ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน หรือบางคนเรียกว่า ‘สวิสเมืองไทย’ ที่มาจากการที่มีบรรยากาศและความสวยงามทางธรรมชาติที่คล้ายกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์นั่นเอง ซึ่งผมเองก็เชื่อว่าหลายๆคนต้องเก็บไว้เป็นอีกหนึ่งใน Bucket List ทางแถบภาคเหนือที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต และแน่นอนว่ารีวิวนี้…ผมจะพาทุกคนไปรู้จักปางอุ๋งในอีกมุมที่อาจจะแปลกตาออกไป แต่มันจะแปลกออกไปยังไงนั้น…ต้องเลื่อนไปอ่านข้างล่างเลยจ้าาา 55555
รู้จัก ปางอุ๋ง กันหน่อย
ปางอุ๋ง มีชื่อเรียกเต็มๆว่า โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ตั้งอยู่ในหมู่บ้านรวมไทย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเมื่อก่อนพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่อันตรายเพราะอยู่ขอบชายแดนไทยกับพม่า มีการลักลอบปลูกพืชและค้ายาเสพติด แถมยังมีขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าอีกต่างหาก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินินาถทรงเป็นห่วงความเป็นอยู่ของชนกลุ่มน้อยต่างๆ เลยมีพระราชดำริให้พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ รวมถึงการสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติพื้นที่ตรงนี้อีกด้วย
ในภาษาเหนือ คำว่า ‘ปาง’ แปลว่า ที่พักกลางป่า ส่วนคำว่า ‘อุ๋ง’ แปลว่า ที่ราบต่ำลึกลงไปที่มีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะที่มีน้ำขัง พอรวมกันเลยก็เลยแปลว่า ที่พักกลางป่าที่มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่นั่นเอง ง่อวววว
การเดินทางมาปางอุ๋ง
ด้วยความที่แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีภูเขาสูงสลับซับซ้อนเยอะมาก ส่วนใหญ่แล้วการเดินทางมาจากจังหวัดอื่นจะมี 2 วิธีหลักคือ
(1.) การนั่งรถโดยสาร / เช่ารถเหมาคัน / ขับรถส่วนตัว
(2.) การนั่งเครื่องบินแล้วหารถเช่าขับในแม่ฮ่องสอน / เช่ารถพร้อมคนขับท้องถิ่นไปปางอุ๋ง
สำหรับก๊อต การขับรถจากกรุงเทพแล้วมาตะลุยขับไปปางอุ๋งต่อก็คงจะเป็นอะไรที่เหนื่อยเกินไป แถมมีเวลาจำกัดอีก นี่เลยเลือกนั่งเครื่องบินแล้วเช่ารถขับเองดีกว่า ซึ่งตอนนี้จะมี 2 สายการบินที่เปิดเส้นทางบินไปแม่ฮ่องสอน คือ
(1.) บางกอกแอร์เวย์ (Bangkok Airways): กรุงเทพ (สนามบินสุวรรณภูมิ: BKK) > เชียงใหม่ (CNX) > แม่ฮ่องสอน (HGN) และ
(2.) นกแอร์ (Nok Air): กรุงเทพ (สนามบินดอนเมือง: DMK) > แม่ฮ่องสอน (HGN)
ใครจะบินสายการบินไหน นี่ขอบอกว่าแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนดีกว่าเพราะทั้ง 2 สายการบินเค้าบินคนละสนามบินกัน ตารางเวลาบินก็ต่างกัน ส่วนตัวก๊อตเองเลือกบินของบางกอกแอร์เวย์เพราะเค้ามีเที่ยวบินเช้า ถ้าเป็นของนกแอร์จะเป็นรอบบ่ายเลย เสียดายเวลาตอนเช้าง่ะ งื้อออ
