ลูเซิร์น (Lucerne) อีกหนึ่งเมืองน่ารักๆ แถมบรรยากาศดีสุดๆ จนได้รับฉายาว่าเป็นเมืองแห่งแสงสว่างของสวิส โดยที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เที่ยวง่ายมาก เพราะเหล่าแลนด์มาร์ครวมถึงกิจกรรมต่างๆ ภายในเมือง เราสามารถนั่งเรือหรือเดินเที่ยวหากันได้หมดเลย โดยรีวิวนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวใน ลูเซิร์น (Lucerne) ตั้งแต่การไปนั่งรถไฟฟันเฟืองโบราณ (Rigi Historic Wednesday) ขึ้นไปบนยอดภูเขาริกิ (Rigi Kulm) ก่อนจะพาล่องเรือไปบนทะเลสาบ แล้วเดินเล่นในย่านเมืองเก่า พร้อมถ่ายรูปกับแลนด์มาร์คดังของลูเซิร์นอย่าง สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) ที่เปรียบเหมือนเป็นไอคอนิกประจำเมือง นอกจากนี้เรายังเดินเล่นเลียบทะเลสาบสุดชิล และลิ้มรสอาหารอร่อยๆ ในโรงแรมสุดลักชูอีกด้วย บอกเลยว่าใครเล็งมาเที่ยวลูเซิร์นห้ามพลาดเด็ดขาด
รู้จัก ลูเซิร์น (Lucerne)
ลูเซิร์น (Lucerne) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแสงสว่าง เพราะคำว่า ลูเซิร์น (Lucerne) ในภาษาเยอรมันหมายถึง “แสงสว่างและความชัดเจน” โดยที่นี่เป็นเมืองหลวงของรัฐลูเซิร์น และเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในภาคกลางของสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ คมนาคม ไปจนถึงวัฒนธรรมต่างๆ นอกจากนี้ ลูเซิร์น (Lucerne) ยังเป็นหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลสาบลูเซิร์นตอนกลางของประเทศ เลื่องลือในเรื่องของทิวทัศน์ที่งดงามไปด้วยภูเขาที่อยู่รายล้อม ไม่ว่าจะเป็นภูเขาพิลาตุส (Mount Pilatus) ที่เลอค่าไปด้วยวิวสวยๆ แบบพาโนราม่า หรือจะเป็นภูเขาริกิ (Mount Rigi) ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งขุนเขาก็ตั้งอยู่ในเมืองลูเซิร์น (Lucerne) แห่งนี้อีกด้วย
สำหรับ ลูเซิร์น (Lucerne) นั้น ถูกพูดถึงครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ. 840 ในฐานะหมู่บ้านชาวประมงและเกษตรกรรมขนาดเล็ก จนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 8 ได้มีการเร่งพัฒนาเมืองและสร้างโบสถ์เซนต์ลีโอเดการ์ (Hofkirche St. Leodegar) หรือที่เรียกอีกอย่างว่าโบสถ์ St. Leodegar ขึ้นมา ส่งผลให้ช่วงเวลาดังกล่าว การค้าและการพาณิชย์ต่างๆ ใน ลูเซิร์น (Lucerne) เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก จนในที่สุดเมืองแห่งนี้ก็กลายมาเป็นศูนย์กลางการค้าริมทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) นั่นเอง ยังไม่หมดเท่านั้น ที่นี่ยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลางที่ทรงคุณค่าอยู่อีกเพียบ อีกทั้งยังมีสะพานไม้ที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในยุโรปอย่าง สะพานชาเปล (Kapellbrücke) ที่อยู่บนแม่น้ำรอยส์ (Reuss River) ปัจจุบันสะพานแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่สุดของเมืองลูเซิร์นไปเป็นที่เรียบร้อย เรียกได้ว่า ลูเซิร์น (Lucerne) นั้นเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวของสวิสที่เราควรค่าแก่การมาเยือนสักครั้ง ใครที่อยากมาดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยๆ ท่ามกลางสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ ก๊อตแนะนำลูเซิร์น (Lucerne) เลย
