ก่อนเราจะไปเที่ยววัดรอบเกาะรัตนโกสินทร์ และศาลหลักเมืองนั้น ก๊อตจะพานั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปดูเรื่องราวความเป็นมาของกรุงเทพที่กว่าจะมาเป็น ‘กรุงเทพมหานคร’ ที่มีชื่อยาวเหยียดนี้ แต่เดิมในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ตอนนั้นกรุงเทพเป็นแค่เมืองค้าขายเล็กๆ ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จนภายหลังได้มีการสถาปนากรุงเทพให้เป็นเมืองหลวง และทำให้กรุงเทพกลายเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง 2 ที่ คือ กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเค้าก็ให้มีเมืองหลวง 2 ที่นี้มาเรื่อยๆ จนหลังสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือ พระเจ้ากรุงธนบุรี ได้มีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเมืองหลวงแห่งเดียวของประเทศไทย ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เนื่องจากกรุงธนบุรีในช่วงเวลานั้นพื้นที่คับแคบ และยังไม่เหมาะกับเป็นสถานที่ในการรุก การตั้งรับในการรบ ทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประเทศไทยจึงมีกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงมาจนถึงปัจจุบันนี้
ซึ่งการที่จะตั้งเมืองใหม่นั้น ก็ต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง อย่างการสร้างศาลหลักเมือง วัดวาอาราม ซึ่งหลายวัดที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา บางวัดนี่เก่าแก่มีอายุมาหลายร้อยปี เรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญ และเปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจ และที่ยึดเหนี่ยวให้กับผู้คนในเมืองเสมอมา ก๊อตเลยจะพาทุกคนไปเที่ยวสถานที่สำคัญของกรุงเทพอย่างศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร รวมทั้งยังพาไปสักการะ ขอพร เที่ยววัดจัดเต็มอีก 8 วัด เรียกได้ว่าจบรีวิวนี้แต้มบุญของทุกคนจะเพิ่มขึ้นพรึ่บกันเลย และนอกจากเราจะได้แต้มบุญเพิ่มแล้ว ทริปนี้ก๊อตการันตีเลยว่ารูปสวยมากกกกก ความงดงามของวัดไทยนี่ยืนหนึ่งไม่แพ้ใคร ถ้าพร้อมแล้วตามก๊อตไปเที่ยวกันเลย
เที่ยวไหว้พระ 9 วัดทั่วเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพ
ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร
ก่อนอื่นก๊อตจะพาทุกคนไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง อย่าง ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร อีกหนึ่งสถานที่สำคัญในกรุงเทพ ที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่คอยปกป้องรักษาบ้านเมืองให้แคล้วคลาด พ้นภัยอันตราย ซึ่งศาลหลักเมืองกรุงเทพเนี่ย ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสนามหลวงเลยนะ ติดกับศาลฎีกา และกระทรวงกลาโหม เป็นอีกหนึ่งสถานที่ทางใจของคนกรุงเทพไม่แพ้วัดดังๆ ที่ก๊อตพาทุกคนไปมาเลยหล่ะ
ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร มีการสร้างมาตั้งแต่สมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นศาลที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ตามธรรมเนียมพิธีพราหมณ์ว่า ก่อนที่จะสร้างเมืองจะต้องทำพิธียกเสาหลักเมืองในที่อันเป็นชัยภูมิสำคัญ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อาคารศาลหลักเมืองให้มีความเหมาะสมกับสิ่งของที่อยู่ภายใน โดยมีรูปแบบเป็นอาคารจตุรมุขทรงปราสาทยอดปรางค์ ซึ่งการสร้างเป็นอาคารทรงปราสาทแสดงให้เห็นถึงฐานันดรศักดิ์ว่าเป็นอาคารที่มีความสำคัญสูงนั่นเอง
