ซูริค (Zurich) หากให้ก๊อตเลือกเมืองที่อยากมาเที่ยวมากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ซูริค (Zurich) ถือเป็นเมืองแรกๆ ในลิสต์ ที่อยากมาเยือนสักครั้ง เพราะนอกจากเค้าจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิสแล้ว ยังเลื่องลือว่าสวยงามราวกับสวรรค์บนดินอีกด้วย ทั้งอาคารเก่าอายุนับพันปีแต่คงสภาพและถูกดูแลรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ท่ามกลางธรรมชาติสวยๆ และความสโลวไลฟ์ของผู้คน ถือว่าเป็นเมืองที่เดินเที่ยวแล้วประทับใจทุกเสี้ยววินาทีเลยล่ะ
โดยรีวิวนี้ก๊อตอยากนำภาพสวยๆ และที่เที่ยว ซูริค (Zurich) มาฝากทุกคนกัน ทั้งการขึ้นไปชมวิวเมืองซูริคมุมสูงท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำลิมมัต (Limmat River) พร้อมทั้งไปเดินรับลมเย็นๆ ในย่านเมืองเก่าสุดคลาสสิก และที่พลาดไม่ได้เลย คือการมาลิ้มรสชีสสวิสแท้ๆ และไปเยือน Lindt Home of Chocolate พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตชื่อก้องโลกอีกด้วย ก๊อตบอกเลยว่ารีวิว ซูริค (Zurich) อันนี้ครบเครื่องแน่นอน ใครที่อยากมาเปิดประสบการณ์สวรรค์บนดินแบบของแท้ เพราะแต่ละที่ที่เราไปมา สวยอย่างกับอยู่ในเทพนิยายเลย ใครที่กำลังแพลนเที่ยว ซูริค (Zurich) อยู่ สามารถไปเที่ยวตามก๊อตได้เลยนะ
รู้จักกับ ซูริค (Zurich)
ซูริค (Zurich) ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ การเงิน และวัฒนธรรมของประเทศ โดยเมืองนี้เค้ามีชื่อเสียงในด้านคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นเมืองระดับโลกที่ผสมผสานประวัติศาสตร์อันยาวนานเข้ากับการพัฒนาสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว สำหรับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของ ซูริค (Zurich) นั้น เริ่มต้นกันมาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเริ่มต้นจากการตั้งถิ่นฐานของชาวเคลต์ ก่อนที่เมืองแห่งนี้จะกลายมาเป็นด่านศุลกากรของโรมันที่เรียกกันในช่วงสมัยนั้นว่า “Turicum” ซึ่งก็มีการค้าขายและดำเนินกิจการกันอยู่เนืองแน่น
จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วง15 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยความที่เมือง ซูริค (Zurich) ตั้งอยู่เลียบแม่น้ำลิมมัต (Limmat River) ซึ่งเป็นทำเลที่สะดวกต่อการค้า จึงมีเหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาทำการซื้อขายกันเนืองแน่น ส่งผลให้เศรษฐกิจของเมืองเฟื่องฟูมาจนถึงปัจจุบัน จึงเรียกได้ว่า เมืองแห่งนี้มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจระดับภูมิภาคกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นเมืองตั้งต้นในหารมาเที่ยวสวิสของใครหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ ใครที่อยากมู้ดเมืองเก่าทว่ามีความทันสมัยในเวลาเดียว ซูริค (Zurich) ถือเป็นอีกเมืองน่าเที่ยวในสวิสที่เราควรค่าแก่การมาสักครั้ง
ที่เที่ยวซูริค (Zurich)
- ETH Zurich + Polyterrasse
- ล็อกเกอร์ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Einstein’s locker)
- ซูริกฮอร์น (Zürichhorn)
- ร้านอาหาร Fischerstube Zürihorn
- นั่งเรือในทะเลสาบซูริค (Lake Zurich)
- ท่าเรือ Zürich Bürkliplatz
- ย่านเมืองเก่าซูริค (Zurich Old Town Area)
- Münsterhof
- สะพานมุนสเตอร์ (Münsterbrücke)
- ลินเดนฮอฟ (Lindenhof)
- Stadtkäserei
- Lindt Home of Chocolate
- Hotel Schweizerhof Zurich
- 25hours Langstrasse Hotel
เที่ยวให้คุ้มด้วย Swiss Travel Pass
ใครจะมาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะมาเที่ยวเมืองไหน ก๊อตแนะนำว่าควรซื้อ Swiss Travel Pass มาไว้ด้วย เพราะพาสนี้เราสามารถเอามาใช้ขึ้นขนส่งสาธารณะได้ทุกอย่างในสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เรือ และรถประจำทางต่างๆ โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว และระยะทาง นอกจากนี้ Swiss Travel Pass ยังใช้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างพิพิธภัณฑ์ชื่อดังกว่า 500 แห่งในสวิสได้ฟรี อีกทั้งยังใช้เป็นส่วนลดในการขึ้นกระเช้า ขึ้นยอดเขาดังๆ ได้ด้วยนะ
⚡️ความดีงามของ Swiss Travel Pass คือนอกจากเราจะใช้ขึ้นรถไฟทั่วไปได้แล้ว พาสยังรวมถึงรถไฟชมวิวพาโนราม่าฟรี ซึ่งรวมทั้งรถไฟ Glacier Express, Golden Pass, Bernina Express และ Gotthard Panorama Express นอกจากนี้ยังใช้ล่องเรือฟรีได้อีกเยอะมาก
สำหรับ Swiss Travel Pass ก๊อตแนะนำให้เราซื้อผ่านเอเจนซี่อย่าง Klook และ KKday ซึ่งในหน้าเว็บจะมีรายละเอียดของพาสอธิบายเอาไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมีตัวเลือกพาสให้ซื้อหลากหลาย ทั้งแบบพาสแบบต่อเนื่อง 3, 4, 8 หรือ 15 วัน รวมถึงมีแบบ E-Ticket ด้วย นอกจากนี้ยังมี บัตร Swiss Half Fare Card และบัตร Swiss Transfer Ticket ขายครบอีก