เที่ยวให้คุ้มด้วย Swiss Travel Pass
ใครจะมาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะมาเที่ยวเมืองไหน ก๊อตแนะนำว่าควรซื้อ Swiss Travel Pass มาไว้ด้วย เพราะพาสนี้เราสามารถเอามาใช้ขึ้นขนส่งสาธารณะได้ทุกอย่างในสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เรือ และรถประจำทางต่างๆ โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว และระยะทาง นอกจากนี้ Swiss Travel Pass ยังใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างพิพิธภัณฑ์ชื่อดังกว่า 500 แห่งในสวิสได้ฟรี อีกทั้งยังใช้เป็นส่วนลดในการขึ้นกระเช้า ขึ้นยอดเขาดังๆ ได้ด้วยนะ
⚡️ความดีงามของ Swiss Travel Pass คือนอกจากเราจะใช้ขึ้นรถไฟทั่วไปได้แล้ว พาสยังรวมถึงรถไฟชมวิวพาโนราม่าฟรี ซึ่งรวมทั้งรถไฟ Glacier Express, Golden Pass, Bernina Express และ Gotthard Panorama Express นอกจากนี้ยังใช้ล่องเรือฟรีได้อีกเยอะมาก
สำหรับ Swiss Travel Pass ก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่านเอเจนซี่อย่าง Klook และ KKday ซึ่งในหน้าเว็บจะมีรายละเอียดของพาสอธิบายเอาไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมีตัวเลือกพาสให้ซื้อหลากหลาย ทั้งแบบพาสแบบต่อเนื่อง 3, 4, 8 หรือ 15 วัน รวมถึงมีแบบ E-Ticket ด้วย นอกจากนี้ยังมี บัตร Swiss Half Fare Card และบัตร Swiss Transfer Ticket ขายครบอีก
> เช็คราคาและซื้อ Swiss Travel Pass [ผ่าน Klook] / [ผ่าน KKday]
เริ่มเที่ยว ลูเซิร์น (Lucerne) กันเล้ยย
ภูเขาริกิ (Mount Rigi)
สำหรับสถานที่เที่ยวแรกใน ลูเซิร์น (Lucerne) ที่ก๊อตอยากพาทุกคนมาเลยก็คือ ภูเขาริกิ (Mount Rigi) หนึ่งในภูเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) โดยภูเขาแห่งนี้มีอีกชื่อในภาษาละตินว่า ‘Egina Montium’ มาพร้อมกับความหมายอลังๆ ว่า “ราชินีแห่งขุนเขา” เพราะบน ภูเขาริกิ (Mount Rigi) ไม่ว่าจะมองไปยังทิศทางไหนต่างก็งดงามตระการตาสุดๆ
โดย ภูเขาริกิ (Mount Rigi) มีความสูงถึง 1,798 เมตร (5,899 ฟุต) ซึ่งจากยอดเขา วันไหนที่ฟ้าเปิดเราสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของทะเลสาบได้มากถึง 13 ทะเลสาบ อย่างเช่นทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne), ทะเลสาบซุก (Lake Zug) และ ทะเลสาบลัวร์เซิร์น (Lake Lauerz) รวมถึงยังมองเห็นยอดเขาอื่นๆ โดยรอบ ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ (Alps) ได้อีกด้วย
คลิกอ่านรีวิวเต็ม ภูเขาริกิ (Mount Rigi)
นั่งรถไฟฟันเฟืองโบราณ (Rigi Historic Wednesday)
สำหรับการจะขึ้นไปยัง ภูเขาริกิ (Mount Rigi) นั้น วิธีการที่ง่ายที่สุดที่ก๊อตแนะนำเลยคือการ นั่งรถไฟขึ้นไปด้านบน โดยก๊อตขึ้นเป็น รถไฟฟันเฟืองโบราณ (Rigi Historic Wednesday) โดยจะเป็นเหมือนรถไฟพิเศษที่เค้าจะเอาออกมาวิ่งเฉพาะวันพุธในช่วงเดือนตุลาคม ความพิเศษคือเค้าเป็นขบวนรถไฟแบบเฟืองบนภูเขาแห่งแรกของยุโรป โดยเราจะใช้เวลานั่งประมาณ 40-45 นาที ซึ่งก๊อตบอกเลยว่าระหว่างทางไม่ต้องกลัวเบื่อ เพราะเราจะได้ตื่นตื่นตาตื่นใจไปกับวิวของหุบเขาสีเขียวๆ ที่ตั้งลดหลั่นกันออกไป บางจุดมีวัว แกะ ม้า แพะ มายืนแทะเล็มหญ้าให้ได้เก็บภาพน่ารักๆ รวมถึงยังมีวิวบ้านไม้สีเข้มๆ ที่ตั้งอยู่ตามเนินเขาให้ได้มองกันเพลินๆ ตลอดเส้นทางเลย
