ลอนดอน (London) เมืองที่ไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีกภายในเดือนเดียว เพราะจากตอนแรกที่ได้มาเที่ยวอังกฤษแล้วโคตรชอบ ซึ่งครั้งแรกเวลาน้อยมาก ยังไม่ค่อยได้ไปไหนแบบเต็มอิ่มเท่าไหร่ มาลอนดอนครั้งนี้อีกรอบเลยจัดเต็มมากแม่ ลุยแทบจะเรียกได้ว่า .. เมื่อรวมสองรอบของลอนดอนนั้น ค่อนข้างที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากเลยทีเดียว 5555555555555
ถ้าถามว่าอยากมาอีกมั้ย เอออ อยากมากและชอบมาก เมืองเค้าขลัง สวย และช้อปปิ้งสนุกจริง และถึงขั้นคิดว่า มาเรียนที่นี่ดีมั้ยเนี่ย แฮ่ๆ เอาเป็นว่า ‘ลอนดอน (London)’ รอบนี้จะเก๋ไก๋เต็มที่ขนาดไหน อ่านแล้วตามรอยกันได้เล้ย ♥️
รีวิว เที่ยวอังกฤษ + แพลนเที่ยวอังกฤษ
สำหรับการไปเที่ยวอังกฤษรอบนี้ ถือเป็นการเที่ยวอังกฤษรอบที่สองหลังจากรอบแรก ภายในหนึ่งเดือนแค่นั้นเอง คือจะเรียกบ้าก็ว่าบ้า เพราะครั้งแรกไปแล้วรู้สึกยังไม่เต็มอิ่ม แถมไปแค่ลอนดอนที่เดียว มารอบสองรอบนี้เลยจัดเต็มชุดใหญ่เลยจ้าแม่ ใช้เวลาทั้งหมด 11 วัน 10 คืน โดยเราจะบินไป-กลับไทย จากลอนดอน และไปเที่ยวยังเมืองต่างๆ ตั้งแต่ ยอร์ค (York) เอดินบะระ (Edinburgh) อินเวอร์เนสส์ (Inverness) เกาะสกาย (Isle of Skye) บาธ (Bath) และจัดเต็มก่อนกลับไทยที่ ลอนดอน (London) นั่นเอง ใครที่อยากตามรอยอะไรแบบนี้ ดูแพลนแบบละเอียดด้านล่างเลยจ้า ทำมาเป็นตารางให้แล้วจ้าา
รีวิวประเทศอังกฤษ ทั้งหมดของ Hashcorner
1. รีวิว ยอร์ค (York) คลิก
2. รีวิว เอดินบะระ (Edinburgh) คลิก
3. รีวิว อินเวอร์เนสส์ (Inverness) คลิก
4. รีวิว เกาะสกาย (Isle of Skye) คลิก
5. รีวิว บาธ (Bath) คลิก
6. รีวิว ลอนดอน (London) #1 คลิก
7. รีวิว ลอนดอน (London) #2 คลิก
เดินทางไป-กลับสนามบินด้วย Heathrow Express
สำหรับวิธีการเดินทางไป-กลับจากสนามบินฮีทโธรว์ (London Heathrow Airport) ก๊อตจะแนะนำให้เราใช้รถไฟ Heathrow Express ซึ่งเป็นวิธีการเดินทางที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วที่สุดในระยะเวลา 15 นาที เนื่องจากรถไฟสายนี้จะไม่หยุดที่สถานีอะไรเลย โดยไป-กลับจากสนามบินไปยังสถานี London Paddington กลางเมืองลอนดอนนั่นเอง ทีนี้เมื่อมาถึงสถานี London Paddington แล้ว เราสามารถต่อรถไฟไปเมืองอื่น หรือจะนั่งรถไฟใต้ดินได้อีก 3 สายเพื่อต่อไปยังที่อื่นในลอนดอนได้อีกด้วย อันนี้คือดีย์
ส่วนเรื่องราคาตั๋วรถไฟนั้น ยิ่งจองล่วงหน้านานยิ่งถูก โดยราคามันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากถูกสุดที่ล่วงหน้า 30 วัน, 15 วัน และราคาแพงสุดที่จองภายใน 15 วันที่จะเดินทาง ดังนั้นใครที่แพลนเที่ยวเรียบร้อยแล้ว จองล่วงหน้าเลยเด้อ และแน่นอนว่าจองที่ KLOOK คือดีย์ เพราะสะดวกโดยตั๋วนั้นจะมาในรูปแบบ QR Code ซึ่งเราสามารถใช้แสกนที่เกทได้เลย ซื้อบัตร Heathrow Express ที่ KLOOK คลิกเลย!
เที่ยวลอนดอน วันแรก!