> เช็คราคาและซื้อ Swiss Travel Pass [ผ่าน Klook] / [ผ่าน KKday]
มาเริ่มเที่ยว ซูริค (Zurich) กันเล้ยย
ETH Zurich + Polyterrasse
สำหรับคนที่อยากมายืนชมวิวเมืองซูริค (Zurich) จากมุมสูง อีกหนึ่งจุดที่ก๊อตแนะนำให้มาเลยก็คือ บริเวณ จุดชมวิว Polyterrasse ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่อยู่ภายในบริเวณของ Swiss Federal Institute of Technology หรือ ETH Zurich นั่นเอง โดยการจะขึ้นมาบนนี้นั้น เราสามารถเดินทางได้ทั้งรถบัส หรือรถราง Polybahn ก็ได้ ส่วนตัวก๊อตเราเลือกขึ้นเป็นรถราง Polybahn ซึ่งจะเป็นรถรางสีแดงขนาดเล็กที่จะพาเราไต่ขึ้นไปตามเนินเขาด้วยความสโลว์ๆ ท่ามกลางวิวเมืองที่มองได้แบบรอบทิศทาง โดยก๊อตขึ้นกันที่สถานี Bahnhofstrasse/HB นั่งมาลงที่สถานี ETH Zurich ใช้เวลานั่งประมาณ 2 นาทีเราก็มาถึงด้านบนกันแล้ว
หลังจากเราขึ้นมาถึงด้านบน และเดินออกจากสถานีรถรางมาแล้ว ก็จะเข้าสู่เขตพื้นที่ของมหาวิทยาลัย โดยที่นี่เป็นมหาวิทยาวิจัยของรัฐที่มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งจุดชมวิวที่คนเค้านิยมมาดูกันจะอยู่บริเวณด้านหน้าของอาคาร Federal Institute of Technology (ETH) อันโอ่อ่า โดยจะเป็นลานจตุจัสขนาดกว้างตั้งยื่นออกไปหาวิวเมือง และจากจุดนี้เราสามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ของเมือง ซูริค (Zurich) ได้แบบพาโนราม่าที่ไกลสุดลูกหูลูกตกันเลยเลยทีเดียว
วิวจากบนนี้ก็จะมองเห็นอาคาร บ้านเรือนตั้งลดหลั่นเรียงรายกันไปท่ามกลางต้นไม้สีเขียวๆ ซึ่งในแต่ละวันนั้นบริเวณ จุดชมวิว Polyterrasse จะมีนักท่องเที่ยวและนักศึกษามานั่งชมวิวแบบไม่ขาดสายเลยล่ะ และนอกจากจะมาชมวิวกันแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการมานั่งปิกนิก ไปจนถึงอ่านหนังสืออีกด้วย ยิ่งในวันที่อากาศดีๆ ฟ้าโปร่งนะ จุดชมวิว Polyterrasse เป็นอีกหนึ่งมุมพักผ่อนที่ดีของเมืองซูริคเลย
ล็อกเกอร์ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Einstein’s locker)
อีกหนึ่งจุดที่ต้องมาเช็คอินเมื่อมาถึง ETH Zurich เลยก็คือ การเดินเข้าไปตามหาตู้ล็อกเกอร์เก็บของของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ซึ่งล็อกเกอร์นี้ตั้งอยู่ภายในบริเวณโซน F ชั้น 2 ของโถงทางเดินอาคาร Federal Institute of Technology (ETH) โดยมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ตู้หลังนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นล็อกเกอร์ที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เคยใช้ในสมัยที่เค้ายังเรียนและทำงานอยู่ที่นี่นั่นเอง
สำหรับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เข้าเรียนที่ ETH Zurich ในปี ค.ศ. 1896 เพื่อศึกษาวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ จนกระทั่งได้เรียนจบออกไปในปี ค.ศ. 1900 ก่อนจะตะเวนทำงานในสาขาวิชาที่เรียนมาไปเรื่อยๆ แต่ในท้ายที่สุด เค้าก็ได้กลับมาทำงานที่ ETH Zurich ในฐานะศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์เชิงทฤษฎี ในช่วงปี ค.ศ. 1912-1914
โดยล็อกเกอร์ที่ว่านี้ ถูกเหล่านักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัย บอกเล่าต่อๆ กันมาว่าเป็นของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) โดยปัจจุบันนี้ ทางมหาวิทยาลัยได้นำเอาภาพถ่าย หนังสือ ไปจนถึงชิ้นงานประดิษฐ์เล็กๆ ที่เกี่ยวข้องกับเค้ามาจัดเรียงเอาไว้ และเปิดโชว์ให้ผู้คนได้มาสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด จึงเรียกได้ว่า ล็อกเกอร์นี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงมรดกของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ที่บ่งบอกว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเรียนและเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้นั่นเอง
หลังจากเราตามหาล็อกเกอร์ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Einstein’s locker) เสร็จแล้ว ก็อตก็เดินไปต่อที่ห้องสมุด ETH Zurich ของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งจะต้องเดินข้ามฟากไปอีกฝั่งหนึ่ง โดยที่นี่มีอีกชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ETH-Bibliothek เป็นห้องสมุดสาธารณะด้านเทคนิคและวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ความเว่อร์วังคือเค้าเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางข้อมูลสำหรับเหล่านักศึกษา นักวิจัย และนักวิชาการจากทั่วโลกเลยทีเดียว ภายในห้องสมุดมีคอลเล็กชันมากกว่า 9 ล้านรายการ ตั้งแต่หนังสือ วารสาร แผนที่ และสื่อมัลติมีเดีย คือมีครบครันม๊ากก เรียกได้ว่าเป็นคลังความรู้ที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในสวิสเลยก็ว่าได้
