ลาดพร้าว คือย่านที่ก๊อตคุ้นเคยมากที่สุดในชีวิตแล้วแหละ เพราะก๊อตอยู่ลาดพร้าวมาตั้งแต่เกิดจนโต (และตอนนี้ก็ยังอยู่) อยู่มาโคตรนานแต่ดั๊นไม่ค่อยจะได้เที่ยวคาเฟ่แถวลาดพร้าวซักเท่าไหร่ ด้วยความที่มันอยู่ใกล้เกิน ก็เลยอาจจะมองข้ามไปบ้างแหละ 5555
ด้วยความที่ช่วงโควิดนี้ ไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไหร่ มองไปรอบๆ ตัวกับย่านลาดพร้าวถึงกับเซอร์ไพรส์ เพราะคาเฟ่ในย่านลาดพร้าวนี่เปิดใหม่เพียบเลย แถมแต่ละร้านก็เจ๋งสุด เพราะเค้ามีคอนเซปต์เป็นเอกลักษณ์และไม่ซ้ำกัน มาคิดดูอีกทีแล้วทำให้ก๊อตรู้สึกว่าย่านลาดพร้าวเนี่ยโคตรคูลเลย มีหลายร้านคาเฟ่ดีๆ เหมาะกับการชวนเพื่อนไปถ่ายรูป กินขนมอร่อยๆ ด้วยกัน หรือถ้าใครอยากจะหาที่นั่งทำงานชิลๆ คาเฟ่ในลาดพร้าวก็ตอบโจทย์ รอบนี้ก๊อตเลยจะมารีวิวคาเฟ่ย่านลาดพร้าวจากเด็กลาดพร้าวให้ทุกคนดู ซึ่งจะมีร้านไหนที่โดนใจก๊อตบ้าง ตามก๊อตไปกันเล้ยย
5 คาเฟ่ถ่ายรูปเก๋ๆ ย่านลาดพร้าว
1. Kraft Kafe
2. LIEBE CAFÉ
3. Slōlē Cafe & Garden
4. Maysa BKK
5. Plant me on the Moon
Kraft Kafe
Kraft Kafe คาเฟ่สไตล์ Industrial Loft ในย่านนาคนิวาส ที่มีความเท่ ขรึม และโดดเด่นมาก ร้านนี้เปิดมา 3 ปีแล้วแต่ก็ยังคงเป็นคาเฟ่ที่มีลูกค้าเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ด้วยการตกแต่งที่มีเอกลักษณ์ ส่วนมากนั้นจะตกแต่งด้วยสีดำเทา เป็นปูนเปือย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ที่นี่ดูทึบหรือมืดเลยนะ ด้วยความที่ร้านนี้เค้ามีกระจกบานใหญ่ที่ทำให้มีแสงลอดผ่านเข้ามาได้ตลอดวัน ช่วยทำให้ในร้านดูโล่ง โปร่ง สบายมากเลยแหละ
ร้านนี้มีที่นั่งเยอะมากกกก ทั้งบริเวณที่เป็นอินดอร์ และ เอ้าท์ดอร์ โซนข้างในร้านเหมาะกับการมานั่งทำงานแบบสุดๆ แอร์เย็นสบาย มีปลั๊ก และมี Wifi แถมคนก็ไม่พลุกพล่านด้วยนะเออ ส่วนบริเวณเอ้าท์ดอร์นอกร้านก็สามารถนั่งได้เช่นกัน ข้างนอกเนี่ยเค้าปลูกต้นไม้เยอะม๊ากกก แถมแต่ละต้นก็เป็นต้นไม้ฮิตๆ ด้วยนะ ทำให้บรรยากาศบริเวณนี้ดีมากทีเดียวเลยล่ะ เวลาที่ได้ไปนั่งแล้วรู้สึกร่มรื่นและผ่อนคลายมากจริงๆ
จุดที่ทำให้ร้านดูมีจุดเด่นขึ้นมาคือกำแพงทุบที่อยู่บริเวณภายในร้านที่เพิ่มความดิบและเท่มากขึ้นกับสไตล์ Industrial Loft ที่ไม่ได้จบแค่กำแพงขัดเปลือย ซึ่งนี่ก๊อตรู้สึกว่ามันเป็นความแตกต่างที่ลงตัวอย่างบอกไม่ถูกเลยแหละ
ร้านนี้มีเมนูทั้งน้ำและขนมให้เลือกมากมายเลย ที่โดดเด่นมากจะเป็นกาแฟเอสเพรสโซ่ ซึ่งก๊อตเองก็ได้สั่งมาถึง 2 เมนู คือ Kraft Koffee Tonic (120 บาท) ซึ่งเป็นเมนู Signature ของร้านเลยนะ เค้าใช้โซดารสเลม่อนมาเติมช็อตเอสเพรสโซ่ลงไป ใครง่วงๆ อยู่ดื่มแก้วนี้เข้าไปนี่ตื่นเลยล่ะ เพราะรสชาติมีหลายมิติมาก ดื่มเข้าไปตอนแรกจะได้รับความเปรี้ยวซ่าของเลม่อนโซดาก่อน และหลังจากนั้นจะได้รับรสชาติของความเข้มข้นของกาแฟตามมา ถือว่าเป็นเมนูที่ต้องมาลองเลยล่ะ!