เที่ยวให้คุ้ม ให้ใช้ LONDON PASS
สำหรับใครที่อยากเที่ยวลอนดอนแบบคุ้มๆ ด้วยการเก็บแลนด์มาร์คหลายแห่งในราคาที่ประหยัดกว่าปกติ นี่แนะนำให้ซื้อ LONDON PASS เลยแม่! เพราะเราสามารถใช้พาสนี้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวได้มากกว่า 80 แห่ง และแต่แห่งนี่คือพีคๆนะโว้ย เช่น เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbey), หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London), ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge), มหาวิหารเซนต์พอล (St. Paul’s Cathedral), The View from The Shard รวมถึงยังได้นั่งรถบัส Hop-on Hop Off ที่มีให้เราเลือกขึ้นหลายบริษัทฟรี และยังล่องเรือแม่น้ำเทมส์ด้วย City’s Cruise ได้อีก
คือยังไงก็โคตรคุ้มถ้าเราเข้าสถานที่พวกนี้แหละ ดังนั้น ก๊อตแนะนำให้เราวางแพลนเที่ยวก่อนว่าเราจะไปที่ไหน ยังไงบ้าง จากนั้นลองดูราคาค่าเข้าแต่ละที่ และเทียบกับค่าบัตร LONDON PASS ดูว่าคุ้มหรือเปล่าเด้อ และสำหรับรีวิวนี้ ก๊อตก็ซื้อแบบ 1-day ที่โหลดเข้ามือถือได้เลย ใช้งานสะดวก เพราะทุกอย่างอยู่ในมือถือหมดเนอะ ซึ่งถ้าใครจะตามรอยเที่ยวแบบก๊อตเป๊ะๆ สำหรับวันแรก แนะนำให้ซื้อผ่าน KLOOK ได้เลยจ้า ราคาต่อคนนั้นดูราคาด้านล่าง และคลิกลิงค์ซื้อได้เล้ย // ส่วนใครที่กำลังหาส่วนลด KLOOK อยู่ คลิกที่นี่เด้อ
ห้องวางแผนการรบเชอร์ชิล (Churchill War Rooms)
เริ่มต้นการเที่ยวลอนดอนที่แรก ก๊อตขอตรงดิ่งไปยัง ห้องวางแผนการรบเชอร์ชิล (Churchill War Rooms) ก่อนเลย ด้วยความที่นี่มีคนเอ่ยปากชมเยอะมากจากใน Tripadvisor ว่าต้องมาเยือนนะเว้ย นี่ก็เลยลองมาหน่อยแล้วกัน ที่เก๋คือ เรายังสามารถใช้ LONDON PASS เข้าชมที่นี่ได้ฟรีด้วยอีกต่างหาก (ราคาบัตรปกติอยู่ที่ £22) นี่เห็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่พลาดที่จะมาเที่ยวเด้อ ซึ่งใครที่ชื่นชอบเรื่องประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ล่ะก็ ก๊อตมั่นใจว่าต้องชอบพิพิธภัณฑ์สงครามที่นี่มากแน่ๆ เพราะที่นี่ถือเป็นกองบัญชาการการรบจริงๆ ของ วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และรัฐบุรุษผู้ทรงอิทธิพลที่นำพาประเทศอังกฤษสู่ชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง
เส้นทางการเดินชมพิพิธภัณฑ์ใน ห้องวางแผนการรบเชอร์ชิล (Churchill War Rooms) ถูกวางเป็นเส้นทางที่โคตรดีย์ ซึ่งก่อนที่เราจะเริ่มต้นเดินเที่ยวนั้น ก๊อตอยากให้ทุกคนเอาตัว Audio Guide มาด้วย เพราะถ้าขาดหรือลืมหยิบไปด้วยแล้วล่ะก็ เราจะไม่รู้สตอรี่ทั้งหมดของที่นี่และอาจทำให้เราหมดสนุกได้เลย เพราะเดินงงๆแน่นอน แถมความสนุกของการเที่ยวที่นี่คือการที่หูได้ฟังเรื่องราว ส่วนตานั้นได้เห็นของจริงตรงด้านหน้านะจ๊ะ
ห้องวางแผนการรบเชอร์ชิล (Churchill War Rooms) ใต้ดินอันลึกลับอันนี้ ถูกใช้อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 1939 ซึ่งเป็นหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่สหราชอาณาจักรประกาศสงครามกับเยอรมัน และใช้เป็นกองบัญชาการสงครามจนวันสุดท้ายในวันที่ 16 สิงหาคม 1945 ซึ่งเป็นวันที่ห้องแผนที่ (Map Room) ได้ถูกปิดไฟครั้งแรกตั้งแต่ใช้งานมาทั้งหมด 6 ปี ทุกวัน 24 ชั่วโมง ไม่เคยปิดไฟเลยซักครั้งเดียว!
