แม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็น เมืองสามหมอกเนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีหมอกปกคลุมเกือบตลอดทั้งปี นอกจากนี้แม่ฮ่องสอนยังนับเป็นพื้นที่ปลายสุดด้านตะวันตกของประเทศ แม่ฮ่องสอนมีที่เที่ยวฮิตๆมากมาย เหมาะสำหรับคนที่ชอบสายธรรมชาติ เลิฟการดูหมอก รีวิวนี้ผมจะรวมที่เที่ยวสุดปังห้ามพลาดเมื่อมาแม่ฮ่องสอน แต่จะมีที่ไหนบ้าง เลื่อนลงมาอ่านและเที่ยวไปพร้อมๆกันได้เลย
หาตั๋วเครื่องบิน และรถเช่าเที่ยวแม่ฮ่องสอน
แนะนำจองกับ Traveloka เลย แอพเดียวจบ!
การเที่ยวแม่ฮ่องสอนครั้งนี้ ทั้งตั๋วเครื่องบินและรถเช่า ก๊อตได้จองผ่าน Traveloka เค้าหมดเลย ซึ่งเราจะจองผ่านเว็บหรือบนแอพเค้าก็ได้ แต่ถ้าให้แนะนำ ก๊อตจะแนะนำให้เราจองผ่านแอพ Traveloka เพราะนอกจากจะสะดวกด้วยการจองผ่านมือถือง่ายๆ พร้อมส่วนลดมากมายแล้ว เรายังสามารถเปรียบเทียบราคาของแต่ละสายการบิน หรือบริษัทรถเช่าได้อีก ซึ่งอันนี้ถือว่าดีสุด เพราะเราเข้า Traveloka แค่อันเดียว แต่เรารู้ราคา และเปรียบเทียบได้แทบจะทุกเจ้า ทำให้เราประหยัดเวลาได้เยอะ ตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น แถมยังสะดวกมากเลยล่ะ และยังมีช่องทางการจ่ายเงินให้เลือกเยอะ ไม่ต้องมีบัตรเครดิตก็จองได้นะ
Traveloka เค้าดีงามขนาดนี้ ก็ต้องใช้บริการเค้าหน่อยแล้วแหละ เพราะของเค้าครบเครื่องเรื่องเที่ยวมาก ทั้งตั๋วเครื่องบิน รถเช่า ตั๋ว ทัวร์ และกิจกรรมต่างๆอีกมากมาย หากใครยังไม่เคยลองใช้ ลองโหลดแอพ Traveloka เลย รับรองจะติดใจ! ลองไปดูได้เลย
● จองตั๋วเครื่องบินไปแม่ฮ่องสอน กับTraveloka คลิกเลย > https://www.traveloka.com/ th-th/flight/to/Mae-Hong-Son. HGN
● จองรถเช่า หรือเช่ารถกับ Traveloka (รับรถเช่าที่สนามบินได้) ทางไปจอง > https://www.traveloka.com/th-th/car-rental
ที่เที่ยวแนะนำ แม่ฮ่องสอน
- ปางอุ๋ง
– ลุงปาละ คอฟฟี่เฮ้าส์ - บ้านรักไทย
– ลีไวน์คอฟฟี่
– ลีไวน์อาหารจีนยูนาน
– ลีไวน์รักไทยรีสอร์ท - ทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอ
- บ้านจ่าโบ่
– ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่ - ปาย
– สะพานบุญโขกู้โส่
– กองแลน (ปายแคนยอน)
– สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย
– โป่งน้ำร้อนท่าปาย
– ถนนคนเดินเมืองปาย
– จุดชมวิวหยุนไหล
– หมู่บ้านสันติชล
ปางอุ๋ง
ปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน หรือที่บางคนเรียกว่า ‘สวิสเมืองไทย’ เพราะมีบรรยากาศและความสวยงามทางธรรมชาติที่คล้ายกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผมเองก็เชื่อว่าหลายๆคนต้องเก็บปางอุ๋งไว้เป็นอีกหนึ่งใน Bucket List ทางแถบภาคเหนือที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตแน่นอน ปางอุ๋ง มีชื่อเรียกเต็มๆว่า โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ตั้งอยู่ในหมู่บ้านรวมไทย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเมื่อก่อนพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่อันตรายเพราะอยู่ขอบชายแดนไทยกับพม่า มีการลักลอบปลูกพืชและค้ายาเสพติด แถมยังมีขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าอีกต่างหาก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินินาถทรงเป็นห่วงความเป็นอยู่ของชนกลุ่มน้อยต่างๆ เลยมีพระราชดำริให้พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ รวมถึงการสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติพื้นที่ตรงนี้อีกด้วย