และนอกจากจะมีเสาหลักเมืองแล้ว ภายในศาลหลักเมืองยังมีศาลเทพารักษ์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สถิตแห่งเทพารักษ์ทั้ง 5 ได้แก่ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าเจตคุปต์ และ เจ้าหอกลอง รวมทั้งมีอาคารหอพระพุทธรูปอยู่ภายในให้ผู้คนได้เข้าไปสักการะอีกด้วย
การไปไหว้ศาลหลักเมืองก็ไม่ยุ่งยากนะ เราสามารถเดินเข้าไปภายในแล้วไปซื้อชุดดอกไม้ ธูปเทียน รวมถึงของไหว้ต่างๆ ที่เค้ามีขายอยู่ด้านในได้เลย จากนั้นก็นำทุกอย่างเข้าไปไหว้ตามจุดต่างๆ ก๊อตแนะนำไปไหว้ตามนี้เลยน้า หอพระพุทธรูป, องค์พระหลักเมือง จำลอง, องค์พระหลักเมือง องค์จริง, หอเทพารักษ์ทั้ง 5, ก่อนจะปิดท้ายด้วยการไปเติมน้ำมันพระประจำวันเกิด ทำครบตามนี้ก็ถือว่าเติมแต้มบุญ เสริมสิริมงคลให้กับชีวิตเราแล้วน้า ยกให้เป็นศูนย์รวมจิตใจ และความมงคลที่เหมาะเป็นสถานตั้งต้นในการมาทำบุญมากๆ เลย
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)
ไหว้เอาฤกษ์เอาชัยกันที่ศาลหลักเมืองไปแล้ว เราไปเที่ยววัดในกรุงเทพที่แรกกันเลย นั่นคือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือ ที่คุ้นหูของทุกคนว่า ‘วัดโพธิ์’ ที่นี่ถือเป็นวัดตัวท็อปที่หลายคนชอบมาถ่ายรูปกับพระเจดีย์ที่สวยสดงดงาม มีความคัลเลอร์ฟูลเบาๆ นอกจากความป๊อบที่ทุกคนชอบมาถ่ายรูปกันแล้ว ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องการนวดแผนไทยที่ถูกถ่ายทอดกันมารุ่นต่อรุ่นอีกด้วย แถมวัดโพธิ์ยังเป็นวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 โดยในปี 2551 วัดโพธิ์ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก นั่นทำให้วัดโพธิ์ได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ จัดว่าอยู่ในตัวเลือกวัดท็อปๆ ของกรุงเทพเลยก็ว่าได้ บอกเลยว่าวัดโพธิ์ถ่ายรูปจึ้งมาก
สำหรับมุมยอดฮิตที่ทุกคนมาถ่ายรูปกันอย่างพระเจดีย์นั้น ที่วัดโพธิ์มีถึง 4 แบบ ไม่ว่าจะเป็น พระเจดีย์ราย, พระเจดีย์กลุ่ม, พระปรางค์, และพระมหาเจดีย์ใหญ่ ซึ่งที่วัดโพธิ์นี้ถือว่ามีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทยเลยนะ มีถึง 99 องค์ และของจริงคือตรึงตาตรึงใจมาก นี่ถ้าใครใส่ชุดเดรสพริ้วๆ มาเดินสะบัดไปมาหน่อยนะ รูปที่ได้เนี่ย คือยืนหนึ่งบอกเลย
นอกจากนี้ สายมูแบบก๊อตก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปกราบสักการะพระนอนองค์ใหญ่ ในวิหารพระพุทธไสยาส มาเที่ยววัดทั้งที คอนเท้นต์รูปก็ต้องมาคู่กับพลังบุญ จังหวะเดินเข้าไปนี่ร้องว้าวในใจรัวๆ ไปกับขนาดความใหญ่ของพระพุทธไสยาสที่อยู่ในลักษณะกึ่งนอน ปิดทองเหลืองอร่ามทั่วทั้งองค์ โดย พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน ที่พระบาทประดับมุกภาพ มงคล 108 ประการ แบบอันซีน เนี่ยย มาวัดโพธิ์ ถ้าไม่ได้มาเห็น และสักการะพระนอนองค์ใหญ่ ถือว่ามาไม่ถึงวัดโพธิ์เค้าน้า
พอเดินออกมาจากวิหารพระพุทธไสยาส ก๊อตก็เดินลัดเลาะไปตามทางเพื่อไปดูความอลังการของ พระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ภายในพระวิหารข้างในที่ดูยิ่งใหญ่มาก พระมหาเจดีย์จะมีขนาดใหญ่ และสูงกว่าพระเจดีย์ด้านนอกพระอุโบสถ