อีกเมนูคือ Black Orange (90 บาท) กาแฟเอสเพรสโซ่ช็อตราดลงบนไซรัปน้ำส้มเข้มข้น เมนูนี้ใครที่ไม่ชอบดื่มกาแฟก็สามารถดื่มได้เลยนะ เป็นเมนูที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงความขมของกาแฟเลย เพราะความหวานของน้ำส้มเข้มข้นมันเด่นขึ้นมา ดื่มไปแล้วจะมีรสกาแฟที่ปลายลิ้นเบาๆ ใครที่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้กาแฟแต่รู้สึกอยากได้รับคาเฟอีนเข้าร่างกายบ้างก็ต้องลองเมนูนี้เลย ซึ่งนอกจากกาแฟแล้ว Kraft Kafe ก็ยังมีเมนูอื่นๆ ที่ไม่ใส่กาแฟที่น่าสนใจหลายเมนูเลย เช่น อิตาเลียนโซดา, โกโก้, ชาเขียว และอีกหลายเมนูเลย
คาเฟ่นี้มีขนมหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นมัฟฟิน, บราวนี่, ชีสเค้ก, เค้กช็อคโกแลต และสโคน หรือถ้าใครไม่ใช่สายของหวานและอยากทานอะไรที่อยู่ท้องหน่อย ทางร้านก็แนะนำเป็น Clabatta Egg และ Charcoal Truffle Bun หน้าตาน่าทานมากและดูจะได้เยอะด้วยนะเออ แต่สำหรับก๊อตแล้วกาแฟขมๆ ต้องคู่กับขนมหวานๆ อย่างแน่นอน ก๊อตสั่งมากเป็น Strawberry Cheesecake (120บาท) บอกก่อนเลยว่าก๊อตเป็นคนชอบทานชีสเค้กมากเลยเว่ยย
ชีสเค้กที่นี่ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เนื้อชีสเค้กละเอียดหนึบและหวานกำลังดี ตัวครัมเบิ้ลด้านล่างถ้ากรอบอีกนิดคงทำให้ชีสเค้กเนื้อสัมผัสที่มีมิติกว่านี้ได้อีก ส่วนตัวซอสด้านบนราดมาให้ค่อนข้างเยอะทีเดียว ส่วนตัวคิดว่ารสชาติมันออกหวานไปหน่อย ถ้าลดปริมาณลงหรือทำให้เปรี้ยวขึ้นกว่านี้ได้นิดนึง สตอร์เบอร์รี่ชีสเค้กชิ้นนี้จะลงตัวสุดๆ เลย
ร้านนี้โดยรวมแล้วบรรยากาศค่อนดี ร้านนั่งสบายและคนไม่พลุกพล่านมาก มีอินเตอร์เน็ต Wifi และ ปลั๊กไว้ให้พร้อมนั่งทำงาน ใครที่เบื่อบ้านแล้วกำลังหาร้านนั่งทำงานก๊อตก็แนะนำให้มาที่นี่เลยย
LIEBE CAFÉ
ต้องบอกว่าพักหลังๆ มานี่ ย่านโชคชัย 4 มีคาเฟ่เปิดใหม่มากมายเลย ซึ่งหนึ่งในคาเฟ่เปิดใหม่ในย่านนี้ก็คือ LIEBE CAFÉ คาเฟ่ขนาดกระทัดรัดสไตล์มินิมอลแบบเกาหลี ตกแต่งร้านออกมาด้วยโทนสีขาวและน้ำตาล ทำให้รู้สึกว่าเป็นคาเฟ่ที่มีความน่ารักและมีความอบอุ่นในเวลาเดียวกัน ภายในร้านแบ่งเป็นโซนเคาท์เตอร์ และโซนที่นั่ง ซึ่งที่นั่งค่อนข้างเยอะเลย สามารถนั่งได้ทั้งชั้น 1 และชั้น 2 เลย ส่วนเค้าเตอร์ของร้านก็นั่งได้เช่นกันนะจ้ะ ใครได้นั่งตรงนี้ก็จะได้เห็นขั้นตอนการทำกาแฟของเค้าทั้งหมดเลยล่ะ
คำว่า LIEBE อ่านว่า ‘ลิเบอ’ เป็นคำบอกรักในภาษาเยอรมัน โดยมีคอนเซปต์ที่ว่าใครที่ได้เข้ามาที่ร้านนี้ก็จะต้องหลงรักทั้งร้านและทุกๆ เมนูของที่นี่อย่างแน่นอน ❤️