ส่วนตัวก๊อตเองโคตรชอบที่นี่และรู้สึกว่ามันโคตรเจ๋ง เพราะมันเป็นของจริงนี่แหละ แถมเราได้เปิดโลกกว้างมากโดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับกองบัญชาการลับชั้นใต้ดินตรงนี้ที่มีหลากหลายห้องเรียงกันวกวนเป็นวงกต ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมสั่งการของ วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) ที่นั่งฟาดฟันกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของแต่ละหน่วย รวมถึงเป็นห้องสั่งการทางทหารเพื่อต่อสู้ในสนามรบ อีกทั้งที่นี่ยัง ห้องนอนและห้องทำงานเชอร์ชิลล์และคณะบุคคลต่างๆ ซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้อย่างดิบดีอีกด้วย
เบื้องหลังของคนที่ทำงานในห้องลับใต้ดินแห่งนี้คือต้องอยู่ที่นี่ 24 ชั่วโมง ไม่รู้วันรู้คืนและไม่ได้เจอแสงแดดเลย และนี่อยากบอกว่าตอนช่วงสงครามที่มีการบรอดแคสติ้งเสียงจากเชอร์ชิลล์ผ่านช่อง BBC ไปยังสาธารณชนในอังกฤษ เชอร์ชิลก็นั่งพูดอยู่ในฐานกองบัญชาการลับใต้ดินนี้นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีห้องแผนที่ (Map Room) ขนาดใหญ่ที่เป็นอีกห้องที่ก๊อตโคตรอยากให้ทุกคนได้เห็นกับการปักหมุดแผนที่ ตอนที่เค้าติดตามการเคลื่อนไหวของศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างเยอรมันนั่นเอง ที่สนุกและอินมากๆ ของก๊อตคือ ในห้องแผนที่นั้น มีเส้นทางการเดินของพื้นที่บ้านเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีการปักเส้นทางของกองทหารไทยอยู่ในนั้นด้วยแหละ อันนี้ต้องไปลองสอดส่องกันเอาเอง คือมันสนุกมากและก๊อตก็คิดว่าที่นี่คืออีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์สงครามที่เจ๋งที่สุดบนโลกนี้เลยแหละ
เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbey)
เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbey) ถือเป็นสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ และปัจจุบัน ที่นี่ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระอารามหลวงเรียบร้อยแล้ว ใครที่มาเที่ยวอังกฤษ ก๊อตแนะนำว่าอย่าพลาดจริงๆ เพราะมันสวยมากกก (ม๊ากก) และล้ำค่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อังกฤษมากกว่า 1,000 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 960 ตั้งแต่การจัดพิธีราชาภิเษก พระราชพิธีเสกสมรส รวมถึงงานพระบรมศพ จะเห็นได้ว่า เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbey) เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ทุกแง่มุมเลยทีเดียว
สำหรับใครที่ถือ LONDON PASS สามารถเดินตัวปลิวเข้าด้านในได้เลย แต่ถ้าใครไม่มี ก็ต้องซื้อบัตรเค้าก่อนเนอะ หรือจะซื้อผ่าน KLOOK ก็ได้ ง่ายดี 555555
เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbey) ถูกสร้างขึ้นจริงตั้งแต่ปี ค.ศ. 960 โดยนักบุญเบเนดิกติน (Benedictine) เพื่อทำพิธีทางศาสนาประจำวัน จนกระทั้งในปี ค.ศ. 1245 ที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 3 ได้สร้างโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ในสไตล์โกธิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น โดยคร่อมอันเดิมเพื่ออุทิศให้เป็นอนุสรณ์แก่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดธรรมสักขี (Edward the Confessor) และเป็นที่ฝังพระศพของตัวพระองค์เอง
และที่ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ (Westminster Abbey) ได้กลายเป็นที่จัดพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์อังกฤษ และสมเด็จพระราชินีมาแล้ว 38 พระองค์ โดยพระองค์แรกคือ พระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 เมื่อปี ค.ศ. 1066 และล่าสุดคือ พระราชพิธีของสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบ็ธที่ 2 ในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1953
นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ฝังพระบรมศพของกษัตริย์ถึง 18 พระองค์ และยังเป็นสถานที่จัดงานพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงไดอาน่าอีกด้วย รวมๆ แล้ว มีบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษได้มีพิธีเพลิงและฝังศพ รวมถึงเป็นอนุสรณ์ไว้ที่นี่มากกว่า 3,000 คน หนึ่งในนั้นคือ ไอแซค นิวตัน (Isaac Newton), สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking), เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) และ ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ด้วย
ด้านในของแอบบีย์นั้นคือใหญ่มาก โดยเค้าจะมีเป็นรูทให้เราเดินตามเส้นทางเลย สิ่งที่อยากให้ดูคือพวกสถาปัตยกรรมต่างๆ อย่างพวกกระจกแก้ว เสาหินและหลังคาแกะสลัก คืองานเค้าสวยและละเอียดมากๆ และที่พลาดไม่ได้คือรูปปั้น โรงพระศพของกษัตริย์ และอนุสรณ์ของบุคคลสำคัญต่างๆ ซึ่งตอนเราเดินเข้าไป เค้าจะแจก Audio Guide เพื่อให้เราฟังเรื่องราวต่างๆ ตามเส้นทางได้เลย ดังนั้น ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่รู้เรื่อง นอกจากเราจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออกแค่นั้น แงงง
ซิตี้ครูซส์ (City Cruise)
หากใครที่อ่านรีวิวนี้ แล้วอยากตามรอยวันนี้แบบก๊อตเลยล่ะก็ ที่ต่อไปที่ก๊อตจะไปเที่ยวนั้นคือ หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ซึ่งเราสามารถไปที่นั่นได้โคตรง่ายและฟรี (หากเรามี LONDON PASS) โดยการนั่ง เรือซิตี้ครูซส์ (City Cruise) จากท่าเรือเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Pier) ไปยังท่าเรือหอคอย (Tower Pier) ได้เลย โดยตั๋วเรือที่เราแลกได้จาก LONDON PASS นั้นจะเป็นแบบ Hop-on Hop-off 1-Day Pass ที่เราสามารถนั่งเรือซิตี้ครูซส์ (City Cruise) ได้แบบไม่จำกัดในหนึ่งวันเลยนะเออ อันนี้โคตรดี
ด้วยความที่ ซิตี้ครูซส์ (City Cruise) นั้นเป็นเรือเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ระหว่างทางที่นั่งเรือนั้นเราจะผ่านสถานที่สำคัญในลอนดอนโคตรเยอะ ทีนี้เค้าจะมีไกด์คอยบรรยายเรื่องราวต่างๆ ของแต่ละสถานที่ที่เราผ่าน ส่วนตัวก๊อตคิดว่าดีและเอ็นตจอยมากเลยแหละ ดีทั้งตัวเมืองลอนดอนเอง ไกด์ก็ตลกโปกฮา อันนี้เลยเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ก๊อตแนะนำว่าอย่าพลาดเน้อ
หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London)
เห็นชื่อว่าเป็นหอคอยแบบนี้ แต่ถ้าเรียกให้ถูกจริงๆ ที่นี่ถือว่าเป็นปราสาทมากกว่าหอคอยอีก เพราะในความเป็นจริงแล้ว หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) เป็นทั้งป้อมปราการหลวง พระราชวัง คลังอาวุธ โรงเลี้ยงสัตว์ โรงกษาปณ์ เป็นที่เก็บมงกุฎรวมถึงเครื่องราชาภิเษก และที่ดังที่สุดคือเป็นห้องคุมขับ รวมถึงเป็นสถานที่สำหรับการทรมานและเป็นลานประหารชีวิตนั่นเอง ซึ่งเค้าว่ากันว่า ที่นี่ผีเฮี้ยนมากกกกก จากการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ รวมถึงเรื่องความขัดแย้งภายในนั่นเอง
และเหมือนเดิมคือ ใครที่ถือ LONDON PASS สามารถเดินเข้าได้เลยนาจา ส่วนใครที่ไม่มีพาสนั้น สามารถซื้อหน้างาน หรือจะซื้อออนไลน์ผ่าน KLOOK ก็ได้ สะดวกสบายเช่นเดิม แฮ่ๆ
เค้าบอกกันว่าหลายคนได้เหนวิญญาณที่เป็นขุนนางและคนในราชวงศ์อังกฤษกันบ่อยๆ โดยเรื่องที่ดังมากๆ คือ วิญญาณของสองเจ้าชายน้อย พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ห้า (Edward V) ที่ตอนนั้นยังมีพระชนม์พรรษาเพียงแค่ 12 พรรษา และพระอนุชา เจ้าชายริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์ก (Richard of Shrewsbury, Duke of York) ที่ Bloody Tower ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่าถูกฆ่าโดยลุงของเจ้าชายทั้งสอง ที่ต้องการแย่งชิงบัลลังค์ และสถาปนาตัวเองกลายเป็นพระเจ้าริชาร์ดที่สาม (King Richard III) นั่นเอง ซึ่งภายหลังก็มีผู้ที่คอยดูแลหอคอยนี่แหละ ได้เห็นวิญญาณของสองเจ้าชายน้อย ใส่ชุดขาวจับมือกันยืนนิ่ง จากนั้นก็หายเข้าไปยังกำแพงอย่างลึกลับ
