที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในยุโรป (Top of Europe) อยู่อีกด้วย โดยคำว่า จุงเฟรา (Jungfrau) มาจากภาษาเยอรมันที่มีความหมายว่า “สาวน้อย” ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) นั้น มีทิวทัศน์ที่งดงามและเลอค่ามากแค่ไหน โดยปัจจุบันนี้ ที่นี่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของเหล่านักท่องเที่ยว นักสำรวจ และนักปีนเขา อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟ Jungfraujoch ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรปอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ เลยทำให้ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่ไม่ว่าใครมาเยือนสวิสจะต้องมาสักครั้งนั่นเอง
วิธีการเดินทางขึ้น ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau)
สำหรับการจะขึ้นไปบนยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ถือเป็นเรื่องที่สะดวกสบายมาก ด้วยความเริ่ดของระบบขนส่งของสวิส ทำให้เราสามารถขึ้นไปยังยอดเขาได้ด้วยกระเช้าและรถไฟ โดยวิธีการเดินทางขึ้นไปนั้นจะมี 2 เส้นทาง คือจากกรินเดลวาลด์ Grindelwald ที่เป็นทางที่รวดเร็วและสั้นที่สุด เนื่องจากเรานั่งกระเช้าขึ้นไป กับอีกเส้นทางจากเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) ที่นั่งรถไฟล้วน ทำให้ระยะเวลาเดินทางนั้นนานกว่าแต่ก็ได้ชมวิวแบบจุใจนั่นเอง ทั้งนี้ วิธีการเดินทาง ก๊อตจะขอเริ่มต้นรูทจากเมืองอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) เนื่องจากนักท่องเที่ยวหลายคนที่ไปเที่ยวจุงเฟรามักจะพักที่ที่เมืองนี้กันเป็นเบสหลักเนอะ
เส้นทางที่สั้นและเร็วมากที่สุด Interkaken > Grindelwald > Jungfraujoch
เส้นทางนี้ถือเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการขึ้นไปยัง จุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) เพราะใช้ทั้งรถไฟและกระเช้าลอยฟ้าความเร็วสูง Eiger Express ซึ่งช่วยลดเวลาเดินทางได้เยอะมากเมื่อเทียบกับอีกเส้นทางที่ใช้รถไฟล้วน โดยรูทนี้เราจะได้เห็นให้วิวพาโนรามาสุดอลังการของเทือกเขาแอลป์แบบเต็มอิ่มตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางเลย
- Jungfrau Railway: รถไฟจากสถานีอินเทอร์ลาเคิน โอสท์ (Interlaken Ost) > สถานีกรินเดลวาลด์ (Grindelwald Terminal) ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยระหว่างทางจะผ่านเมืองไวล์เดอร์สวิล (Wilderswil) และหมู่บ้านในหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยวิวภูเขาสุดอลัง แล้วเดินไปยังสถานีกระเช้าลอยฟ้า Eiger Express ที่เชื่อมต่อกัน
- Eiger Express: นั่งกระเช้าลอยฟ้าจาก สถานีกรินเดลวาลด์ เทอร์มินัล (Grindelwald Terminal) ต่อ กระเช้าลอยฟ้า Eiger Express ซึ่งเป็นกระเช้าความเร็วสูงโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที ไปยัง สถานีไอเกอร์เกลตเชอร์ (Eigergletscher) ตลอดเส้นทางเราจะได้ชมวิวพาโนรามาของเทือกเขาแอลป์ และถ้าหากมาในช่วงฤดูหนาว เราจะได้เห็นลานสกีและทิวทัศน์หิมะปกคลุมเป็นมาร์ชเมลโลวเลย