อีกเส้นทางที่หลายคนชอบมากันก็คือการนั่งเครื่องมาลงเชียงใหม่ก่อน แล้วเช่ารถขับเองหรือนั่งรถตู้โดยสารมาปางอุ๋ง ซึ่งข้อดีคือการที่เราได้เที่ยวเชียงใหม่ด้วยนั่นเอง ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวหลายวันหน่อยเนอะ
สำหรับใครที่จะเช่ารถขับเอง สามารถหาเช่าจากใน Google ได้เลย แต่จะมีให้เลือกไม่เยอะเมื่อเทียบกับจังหวัดใหญ่อย่างเชียงใหม่ และบริษัทเช่ารถเองก็ไม่ใช่เจ้าใหญ่ ดังนั้นรถที่ให้เช่าก็จะมีไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นคนท้องถิ่นมาเปิดร้านเช่าเองทั้งนั้นแหละ เก๋ไปอีกกก นี่เลยแนะนำให้เผื่อเวลาหารถเช่าล่วงหน้าหน่อยก็ดี แต่ถ้าใครหาไม่ได้ก็ไม่ต้องห่วงเพราะที่สนามบินแม่ฮ่องสอน เค้ามีเค้าเตอร์ให้เช่ารถเหมือนกันเด้อ
การเดินทางจากสนามบินแม่ฮ่องสอนไปปางอุ๋งใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว นี่บอกเลยว่าต้องใช้ทักษะการขับรถพอสมควร เราจะเจอทางโค้งและลาดชันเกือบตลอดเส้นทาง การใช้เกียร์ต่ำเลยเป็นทักษะที่จำเป็นมากๆสำหรับการขับรถไปปางอุ๋ง
เช็คอินและพักดื่มกาแฟสด
ลุงปาละ คอฟฟี่เฮ้าส์ (Pala Coffee House)
ต้องบอกเลยว่าความโหดของการมาปางอุ๋งมันอยู่ที่ 4 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึงหมู่บ้านรวมไทยนั่นแหละ ทั้งโค้งหักศอก ทางชัน และถนนแคบ ถูกรวมไว้ตรงช่วงนี้หมดเลย แต่ก็อย่าตกใจไปนะ ถ้าขับรถด้วยความไม่ประมาทก็ไม่อันตรายมากเพราะนี่ผ่านมาแล้ว สำคัญที่สุดคือ มีสติขณะขับขี่นะจ๊ะ
หมู่บ้านรวมไทย เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าปางอุ๋ง มีลักษณะเป็นแหล่งชุมชนขนาดเล็กที่มีถนนผ่ากลางคล้ายกับถนนคนเดิน ตลอดระยะทาง 300 เมตรจะมีร้านค้าขายอาหารของชาวบ้านที่เราสามารถเลือกซื้อกันได้ตามใจชอบ ซึ่งหนึ่งในร้านที่ต้องห้ามพลาดแวะชิมก็คือ กาแฟสด ลุงปาละ คอฟฟี่เฮ้าส์ ที่ตั้งอยู่เป็นบ้านหลังแรกทางซ้ายมือจากทางเข้าของหมู่บ้าน จุดเด่นของกาแฟสด คุณลุงปาละ คือ เมล็ดกาแฟที่นี่จะถูกคั่วเองกับมือจนกลายเป็น ตำนานกาแฟสดแห่งปางอุ๋ง เลยทีเดียว ว่ามาขนาดนี้แล้วก็ต้องชิมแล้วล่ะ ลุยยย



เมนูที่ก๊อตชิมคือ Original Pala Coffee Style (50 บาท) โดยรวมแล้วถือว่าดีตามสไตล์กาแฟไทยที่จะต้องมีกลิ่นหอม รสชาตเข้มข้น สำหรับคน(อยาก)เฮลตี้อย่างเราถือว่าความหวานอยู่ในระดับกำลังดี ส่วนสายหวานอาจจะต้องเพิ่มไซรัปอีกหน่อย แต่ถ้าใครไม่ชอบกาแฟใส่นม จะสั่ง Americano (ร้อน 40 บาท / เย็น: 50 บาท) ก็ได้นะ รสชาติดีไม่แพ้กัน