⚡️ สำหรับการขึ้นรถไฟฟันเฟืองโบราณ (Rigi Historic Wednesday) ใครที่ถือ Swiss Travel Pass ไว้ เราสามารถกระโดดขึ้นรถไฟนั่งฟรีได้เลยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซื้อ Swiss Travel Pass [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
จุดชมวิวยอดเขาริกิ (Rigi Kulm)
นั่งรถไฟกันมาพักใหญ่ เราก็มาถึง จุดชมวิวยอดเขาริกิ (Rigi Kulm) กันแล้ว โดยรถไฟจะจอดอยู่บริเวณชานชาลาบนเนินเขา ซึ่งจากจุดที่เราลงรถไฟนั้น ถือเป็นจุดแรกที่สามารถเดินมาดูวิวของหุบเขาสีเขียวๆ ที่รายล้อมไปด้วยยอดเขาแบบกว้างสุดลูกหูลูกตาเลย โดยจากจุดที่เราลงรถไฟเดินขึ้นเนินเขามาอีกไม่ไกลจะเป็นจุดพักที่เค้ามีร้านขายของฝาก และร้านอาหารตั้งอยู่ ใครที่มาช่วงเข้าสู่หน้าหนาวแบบก๊อต แล้วอยากหาที่อุ่นๆ พักวอร์มร่างกายก่อนเดินไปต่อ สามารถแวะหาเครื่องดื่มร้อนๆ ดื่มกันก่อนได้นะ
สำหรับจุดชมวิวของเค้าจะเป็นลานกว้างที่มีการทำแพลทฟอร์มยื่นออกไปด้านนอกของยอดเขา โดยจากบนนี้ หากเรามาในเวลาปกติจะสามารถมองออกไปเห็นทะเลสาบทั้ง 13 แห่ง ซึ่งจะอยู่เบื้องล่างได้แบบเว่อร์วังตระการตามากยิ่งขึ้น โดยทะเลสาบที่เห็นชัดเลยคือ ทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) ซึ่งเป็นทะเลสาบหลักที่อยู่ใกล้กับภูเขาริกิ (Mount Rigi) มากที่สุด อีกทั้งยังเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่อีกด้วย โดยทะเลสาบทั้งหมดจะไหลพาดผ่านห้อมล้อมไปตามอาคาร บ้านเรือนของผู้คน โดยมีภูเขาตั้งโอบล้อมเอาไว้อีกที แต่ความแต้มบุญของเราหมด วันที่ก๊อตไปนั้น หมอกลงจัดมาก เรียกได้ว่าเรามองเห็นวิวของทะเลสาบแบบนิดเดียว สักพักทุกอย่างก็ถูกหมอกกลืนหายไป เป็นการขึ้นมาดูวิวที่ฟ้าไม่เป็นใจ มาก แต่ไม่เป็นไร ไว้ครั้งเราจะมาเก็บใหม่ 55555
ล่องเรือ Lake Lucerne Cruises
หลังจากก๊อตชมวิวอยู่บนยอดเขาเสร็จแล้ว ขากลับเราก็นั่งรถไฟลงมาเพื่อที่จะไปล่องเรือกันต่อ โดยเรือที่เราจะล่องกันนั้นเป็นเรือเฟอร์รี่สองชั้นที่จะพาล่องไปบนทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) จากบริเวณท่าเรือวิตซ์โน (Vitznau) ไปยังท่าเรือตรงสถานีรถไฟลูเซิร์น (Luzern Bahnhofquai) โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยความเริ่ดของเรือเค้าเลย คือภายในโอ่อ่ากว้างขวาง มาพร้อมบาร์ขนมและเครื่องดื่มให้ได้สั่ง ซึ่งก๊อตนั่งกันอยู่บนชั้นสอง ภายในจะมีทั้งที่นั่งแบบอินดอร์ และเอ้าท์ดอร์ที่เราสามารถเดินออกไปถ่ายรูปกับวิวด้านนอกตัวเรือได้นั่นเอง
⚡️ สำหรับการล่องเรือ Lake Lucerne Cruises) ใครที่ถือ Swiss Travel Pass ไว้ เราสามารถกระโดดขึ้นเรือฟรีได้เลยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซื้อ Swiss Travel Pass [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
