เกาสง (Kaohsiung) เมืองใหญ่อันดับ 3 และเป็นเมืองศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของไต้หวัน ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเมืองเค้ามีสถานที่เที่ยวชิคๆ คูลๆ อยู่เพียบ ไม่ว่าจะเป็นเกาะสวยๆ วัดดังอันเก่าแก่ประจำเมือง ย่านอาร์ตที่เต็มไปด้วยงานศิลปะและร้านครีเอทีพ แถมยังมีมุม Instagrammable Spot ให้เราได้มาถ่ายรูปแบบแตกแตนไม่ซ้ำใครไปอี๊ก ก๊อตนี่ยกให้ เกาสง (Kaohsiung) เป็นเมืองหนึ่งที่น่ามาเที่ยวมาก รีวิวนี้เลยจะพาทุกคนไปตามเก็บสถานที่เที่ยวต่างๆ รวมถึงแลนด์มาร์คกันแบบจัดเต็ม จะมีอะไรบ้าง ตามก๊อตไปเที่ยว เกาสง (Kaohsiung) กันเลย
รู้จัก เกาสง (Kaohsiung)
เกาสง (Kaohsiung) ถือเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับ 3 ของไต้หวัน รองจากเมืองไทเป (Taipei) และไถจง (Taichung) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน เดิมทีเมืองเกาสงเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ชื่อว่า ทาเกา (Takau) ซึ่งในช่วงที่ญี่ปุ่นเป็นอาณานิคม (ค.ศ. 1895-1945) ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองให้ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการขยายท่าเรือ ไปจนถึงการวางรากฐานในการพัฒนาและสร้างเขตอุตสาหกรรม
จนในภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาสง (Kaohsiung) ได้กลับสู่การปกครองของจีน เมืองยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ในฐานะท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน นอกจากนี้ เกาสง (Kaohsiung) ยังมีการพัฒนาในด้านศิลปะ และสร้างสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม อย่างที่ผ่านตาใครหลายคนและเป็นแลนด์มาร์คดังอีกแห่งของเมืองเลยจะเป็น ศูนย์ดนตรีเกาสง (Kaohsiung Music Center) ศูนย์กลางการแสดงเพลงป็อปที่รัฐบาลบ้านเค้าอนุมัติให้สร้างขึ้นมาเพื่อส่งเสริมด้านเพลงป็อปในไต้หวัน หรือจะเป็น Pier 2 Art Center พื้นที่โกดังเก่าริมน้ำที่ถูกทำให้เป็นแหล่งรวมงานอาร์ตมากมาย ทั้ง Public Art มากกว่า 30 ชิ้นงาน แกลเลอรี่ พิพิธภัณฑ์ และร้านขายของครีเอทีฟอีกเพียบ
ยังไม่หมดเท่านั้น ที่นี่ยังมีวัดที่เลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ ที่ขอพรแล้วมักจะสมหวัง ชีวิตปัง อย่างวัดซานเฟิ่ง (Sanfeng Temple) ที่ผู้คนนิยมมาขอพร รวมถึงที่วัดยังมีมุมโคมไฟสีแดงนับพันดวงอีกด้วย มากไปกว่านั้นยังมีแกลอรี มิวเซียมอีกหลายแห่งที่รวบรวมงานอาร์ตและจัดนิทรรศการดีๆ รวมไปถึงมีมุม Instagrammable Spot ที่ใครสายถ่ายรูปมาแล้วต้องชอบ เพราะเราสามารถมาถ่ายรูปสุดเก๋และโพสต์ลงโซเชียลได้แบบแตกแตน ซึ่งทั้งหมดนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปอัปเดตและเที่ยวไปพร้อมๆ กันในรีวิวนี้นั่นเอง
ที่เที่ยวใน เกาสง (Kaohsiung)
- โดมแห่งแสง (Dome of Light Formosa Boulevard)
- เจดีย์มังกรเสือ + วัดฉือจี้ (Dragon and Tiger Pagodas + Ciji Temple)
- ศาลาฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (Spring and Autumn Pavilions)
- วัดจั่วอิ๋งหยวนตี้ (Zuoying Yuandi)
- หมู่บ้าน เว่ยอู่ มี มี (Weiwu Mi Mi Village)
- วัดซานเฟิ่ง (Sanfeng Temple)
- Pier 2 Art Center
- สะพานเกรทฮาร์เบอร์ (Great Harbour Bridge)
- โกดังสินค้าต้าอี้ (Dayi Warehouse)
- ศูนย์ดนตรีเกาสง (Kaohsiung Music Center)
- เกาะฉีจิน (Cijin Island)
- หาดฉีจิน (Cijin Beach)
- อุทยานชายฝั่งฉีจิน (Qijin Coastal Park)
- ประภาคารเกาสง (Kaohsiung Lighthouse)
- ตลาดกลางคืนลิ่วเหอ (Liuhe Night Market)
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะเกาสง (Kaohsiung Museum of Fine Arts)
- พุทธอุทยานพระใหญ่ โฝกวงซาน (Fo Guang Shan Monastery)
- Kindness Hotel – Kaohsiung Main Station Front
- La Hotel Baseball Theme Hal
วิธีเดินทางมาเกาสงจากเมืองอื่น
วิธีเดินทางมาเที่ยวเกาสง (Kaohsiung) จากเมืองอื่น ไม่ว่าจะมาจากเมืองไหนก็ตามวิธีที่ดีที่สุดก็คือการนั่งรถไฟความเร็วสูง (THSR) แหละ เพราะถึงแม้ราคาจะแพงกว่าแบบอื่น แต่อันนี้คือสะดวก รวดเร็ว และนั่งสบายที่สุดแล้ว นอกจากรถไฟความเร็วสูงแล้ว ก็มีตัวเลือกอื่นอย่างการนั่งรถไฟปกติ (TRA) หรือแม้แต่รถบัสด้วย ที้นี้ ก๊อตขอลิสวิธีการเดินทางไว้ตามนี้เลย โดยก๊อตขอลิสโดยเน้นวิธีการเดินทางมาจากไทเป (Taipei) แทนแล้วกันเนอะ
วิธีการเดินทางจาก ไทเป (Taipei) <-> เกาสง (Kaohsiung)
- 🚅 รถไฟความเร็วสูง (THSR) *แนะนำ : ใช้เวลาเดินทาง 1.40 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้น 1,490 TWD ต่อเที่ยว * ชื่อสถานีรถไฟที่เกาสงคือ สถานีจั่วหยิง (Zuoying Station) จะอยู่นอกเมืองนิดหน่อย ถ้าจะเข้าดาวน์ทาวน์ หรือที่อื่นๆ ในเมืองเกาสง เราสามารถนั่งรถไฟใต้ดินต่อได้ / สามารถจองตั๋วรถไฟออนไลน์ได้ที่นี่ คลิก [ซื้อผ่าน Klook แบบตั๋ว 1 แถม 1] / [ซื้อผ่าน KKday แบบตั๋ว 1 แถม 1]
- 🚞 รถไฟธรรมดา (TRA): ใช้เวลาเดินทาง 3.30-8 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้น 650-900 TWD / เที่ยว