ในภาษาเหนือ คำว่า ‘ปาง’ แปลว่า ที่พักกลางป่า ส่วนคำว่า ‘อุ๋ง’ แปลว่า ที่ราบต่ำลึกลงไปที่มีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะที่มีน้ำขัง พอรวมกันเลยก็เลยแปลว่า ที่พักกลางป่าที่มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่นั่นเอง ง่อวววว
ไฮไลท์ของปางอุ๋งที่ห้ามพลาดคือการไปชมทะเลหมอกที่จะลอยอยู่เหนือน้ำเป็นบริเวณกว้างไปทั่วทั้งแอ่งน้ำ โดยช่วงเวลาที่แนะนำให้เข้าไปก็คือช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าาาาา แต่ความจริงก็ทำให้ก๊อตหัวเราะทั้งน้ำตาเลย เพราะวันที่ก๊อตไปไม่มีหมอกจ้า คนท้องถิ่นบอกว่า 2-3 วันที่ผ่านมาสภาพอากาศมันร้อนขึ้นเลยทำให้ไม่มีหมอกในหลายๆที่ในแม่ฮ่องสอนรวมถึงปางอุ๋งด้วย แต่ก็นี่แหละคือสีสันของการเที่ยวเพราะอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ที่สำคัญคือเราควรจะยินดีกับทุกโอกาสที่เข้ามา ซึ่งต่อให้วันนี้ปางอุ๋งไม่มีหมอกแต่มันก็ยังคงมีสเน่ห์ความสวยงามในตัวอยู่ดีน่ะแหละ
จุดนึงที่เมื่อเข้ามาในปางอุ๋งแล้วเราควรจะต้องไปให้ได้ก็คือตรงสันอ่างเก็บน้ำที่อยู่ตรงที่ตั้งเต๊นท์ด้านหน้าปางเลย ซึ่งเป็นอีกที่ที่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยอย่างไม่น่าเชื่อ และถ้าใครได้เดินเข้ามาด้านในของปางก็จะได้เจอกับท่าเทียบเรือเล็กๆที่เราสามารถขึ้นไปโพสท่าถ่ายรูปเท่ห์ๆได้ไม่แพ้จุดแรกเลยเช่นกัน อ้อ! เสร็จแล้วอย่าลืมแวะเดินสวนสนที่มีต้นสนเรียงเป็นแถวเต็มไปหมดกันด้วยล่ะ ตรงนี้แหละคือจุดที่ทำให้ปางอุ๋งได้ขึ้นชื่อว่าเป็น สวิสเมืองไทย ที่แท้ทรูจริงๆ
นอกจากการเดินชมวิวแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้เรานั่งแพชมวิวรอบปางอุ๋งในอีกมุมมองอีกด้วย ใช้เวลาประมาณ 25 นาที นั่งได้ 2 คนต่อ 1 แพ ราคา 150 บาทเท่านั้นเอง ถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับวิวสวยๆที่เราจะได้เห็นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
และถ้าใครสังเกตดีๆ ที่ปางอุ๋งจะมีหงส์ขาวและดำอย่างละคู่ประจำอยู่ที่นี่ด้วยนะ ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ว่าหงส์ทั้ง 4 ตัวนี้เป็นหงส์พระราชทานจากสมเด็จพระราชินีนาถอีกด้วย
ลุงปาละ คอฟฟี่เฮ้าส์ (Pala Coffee House)
ต้องบอกเลยว่าความโหดของการมาปางอุ๋งมันอยู่ที่ 4 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึงหมู่บ้านรวมไทยนั่นแหละ ทั้งโค้งหักศอก ทางชัน และถนนแคบ ถูกรวมไว้ตรงช่วงนี้หมดเลย แต่ก็อย่าตกใจไปนะ ถ้าขับรถด้วยความไม่ประมาทก็ไม่อันตรายมากเพราะนี่ผ่านมาแล้ว สำคัญที่สุดคือ มีสติขณะขับขี่นะจ๊ะ