สำหรับการ ล่องเรือ Lake Lucerne Cruises หากใครที่ถือ Swiss Travel Pass อยู่ เราสามารถนำมาโชว์เจ้าหน้าที่แล้วขึ้นเรือได้เลยนะ โดยรอบนี้ ก๊อตถือ Swiss Travel Pass แบบ 1st class มา โดยชั่นเฟิร์สคลาสจะอยู่ชั้น 2 ของเรือที่ ภายในกว้างขวาง ที่นั่งเยอะ และคนน้อยกว่า 2nd class เยอะมาก
โดยวิวตามสองข้างทางระหว่างที่เรือล่องไปนั้น เราจะได้ดื่มด่ำไปกับภาพบรรยากาศของเมือง ลูเซิร์น (Lucerne) แบบจัดเต็ม ทั้งบ้านเรือนของผู้คนที่ตั้งเรียงรายเป็นแนวไปตามสองฝั่งของทะเลสาบ ท่ามกลางหุบเขาที่ทอดยาวออกไป เป็นไวบ์ที่มองแล้วสบายตามาก โดยในบางจังหวะก็จะมีโรงแรมริมทะเลสาบอยู่ด้วย แต่ความชิลเลยเห็นจะเป็นเหล่าน้องเป็ดมากมายที่พากันว่ายน้ำไปมาอยู่บนทะเลสาบ สร้างสีสันให้กับการล่องเรือได้เยอะม๊าก
โดยรวมแล้วการมาล่องเรือ Lake Lucerne Cruises คือดีงามมาก ใครที่อยากนั่งชมวิวปล่อยใจจอยๆ แบบไม่ต้องเร่งรีบอะไร สามารถมาขึ้นกันได้ ถือเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลายและสบายใจเอาเรื่องเลยล่ะ ก๊อตแนะนำเลยว่าต้องมาลอง
Hotel Schweizerhof Lucerne
มากินมื้อเที่ยงแบบอร่อยเหาะกันต่อที่ Hotel Schweizerhof Lucerne หนึ่งในโรงแรมสุดลักชูที่ก่อตั้งกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1845 บนทำเลใจกลางเมืองลูเซิร์น (Lucerne) ริมฝั่งทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) ที่เลอค่าไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอคลาสสิก ซึ่งได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 19 ทำให้ภายในโรงแรมนั้น ประดับประดาและตกแต่งกันแบบโอ่อ่า ทว่าก็ดูคลาสสิกสง่างามเหนือกาลเวลา ถือเป็นโรงแรมจุดหมายปลายทางของเหล่านักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกที่มาเยือน ลูเซิร์น (Lucerne) เลยก็ว่าได้
โดยห้องอาหารของโรงแรม Hotel Schweizerhof Lucerne เค้าจะมีอยู่ด้วยกันสองห้อง คือ Pavillon ที่จะสามารถมองเห็นวิวของทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) ได้แบบเต็มสายตาผ่านกระจกบานใหญ่ ส่วนอีกห้องอาหารคือ Galerie ซึ่งเป็นห้องที่ก๊อตมากินข้าวกันนั่นเอง โดยห้องนี้จะต่างจาก Pavillon ตรงที่บรรยากาศจะดูอบอุ่นทว่าหรูหราและเป็นส่วนตัวมากกว่า ฟีลเหมือนเรานั่งกินข้าวอยู่ในพระราชวังเพราะตามผนังอาคาร เสาแต่ละต้น รวมไปถึงของตกแต่งนั้นงดงามอย่างกับงานศิลปะดีๆ นี่เอง โดยทั้งสองห้องอาหารนี้เค้าจะเสิร์ฟอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสวิสและยุโรป โดยวัตถุดิบที่ใช้จะมาจากผลผลิตในท้องถิ่นของเค้า
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ส่วนเมนูจะเปลี่ยนไปตามแต่ละฤดูกาล ซึ่งอาหารที่เรากินจะเป็นพาสต้าเนื้อในน้ำซอสรสกลมกล่อม เสิร์ฟมาพร้อมกับเครื่องดื่มในบรรยากาศที่ฟูฟ่าโอ่อ่าสุดๆ เป็นการมากินมื้อเที่ยงที่นอกจากอร่อยแล้ว ยังให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าชายในหนังเลยล่ะ นี่ชอบมากๆ เลย เป็นมื้อที่ดีต่อใจเว่อร์
ทางเดินเลียบทะเลสาบ (Promenade)