- 🚌 รถบัส: ใช้เวลาเดินทาง 4-6 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้น 500-900 TWD / เที่ยว * มีอยู่สองบริษัทคือ Ubus และ Kuo Kuang King Bus โดยขึ้นที่ Taipei Bus Station ที่อยู่ติดกับ Taipei Main Station
THSR Pass – พาสรถไฟความเร็วสูง
รถไฟความเร็วสูง (THSR) ที่ไต้หวันเค้ามีพาสรถไฟสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยนะ ใครที่คิดว่าแพลนเราต้องเดินทางด้วยรถไฟความสูง (THSR) หลายครั้ง อาจจะลองเทียบราคาดูว่าคุ้ม และประหยัดกว่าเดิมมั้ยหากเราซื้อพาสเนอะ โดยเค้าจะแบ่งพาสออกเป็นตามนี้เลย
- THSR 3-Day Pass (ราคา 2,200 TWD): เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงแบบไม่จำกัดภายใน 3 วันติดต่อกัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
- THSR Flexible 2-Day Pass (ราคา 2,500 TWD): เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงแบบไม่จำกัด 2 วัน (ไม่จำเป็นต้องเป็นวันติดกัน) ในระยะเวลา 7 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
แนะนำที่พักในเกาสง (Kaohsiung)
คนที่กำลังหาที่พักใน ในเกาสง (Kaohsiung) อยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปนอนย่านไหนดี เพื่อให้ตอบโจทย์การเที่ยวของตัวเองมากที่สุด ก๊อตจะแนะนำย่านที่พักให้ตามนี้เลย ยังไงทุกคนลองดูตามที่ก๊อตแนะนำก่อนได้ พยายามคัดโรงแรมมาให้แล้ว
เขตซินซิง (XinXing District) ที่ถือเป็นย่านใจกลางเมืองของเกาสง ที่มีรถไฟฟ้าใต้ดินสถาน Formosa Boulevard Station ที่เป็นจุดตัดของรถไฟใต้ดินสองสาย ทั้งสายสีส้มและสายสีแดง จะเดินทางมาจากสถานีรถไฟความเร็วสูง (THSR) สถานีจั่วหยิง (Zuoying Station) ก็ง่าย หรือแม้แต่จะเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็คือสะดวกสุดแล้วของทุกย่านในเกาสงเค้าแหละ นอกจากนี้ ย่านนี้ยังมี ตลาดกลางคืนลิ่วเหอ (Liuhe Night Market) ที่ถือเป็นตลาดกลางคืนที่ฮิตมากที่สุดของเกาสง ของกินคือเยอะม๊าก เรียกได้ว่า อยู่แถวคือไม่อดตายแน่น๊อน ดังนั้น ก๊อตแนะนำให้พักแถวนี้แหละ คือเริ่ดสุดเด้อ ที่พักและโรงแรมแนะนำ#1 เขตซินซิง (XinXing District) / MRT: Formosa Boulevard Station เดินทางสะดวก
เริ่มเที่ยวเกาสง (Kaohsiung) กันเล้ย
โดมแห่งแสง (Dome of Light Formosa Boulevard)
หากใครเคยเสิร์จข้อมูลเที่ยวเกาสง แล้วเห็นภาพของโดมขนาดยักษ์ที่มีสีสันสุดจี๊ดจ๊าด ก๊อตจะบอกว่าเค้าคือ โดมแห่งแสง (Dome of Light Formosa Boulevard) ที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า MRT ฟอร์โมซา บูเลอวาร์ด (Formosa Boulevard Station) โดยเค้าเป็นเป็นหนึ่งในงานศิลปะกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 660 ตารางเมตร ซึ่งถูกสร้างโดยนาร์ซิสซัส กวาเลียตา ศิลปินชาวอิตา ใช้เวลาสร้างนานถึง 4 ปีเต็ม
ตัวของ โดมแห่งแสง (Dome of Light Formosa Boulevard) ประกอบด้วยแผ่นกระจก 4,500 แผ่น โดยออกแบบมาเพื่อสื่อถึงวัฏจักรชีวิต ผ่านธีมหลัก 4 ธีม ได้แก่ น้ำ ดิน แสง และไฟ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวแทนของการเกิด การเติบโต ความคิดสร้างสรรค์ และการทำลายล้าง ซึ่งสะท้อนถึงแก่นแท้ของการดำรงอยู่ของมนุษย์และจักรวาลนั่นเอง
ใครที่เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินอยู่แล้ว ก๊อตอยากให้มาเที่ยวที่นี่ด้วย บอกเลยว่าของจริงมหึมาและถ่ายรูปสวยมาก นี่ไม่คิดเหมือนกันว่าพื้นที่สถานีรถไฟใต้ดินจะสามารถเป็นที่ตั้งของชิ้นงานโบว์แดงแบบนี้ได้ แต่ใครที่ตั้งใจจะมาถ่ายรูป ก๊อตแนะนำมาว่าช่วงเช้า ไม่ก็กลางวันนา เพราะถ้ามาช่วงเย็นๆ คนจะเดินพลุกพล่านพอสมควรเลย
ศาลาฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (Spring and Autumn Pavilions)
ไม่ไกลจาก เจดีย์มังกรเสือ (Dragon and Tiger Pagodas) มีอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องมาเลยก็คือ ศาลาฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (Spring and Autumn Pavilions) อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวยอดฮิตของ เกาสง (Kaohsiung) ที่สร้างโดยวัดฉีหมิงกง (Chi Ming Palace) เมื่อปี ค.ศ. 1951 เพื่อรำลึกถึงเทพเจ้ากวนอู (เทพเจ้าแห่งการทหาร) ตัวศาลาตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนบนทะเลสาบดอกบัว โดยชื่อของฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของศาลานั้น สื่อถึงความสมดุลและความกลมกลืนซึ่งกันและกัน ลักษณะของศาลามีรูปทรงเหมือนหอคอยแปดเหลี่ยมที่เชื่อมต่อกันด้วยสะพานโค้ง โดยตรงกลางระหว่างสองศาลามีเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ยืนอยู่บนมังกร
สำหรับ ศาลาฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (Spring and Autumn Pavilions) เป็นอีกหนึ่งจุดที่ก๊อตบอกเลยว่าสวยงามมาก ความศาลาที่ตั้งเด่นสง่าและรายล้อมไปด้วยทะเลสาบเป็นบรรยากาศที่ดีงามสุดๆ นอกจากนี้บริเวณหัวมังกรที่เห็นอยู่นี้ เรายังสามารถเดินเข้าไปด้านในเพื่อชมภาพสลักกำแพง และรูปปั้นที่พูดถึงเกี่ยวกับความเชื่อศาสนาของจีนได้อีกด้วยนะ งานสวยสลักจิตสลักใจมาก