ซูริกฮอร์น (Zürichhorn)
หากใครที่อยากหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รับลมเย็นๆ ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น ที่ซูริคยังมี ซูริกฮอร์น (Zürichhorn) สวนสาธารณะให้เราได้มาพักกายปล่อยใจจอยๆ อยู่ด้วยนะ โดยที่นี่เป็นสวนสาธารณะริมทะเลสาบซูริก (Lake Zurich) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงขยายเมืองปลายศตรวรรษที่ 19 โดยทางเมืองเค้าต้องการให้พื้นที่แห่งนี้กลายมาเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจริมทะเลสาบของชาวซูริคนั่นเอง ซึ่งก็ได้มีการพัฒนาพื้นที่กันมาอย่างต่อเนื่อง จนทุกวันนี้ ซูริกฮอร์น (Zürichhorn) เป็นหนึ่งสวนสาธารณะสุดป๊อบที่ผู้คนเค้านิยมมาพักผ่อนและทำกิจกรรมกลางแจ้งกันไปเป็นที่เรียบร้อย
ภายใน ซูริกฮอร์น (Zürichhorn) มีบรรยากาศที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ท่ามกลางสนามหญ้ากว้างๆ ที่ผู้คนสามารถมานั่งปิกนิก ไปจนถึงทำบาร์บีคิวกินกันได้ ซึ่งเค้าจะมีโซนเฉพาะให้ได้มานั่งย่างกันแบบฉ่ำๆ เลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่ยังมีไฮไลท์อย่าง สวนจีนซ่อนอยู่ด้วย โดยเค้าเป็นสวนที่ได้รับการจัดและส่งมอบมาจากเมืองคุณหมิง (Kunming) ในปี ค.ศ. 1993 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือระหว่างทั้งสองเมือง โดยบริเวณสวนจีนนั้น ถูกตกแต่งเอาไว้ในสไตล์จีนดั้งเดิม ภายในมีทั้งศาลา บ่อน้ำ และทางเดินที่สลับซับซ้อน ชวนให้ผู้คนได้มาพักผ่อนนั่นเอง
ยังไม่หมดเท่านั้นที่ ซูริกฮอร์น (Zürichhorn) ยังมีชิ้นงานศิลปะอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นศาลาเลอกอร์บูซีเย ของ เลอ กอร์บูซีเย (Le Corbusier) สถาปนิกชื่อดังชาวสวิส หรือจะเป็นประติมากรรม เฮนรี มัวร์ (Henry Moore) อันโด่งดังก็ถูกจัดวางอยู่ภายในอีกด้วย และมากไปกว่านั้น ภายในสวนยังมีหลายจุดที่เค้าอนุญาตให้ผู้คนลงไปเล่นน้ำในทะเลสาบได้ อีกทั้งยังมีบริการให้เช่าเรือ และมีพื้นที่โซนสำหรับว่ายน้ำโดยเฉพาะรองรับอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ ซูริกฮอร์น (Zürichhorn) กลายเป็นสวนสาธารณะที่ฮิตมากในช่วงหน้าร้อนของซูริค แบบที่ว่าคนแห่แหนมาไม่ขาดสายเลยเชียว ใครที่อยากมานั่งดื่มด่ำกับธรรมชาติและทะเลสาบในบรรยากาศสุดชิล ก๊อตแนะนำที่นี่เลย
ร้านอาหาร Fischerstube Zürihorn
ใครเดินเล่นใน ซูริกฮอร์น (Zürichhorn) จนหนำใจแล้วอยากเติมพลังด้วยอาหารรสชาติดีๆ ก๊อตแนะนำให้เดินมาที่ Fischerstube Zürihorn ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ด้านในติดกับทะเลสาบได้เลย โดย Fischerstube Zürihorn เป็นร้านอาหารเก่าแก่ที่เปิดให้บริการกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นที่เลื่องลือในเรื่องบรรยากาศติดทะเลสาบที่งดงามราวกับภาพวาด รวมถึงวัตถุดิบหลักอย่างปลาท้องถิ่น และการเสิร์ฟอาหารสวิสแบบดั้งเดิม จนสามารถดึงดูดคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวให้มาลิ้มลองอยู่เนืองแน่น
โดยชื่อร้าน “Fischerstube” ในภาษาเยอรมันยังหมายความว่า “ห้องของชาวประมง” อีกด้วย แน่นอนว่ามันสะท้อนถึงต้นกำเนิดของร้านอาหารที่เป็นสถานที่ที่ชาวประมงในท้องถิ่นมารวมตัวและซื้อขายปลาสดจากทะเลสาบซูริกกันนั่นเอง ในส่วนของบรรยากาศร้านโดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยสไตล์ชาเลต์สวิสแบบดั้งเดิม อาคารด้านนอกมีคานไม้ยกสูง หลังคาถูกมุงด้วยไม้คล้ายใบจากบ้านเรา ส่วนภายในร้านนั้นมีทั้งโซนอินดอร์ และเอาท์ดอร์ให้ได้เลือกนั่งกินท่ามกลางบรรยากาศของทะเลสาบซูริคที่รายล้อม บอกเลยว่าเป็นการมากินข้าวที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองสุดๆ
โดยเมนูอาหารที่เสิร์ฟกันจะเน้นไปที่วัตุดิบจากปลาท้องถิ่นเป็นหลัก แต่ถ้าใครอยากลองเมนูอื่นๆ ที่นี่เค้าก็มีเมนูเนื้อ ไปจนถึงเมนูมังสวิรัติให้ทานด้วยนะ โดยก๊อตลองเป็นสเต็กเนื้อและปลาแซลม่อน บอกเลยว่าเสิร์ฟมาจานใหญ่จุใจม๊าก อีกทั้งรสชาติยังนัวอร่อยกลมกล่อมถูกปากคนไทยแน่นอน เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหาประสบการณ์การกินข้าวที่ไม่เหมือนใครริมทะเลสาบแบบนี้ มันไม่มีที่ไหนดีงามได้เท่า Fischerstube Zürihorn อีกแล้ว
นั่งเรือในทะเลสาบซูริค (Lake Zurich)
พาทุกคนมาขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือใน ซูริคฮอร์น (Zürichhorn) กันต่อ โดยเรือเค้าจะเป็นเรือสองชั้นที่ภายในนั้น มีทั้งโซนอินดอร์มาพร้อมโต๊ะ เก้าอี้ตัวยาวให้ได้นั่งชมวิวผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ อีกทั้งยังมีโซนเอ้าท์ดอร์ที่ใครอยากกินลมชมวิว สามารถออกไปนั่งรับลมเย็นๆ ที่ด้านนอกได้เลย ซึ่งถ้าใครที่ถือ Swiss Travel Pass นั้น เราสามารถกระโดดขึ้นเรือได้เลยแบบฟรีๆ นะ
