นิวไทเป (New Taipei City) หลังจากที่ห่างหายไปนานจากการโร้ดทริปเที่ยวไต้หวันมานานหลายปีมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ไต้หวันเค้ามีช่วงหลายปีที่ไม่ให้คนไทยขับรถเที่ยวเอง จนล่าสุดที่เราสามารถขับรถเที่ยวเองได้แล้ว นี่เองก็เริ่มคิดถึงบรรยากาศของการขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็แวะพักขึ้นมา ประจวบเหมาะกับช่วงเวลานั้นเพื่อนดั๊นมาชวนไปเที่ยวไต้หวันแบบ ‘ไปโร้ดทริปที่ไต้หวันกันไหมก๊อต’ นี่ก็เซเยส จองตั๋ว และที่พัก ก่อนจะบินลัดฟ้ามาที่ไต้หวันด้วยความไวแสง ซึ่งทั้งหมดที่เล่ามานี้ คือสาเหตุที่ทำให้ตัวก๊อตมาโผล่อยู่ในรถเก๋งขนาด 4 ที่นั่งที่กำลังแล่นทะยานอยู่บนท้องถนนในเมืองนิวไทเป (New Taipei City) เมืองขนาดใหญ่ ที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นอันดับสองรองจากเมืองเกาสง (Kaohsiung) โดยมีเพื่อนก๊อตเป็นสารถีอยู่ข้างๆ และมีผู้ร่วมเดินทางอีกสองคนที่ตอนนี้ต่างนั่งมองซ้ายที มองขวาที ราวกับกำลังดื่มด่ำภาพบรรยากาศของสองข้างถนน และจดลงในเมมโมรี่การ์ดที่เรียกว่าสมอง เกริ่นมาขนาดนี้ ไม่ต้องพูดให้มากความ ยังไงก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่ ‘โร้ดทริปเมืองนิวไทเป (New Taipei City)’ เที่ยวชิลๆ ไปกับก๊อตกันเด้ออ
สำหรับโร้ดทริปเที่ยวไต้หวันครั้งนี้ ก๊อตจะพาทุกคนไปดื่มด่ำกับธรรมชาติสวยๆ และตามรอยเที่ยวแลนด์มาร์คของเมือง แต่ก่อนที่เราจะขับรถเที่ยวจริงจังในนิวไทเป (New Taipei City) ก๊อตจะพาทุกคนขับรถขึ้นไปที่จีหลง (Keelung) เพื่อไปตามเก็บภาพสวยๆ กันที่ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Port) ใครที่ชอบบ้านสีรุ้งสุดคิวท์ที่เห็นคนเค้าแห่มาถ่ายกันตอนมาเที่ยวไต้หวัน จะบอกว่าเค้าคือที่นี่เล้ยย เที่ยวท่าเรือเสร็จเราค่อยขับรถกลับเข้ามาเที่ยวที่นิวไทเป (New Taipei City) ซึ่งนี่จะพาไปสำรวจธรรมชาติของเมืองเค้ากัน ใครที่ชอบหินหน้าตาแปลกๆ ชอบเที่ยวชมธรรมชาติตามแนวชายฝั่ง ที่นี่มีให้ได้ดูกันจนฉ่ำใจ ไม่ว่าจะเป็นที่โขดหินงวงช้างเฌ่ออ้าว (Shen’ao Elephant Trunk Rock) โขดหินขนาดใหญ่ หน้าตาคล้ายกับงวงช้างที่ยื่นหน้าออกสู่ท้องทะเล ที่เกินคำว่าว้าวแบบอเมซิ่งกับธรรมชาติสรรสร้างสุดๆ จากนั้นเรายังไปเดินเทรลกันต่อที่แหลมปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao) ท่ามกลางวิวของสันเขาเขียวขจีรายล้อมไปด้วยทะเลในบรรยากาศสบายๆ อีกด้วย
ใครที่อยากได้รูปสวยๆ ไปลงโซเชียลให้ผู้ติดตามทั้งหลายได้ดู แกรมาเมืองนิวไทเป (New Taipei) เลย รับรองได้รูปกลับบ้านเพียบ แถมมีรูปให้ไปโพสต์กันยาวข้ามปีแน่ๆ 55555
รู้จักนิวไทเป (New Taipei City)
เผื่อหลายคนจะสับสนระหว่างไทเป (Taipei) กับ เมืองนิวไทเป (New Taipei City) เค้าคือคนละเมืองกันเด้อ โดย เมืองนิวไทเป (New Taipei City) นั้นเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในไต้หวัน อีกทั้งยังเป็นเขตปกครองใหม่ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไต้หวัน มีอาณาเขตทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับเมืองจีหลง (Keelung) ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับเมืองอี๋หลาน (Yilan) และทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับเมืองเถาหยวน (Taoyuan) ภายในเมืองมีทั้งภูเขา เนินเขา ที่ราบ และแอ่งน้ำ ถือว่าเป็นอีกเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากเว่อร์
แต่กว่าจะมาเป็นเมืองนิวไทเป (New Taipei City) ที่เราคุ้นหูกันนั้น แต่เดิมเค้าเรียกเมืองนี้ว่าเทศมณฑลไทเป ทีนี้พอในเมืองเค้ามีผู้คนอาศัยอยู่เยอะขึ้นแบบเยอะมากจนถึงขั้นแซงพี่ใหญ่อย่างเมืองไทเป (Taipei) ไปแบบขาดลอย ในปี 2010 เค้าจึงได้มีการยกระดับเทศมณฑลไทเป ให้กลายมาเป็นเมือง (เทียบเท่าจังหวัดบ้านเรา) โดยตอนแรกให้ชื่อว่า ‘เมืองซินเป่ย์ (Xinbei City)’ แต่ภายหลังนายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองได้ร้องขอให้เปลี่ยนชื่อเรียกและได้รับการอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทย (MOI) จึงมีคำสั่งให้เปลี่ยนชื่อเมืองในภาษาอังกฤษจาก Xinbei City ให้กลายมาเป็นนิวไทเป (New Taipei City) นั่นเอง