ร้านนี้โดดเด่นมากในเรื่องของกาแฟ เค้าใช้เมล็ดกาแฟของไทย ที่ส่งตรงมาจากดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ และเมล็ดกาแฟที่นำเข้าจากต่างประเทศด้วย ส่วนมากจะเป็นกาแฟของร้านนี้จะเป็นกาแฟคั่วกลางๆ รสชาติกาแฟจะเบาๆ ไม่เข้มมาก ทานง่าย แต่ยังคงเอกลักษณ์ความหอมของกาแฟไว้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวไม่ว่าจะกาแฟที่ได้จากเครื่องเอสเพรสโซ่ กาแฟดริป หรือ Cold Brew ก็ดึงรสชาติของกาแฟออกมาได้อย่างเต็มที่มากๆ เมนูคลาสสิคอย่างลาเต้ร้อนของที่นี่ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว Late Art บนฟองนมนุ่มๆ เค้าก็ทำออกมาได้น่ารักและมีหลากหลายลายด้วยนะ
สำหรับเมนูที่ก๊อตสั่งนั้นมี Iced Ich Liebe Dich (120 บาท) เป็นเมนูซิกเนอเจอร์ของทางร้านที่แปลว่า “ฉันรักคุณ” ชงด้วยกาแฟ Cold Brew ที่ได้รสชาติกาแฟเต็มๆ ทานกับครีมนมนุ่มๆ ซึ่งวิธีการดื่มแก้วนี้คือให้เราดื่มเป็นเลเยอร์จากชั้นที่เป็นครีมนมด้านบนค่อยๆ ไล่ระดับไปทานถึงชั้นกาแฟ เมื่อดื่มไล่เลเยอร์เสร็จแล้วให้คนให้ชั้นนมกับชั้นกาแฟนั้นเข้ากันเพื่อรับประสบการณ์การดื่มกาแฟแก้วนี้ในอีกรูปแบบหนึ่ง ถือว่าเป็นอีกเมนูหนึ่งที่ทางร้านคิดมาดีมากเลยล่ะ รสชาติก็เรียกว่าหลากหลายมิติมาก ได้รับทั้งความหวานหอมแบบคาราเมลและช็อคโกแลต มีกลิ่นของถั่วอ่อนๆ และตัวที่ทำให้แก้วนี้อร่อยมากขึ้นคือโรสแมรี่สดที่คอยดึงทั้งกลิ่นและรสชาติให้ออกมาได้อย่างละมุนสุดๆ เป็นกาแฟแก้วที่ทำให้รู้สึกหลงรักได้ตามชื่อเมนูเลยจริงๆ
ก๊อตเป็นคนชอบทานมะพร้าวมากเลยทุกคน วันนี้เลยสั่ง The Coconut Cold Brew (89 บาท) มาเค้าใช้เมล็ดกาแฟซิงเกิลออริจิ้นจากดอยสะเก็ดมาทำการ Cold Brew ด้วยน้ำมะพร้าวน้ำหอมที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลเลย ทำให้แก้วนี้ยังคงความหอมหวานธรรมชาติจากน้ำมะพร้าวแท้อยู่ผสมผสานกับความเข้มข้นของกาแฟ สำหรับคนรักมะพร้าวแบบก๊อตแล้วนี่คือว่าประทับใจสุดๆ ไปเลย ❤️
ความประทับใจไม่หมดเพียงเท่านี้ ก๊อตประทับใจในเบเกอรี่ของที่นี่มาก เพราะเค้าทำขนมเอง โดยอบขนมใหม่ทุกวัน และใส่ใจทำเองหมดเลยทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกซื้อวัตถุดิบจนไปถึงขั้นตอนจัดจานเสิร์ฟให้แก่ลูกค้า โดยเค้กของเค้ามีหลายแบบมาก ซึ่งนี่เลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียวแหละ
ด้วยความที่ก๊อตเป็น Cheesecake Lover นี่เลยไม่พลาดที่จะสั่ง Basque Burnt Cheesecake (85 บาท) ชีสเค้กหน้าไหม้เนื้อเนียนนุ่ม รสชาติหวานมันละลายในปาก ส่วนตัวก๊อตว่าหวานไปนิดนึง แต่ก็ยังถือว่าเป็นชีสเค้กที่อร่อยใช้ได้เลยหล่ะ มาต่อกันที่