หมู่บ้านรวมไทย เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าปางอุ๋ง มีลักษณะเป็นแหล่งชุมชนขนาดเล็กที่มีถนนผ่ากลางคล้ายกับถนนคนเดิน ตลอดระยะทาง 300 เมตรจะมีร้านค้าขายอาหารของชาวบ้านที่เราสามารถเลือกซื้อกันได้ตามใจชอบ ซึ่งหนึ่งในร้านที่ต้องห้ามพลาดแวะชิมก็คือ กาแฟสด ลุงปาละ คอฟฟี่เฮ้าส์ ที่ตั้งอยู่เป็นบ้านหลังแรกทางซ้ายมือจากทางเข้าของหมู่บ้าน จุดเด่นของกาแฟสด คุณลุงปาละ คือ เมล็ดกาแฟที่นี่จะถูกคั่วเองกับมือจนกลายเป็น ตำนานกาแฟสดแห่งปางอุ๋ง เลยทีเดียว ว่ามาขนาดนี้แล้วก็ต้องชิมแล้วล่ะ ลุยยย
เมนูที่ก๊อตชิมคือ Original Pala Coffee Style (50 บาท) โดยรวมแล้วถือว่าดีตามสไตล์กาแฟไทยที่จะต้องมีกลิ่นหอม รสชาติเข้มข้น สำหรับคน(อยาก)เฮลตี้อย่างเราถือว่าความหวานอยู่ในระดับกำลังดี ส่วนสายหวานอาจจะต้องเพิ่มไซรัปอีกหน่อย แต่ถ้าใครไม่ชอบกาแฟใส่นม จะสั่ง Americano (ร้อน 40 บาท / เย็น: 50 บาท) ก็ได้นะ รสชาติดีไม่แพ้กัน
นอกจากที่นี่จะเป็นร้านกาแฟสดสไตล์คอฟฟี่เฮ้าส์แล้ว คุณลุงปาละยังเปิดห้องพักแบบโฮมสเตย์เป็นเจ้าแรกๆของหมู่บ้านอีกด้วยแหละ ซึ่งเท่าที่สำรวจหมู่บ้านด้วยสายตามา โฮมสเตย์ที่นี่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีอันดับต้นๆทั้งในเรื่องของห้องพัก ห้องน้ำ และความสะอาดของที่พัก ส่วนเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ขอให้ลืมไปให้หมด เราจะไม่เจอในที่พักใดๆในหมู่บ้านแห่งนี้เลยอย่างแน่นอน เพราะที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เน้นธรรมชาติเป็นหลัก อ่อ! ที่นี่ยังมีซุ้มต้นไผ่ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ด้วยนะ ไปถ่ายรูปกันนนนนน
บ้านรักไทย
บ้านรักไทย จังหวัดแม่ฮ่องสอน – ที่นี่เป็นอีกหมู่บ้านในแม่ฮ่องสอนที่ก๊อตหลงรักมากเลยแหละ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในสไตล์จีนยูนนาน พร้อมทะเลสาบสวยๆกลางหมู่บ้าน ผู้คนท้องถิ่นที่น่ารัก อาหารที่โคตรอร่อย และที่พีคสุดคือหมอกตอนเช้าที่ทำเอาเราหลงใหลและประทับใจมากๆจนถึงตอนนี้ เอาเป็นว่า .. มาเที่ยวเถอะ ไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะก๊อตขอยกบ้านรักไทยเป็นหนึ่งในลิสต์ที่น่าเที่ยวมากที่สุดในแม่ฮ่องสอนเลย ไม่เชื่อลองดู
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ‘บ้านรักไทย’ ที่แม่ฮ่องสอน ถึงมีอัตลักษณ์ของจีนยูนนานผสมผสานอยู่ นั่นเป็นเพราะว่า หมู่บ้านรักไทยแห่งนี้ก่อและเกิดขึ้นจากครอบครัวชาวจีนฮ่อ หรือจีนยูนนาน อดีตกองกำลังทหารคณะชาติ กองพล 93 ‘ก๊กมินตั๊ง’ ที่อพยพลี้ภัยจากจีนและพม่าในช่วงที่จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์นั่นเอง ซึ่งจุดกำเนิดของชุมชนบ้านรักไทยนั้น เกิดขึ้นจากการตั้งรกรากครอบครัวคนจีนฮ่อทั้งหมด 3 ครอบครัวเท่านั้น
จากอดีตตอนนั้น ถึงตอนนี้ บ้านรักไทยได้วิวัฒนาการและถูกพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยหลายคนอยากไป ดังนั้น ใครอยากสัมผัสวัฒนธรรมของคนจีนฮ่อ หรือจีนยูนนาน สามารถมาเที่ยวที่นี่ได้เลย เค้ายังคงเอกลักษณ์ความเป็นจีนยูนนานไว้สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย ภาษา สถาปัตยกรรม บ้านเรือนที่สร้างด้วยดินเหนียวผสมข้าวฟาง รวมถึงอาหารทั้งขาหมูหมั่นโถว และชาเค้าล่ะ