กินข้าวอิ่มแล้วเรามาเดินย่อยกันต่อที่ ทางเดินเลียบทะเลสาบ (Promenade) ริมฝั่งทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) หนึ่งในทางเดินที่ป๊อบของเมืองลูเซิร์น (Lucerne) ที่ใครอยากดื่มด่ำกับบรรยากาศของผืนน้ำและภูเขาที่จรดเข้าหากัน บอกเลยว่าไม่ควรพลาด โดยทางเดินสายนี้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 เพื่อเป็นสถานที่ในการพักผ่อนหย่อนใจของผู้คนในเมือง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เพราะในช่วงเวลานั้น ลูเซิร์น (Lucerne) กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนแห่แหนมากันเยอะมาก ทางเมืองเค้าเลยต้องการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยจนกลายมาเป็น ทางเดินเลียบทะเลสาบ (Promenade) นั่นเอง
โดยเส้นทางเดินเลียบทะเลสาบนั้นจะทอดยาวไปตามพื้นที่ของเมือง อย่างก๊อตเองเรากินข้าวอยู่ที่ Hotel Schweizerhof Lucerne ซึ่งอยู่ติดทะเลสาบพอดี เราสามารถเดินข้ามถนนมาจากหน้าโรงแรมเพื่อมาเดินยัง ทางเดินเลียบทะเลสาบ (Promenade) ได้เลย โดยฝั่งหนึ่งจะเป็นวิวเมืองลูเซิร์น (Lucerne) ที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ ถนนหนทางเต็มไปด้วยรถราอยู่มากมาย ซึ่งบริเวณทางเดินจะปลูกต้นไม้และทำสวนเขียวๆ ให้ได้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย
ส่วนอีกฝั่งจะเป็นวิวของทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) ที่เต็มไปด้วยท่าเรือและเรือหลากหลายขนาดจอดลอยลำอยู่เหนือผิวน้ำ ห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขาแอลป์ของสวิส ไม่ว่าจะเป็น ภูเขาพิลาตุส (Mount Pilatus) และ ภูเขาริกิ (Mount Rigi) ที่เราเพิ่งไปมาเมื่อตอนเช้า ซึ่งวิวเหล่านี้เองทำให้ ทางเดินเลียบทะเลสาบ (Promenade) โด่งดังและฮิตมาก แบบที่ว่าใครมาเมืองนี้จะต้องมาเดินทอดน่องชิลๆ และเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ กันแทบทุกราย
นอกจากวิวสวยๆ แล้ว ด้วยความที่ทางเดินเค้าทอดยาวไปตามแนวเมือง เราเลยจะได้เห็นสถานที่สำคัญๆ ของเมืองทั้ง สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) อันเก่าแก่ และ กำแพงเมืองเก่าลูเซิร์น (Museggmauer) อายุมากกว่า 600 ปี ซึ่งสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ล้วนแต่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและมรดกทางวัฒนธรรมของเมืองที่เราสามารถมาสัมผัสและจับต้องได้นั่นเอง
มากไปกว่านั้น ทางเดินเลียบทะเลสาบ (Promenade) ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดเทศกาลและงานอีเว้นท์ต่างๆ ของเมืองด้วยนะ ถือเป็นทางเดินเลียบทะเลสาบที่สร้างขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเลย ก๊อตยกให้เป็นอีกจุดที่เหมาะกับการมาพักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด
สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge)
หากให้ก๊อตนึกถึงแลนด์มาร์คของเมืองลูเซิร์น (Lucerne) มันจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ หากไม่ใช่ สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) ที่ได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยสร้างกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1333 บนแม่น้ำรอยส์ (Reuss River) ถือเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการของเมืองที่คอยปกป้องเมืองจากการถูกโจมตีในช่วงสมัยนั้น โดยชื่อของ สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) ถูกตั้งตามชื่อของโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ที่อยู่ใกล้เคียงนั่นเอง