Supreme Chocolate Tart (85 บาท) ทาร์ตช็อคโกแลตเข้มข้น ข้างบนเป็นครีมสัมผัสนุ่มเบาเหมือนเนื้อโฟมโรยด้วยผงโกโก้รสเข้ม ตัวเนื้อช็อคโกแลตฉ่ำหนึบกำลังดี ไม่หวานและขมจนเกินไป ส่วนตัวทาร์ตมีความกรุบกรอบ เมื่อทานรวมกันในคำเดียวคือฟินมากอ่ะ เป็นเมนูเบเกอรี่ที่ก๊อตชอบมากที่สุดเลยย
เบเกอรี่ไม่หมดเพียงเท่านี้ สาวกมะพร้าวจะต้องถูกใจเมนู Raffaello Cake (75 บาท) แน่นอน เป็นเค้กที่มีส่วนผสมของไวท์ช็อคโกแลต สอดใส่ด้วยเนื้อมะพร้าวชิ้นโต และราดด้วยครีมมะพร้าวและอัลมอนด์ด้านบน เป็นเค้กที่มีกลิ่นมะพร้าวเด่นมากๆ เนื้อเค้กฟูไม่ร่วนและแห้งเกินไป แถมรสชาตินี่หวานกำลังดีเลยหล่ะ
เค้กอีกตัวที่ได้ลองทานเป็น Salted Caramel Cake (65 บาท) เค้กเนื้อสปอนจ์ ที่มีความหอมหวานของคาราเมล รสชาติกำลังดีทานได้เรื่อยๆ ครีมที่ปาดด้านบนนั้นปาดมาในปริมาณที่กำลังดี เวลาทานไปแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเลี่ยนเลยล่ะ
LIEBE CAFÉ เป็นคาเฟ่ที่ทำให้ก๊อตรู้สึกเซอร์ไพรซ์ได้ตลอดเลย ที่แรกเห็นหน้าร้านเล็กๆ แต่ข้างในนี่จัดโซนต่างๆ ไว้ได้ลงตัวดีมากเลย และในร้านนี่ไม่ว่าจะไปยืนถ่ายรูปตรงไหนก็เก๋หมดเลย เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ก๊อตสัมผัสได้ถึงความพิถีพิถันและความตั้งใจของบาริสต้าผ่านกาแฟทุกแก้วของเค้า และเบเกอรี่ทุกจานเลยด้วย ใครเป็นสายกาแฟกับสายเบเกอรี่ต้องหลงรักร้านนี้มากแน่ๆ เลยหล่ะ 😆
Slōlē Cafe & Garden
ยังอยู่กันที่ย่านโชคชัย 4 เหมือนเดิม ถ้าร้านเมื่อกี้ยังถ่ายรูปเล่นได้ไม่จุใจ ก๊อตจะพามาร้านที่มีมุมถ่ายรูปเยอะที่สุด ที่นี่คือ Slōlē Cafe & Garden คาเฟ่ลับในซอยเล็กๆ ที่เปิดคู่กับสตูดิโอถ่ายภาพ ที่นี่เป็นร้านของคุณตุ้ย ผู้กำกับภาพที่หลงใหลในสเน่ห์ของกาแฟและช็อคโกแลต ลองคิดค้นสูตรต่างๆ ด้วยตัวเอง รวมถึงได้สะสมอุปกรณ์การทำกาแฟมาเรื่อยๆ เลยตัดสินใจนำสิ่งที่สิ่งที่ตัวเองสนใจและทำได้ดีอย่าง เครื่องดื่มสุดโปรดและอาชีพสุดรักมาเปิดเป็นร้านนี้ขึ้นมา
บริเวณรอบร้านนี้กว้างม๊ากกกก การตกแต่งจะออกแนววิเทจแบบผู้ดีอังกฤษ เน้นใช้สีขาวกับสีน้ำตาล และมีลูกเล่นต่างๆ ตามประตู พื้น และของตกแต่งอื่นๆ ซึ่งที่นี่มีหลายโซน การตกแต่งเลยมีหลายแบบเลย และความดีงามคือทุกโซนมันถ่ายรูปออกมาสวยหมดเลยเว้ย ยิ่งโซนเอ้าท์ดอร์ของที่นี่เนี่ยเค้าจัดเต็มมากเลยแหละ เค้าจะเปลี่ยนธีมไปตามซีซั่นต่างๆ อย่างช่วงที่ก๊อตไปเนี่ยเป็นธีมซัมเมอร์ ตรงสระน้ำก็จะตกแต่งด้วยลูกบอลหลากสีสันและห่วงยางฟลามิงโก้ยักษ์สีชมพู ทำให้ที่นี่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาและได้ฟิลซัมเมอร์สุดๆ ไปเลย