ช่วงเช้าที่บ้านรักไทยคือไฮไลท์ที่สายหมอกไม่ควรพลาด และอาจทำให้เราลืมหายใจไปชั่วขณะ เพราะว่ามันสวยมากกกกก ปกติเราจะเห็นหมอกปกคลุมภูเขา แต่นี่หมอกเหมือนลอยขึ้นมาจากผิวน้ำ แผ่ปกคลุมทะเลสาบทั้งหมด สวยจริงๆ แต่อย่ามองเพลินจนลืมกดชัตเตอร์ด้วยนะ ไม่งั้นอดได้รูปสวยๆกลับไปนะจะบอกให้
ลีไวน์คอฟฟี่
เมื่อไหร่ที่เรามาเที่ยวบ้านรักไทย หากเราไม่แวะมาเที่ยว ‘ลีไวน์รักไทยรีสอร์ท’ ถือว่าพลาดและมาไม่ถึงบ้านรักไทยนะเออ เพราะที่นี่คือไฮไลท์ของบ้านรักไทยแล้ว โดยลีไวน์รักไทยเค้าก็มีหลากหลายส่วนตั้งแต่รีสอร์ทบ้านพัก (ซึ่งจองยากมาก และเราจองไม่ทัน) ร้านกาแฟ ‘ลีไวน์คอฟฟี่’ และ ‘ลีไวน์ อาหารจีนยูนนาน’ ดังนั้น ใครที่จองที่พักไม่ทันแบบก๊อต ไม่ต้องกังวลไป เรายังสามารถเข้ามาเที่ยวได้ทั้งหมดของเค้าเลย
สำหรับ ‘ลีไวน์คอฟฟี่’ นี่ขอยกให้เป็นคาเฟ่ยืนหนึ่งของบ้านรักไทย ด้วยเอกลักษณ์ของดีไซน์ตัวอาคารที่มีสวยและมีความเป็นจีนฮ่อแล้ว วิวของคาเฟ่นี่คือวิวหลักล้าน ที่เราสามารถนั่งจิบกาแฟ มองวิวทะเลสาบและหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามได้อย่างฟินๆ แถมยังสามารถล่องเรือในทะเลสาบได้จากที่นี่เลย (หากใครต้องการ) อันนี้กรี๊ดมาก ดีมากๆ
ใครที่มาแล้ว ก๊อตแนะนำให้เราขึ้นมานั่งชิลด้านบนชั้นสองเนอะ เพราะชั้นสองมีที่นั่งกว้าง เป็นส่วนของคาเฟ่โดยเฉพาะ แยกกับส่วนร้านอาหารนั่นเอง นอกจากนี้ เค้ายังมีมุมโปสการ์ดที่เป็นภาพถ่ายมุมต่างๆ ของบ้านรักไทยด้วย คือสวยมากกกกกก และถ้าถามว่ากาแฟเค้าดีมั้ย? ตอบเลยว่าดี หอมอร่อย ส่วนอีกอันที่เด็ดคือ ‘หมั่นโถวทอด’ และน้ำผึ้งป่ามะนาว ที่คั้นสดๆให้เราทานเลย
ลีไวน์ อาหารจีนยูนาน
อิ่มเอมกับวิวของบรรยากาศบ้านรักไทยจาก ‘ลีไวน์คอฟฟี่’ เรียบร้อยแล้ว ก๊อตแนะนำให้เรามาต่อกับร้านอาหารของเค้า ‘ลีไวน์ อาหารจีนยูนาน’ ได้เลย ซึ่งวิวบรรยากาศบ้านรักไทยจากร้านอาหารก็ดีไม่แพ้ตรงคาเฟ่เลยล่ะ เราสามารถเลือกนั่งเป็นเคาท์เตอร์บาร์ หรือจะนั่งเป็นโต๊ะอาหารใหญ่ๆ ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะนั่งตรงไหน วิวก็ดีงาม แถมอาหารยังอร่อยมากอีกด้วย
สำหรับเมนูอาหารที่แนะนำและดังที่สุดของ ‘ลีไวน์ อาหารจีนยูนาน’ คือ ขาหมูหมั่นโถว ส่วนจานอื่นๆ ที่ก๊อตคิดว่าดีงามมี ผัดซาโยเต้ ก้านเห็ดปรุงรส และเห็ดหอมอบซีอิ้ว
กินตั้งแต่เย็นจนถึงพลบค่ำ กลับมาดูวิวของบ้านรักไทยอีกที คือสวยขึ้นไปอีก บ้านเรือของหมู่บ้านสะท้อนน้ำทะเลสาบคือดีย์ และประทับใจมาก นี่คือรอหมอกตอนเช้าไม่ไหวแล้ว จะสวยปังขนาดไหนน้า ฮ่าๆ
ลีไวน์รักไทยรีสอร์ท
สุดท้าย ก่อนออกจากหมู่บ้านรักไทย อย่าลืมแวะเข้ามาเดินเล่นใน ‘ลีไวน์รักไทยรีสอร์ท’ สำหรับคนที่ไม่ได้เข้าพักที่นี่ เพราะทางรีสอร์ทเค้าก็ใจดีให้คนนอกหรือแขกที่ไม่ได้เข้าพักตัวรีสอร์ท สามารถเข้ามาเดินเล่นได้ตอนสายๆ ที่แขกหลายคนได้เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้ว (ไม่แน่ใจว่าช่วงเวลาไหน แต่ถ้าจำไม่ผิดคือช่วง 9 หรือ 10 โมงเช้าเป็นต้นไป)