ความพิเศษของ สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) นอกจากสร้างเพื่อป้องกันศัตรูแล้ว ยังเป็นสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมพื้นที่ของเมืองเก่าเข้ากับเมืองใหม่อีกด้วย แรกเริ่มนั้น ตัวสะพานยาวถึง 270 เมตร แต่ด้วยหลายศตวรรษที่ผ่านมา ได้เกิดความเสียหายและเหตุไฟไหม้ขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันนี้ สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) เหลือความยาวเพียง 204 เมตรเท่านั้น
โดย สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) ได้รับการออกแบบให้เป็นทางเดินที่มาพร้อมกับหลังคา ภายในเต็มไปด้วยผลงานภาพวาดจาก ฮันส์ ไฮน์ริช แวกมันน์ ซึ่งเค้าได้วาดเอาไว้ในช่วงปี ค.ศ. 1611 เพื่อแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของสวิส และลูเซิร์น (Lucerne) รวมถึงฉากต่างๆ ในชีวิตของนักบุญลีโอเดอการ์ ซึ่งเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเมืองอีกด้วย ซึ่งทุกวันนี้มีหลายภาพที่ได้รับความเสียหายจากเหตุไฟไหม้ แต่ทางเมืองเค้าก็ยังคงอนุรักษ์และบูรณะภาพที่เหลือให้คงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้น ใครที่มาเดินอยู่บนสะพานลองมองขึ้นไปตามเพดานของหลังคา หรือตามมุมต่างๆ ของสะพานดูได้ เราจะยังคงเห็นภาพวาดอันทรงคุณค่าเหล่านี้อยู่
อีกหนึ่งไฮไลท์ของ สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) เลยก็คือ บริเวณหอเก็บน้ำแปดเหลี่ยมที่สร้างอยู่ข้างๆ กับสะพาน โดยหอหลังนี้มีความสูง 34 เมตร สร้างขึ้นก่อนสะพานประมาณ 30 ปี โดยช่วงเวลานั้นทำหน้าที่เป็นเรือนจำ คลัง ห้องเก็บเอกสาร และหอสังเกตการณ์ ซึ่งปัจจุบันนี้ หอเก็บน้ำยังคงได้รับการดูแลรักษาให้คงอยู่คู่กับสะพานมาเป็นอย่างดี ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญคู่บ้านคู่เมืองลูเซิร์น (Lucerne) ไปเป็นที่เรียบร้อย
ซึ่งการเดินเที่ยวบนสะพานนั้น เราสามารถมองออกไปเห็นวิวของเมืองลูเซิร์น (Lucerne) ที่เป็นแนวตึกสีครีมน้ำตาลสวยๆ ตั้งเรียงรายรายอยู่ตามริมแม่น้ำ โดยมีฉากหลังเป็นต้นไม้ห้อมล้อมเอาไว้อีกที ซึ่งตึกที่เราเห็นกันนี้ จะมีทั้งที่เป็นอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ไปจนถึงร้านค้า และคาเฟ่กันเลยทีเดียว เป็นวิวที่เว่อร์วังเอาเรื่อง เพราะเราจะได้เห็นวิวเมืองในอีกแบบหนึ่ง ที่ต่างไปจากการดูวิวบนพื้นดิน มันสวยจับใจมาก ก๊อตแนะนำให้เดินขึ้นมาได้เลย ส่วนคนที่ขึ้นมาเดินอยู่บนสะพานแล้วอยากซื้อของฝาก บริเวณใจกลางของสะพานเค้ามีร้านขายของที่ระลึกตั้งอยู่ด้วย ใครที่ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็มาแวะช้อปก่อนเดินออกไปได้นะ มีของให้เลือกซื้อเพียบ
ศาลาว่าการเมืองลูเซิร์น (Rathaus Stadt Luzern)