โดยลวดลายที่ประดับประดานั้น วิจิตรงดงาม ลวดลายดอกไม้หลากสียิ่งเสริมให้ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะ โดดเด่นด้วยสีเหลือง และสีน้ำเงิน ใครที่ชอบเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์นี่ไม่อยากให้พลาด แค่ได้มานั่งดูความงามของวัดท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น และเงียบสงบ ยกให้วัดโพธิ์เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ทุกคนต้องมาสัมผัสเองด้วยตาสักครั้งในชีวิต รับรองนอกจากอิ่มใจไปกับการทำบุญแล้ว ยังได้รูปสวยๆ ไปลงไอจีอีกด้วย
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
มาต่อกันที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันว่า ‘วัดพระแก้ว’ อีกหนึ่งวัดที่ถือเป็นแลนด์มาร์คกรุงเทพ ที่ทุกคนจะต้องมายืนเก๊กท่าสวยๆ ถ่ายรูปอยู่กลางถนนให้ติดฉากหลังของวัดพระแก้ว โชคดีมากช่วงที่ก๊อตไป เค้าปิดถนนตรงนี้พอดี เราเลยได้ภาพสวยๆ มาอย่างที่เห็น
สำหรับ วัดพระแก้ว ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญและเป็นที่รู้จักกันว่าอยู่คู่กับกรุงเทพมาอย่างช้านาน เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต โดยรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับพระบรมมหาราชวังและกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นการสร้างวัดในพระราชวังตามอย่างวัดพระศรีสรรเพชญ์ จากกรุงศรีอยุธยา แต่ที่วัดพระแก้วจะไม่มีพระสงฆ์จำพรรษานะ จะใช้เป็นที่สำหรับบวชนาคหลวงเท่านั้น และเป็นสถานที่สำหรับประกอบพระราชพิธีตามขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ เช่น พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั่นเอง
โดยช่วงที่ก๊อตไปคือช่วงปลายเดือนมีนาคม คนน้อยมาก บรรยากาศภายในวัดที่เราติดภาพจำว่าจะต้องถ่ายติดคน หลบมุมนักท่องเที่ยวยากเนี่ยหายไปหมดสิ้น แล้วพอเดินเข้ามาเราก็จะจ๊ะเอ๋เข้ากับยักษ์วัดพระแก้วขนาดใหญ่ที่ยืนเคียงคู่กันอยู่ตามประตูต่างๆ มีถึง 12 ตนเลยนะ รวมถึงพระศรีรัตนเจดีย์สีทอง ที่ตั้งเหลืองอร่ามสะท้อนเงากับแสงแดดทำให้ตัวเจดีย์ดูโดดเด่นเห็นชัดมาแต่ไกลเลย
ติดกันคือปราสาทพระเทพบิดร พระอัษฏามหาเจดีย์ที่สวยงามไม่แพ้กัน ด้วยความที่ผนังของปราสาทก่ออิฐฉาบปูน ประดับกระเบื้องเคลือบสีลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พอกระทบเข้ากับแสงแดด ตัวปราสาทจะเป็นสีเหลืองทอง เป็นเอกลักษณ์ที่ก๊อตว่าหาไม่ได้จากที่ไหนเลย โดยตอนนี้เค้าเปิดให้สักการะเฉพาะวันสำคัญของชาติ อย่าง วันจักรี วันฉัตรมงคล วันสงกรานต์ วันปิยมหาราช และวันเฉลิมพระชนมพรรษาในรัชกาลปัจจุบันเท่านั้นเน้อ ก๊อตเองไปวันธรรมดา อดเข้าไป แต่แค่บรรยากาศข้างนอกก็อิ่มอกอิ่มใจ และได้รูปสวยๆ มาเพียบเลย
นอกจากนี้ภายในวัดพระแก้วยังมีจิตรกรรมฝาผนังซึ่งเป็นตำนานของรามเกียรติ์รายล้อมไปตามแนวระเบียงวัด โดยเล่าเรื่องรามเกียรติ์ถึง 178 ห้อง ยาวๆ กันไปจนได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย สำหรับความอลังการของวัดพระแก้วนี่ยกให้เป็นวัดที่เราสามารถมานั่งดูกันได้ยาวๆ ด้วยวัดที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เราสามารถเดินเล่นเพลินๆ ได้เรื่อยๆ ยิ่งช่วงนี้คนน้อยมาก จะถ่ายรูปมุมไหนก็ดีงามไปหมด
วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง)