ความสวยก็ต้องยกให้เค้าจริงๆ กับบ้านสไตล์จีนยูนนานที่สร้างอยู่กลางทุ่งชาบนเนินเขา ซึ่งนี่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของบ้านรักไทยเลยทีเดียวแหละ เอาจริง แค่ได้ถ่ายรูปก็ฟินแล้ว ยิ่งถ้าเราได้นอนพักด้วยน่าจะดีมากแน่นอน เอาเป็นว่า ครั้งหน้าเมื่อก๊อตมาเที่ยวบ้านรักไทยอีกครั้ง ก๊อตจะไม่พลาดที่เข้าพักที่นี่แน่นอน
ทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอ
ทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอ ตั้งอยู่ที่อำเภอขุนยวม มีพื้นที่กว้างขวางกว่า 500 ไร่ บนความสูงประมาณ 1,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล นับเป็นทุ่งบัวตองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจะบานจนเต็มหุบเขา ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน และมีระยะเวลาการบานเพียงแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น ใครที่อยากมาถ่ายรูปแบบสวยๆ บัวตองบานแบบเต็มที่ กะเวลามากันให้ดีดีนะครับ เพราะระยะเวลาบานของบัวตองสั้นมากๆ 55555
ก๊อตแนะนำให้มาชมดอกบัวตองตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะตอนเช้าบนยอดดอยอากาศเย็น หมอกขาวลอยปกคลุมยอดดอยตัดกับแสงอาทิตย์รุ่งอรุณ โดยมีฉากหลังเป็นทิวเขาสลับซับซ้อนสวยงาม ได้บรรยากาศสุดโรแมนติกไปอีกแบบ
บนดอยแม่อูคอ มีจุดชมวิวและศาลาชมวิวที่นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทุ่งดอกบัวตองได้รอบ 360 องศา ก๊อตบอกเลยว่าสวยมากจริงๆ ความเขียวของภูเขา ความฟ้าของท้องฟ้า ตัดกับความเหลืองของดอกบัวตอง คือดีมาก ลงตัวมากๆ นอกจากนั้นที่นี่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สถานที่กางเต็นท์ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ไว้บริการด้วยนะ
บ้านจ่าโบ่
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชนบ้านจ่าโบ่ หรือมักเรียกกันสั้นๆว่า บ้านจ่าโบ่ ซึ่งเป็นชุมชนชาวเขาที่ตั้งอยู่ใน อ. ปางมะผ้า ตั้งอยู่บนเขาสูงประมาณ 900 ม. บริเวณโดยรอบของหมู่บ้านเป็นเทือกเขาหินปูน บรรยากาศธรรมชาติสุดๆไปเลย ที่นี่นอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามแล้วยังมีวิถีชีวิตชนเผ่าที่น่าสนใจและน่ามาเรียนรู้ คำทักทายของที่นี่จะพูดว่า อาบูดะยา ซึ่งเป็นภาษาของชาวลาหู่หรือมูเซอ ที่แปลว่า สวัสดี น่ารักเนอะ
บ้านจ่าโบ่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นหรือช่วงเย็นตอนพระอาทิตย์จะตก ก็สร้างความประทับใจให้ก๊อตหมด การที่เราได้นั่งมองธรรมชาติแบบเต็มๆตา ได้สูดหายใจลึกๆรับอากาศบริสุทธิ์ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นมากๆ ภาพตรงหน้าที่มีหมอกปกคลุมแผ่รอบเขา นี่สินะที่เรียกว่าการพักผ่อนที่แท้จริง
ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่