โดย เมืองนิวไทเป (New Taipei City) นั้น มีขนาดเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากเกาสง ซึ่งข้อมูลเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ระบุไว้ว่าเมือง นิวไทเป (New Taipei City) มีคนอาศัยอยู่กว่า 4 ล้านคน แกร ถ้าเทียบกับสเกลขนาดของไต้หวันแล้ว ถือว่าคนอยู่กันมหาศาลเลยเชียวละ นอกจากคนจะอยู่เยอะแล้ว ที่เมืองนี้ยังเป็นแหล่งรวมอุตสาหกรรมของไต้หวันเอาไว้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปั้นดินเผาในเขตอิงเกอ (Yingge District), อุตสาหกรรมเกี่ยวกับแก้วของแบรนด์ Liuli ในเขต เขตตั้นสุ่ย (Tamsui District), อุตสาหกรรมกลองในเขต ซินจวง (Xinzhuang District), อุตสาหกรรมสีย้อมในเขตซานเสีย (Sanxia District), อุตสาหกรรมแปรรูปโลหะในเขตรุ่ยฟาง (Ruifang District) และอุตสาหกรรมโคมลอยในเขตผิงซี (Pingxi) ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในนิวไทเป (New Taipei City) เลย ทีนี้ทุกคนพอจะเข้าใจฟีลเมืองใหญ่ของเค้าแล้วเนอะ
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะกับการมาเที่ยวที่ นิวไทเป (New Taipei City) คือช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวของเค้า ทั่วทั้งเมืองจะอากาศเย็นสบาย ใครที่มาเที่ยวตามภูเขาบอกเลยว่าเป็นช่วงที่เราจะได้ดื่มด่ำไปกับทะเลหมอกแบบจัดเต็มเลยล่ะ แต่ถ้าใครอยากมาเที่ยวฟีลอบอุ่นแบบเหงื่อแตกแบบซัมเมอร์ แนะนำให้มาช่วงเดือนกรกฏาคมเด้อ อากาศจะร้อนสุดๆ ถ้าใครไปชอบร้อนก็เลี่ยงได้เลย 5555555
แพลนโร้ดทริปเที่ยวในนิวไทเป (New Taipei City)
ต้องบอกกันก่อนว่าทริปโร้ดทริปไต้หวันรอบนี้ของก๊อต จะเป็นการโร้ดทริปไปกับเพื่อนรวม 4 คน ซึ่งเราจะขับรถไปเที่ยวกันแบบชิลๆ มีแพลนเที่ยวจริง แต่ทำตามบ้าง ไม่ทำตามบ้างขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และเวลาตื่นนอน ฮ่าๆ โดยแพลนโร้ดทริปของเราจะเริ่มตั้งแต่การขับรถจากไทเป ขึ้นไปเที่ยวทางเหนือในเมืองจีหลง (Keelung) จากนั้นจะขับมาเที่ยวที่เมืองนิวไทเป (New Taipei City) แล้วไปต่อกันที่อี๋หลาน (Yilan) ก่อนจะมามาจบที่ภูเขาไถ่ผิงซาน (Taipingshan) ซึ่งก๊อตทำรีวิวแยกโร้ดทริปไต้หวันครั้งนี้ออกเป็น 2+1 ตอนนะ โดยตอนนี้จะพาทุกคนไปเที่ยวกันที่นิวไทเป (New Taipei) ส่วนอีกรีวิวที่ก๊อตทำแยกเอาไว้คือ อี๋หลาน (Yilan) และอีกหนึ่งวันสุดท้ายก็คือ ไถ่ผิงซาน (Taipingshan) นั่นเอง ใครไคร่สนใจอ่านรีวิวไหน คลิกตามอ่านกันได้เล้ยย!
วัน | แพลนโร้ดทริปเที่ยว | เมืองที่นอน |
1 | เมืองจีหลง (Keelung) – ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Port) – สวนสาธารณะเฉาจิ้ง (Chaojing Park) เมืองนิวไทเป (New Taipei City) | ฟู่หลง (Fulong) / เมืองนิวไทเป (New Taipei City) ที่พัก: Being Outdoors B & B |
2 | เมืองนิวไทเป (New Taipei City) – ชายหาดฟู่หลง (Fulong Beach) อี๋หลาน (Yilan) คลิกอ่านรีวิวเต็ม | ไถ่ผิงซาน (Taipingshan) / เมืองอี๋หลาน (Yilan) ที่พัก: Sun Hola Villa |
3 | ไถ่ผิงซาน (Taipingshan) คลิกอ่านรีวิวเต็ม | ไทเป (Taipei) |
เช่ารถขับเที่ยวเองที่ไต้หวัน
สำหรับการเช่ารถขับเที่ยวเองในไต้หวัน หลายคนอาจจะยังไม่รู้หรือยังไม่ได้อัปเดตข้อมูลปัจจุบัน จากเดิมในช่วงปี 2018 ไต้หวันกับไทย ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถเช่ารถขับเที่ยวเองในประเทศของกันและกันได้ เนื่องจากช่วงเวลานั้น ไต้หวันเค้าได้ระงับการใช้ใบขับขี่สากลของไทย (International Driving Permit : IDP) เหตุจากไทยและไต้หวันไม่ได้ร่วมเซ็นสัญญา 2 ฉบับ ได้แก่ สัญญาต่างตอบแทนกัน (Reciprocal Agreement) และ อนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน
⚡️ แต่ล่าสุดปี 2023 คนไทยสามารถใช้ใบขับขี่สากลของไทยไปเช่ารถขับที่ไต้หวันได้แล้ว โดยใช้เพียงใบขับขี่สากลของไทย (IDP) ซึ่งจะเป็นชนิดไหนนั้น จะแล้วแต่บริษัทเช่ารถเลย ใครที่อยากอ่านเรื่องเกี่ยวกับการเช่ารถเที่ยวในไต้หวัน สามารถอ่านรีวิวแบบเจาะลึกได้ที่นี่ คลิกเลย
เริ่มต้นโร้ดทริปไต้หวัน แวะเที่ยวจีหลง (Keelung) ก๊อน
ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Port)