วัดอรุณราชวราราม หรือที่เราเรียกกันว่า วัดแจ้ง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงไประดับโลกเลย ดังถึงขั้นเป็นวัด A Must ที่ใครมาเที่ยวไทยแล้ว ต้องมาถ่ายรูปที่วัดอรุณด้วย โดยที่นี่เค้าเป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ วัดมะกอกนอก ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญมาก เพราะในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้มีการย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาที่กรุงธนบุรี และได้โปรดเกล้าฯ ให้วัดแจ้งเป็นวัดในเขตพระราชฐาน และยังเคยเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต ที่ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์อีกด้วย
โดยทาง วัดแจ้ง เค้าเพิ่งจะบูรณะแล้วเสร็จเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมานี่เอง สำหรับงานสถาปัตยกรรม นอกจากจะสวยงามมีความผสมผสานลักษณะศิลปะของไทยและจีนเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ที่เห็นได้ชัดเลยตามมุมต่างๆ จะมีรูปปั้นสไตล์จีนตั้งเรียงรายอยู่นั้น ยังมีความสอดคล้องกับเรื่องของไตรภูมิกถา ที่สื่อถึง เขาพระสุเมรุ ทวีปทั้ง 4 และเขาสัตตบริภัณฑ์ ในทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย ทั้งภายในพระอุโบสถยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามให้เราได้ชื่นชมท่ามกลางบรรยากาศที่ร่มรื่น มีลมจากแม่น้ำเจ้าพระยาพัดกระทบผิวอยู่ตลอด
และอีกไฮไลท์เด็ดของวัดอรุณที่ทุกคนจะต้องมาตามรอยเซลฟี่นั่นก็คือ ยักษ์วัดแจ้ง 2 ตน โดยยักษ์ตัวสีขาวชื่อว่า ‘สหัสเดชะ’ และยักษ์ตัวสีเขียวชื่อว่า ‘ทศกัณฐ์’ ปั้นด้วยปูน ประดับไปด้วยกระเบื้องสีต่างๆ จนออกมาเป็นเครื่องแต่งตัว ตั้งเฝ้าอยู่ที่ประตูซุ้มยอดมงกุฎทางเข้าพระอุโบสถ
โดยตำนานของยักษ์ที่ยืนเฝ้าประตูนั้น มีความเชื่อว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการขับไล่ภูติ ผี ปีศาจ และคอยปกปักษ์รักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในพระอุโบสถ พอเล่าถึงยักษ์วัดแจ้ง แล้วก็นึกถึงยักษ์วัดโพธ์ที่เราเพิ่งไปกันมา โดยทั้งสองวัดเค้ามีตำนานร่วมกัน จนเกิดเป็นสถานที่ที่เรียกว่าท่าเตียน ซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณชุมชมเรียบแม่น้ำเจ้าพระยา มีท่าเรือท่าเตียนไว้ให้เราได้ขึ้นเรือข้ามฝากระหว่าง 2 วัด โดยตำนานเล่าต่อกันว่า ที่ท่าเตียนกลายเป็นพื้นที่โล่งเตียน เกิดจากยักษ์ทั้ง 2 วัดต่อสู้กัน ทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกเหยียบล้มตายไปหมด พื้นที่ตรงนั้นเลยราบเตียน กลายเป็นท่าเตียนมาจนถึงทุกวันนี้ ใครมาวัดอรุณก็อย่าลืมมาเก็บภาพมุมนี้เก็บไว้ด้วยนะ ยักษ์ตัวใหญ่มาก เรานี่เป็นคนจิ๋วๆ ไปเลย
เดินเตร็ดเตร่รอบวัด สัมผัสบรรกาศแห่งธรรม และธรรมชาติที่ร่มรื่นกันไปแล้ว ก๊อตจะพาเดินไปต่อกันที่ พระปรางค์วัดอรุณ ถือเป็นสถาปัตยกรรมไทยขนาดใหญ่ สูงถึง 81.85 เมตร ประกอบด้วยปรางค์ประธาน และปรางค์รองอีก 4 ปรางค์ ประดับไปด้วยกระจกเคลือบเงาที่มองเห็นไกลๆ เป็นสีขาวนวลตา
หากใครสงสัยว่าพระปรางค์องค์เป็นองค์เดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือไม่ ขอบอกเลยว่าไม่เน้อ เพราะเค้าสร้างขึ้นแทนที่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ในปี 2363 และเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แต่ไม่ว่าจะยังไง ความยิ่งใหญ่ของพระปรางค์วัดอรุณก็ยังได้ใจก๊อตไปเต็มๆ