⚡️ สำหรับการล่องเรือในทะเลสาบซูริค (Lake Zurich) ใครที่ถือ Swiss Travel Pass ไว้ เราสามารถกระโดดขึ้นเรือฟรีได้เลยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซื้อ Swiss Travel Pass [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
โดยรอบเรือเฟอร์รี่เค้าจะวิ่งเป็นรอบๆ นะ หากใครจะรอขึ้นรอบไหน ก๊อตแนะนำว่าให้มารอก่อนเวลาเรือออกได้เลย เพราะเรือที่นี่เค้ามาเทียบท่าและออกตรงเวลาเป๊ะมาก ซึ่งเส้นทางในการนั่งเรือเค้าก็จะพาเราล่องไปยังจุดต่างๆ ในทะเลสาบซูริค (Lake Zurich) เริ่มตั้งแต่ท่าเรือ Zurichhorn Casino ไปจนถึงท่าเรือ Zürich Bürkliplatz ท่ามกลางวิวเมืองที่อยู่ตามสองฝั่งของทะเลสาบ โอบล้อมไปด้วยท้องฟ้าสีครามและสายน้ำที่ระยิบระยับเมื่อต้องกับแสงแดด ซึ่งเราสามารถลงตามท่าที่ต้องการได้เลยนะ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมในซูริค (Zurich) ที่ต้องมาลองขึ้นกัน เพราะมันดีมาก
ท่าเรือ Zürich Bürkliplatz
ก๊อตนั่งเรือชมทะเลสาบซูริค (Lake Zurich) ประมาณ 20 นาที เราก็มาถึง ท่าเรือ Zürich Bürkliplatz โดยท่าเรือนี้มีความพิเศษตรงที่แม่น้ำลิมมัต (Limmat River) ไหลมาบรรจบกับทะเลสาบซูริค (Lake Zurich) นั่นเอง สำหรับบรรยากาศของท่าเรือมีผู้คนรอขึ้นลงเรืออยู่ขวักไขว่ แต่ที่ก๊อตชอบเลยคือตอนที่เราเดินขึ้นมาจากท่าเรือ จะเห็นว่ามีฝูงหงส์กำลังลอยตัวตุ๊บป่องอยู่ในทะเลสาบให้ได้มองแบบชิลๆ แถมยังมีเป็ด และนกตัวเล็กๆ อยู่อีกด้วย เป็นบรรยากาศที่สโลวไลฟ์สุดๆ
ย่านเมืองเก่าซูริค (Zurich Old Town Area)
สำหรับย่านที่เที่ยวสุดฮิตของซูริค (Zurich) จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้เลย หากไม่ใช่ที่ ย่านเมืองเก่าซูริค (Zurich Old Town Area) ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมืองที่มีอายุกว่า 2,000 ปี โดยพื้นที่ย่านนี้มีต้นกำเนิดมาจากการตั้งถิ่นฐานของชาวโรมัน ก่อนจะค่อยๆ ถูกพัฒนาจนกลายมาเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการเมืองของเมืองซูริค (Zurich) โดยปัจจุบันนี้เหล่าอาคารยุคกลางที่ปลูกสร้างกันมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ นั้น ยังคงถูกอนุรักษ์และดูแลเอาไว้เป็นอย่างดี ส่งผลให้มีผู้คนและนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวย่านนี้อยู่ตลอดทั้งปีเลยก็ว่าได้
Münsterhof
ภายในย่านเมืองเก่า มีโซนชิลๆ ที่คนสวิสชอบมานั่งรับลมอย่าง Münsterhof อยู่ด้วยนะ โดยเค้าเป็นลานกว้างที่อยู่บริเวณโบสถ์ฟรอมุนสเตอร์ (Fraumünster) หนึ่งในสี่โบสถ์หลักของเมือง โดยบริเวณนี้เป็นลานโล่งที่ตรงกลางมีเก้าอี้ให้มานั่งพัก รอบข้างเป็นอาคารเก่าที่เค้าเปิดเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร ซึ่งในบริเวณนี้ยังมีน้ำพุขนาดย่อมๆ ตั้งอยู่ด้วย ใครกระหายน้ำ สามารถเอาขวดมากรอกน้ำเพื่อดื่มได้เลย
สะพานมุนสเตอร์ (Münsterbrücke)
นอกจากนี้ภายในย่านเมืองเก่าซูริค (Zurich Old Town Area) นั้น เราสามารถเดินเที่ยวได้หมดเลยนะ ซึ่งเค้าจะมีจุดให้ถ่ายรูปอยู่เยอะมาก โดยรูทเดินเที่ยวของก๊อตก็จะค่อยๆ เดินไปตามสะพานไล่ยาวไปจนถึงจุดชมวิว ซึ่งจุดแรกที่เรามากันเลยก็คือ สะพานมุนสเตอร์ (Münsterbrücke) สะพานคนเดินและถนนข้ามแม่น้ำลิมมัต (Limmat River) โดยความสำคัญของสะพานนี้คือเค้าได้รับการขึ้นทะเบียนในรายการทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญระดับชาติและระดับภูมิภาคของสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย
ซึ่งจากบริเวณ สะพานมุนสเตอร์ (Münsterbrücke) เราสามารถมายืนอยู่ใจกลางของสะพานแล้วชมวิวเมืองเก่าที่จะเป็นอาคารอิฐอันเก่าแก่ทว่ายังคงสภาพสมบูรณ์และงดงามตั้งเรียงรายไปตามสองฝั่งของแม่น้ำ โดยมีผู้คนมากมายต่างพากันเดินอยู่ตามสองฝั่งทางกันให้ขวัก บ้างก็นั่งคาเฟ่ แวะร้านอาหาร แต่ที่เห็นชิลสุดเลยจะเป็นเหล่าบรรดาน้องเป็ดที่มาแหวกว่ายเล่นน้ำอยู่ในแม่น้ำให้เราได้มองกันแบบเพลินตา ซึ่งจาก สะพานมุนสเตอร์ (Münsterbrücke) เรายังสามารถมองออกไปเห็นโบสถ์กรอสมุนสเตอร์ (Grossmünster) ที่ตั้งสง่าอยู่ท่ามกลางย่าน และ โบสถ์ฟรอมุนสเตอร์ (Fraumünster) หนึ่งในสี่โบสถ์หลักของเมืองอยู่ด้วย
สำหรับบรรยากาศตามสองฝั่งของแม่น้ำ เราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวเมือง ทั้งอาคารเก่าที่คึกคักไปด้วยผู้คน บนแม่น้ำมีเรือมากมายที่จอดอยู่ ไปจนถึงสายลมเย็นๆ ที่ปะทะเข้าหาตัวในยามเดินทอดน่องชิลๆ ท่ามกลางใบไม้ที่กำลังเริ่มเปลี่ยนสี มันช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะแก่การเดินสุดๆ นอกจากวิวตามสองฝั่งของแม่น้ำจะสวยแล้ว ตามจุดต่างๆ ที่เราเดินผ่านมายังมีมุมให้ได้แวะเก็บภาพสวยๆ อีกด้วยนะ