ใครที่เดินสำรวจบริเวณด้านหน้าเสร็จแล้ว ก๊อตแนะนำให้เดินทะลุไปยังด้านหลังต่อได้เลย มันจะเป็นทางเดินทอดยาวออกไปสู่กลางทะเลสาบ ที่มีศาลาขนาดใหญ่ตั้งเด่นสง่า ตรงนี้สามารถเดินขึ้นไปด้านบนแล้วถ่ายรูปคูลๆ จากมุมสูงให้ย้อนกลับมาเห็น ศาลาฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (Spring and Autumn Pavilions) โดยมีวัดฉีหมิงกง (Chi Ming Palace) เป็นฉากหลังอีกด้วย
โดยรวมแล้ว ศาลาฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (Spring and Autumn Pavilions) ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ใครมาเยือนเกาสง (Kaohsiung) จะต้องแวะเวียนมา เพราะนอกจากจะเราได้ภาพสวยๆ แล้ว ยังได้ดื่มด่ำไปกับสถาปัตยกรรมของศาลาที่เลอค่าและงดงามสุดๆ
วัดจั่วอิ๋งหยวนตี้ (Zuoying Yuandi)
เดินมาจาก ศาลาฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง (Spring and Autumn Pavilions) มาแปปเดียว บนทะเลสาบแห่งนี้ยังมีอีกหนึ่งวัดที่เป็นแลนด์มาร์คกับ วัดจั่วอิ๋งหยวนตี้ (Zuoying Yuandi) วัดเก่าแก่และมีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง โดยที่นี่สร้างขึ้นโดยชาวจีนที่มาตั้งรกรากอยู่ในยุคแรกๆ ซึ่งเค้าสร้างวัดขึ้นมาเพื่อยกย่องและบูชาเง็กเซียนฮ่องเต้ (玉上皇帝,玉皇大帝) หรือ Jade Emperor เทพเจ้าในลัทธิเต๋าที่มีฐานะสูงที่สุด เพราะเป็นเทพเหนือเทพทั้งปวง ถึงขนาดได้รับการเทิดทูนให้เป็นราชันย์แห่งสรวงสวรรค์ เชื่อกันว่ามีพลังในการปกป้อง และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้ศรัทธา
สำหรับการเดินเที่ยวนั้น แรกเริ่มเราจะต้องเดินขึ้นบันไดที่ไม่ได้สูงมากนัก ก่อนจะมาเจอเข้าสะพานที่ทอดยาวเข้าไปสู่รูปปั้นของเง็กเซียนฮ่องเต้ ความเว่อร์วังคือตามสองข้างทางของสะพานจะมีรูปปั้นปูนมากมายตั้งเรียงรายอยู่ตามเสาที่ชวนให้หยุดดูกันได้แบบเพลินๆ และเมื่อเดินเข้ามาถึงด้านใน ตรงกลางจะเป็นลานกว้างๆ ที่มีองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ สูงกว่า 25 เมตร ตั้งสง่าอยู่บนฐานขนาดใหญ่ ตัวองค์ท่านถูกทาสีและแกะสลักเอาไว้อย่างดงามตระการตามาก แถมรอบข้างมีศาลาให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย
หมู่บ้าน เว่ยอู่ มี มี (Weiwu Mi Mi Village)
ใครอยากเดินเที่ยวในหมู่บ้านสุดชิคและคูลมากๆ ให้ปักหมุดมาต่อที่ หมู่บ้าน เว่ยอู่ มี มี (Weiwu Mi Mi Village) กันได้เลย เพราะที่นี่เค้าเป็นหมู่บ้านศิลปะข้างถนนแห่งแรกของไต้หวันที่มาแล้วได้ฟีลเหมือนเดินชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางแจ้งด้วยจิตรกรรมตามผนังและอาคารจากศิลปิน 50 คนจาก 24 ประเทศกันเลยทีเดียว
และที่ทำให้ผู้คนในชุมชนของเค้าภาคภูมิใจเลย เห็นจะเป็นภาพวาดสัตว์ด้วยโทนสีพาสเทลสดใส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานจากศิลปินชาวไต้หวัน โดยชาวบ้านรู้สึกว่าผลงานที่ใช้สัตว์และสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้น มันให้ความสวยงามและสื่อถึงอารมณ์อันอบอุ่นของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งบรรยากาศภายในตอนที่ก๊อตไปนอกจากตามอาคารจะเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมสวยๆ แล้ว ตามลานกว้าง โซนนั่งเล่น สนามเด็กเล่น เราจะเห็นชาวบ้าน ผู้สูงอายุมานั่งล้อมวงพูดคุยทำกิจกรรมร่วมกันอีกด้วย
โดยรวมแล้ว หมู่บ้าน เว่ยอู่ มี มี (Weiwu Mi Mi Village) ถือเป็นอีกไอเดียที่เปลี่ยนพื้นที่อาศัยธรรมดาให้ไม่ธรรมดาได้แบบดีงามและมีคุณค่ามาก แถมถ่ายรูปออกมาก็กิ๊บเก๋สุดๆ เพราะทุกอาคารที่ตั้งเรียงเข้าไปเหมือนแฟลตนั้นล้วนมีลวดลายไม่ซ้ำกันเลย ทำให้ไวบ์โดยรวมมันดูสนุกและเดินชมได้เพลินอีกด้วย
วัดซานเฟิ่ง (Sanfeng Temple)
วัดซานเฟิ่ง (Sanfeng Temple) หนึ่งในสถานที่เที่ยวที่ช่วงหลังมานี้เรียกว่าป๊อบในหมู่นักท่องเที่ยวไทยที่นอกจากจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเป็นจุด Instagrammable Spot ที่ถ่ายรูปออกมาสวยอลังมาก นั่นก็คือ วัดซานเฟิ่ง (Sanfeng Temple) สถานที่แรกที่เรามากัน โดยวัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิงเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1699 เพื่อเป็นสถานที่สักการะบูชาของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวจีนกลุ่มแรกในไต้หวัน นอกจากนี้ วัดซานเฟิ่ง (Sanfeng Temple) ยังถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าเต๋าซานเฟิงซู่ (三峯祖師) ซึ่งตามตำนานความเชื่อเล่าต่อกันมาว่า ท่านจะช่วยในเรื่องของการมอบพลังการรักษาและการปกป้องที่ยิ่งใหญ่ให้กับผู้ที่มาสักการะขอพรนั่นเอง
นับตั้งแต่ก่อตั้งมาได้มีการบูรณะและปรับปรุงกันอยู่หลายครั้ง แต่ยังคงรักษาบทบาทในการเป็นสถานที่ทางศาสนาและวัฒนธรรมที่สำคัญสำหรับชุมชนท้องถิ่น โดยความยิ่งใหญ่ของวัดที่ก๊อตชอบตั้งแต่ประตูทางเข้าเลยก็คือ สถาปัตยกรรมที่ดูโอ่อ่าและอันวิจิตรบรรจงที่เราจะสัมผัสได้จากบริเวณเสาของอาคาร เพดาน หลังคา ไปจนถึงรูปปั้นต่างๆ ที่ล้วนแต่เป็นงานแกะสลักที่ละเอียดประณีตสุดๆ