เมื่อพูดถึงบ้านจ่าโบ่ ร้านที่เราต้องห้ามพลาดเมื่อมาก็คือ ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ซึ่งเป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่ เพราะนอกจากจะมีก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยในราคาหลักสิบให้ได้ทานแล้ว มองไปรอบๆ จะเห็นว่าตั้งอยู่ในมุมที่เหมาะเจาะมองเห็นภูเขาที่สวยงามสลับซับซ้อน และในเวลาเช้าร้านนี้ก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มารอชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น ได้ทั้งอิ่มท้องและยังได้ฟินกับบรรยากาศอีก คุ้มกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ก๊อตแนะนำให้มาช่วงเช้าๆ เพราะจะได้เห็นหมอกชัดๆและอากาศไม่ร้อนเกินไป อีกอย่างถ้ามาสายอาจไม่ได้ชิมก๋วยเตี๋ยวก็ได้นะครับ เพราะของอาจจะหมดก่อน มาเช้าๆปลอดภัยฮะ ได้กินแน่นอน
ปาย
เมื่อพูดถึงแม่ฮ่องสอน ปาย จะเป็นอำเภอแรกๆที่หลายคนนึกถึง อาจเพราะดังมาจากหนังไทยเรื่องนึง เลยทำให้ ปาย ณ ตอนนั้นเป็นสถานที่ที่หลายคนต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต แต่ตอนนี้ก็ใช่ว่าปายจะถูกลืมหรือคนไปเที่ยวหาน้อยลงนะ เพราะถ้ามาแม่ฮ่องสอน ปายก็ยังเป็น 1ในลิสต์ที่ต้องห้ามพลาดเสมอ
ปาย เมืองสุดโรแมนติกยอดฮิต ตั้งอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมืองเล็กๆ น่ารักที่ได้รับความนิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวของปายที่ดึงดูดให้หลายคน ยอมฝ่าด่านพิชิตเจ็ดร้อยกว่าโค้ง เพื่อมาสัมผัสสายหมอกและลมหนาว ท่ามกลางบรรยากาศของขุนเขา ที่โอบล้อมเมืองเล็กๆ แห่งนี้เอาไว้ เราไปชมกันว่า ปาย จะมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง
โขกู้โส่ หรือ สะพานบุญ
โขกู้โส่ หรือ สะพานบุญ ที่นี่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแรกๆในเมืองปายเลย เริ่มแรก ชาวบ้านเค้าไม่ได้ทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรอกนะ แต่สะพานบุญนี้เกิดขึ้นมาได้จากความศรัทธาของชาวบ้าน ‘บ้านแพมบก’ ที่ต้องการสร้างสะพานไม้ไผ่จากถนนสายหลักลัดเข้าไปยังพุทธอุทยานห้วยคายคีรีที่ตั้งอยู่ด้านในสุดตรงชายป่า เพื่อความสะดวกต่อพระที่เดินออกมาบิณฑบาตรได้ง่าย ไม่ต้องเดินลุยโคลนหรือพื้นแฉะในหน้าฝนนั่นเอง โดยช่วงที่แนะนำให้มาเที่ยวคือช่วงปลายฝนต้นหนาว เดือนกันยายน-พฤศจิกายน ที่ทุ่งนาเขียวขจีพร้อมเก็บ
โขกู้โส่ เป็นภาษาไทยใหญ่ คำว่าโข แปลว่าสะพาน และ กู้โส่ แปลว่า กุศล หรือ บุญ แปลเป็นภาษาไทยว่า สะพานบุญโขกู้สุ่ย
สะพานบุญโขกู้สุ่ย มีความยาวทั้งหมด 815 เมตร สูงจากพื้นดินประมาณ 1-2 เมตร สร้างขึ้นจากโครงปูนและเหล็ก ใช้ไม้ไผ่สานเป็นพื้นด้านบน กว้างประมาณ 1 เมตร สองฟากฝั่งทางเดินจะเป็นนาข้าวสุดกว้างไกล ซึ่งถือว่าเป็นสะพานไม้ไผ่อีกแห่งหนึ่งที่มีความสวยงามและยาวมาก
เดินตามสะพานไปด้านในสุดจะเจอกับสำนักสงฆ์ห้วยคายคีรีมฤคทายวัน
กองแลน (ปายแคนยอน)
คำว่ากองแลนมาจาก ‘กอง’ และ ‘แลน’ คำว่ากองหมายถึงถนนหนทาง ส่วนคำว่าแลนหมายถึงตะกวด เอามารวมกันเป็นถนนหนทางของตะกวดที่ใช้สัญจร (ใช่หรอวะ) แต่ภาษาพื้นเมืองคืออย่างนี้จริงๆนะเว้ย ฮ่าๆ ที่นี่มีชื่อภาษาอังกฤษอีกชื่อว่า ‘ปายแคนยอน’ เพื่อให้ชาวต่างชาติเรียกได้ง่ายๆ เพราะที่นี่ถือเป็นสถานที่เที่ยวที่เค้าต้องมาอันดับต้นๆเลย เพราะเค้าจะมาปีนป่ายไปตามทางเดินของภูเขาแคบๆไปเรื่อย เอาดีๆ คือ ถ้าคิดจะปีน อาจจะเสียวบ้าง ดังนั้นต้องระมัดระวังกันหน่อย เพราะทางเดินบางช่วงนั้นค่อนข้างอันตราย