- Jungfrau Railway: จาก สถานีไอเกอร์เกลตเชอร์ (Eigergletscher) ต่อไปยัง รถไฟฟันเฟือง Jungfrau Railway ขึ้นสู่ สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป ใช้เวลาประมาณ 25 นาที โดยรถไฟจะวิ่งผ่านอุโมงค์ภายในภูเขาไอเกอร์ (Eiger) และระหว่างทางมีจุดชมวิวสองจุด คือ จุดชมวิวไอเกอร์วานด์ (Eigerwand) และไอส์เมียร์ (Eismeer)
* ส่วนตัวก๊อตเองเดินทางด้วยวิธีนี้ และซื้อตั๋วแบบครบชุดจาก Klook ที่เราสามารถเดินทางไปถึงด้านบนยอดเขาจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) ได้แบบไม่มีสะดุด ยิ่งก๊อตเองที่ถือ Swiss Travel Pass ด้วยนั้น Klook เองเค้าก็มีตัวเลือกที่ได้รับส่วนลด 25% เรียบร้อยแล้วสำหรับคนที่ถือพาสให้เราได้ซื้อด้วย ซึ่งอันนี้สะดวกมาก เพราะไม่ต้องไปเข้าคิวต่อแถวซื้อตั๋วใดๆ แล้ว เราจะได้มาเป็น QR Code แล้วแสกนหน้างานได้ทันทีเลย อันนี้คือโคตรดีและแนะนำมากๆ เลยล่ะ
เส้นทางที่เดินทางด้วยรถไฟล้วน Interlaken > Lauterbrunnen > Jungfraujoch
เส้นทางนี้ถึงแม้จะใช้เวลาเดินทางนานกว่า แต่ก็เป็นทางเลือกที่คลาสสิกและได้บรรยากาศของการเดินทางขึ้นยอดเขาจุงเฟราด้วยรถไฟฟันเฟืองแบบดั้งเดิม แถมยังได้ชมวิวสวยๆ ของหมู่บ้านและเทือกเขาตลอดเส้นทางอีกด้วย
- Jungfrau Railway: นั่งรถไฟจาก สถานีอินเทอร์ลาเคิน โอสท์ (Interlaken Ost) > สถานีเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen)
- Wengernalp Railway: ต่อรถไฟฟันเฟืองจาก สถานีเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) > สถานีไคลเน ไชเด็ค (Kleine Scheidegg) โดยรถไฟสายนี้จะพาผ่านวิวหมู่บ้านเวงเงิน (Wengen) และเทือกเขาสวยๆ ตลอดทาง
- Jungfrau Railway: ต่อรถไฟฟันเฟืองจาก สถานีไคลเน ไชเด็ค (Kleine Scheidegg) > สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) โดยเส้นทางนี้จะลอดอุโมงค์ผ่านภูเขาไอเกอร์ (Eiger) และให้แวะชมวิวที่จุดชมวิวไอเกอร์วานด์ (Eigerwand) และไอส์เมียร์ (Eismeer) ระหว่างทาง
ใช้ Swiss Travel Pass เที่ยวยอดเขาจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ได้มั้ย?
ทีนี้ ก๊อตบอกก่อนวิธีการเดินทางอาจจะไม่งงมาก แต่เรื่องงกว่าคือสำหรับคนที่ถือพาสต่างๆ นั้นเอง โดยก๊อตขอสรุปออกเป็นแบบนี้คือ ใครที่ถือ Swiss Travel Pass ตัวพาสจะครอบคลุมแค่ Jungfrau Raiways ในส่วนแรกของทั้งสองเส้นทางจาก สถานีอินเทอร์ลาเคิน โอสท์ (Interlaken Ost) เท่านั้น ส่วน Eiger Express, Wengernalp Railway และ รถไฟฟันเฟือง Jungfrau Railway ในส่วนสุดท้าย ตัว Swiss Pass จะไม่ครอบคลุม แต่จะเป็นการให้ส่วดลดตามประเภทของพาสที่เรามี ซึ่งจะมีส่วนลดเริ่มต้นที่ 25% ขึ้นไป แล้วแต่ซีซั่น
เที่ยวให้คุ้มด้วย Swiss Travel Pass
ใครจะมาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะมาเที่ยวเมืองไหน ก๊อตแนะนำว่าควรซื้อ Swiss Travel Pass มาไว้ด้วย เพราะพาสนี้เราสามารถเอามาใช้ขึ้นขนส่งสาธารณะได้ทุกอย่างในสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เรือ และรถประจำทางต่างๆ โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว และระยะทาง นอกจากนี้ Swiss Travel Pass ยังใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างพิพิธภัณฑ์ชื่อดังกว่า 500 แห่งในสวิสได้ฟรี อีกทั้งยังใช้เป็นส่วนลดในการขึ้นกระเช้า ขึ้นยอดเขาดังๆ ได้ด้วยนะ
⚡️ความดีงามของ Swiss Travel Pass คือนอกจากเราจะใช้ขึ้นรถไฟทั่วไปได้แล้ว พาสยังรวมถึงรถไฟชมวิวพาโนราม่าฟรี ซึ่งรวมทั้งรถไฟ Glacier Express, Golden Pass, Bernina Express และ Gotthard Panorama Express นอกจากนี้ยังใช้ล่องเรือฟรีได้อีกเยอะมาก
สำหรับ Swiss Travel Pass ก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่านเอเจนซี่อย่าง Klook และ KKday ซึ่งในหน้าเว็บจะมีรายละเอียดของพาสอธิบายเอาไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมีตัวเลือกพาสให้ซื้อหลากหลาย ทั้งแบบพาสแบบต่อเนื่อง 3, 4, 8 หรือ 15 วัน รวมถึงมีแบบ E-Ticket ด้วย นอกจากนี้ยังมี บัตร Swiss Half Fare Card และบัตร Swiss Transfer Ticket ขายครบอีก
> เช็คราคาและซื้อ Swiss Travel Pass [ผ่าน Klook] / [ผ่าน KKday]
เริ่มเที่ยว ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) กันเล้ยย
สำหรับการไปเที่ยว ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ของก๊อตนั้น ก๊อตจะใช้เส้นทางที่สั้นที่สุดด้วยการนั่งรถไฟและกระเช้าขึ้นไปยังยอดเขา โดยตัวก๊อตนั้นมี Swiss Travel Pass ที่ใช้เป็นส่วนในการซื้อตั๋วขึ้นยอดเขาทั้งหมดผ่าน Klook นั่นเอง หากใครกำลังดูเรื่องตั๋วอยู่ สามารถดูรายละเอียดตั๋วทั้งหมดจากตรงนี้ได้เลย จะมีหรือไม่มี Swiss Travel Pass ก็ซื้อได้หมด > เช็คราคาและซื้อขึ้น ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) [ซื้อผ่าน Klook]
เอาล่ะ เรามาเริ่มต้นเดินทางกันเลย ตัวก๊อตเองนั้นพักอยู่ที่เมือง เมืองอินเทอร์ลาเคิน (Interlaken) โดยเราจะรถไฟที่ สถานีอินเทอร์ลาเคิน โอสท์ (Interlaken Ost) รอบเวลา 08:04 น. นั่งไปยัง สถานีกรินเดลวาลด์ (Grindelwald Terminal) โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งวิวระหว่างทางเราจะได้ชมกับธรรมชาติของเนินเขาสีเขียวๆ และบ้านไม้สไตล์สวิสที่ตั้งเรียงรายไปตลอดเส้นทางให้ได้นั่งมองกันเพลินๆ เลย
เมื่อมาถึงแล้ว ก๊อตก็ลงจากสถานีรถไฟแล้วเดินเข้าไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้า Eiger Express เพื่อไปยัง สถานีไอเกอร์เกลตเชอร์ (Eigergletcher) โดยเราจะใช้เวลานั่งกระเช้าต่ออีกประมาณ 20 นาที ซึ่งก๊อตเองสามารถใช้ตั๋ว e-Ticket ที่ซื้อจาก Klook โดยแสกนตัว QR Code ตรงเกททางเข้าได้เลย
ความเว่อร์วังอย่างแรกก่อนที่เราจะขึ้นไปถึงยอดเขานั้น คือวิวระหว่างทางที่พอกระเช้าเค้าพาก๊อตขึ้นมาสูงเรื่อยๆ ภาพรอบตัวที่มองผ่านกระเช้าออกไปจะเป็นบรรยากาศของบ้านสีน้ำตาลสุดปุ๊กปิ๊กที่สร้างลดหลั่นไปตามแนวเขา ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวๆ บางจุดก็มีน้องวัวห้อยกระดิ่งที่คอยืนแทะเล็มหญ้าให้ได้เห็น ซึ่งพอเรานั่งขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ หมู่บ้านก็จะดูเล็กลงจนเหมือนเป็นเพียงจุดสีน้ำตาลขนาดเล็กๆ ที่แต่งแต้มอยู่บนหุบเขาสีเขียวขจีนั่นเอง