อย่างที่ก๊อตได้บอกไปว่าเจ้าของร้านนี่เค้าหลงสเน่ห์ของกาแฟและช็อคโกแลตมากเป็นพิเศษ เครื่องดื่มแนะนำของที่นี่จะเป็นเมนูชื่อ Lazy Afternoon หรือว่า Dirty Coffee (95 บาท) ที่หลายๆ คนรู้จักกันนั่นเอง เมนูนี้คือดีมากเลยชั้นที่เป็นนมมีความหอมมัน กลมกล่อม และชั้นที่เป็นกาแฟก็รสชาติกำลังดี ไม่เข้มหรืออ่อนเกินไป พอดื่มไปเรื่อยๆ แล้วมันเป็นเครื่องดื่มที่ลงตัวมากเลยทีเดียว
ส่วนอีกเมนูที่ก๊อตสั่งจะเป็น Chocolate & Matcha (95 บาท) เป็นการผสมผสานกันระหว่างช็อคโกแลตเข้มข้นกับชาเขียวเข้มข้น บอกเลยว่าเข้มเจอเข้มแต่ลงตัวมากๆ เป็นเมนูที่ดึงรสชาติของช็อคโกแลกับชาเขียวออกมาให้โดดเด่นได้ทั้งคู่แบบลงตัวที่สุดเลยอ่ะ
ในส่วนของเบเกอรี่นั้นโดยปกติที่นี่จะมีเป็นเมนูเค้ก, บราวนี่ และเมนูอื่นๆ หมุนเวียนกันไป แต่วันนี้ก๊อตได้สั่งเป็น ครัวซองต์ชิ้นใหญ่ (150 บาท) เสิร์ฟคู่กับเนยสด อัลมอนด์สไลด์ และผลไม้สด ส่วนตัวคิดว่าครัวซองต์นั้นก็รสชาติโอเคนะ ถ้าเนื้อสัมผัสมันกรอบนอกนุ่มในกว่านี้ก็คงจะลงตัวได้มากกว่านี้ ส่วนเมนูเบเกอรี่อื่นๆ ก๊อตไม่ได้ชิม ถ้าใครตามมาร้านนี้แล้วได้กินเมนูอื่น มาบอกก๊อตด้วยนะว่าเป็นยังไงบ้าง
ราคาเครื่องดื่มทุกเมนูของร้านนี้จะอยู่ที่ 95บาท ส่วนตัวเบเกอรี่จะอยู่ที่ 150บาท แต่ทางคาเฟ่ก็มีโปรโมชั่นคือ สั่งเครื่องดื่ม 2 แก้วคู่กับเบเกอรี่ 1 ชิ้นในราคา 300 บาทจากปกติราคา 340 บาท (โปรโมชั่นนี้มีตลอดเลยนะ) โปรนี้ถือว่าคุ้มค่าเลยสำหรับใครที่ไปกับเพื่อนหลายๆ คนสั่งมาหลายๆ อย่างแล้วมาแบ่งกันชิม
สำหรับใครที่ต้องการหนีความวุ่นวายในเมือง หรือกำลังหาสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ ก๊อตแนะนำว่าให้มาที่ Slōlē Cafe & Garden บรรยากาศที่นี่ดีและผ่อนคลายมากๆ ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ในกรุงเทพเลยด้วยซ้ำ ควรค่าแก่การมาแวะถ่ายรูปและพักผ่อนสุดๆ เพราะมาที่นี่แล้วเราไม่ต้องรีบร้อน ใช้ชีวิตชิลๆ เรื่อยๆ ได้ทั้งวัน ใครที่มาที่นี่จะต้องรู้สึก สะ – โล – ลี่ สมกับชื่อร้านเลยจริงๆ 😆
Maysa BKK
ใครผ่านไปย่านเสนานิคม คงจะสะดุดตากับบ้านสีขาวที่มีประตูและรั้วทรงโค้งที่โดดเด่นมาก ที่นี่คือ Maysa BKK คาเฟ่ที่เพิ่งเปิดช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้เอง บรรยากาศที่ดูเป็นกันเองให้ความรู้สึกเหมือนแวะมากินขนมที่บ้านเพื่อนเลย ซึ่งไอเดียนี้เป็นความตั้งใจของทางคุณเมย์ เจ้าของร้านที่ต้องการจะทำให้ร้านนี้เป็น ‘บ้าน’ เลยได้ทำการแปลงโฉมบ้านเก่าให้เป็นคาเฟ่ใหม่ซะเลย