สำหรับก๊อตแล้ว วัดอรุณมีความว้าวอยู่ในตัว เหมือนเป็กซิกเนเจอร์ที่มาเที่ยวกรุงเทพต้องมาเยือน ป็นอีกวัดที่มู้ดแอนโทนดีมาก ถ่ายรูปมุมไหนก็ดีย์ไปหมด ทัวร์วัดบนเกาะรัตนโกสินทร์นี่ขาดวัดอรุณไปไม่ได้จริงๆ
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (วัดราชบพิธ)
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (วัดราชบพิธ) ถือว่าเป็นวัดในพระอารามหลวง เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 ขึ้นชื่อในเรื่องของการผสมผสานสองสถาปัตยกรรมเข้าไว้ด้วยกัน โดยรอบนอกนั้นจะตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมของไทย ส่วนภายในพระอุโบสถมีการออกแบบตกแต่งสไตล์ตะวันตกไปทางยุโรป ความโดดเด่นของวัดราชบพิธที่สายถ่ายรูป อย่างเราๆ ไม่ควรพลาดเลยคือ ระเบียงแก้วที่มีลวดลายไทย ประดับมุกโทนสีเขียวตั้งรายล้อมพระอุโบสถเอาไว้เป็นแนวยาวให้ได้เดินดูและถ่ายรูป รวมถึงตัวพระอุโบสถก็ยิ่งใหญ่ ประณีตอ่อนช้อยมาก
สำหรับพระอุโบสถนั้นก็มีลายไทยลงรักประดับมุก เป็นรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ความพิเศษคือไม่ว่าจะเป็นระเบียงแก้ว พระอุโบสถ วิหาร หรือพระมหาเจดีย์ ทั้งหมดภายในวัดต่างตกแต่งด้วยลายกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ทั้งสิ้น ทุกแผ่นถูกออกแบบ และเขียนด้วยมือช่างนาจาา ใครจะไปคิดว่าความอลังการตรงหน้านี้การตกแต่งจะแฮนเมดล้วนๆ แต่แอบเสียดายว่าตอนที่ก๊อตไปนั้น ทางวัดยังปิดไม่ให้เข้าด้านใน เราก็กินแห้วตามระเบียบ
อีกมุมที่ก๊อตว่าสวยไม่แพ้มุมอื่นๆ นั่นคือตามผนังของพระอุโบสถ ที่เราสามารถเดินเลียบๆ สำรวจได้ใกล้ๆ รอบพระอุโบสถเลย โดยลวดลายที่ประดับตกแต่งนั้นล้วนประณีตและสีสันงดงาม จนไม่อยากเชื่อเลยว่านี่จะงานเขียนด้วยมือ ก๊อตว่าเสน่ห์ของการถ่ายรูปวัดก็คือการถ่ายคู่กับดีเทลลวดลายตามพระอุโบสถ หรือเจดีย์นะ มันเหมือนซิกเนเจอร์ที่ต้องมาที่ไทยเท่านั้นอ่ะ ถึงจะได้เจอสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และทรงคุณค่าขนาดนี้
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม (วัดราชประดิษฐ์)
เดินข้ามถนนมาจากวัดราชบพิธ จะเจอเข้ากับอีกหนึ่งวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นกัน นั่นคือ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม (วัดราชประดิษฐ์) ถือเป็นวัดประจำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่ถูกสร้างอยู่บนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นสวนกาแฟใกล้พระบรมมหาราชวัง เป็นหนึ่งในพระอารามหลวง มีพระราชประสงค์ให้สร้างวัดสำหรับพระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกายที่พระองค์เป็นผู้ริเริ่มอีกด้วย
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของก๊อตได้เที่ยววัดนี้เลย บรรยากาศเงียบสงบ มีแค่เสียงของน้องหมาวัดที่วิ่งเล่นไปมาให้ได้ยินเท่านั้น แถมความโดดเด่นของพระวิหารหลวง ที่ใช้เป็นพระอุโบสถร่วมด้วยนั้นยังไม่เหมือนใคร ด้วยการใช้หินอ่อนสีเทาขาวทั้งหลังที่งดงามแต่ก็มีความเท่ห์อยู่ในมู้ดเดียวกัน เป็นอีกหนึ่งวัดที่ถ่ายลงไอจีแล้วต้องมีคนมาถามแน่นอน ว่าวัดไหนนน