บรรยากาศด้านในของวัดหลังจากเดินพ้นประตูหลักเข้ามา เราจะเห็นอาคารและทางเดินที่ล้อมรอบเอาไว้ บริเวณตรงกลางเป็นลานกว้างที่ด้านบนโดดเด่นด้วยโคมไฟสีแดงนับร้อยห้อยเรียงรายกันเป็นแถว ภายในอาคารเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าอยู่หลายองค์ ไม่ว่าจะเป็นหม่าจู่ (Mazu) เทพธิดาแห่งท้องทะเลที่ช่วยปกป้องชาวประมง กะลาสีเรือ และนักเดินทาง, เจ้าแม่กวนอิม (Guanyin) ซึ่งคนที่นี่เค้านับถือว่าท่านจะช่วยนำความสงบสุขมาให้และปกป้องคุ้มครอง, เป่าเซิงต้าตี้ (Baosheng Dadi) เทพเจ้าที่เลื่องลือในเรื่องของการรักษา และเทพเจ้าประจำเมือง (City God) เทพเจ้าผู้พิทักษ์ในศาสนาพื้นบ้านจีนที่คอยดูแลเมืองและผู้คนในเมือง อีกทั้งยังคอยให้ความยุติธรรมและปกป้องจากวิญญาณชั่วร้าย ซึ่งเราสามารถเดินไหว้ไปเรื่อยๆ ได้เลย เทพเจ้าทั้งหมดจะประดิษฐานอยู่ในแต่ละชั้นของอาคาร
ใครที่ไหว้ขอพรเสร็จแล้ว อีกจุดที่เป็นไฮไลท์ของวัดที่ต้องมาเก็บภาพเลยก็คือ บริเวณชั้นสอง ซึ่งสามารถเดินขึ้นบันไดมาได้เลย จากนั้นให้มองหาศาลาหลังเล็ก (ถ้าหันหน้าเข้าหาวัดจะอยู่ฝั่งขวามือ) จากตรงนี้จะมองเห็นโคมไฟสีแดงทั้งหมดจากมุมสูงที่ขนาบข้างด้วยอาคารของวัด โดยมีศาลาอีกหลังตั้งอยู่ตรงกลาง ถือเป็นมุมที่ถ่ายรูปออกมาได้สวยและอลังการมาก คือมาตอนกลางวันก็สวย มาช่วงกลางคืนก็ได้มู้ดที่เหมือนอยู่ท่ามกลางทะเลโคมไฟ เขาว่ากันแบบนั้นเลย ก๊อตยกให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ห้ามพลาดของเมืองที่ต้องมาให้ได้เลยเชียว
Pier 2 Art Center
Pier 2 Art Center สถานที่ฮิตที่วัยรุ่นเกาสง และก๊อตคิดว่าเรามาแล้วก็ต้องชอบ โดยที่นี่เค้าได้รีโนเวทโกดังเก่าให้กลายมาเป็นพื้นที่ศิลปะเพื่อปลดปล่อยไอเดียสร้างสรรค์ของคนที่นี่นั่นเอง ภายในของ Pier 2 Art Center จะเป็นโกดังที่เค้าแบ่งเป็นล็อคๆ ทอดยาวไปตามแม่น้ำ โดยมี Public Art ตามจุดต่างๆ มากกว่า 30 จุด ซึ่งมีหลากหลายขนาด ตั้งแต่ชิ้นงานเล็กๆ ไปจนถึงรูปปั้นขนาดใหญ่บิ้กเบิ้ม
นอกจากนี้ยังมีแกลเลอรี่ พิพิธภัณฑ์ ไปจนถึงร้านขายของครีเอทีฟ ของตกแต่งบ้าน ร้านขายหนังสืออยู่อีกพรึ่บพรั่บ ซึ่งบางพิพิธภัณฑ์เค้ามีเครื่องดื่มและไอติมรสผลไม้ขายอีกด้วยนะ เรียกได้ว่ามาแล้วเดินส่อง เดินกินกันจนขาลากอย่างแน่นอน
ส่วนมุมไฮไลท์ของ Pier 2 Art Center ที่ไม่ว่าใครมาที่นี่แล้วจะต้องแวะมาถ่ายรูป นั่นคือบริเวณตู้คอนเทนเนอร์สีแดงขนาดใหญ่ที่ถูกนำมาต่อเข้าไว้ด้วยกันจนกลายเป็นชิ้นงานขนาดใหญ่เบิ้ม ถือเป็นจุดที่มาถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงโซเชียลคนก็รู้ได้เลยว่าเราอยู่ไต้หวัน แบบที่ไม่ต้องเช็คอินกันเลยทีเดียว
นอกจาก Public Art มากมายที่มีให้เราเดินสำรวจกันแล้ว ที่ Pier 2 Art Center ยังมีผลงานจิตรกรรมฝาผนังให้ได้ดูกันอีกหลายจุดเลย เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมงานอาร์ตที่ครบครันมาก ใครที่เรียนสายอาร์ตหรือชื่นชอบสถานที่เที่ยวเก๋ๆ ที่เต็มไปด้วยไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ มาถึงเกาสง (Kaohsiung) ยังไงก็ต้องปักหมุดมาเที่ยวที่ Pier 2 Art Center นา
สะพานเกรทฮาร์เบอร์ (Great Harbour Bridge)
เดินขึ้นมาจาก Pier 2 Art Center เลียบไปตามรางรถแทรม หรือตามแม่น้ำเราจะเจอกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่เป็นจุด Instagrammable Spot ที่คนไต้หวันและนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันอยู่ตลอด โดย สะพานเกรทฮาร์เบอร์ (Great Harbour Bridge) มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สะพานต้ากั่ง’ ความเริ่ดของที่นี่คือเค้าเป็นสะพานหมุนแห่งแรกของไต้หวัน และเป็นสะพานหมุนข้ามท่าที่ยาวที่สุดในเอเชีย สามารถหมุนแนวนอนภายใน 3 นาทีนั่นเอง
สำหรับตัว สะพานเกรทฮาร์เบอร์ (Great Harbour Bridge) มีความยาว 110 เมตร และมีความกว้าง 5 ถึง 11 เมตร สามารถรองรับผู้คนและจักรยานได้ถึง 550 คน โดยสะพานได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเปลือกหอยและปลาโลมา ทำให้รูปทรงของสะพานมีสีขาวโค้งสวย
โดยจุดที่ก๊อตแนะนำคือ ให้ทุกคนขึ้นมาบนสะพานซึ่งเค้าจะมีจุดชมวิวที่เราสามารถเดินขึ้นบันไดวนขึ้นไปเพื่อเก็บภาพมุมสูงได้อีกด้วย วิวที่ได้จะเห็นเมืองเกาสงที่ตั้งขนาบสองฝั่งของแม่น้ำ รายล้อมไปด้วยโกดังเก่าทั้ง และ Pier 2 Art Center ที่เราเพิ่งผ่านมา หรือจะเป็น โกดังสินค้าต้าอี้ (Dayi Warehouse) และ ศูนย์ดนตรีเกาสง (Kaohsiung Music Center) ที่เรากำลังจะไปเที่ยวต่อหลังจากนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งจุด ที่ส่องวิวได้แบบฉ่ำใจสุดๆ
โกดังสินค้าต้าอี้ (Dayi Warehouse)
มาส่องงานศิลปะกันต่อแบบจุใจที่ โกดังสินค้าต้าอี้ (Dayi Warehouse) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Pier 2 Art Center ที่เราไปมาก่อนหน้านี้ โดยที่นี่มีความต่างตรงที่ข้าวของที่ขายใน โกดังสินค้าต้าอี้ (Dayi Warehouse) จะมีความหลากหลาย ไม่ได้มุ่งไปที่งานคราฟ งานอาร์ตเท่านั้น แต่จะมีพวกของตกแต่งบ้าน งานฝีมือ ร้านเครื่องเขียน ไปจนถึงร้านชุดเจ้าสาวก็มีให้ได้เลือกกันอีกด้วย
โดย โกดังสินค้าต้าอี้ (Dayi Warehouse) จะมีโกดังอิฐเก่าถึง 6 หลังตั้งเรียงกันไป ซึ่งตามบริเวณพื้นที่ว่างระหว่างแต่ละโกดังจะมีมุมนั่งพักและงานอาร์ตน่ารักๆ มาตั้งให้เราได้ถ่ายรูป และเซลฟี่ นอกจากนี้ภายในแต่ละโกดังยังมีร้านขายของเก๋ๆ อย่างพวกเครื่องเขียน ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงของครีเอทีฟอีกด้วย
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