นอกจากนี้ยังมีวิญญาณไร้หัวของ พระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn) พระมเหสีองค์ที่สองของพระเจ้าเฮนรีที่แปด (King Henry VIII) ที่หลายคนเจอบ่อยที่ Tower Green ใกล้ๆกับ Bloody Tower ซึ่งเป็นสถานที่ถูกประหารด้วยการบั่นพระเศียรจากข้อกล่าวหาทรงสมคบชู้และกบฎ ซึ่งตามความจริงแล้ว พระเจ้าเฮนรี่ที่แปดนั้นหมดรักและได้เจอรักใหม่ไปเรียบร้อนแล้ว แถมก่อนหน้านี้พระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn) ยังไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายให้อีกด้วย เลยทำให้พระเจ้าเฮนรี่ที่แปดผิดหวังและสร้างความผิดให้นั่นเอง ซึ่งก่อนที่พระนางแอนน์ โบลีนจะสิ้นใจนั้น เค้าเล่าว่าพระนางได้แช่งคำสาปเอาไว้ ทำให้วิญญาณยังอยู่และยังไม่ไปไหน (อ่านเจอมานะเออ)
สองเรื่องนี้คือแค่ตัวอย่างของเรื่องสยองขวัญใน หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) เท่านั้น คือของจริงเค้าบอกมีเยอะกว่านี้มาก ต้องลองไปหาอ่านกันดูและเข้าไปเยี่ยมชมกันดูว่าบรรยากาศจะสยองขวัญขนาดไหน โดยตัวก๊อตเองก็ได้ปีนขึ้นไปยัง Bloody Tower อยู่ ด้านบนก็จะมีการเล่าเรื่องราวของเจ้าชายน้อยเป็นการ์ตูนอยู่ด้วย บรรยากาศของจริงไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนกลางคืนเป็นยังไง แต่คิดว่าน่าจะหลอนอยู่ เพราะเรื่องเล่าทั้งหลายแหล่มาจากทหารประจำการที่คอยเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนทั้งนั้น โดยเค้าบอกว่าช่วงตี 2 คือช่วงที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันเป็นช่วงเวลาในการทำประหารหั่นคอบุคคลในราชวงศ์นั่นเอง
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
โอ้ยย พักเรื่องสยองขวัญบ้าง มาเที่ยวกันต่อเหอะ 55555555 // สิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาดโคตรๆ สำหรับการมาเที่ยว หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) คือการขึ้นไปดูเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักร อย่างมงกุฎ และคฑาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด (St Edward’s Crown) ซึ่งเป็นกกุธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์อังกฤษทั้งหมด 6 พระองค์ รวมถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ด้วย ซึ่งอันนี้ต้องไปดูจริงๆ นะ ด้านในไม่สามารถถ่ายรูปได้ เลยไม่มีรูปมาให้ดูเด้อ
นอกจากการแสดงเครื่องราชกกุธภัณฑ์แล้ว หลายๆ อาคารยังมีการจัดแสดงเป็นมิวเซียมต่างๆ ซึ่งถ้าอยากเที่ยวให้แบบเจาะลึกและเก็บหมดล่ะก็ อาจจะใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน น่าเสียดายที่ก๊อตเองมีเวลาไม่เยอะมาก แถมวันนั้นที่เที่ยวคือโปรแกรมเยอะ เริ่มเหนื่อย ฝนก็ตก รูปเลยน้อย รีวิวที่นี่เลยมีแต่เรื่องเล่านาจา 55555
ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge)
ลอนดอนครั้งที่แล้ว ก๊อตได้มาถ่ายรูปคู่กับ ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) อย่างเดียว ซึ่งที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คชื่อดังของลอนดอนเลยก็ว่าได้ เพราะมันคือสะพานที่มีหน้าตาแบบนี้แห่งเดียวในโลก และยังเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์แห่งเดียวที่สามารถยกสะพานให้เรือขนาดใหญ่ข้ามผ่านได้นั่นเอง แน่นอนว่ารอบนี้ เรามี LONDON PASS อยู่ในมือแล้ว (ค่าเข้าปกติอยู่ที่ £9.8) นี่ก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปยังด้านในเพื่อขึ้นไปยังบนสะพานเชื่อมด้านบนเพื่อดูวิวกรุงลอนดอนที่มีแม่น้ำเทมส์ผ่านกลางเมืองนาจา // หรือจะซื้อตั๋วแยกก็ได้ แล้วแต่ความสบายใจ 5555