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
เอาล่ะ ส่องวิวกันจนหนำใจแล้ว ก๊อตก็เดินต่อไปที่ย่านลินเดนฮอฟ (Lindenhof) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งย่านในเมืองเก่าที่ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำลิมมัต (Limmat River) โดยจุดที่ก๊อตจะไปนั้น เป็นบริเวณจุดชมวิวที่อยู่บนเนินเขา ซึ่งเส้นทางเดินจะค่อยๆ ลาดชันคดเคี้ยวไปตามแนวอาคารเก่าที่ถูกเปิดเป็นร้านค้า ช็อปดังอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์รองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้า ไปจนถึงของตกแต่งบ้าน โดยมีทั้งแบรนด์สัญชาติสวิส และแบรนด์ดังจากทั่วโลกให้ได้ช้อปปิ้งเพียบ
โดยอีกมุมที่ก๊อตแนะนำให้ถ่ายรูปเลย จะเป็นถนนก่อนถึงด้านบนของจุดชมวิว ซึ่งจากตรงนี้เราสามารถถ่ายรูปออกไปเห็นอาคารที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหลัง รวมถึงหอนาฬิกาได้อีกด้วย ถือเป็นอีกมุมที่สวยมาก
ลินเดนฮอฟ (Lindenhof)
จุดชมวิวบน ลินเดนฮอฟ (Lindenhof) อยู่บนเนินเขาลินเดนฮอฟ (Lindenhof Hill) เป็นหนึ่งในจุดชมวิวเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ ด้านบนของจุดชมวิวจะเป็นลานกว้างๆ ที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ตามจุดต่างๆ มีเก้าอี้ตัวยาวให้เราได้มานั่งเอนหลังพักผ่อน รวมถึงยังมีลานเปตอง และการะดานหมากรุกยักษ์ที่คนบ้านเขามาร่วมตัวเล่นกันท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักที่ชวนให้จุดชมวิวแห่งนี้มันครึกครื้นสุดๆ
สำหรับจุดชมวิวจะอยู่ตรงกำแพงขนาดใหญ่ที่กั้นอยู่ระหว่างเนินเขา จากบริเวณนี้เราสามารถมองออกไปเห็นวิวเมืองซูริค (Zurich) และโบสถ์ฟรอมุนสเตอร์ (Fraumünster) ที่ถูกแม่น้ำลิมมัต (Limmat River) และหุบเขารายล้อมเอาไว้ ท่ามกลางภาพของอาคารและตรอกซอกซอยเก่าแก่ และผู้คนมากมายที่เดินกันตัวเล็กจิ๋วอยู่ตามจุดต่างๆ ถือเป็นวิวหลักล้านที่เราสามารถเดินขึ้นมาส่องดูกันได้แบบฟรีๆ เลยเชียวล่ะ
ใครที่อยากหามุมพักผ่อนเงียบๆ ท่ามกลางวิวเมืองและธรรมชาติ ก๊อตแนะนำว่าต้องเดินขึ้นมาเช็คอินบนนี้ด้วยนะ ไม่งั้นการเดินเที่ยวเมืองเก่าของเราจะไม่คอมพลีทแน่นอน
Stadtkäserei
หากใครที่มาถึงสวิสแล้วอยากชิมชีสแบบต้นตำรับออริจิของบ้านเค้า ก๊อตแนะนำให้มาลองลิ้มรสที่ร้าน Stadtkäserei ได้เลย โดยร้านนี้เค้าเลื่องลือในเรื่องของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชีสสวิสแท้ๆ ซึ่งเน้นวัตถุดิบหลักมาจากท้องถิ่น โดยชื่อของร้าน Stadtkäserei ยังหมายถึงโรงผลิตชีสในเมืองอีกด้วย บ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่าเค้าต้องการนำเสนอวัฒนธรรมและมรดกการทำชีสของสวิสให้กับผู้คนได้มาเรียนรู้และลิ้มลองกันนั่นเอง
สำหรับชีสที่ขายกันอยู่ภายในร้านจะมีตั้งแต่ชีสสวิสแบบดั้งเดิม อย่างตัวคลาสสิกเลยจะเป็นชีสกรูแยร์ (Gruyeres), เอ็มเมนทาล (Emmental)และแอพเพนเซลเลอร์ชีส (Appenzeller) นอกจากนี้ยังมีชีสท้องถิ่นแบบพิเศษที่หาได้ยากในตลาดทั่วไปขายอยู่อีกด้วยนะ ซึ่งใครที่อยากลิ้มลองชีสแบบเอกซ์คลูซีฟ ที่ Stadtkäserei ยังมีกิจกรรมชิมชีสให้ได้มาเปิดประสบการณ์ด้วย ซึ่งเค้าจะให้เราเข้าไปนั่งในมุมส่วนตัวบนชั้นสองของร้าน ที่เป็นเหมือนห้องทำชีสขนาดย่อมๆ จากนั้นจะมีเครื่องดื่มมาให้เราเลือกกินกับชีส ทั้งไวน์ขาว ไวน์แดง ไปจนถึงเครื่องดื่มโปรตีนจากชีสที่ทางร้านทำขึ้นมาเอง พอเลือกเครื่องดื่มได้แล้ว ทางร้านจะเสิร์ฟชีสบอร์ดและผลไม้มาให้แบบจัดเต็ม จากนั้นก็จะมีทีมงานมาอธิบายเกี่ยวกับชีส และบอกขั้นตอนการจับคู่กินให้ได้ฟัง พอทีมงานเค้าอธิบายครบแล้วเราก็เอนจอยด้วยการดื่มด่ำกับชีสตามที่ใจชอบได้เลย เอาจริงนี่ว่าการจับคู่ชีสขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเลย ส่วนตัวก๊อตคิดว่าไม่มีถูกผิด อยากให้มาลองกัน ถือเป็นอีกกิจกรรมที่สนุกและเปิดประสบการณ์กินชีสมาก
นอกจากชิมชีสแล้วที่ Stadtkäserei ยังมีโซนร้านอาหารให้บริการด้วยนะ โดยเค้ามีเมนูอาหารให้ได้เลือกกินหลากหลาย ซึ่งเมนูส่วนใหญ่จะมีชีสเป็นส่วนประกอบหลักอยู่ในนั้น ส่วนตัวก๊อตลองมาหลายเมนู รสชาติอร่อยกลมกล่อมทุกจาน ใครหิวๆ นี่แนะนำว่าฝากท้องไว้กับเค้าได้เลย รับรองว่าเดินออกมาจากร้านอิ่มพุงกางกันทุกคน
Lindt Home of Chocolate
สาวกช็อกโกแลตทั้งหลายมาเที่ยวซูริค (Zurich) ต้องมาเยือน Lindt Home of Chocolate พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต อีกทั้งยังเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทช็อกโกแลต Lindt & Sprüngli ที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้วยนะ โดยที่นี่เค้าเปิดให้บริการมาตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2020 ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองมรดกช็อกโกแลตของสวิส พร้อมทั้งเป็นสถานที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการผลิตช็อกโกแลตอีกด้วย