อีกทั้งตอนเย็นๆ บริเวณเลียบแม่น้ำจะมีตลาดขายของกันคึกคักสุดๆ ส่วนข้าวของจะให้ฟีลเหมือนเดินจตุจักรบ้านเรา มีของน่ารักๆ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ไปจนถึงรถฟู้ดทัคขายอาหารหลากหลายสัญชาติมาตั้งเรียงรายให้ได้เดินกิน และช้อปแบบละลานตาสุดๆ
ศูนย์ดนตรีเกาสง (Kaohsiung Music Center)
หากใครมองลงมาจากจุดชมวิวของสะพานเกรทฮาร์เบอร์ (Great Harbour Bridge) จะเห็นว่ามีอาคารรูปทรงสุดล้ำตั้งเด่นสง่ามาแต่ไกล โดยที่นี่คือ ศูนย์ดนตรีเกาสง (Kaohsiung Music Center) ศูนย์กลางการแสดงเพลงป็อปที่รัฐบาลบ้านเค้าอนุมัติให้สร้างขึ้นมาเพื่อส่งเสริมด้านเพลงป็อปในไต้หวัน และเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมของเมือง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ในการพักผ่อนหย่อนใจ เพราะพื้นที่รอบๆ ของศูนย์ดนตรีรายล้อมไปด้วยสนามหญ้ากว้างๆ ท่ามกลางวิวของท่าเรือ จึงเหมาะที่จะเป็นสถานที่ในการมานั่งปล่อยใจจอยๆ รับลมเย็นๆ นั่นเอง
โดย ศูนย์ดนตรีเกาสง (Kaohsiung Music Center) ที่เราเห็นอาคารมันดีไซน์แปลกตาแบบนี้ เค้าได้รับการออกแบบมาจากทีมสถาปัตยกรรมสเปนและทีมไต้หวัน โดยใช้องค์ประกอบทางทะเลในการออกแบบลักษณะของอาคาร
ใครที่อยากหามุมนั่งหลบพัก ท่ามกลางวิวอาคารสวยๆ และลมเย็นๆ ก๊อตยากให้ ศูนย์ดนตรีเกาสง (Kaohsiung Music Center) เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของทุกคน เพราะมันดีย์จริง ยิ่งใครสายคอนเท้นต์ มาตรงนี้แล้วถ่ายรูปจึ้งมาก ทั้งกับตัวอาคาร และส่วนด้านข้างของอาคารที่เป็นกระจกใสนะ รูปที่ถ่ายออกมายังกับอยู่ในโลกอนาคตเลย ลงโซเชียลคือไลก์แตกแตนแน่นอน
นั่งเรือข้ามฟากมาเที่ยวเกาะฉีจิน (Cijin Island)
ใครอยากเปลี่ยนมู้ดเที่ยวจากฟีลเมือง แล้วให้สายลม แสงแดด พร้อมกับเกลียวคลื่นช่วยฮีลใจ ที่เกาสง (Kaohsiung) เค้ายังมี เกาะฉีจิน (Cijin Island) เกาะที่เดิมทีเป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมือง ก่อนจะถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นหมู่บ้านชาวประมง โดยในช่วงราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1912) เกาะแห่งนี้ได้กลายเป็นฐานการค้าและการทหารที่สำคัญ โดยเค้าได้สร้างป้อมปราการ และประภาคารเพื่อคอยทำหน้าที่ปกป้องการท่าเรือของเมือง
จนกระทั่งไต้หวันกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ และท่าเรือเมืองเกาสง ถือเป็นหนึ่งในท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เกาะฉีจิน (Cijin Island) จึงได้ปรับเปลี่ยนจากเกาะที่คอยป้องกันการเดินเรือ มาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ภายในมีถนนคนเดิน วัด ไปจนถึงชายหาดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวให้มาเยือนอยู่ไม่ขาดสาย
ซึ่งการจะมาที่นี่นั้น เราจะต้องนั่งเรือข้ามฟากมา โดยรอบเรือในการเดินทางข้ามฟากนั้น มีตลอดทั้งวัน ค่าโดยสารเที่ยวละ NT$30 (~31 บาท) ดังนั้นเรื่องการเดินทางคือสะดวกสบายมาก ซึ่งหลังจากเราลงจากเรือข้ามฟาก ก่อนอื่นเราจะต้องเดินผ่าน ถนนโบราณฉีจินที่ตามสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ขายกันตั้งแต่ของกิน ของใช้ ไปจนถึงของที่ระลึก ก่อนจะเดินไปถึงชายหาดฉีจิน (Cijin Beach) นั่นเอง
หาดฉีจิน (Cijin Beach)
มาถึงหาดเก่าแก่ประจำ เกาะฉีจิน (Cijin Island) อย่าง หาดฉีจิน (Cijin Beach) กันแล้ว ซึ่งใช้เวลาเดินจากจุดที่เราลงเรือประมาณ 5 นาทีก็มาถึง ซึ่งที่นี่นั้นเรียกได้ว่าเป็นชายหาดที่ฮิตที่สุดในเมือง บรรยากาศโดยรอบจะเป็นชายหาดทอดยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร ขึ้นชื่อในเรื่องของน้ำทะเลใส ท่ามกลางทรายละเอียด และเป็นจุดที่ชมวิวประอาทิตย์ตกได้สวยสับมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองก็ว่าได้
โดยตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา หาดแห่งนี้ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ตอนที่เราเดินเล่นกันอยู่ หากวิ่งขึ้นมาจากชายหาดจะเห็นว่าบนฝั่งเค้ามีร้านค้า คาเฟ่ ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ คือใครเป็นสายเที่ยวทะเลมาที่นี่ได้เลย ส่วนตัวก๊อตชอบทรายบ้านเค้ามาก มันมีความสีเทาๆ กึ่งไปทางสีดำ เนื้อทรายเนียนละเอียดสมคำร่ำลือ แบบที่เห็นแล้วอยากก่อปราสาททรายเล่นกันเลย
อุทยานชายฝั่งฉีจิน (Qijin Coastal Park)
นอกจากชายหาดสวยๆ แล้ว บนเกาะฉีจิน (Cijin Island) ยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ อีกด้วยนะ โดยจุดต่อมาที่ก๊อตพาทุกคนมาเที่ยว คือ อุทยานชายฝั่งฉีจิน (Qijin Coastal Park) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปรับปรุงพื้นที่ริมน้ำและส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมือง โดยเดิมทีเกาะฉีจิน (Cijin Island) เค้าเป็นเหมือนอู่ข้าวอู่น้ำเน้นทำการค้า อุตสาหกรรม แต่พอวันดีคืนดีการท่องเที่ยวมันบูมเปรี้ยงปร้างขึ้นมา รัฐบาลเค้าเลยขยายพื้นที่และสร้างอุทยานแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อให้คนมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมและสันทนาการร่วมกันนั่นเอง โดยอุทยานเลื่องลือในเรื่องของพื้นที่เปิดโล่งที่ใครก็เข้ามาใช้งานได้ ท่ามกลางชายหาดที่สะอาด และเส้นทางเดินที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของชายฝั่งได้แบบพาโนรามา