แม้ตอนที่ก๊อตไปยังอยู่ในช่วงที่ทางวัดกำลังปรับปรุงพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้ลดถอนความงามของวัดลงแม้แต่น้อย พอเราเดินอ้อมไปข้างหลังพระวิหารหลวง จะเจอเข้ากับปาสาณเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์ประธาน แปลว่าเจดีย์ศิลา ที่สอดคล้องกับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง นั่นคือหินอ่อนที่มีสีเหมือนกันกับพระวิหารหลวง
ถือว่าวัดราชประดิษฐ์เป็นวันใหม่สำหรับก๊อตมากเพราะเพิ่งเคยมาครั้งแรก ส่วนตัวประทับใจในสถาปัตยกรรมของวัดมาก มีความงดงาม แต่ก็ดูทันสมัยในเวลาเดียวกัน เป็นอีกหนึ่งวัดที่ต้องจดไว้ในลิสต์ทัวร์วัดรอบเกาะรัตนโกสินทร์เลยหล่ะ ถ่ายรูปคือเท่ห์ และก็ดูเป็นคนใจบุญอีกด้วย 55555555
วัดราชนัดดารามวรวิหาร
วัดราชนัดดารามวรวิหาร หนึ่งในวัดเก่าแก่ของไทย ที่สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เพื่อเฉลิมพระเกียรติแก่พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระอัครมเหสีองค์แรกของรัชกาลที่ 4 มีพระนามว่า สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดีบรมราชเทวี จึงทรงพระราชทานนามว่าวัดราชนัดดาราม เมื่อ ปี พ.ศ. 2386 นับว่าเป็นวัดที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านาน
โดยไฮไลท์เด็ดของ วัดราชนัดดารามวรวิหาร คือ โลหะปราสาท ถูกสร้างขึ้นโดยรัชกาลที่ 3 เมื่อปีพ.ศ. 2389 เพื่อเป็นเจดีย์ประธานของวัด โดยเป็นโลหะปราสาทองค์แรกและองค์เดียวของไทย และถือเป็นองค์ที่ 3 ของโลก โดยองค์แรกอยู่ในประเทศอินเดีย องค์ที่ 2 อยู่ในประเทศศรีลังกา ซึ่งทั้งสองแห่งได้ถูกทำลายลงไปแล้ว สำหรับโลหะปราสาทนี้มีแผนผังและจำลองมาจากประเทศลังกา ส่วนลักษณะสถาปัตยกรรมสร้างตามแบบศิลปกรรมไทย โดยแต่ก่อนโลหะปราสาทนี้จะเป็นสีดำนะ แต่ได้มีการบูรณะใหม่มาโดยตลอด ซึ่งล่าสุดในปี พ.ศ.2555-2560 กรมศิลปากรและวัดราชนัดดารามวรวิหารได้บูรณะใหม่อีกครั้งจนทำให้มณฑปกลายเป็นสีทองนั่นเอง
ความยิ่งใหญ่ของโลหะปราสาทนี้จะเป็นอาคาร 7 ชั้น มียอดปราสาททั้งหมด 37 ยอด ซึ่งการขึ้นสู่ปราสาทแต่ละชั้น เราจะต้องเดินขึ้นบันไดวนที่ตั้งอยู่ตรงกลางโลหะปราสาท จำนวน 67 ขั้น และเมื่อเราขึ้นมาด้านบนสุดของโลหะปราสาท สามารถมองเห็นวิวกรุงเทพได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า ที่นอกจากจะได้มาไหว้พระทำบุญแล้ว รูปที่ได้ก็คือสวยสุดดด
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง)
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) เป็นวัดดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่เดิมไม่ได้ชื่อนี้นะ เป็นวัดเก่าชื่อ ‘วัดสะแก’ ก่อนจะได้รับการ สถาปนาขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยได้พระราชทานนามว่า ‘วัดสระเกศ’ สำหรับเจดีย์ภูเขาทอง ที่เรามักจะเห็นตั้งเด่นมาแต่ไกลนั้น ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยทรงเลียนแบบมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนจะแล้วเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานนามว่า “สุวรรณบรรพต” มีความสูง 77 เมตร ซึ่งปัจจุบันนี้ทางวัดเค้าทำทางเดินวนขึ้นไปด้านบนให้เราได้เดินขึ้นลงกันง่ายๆ แถมระหว่างทางเดินขึ้นไปด้านบนสองข้างทางยังประดับประดาไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ และในบางจุดจะมีน้ำตกจำลองไหลลงมาให้ได้ฟีลสดชื่น ร่มเย็นอีกด้วย