ถึงก๊อตจะบอกว่าร้านนี้ถูกแปลงโฉมมา แต่ไม่ใช่ว่าเค้าเปลี่ยนไปทั้งหมดนะ ยังมีบางส่วนที่ยังเก็บโครงสร้างเดิมไว้ เช่น รั้วเหล็กดัดที่เรามักเห็นได้ทั่วไปเอามาสร้างไว้ในกรอบปูนทรงโค้งดูแปลกตาสุดๆ , พื้นหินขัดที่ไม่ได้ทำสีใหม่เลย ทำให้ดูวินเทจมากเลยหล่ะ, ประตูและหน้าต่างไม้ที่คงของเดิมไว้แต่มาทาสีใหม่ให้ดูโมเดิร์นมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงบล็อกปูนฉลุลายที่ไม่ค่อยได้เห็นในบ้านสมัยนี้เท่าไหร่แล้ว ซึ่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ที่ทางร้านยังคงรักษาความเป็นบ้านเก่าไว้มันมันเลยทำให้รู้สึกว่าที่นี่เหมือนเป็นบ้านมากกว่าเป็นคาเฟ่ซะอีก
ที่ Maysa BKK มีหลากหลายโซนไว้รองรับลูกค้าที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นโซนอินดอร์ในร้านเปิดแอร์เย็นๆ มีที่นั่งสบายๆ ภายในตกแต่งด้วยฟอร์นิเจอร์สีขาวครีมและไม้ ผสมผสานความสมัยใหม่และยังได้กลิ่นอายของความเป็นบ้านสมัยเก่าอยู่ ส่วนโซนเฮ้าท์ดอร์ข้างนอกนั้นกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นโซนสวนหย่อมหน้าบ้าน บริเวณทางเดินที่ปูด้วยหินสีขาวล้วนเชื่อมยาวไปถึงโซนหลังบ้านที่มีที่นั่งอีกเพียบ และ ระเบียงหน้าบ้านก็สามารถนั่งได้หมดเลย นอกจากโซนคาเฟ่แล้วร้านนี้ยังมีโซนขายเสื้อผ้าผู้หญิงด้วย เสื้อผ้ามีหลากหลายสไตล์เลย นอกจากนี้ก็ยังมี รองเท้า เครื่องประดับและ สินค้าแบรนด์เนมมือสองด้วยล่ะ
ก๊อตเพิ่งเคยมาร้านนี้เป็นครั้งแรกเลยเลือกสั่งเมนู Signature ของทางร้านทั้ง 2 เมนูเลยก็คือ Maysa (120 บาท) กาแฟนมที่ใส่ไซรัปสูตรพิเศษของร้านให้กลิ่นอ่อนๆ ของใบเตยและข้าวคั่ว โรยด้วยงาขาวคั่ว เป็นเมนูที่ทางร้านตั้งใจออกแบบมาให้เหมือนกำลังกินขนมไทยอย่าง “ข้าวเหนียวแดง” ซึ่งสำหรับก๊อตแล้วรู้สึกว่าตัวกาแฟทำออกมาได้รสนุ่มละมุน กาแฟไม่ได้เข้มจนเกินไป ใครที่ไม่ชอบกาแฟขมๆ ก็สามารถดื่มเมนูนี้ได้เลย ส่วนกลิ่นใบเตยละข้าวคั่วก๊อตว่ายังอ่อนไปหน่อย แต่พอได้ทานคู่กับข้าวเหนียวแดงที่เสิร์ฟมาคู่กันแล้วก็ทำให้แก้วนี้เป็นแก้วที่ลงตัวขึ้นเยอะเลย
ดื่มกาแฟกันมาทั้งวันแล้วอีกแก้วนึงก๊อตเลยเลือกเป็น ROSE’CHY (100 บาท) เมนู Signature อีกตัวของทางร้าน โซดาซ่าๆ ผสมกับไซรัปลิ้นจี่สูตรลับเฉพาะของ Maysa BKK ที่นอกจากจะดึงรสชาติหวานหอมของลิ้นจี่ออกมาได้อย่างดีแล้วยังสดชื่นขึ้นด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบ ยิ่งพอได้เจออากาศร้อนๆ แบบบ้านเราแล้วมาดื่มแก้วนี้นี่ทำให้รู้สึกเฟรซขึ้นมากจริงๆ