โดยจุดที่คนเค้ามาแล้วต้องแวะมาถ่ายรูปให้ได้เลยจะมีอยู่หลายจุด แต่ที่ก๊อตพามาจะมีอยู่ด้วยกันสองจุด อย่างจุดแรกคือ Rainbow Church ที่จะเป็นโครงเหล็ก 2 ชิ้นงานใหญ่ๆ ที่นักออกแบบเค้าเลือกใช้รูปทรงเรขาคณิตมาใช้ในการออกแบบ จนได้ออกมาเป็นรูปทรงสีเหลียม และสามเหลี่ยม ซึ่งข้อดีคือ ในแต่ละช่วงเวลา เมื่อแสงมันตกกระทบลงมาจะเกิดความหักเหและเงาสะท้อนที่ต่างกันออกไป ยิ่งตัว Rainbow Church เค้าอยู่บนพื้นที่ด้านล่างมีน้ำ เวลาถ่ายรูปออกมามันเลยมีเงาสะท้อนลงบนผิวน้ำ โดยมีฉากหลังเป็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ภาพที่ได้เลยสวยอลัง คนเลยชอบแวะมาถ่ายจุดนี้กัน
นอกจากนี้บริเวณโดยรอบของ อุทยานชายฝั่งฉีจิน (Qijin Coastal Park) ยังมีจุดให้เราได้มาเก็บบรรยากาศสวยๆ ของชายหาดและท้องทะเล มีเลนจักรยานให้ได้ปั่นเลียบชายหาดรับลมเย็นๆ รวมไปถึงยังมีรูปปั้นที่เกี่ยวกับท้องทะเลอยู่อีกด้วย
แต่จุดที่เป็นไฮไลท์ของอุทยานที่ป๊อบและตะโกนมากเลยก็คือ หอยยักษ์ใน Cijin Shell Museum ซึ่งบอกก่อนว่าก๊อตไม่ได้พาทุกคนไปสำรวจด้านในของมิวเซียมเค้านะ เพราะเราตั้งใจมาเก็บภาพที่หอยยักษ์สีทองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมทะเลเป็นหลัก ซึ่งเค้าจะเป็นรูปปั้นหอยเนื้อด้านในสีทอง มีเปลือกสีขาวหุ้มเอาไว้ ตั้งหันหน้าออกสู่ท้องทะเล
แต่ที่ทำเอาผู้คนแห่แหนมาถ่ายรูปเห็นจะเป็นขนาดอันมหึมาของเค้า ที่พอเราเข้าไปยืนแล้วเหลือตัวเล็กจิ๋วเดียวเอง ทำให้ตรงนี้เป็นอีกจุดห้ามพลาดที่ต้องมาถ่ายรูปเมื่อมาเที่ยวบนเกาะฉีจิน (Cijin Island) เลยล่ะ
ประภาคารเกาสง (Kaohsiung Lighthouse)
ปิดท้ายการข้ามฟากมาเที่ยวเกาะฉีจิน (Cijin Island) ด้วยการขึ้นไปบน ภูเขาฉีโหว (Cihou Mountain) ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ ประภาคารเกาสง (Kaohsiung Lighthouse) อีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยมากที่สุดของเกาะเช่นกัน โดยประภาคารแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1883 ในสมัยราชวงศ์ชิง ทำหน้าที่ช่วยในเรื่องการเดินเรือสำหรับเรือที่เข้าสู่ท่าเรือเกาสง โดยทำเลของที่นี่นั้น เรียกได้ว่าเหมาะมาก เพราะเค้าสามารถมองเห็นช่องแคบไต้หวันได้อย่างชัดเจน ทำให้เรือเดินทะเลได้อย่างปลอดภัย โดยโครงสร้างแรกเริ่มของประภาคารนั้นจะเรียบง่าย จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ. 1918 ได้มีการปรับเปลี่ยนและสร้างใหม่ภายใต้การออกแบบในสไตล์บาร็อค โดยมีหอคอยทรงกระบอกสีขาวตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง พร้อมทั้งมีไฟฉายส่องลงไปยังทะเล ให้ฟีลทันสมัยไม่เหมือนประภาคารที่เราเคยเห็นผ่านตามา
วิวจากด้านบนของ ประภาคารเกาสง (Kaohsiung Lighthouse) เราสามารถมองออกไปเห็นอาคารที่อยู่อาศัยของคนบนเกาะ รวมถึงมองออกไปเห็นวิวท้องทะเลได้อีกด้วย นอกจากนี้พื้นที่ด้านบนของ ประภาคารเกาสง (Kaohsiung Lighthouse) ในปัจจุบันนี้่ยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร และคาเฟ่ โดยเค้ามีลานกว้างสำหรับชมวิวพระอาทิตย์ตกคอยรองรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย แต่บอกก่อนเลยว่าช่วงพีคๆ นักท่องเที่ยวบนนี้แตกแตนมาก แต่ด้วยความที่เค้าทำแพลตฟอร์มดูวิวไว้เยอะ เราเลยจะได้ดื่มด่ำกับวิวแบบพาโนราม่า ตั้งแต่วิวจากฝั่งเมืองเกาสง (Kaohsiung) ที่ถูกคั่นกลางเอาไว้ด้วยแม่น้ำมีเรือขนส่งล่องผ่านไปมา ก่อนจะมาถึงวิวของอาคารที่อยู่อาศัยของคนบนเกาะที่ถูกห้อมล้อมเอาไว้ด้วยท้องทะเลและชายหาด ท่ามกลางวิวของพระอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้า หลงเหลือเอาไว้แต่ก้อนเมฆปุกปุยบนท้องฟ้าสีส้มทอง เป็นฟีลที่ละมุนในหัวใจเว่อร์ ถือเป็นการขึ้นมาดูวิวที่ประทับใจก๊อตมาก เพราะไม่ว่าเราจะหันไปมองทางไหนก็สวยจับใจที่สุด
ตลาดกลางคืนลิ่วเหอ (Liuhe Night Market)
มาไต้หวันไม่ได้มาเดินตลาดกลางคืนเหมือนเรามาไม่ถึงบ้านเมืองเค้าจริงๆ นะ อย่างที่เกาสง (Kaohsiung) เค้าก็มี ตลาดกลางคืนลิ่วเหอ (Liuhe Night Market) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง โดยตลาดก่อตั้งขึ้นในช่วง ทศวรรษปี 1950 เดิมทีเป็นเพียงตลาดริมถนนเล็กๆ มีแค่คนในพื้นที่มาเดินจับจ่ายซื้อของ โดยของที่ขายกันในช่วงเวลานั้นก็จะมีตั้งแต่อาหารสด ของใช้ในครัวเรือน และอาหารริมทางแบบดั้งเดิม
แต่พอเศรษฐกิจของไต้หวันเติบโตแบบก้าวกระโดด ตลาดก็ได้รับผลพลอยได้ไปด้วย ในช่วงทศวรรษปี 1980 ตลาดกลางคืนลิ่วเหอ (Liuhe Night Market) ก็เป็นที่รู้จักในเรื่องของบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา อาหารอันหลากหลาย และวัฒนธรรมท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น อย่างใครที่อยากลิ้มรสอาหารท้องถิ่นจ๋าๆ อย่างพวกเต้าหู้เหม็น อาหารทะเลย่าง นมมะละกอ หรือไข่เจียวหอยนางรม มาเดินที่นี่เราจะได้ลิ้มรสแบบออริจิกันเลย