ซื้อบัตร Lindt Home of Chocolate
สำหรับคนที่อยากมาทัวร์โรงงานช็อกโกแลต พร้อมทั้งได้เรียนรู้กระบวนการในการผลิต อีกทั้งยังได้ชิมช็อกโกแลตแบบไม่อั้นที่ Lindt Home of Chocolate สามารถซื้อตั๋วล่วงหน้ามาก่อนได้เลย โดยเว็บที่สะดวกและง่ายสำหรับก๊อตคือการซื้อผ่าน OTA อย่าง Klook และ KKday โดยบัตรจะมาแบบ QR Code ที่สามารถแสกนเข้าได้เลย แถมราคายังบางช่วงยังถูกกว่ามาซื้อหน้างานด้วยนะ ถือว่าคุ้มและสะดวกกว่ามากบอกเลย
🎫 ซื้อบัตร Lindt Home of Chocolate [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
สำหรับ Lindt & Sprüngli ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1845 และตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ช็อกโกแลตที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก โดย Lindt มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพและนวัตกรรมในการผลิตช็อกโกแลตระดับพรีเมียม จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับสวิสเซอร์แลนด์นั่นเอง โดยโซนที่ก๊อตจะพาทุกคนมาเที่ยวกันนั้น จะเป็นโซนพิพิธภัณฑ์ Lindt Home of Chocolate ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของช็อกโกแลตภายใต้แบรนด์ของเค้า ที่จะพาเราท่องไปในโลกของ Lindt ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นผลิตร่ายยาวไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ผลิตภัณฑ์ออกมาวางขาย
ภายใน Lindt Home of Chocolate พอเราเดินเข้ามาบริเวณชั้นแรกแล้วจะเจอเข้ากับ น้ำพุช็อกโกแลต Lindt ที่สูงถึง 9 เมตร ถือว่าเป็นน้ำพุช็อกโกแลตที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยบนน้ำพุนั้นมีช็อกโกแลตไหลวนเวียนอยู่กว่า 1,500 ลิตร นอกจากนี้ในชั้นเดียวกันยังมีร้านช็อกโกแลต Lindt ที่ใหญ่ที่สุดบนพื้นที่กว่า 500 ตารางเมตรเปิดให้บริการอีกด้วย ใครที่อยากหิ้วช็อกโกแลตของเค้าติดไม้ติดมือกลับบ้าน สามารถซื้อจากตรงนี้ได้เลย
สำหรับการเดินชมนิทรรศการภายใน Lindt Home of Chocolate เราจะต้องเดินขึ้นบันไดวนไปอีกชั้น เพื่อเข้าไปยังโซนนิทรรศการ ซึ่งข้างในจะแบ่งออกเป็นหลากหลายห้องจัดแสดง โดยจะมีตั้งแต่ห้องที่บอกเล่าถึงที่มาที่ไปของช็อกโกแลต ก่อนจะค่อยๆ พาเราไปสัมผัสกับขั้นตอนในการแปรรูป และกระบวนการทำช็อกโกแลต จนได้ออกมาเป็นช็อกโกแลต Lindt แสนอร่อย
ซึ่งความดีงามของนิทรรศการที่ก๊อตชอบเลยก็คือ ในแต่ละห้องเค้าจะมีมุมให้เราได้โต้ตอบและมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบดเมล็ดจากฝักโกโก้ เพื่อนำไปทำเป็นช็อกโกแลต การลองชิมช็อกโกแลตรสชาติต่างๆ รวมไปถึงได้เห็นต้นโกโก้กันแบบใกล้ชิดที่ชวนตื่นตาตื่นใจสุดๆ
โดยห้องไฮไลท์ที่ก๊อตชอบมากเลยก็คือ ห้องสุดท้ายก่อนที่เราจะกลับออกไปด้านนอก เค้าเป็นห้องที่มีช็อกโกแลตของ Lindt ขนาดใหญ่บิ้กเบิ้มวางอยู่ พร้อมกับมีตู้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอยู่ด้วย ซึ่งห้องนี้เราถ่ายรูปกันเพลินเลยแหละ แต่ที่ทำให้ก๊อตชอบจริงๆ ของห้องนี้เห็นจะเป็นการเดินไปหยิบเอาช็อกโกแลต Lindt LINDOR ทั้ง 8 รสชาติของเค้าได้ตามใจชอบ 55555 ซึ่งทั้งหมดจะถูกจัดวางเอาไว้ในกล่องใสกลมๆ โดยมีช่องเล็กๆ ให้เรายื่นมือเข้าไปหยิบกลับบ้านได้ ใครที่อยากลองชิมช็อกโกแลตของเค้าก่อนตัดสินใจซื้อ สามารถหยิบชิมจากตรงนี้แล้วค่อยแวะลงกลับบ้านได้
ซึ่งส่วนตัวก๊อตเราใช้เวลาอยู่ในนิทรรศการประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็เดินกลับออกมากันแล้ว โดยรวมการได้มาเยือน Lindt Home of Chocolate เป็นอะไรที่เปิดโลกช็อกโกแลตของก๊อตมาก คือนี่เคยกินช็อกโกแลตของเค้าที่ไทยมาแล้ว แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเค้าเป็นของสวิส พอได้มาเห็นแหล่งผลิต รวมถึงได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง มันเลยใจฟูสุดๆ นี่ว่าสาวกช็อกโกแลตมาแล้วต้องชอบอย่างแน่นอน ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวในซูริค (Zurich) ที่ต้องมาเยือนให้ได้
ที่พักในซูริค (Zurich)
Hotel Schweizerhof Zurich