เบเกอรี่ที่นี่มีหลากหลายมากเลย รสชาติอร่อย แถมหน้าตาก็น่ารักเหมาะกับการถ่ายรูปมากเลยด้วย ก๊อตสั่งมาทั้งหมด 2 เมนูคือ Banana Pudding (95 บาท) เนื้อครีมพุดดิ้งเนียนนุ่ม รสชาติหวานกำลังดี ด้านล่างเป็นสปอนจ์เค้กเนื้อละเอียดและกล้วยหอมสด ตักทานพร้อมกันนี่บอกเลยว่าฟินสุดๆ สามารถทานได้เรื่อยๆ แบบไม่ได้รู้สึกว่าเลี่ยนเลย
ส่วนเบเกอรี่อีกชิ้น ก๊อตสั่งมาเป็น Lemon Cake (65 บาท) เค้กเลม่อนนุ่มๆ ราดด้วยน้ำตาลละลายบางๆ ตัวเนื้อเค้กหนึบกำลังดีไม่ร่วนเลยและยังผสมเปลือกเลม่อนเล็กน้อยด้วย เรื่องรสชชาตินี่ก็ไม่ผิดหวังเลยมีความหวานอมเปรี้ยวของเลม่อนและหวานกำลังดีของเจ้าตัวน้ำตาลที่เอามาเคลือบไว้ด้านบน ถือเป็นร้านที่มีเบเกอรี่ที่ดีทั้งหน้าตาและรสชาติเลยแหละ
ส่วนตัวก๊อตชอบบรรยากาศของร้าน Maysa BKK มากเลย ด้วยความที่ร้านนี้เอาบ้านเก่ามารีโนเวทใหม่ เลยทำให้ที่นี่ไม่เหมือนคาเฟ่ทั่วไปเลย การตกแต่งค่อนข้างทำได้ลงตัวแถมมีที่นั่งก็เยอะมากทีเดียวและทุกมุมก็สามารถนั่งถ่ายรูปได้หมดเลย สำหรับเรื่องรสชาติของเครื่องดื่มอาจยังไม่ได้โดดเด่นมาก แต่เบเกอรี่นั้นถือว่าอร่อยและมีให้เลือกหลายหลายมากเลย
Plant me on the Moon
Plant me on the Moon คาเฟ่สายธรรมชาติในซอยลาดพร้าว 93 คาเฟ่หน้าตาแปลกๆ ที่ร่มรื่นมากเพราะประดับด้วยต้นไม้นานาชนิด ในส่วนของด้านหน้าตกแต่งได้เหมือนสถานีอวกาศบนดาวอะไรสักอย่าง แต่พอเข้าไปของในร้านแล้วเหมือนได้นั่งอยู่ในโรงแรมดีไซน์เก๋ๆ ที่นึงเลย ที่นี่มีการตกแต่งร้านได้ลงตัวเป็นอย่างมาก ใช้การตกแต่งแบบ Modern Vintage ภายในร้านทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพื้น, ผนัง และ เฟอร์นิเจอร์นั้นจะมีความเรียบง่าย ที่นี่ใช้สีขาว, ดำ และน้ำตาลเป็นสีหลัก และสอดแทรกด้วยสีเขียวของต้นไม้ในทุกๆ มุมของร้าน ซึ่งเป็นการตกแต่งที่ทำออกมาได้พอดิบพอดี ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
ชื่อร้าน Plant me on the moon นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อเพลง ‘Fly me to the moon’ เลยเอามาปรับคำนิดหน่อยเพื่อให้เข้ากับคนเซ็ปต์ที่ว่าฉันจะปลูกต้นไม้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงดวงจันทร์ 🌜
ความพิเศษของร้านนี้คือ ต้นไม้ทุกต้นสามารถขอซื้อได้หมดเลยล่ะ และราคาก็ดีมากกกกก ไม่ใช่แต่ต้นไม้นะที่ซื้อได้ แต่กระถาง โต๊ะ ช้อน จาน เก้าอี้ อะไรก็ตามที่อยู่ในร้านนี้เค้าขายหมดเว่ย อยากได้อะไรให้ไปบอกพี่พนักงานเท่านั้น เกิดมาก็เพิ่งเคยจะเห็นร้านแบบนี้ครั้งแรก ชอบบ 555555