โดยส่วนตัวก๊อตได้ลองกินเนื้อหมูและไก่ย่างที่ให้ฟีลเหมือนบาร์บีคิวบ้านเรา รสชาตินัวและกลมกล่อมนี่ว่าถูกปากคนไทยแน่นอน ส่วนอีกเมนูคือ ฮอตดอกไต้หวัน ที่เป็นไส้กรอกย่างมาบนข้าวเหนียวที่เค้าจะมีรสชาติของข้าวเหนียวให้เลือก โดยก๊อตเลือกเป็นข้าวเหนียวผสมคีนัว วิธีการทำจะเป็นการเอาข้าวเหนียวไปย่าง จากนั้นเค้าจะราดซอสและใส่ผักนิดหน่อย ก่อนจะโปะทับด้วยไส้กรอกไต้หวัน ซึ่งเมนูนี้ก๊อตชอบอยู่แล้ว ส่วนตัวคือกินกี่รอบก็ยังคงอร่อย ไส้กรอกมีความกรอบนอกนุ่มใน ตัวข้าวเหนียวมีรสชาติเหมือนถูกปรุงมาแล้ว พอกัดกินพร้อมกันคำโตๆ บอกเลยว่าฟินสุดๆ
พิพิธภัณฑ์ศิลปะเกาสง (Kaohsiung Museum of Fine Arts)
พิพิธภัณฑ์ศิลปะเกาสง (Kaohsiung Museum of Fine Arts) อีกหนึ่งสถานที่ที่ใครเป็นสายอาร์ตควรมา โดยที่นี่ตั้งอยู่ในสวนวัฒนธรรมเน่ยเว่ยปี้ (Neiweipi) โดยที่นี่นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่โดดเด่นที่สุดในภาคใต้ของไต้หวันเลยก็ว่าได้
สำหรับ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเกาสง (Kaohsiung Museum of Fine Arts) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1994 ทำหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนาศิลปะในภาคใต้ของไต้หวัน ซึ่งมีผลงานจากทั้งศิลปินในท้องถิ่นและต่างประเทศจัดแสดงอยู่ภายใน โดยตลอดหลายปีที่เปิดมา พิพิธภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่จัดแสดงงานศิลป์เท่านั้น ทว่ายังมีสวนประติมากรรมกลางแจ้งที่จัดแสดงชิ้นงานประติมากรรมหลากหลายขนาดถึง 37 ชิ้นงาน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อีกทั้งยังมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ และเวิร์กช็อปให้ผู้คนได้มาเข้าร่วมอีกด้วย เรียกได้ว่า พิพิธภัณฑ์ศิลปะเกาสง (Kaohsiung Museum of Fine Arts) เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมอีกแห่งของเมืองเลยก็ว่าได้
โดยตอนที่ก๊อตไปมานั้น บริเวณด้านในของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเกาสง (Kaohsiung Museum of Fine Arts) จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 ชั้น จัดแสดงผลงานศิลปะหลากหลายแขนงเลย ทั้งภาพวาดจีนดั้งเดิม ศิลปะร่วมสมัย ประติมากรรม และภาพถ่าย โดยราคาบัตรแบบปกติไม่ได้พ่วงเข้าชมนิทรรศการพิเศษจะอยู่ที่ NT$90 (~93 บาท) ต่อคน ส่วนรูทเดินชมผลงานนั้น ก๊อตแนะนำว่าให้เราขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 4 จากนั้นค่อยๆ เดินไล่ชมผลงานลงมาข้างล่างทีละชั้นมันจะชิลมากกว่า
โดยเราจะเริ่มจากบริเวณชั้น 4 ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการ Essence Ablution: Inks, Brushes and Embodiment of YUAN Hui-Li’s Shanshui Painting นิทรรศการโดย YUAN Hui-Li ที่นำเสนอผลงานของศิลปินตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การมองผ่านเลนส์ของร่างกายผู้หญิง โดยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงใช้ร่างกายและการเดินทางทางอารมณ์ของตน นำมาสู่ผลงานภาพวาดด้วยหมึกในรูปแบบร่วมสมัยที่คนดูสามารถเข้าถึงง่าย และตีความออกมาได้ไม่ยาก
มาต่อกันที่บริเวณชั้น 2 ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการ Upcoming│Painting within Painting โดย Chen Shenson ที่นำเสนอผลงานตลอด 20 ปีที่ผ่านมาของศิลปิน ผ่านผลงานจิตรกรรมทิวทัศน์หลากสีสันที่ศิลปินเค้าเชื่อมโยงเข้ากับบ้านเกิด โดยส่วนตัวก๊อตชอบผลงานของศิลปินมาก มันเป็นภาพที่นำสีต่างๆ มาตวัดวาดลงไปบนผืนผ้าที่พอเรายืนมองไกลๆ แล้วมันเหมือนได้เห็นวิวจากสถานที่สวยๆ มากมายอยู่ตรงหน้า เป็นอีกนิทรรศการที่อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสกันจริงๆ
ปิดท้ายกันที่ชั้น 1 จะเป็นชั้นที่จัดแสดงนิทรรศการทั่วไปที่เราเข้าชมได้ตามปกติ และนิทรรศการพิเศษที่ใครอยากเข้าชมเพิ่มเติมจะต้องซื้อบัตรในอีกราคาเข้ามา แต่บอกเลยว่าตั๋วราคาไหนเข้ามาที่ก็คือคุ้มค่าแน่นอน เอาเป็นว่าใครที่เป็นสายอาร์ต หรือคนที่ชื่นชอบงานศิลปะอยู่แล้ว ก๊อตแนะนำให้มาตามรอยได้เลย เพราะนอกจากจะมีงานศิลป์ให้ได้ส่องกันเยอะแล้ว ตามมุมต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ยังถ่ายรูปสวยอีกด้วย ยิ่งจุดที่มีหลังคาใสแล้วแสงจากธรรมชาติส่องเข้ามานะ บอกเลยว่าถ่ายรูปสวยสับมาก ถือเป็นการปิดท้ายเที่ยวเกาสงที่ฟลูฟีลและคูลสุดๆ
ที่พักใน เกาสง (Kaohsiung)
La Hotel Baseball Theme Hal
La Hotel Baseball Theme Hal สำหรับใครที่กำลังมองหาโรงแรมเก๋ๆ ในราคาเป็นมิตร แถมยังตั้งอยู่ใจกลางเมือง ก๊อตแนะนำ La Hotel Baseball Theme Hal ได้เลย โดยที่นี่ตั้งอยู่ใกล้กับ ตลาดกลางคืนลิ่วเหอ (Liuhe Night Market) อีกทั้งยังเดินทางสะดวก เพราะอยู่ไม่ไกลจากรถไฟใต้ดินสถานี ฟอร์โมซาบูเลอวาร์ด (Formosa Boulevard Station) อีกด้วย
ความกิ๊บเก๋ของ La Hotel Baseball Theme Hal คือเค้าเป็นโรงแรมในธีมเบสบอสที่ให้อารมณ์เหมือนเราเข้าพักอยู่ในพิพิธภัณฑ์เบสบอล ด้วยการหยิบเอาอุปกรณ์การเล่นเบสบอสมาตกแต่งอยู่ภายในโรงแรม ตั้งแต่ผนังเบสบอสขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณล็อบบี้ ซึ่งหากเราเข้าไปมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าลูกเบสบอสนับร้อยลูกลูกนั้น มีลายเซ็นนักกีฬาตัวจริงเซ็นเอาไว้ด้วย ยังไม่หมดเท่านั้นตั้งแต่ล็อบบี้ไปจนถึงมุมต่างๆ ของโรงแรมยังมีคอลเลกชันเสื้อเบสบอลของนักกีฬา ที่ประทับลายเซ็นกันมาอีกมายมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกจัดโชว์อยู่ในตู้กระจกใสติดไว้ตามโถงทางเดินภายในโรงแรม