นอกจากที่นี่จะเป็นร้านกาแฟสดสไตล์คอฟฟี่เฮ้าส์แล้ว คุณลุงปาละยังเปิดห้องพักแบบโฮมสเตย์เป็นเจ้าแรกๆของหมู่บ้านอีกด้วยแหละ ซึ่งเท่าที่สำรวจหมู่บ้านด้วยสายตามา โฮมสเตย์ที่นี่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีอันดับต้นๆทั้งในเรื่องของห้องพัก ห้องน้ำ และความสะอาดของที่พัก ส่วนเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ขอให้ลืมไปให้หมด เราจะไม่เจอในที่พักใดๆในหมู่บ้านแห่งนี้เลยอย่างแน่นอน เพราะที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เค้าเน้นความเป็นธรรมชาติเป็นหลักเว้ยยย
ห้องพักที่นี่สามารถรองรับได้ตั้งแต่ 2-15 คน มีบริการอาหารเช้าฟรี และมีขายอาหารพื้นบ้านรสชาตดีให้เราได้ลองชิมกันด้วย เมนูที่นี่ลองสั่งมามีทั้ง ไข่และไก่ฮุ๊บ (80 บาท) อาหารพื้นเมืองของชาวไทยใหญ่คล้ายกับผัดพริกแกงบ้านเรา / ผัดหน่อไม้ใส่ไข่ (70 บาท) ที่ทางร้านใช้หน่อไม้ปลูกเองเลยนะ การันตีความอ่อนของหน่อไม้เลยล่ะ / ต้มยำไก่น้ำพริกลาบ (80 บาท) ที่กินกับข้าวสวยร้อนๆแล้วฟินได้ใจมาก
พูดมาขนาดนี้…แน่นอนว่าก๊อตเลือกพักที่นี่กับลุงปาละแกแหละ ซึ่งหลังจากที่เช็คอินห้องพักและกินมื้อเที่ยงจนอิ่มแล้ว นี่อยากให้ลองเดินสำรวจบริเวณด้านในของที่พักที่เราจะได้เจอกับซุ้มต้นไผ่ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ของที่นี่อีกด้วย



ช่วงเย็นๆ ใครที่ยังมีแรงเหลือก็ออกมาเดินเล่น ชมวิวหมู่บ้าน และกินข้าวตามร้านข้างทางที่อยากลองได้เลย ที่นี่เค้าเหมือนจะฮิตกินหมูกระทะท่ามกลางลมหนาวกันแหละ นี่ก็จัดไปชุดนึงราคา 300 บาท รสชาตถือว่าอร่อยแบบบ้านๆ ไม่มีการหมักซอส หมักงาเหมือนในกรุงเทพ แต่ก็ได้ฟีลไปอีกแบบเหมือนกัน แฮ่
ชมหมอกยามเช้าที่ปางอุ๋ง
เช้าวันถัดไปถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปเลยซึ่งก็คือการเข้าไปชมทะเลหมอกที่จะลอยอยู่เหนือน้ำเป็นบริเวณกว้างไปทั่วทั้งแอ่งน้ำ โดยช่วงเวลาที่แนะนำให้เข้าไปก็คือช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้านั่นแหละจ้า ตรงนี้เราสามารถเช็คเวลาพระอาทิตย์ขึ้นล่วงหน้าจากมือถือได้เลยนะเว้ยยย อย่างก๊อตใช้ iPhone ก็เข้าแอพ Weather แล้วมันจะโชว์เลยว่าวันพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นกี่โมง นั่นแหละ ดูแล้วก็รีบไปนอนเอาแรงแล้วตั้งนาฬิกาปลุกซะ! 5555
และแล้วเวลาแห่งการตั้งตาคอยก็มาถึง ทันทีที่ก๊อตเข้าไปถึงด้านในตรงอ่างเก็บน้ำ ก็ได้พบกับความจริงที่ว่า วันนี้ไม่มีหมอกจ้าาาาา .. โอ๊ยยยยย หัวเราะทั้งน้ำตาเลย คนท้องถิ่นบอกว่า 2-3 วันที่ผ่านมาสภาพอากาศมันร้อนขึ้นเลยทำให้ไม่มีหมอกในหลายๆที่ในแม่ฮ่องสอนรวมถึงปางอุ๋งด้วย แต่ก็นี่แหละคือสีสรรของการเที่ยวเพราะอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ที่สำคัญคือเราควรจะยินดีกับทุกโอกาสที่เข้ามา ซึ่งต่อให้วันนี้ปางอุ๋งไม่มีหมอกแต่มันก็ยังคงมีสเน่ห์ความสวยงามในตัวอยู่ดีน่ะแหละ