หากใครที่เคยดูรีวิวที่เที่ยวในไต้หวัน หนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดฮิตช่วงหลังนั้นๆ ต้องยกให้กับบ้านบ้านสีสายรุ้งสุดคัลเลอร์ฟูลที่ตั้งเรียงรายเป็นแนวอยู่ริมท่าเรือผ่านตากันมาบ้าง ซึ่งที่นี่คือ ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Port) ที่ใครได้มีโอกาสมาเที่ยวเมืองจีหลง (Keelung) ต่างต้องมาเช็คอิน แต่งตัวกันมาจัดเต็ม เพื่อมายืนถ่ายรูปสวยๆ กับบ้านหลากสีของเค้าแน่นอน ซึ่งก๊อตเองก็ตั้งใจขับรถมาแวะเพื่อถ่ายรูปที่นี่กันโดยเฉพาะ แต่มาถึงเมืองจีหลง (Keelung) เค้าทั้งที นี่ก็เลยจะแวะเที่ยวอีกที่ คือ สวนสาธารณะเฉาจิ้ง (Chaojing Park) ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน จากนั้นเราถึงจะขับรถกลับเข้ามาเที่ยวที่เมืองนิวไทเป (New Taipei City) และเริ่มเที่ยวอย่างเป็นทางการกัน แพลนเที่ยวก็จะไล่ตามนี้เล้ยย
ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Port) ถูกสร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น เมื่อปี 1934 ซึ่งในสมัยนั้นท่าเรือแห่งนี้เคยเป็นท่าเรือประมงที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน และยังเคยเป็นท่าเรือส่งออกหลักของเหมืองทองแดงที่จินกัวสือ (Jinguashi) ในช่วงยุคอาณานิคมของญี่ปุ่นอีกด้วย แม้อดีตเค้าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ปัจจุบันนี้ท่าเรือแห่งนี้ไม่ใช่ศูนย์กลางของการเดินเรืออีกต่อไป แต่พี่แกดันพลิกเกมแต่งแต้มท่าเทียบเรือให้มีสีสัน กลายมาเป็นมุมอินสตาแกรมยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันเฉย ซึ่งบ้านสีๆ ที่เราเห็นกันอยู่ริมท่าเรือนี้ เค้ามีทั้งหมด 16 หลัง โดยจะตั้งเรียงรายเป็นแนวยาวไปตามท่าเรือ ใครสะดวกทำเลช่วงไหนก็เลือกสรรตามชอบเลยจ๊า
แต่ก่อนจะมา ขอเตือนสักนิ๊ด ใครตั้งมั่น ตั้งใจว่าชั้นจะมาถ่ายรูปสวยๆ เก๋ๆ กับบ้านสีสันปุ๊กปิ๊กอย่างในรีวิวชาวบ้านเขา แนะนำว่าให้มาช่วงเช้าไม่เกินเที่ยงแบบก๊อต เพราะแสงมันจะตกกระทบเข้ากับตัวบ้านพอดี ทำให้สีของบ้านมันสดใส พอเราไปยืนถ่ายแล้วรูปมันไม่ย้อนแสง จะโพสต์ท่ามุมไหนรูปที่ได้ก็คิวท์ทุกมุม และที่เตือนก่อนเพราะนี่มีน้องที่รู้จักเค้าไปก่อนหน้าก๊อต ละไปถึงที่นี่ตอนบ่ายๆ แสงคือบ่ได้เล้ยย ถ่ายรูปออกมาย้อนแสงสุด บ้านสีๆ มืดทึบเพียงรัวชัตเตอร์ ไม่แนะนำช่วงเวลาบ่ายอย่างยิ่ง
เอาเป็นว่าภาพรวมของ ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Port) ใครสายคอนเท้นต์เน้นถ่ายรูป มาถ่ายที่นี่ได้ แต่อย่าคาดหวังมากว่าจะมีอะไรนอกจากนี้ เพราะเค้าเป็นท่าเรือจริงๆ ไม่ใช่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งทุกคนที่ตั้งใจมาที่นี่เพื่อถ่ายรูปกับบ้านสีๆ โดยเฉพาะแล้วก็ไปต่อที่อื่นเลย แต่ถ้าใครอยากเดินเล่นสักหน่อย มาแล้วอยากอยู่นานๆ สักนิด ลองเดินข้ามไปยังบ้านสีๆ ที่เราเห็นได้เลย บางหลังเค้าเปิดเป็นคาเฟ่ด้วย ลองแวะไปนั่งชิลๆ หาอะไรดื่มเย็นๆ แล้วค่อยกลับออกมาก็ได้
สวนสาธารณะเฉาจิ้ง (Chaojing Park)
ขับรถออกจาก ท่าเรือประมงเจิ้งปิน (Zhengbin Fishing Port) มาไม่ไกลมาก เรามาต่อที่ สวนสาธารณะเฉาจิ้ง (Chaojing Park) สวนสาธารณะที่แต่เดิมเคยเป็นสถานที่สำหรับเก็บขยะ ก่อนที่จะถูกปรับปรุงพื้นที่โดยพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทะเลแห่งชาติให้กลายมาเป็นสวนสาธารณะ ที่มีจุดชมวิวทะเลที่สวยงามเลอค่าแห่งหนึ่งของเมือง
การที่เราจะเข้ามาถึงสวนสาธารณะเฉาจิ้ง (Chaojing Park) จะต้องขับรถเข้ามาจากทางสะพานผิงลาง (Ping-Lang Bridge) เมื่อขับผ่านเข้ามาจากสะพาน ฝั่งซ้ายมือเราจะเจอกับหมู่บ้านชาวประมงฉางถาน ส่วนฝั่งขวาจะเป็นวิวทะเล ให้ขับตรงเข้ามาจนถึงลานจอดรถได้เลย ภายในสวนสาธารณะเฉาจิ้ง (Chaojing Park) จะมีเส้นทางจักรยานเพื่อให้ผู้คนเค้าได้มาปั่นออกกำลังกายท่ามกลางวิวสวนและท้องทะเล รวมไปถึงยังมีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งเรียงรายตามจุดต่างๆ ให้ผู้คนได้มานั่ง ใครมาเที่ยวเมืองนิวไทเป (New Taipei City) และหลงใหลในแสงสุดท้ายของวัน อยากยืนชื่นชมพระอาทิตย์ตกสวยนั้น จากสวนสาธารณะเฉาจิ้ง (Chaojing Park) เราสามารถมองออกไปเห็นวิวพระอาทิตย์ตกได้แบบสวยสับๆ ความสวยจากกจุดนี้เรียกว่า ปังระดับตัวแม่ของเมืองเลยก็ว่าได้ ฟีลกู๊ดเหมาะชวนแฟนมาเดินสุดด