Hotel Schweizerhof Zurich โรงแรมระดับ 5 ดาว สุดเก่าแก่ประจำเมืองที่เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 150 ปี โดยที่นี่เลื่องลือในเรื่องของดีไซน์ที่ผสมผสานระหว่างเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์และความหรูหราทันสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวภายในตึกที่ถูกดูแลรักษาและปรับปรุงเอาไว้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องทำเลที่ตั้งของ Hotel Schweizerhof Zurich นั้น ถือว่าสะดวกสบายอันดับหนึ่ง เพราะโรงแรมตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟหลักของเมืองซูริค หรือ Zurich HB เลย ดังนั้น ไม่ว่าเราจะไปเที่ยวในตัวเมืองซูริคเอง หรือจะไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ก็ง่ายดายมากเลยล่ะ
สำหรับบรรยากาศของ Hotel Schweizerhof Zurich หลังจากเราเดินเข้ามาด้านในนั้น สิ่งแรกที่โดดเด่นเห็นมาแต่ไกลเลยก็คือ ความโอ่อ่าคลาสสิก ด้วยการตกแต่งที่บ่งบอกถึงความลักชู อย่างการใช้ไม้ขัดเงา หินอ่อน และผ้าลวดลายงดงามมาประดับประดาไปตามจุดต่างๆ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในโทนสีทอง เบจ และครีมที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นแต่ยังคงความทันสมัยเอาไว้ในเวลาเดียวกัน บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมดูยิ่งใหญ่อลังการด้วยพื้นที่กว้างๆ ที่โดดเด่นด้วยโคมไฟคริสตัลห้อยระย้าเพิ่มความระยิบระยับให้กับล็อบบี้ อีกทั้งยังมีผลงานศิลปะที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของสวิส รวมไปถึงของตกแต่งที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างตั้งใจให้ได้มองกันเพลินๆ ระหว่างเช็คอินอีกด้วย
มาถึงของห้องพักกันบ้าง โดยที่ Hotel Schweizerhof Zurich มีห้องพักทั้งหมด 95 ห้อง แบ่งออกเป็น 4 ไทป์ คือ Dufour Deluxe Double Rooms (ขนาดห้อง 29-38 ตร.ม.), Dufour Junior Suites (ขนาดห้อง 37-44 ตร.ม.), Dufour Wellness Suite (ขนาดห้อง 56 ตร.ม.) และ Dufour Signature Suite (ขนาดห้อง 56 ตร.ม.) ซึ่งทุกห้องนั้นเราไม่ต้องกลัวเรื่องเสียงจากข้างนอกจะดังเข้ามารบกวนเลย เพราะกระจกของแต่ละห้องหนาถึงสามชั้นกันเลยทีเดียว ส่วนเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักก็ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น เตียงนอนหนานุ่ม เครื่องปรับอากาศ Wi-fi ความเร็วสูง ทีวีจอแบนพร้อมระบบความบันเทิง โต๊ะทำงานพร้อมลิ้นชักนิรภัย ไปจนถึงเครื่องชงกาแฟ Nespresso กาต้มน้ำร้อน น้ำแร่ที่มาคู่กับสารพัดชาและกาแฟให้ได้ชงดื่ม แต่ที่น่ารักเลยคือห้องพักเค้ามีดอกไม้สดให้เราได้รู้สึกสดชื่นในยามเข้ามาอีกด้วย นอกจากนี้เรายังสามารถมองวิวเมืองจากหน้าต่างของห้องพักได้อีกด้วยนะ
ส่วนเรื่องอาหารเช้านั้น ที่ Hotel Schweizerhof Zurich เค้ามีอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์มาให้เรียบร้อย โดยจะเป็นอาหารสวิสที่นำเอาวัตถุดิบจากแหล่งท้องถิ่นมาปรุงให้ได้ลิ้มรสกัน นอกจากนี้เค้ายังมีร้านอาหารชั้นเลิศอย่าง La Soupière ซึ่งขึ้นชื่อในด้านอาหารฝรั่งเศสและสวิส รวมถึงยังมี Café Gourmet ในบรรยากาศแสนอบอุ่นสำหรับคนที่อยากกินมื้อเบาๆ หรือของว่างอยู่ด้วย ส่วนฟังก์ชันอื่นๆ อย่างฟิตเนส และสปาที่นี่ก็มีครบให้ได้ใช้บริการเลยเชียว
เรียกได้ว่า Hotel Schweizerhof Zurich เป็นอีกหนึ่งโรงแรมลักชูที่ครอบคลุมทุกฟังก์ชันเลย ส่วนตัวก๊อตคิดว่าใครที่กำลังมองหาโรงแรมหรูในบรรยากาศสวิสแท้ๆ อีกทั้งยังตั้งอยู่ใจกลางเมือง สะดวกต่อการเดินทางเที่ยว มันไม่มีที่ไหนตอบโจทย์ได้เท่ากับ Hotel Schweizerhof Zurich อีกแล้ว ใครอยากได้ฟีลพักแบบลูกคุณ ก๊อตแนะนำที่นี่เลย
25hours Langstrasse Hotel
อีกหนึ่งโรงแรมที่ก๊อตมาพักแล้วประทับใจมาก นั่นก็คือ 25hours Langstrasse Hotel โรงแรมสุดจี๊ดที่ก๊อตคิดว่าคนชิค สายฮิป หรือคนที่ชื่นชอบศิลปะเข้าพักแล้วจะต้องเลิฟเลย เพราะที่นี่เป็นโรงแรมบูติกสุดเก๋ที่ตั้งอยู่บนถนนแลงก์ (Langstrasse) ย่านที่ได้ชื่อว่าเป็นเรดไรท์ สตรีท (Red Light District) ของซูริค (Zurich) โดยโรงแรมเปิดให้บริการกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการนำเอาเรื่องราวความต่างของย่านถนนแลงก์ (Langstrasse) มาบรรจบเข้ากับย่านยูโรปาอัลเล่ (Europaallee) ผ่านมุมมองของการนำเอาศิลปะและทุนนิยมมาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน จนทำให้ 25hours Langstrasse Hotel กลายเป็นโรงแรมที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมของย่านในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
บรรยากาศของ 25hours Langstrasse Hotel ด้านนอกเป็นตึกสีดำที่ตั้งอยู่มุมถนนทำให้ง่ายต่อการมา โดยบริเวณด้านหน้าของโรงแรมมีโต๊ะ เก้าอี้หลากสีสันคอยรองรับลูกค้าที่จะมากินอาหารหรือนั่งชิล รวมไปถึงแขกที่เข้าพักอีกด้วย ซึ่งพอเราเดินเข้ามาด้านในจะเจอเข้ากับล็อบบี้ให้ได้มาเช็คอิน แต่ที่ก๊อตชอบเลยคือบรรยากาศภายในชั้นล็อบบี้ ที่ถูกตกแต่งไปด้วยชิ้นงานศิลปะ รวมถึงของสะสมมากมาย จนในความรู้สึกแรกที่เราก้าวเท้าเข้ามา ที่นี่ดูเหมือนพิพิธภัณฑ์มากกว่าโรงแรมเสียอีก