จุดนึงที่เมื่อเข้ามาในปางอุ๋งแล้วเราควรจะต้องไปให้ได้ก็คือตรงสันอ่างเก็บน้ำที่อยู่ตรงที่ตั้งเต๊นท์ด้านหน้าปางเลย ซึ่งเป็นอีกที่ที่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยอย่างไม่น่าเชื่อ และถ้าใครได้เดินเข้ามาด้านในของปางก็จะได้เจอกับท่าเทียบเรือเล็กๆที่เราสามารถขึ้นไปโพสท่าถ่ายรูปเท่ห์ๆได้ไม่แพ้จุดแรกเลยเช่นกัน อ้อ! เสร็จแล้วอย่าลืมแวะเดินสวนสนที่มีต้นสนเรียงเป็นแถวเต็มไปหมดกันด้วยล่ะ ตรงนี้แหละคือจุดที่ทำให้ปางอุ๋งได้ขึ้นชื่อว่าเป็น สวิสเมืองไทย ที่แท้ทรูจริงๆ


นอกจากการเดินชมวิวแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้เรานั่งแพชมวิวรอบปางอุ๋งในอีกมุมมองอีกด้วย ใช้เวลาประมาณ 25 นาที นั่งได้ 2 คนต่อ 1 แพ ราคา 150 บาทเท่านั้นเอง ถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับวิวสวยๆที่เราจะได้เห็นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้


ระหว่างที่ล่องแพ เราจะสามารถมองวิวปางอุ๋งสวยๆ ที่เราไม่สามารถเห็นได้จากบนฝั่งนะ เป็นอีกมุมที่สวยมากๆ และแนะนำว่าต้องขึ้นแพเมื่อมาเที่ยวที่นี่เลย
และถ้าใครสังเกตดีๆ ที่ปางอุ๋งจะมีหงส์ขาวและดำอย่างละคู่ประจำอยู่ที่นี่ด้วยนะ ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ว่าหงส์ทั้ง 4 ตัวนี้เป็นหงส์พระราชทานจากสมเด็จพระราชินีนาถอีกด้วย
หลังจากที่เราได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศในปางอุ๋ง สูดดดดอ็อกซิเจนกันเข้าไปเต็มปอด พร้อมกับเก็บรูปวิวสวยๆกันแล้วก็ได้เวลากลับที่พักเพื่อกินข้าวเช้า เก็บของ และเตรียมเช็คเอ้าท์เพื่อกลับกรุงเทพกันเด้ออออ
และนี่ก็คือทริปปางอุ๋งในอีกมุมหนึ่งที่ไม่มีหมอก
แต่ก็ยังคงความสวยในแบบฉบับของมันไว้อยู่นั่นเอง ❤️
สำหรับใครที่มาเที่ยวปางอุ๋งแล้ว อย่าลืมแวะบ้านรักไทยด้วย เพราะมันอยู่ใกล้กันเนอะ สามารถอ่านรีวิวบ้านรักไทยได้เลยข้างล่าง 😆
สำหรับใครที่มีแพลนจะไปปายต่อ
คลิกที่รูปด้านล่างเพื่ออ่านรีวิวปายต่อได้เลย
รวมทุกส่วนลดของการจองโรงแรมและกิจกรรมท่องเที่ยว
⚡️ ยกพวกกันมาแบบจุกๆ กับส่วนลดแหลกลานทุกการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่าน Online Travel Agency ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Agoda, Expedia, Booking, Hotels.com, Trip.com , Airbnb และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday
4 comments
ปางอุ๋งเป็นสถานที่ ที่น่าเดินทางไปท่องเที่ยวในเฉพาะช่วงหน้าหนาว เพราะบรรยากาศไม่ว่าจะเป็นภูเขาสายน้ำสายเป็นมนตร์สะกดที่ทำให้ปางอุ๋งเป็นสถานที่ที่เราควรไปเยี่ยมชมค่ะ
ไฮไลท์เด็ดของปางอุ๋งที่ถ้ามาแล้วต้องเห็นให้ได้คือภาพของไอหมอกที่ลอยเลียบบนผิวน้ำขอบอกว่าสวยสุดๆ จะมีให้เห็นในช่วงเช้าเท่านั้น ยิ่งตอนพระอาทิตย์ขึ้นแสงแดดจะสะท้อนบนผิวน้ำเป็นสีทองสวยขึ้นไปอีก