แต่บอกก่อนเลยว่า ก๊อตไม่ได้เข้าไปข้างในสวนเค้านะ เนื่องจากดูสภาพอากาศวันนี้แล้วคือไม่ไหวจริง ฝนตกฟ้าครึ้มแบบอ่อมมาก ซึ่งก๊อตแวะเพียงแค่จอดรถที่ลานจอดรถ จากนั้นก็เดินเที่ยวอยู่ใกล้ๆ ลานจอดรถเพื่อดูวิวจากจุดนี้ที่ตามหาดนั้นเต็มไปด้วยโขดหินที่มีคลื่นทะเลซัดเข้ากระทบอยู่เป็นระลอกๆ ยิ่งช่วงที่ก๊อตไปเหมือนฝนหยุดตกไปแล้ว แต่ยังทำท่าจะตกอยู่ตลอดเวลาด้วยแล้ว บรรยากาศรอบๆ เลยมีความดาร์กๆ หม่นๆ เพิ่มอรรถรสของคนเหงาขึ้นเป็นเท่าตัว วิวมุมกว้างๆ ที่จินตนาการเป็นภาพของท้องทะเลสีฟ้า ตัดกกับความเขียวของภูเขา และผืนฟ้าสดใส ถูกแทนที่ด้วยภาพหมอกหนาทึบๆ จนแทบมองออกไปไม่เห็นอะไรเลย แต่อย่างนั้นก็ยอมใจคนไต้หวันที่เค้ามายืนตกปลาท่ามกลางอากาศแบบนี้กันมาก ไอ้เราก็มองตามแล้วได้แต่นึกภาพว่าปลามันจะมากินเหยื่อไหมนะ แต่แม้อากาศไม่เป็นใจ เราก็ปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยก็ได้มาเห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่นะ ส่วนตัวนี่ว่าถ้าเรามาวันฟ้าเปิดอากาศแจ่มใส พื้นที่ตรงนี้ก็คงจะสวยชวนมองไม่น้อย ภาพที่คิดไว้ในจินตนาการ ก็คงจะเป็นจริงแน่นอน
⚡️ จริงๆ จีหลง (Keelung) เค้าไม่ได้มีที่เที่ยวเดียวนะ แต่เค้ายังมีอีกเยอะมาก ใครที่อยากเที่ยวจีหลง (Keelung) มากกว่านี้ > คลิกอ่านรีวิวเต็มของจีหลง (Keelung) ได้เลย
ชายหาดวั่งไห่เซี่ยง (Wanghaixiang Beach)
มุ่งหน้าเข้าสู่ นิวไทเป (New Taipei City) อย่างเป็นทางการ ด้วยความที่สภาพอากาศแปรปรวน ตอนอยู่ที่สวนสาธารณะเฉาจิ้ง (Chaojing Park) มันเหมือนคนอกหัก ถ่ายรูปเล่นกันได้ไม่เต็มที่ พอขาขับรถกลับออกมา ระหว่างทางก๊อตเห็นวิวข้างทางเค้าสวยดี นี่เลยขอจอดถ่ายเล่นย้อมใจกันสักหน่อย ซึ่งที่นี่คือ ชายหาดวั่งไห่เซี่ยง (Wanghaixiang Beach) อยู่ในเขตเมืองนิว ไทเป (New Taipei) แล้วเด้อ ที่นี่บรรยากาศเหมือนจุดพักรถบนเนินเขา ที่ฝั่งหนึ่งเป็นทะเล อีกฝั่งเป็นบ้านคน แบ่งครึ่งด้วยถนนคอนกรีตตรงกลาง โดยก่อนจะเดินลงไปถึงชายหาด เราจะต้องเดินผ่านเส้นทางเดินชมทะเลระยะทางประมาณ 72 เมตรกันก่อน วิวทะเลที่ตะกี้ไม่ได้ยลโฉม พอมายืนตรงนี้กลับฉายภาพทิวทัศน์ทะเลและท้องฟ้าอันแจ่มใสอยู่ตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้นนิดนึง ลมเย็นๆ ที่พัดกระทบเข้ากับผิวกาย กลิ่นอายของท้องทะเล ช่างเป็นบรรยากาศชิลๆ ที่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ผ่อนคลายจริงๆ
ใครมาจอดถ่ายรูปเล่นแบบก๊อต สามารถเดินลัดเลาะลงมาจากสวนเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ตามทางลงมาเรื่อยๆ แล้วเดินลงมาสู่ชายหาดได้เลยนะ เราจะได้มุมถ่ายรูปท่ามกลางโขดหินมากมาย โดยมีแบรกกราวน์เป็นคลื่นสีขาวซัดเข้าชายฝั่งอยู่ด้านหลัง และยังมองเห็นท่าเรือขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกลออกไปอีกด้วย หากใครมาวันอากาศแจ่มใสจะได้เพลินไปกับวิวของภูเขาจิ่วเฟิ่นและชายฝั่งของเมืองนิวไทเป (New Taipei City) จากระยะไกลด้วยนะ
โขดหินงวงช้างเฌ่ออ้าว (Shen’ao Elephant Trunk Rock)
หากใครเคยเห็นภาพของโขดหินหน้าตาคล้ายกับงวงช้างที่หันหน้าออกสู่ทะเลนั้น มันคือที่นี่นี่แหละกับ โขดหินงวงช้างเฌ่ออ้าว (Shen’ao Elephant Trunk Rock) โขดหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดวั่งไห่เซี่ยง (Wanghaixiang Beach) ที่ขับรถต่อมาแปปเดียว ประมาณ 7 นาทีก็ถึงแล้ว โดยโขดหินงวงช้างเฌ่ออ้าว (Shen’ao Elephant Trunk Rock) เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่สร้างโดยธรรมชาติ 100% หินขนาดใหญ่ที่ถูกกัดเซาะด้วยคลื่นทะเลและลมที่พัดอยู่ตลอดเวลามาหลายชั่วอายุคน กลายเป็นผลงานศิลปะล้ำค่าที่มีหน้าตาเหมือนช้างตัวมหึมากำลังยืนยื่นงวงออกสู่ท้องทะเล
ด้วยเอกลักษณ์ของหินรูปงวงช้างนี้ จะเรียกว่าฮิตไม่แพ้ช้างบ้านเรากันเลยก็ว่าได้ ใครมาเยือนไต้หวันเป็นอันต้องมาตามรอยถ่ายรูปกันเสียทุกราย แต่การจะมาถ่ายรูปกับหินงวงช้างนั้น ไม่ใช่ว่าเราขับรถเข้ามาจอดแล้วถึงเลยนะ แต่เราจะต้องเดินลัดเลาะมาตามแนวหินเข้ามาข้างในจากลานจอดรถเรื่อยๆ ซึ่งเส้นทางเค้าไม่ได้แอดว๊านซ์ถึงขั้นต้องปีนป่ายอะไรเยอะ อยู่ในเลเวลที่เดินได้สบายๆ แต่ระหว่างทางเต็มไปด้วยหินหน้าตาเหมือนตุ่มอะไรสักอย่าง ขึ้นอยู่เต็มไปหมด ซึ่งหินชวนขนลุกพวกนี้ คือ หน่อหิน (Pedestal Rock) ลักษณะเป็นเนินเขาหินที่หลงเหลือจากการถูกกัดกร่อนของน้ำทะเล และสายลม โดยมีหินแข็งอยู่ด้านบน ส่วนข้างล่างเป็นหินที่อ่อนกว่า นอกจากนี้ยังมีหินรวงผึ้ง (Honeycomb Rocks) ที่หากใครลองได้ก้มมองใกล้ๆ จะเห็นว่าหินเค้ามีชั้นโครงสร้างเป็นรู คล้ายกับรังผึ้งนั่นเอง เป็นหินที่แปลกตามาก ยิ่งถ้าดูใกล้ๆ จะเห็นเหมือนเค้าผุดขึ้นมาจากดินอย่างกับดอกเห็ดเลย