มาถึงรีวิวของกินกันบ้าง ครั้งนี้ก๊อตสั่งเป็นเครื่องดื่มเบาๆ อย่าง Single Cherry Frizzy (120 บาท) กาแฟผสมกับเชอรี่ไซรัปที่มีความซ่าจากโซดา และมีกลิ่นโรสแมรี่อ่อนๆ เวลาที่ดื่มเข้าไปแล้วจะได้กลิ่นเชอร์รี่ขึ้นมาก่อนและตามด้วยรสสัมผัสของกาแฟเข้มข้น รสชาติกลมกล่อม ความหวานกำลังดี และสดชื่นมากเลยทีเดียว ใครที่ไม่ใช่สายกาแฟ หรือทานกาแฟยาก ก๊อตก็ขอแนะนำเป็นเมนูนี้เลยล่ะ
สำหรับใครที่ไม่ดื่มกาแฟเลย เหมาะกับเครื่องดื่มเฟรซๆ อย่าง Rose Lemon Soda (90 บาท) เป็นอย่างมากหอม อีกหนึ่งเมนูที่ดื่มแล้วจะได้รับความสดชื่นจากโซดา ได้รับความหอมหวานจากดอกกุหลาบ และตบท้ายด้วยความเปรี้ยวอมหวานของเลม่อน เป็นเมนูที่ทำให้รู้สึกสดชื่นได้มากเช่นกัน
จะมากินแต่เครื่องดื่มก็กะไรอยู่ แอบมองเห็นเบเกอรี่อยู่เนืองๆ หน้าตาแปลกตาไม่ค่อยเคยเห็นที่ไหนมาก่อน มันคือ เค้กมะตูม (95 บาท) คือไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดว่ามะตูมจะเอามาทำเป็นเค้กได้ สงสัยเหมือนกันว่ารสชาติมันจะเป็นยังไงกันนะ ก๊อตเลยขอสั่งมาลองหน่อย ตัวเค้กสีน้ำตาลเข้มด้านบนวางด้วยมะตูมอบแห้งสวยงามทีเดียว ส่วนตัวเนื้อเค้กส่วนตัวก๊อตว่ามันแข็งไปหน่อย แต่ด้วยเนื้อเค้กนั้นเค้าได้ผสมเนื้อมะตูมเชื่อมลงไปด้วยเลยทำให้เค้กชิ้นนี้มีความหอมของมะตูมมากเลยทีเดียว ในเรื่องของรสชาติไม่หวานเกินไป ถือว่าผ่านเลยล่ะ เป็นการเปิดประสบการณ์การทานเค้กมะตูมของก๊อตที่ดีมากทีเดียว
พอเอาอะไรลงท้องเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาไปถ่ายรูปเล่นที่ดาวหน้าร้าน เอ้ย! สวนหน้าร้าน บริเวณนี้เป็น Plant Me On The Moon hab ที่ออกแบบตามฐานปฏิบัติการบนดาวอังคารในภาพยนตร์เรื่อง The Martian ทำให้มันไม่ได้เหมือนอยู่ในสวนเลย แต่เหมือนอยู่บนดาวอะไรไม่รู้ ที่สำคัญฐานทับลับตรงนี้เนี่ยถ่ายรูปออกมาได้เก๋มากจริงๆ ต้องมาให้ได้เลยนะทุกคน!
จบไปแล้วสำหรับ 5 คาเฟ่ลาดพร้าว
ก๊อตเองไม่ได้แวะเที่ยวคาเฟ่แถวเส้นลาดพร้าว มาสักพักแล้ว แต่พอได้กลับมาเที่ยวคาเฟ่แถวนี้อีกครั้งแล้วรู้สึกแปลกใจเหมือนกันนะ เพราะไม่คิดว่าย่านนี้จะมีคาเฟ่เยอะขึ้นมากขนาดนี้ แล้วแต่คาเฟ่แต่ละร้านก็มีความเก๋ และมีคอนเซ็ปร้านที่ดีมากเลยด้วย ถือเป็นการได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ย่านนี้อีกครั้งและเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมากจริงๆ ไหนใครเคยไปร้านไหนมาบ้างแล้ว มาเล่าให้ฟังหน่อยเร็ว 😊
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