ส่วนมากมีแต่ฝรั่ง ส่วนคนไทยส่วนมากจะยืนสวยๆตรงทางเข้า ไม่กล้าเดินหรือเข้าไปลึกๆ แต่เราก็เดินเข้าไปนะ แหม มาทั้งที.. ใครจะปีนหรือจะเดินเข้าไปก็ต้องดูสังขารและดูตัวเองด้วยเพราะทางแคบและลื่นมากก สำหรับช่วงเวลาที่เค้าฮิตมาเที่ยวปายแคนยอน คือช่วงเย็นเพื่อมาดูพระอาทิตย์ตกดินเนอะ
กองแลนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการถูกกัดเซาะของลมและฝน จนกลายเป็นทางเส้นเล็กๆบนสันเขา ท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อน
สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย
สะพานนี้ดูแล้วคลับคล้ายกับสะพานข้ามแม่น้ำแควในกาญจนบุรีเลยว่ะแกร แต่จะว่าไป ประวัติของสะพานที่นี่ก็มีเรื่องราวไม่แพ้กัน
เริ่มต้นเรื่องราวในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง (พ.ศ. 2484) เมื่อญี่ปุ่นได้เคลื่อนกำลังพลเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ทีนี้เนี่ย.. ญี่ปุ่นต้องการลำเลียงเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์เพื่อเข้าโจมตีพม่า แต่เส้นทางค่อนข้างลำบาก แถมยังมีแม่น้ำปายกั้นระหว่างทางอีก ญี่ปุ่นเลยเกณฑ์ชาวบ้านสร้างสะพานจากไม้ซุงขึ้น แต่พอสงครามจบลงในปี 2489 ญี่ปุ่นถอยทัพกลับดันเผาสะพานนี้ทิ้งไปด้วยสะงั้น จากการที่มีสะพานข้ามลำน้ำปายที่ชาวบ้านใช้สัญจรข้ามไปมากลับกลายเป็นไม่มี ชาวบ้านก็ต้องสร้างสะพานไม้ขึ้นใหม่มาทดแทนสะพานอันเก่าที่ญี่ปุ่นเผาไป
ยัง ยัง เรื่องยังไม่จบ ในปี 2516 เกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ พัดเอาสะพานไม้ที่ชาวบ้านสร้างพัดหายไปหมดเลยจ้าาา ตายแล้ววว สะพานไม้ท่าจะไม่โอเค ดังนั้นชาวบ้านจึงขอสะพานเหล็ก ‘นวรัฐ’ สะพานเหล็กที่ไม่ใช้แล้วจากเมืองเชียงใหม่ ย้ายมาประกอบและสร้างทดแทนอันเดิมที่นี่จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันเนี่ยแหละเธอ แต่เค้าไม่ใช้สะพานนี้ในการสัญจรแล้วนะ เค้ามีสะพานปูนขนาบข้างแทน สะพานนี้จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแทน
โป่งน้ำร้อนท่าปาย
โป่งน้ำร้อนท่าปายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังแหละ มีอุณหภูมิบนผิวดินประมาณ 80-100 องศา กิจกรรมหลักนอกจากการแช่บ่อน้ำแร่กับการต้มไข่ ที่นี่สามารถมากางเต็นท์นอนได้ด้วย สำหรับใครที่อยากจะแช่บ่อน้ำร้อนก็มาแช่ได้ (แต่นี่ไม่ได้แช่แหละ) แนะนำเลี่ยงวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะคนเยอะมาก ส่วนบ่อน้ำร้อนแบ่งเป็นหลายๆบ่อเล็ก หลายระดับความร้อนตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น ยิ่งเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งร้อนขึ้นเลยล่ะ ใครที่มาอย่าลืมเอาไข่มาด้วย เพราะที่นี่เค้านิยมมานั่งต้มไข่กันในบ่อนั่นเอง 5555
หากต้องการจะต้มไข่ แนะนำให้ซื้อไข่มาจากข้างนอกรวมถึงภาชนะใส่ไข่ตอนต้ม เอาแบบมีหูหิ้วที่สามารถเอาไม้เกี่ยวได้มาด้วย เพราะถ้ามาซื้อที่นี่เราว่ามันค่อนข้างแพงแหะ สนนราคา 3 ลูก 25 บาท ตกลูกละ 8 บาทเลยนะเฟ้ย แต่ที่ดีคือเค้าใส่ตะกร้าไม้สานมาเรียบร้อย แต่ถ้าขี้เกียจก็มาซื้อที่นี่เหมือนเราก็ได้จ้าาาา ฮ่า