เดินดุ่มๆ ผ่านทั้งชายทะเลที่หน่อหินที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็นมาแล้วกว่าหลายร้อยหน่อ ในที่สุดเราก็ถึง โขดหินงวงช้างเฌ่ออ้าว (Shen’ao Elephant Trunk Rock) หินงวงช้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงริมทะเล น่าเสียดายนิดหน่อย ช่วงที่ก๊อตไปเค้าไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปถ่ายรูปกันใกล้ๆ กับหินงวงช้าง โดยจะมีที่กั้นมาตั้งเอาไว้ ทำให้เราถ่ายรูปได้จากระยะไกลเท่านั้น แต่จากการที่ยืนจ้องหินงวงช้างจากตรงนี้ ต้าวงวงช้างมันอันใหญ่มากนะเออ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่สวยในความเป็นธรรมชาติด้านหินที่ตั้งตระหง่านริมชายฝั่ง ใครที่ชอบเที่ยวดูความสวยงามของธรณีวิทยานี่ต้องมาเลย
โขดหินหนานหย่า (Nanya Rock)
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีวิวของโขดหินที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมือง ต้องยกให้ที่ โขดหินหนานหย่า (Nanya Rock) เลย ที่นี่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของเมือง มีชื่อเสียงในเรื่องของโขดหินยักษ์ที่มีหน้าตาแปลกแต่สวย รวมไปถึงมีแนวปะการังที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะอยู่รายล้อม จนทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวของนิวไทเป (New Taipei City) ที่ควรค่าแก่การมาเยือน โดยเฉพาะคนที่ขับรถเที่ยวตะลอนมาเรื่อยๆ แบบเรา
โขดหินหนานหย่า (Nanya Rock) เกิดจากการผุกร่อนของหินทรายที่เรียงรายอยู่ตามแนวชายฝั่ง โดยลวดลายที่เราเห็นกันอยู่นี้ เกิดจากการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีของแร่เหล็กที่อยู่ภายในหิน กลายออกมาเป็นรูปทรงแท่งๆ ที่มีลวดลายไม่เหมือนใคร บ้างก็จินตนาการไปว่าเหมือนไอติมโคนที่กำลังละลาย แต่ก๊อตมองแล้วว่ามันเหมือนกับหน่อไม้ที่ถูกปลอกเปลือกออกแล้วเอามาตั้งพิงโด่เด่อยู่ตรงนี้ แถมสีของหินก็มีการไล่เลเยอร์ความเข้ม ความอ่อนด้วย ยังไงใครจะมองว่าหินมันหน้าตาเหมือนอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับจินตนาการของแต่ละคนเล้ย 5555
ใครถ่ายรูปเล่นกับหินจากข้างบนเสร็จแล้ว ให้มองหาทางเดินที่อยู่ด้านข้างโขดหิน แล้วลองเดินลงไปยังชั้นหินด้านล่างดู ทางเดินเค้าไม่ลื่นมาก เป็นทางหินพื้นเรียบๆ พอเดินลงมาจากข้างบนก็จะได้มุมถ่ายรูปกับโขดหินหนานหย่า (Nanya Rock) ในแบบที่เห็นตัวหินได้ทั้งแท่งเลย ซึ่งตอนมองจากข้างบน นี่ไม่ได้อะไรมาก ก็เอออแปลกตาดีแถมไม่ได้รู้สึกอลังการขนาดนั้น แต่พอได้มายืนจ้องต้าวโขดหินอยู่ข้างล่างแบบนี้ บอกได้เลยว่าหินเค้าดูยิ่งใหญ่มากแกร เหมือนมีหน่อไม้ปลอกเปลือกไซซ์ยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหลังเลย มุมนี้กดรูปรัวๆ เพื่อนไม่ต้องพักกันเลยล่ะ
ใครที่ขับรถเที่ยวแบบก๊อต แนะนำว่ามาเถอะกับโขดหินหนานหย่า (Nanya Rock) มันไม่ได้แค่มานั่งดูหินเฉยๆ เท่านั้น แต่มันเหมือนเราได้มาดูประติมากรรมชิ้นโบว์แดงของศิลปินที่ชื่อว่า ‘ธรรมชาติ’ ซึ่งมันเป็นศิลปะที่หาที่เปรียบไม่ได้ เป็นประติมากรรมที่เกิดขึ้นจากสภาพดิน ฟ้า อากาศ ผสมผสานกัดกร่อนออกมาเป็นโขดหินหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ต้องเช็คอินว่าอยู่ไหน ก็รับรู้ได้เลยว่าเรามาเที่ยวที่ไต้หวัน ใครสายเก็บแลนด์มาร์คธรรมชาติไม่มาไม่ด้ายย
แหลมปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao)
มาเดินเทรลกันที่แหลมปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao) หรือ ถ้ำปี๋โถว (Bitou Cape) หนึ่งในเส้นทางเดินเทรลที่ฮิตมากที่สุด และยังสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในไต้หวัน แต่ความที่เราขับรถมาถึงเกือบเย็นมากแล้ว บวกกับฝนที่ทำท่าจะตกอยู่ตลอดเวลานั้น ท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปหมด นี่เลยรีบเดินขึ้นไปด้านบนด้วยความไวแสงมาก โดย แหลมปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao) ค้าเป็นเส้นทางเดินชมวิวเลียบหน้าผาริมทะเลตามแนวชายฝั่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะไต้หวัน ท่ามกลางวิวของทะเล ภูเขา และธรรมชาติสวยๆ โดยคำว่า Bitou (ปี๋โถว) ในภาษาจีนนั้นแปลว่าปลายจมูก ซึ่งชื่อ ‘ปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao)’ นั้นก็มาจากลักษณะของพื้นที่ปลายแหลม ที่เมื่อเรามองจากแผนที่มุมสูง เราจะเห็นว่าบริเวณนี้เป็นปลายแหลมคล้ายกับปลายจมูกของมนุษย์ยื่นออกสู่ทะเล ซึ่งคนไต้หวันเองเค้าก็ยกยอความโดดเด่นของปลายแหลมนี้ว่ามีรูปทรงที่คล้ายกับเรือเดินสมุทร จนได้รับฉายาว่า Junjianyan หรือ ‘หินเรือรบ’ ขนาดนั้นเล้ย