และเมื่อเราเดินขึ้นบันไดมาจนถึงด้านบน จะมีจุดให้เราได้สักการะพระพุทธรูปปางต่างๆ และยังจะมีบันไดทางเชื่อมที่สามารถเดินขึ้นไปสู่สวรรค์ นั่นคือชั้นสูงสุด ที่เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้เราได้กราบไหว้ นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่เราสามารถมองเห็นวิวกรุงเทพได้แบบ 360 องศา แบบไกลสุดลูกหูลูกตาอีกด้วย
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร หรือที่ใครหลายคนเรียกกันสั้นๆว่า ‘วัดเบญ’ ถืออีกหนึ่งวัดที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ปราณีตของพระอุโบสถแบบจตุรมุขที่สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี ด้านในปูหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา ผสมเข้ากับศิลปะไทยแบบโบราณ จนกลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก รู้จักกันในชื่อของ “The Marble Temple” หรือ “วัดหินอ่อน” นั่นเอง
โดยแต่เดิม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร มีชื่อเดิมว่า ‘วัดแหลม’ ซึ่งเป็นวัดของผู้คนทั่วไป แต่เมื่อเกิดเหตุกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพนมวัน กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ ทรงเป็นแม่ทัพรักษาพระนคร และตั้งกองบัญชาการทัพที่วัดแหลมแห่งนี้ และเมื่อการปราบกบฏเสร็จสิ้น กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันอีก 4 พระองค์ ได้ร่วมกันบูรณะวัดแหลม และพระราชทานนามใหม่ว่า ‘วัดเบญจบพิตร’ มีความหมายว่า วัดของเจ้านาย 5 พระองค์ บริเวณภายในวัดได้วางแปลนแผนผังได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นเขตพุทธาวาส สังฆาวาส และที่ธรณีสงฆ์ ที่ถูกสร้างเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน
แต่น่าเสียดายที่ช่วงก๊อตไป ทางวัดเค้าปิดบริเวณพระอุโบสถเอาไว้ เราเลยไม่ได้เข้าไปเก็บภาพของพระพุทธชินราชมาฝากทุกคนกัน แต่แค่ได้เดินเล่นรอบๆ พระอุโบสถก๊อตว่าก็คุ้มค่าแล้วน้า เพราะพื้นที่ในวัดนั้นกว้างเอาเรื่อง มีหลายมุมให้เราได้นั่งพักผ่อนชมความงดงามของวัด นั่งมองไปเพลินๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าคนเรานี่ก็เก่งจัง สรรสร้างสิ่งตรงหน้าออกมาได้สวยงามไร้ที่ติจริงๆ ใครที่มาเที่ยวก็อย่าลืมแวะมายืนถ่ายรูปให้เห็นตัวพระอุโบสถทั้งหมดนะ บอกเลยว่าเริ่ด
สรุป การเที่ยววัดบนเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพ เสริมมงคลเพิ่มแต้มบุญ
และนี่ก็คือทั้ง 9 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ก๊อตได้ไปเที่ยวมาบนเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพ ถือเป็นการเริ่มต้นเที่ยวเสริมมงคลที่รู้สึกดีมาก ตั้งแต่การไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอย่างศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร รวมถึงยังได้ไปเติมแต้มบุญจากวัดต่างๆ ซึ่งแต่ละวัดนั้นล้วนสวยงามมีเอกลักษณ์ มีสถาปัตยกรรมที่อ่อนช้อยปราณีตที่ยกให้ไทยเราไม่แพ้ใครในโลก สำหรับก๊อตแล้ววัดไทยนี่ที่สุดแล้วนะ และนอกจากทั้ง 9 ที่ที่ก๊อตพาไปเที่ยวมาแล้วนั้น ในย่านเกาะรัตนโกสินทร์นี้ยังมีวัดอื่นๆ อีกเพียบ ให้เราได้เดินลัดเลาะเชื่อมกันได้ และด้วยความระยะทางมันไม่ได้ไกลมากนัก ใครที่อยากเที่ยวทำบุญไหว้พระแบบ One Day Trip นี่ต้องมาเลย แล้วทุกคนจะหลงเสน่ห์ย่านกรุงเก่าที่คงไว้ทั้งประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