และที่เริ่ดเลย คือถัดมาจากล็อบบี้ตรงฝั่งซ้ายมือ ทางโรงแรมทำเป็นมุมห้องสมุดขนาดย่อมๆ ที่พิเศษด้วยการนำเอากระเป๋า FREITAG ซึ่งเป็นแบรนด์กระเป๋าของเมืองซูริค (Zurich) มาห้อยตกแต่งเอาไว้ ใครที่อยากจับจองเป็นเจ้าของก็สามารถซื้อจากที่นี่ได้ด้วยนะ แต่ถ้าอยากทดลองใช้ก่อน จะบอกว่าบนห้องพักทุกห้องเค้ามีกระเป๋า FREITAG ให้เราได้ยืมสะพายฟรีตลอดที่พักอยู่ที่นี่ด้วย อันนี้เป็นไอเดียที่เปลี่ยนสถานะแขกอย่างเราให้กลายเป็นลูกค้าได้ไม่ยาก เพราะก๊อตเองก็อยากได้ FREITAG สักใบตั้งแต่วันแรกที่เข้าพักกันเลยล่ะ 555555
มาถึงห้องพักของเรากันต่อ โดยที่ 25hours Langstrasse Hotel เค้ามีห้องพักถึง 170 ห้อง ซึ่งจะมีทั้งห้องแบบ Large ขนาด 25 ตร.ม. ที่สามารถแยกเตียงนอนให้เป็นเตียงเดี่ยวได้ และห้องแบบ Trainspotting Suite ที่มาพร้อมเตียงคู่ขนาดบิ้กเบิ้มในพื้นที่ห้องกว่า 44 ตร.ม. โดยก๊อตพักเป็นห้องแบบแรก ซึ่งภายในห้องนั้นตกแต่งเอาไว้ให้ฟีลเหมือนเราอยู่ในบาร์จี๊ดๆ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งที่มีสีสันสดใส และถูกจัดวางเอาไว้ในแบบที่ไม่เหมือนโรงแรมทั่วไป อย่างพวกนิตยสารก็จะถูกนำมาหนีบแล้วห้อยไปกับเชือก มีพร๊อพมากมายทั้งกล้องฟิล์ม โคมไฟที่สามารถมาถ่ายรูปทำคอนเท้นต์ได้แทบจะทุกมุมเลยก็ว่าได้ ถือเป็นห้องนอนที่ไม่เหมือนอยู่โรงแรมมาก เหมือนเข้าพักบ้านศิลปินตัวมัมของวงการแบบนั้นเลย
ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องก็ครบครันไม่แพ้กัน เริ่มจากห้องน้ำที่กว้างขวางม๊ากก โดยเค้าแยกโซนเปียกและโซนแห้งเป็นสัดส่วนกั้นกลางเอาไว้ด้วยโซนล้างหน้า ส่วนเตียงนอนหนานุ่มนอนสบายภายในห้องมาพร้อม Wi-fi ที่เร็วแรงใช้งานได้ตลอดไม่มีติดขัด ซึ่งจากบนห้องพักเราสามารถมองออกไปดูวิวด้านนอกผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ได้ด้วยนะ แต่ที่ก๊อตชอบมากสุดเลยจะเป็นโซนบาร์ โดยทุกอย่างที่อยู่ในตู้เย็นนั้นเราสามารถกินได้ฟรีเลย ทั้งน้ำเปล่า น้ำอัดลม เบียร์ ขนม ทุกอย่างคือฟรีหมด แถมยังสามารถขอให้เค้ามาเติมใหม่แบบวันต่อวันได้อีกด้วย
สำหรับอาหารเช้า ที่ 25hours Langstrasse Hotel เค้ามีอาหารเช้าแบบจัดเต็มภายในห้องอาหาร NENI ที่ตอนกลางคืนจะเปิดเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ร่วมด้วย ซึ่งอาหารเช้าส่วนใหญ่จะเป็นอาหารสวิส อาหารฝรั่งอย่างพวกชีส แซลมอนรมควัน ไส้กรอก ไข่คน ไปจนถึงผลไม้และเครื่องดื่มคือมีมาให้เราเลือกกินเพียบ สามารถหิ้วท้องมาฝากมื้อเช้าที่โรงแรมแล้วค่อยไปเที่ยวต่อได้สบายๆ
นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ก๊อตเล่ามานั้น ที่ 25hours Langstrasse Hotel ยังมี Cinchona Bar บาร์ที่ในยามค่ำคืนนั้นเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่านักท่องราตรีอยู่ด้วย ใครอยากดื่มท่ามกลางบรรยากาศชิลๆ นี่แนะนำเลย ส่วนคนที่อยากออกกำลังกายและเข้าสปา ที่โรงแรมเค้ามีฟิตเนสให้ได้มาออกกำลังกาย และมีสปาให้ได้มาผ่อนคลายกันแบบฉ่ำๆ อยู่ด้วย
สุดท้ายที่ 25hours Langstrasse Hotel เค้ามีไอเดียดีๆ อย่างการใช้สิ่งของมาจ่ายแทนค่าเข้าพักได้ด้วยนะ สำหรับใครที่เข้าพักแล้วไม่อยากจ่ายด้วยเงิน หรือเงินไม่พอ เราสามารถแจ้งพนักงานแล้วเปลี่ยนการชำระค่าโรงแรมเป็นสิ่งของ หรืองานศิลปะที่สะสมเอาไว้ได้ ซึ่งงานศิลปะต่างๆ ที่เราเห็นตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรม มีหลายชิ้นเลยล่ะที่ได้มาจากแขกที่เข้าพัก นั่นยิ่งทำให้ที่นี่มีเสน่ห์และมีของสะสมที่ไม่เหมือนใครนั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมที่กิ๊บเก๋และไอเดียเริ่ดสุดแล้ว ใครที่กำลังมองหาโรงแรมในราคาที่เบาๆ ลงมา แต่มาในฟังก์ชันครบ บรรยากาศดี แถมยังอยู่บนทำเลที่เดินทางสะดวกเหมือนกัน ลองจิ้มมาพักที่ 25hours Langstrasse Hotel ได้เลย รับรองได้ประสบการณ์พักที่น่าประทับใจแบบท้วมท้นเลย
สรุปการมาเที่ยวซูริค (Zurich)
และนี่ก็คือที่เที่ยวทั้งหมดใน ซูริค (Zurich) ที่ก๊อตเอามาฝากทุกคนกัน จากที่ไปมาบอกเลยว่าที่นี่เป็นเมืองที่มู้ดอบอุ่นละมุนมาก ใครที่ชอบการมาเที่ยวเมืองเก่าท่ามกลางอาคารและสถาปัตยกรรมที่มีมาตั้งแต่ยุคกลาง อายุอานามปาเข้าไป 2,000 ปีได้ นี่ว่ามาเที่ยวเมืองนี้เดินไปทางไหนต้องใจฟูกันอย่างแน่นอน ยิ่งใครที่เป็นสายชิล รักในการชมวิวทิวทัศน์ของเมืองนะ ซูริค (Zurich) เป็นอะไรที่ควรค่าแก่การมามาก เพราะไม่ว่าเราจะส่องวิวกันอยู่บนพื้นดิน หรือขึ้นเนินเขามาดูวิวแบบสกายไลน์เมือง ทุกอย่างก็งดงามเลอค่าสุดๆ ยกให้เป็นอีกหนึ่งเมืองสุดโปรดของก๊อตที่บอกกับตัวเองเอาไว้เลยว่า หากในอนาคตมีโอกาสมายุโรปอีก นี่ก็จะกลับมาเที่ยว ซูริค (Zurich) อีกครั้งแน่นอน
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