ทริคการต้มไข่ในบ่อน้ำร้อนคือ จุ่มลงทั้งตระกร้า แช่ในบ่อน้ำร้อนประมาณ 20 นาที มันไม่สุกเกินไป อร่อยกำลังดี ฮ่า (อร่อยกว่าต้มหม้อที่บ้านอีก อันนี้อาจจะคิดไปเอง)
ถนนคนเดินเมืองปาย
ถนคนเดินเมืองปายนี่ก็อยู่ในตัวเมืองเลย เค้าก็จะเริ่มตั้งร้านตั้งแต่ตอนเย็นช่วง 5-6 โมงยาวจนถึงสามทุ่ม ทีนี้เนี่ย ด้วยความที่เมืองปายตอนนี้ นักท่องเที่ยวเป็นชาวต่างชาติสะส่วนใหญ่ บาร์ ร้านอาหารฝรั่ง รวมถึงของขายที่เน้นขายฝรั่ง อย่างพวกเสื้อผ้า สร้อย กำไรข้อมือฟีลชาวเขาเยอะมว๊ากกก แล้วทุกร้านคือป้ายเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทยไม่ค่อยมีเล้ย
ถนนคนเดินปายที่นี่จะไม่ค่อยยาวเท่าไหร่ ร้านค้าจะไม่ค่อยหนาแน่นเหมือนที่อื่น ก็แหมม .. เมืองปายก็ไม่ได้ใหญ่เนอะ เดินแปปเดียวก็หมดแล้ว แต่ที่ชอบคือบรรยากาศของถนนคนเดินปายนี่แหละที่ฟีลกู๊ดดี ฝรั่งเยอะ เฮฮาปาจิงโกะดีอยู่น้า
จุดชมวิวหยุนไหล
มาปายใช่ว่าจะดูทะเลหมอกไม่ได้ ใครอยากดูทะเลหมอกให้มาที่นี่กับจุดชมวิวหยุนไหล แนะนำให้ตื่นตีห้าบึ่งจากปายไปหมู่บ้านสันติชลประมาณ 20 นาทีแล้วต้องต่อรถสองแถวของชาวบ้านที่นี่ขึ้นไปบนจุดชมวิว เค้าไม่ให้เอารถส่วนตัวขึ้นเองว่ะแกร อันนี้ก็ไม่รู้ โดยเหมารถขึ้นและลง 300 บาท ตอนที่นี่ไปคือมี 3 คน ก็ตกคนละ 100 บาทแน่ะ พอถึงที่จอดรถด้านบนแนะนำให้จำป้ายทะเบียนและขอเบอร์โทรศัพท์ของคนขับไว้ เดินเข้าไปต้องเสียอีกคนละ 20 บาท เมื่อเราฟินกับหมอกหรือเที่ยวข้างบนเสร็จพร้อมที่จะลงให้โทรหาเค้าให้มารับได้เลย
ข้างบนเค้าจะมีร้านขายของที่ระลึกรวมถึงข้าวต้ม หมั่นโถว ซาลาเปา ปาท่องโก๋ และชา กาแฟอีกด้วย ทีนี้ถ้าจะกินไปด้วยดูหมอกไปด้วยก็ได้ เพราะเค้ามีที่นั่งหันหน้าเข้าวิวที่พระอาทิตย์ที่ขึ้นเลย
เค้าบอกว่าที่นี่เป็นหนึ่งใน 100 สถานที่ที่ไว้บอกรัก และเป็นหนึ่งใน 20 สถานที่ขอแต่งงานในไทยด้วยนะก๊ะ ใครมีแฟนที่มีความคิดอยากจะขอเค้าแต่งงาน มาเที่ยวที่นี่อาจจะต้องขอเค้าแต่งซะแล้วววว
หมู่บ้านสันติชล
หากลงมาจากจุดชมวิวหยุนไหลแล้ว ให้เที่ยวต่อที่หมูบ้านสันติชลต่อได้เลย ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเกือบปิดเพราะปัญหายาเสพติดทำให้คนภายนอกไม่กล้าเข้าไปเที่ยวในชุมชน ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวได้หมดไปหลังนโยบายปราบปรามยาเสพติดตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา เมื่อเข้ามาในหมู่บ้านบรรยากาศ เหมือนเราได้ก้าวเข้ามาสู่ ประเทศจีน เลย เนื่องจากลักษณะของการตกแต่งสถานที่จะเป็นสไตล์จีนยูนนานทั้งหมด เราสามารถเดินเล่น และซื้อของฝากได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ถ่ายรูปสวยๆก็พอ ฟีลโดยรวมเหมือนอยู่เมืองจีนสมัยก่อนจริงๆ
และทั้งหมดนี้ก็คือทั้งหมดของการเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอนแหละ เอาเป็นว่า หากเรานึกถึงการเดินทาง ให้นึกถึง Traveloka นะครับ แอพเดียวจบจริงๆ จะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวของเราสะดวกและสบายมากขึ้น ไม่เชื่อ ลองใช้ Traveloka ได้เลย!