หมดอายุ: 10-10-2024
หมดอายุ: 10-10-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
สำหรับเส้นทางเดินเทรลในปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao) นั้นมีระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นเส้นทางให้เราได้เดินไปตามทางเดินคล้ายกับสะพานไม้ทอดยาวไปตามแนวสันเขา ท่ามกลางธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามแบบอลังมาก วิวของท้องทะเล และภูเขาที่มาบรรจบกันให้ได้มายืนดูแบบพาโนราม่า เป็นอะไรที่ฮีลใจและให้ความรู้สึกสงบได้ดีเลย สำหรับใครที่กลัวว่าเส้นทางเดินเทรลด้านบนจะลำบากนั้น ทริปนี้เราเน้นเดินชิลๆ เพราะเค้าทำทางเดินอย่างดี ไม่ได้มีการไปปีนผาหรือข้ามหินแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นก๊อตว่านี่เป็นอีกหนึ่งรีวิวเส้นทางเดินเทรลที่เหมาะกับคนทุกไลฟ์สไตล์เลย
⚡️ สำหรับ แหลมปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao) นั้นก๊อตจะขอแยกออกเป็นรีวิวเดี่ยวๆ เนื่องจากที่นี่เองหลายมักจะชอบมาเที่ยวแบบวันเดย์ทริปจากไทเปด้วย ใครที่อยากอ่านแบบละเอียดยิบตลอดเส้นทางการเดินเทรล สามารถอ่านต่อในรีวิวเต็มได้เลย > คลิกอ่านรีวิว แหลมปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao)
ที่พักในย่านฟู่หลง เมืองนิวไทเป (New Taipei City)
Being Outdoors B & B
ด้วยความที่เราออกจากแหลมปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao) ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี เมฆนี่มืดครึ้มกันเลยทีเดียว นี่เลยต้องรีบขับรถไปยังที่พักของเราในคืนนี้ที่ Being Outdoors B & B ที่ตั้งอยู่ย่านฟู่หลง (Fulong) ที่อยู่ใกล้กับชายหาดฟู่หลง (Fulong Beach) ที่เป็นที่เที่ยวแรกของวันพรุ่งนี้ และไม่อยากจะตื่นเช้าและเร่งรีบ เลยเลือกนอนมันแถวนี้เลยซะเลย ซึ่งจากแหลมปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao) ก็ต้องขับรถไปพักใหญ่ๆ กว่าจะถึงที่พักก็ค่ำแล้วเด้อ ซึ่งเราถือคติที่ว่าลำบากวันนี้ สบายวันพรุ่งนี้ 55555
สำหรับ Being Outdoors B & B เค้าเป็นที่พักฟีลโฮมสเตย์ ที่ก๊อตหากันได้ในช่วงเวลานั้น และสามารถนอนได้ 4 คน แถมยังราคาเบาที่สุดในบรรดาโรงแรมระแวกใกล้เคียงทั้งหมด ซึ่ง Being Outdoors B & B ที่พักเค้าฟีลตึกแถวที่แปลงกลายเป็นโฮมสเตย์ โดยชั้นล่างทำเป็นคาเฟ่ที่ดูเหมือนจะปิดตลอดเวลา ส่วนชั้นสองขึ้นไปก็คือเหล่าห้องพักต่างๆ นั่นเอง แน่นอนว่าภายในที่พักไม่ได้มีของอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนนอนโรงแรมตามปกติทั่วไป แต่ก็มีของใช้จำเป็นอย่างเตียง โต๊ะ พัดลม แอร์ และมีห้องน้ำในตัวให้พอเราได้นอนพักค้างคืนกันได้สบายๆ โดยตอนเช้าทางที่พักเค้ามีแซนวิชให้กินเป็นอาหารเช้ากรุบกริบพร้อมกับกาแฟเบาๆ พอได้มีอาหารรองท้องก่อนที่เราจะออกไปลุยข้างนอกต่อ
ถ้าถามว่าก๊อตแนะนำไหม เผื่อใครมาเที่ยวย่านนี้ ส่วนตัวถ้าใครหาที่พักที่อื่นได้ดีกว่านี้ แนะนำให้ไปนอนเลย แต่ถ้าจองที่พักไม่ได้ หรือไม่ได้ดูที่อื่นๆ ไว้ ก็มานอนได้ ความสะดวกสบายก็จะเป็นอย่างที่ทุกคนเห็น ส่วนตัวนี่ว่าห้องเค้ามีฟีลห้องเด็กอนุบาลหมีน้อยเว่อร์ ลวดลายสีฟ้าที่ตกแต่งไปตามผนังให้ธีมมันเข้ากับทะเล จะมองให้มันเป็นความน่ารักก็ไม่ผิดอะไร แต่ข้อดีเลยของการเข้าพักที่นี่ คือเค้ามีเซเว่นอยู่ใกล้ๆ เลย แถมที่พักยังอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟู่หลง (Fulong Station) ที่หากใครไม่ได้ขับรถมาเที่ยวเองแบบก๊อตนั้น สามารถนั่งรถไฟมาลง แล้วเดินจากที่พักไปเข้าเซเว่นได้สบายๆ หรือจะเดินเที่ยวต่อที่อื่นๆ ได้เลย
ชายหาดฟู่หลง (Fulong Beach)
เช้าวันใหม่ วนเวียนมาเหมือนภาพตัดที่เราเก็บกระเป๋าออกจากที่พักแล้วขับรถมาเที่ยวต่อกันที่ ชายหาดฟู่หลง (Fulong Beach) หนึ่งในชายหาดยอดฮิตที่ผู้คนเค้านิยมมาเล่นน้ำ เล่นเซิร์ฟ พายเรือ ตกปลา หรือทำกิจกรรมทางน้ำอื่นๆ อีกมากมาย โดยชายหาดนี้ได้ชื่อว่ามีน้ำทะเลใสที่สะอาด หาดทรายสีทองระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างแม่น้ำซวงซีที่ไหลผ่านอยู่ด้านใน ก่อนจะไหลออกสู่มหาสมุทรที่รายล้อมชายหาดอยู่ด้านนอก ดูแล้วชายหาดฟู่หลง (Fulong Beach) คือมีความแปลกตา คลับคล้ายมีความเป็นแหลมเกาะเบาๆ ซึ่งนี่คือความมหัศจรรย์และงดงามของธรรมชาติ จนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากันในช่วงฤดูร้อนได้เยอะมากเลยเชียว