พอเรานั่งขึ้นมาจนใกล้ถึงสถานีปลายทาง วิวรอบตัวจะเปลี่ยนเป็นป่าสนสูงชัน ท่ามกลางเส้นทางเดินที่หากใครไม่อยากนั่งกระเช้าก็สามารถเดินลัดเลาะมาตามแนวเขาด้านล่างได้ นอกจากนี้เรายังได้เห็นพวกแนวสันเขาที่เริ่มใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้น แถมสีเขียวๆ ของหญ้าที่เห็นก่อนหน้านี้ก็ถูกแทนที่ด้วยผาหิน บ้างก็มีหิมะให้ได้เห็นชวนให้รู้สึกตื่นเต้นไปตลอดเส้นทางเลย
ชมวิวกันไปแป๊บเดียว ก๊อตก็มาถึง สถานีไอเกอร์เกลตเชอร์ (Eigergletcher) โดยเราจะต้องเดินลงจากกระเช้าเพื่อเข้าไปด้านในของตัวสถานี เพื่อทำการสแกนตั๋วเข้าไปยังชานชาลาของสถานีรถไฟ โดยเราจะเปลี่ยนมาขึ้นรถไฟฟันเฟืองสีแดงของ Jungfrau Railway ซึ่งจะใช้เวลานั่งประมาณ 25 นาที เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางของเราอย่าง สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) นั่นเอง
สำหรับเส้นทางรถไฟสีแดงจะวิ่งผ่านเข้ามาในอุโมงค์ของหุบเขาระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างทางเราจะไม่เห็นวิวอะไรเลย นอกจากอุโมงค์หินสีน้ำตาลหนาทึบ แต่พอเรานั่งไปสักพัก รถไฟเค้าจะจอดยังจุดชมวิว ตรงนี้หากใครอยากออกไปดูวิวสามารถเดินลงจากรถไฟได้เลยนะ เค้าจะให้เวลาชมวิวประมาณ 5 นาที ส่วนคนที่ไม่อยากลงจะนั่งรออยู่บนรถไฟก็ได้ พอครบกำหนดเวลาแล้ว รถไฟก็จะออกวิ่งอีกครั้งเพื่อขึ้นไปยัง สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) ด้านบนนั่นเอง
สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch)
หลังจากที่รถไฟสีแดงสุดน่ารักพาเรามาส่งถึง สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) เมื่อเราเดินต่อเข้ามายังด้านใน เค้าจะมีจุดนั่งพักที่มีร้านขายของที่ระลึก รวมถึงร้านอาหารและเครื่องดื่มเล็กๆ ให้ผู้คนได้มานั่งพักหาอะไรทาน ซึ่งจุดนี้จะมีคนมารวมตัวกันอยู่ตรงนี้เยอะมากเนื่องจากรูทการเดินเที่ยวจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) นั่นจะเป็นวงกลมและกลับมาบรรจบยังจุดเดิมนี้นี่เอง คนก็เลยแน่นสนั่นเสียงดังเลยล่ะ ใครที่จะเข้าห้องน้ำ แนะนำให้เข้าตั้งแต่ตรงนี้ เพราะระยะทางต่อจากนี้จะไม่มีห้องน้ำระหว่างทางแล้ว บอกเลยว่าเริ่มต้นก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะจากจุดร้านขายของที่ระลึกตรงนี้ ด้วยตัวอาคารสถานีเค้าทำผนังกระจกใส ทำให้เราสามารถมองออกไปเห็นหิมะที่อยู่ด้านนอกได้แบบเต็มสายตาตั้งแต่เริ่มต้นเล้ย
Jungfraujoch Sphinx Observatory
สำหรับจุดแรกที่เราจะได้เจอเลยคือจุดชมวิว Jungfraujoch Sphinx Observatory ซึ่งจะเป็นหอดูดาวที่อยู่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป เพราะตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 3,571 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บรรยากาศด้านในผนังรอบๆ จะเป็นกระจกใสที่เราสามารถมองวิวได้ทุกทิศทาง ซึ่งจากบริเวณนี้เราสามารถมองออกไปเห็นเทือกเขาแอลป์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนได้ไกลสุดลูกหูลูกตา