นอกจากการดูเมืองแล้ว ตรงสะพานยังมีลูกเล่นเป็นกระจกใสที่เราสามารถมองลอดออกไปยังสะพานด้านล่างได้อีก ใครที่กลัวความก็อาจจะเสียวหน่อยๆ เด้อ 55555
ปัจจุบัน ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) ยังคงเปิด-ปิด สะพานให้เรือแล่นผ่านทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูเวลาเปิด-ปิดได้จากเว็บทางการเค้าได้เลย ซึ่งนี่ก็โคตรโชคดีอยู่เหมือนกัน ที่เมื่อก๊อตลงมาและกำลังจะขึ้น ซิตี้ครูซส์ (City Cruise) กลับที่พักนั้น ดันได้เห็นพอดี ถือเป็นบุญตามาก ฮ่าๆ
ซิตี้ครูซส์ (City Cruise) #2
ด้วยความที่อยากประหยัดค่ารถไฟใต้ดินกลับโรงแรมนิดๆหน่อยๆ และตั๋วนั่ง เรือซิตี้ครูซส์ (City Cruise) ที่เราได้จาก LONDON PASS นั้นเป็นแบบนั่งได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง นี่เลยกระโดดขึ้นเรือรอบสุดท้ายกลับไปทางเวสต์มินสเตอร์ (Westminster) เลยเด้อ อย่างที่บอกว่า การขึ้นเรือรอบนี้เลยโชคดีได้เห็น ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge) เปิดสะพานก่อนเรือออกพอดี แต่ที่พีคกว่าคือการได้เห็นวิวเมืองลอนดอนอีกรอบที่แตกต่างจากรอบแรกอย่างสิ้นเชิง เพราะรอบนี้คือช่วงพระอาทิตย์ตกพอดี และนี่ขอบอกว่าโคตรสวย สวยแบบน้ำตาไหลมากแกร๊ นี่ถือเป็นการปิดวันลอนดอนที่เก๋มากอีกวันนึงเลยจริงๆ เลิฟอ่ะ
เที่ยวลอนดอน วันที่ 2
สำหรับการเที่ยววันที่สองในลอนดอนนั้น นี่ตั้งเองเลยว่าจะเป็น Museum Day หรือวันที่เที่ยวพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ เพราะนี่อยากบอกว่าที่ลอนดอนนั้น มีพิพิธภัณฑ์โคตรเยอะ แถมแต่ละอันคือพิพิธภัณฑ์ระดับเวิลด์คลาสที่ซักครั้งหนึ่งในชีวิตควรต้องไปเลยเว้ย และที่ดีโคตรๆสำหรับการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ของลอนดอนคือ ฟรีค่าเข้าทุกสถานที่ คือเจ๋งมากจริงๆ (แต่บางที่จะมีให้บริจาคช่วยเหลือพิพิธภัณฑ์ตามความสมัครใจ จะบริจาคหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่ความศรัทธา)
และสำหรับลิสก๊อตของการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนนั้น มีทั้ง พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (The British Museum), พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum), พิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย แอนด์ อัลเบิร์ต (Victoria and Albert Museum – V&A) และอันที่เดินผ่านๆ และเข้าไปโดยบังเอิญอย่าง หอแสดงภาพบุคคลแห่งชาติ (National Portrait Gallery) นั่นเอง เสียดาย มีอันนึงที่ไม่ได้เข้า เพราะตอนนั้นเริ่มเหนื่อย เพราะเข้าพิพิธภัณฑ์เยอะเกิน นั่นคือ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ (Science Museum) ที่เสียดายว่าตอนนั้นไม่ได้ไป (แต่ยืนอยู่ด้านนหน้าแล้วนะ ฮ่า) เอาเป็นว่า ใครที่ชอบเรียนรู้และเข้าชมพิพิธภัณฑ์ สามารถลิวแล้วเข้ารวดเดียวได้เลย แต่ถ้าใครไม่อินพิพิธภัณฑ์ล่ะก็ แนะนำให้ข้ามรีวิวของวันนี้ไปเลยก็ได้เด้อ แล้วแต่ความชอบและไลฟสไตล์ของแต่ละคนเลยจ้า 555555555
พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (The British Museum)
มาที่พิพิธภัณฑ์อันแรกที่อยากมามากที่สุด นั่นคือ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (The British Museum) ที่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุมากกว่า 250 ปีแล้วนั่นเอง (เก่าแก่มาก และมีก่อนที่จะมีอเมริกาอีก!) โดยพิพิธภัณฑ์ที่นี่นั้นจะเน้นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของมนุษย์และวัฒนธรรมที่มีรวบรวมวัตถุโบราณ รวมถึงงานแสดงต่างๆ ที่มีประวัติยาวนานกว่าสองล้านปี
คอลเล็คชั่นเค้าก็รวบรวมมาจากทั่วโลกและแบ่งตามยุคสมัย ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ยุคกรีกและโรมัน คอลเล็คชั่นอเมริกา เอเชีย รวมถึงตะวันออกกลางด้วย ซึ่งหลายอันก็หาดูได้ยากมากเลยแหละ ซึ่งก๊อตขอยกให้ที่นี่เป็นที่หนึ่งของพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนที่ต้องมา เพราะมันดีมากระดับเต็มสิบ ไม่มีหักคะแนนซักนิดเดียวเลย (เว่อร์ปะ)