ปิดท้ายที่เที่ยวในลูเซิร์น (Luzern) ด้วยการมาเดินส่อง ศาลาว่าการเมืองลูเซิร์น (Rathaus Stadt Luzern) สถานที่ราชการที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดดเด่นด้วยอาคารสูงใหญ่ที่มีหอนาฬิกาขนาดบิ้กเบิ้มอยู่ด้านบน โดยที่นี่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1602 และแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1606 ภายใต้การออกแบบของ Anton Isenmann สถาปนิกชาวอิตาลี ในสไตล์เรอเนสซองส์ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอิตาลี ซึ่งตอนที่เค้าสร้างศาลาว่าการหลังนี้ขึ้นมา ดีไซน์ของอาคารค่อนข้างแปลกตาสำหรับคนสวิสในยุคสมัยนั้นมาก แต่การสร้างทุกอย่างก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ซึ่ง ศาลาว่าการเมืองลูเซิร์น (Rathaus Stadt Luzern) ถูกใช้เป็นอาคารรัฐบาล และสถานที่ประชุมของสภาเมืองลูเซิร์น (Luzern) เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจประจำเมืองก็ว่าได้
แต่ต้องบอกก่อนว่า การเดินมาเที่ยวที่ ศาลาว่าการเมืองลูเซิร์น (Rathaus Stadt Luzern) ของก๊อตนั้น เราไม่ได้เดินเข้าไปสำรวจภายใน เพราะวันที่เรามาเค้าปิด เราจึงได้แค่ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศจากด้านนอกของอาคารมาฝากทุกคนกัน โดย ศาลาว่าการเมืองลูเซิร์น (Rathaus Stadt Luzern) จะเป็นอาคารที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองรายล้อมไปด้วยอาคารและตรอกซอกซอยที่เดินทะลุหากันได้ บริเวณด้านหน้าของอาคารสร้างด้วยหินที่ดูสง่างามและประณีต ส่วนระเบียงของอาคารที่เรามองเห็นมีความคล้ายกับพระราชวังในอิตาลี
และที่โดดเด่นเลยคือ หอนาฬิกาขนาดใหญ่ โดยเป็นจุดที่บ่งบอกได้ว่าเรามาถึง ศาลาว่าการเมืองลูเซิร์น (Rathaus Stadt Luzern) จริงๆ แล้ว ซึ่งเหนือจากหอนาฬิกาขึ้นไป จะเป็นจุดสังเกตการณ์ และเฝ้าระวัง ถือเป็นอีกหนึ่งโครงสร้างที่สำคัญของศาลาแห่งนี้ เพราะเป็นจุดที่สมัยก่อนถูกใช้เพื่อป้องกันภัยและส่องศัตรูนั่นเอง ก็คือมาแล้วถึงไม่ได้เข้าไปข้างใน แค่ได้มายืนมองโครงสร้างต่างๆ จากด้านนอกก็คุ้มแล้ว โดยรวมแล้วที่นี่เป็นอาคารเก่าแก่ทว่าคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบมาก คือยังไงมาเที่ยว ลูเซิร์น (Luzern) ก็ต้องมาเช็คอินที่นี่นะ เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คห้ามพลาดเลยล่ะ
สรุปการมาเที่ยว ลูเซิร์น (Lucerne)
จบแล้วสำหรับการมาเที่ยว ลูเซิร์น (Lucerne) ของก๊อต ยกให้เป็นอีกหนึ่งเมืองสุดสโลว์ไลฟ์และคิ้วท์สุดๆ ในใจก๊อตเลย ใครที่ชอบบรรยากาศของเมืองเก่าท่ามกลางอาคารสถาปัตยกรรมสวยๆ รายล้อมไปด้วยหุบเขามากมาย รวมถึงยังมีโซนเมืองเก่าให้ได้เดินเล่นกันแบบเพลินตาสบายใจ หรือจะไปล่องเรือชมวิวจากบนทะเลสาบสุดเงียบสงบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เราหาได้จาก ลูเซิร์น (Lucerne) เลย คือเป็นเมืองเล็กๆ ที่กลมกล่อมมาก ใครที่อยากหาเมืองน่ารักๆ ที่ตลบอบอวลไปด้วยความอบอุ่นหนุบหนับใจ ลองจิ้มมาเที่ยว ลูเซิร์น (Lucerne) ได้เลย ก๊อตรับรองเลยว่าใครมาก็ต้องตกหลุมรักเมืองเค้าอย่างแน่นอน
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