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ตรงนี้เรายังมองเห็นธารน้ำแข็งอเล็ตช์ (Aletsch Glacier) ที่พาดผ่านไปตามแนวเทือกเขาได้อีกด้วย โดยธารน้ำแข็งนี้ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์และยาวกว่า 24 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว ซึ่งธารน้ำแข็งนี้เกิดจากการทับถมของหิมะและน้ำแข็งมาตลอดหลายพันปี ทำให้มันกลายเป็นธารน้ำแข็งที่มีความหนาหลายร้อยเมตร และยังคงเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ด้วยอัตราประมาณ 180 เมตรต่อปี และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกอีกด้วย ซึ่งในช่วงหน้าหนาวคนเค้าก็จะมาเล่นสกีและกิจกรรมกลางแจ้งกันพรึ่บ เห็นธารน้ำแข็งที่ดูนิ่งสงบแบบนี้แล้ว แต่แท้จริงแล้วมันยังคงมีการเปลี่ยนแปลงช้าๆ อยู่ตลอดเวลานะเออ
บริเวณด้านนอกของ Jungfraujoch Sphinx Observatory เป็นอีกจุดที่ใครอยากได้ภาพสวยๆ ต้องออกมาถ่ายรูปที่แพลตฟอร์มกลางแจ้งที่ยื่นออกไปหาหิมะ ซึ่งเราสามารถเดินเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ ได้แบบจุใจเลย มากไปกว่านั้น จุดนี้ยังเป็นจุดที่เราสามารถมาตามรอยซีรีส์เกาหลีเรื่อง Crash Landing on You หรือสหายผู้กองอีกด้วย ใครหามุมไม่เห็น ให้สังเกตป้ายรูปหัวใจที่เค้าจะมีชื่อซีรีส์แปะมาให้เรียบร้อย ซึ่งจุดชมวิวนี้เองถือเป็นอีกจุดที่เราสามารถถ่ายออกไปเห็นวิวของธารน้ำแข็งได้แบบสวยอลังสุดๆ
ก๊อตไปกันต่อที่ลานหิมะ ซึ่งจะอยู่เลยขึ้นมาจากโซนนิทรรศการและถ้ำน้ำแข็ง โดยบริเวณนี้จะเป็นลานหิมะโล่งๆ ที่ผู้คนเค้ามาเดินเล่นและถ่ายรูปกัน ภายในบริเวณมีคาเฟ่เล็กๆ ขายเครื่องดื่ม และเปิดเพลงคลอไปตามบรรยากาศให้ได้ฟังชิลๆ อีกด้วย ใครอยากจะดื่มเบียร์เย็นๆ ก็สามารถสั่งแล้วยืนดื่มพร้อมดูวิวตรงนี้ได้แบบฟินๆ เลย ฮ่าๆ
Jungfrau Panorama
หากใครที่ขึ้นมาถึง ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) แล้วเกิดฟ้าไม่เป็นใจ เมฆลงจัด หิมะปลิวว่อนจนไม่เห็นยอดเขา ให้มาที่โซน Jungfrau Panorama ได้เลย เพราะที่นี่เค้ามีภาพบรรยากาศพาโนราม่าของ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) แบบ 360 องศา ฉายอยู่บนจอขนาดใหญ่รอบทิศทางให้เราได้เดินชม เสมือนว่าได้ยืนอยู่บนยอดเขาแบบนั้นเลย ซึ่งภาพที่ฉายก็จะมีทั้งมุมสูงและมุมในระดับสายตา คือยืนชมกันเพลินเลย ใครที่อยากเห็นทิวทัศน์รอบๆ ของยอดเขาแทบทุกตารางเมตร Jungfrau Panorama เท่านั้นที่ช่วยเราได้
Alpine Sensation
เดินมาต่อกันที่บริเวณของ Alpine Sensation ซึ่งจะเป็นโซนที่เราจะได้ทำความรู้จักถึงที่มาที่ไปของ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ผ่านทางเดินยาวกว่า 250 เมตร ที่ข้างในนั้นเต็มไปด้วย เรื่องราวการเสียสละของคนงานเหมืองที่เค้าช่วยกันขุดเจาะเพื่อเปิดเส้นทางเชื่อมต่อรถไฟขึ้นมายังยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau)