ก่อนที่เราจะลงไปถึงตัวชายหาดนั้น จะต้องเดินผ่านสะพานที่ชื่อว่า ‘สะพานสายรุ้ง’ ที่ไม่ได้เป็นสีรุ้ง แต่เป็นสะพานสีเหลืองน่ารักๆ มีความคิวท์พาดผ่านลงสู่ชายหาด ซึ่งวิวจากมุมสูงของสะพานเราสามารถมองเห็นชายหาดได้ไกลสุดสายตา ความแปลกของชายหาดที่นี่เมื่อเรายืนอยู่บนสะพานแล้วมองลงไปยังชายหาดฟู่หลง (Fulong Beach) จะเห็นเหมือนเค้าเป็นเกาะแยกออกมา โดยฝั่งที่เราเดินสะพานข้ามนั้นคือแม่น้ำซวงซีไหลออกสู่ทะเลและกัดเซาะชายหาดจนดูเป็นแนวสันทรายที่ก๊อตเองไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย
ใครที่มาเที่ยวในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เค้าว่ากันว่าหาดทรายนี่จะเหลืองอร่าม ตัดกับทะเลสีฟ้าสดใส เป็นบรรยากาศที่สวยงามราวกับภาพวาดกันเลยเชียว โดยในฤดูร้อนที่นี่เค้าจะมีเทศกาลประจำปีอย่าง ‘Fulong International Sand Sculpture Art Season’ ซึ่งจะมีศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกมาสร้างสรรค์ประติมากรรมแกะสลักจากทรายอยู่ตามชายหาด ซึ่งแต่ละผลงานที่นี่ไปสรรหาดูรูปมา บอกเลยว่าจึ้งมาก สวยอลังสุด ใครมาทันช่วงเทศกาลนี้คือคุ้มค่ากับการมาเที่ยวเว่อร์ และนอกจากเทศกาลประติมากรรมจากทรายแล้ว ที่ชายหาดแห่งนี้ยังมีงาน ‘Gongliao International Ocean Music Festival’ มิวสิคเฟสติวัลที่นักท่องเที่ยวและคนไต้หวันที่หลงใหลในเสียงดนตรีเข้าร่วมเป็นจำนวนมากอีกด้วย
ปิดจ๊อบ ชายหาดฟู่หลง (Fulong Beach) ไปอย่างประทับใจ โดยเฉพาะรูปที่ออกดูแล้วเป็นชายหาดที่มีความมินิมอลในตัวสูงมาก แต่ที่ว้าวเลยคือความแปลกของธรรมชาติที่ตัวชายหาดฝั่งหนึ่งเป็นแม่น้ำและอีกฝั่งหนึ่งเป็นทะเล มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างว้าวมากสำหรับก๊อตเหมือนกัน ใครที่ขับรถเที่ยวรถโรดทริปเที่ยวแบบก๊อตนี่ แนะนำให้แวะแล้วมาเดินเล่นกินลมชมทะเลได้ เพราะมันชิลและสวยมากเว้ยย!
ท่าเรือประมงมากัง (Magang Fishing Harbor)
ขับรถอยู่ระหว่าง สายตาอันแหลมคมก็เหลือบไปเห็นวิวชายฝั่งทางซ้ายมือที่ต้อง ‘โว๊ะ! สวยจัง ลองแวะดูหน่อยแมะ?’ จนสุดท้ายเราต้องหักพวงมาลัยเข้ามายังที่ Magang Fishing Harbor ท่าเรือประมงที่อยู่ในหมู่บ้านชาวประมงที่อยู่ทางตะวันออกสุดของไต้หวัน โดยไม่ไกลจากหมู่บ้านจะมีบ่อตกปลา Lalai Rock และ Magang Rock Fishing Grounds ซึ่งเป็นจุดที่ชาวบ้านเค้าชอบมาตกปลากัน บรรยากาศจะเป็นเหมือนสิ่งก่อสร้างที่กั้นเป็นบ่ออยู่ในทะเลซึ่งแปลกตาดี ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในเมืองไทย โดยปลาที่เค้าจับได้จะมีตั้งแต่ ปลาซีบรีม ปลาโบนิโต ปลาหมึก และล็อบสเตอร์ โดยครึ่งหนึ่งของปลาที่จับได้จะนำไปขายในท้องถิ่น และอีกครึ่งหนึ่งจะถูกส่งไปที่เมืองจีหลง (Keelung) เพื่อประมูลหรือแปรรูปต่อไป
Magang Fishing Harbor เป็นจุดแวะเที่ยวที่เราบังเอิญมาเจอ แต่กลับได้มาเห็นวิวที่สวยงามมาก ภาพของทะเลและคลื่นที่กระทบเข้าหาชายฝั่งที่เป็นโขดหินซ้อนทับยื่นออกไปสู่ทะเล ท่ามกลางผู้คนที่หอบเอาอุปกรณ์ตกปลามายืนตกปลาอยู่ตามมุมต่างๆ เป็นภาพที่น่ารัก แบบที่ว่าไม่เสียดายเวลาที่เราจอดแวะเลย เหมือนได้มายืนสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนไต้หวันริมชายฝั่งได้อย่างใกล้ชิด แถมถ่ายรูปออกมาก็สวยสะบัดเลยด้วย
ร้านอาหาร 卯澳船長平價小吃
ออกจากหมู่บ้านประมงมา ท้องร้องจ๊อก เหลืองมองดูนาฬิกาก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงวันพอดี นี่ก็เลยต้องหาร้านอาหารแวะกินข้าวกันก่อน ซึ่งก๊อตเองไม่ได้ไปร้านตามรอยร้านดังอะไรเลยรอบนี้ เราเลือกเปิดดูในกูเกิ้ล หาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ แล้วพอเห็นร้าน 卯澳船長平價小吃 (ก็อบชื่อไปหาในแมพได้ หรือจะ คลิกลิงค์ Google Map นี้ก็ได้จ้า) ที่เค้าได้รีวิวดาวเยอะ เลยจิ้มแล้วขับรถมากัน ซึ่งร้านเค้าตั้งอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง Maoao Fishing Harbor ใกล้กันนี่แหละ ตัวร้านเป็นร้านอาหารท้องถิ่นจัดๆ ฟีลคุณตาคุณยายเปิดบ้านเป็นร้านอาหารอยู่ติดกับทะเล ให้มู้ดเหมือนอยู่ในซีรีส์เรื่อง Hometown Cha-Cha-Cha ของเกาหลีมากเว่อร์