สำหรับห้องพักที่ก๊อตเข้ามาพัก เนื่องจากเราได้อัพไซซ์ห้องให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น ด้านในเลยจะกว้างขวางโอ่อ่ามาก ซึ่งห้องนี้จะเป็นห้องไทป์ Superior Room โดยเป็นห้องมุมตึกที่เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับทางเดินยาวลึกเข้าไปด้านในอีกที ซึ่งภายในห้องนั้นมาพร้อมเตียงเดี่ยว 2 เตียง และมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะสำหรับนั่งทำงาน ชั้นวางเสื้อผ้า ตู้เย็น บาร์เครื่องดื่มเล็กๆ เครื่องปรับอากาศ ไปจนถึง wi-fi ก็มีให้เราใช้งานครบเลย สำหรับห้องน้ำ มีการแบ่งแยกโซนแห้งและโซนเปียกชัดเจน อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อาบน้ำให้ได้ใช้งานด้วย ถือว่าสะดวกสบายเลยล่ะ
ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในโรงแรมนั้น ส่วนตัวก๊อตถือว่าเค้าให้มาเยอะเลย ทั้งห้องซักผ้าที่เราสามารถเอาเสื้อผ้าไปใช้ปั่นได้ หรือจะเป็นห้องอาหารที่วันเข้าพักสามารถมากินของว่างได้ตลอดทั้งวัน หรือจะเป็นล็อบบี้ที่มีคนให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้ค่อนข้างตอบโจทย์และคุ้มเกินราคาที่พักไปมาก ซึ่งอาหารเช้าก็มีให้เลือกกินหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารของไต้หวัน แต่ก็มีพวกนม ซีเรียล และขนมหวานให้ได้กินครบเลย โดยรวมแล้วก๊อตประทับใจที่นี่มาก ตั้งแต่บรรยากาศที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยลูกเบสบอส เสื้อ และไม่เบสบอสที่ล้วนแต่มีลายเซ็นเหล่าคนดังจัดโชวืให้ได้เห็นแบบใกล้ชิด ห้องพักที่กว้างขวาง นอนสบายในราคาเบาๆ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือทำเลที่อยู่ใกล้กับรถไฟใต้ดินแบบที่เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว อันนี้มันทำให้การเดินทางไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ใน เกาสง (Kaohsiung) ของก๊อตสะดวกเว่อร์ เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหาโรงแรมเก๋ๆ มาในธีมคูลๆ แถมราคาน่ารักกับเงินในกระเป๋า มันไม่มีที่ไหนตอบโจทย์เราได้เท่า La Hotel Baseball Theme Hal อีกแล้ว
สรุปการมาเที่ยว เกาสง (Kaohsiung)
และนี่ก็คือทริปเที่ยว เกาสง (Kaohsiung) แบบคนคูล โดยรวมแล้วรอบนี้ สถานที่หลายอย่างถูกพัฒนาไปเยอะมาก บ้านเมืองยังคงเงียบสงบเหมาะกับการมาพักกายพักใจ ส่วนสถานที่เที่ยวก็มีให้เลือกเที่ยวหลากหลาย ซึ่งก๊อตประทับใจทุกที่ที่เราไปมาเลย อย่าง วัดซานเฟิ่ง (Sanfeng Temple) ที่ภายในมีเทพเจ้าหลายองค์ให้ได้สักการะ อีกทั้งยังมีโคมแดงมากมายนั้น เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่อยากให้พลาดกัน เพราะนอกจากจะได้มาเติมแต้มบุญแล้ว ยังได้รูปสวยๆ กลับบ้านอีกเพียบ
ส่วนใครที่เป็นสายอาร์ต สายคูล ก๊อตว่าเกาสงนี่เป็นเมืองที่ตอบโจทย์มาก เพราะเค้ามีพื้นที่อาร์ตๆ ให้ได้มาเดินกันแบบฉ่ำ ไม่ว่าจะเป็น หมู่บ้าน เว่ยอู่ มี มี (Weiwu Mi Mi Village) ที่ใครชื่นชอบงานจิตรกรรมบนผนังอาคาร หรือเป็นสายกราฟฟิกตี้อยู่แล้ว มาที่นี่คือเดินเพลินแน่ๆ หรือจะเป็น Pier 2 Art Center โกดังเก่าที่ถูกปรับปรุงให้กลายมาเป็นแหล่งรวมงานอาร์ตของคนมีของ ซึ่งทั้งหมดนี้มันส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ทางด้านศิลปะของเมืองชัดเจนขึ้นมา
แต่หากใครที่ชอบเที่ยวทะเลชิลๆ เกาสงเค้ายังมีเกาะฉีจิน (Cijin Island) ที่ภายในเต็มไปด้วยแลนด์มาร์คอย่างชายหาดสวยๆ ประภาคารสุดเก๋ให้ได้มาเที่ยวอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีตลาดกลางคืนใจกลางเมืองให้มาเดินกิน ช้อปแบบกระจาย คือไม่ว่าเราจะเป็นสายเที่ยวแบบไหน ที่เกาสงมีให้ครบจบในเมืองเดียวเลย ใครที่มาเที่ยวไทเป หรือไปเมืองอื่นๆ ของไต้หวันมาแล้ว ก๊อตอยากลองให้เปิดใจมาเที่ยวที่เกาสงกันดู รับรองว่า ธรรมชาติ งานอาร์ต รวมไปถึงเหล่าแลนด์มาร์คของเค้ามันปังไม่แพ้เมืองอื่นๆ อย่างแน่นอน
รีวิวเที่ยวไต้หวันหมดจาก HASHCORNER!
โซนภาคเหนือ ไตหวัน
1. ไทเป (Taipei) #1
2. ไทเป (Taipei) #2
3. หยางหมิงซาน (Yangmingshan)
4. จิ่วเฟิ่น-จินกัวสือ (Jiufen-Jinguashi)
5. ปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao)
6. ซินจู๋ (Hsinchu)
7. จีหลง (Keelung)
8. นิวไทเป ซิตี้ (New Taipei City)
9. เถาหยวน (Taoyuan)
โซนภาคกลาง ไต้หวัน
10. ไทจง (Taichung)
11. ซันมูนเลค / ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake)
โซนภาคใต้ ไต้หวัน
12. ไถหนาน (Tainan)
13. อาลีซาน (Alishan)
14. ชิงจิ้ง-เหอหวนซาน (Cingjing-Hehuanshan)
โซนภาคตะวันออก ไต้หวัน
15. ฮัวเหลียน (Hualien)
16. ทาโรโกะ (Taroko)
17. ไถตง (Taitung)
18. เกาสง (Kaohsiung)
19. เขิ่นติง (Kenting)
20. ไถ่ผิงซาน (Taipingshan)
21. อี้หลาน (Yilan)
สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการเที่ยวไต้หวัน
22. เช่ารถขับในไต้หวัน [อัปเดท 2023]
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลกหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