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์จำลองที่ใช้ในการขุดเจาะ รวมถึงภาพถ่ายในยุคสมัยแรกเริ่มพัฒนาพื้นที่ติดอยู่ตามผนังทางเดินอีกด้วย ซึ่งเราจะเห็นเหล่าคนงานเค้าถ่ายภาพคู่กับเครื่องมือและก้อนหินมากมาย ซึ่งจากที่เราเดินดูกันนั้น บอกได้เลยว่า กว่าจะมาเป็นทางรถไฟที่ใครก็สามารถขึ้นมาพิชิตยอดเขาได้ง่ายๆ นั้น การก่อสร้างและทำเส้นทางของเค้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
Ice Palace
ใครที่อยากลองใช้ชีวิตเป็นชาวเอสกิโม ให้เดินมาต่อที่ Ice Palace ได้เลย รับรองว่าเราจะได้รับประสบการณ์เสมือนว่าอาศัยอยู่ในบ้านหิมะและน้ำแข็งอย่างแน่นอน โดยโซนนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 1930 ได้มีการสร้างทางเดินและโถงขึ้นมาภายใต้ธารน้ำแข็ง โดยว่ากันว่าคนที่ช่วยกันสร้างนั้นใช้เพียงจอบและเลื่อยในการขุดเจาะเท่านั้น ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ห้องโถงเหล่าที่พวกเขาสร้างไว้ก็ไม่เคยละลายเลย
ภายใน Ice Palace จะเป็นทางเดินน้ำแข็งทอดยาวเข้าไปหาตัวโถงที่ถูกแบ่งสัดส่วนเป็นมุมๆ อย่างชัดเจน โดยแต่ละจุดนั้นจัดแสดงประติมากรรมแกะสลักน้ำแข็งจากศิลปินอยู่มากมาย โดยชิ้นงานแกะสลักก็มีตั้งแต่ นกอินทรี เพนกวิน หมี ไปจนถึงเปียโนขนาดใหญ่ ให้เราได้มาชมกันแบบใกล้ชิด ยังไม่หมดเท่านั้น ตามผนังของทางเดินยังมีตุ๊กตาสัตว์ต่างๆ ถูกแช่แข็งอยู่ในก้อนน้ำแข็งอีกด้วย ซึ่งชิ้นงานทุกอันนั้นยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก เนื่องจากอุณหภูมิภายใน Ice Palace จะอยู่ที่ -3 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปี ดังนั้น ไม่ว่าข้างนอกจะอากาศเป็นอย่างไร ข้างในนี้จะยังคงมีอุณหภูมิที่คงที่อยู่เสมอนั่นเอง
Glacier Plateau
มาถึงจุดไฮไลท์ของ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) กันแล้ว กับ Glacier Plateau จุดป๊อบที่สุดในเทือกเขาแอลป์ที่เราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวของยอดเขากันแบบสะใจโคตรๆ โดยบนนี้จะเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่ลาดชันไปตามแนวเขา ซึ่งเราสามารถออกมาเดินถ่ายรูปเล่นได้ มันจะมีเชือกกั้นเป็นโซนสำหรับให้ได้เดินเก็บภาพบรรยากาศโดยเฉพาะ แต่แอบบอกว่าบนนี้ค่อนข้างลื่นมาก ใครที่กำลังจะมาตามรอยแนะนำให้เลือกรองเท้ามาดีๆ หรือจะใส่แผ่นกันลื่นใต้รองเท้าอย่างที่ก๊อตเห็นหลายๆ คนเขาใส่กันก็ได้
สำหรับวิวบน Glacier Plateau อันนี้บอกเลยว่าสวยลืม สวยโคตรๆ สวยจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยาย ทุกที่รอบตัวเป็นสีขาวไปด้วยหิมะที่มองออกไปแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด แถมอากาศก็เย็นจัดๆ ใครที่ขี้หนาวแนะนำให้แต่งตัวใส่เสื้อกันหนาวกันลมมาให้ดี หากอยากได้รูปถ่ายเยอะๆ แนะนำให้พกถุงมือมาด้วย เพราะบนนี้แค่ยื่นมืออกมากดชัตเตอร์สองสามทีนิ้วแทบล็อก 555555
โดยวิวด้านหนึ่งจากบนนี้เราสามารถมองออกไปเห็นธารน้ำแข็งอเล็ตช์ (Aletsch Glacier) ที่ตามสองข้างทางนั้นรายล้อมไปด้วยยอดเขาสูง ใครที่ดูวิวธารน้ำแข็งมาจากบนหอสังเกตการณ์ นี่บอกเลยว่า ภาพตรงหน้าแบบของจริง อากาศจริงที่ลมและละอองหิมะปะทะเข้าหน้า มันเว่อร์วังกว่ามาก