ใครที่ชื่นชอบอาหารทะเล มาร้านนี้แล้วไม่มีผิดหวังแน่นอน ก๊อตการันตี เพราะหลังจากที่ได้ลิ้มรสของอาหารทะเลแล้ว บอกได้เลยว่ามันสดม๊ากก เหมือนคุณลุง คุณป้าเจ้าของร้านเค้าไปตกปลา ตกหมึกมาให้กินสดๆ เล้ยย ถือเป็นมื้อที่อร่อยและได้ฟีลความเป็นโลคอลมาก โดยก๊อตและเพื่อนด้วยความที่เราพยายามสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษแล้ว แต่คุณลุงคุณป้าพูดไม่ได้ นี่เลยวัดดวง จิ้มเมนูอาหารเอาจากรูปภาพที่คนรีวิวกันมา รวมถึงบางอันคุณป้าเค้าก็แนะนำให้ลอง ซึ่งวัตถุดิบหลักๆ ก็จะเป็นพวกกุ้ง หอย ปู ปลาตามปกติเลย แต่รสชาตินี่อร่อยเหาะมาก แต่ละจานที่เสิร์ฟมารสชาติมันไม่จืดชืด แต่กลับมีรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทยอย่างเราสุดๆ ใครที่อยากกินอาหารทะเลอร่อยๆ ลองปักหมุดมาตามแมพได้เลย
ประภาคารซานเตียวเจี่ยว (Sandiaojiao Lighthouse)
ที่สุดท้ายที่เราจะเที่ยวกันในเมือง คือ ประภาคารซานเตียวเจี่ยว (Sandiaojiao Lighthouse) ประภาคารที่ได้รับการขนานนามว่า ‘ดวงตาแห่งไต้หวัน’ และเป็นจุดฮิตที่คนเค้าชอบมายืนดูพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้ากันเยอะมาก ซึ่งวิวจากตรงประภาคารสามารถมองออกไปเห็นเกาะเต่า Guishan Island (Turtle Island) ได้อีกด้วย หากใครอยากไปข้ามไปเที่ยวเกาะนั้น เราสามารถซื้อทัวร์นั่งเรือข้ามไปเที่ยวและดูปลาวาฬได้ ซึ่งเค้าจะเปิดเฉพาะช่วงเดือนเมษายน ถึงเดือนตุลาคมของทุกปี โดยก๊อตเองนั้นเที่ยวช่วงต้นปี ก็เลยอดข้ามไปเที่ยวเกาะเค้าเล้ย น่าเสียดายสุด ฮื้ออ
กลับมาที่ ประภาคารซานเตียวเจี่ยว (Sandiaojiao Lighthouse) ของเราต่อ คำว่า ‘ซานเตียว’ เป็นคำแปลภาษาไต้หวันจากคำว่า ซานติเอโก (Santiago) ซึ่งเป็นชื่อของนักสำรวจชาวสเปนที่มาเจอแหลมแห่งนี้ ก่อนที่จะได้พัฒนาพื้นที่และได้สร้างประภาคารซานเตียวเจี่ยว (Sandiaojiao Lighthouse) ขึ้นเมื่อปี 1931 ซึ่งพื้นที่ตรงนี้ถือเป็นจุดตะวันออกที่สุดของเกาะไต้หวันแล้ว โดยที่นี่เป็นประภาคารแห่งเดียวที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชมกับบรรยากาศภายใน ตัวประภาคสีขาวตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่ภายในมีลานกิจกรรม และจุดชมวิวให้คนได้มาเดินเล่นถ่ายรูปกัน
หากใครถ่ายรูปยังไม่จุใจ ที่นี่เค้ามีเส้นทางเดินลาดให้เราได้เดินลงไปยังจุดชมวิวที่เราสามารถมองวิวของท้องทะเลใกล้ๆ ได้อีกด้วย บรรยากาศคือดีย์ไม่ไหว ท้องฟ้า สายลม (แบบแร๊งแรง) รวมถึงท้องทะเลที่โอบล้อมตัวเราอยู่นี่ ช่างสวยสะกดจิตสะกดใจเสียจริง และที่เที่ยวนี้ถือเป็นการปิดการเที่ยวในเมืองนิวไทเป (New Taipei City) ได้แบบคอมพลีทที่สุดเลย
อันนี้เป็นเพียงครึ่งวันของการเที่ยวที่เมืองนิวไทเป (New Taipei City) เท่านั้น หลังจากออกจากประภาคารซานเตียวเจี่ยว (Sandiaojiao Lighthouse) ก๊อตและเพื่อนๆ ก็ขับรถมุ่งหน้าไปต่อกันที่เมืองอี๋หลาน (Yilan) ใครที่อยากอ่านโร้ดทริปเที่ยวอี๋หลานฉบับเต็ม คลิกอ่านรีวิวอี๋หลาน (Yilan) ที่นี่ได้เลย และสำหรับใครที่กำลังแพลนมาเที่ยวที่เมืองนิวไทเป (New Taipei City) แต่ยังไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดี สามารถจิ้มเลือกแพลนตามก๊อตได้เลย นี่ว่าเมืองเค้าเป็นเมืองที่ธรรมชาติสวยงามมาก เรื่องของธรณีวิทยาของเหล่าหินหน้าตาแปลกตาทั้งหลายที่ได้มาเห็นของจริงใกล้ๆ นั้น มันเปิดโลกขั้นสุด ใครชอบเมืองฟีลธรรมชาติ มาแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เหมือนได้ชาร์จแบตร่างกาย นี่แนะนำเมืองนิวไทเป (New Taipei City) เลยจ๊าา
รีวิวเที่ยวไต้หวันหมดจาก HASHCORNER!
โซนภาคเหนือ ไตหวัน
1. ไทเป (Taipei) #1
2. ไทเป (Taipei) #2
3. หยางหมิงซาน (Yangmingshan)
4. จิ่วเฟิ่น-จินกัวสือ (Jiufen-Jinguashi)
5. ปี๋โถวเจี่ยว (Bitoujiao)
6. ซินจู๋ (Hsinchu)
7. จีหลง (Keelung)
8. นิวไทเป ซิตี้ (New Taipei City)
9. เถาหยวน (Taoyuan)
โซนภาคกลาง ไต้หวัน
10. ไทจง (Taichung)
11. ซันมูนเลค / ทะเลสาบสุริยันจันทรา (Sun Moon Lake)
โซนภาคใต้ ไต้หวัน
12. ไถหนาน (Tainan)
13. อาลีซาน (Alishan)
14. ชิงจิ้ง-เหอหวนซาน (Cingjing-Hehuanshan)
โซนภาคตะวันออก ไต้หวัน
15. ฮัวเหลียน (Hualien)
16. ทาโรโกะ (Taroko)
17. ไถตง (Taitung)
18. เกาสง (Kaohsiung)
19. เขิ่นติง (Kenting)
20. ไถ่ผิงซาน (Taipingshan)
21. อี้หลาน (Yilan)
สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการเที่ยวไต้หวัน
22. เช่ารถขับในไต้หวัน [อัปเดท 2023]
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