ส่วนวิวอีกด้านก็ตระการตาไม่แพ้กัน ด้วยภาพของยอดเขาขนาดมหึมาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะมากมาย ซึ่งทั้งสองจุดนี้จะมีธงชาติสวิสตั้งอยู่ ซึ่งถือเป็นจุดยอดฮิตที่คนเข้ามาต่อแถวรอเแช๊ะภาพคู่กับธงเพื่อบอกว่าเรามาถึง ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) แล้วกันเยอะมาก บอกเลยว่าพื้นที่ตรงนี้คนคือแตกแตนสุดๆ เพราะเสมือนกลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่นักท่องเที่ยวที่ต้องมาถ่ายรูปกันไปเรียบร้อยแล้ว โดยตอนที่ก๊อตไปนั้น หางแถวยาวเกือบถึงทางเข้ากันเลยทีเดียว ใครที่อยากยืนสะบัดธงถ่ายคู่กับยอดเขายังไงก็ควรรอ แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสเหมือนก๊อต ลองเดินถัดๆ ออกมาด้านข้างฝั่งซ้าย ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ถ่ายเห็นยอดเขาได้สวยเหมือนกัน
ก๊อตเองก็ใช้เวลาถ่ายภาพกันอยู่สักพัก เราก็เดินกลับเข้ามายังอาคารด้านใน โดยขากลับออกไปนั้นเราจะผ่านร้านขายของฝากกันด้วยนะ ตรงนี้ใครอยากซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านก็ละลายทรัพย์ได้เลย โดยของที่ขายก็จะมีตั้งแต่ช็อกโกแลต Lindt พวกเสื้อกันหนาว นาฬิกา ไปจนถึงของจิปาถะที่เกี่ยวกับจุงเฟรา (Jungfrau) นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารให้ได้ฝากท้องกันอีกด้วย ใครที่เดินเล่นจนเหนื่อยแล้วอยากเติมพลัง สามารถแวะกินก่อนกลับได้
ส่วนตัวก๊อตนั้น พอเราเดินเก็บจนครบแล้ว ก็กลับมายัง สถานีจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) ซึ่งทั้งหมดนี้มันจะเป็นการเดินวนเป็นวงกลมอย่างที่ก๊อตบอกไปในตอนต้น โดยเวลาทั้งหมดที่ก๊อตเดินเที่ยวอยู่บนจุงเฟรายอร์ค (Jungfraujoch) นั้น ใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง สามารถได้ตามเก็บภาพแบบชิลๆ ตามในรีวิวนี้เลย โดยการเดินทางกลับลงไปยังด้านล่างนั้น ก็เหมือนตอนขาเราขึ้นมาเป๊ะ
สรุปการมาเที่ยว ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau)
โดยรวมแล้ว การมาเที่ยวบน ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) สำหรับก๊อตครั้งนี้ ถือเป็นการได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ส่วนตัวนี่ประทับใจมาก อย่างน้อยแต้มบุญของเราก็เหลือจนได้ภาพยอดเขาโดยไม่มีเมฆหรือหิมะมาบดบัง มันเป็นอะไรที่สวยจับใจก๊อตสุดๆ ความหิมะฟูๆ ท่ามกลาง ยอดเขาสูง และธารน้ำแข็งขนาดบิ้กเบิ้ม ล้วนเป็นธรรมชาติที่สวยสมมงสวิสมาก คือสักครั้งในชีวิตการได้ขึ้นมาพิชิต ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ก็เป็นเรื่องราวดีๆ ที่ควรค่าแก่การมาเพื่อเอาไปเล่าต่อให้คนรอบตัวฟังได้ ว่าภาพของ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ที่เราเห็นในอินเตอร์เน็ตนั้น สวยไม่ได้ถึงครึ่งของจริงที่เรากำลังสัมผัสอยู่ในตอนนี้เลย
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