ด้วยความที่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (The British Museum) โคตรใหญ่ ถ้าเดินดูวันเดียวคือไม่หมดแน่นอน ทีนี้ ก๊อตแนะนำให้เข้าไปดูแผนที่คร่าวๆ ในเว็บเค้าก่อน คลิกที่นี่ เราจะได้เลือกถูกว่าจะเดินตรงไหนยังไงบ้าง ซึ่งเว็บทางการเค้าก็มีแนะนำอยู่บ้างว่ามีงานแสดงไหนที่ห้ามพลาด // ดูเอาจากในเว็บเลย เพราะหน้างานเค้าขายแผนที่ £2 นะเออ หรือไม่งั้นต้องถ่ายรูปเอาตรงป้ายที่นั่นนะแจ๊ะ
ก๊อตจะไม่ลงรายละเอียดลึกมากนะ เพราะอยากให้ไปดูด้วยตาตัวเองกันเอง ที่อยากให้ไปเลยคือ ห้องยุคอียิปต์โบราณคือเวอร์วังอลังการมาก โดยเฉพาะรูปปั้นในสมัยอียิปต์ที่โคตรขลัง ซึ่งเค้ามีทั้งของจริงและของจำลองให้เราชม คือดูแล้วขนลุกชันมาก โดยอันที่โด่งดังมากที่ต้องดูคือ “ศิลาจารึกโรเซตต้า” (The Rosetta Stone) ของจริง มีจารึกอักษรโบราณถึง 3 รูปแบบ ทั้งอักษรภาพไฮโรกลิฟ อักษรเดโมติก และอักษรกรีกโบราณ ซึ่งศิลาอันนี้ถูกค้นพบโดยคณะนักสำรวจของนโปเลียนในปี 1799 จนต่อมาอังกฤษชนะกองทัพฝรั่งเศสในอียิปต์ในปี 1801 ทำให้อังกฤษได้ครอบครองศิลาอันนี้ และนำกลับมาที่ลอนดอน โดยจัดแสดงที่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ (The British Museum) ตั้งแต่ปี 1802 เป็นต้นมา ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งชิ้นที่ล้ำค่าและมีชื่อเสียงมากที่สุดของที่นี่เลยก็ว่าได้แหละ
ต่อที่โซนเอเชีย เค้าก็มีให้เราศึกษาและดูด้วยเหมือนกัน โดยส่วนมากจะเน้นคอลเล็คชั้นงานประวัติศาสตร์และอารยธรรมของจีนที่มีมากกว่า 23,000 ชิ้น ตั้งแต่ช่วงปลายยุคหินจนถึงยุคปัจจุบัน รองจากจีนก็จะมีของพี่อินเดีย ตามด้วยญี่ปุ่น และเกาหลี และที่น่าเซอร์ไพรส์คือมีคอลเล็คชั่นของเกาหลีเหนือที่ถือว่าเยอะมากที่สุดในบรรดาพิพิธภัณฑ์โลกตะวันตกอีกด้วย
สุดท้ายที่พลาดไม่ได้ คือคอลเล็คชั่นประวัติศาสตร์และอายธรรมของยุโรป ที่มีตั้งแต่ช่วงยุคก่อนกรีซ เรื่อยมาจนกรีกและโรมัน จนมาถึงยุโรปในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดกินพื้นที่ห้องแสดงเยอะมากที่สุดในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะอยู่ยุโรปไง๊ ของเค้าเองก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา และแน่นอนว่าเราจะได้เห็นความอลังการงานสร้างและความปราณีตของวัตถุโบราณ รวมถึงรูปปั้นและภาพวาดต่างๆ เยอะมากๆ อีกด้วย
หอแสดงภาพบุคคลแห่งชาติ (National Portrait Gallery)
สำหรับ หอแสดงภาพบุคคลแห่งชาติ (National Portrait Gallery) นั้น เป็นการเข้าไปแบบบังเอิญมาก เพราะตอนนั้นเดินๆอยู่ แล้วฝนตกขึ้นมา เราก็เลยเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์นี้เพื่อหลบฝนนั่นเอง และความบังเอิญนี้เนี่ยแหละแกร เลยทำให้เราเจอแกลอรี่สุดเจ๋งที่โชว์งานคอลเล็คชั่นที่เกี่ยวข้องกับภาพบุคคลหรือ Portrait โดยเฉพาะภาพวาด ภาพถ่าย รวมถึงรูปปั้นคนสำคัญของโลก และคนสำคัญของอังกฤษเองด้วย คือเก๋ไก๋มาก
หอแสดงภาพบุคคลแห่งชาติ (National Portrait Gallery) เค้าจะมีทั้งงานแสดงถาวรที่มีหลากหลายห้องให้เราได้ดู ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดของกษัตริย์อังกฤษในแต่ละยุคสมัย งานยุคสมัยศตวรรษที่ 17-18 ที่ถือเป็นยุคใหม่ของมนุษยชาติ ที่ถือเป็นยุครุ่งเรืองของงานศิลปะและวิทยาศาสตร์มากที่สุดยุคหนึ่ง นอกจากนี้เค้ายังงานแสดงหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่ซ้ำกันแต่ละซีซั่นด้วยนะเออ โดยช่วงที่ก๊อตไปก็มีงานแสดง The BP Portrait Award ที่โชว์งานประกวดภาพพอร์ตเทรตร่วมสมัยที่ชนะรางวัลจากการแข่งขันทั่วโลก คือเจ๋งมาก เดินดูเพลินเลยแหละ ใครที่สนใจศิลปะภาพบุคคล ต้องมาแล้วจ่ะแม่!
พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum)
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนที่อยากให้มากัน รองจากพิพิธภัณฑ์อังกฤษ (The British Museum) คือ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) ที่โคตรห้ามพลาดมากกกก เพราะที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ระดับเวิลด์คลาสอีกหนึ่งแห่ง และจริงๆแล้ว ต้นกำเนิดของพิพิธภัณฑ์นี้ก็อยู่ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ (The British Museum) มาก่อนนี่แหละ ก่อนจะขยายใหญ่และแยกตัวออกมาเป็น พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) โดยเฉพาะ
เอาจริ๊ง แค่เราเดินเข้ามายังฮอลล์หลัก Hintze Hall ของพิพิธภัณฑ์ ก็แทบร้องกรี๊ดแล้ว เพราะมันอลังการงานสร้างด้วยสถาปัตยกรรมวิหารแบบโรมาเนสก์ (Romanesque) ที่มีโครงกระดูก วาฬสีน้ำเงิน (Blue Whale) ความยาว 25 เมตร ที่ถือเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แขวนอยู่โดดเด่นกลางฮอลล์
นอกจากนี้ รอบๆฮอลล์ยังมีฟอสซิลหรือสัตว์อื่นๆ ให้เราได้ดูอีก อย่างเช่น โครงกระดูกไดโนเสาร์พันธุ์ Mantellisaurus ที่ถือเป็นโครงกระดูกฟอสซิลที่สมบูรณ์ที่สุดที่ถูกค้นพบในอังกฤษอีกด้วย โอ้ยแกร คือเดินดูเพลินมาก
ถัดจากฮอลล์หลักแล้ว เค้าจะแบ่งห้องโชว์หลายห้องมาก ซึ่งเค้าจะก็แบ่งตามประเภทและชนิดสายพันธ์ต่างๆ ตั้งแต่ห้องแสดงไดโนเสาร์ ซึ่งเราสามารถเรียนรู้เรื่องราวทั้งหมดของไดโนเสาร์ได้อย่างลึกซึ้งสุด อีกทั้งยังได้เห็นฟอสซิลของไดโนเสาร์พันธ์ต่างๆด้วย ที่เก๋ไก๋คือ เราจะได้เจอทีเร็กซ์ร้องคำรามตัวเป็นๆ ด้วยนะเออ เด็กๆต้องชอบแน่นอน 555555
ห้องที่ก๊อตชอบมากที่สุดของ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) คือห้องแสดงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammals) ที่เว่อร์วังด้วยหุ่นสัตว์เยอะโคตร มาทั้งก๊กของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเลยจ่ะแม่ ทั้งแมมมอธ ช้าง ยีราฟ และสัตว์อื่นๆ อีกเยอะมาก ห้องนี้เป็นอีกห้องที่นอกจากจะเห็นหุ่นสัตว์เยอะมากแล้ว ข้อมูลคือแน่นเว่อร์ รับความรู้ไปเต็มเซลล์สมองเลยจ้า
นอกจากนิทรรศการถาวรที่เล่าไปแล้ว เค้ายังมีนิทรรศการหมุนเวียนที่ผลัดเปลี่ยนกันมาโชว์ด้วย อย่างช่วงที่ก๊อตไปนั้น มี The Moon Exibition ที่แบบโคตรคูล ถ่ายรูปได้สวยมากอีกด้วย ชอบมาก
นี่ยกตัวอย่างมาแค่ไม่กี่ห้องนะเว้ย เพราะเดี๋ยวสปอยจนหมดสนุก แนะนำให้ไปเที่ยวกันต่อเองเด้อ สำหรับที่ลอนดอนถือว่าเป็นออริจินอลของพิพิธภัณฑ์แนวธรรมชาติวิทยาแหละ มีความอลังการในความขลังมาก ใครที่ชอบดูพิพิธภัณฑ์สัตว์อะไรแบบนี้ล่ะก็ นอกจากลอนดอนแล้ว ก๊อตแนะนำให้ไปเที่ยวที่เซี่ยงไฮ้ด้วย เพราะที่นั่นเค้ามี Shanghai Natural History Museum เหมือนกัน โดยที่นั่นอลังการในความโมเดิร์นขั้นสุด ซึ่งถ้าเรื่องความออริจินอลและความขลัง นี่ยกให้ลอนดอน แต่ถ้าเรื่องความอลังการของสัตว์ที่เค้าจัดแสดงโชว์ล่ะก็ เซี่ยงไฮ้คือชนะเลิศมาก ไม่เชื่อลองดูรีวิวเซี่ยงไฮ้ ของก๊อตได้ 5555555 (ดูรีวิวเซี่ยงไฮ คลิก)
พิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย แอนด์ อัลเบิร์ต (Victoria and Albert Museum – V&A)
มาต่อกันอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์สุดท้ายของการเที่ยววันนี้ แค่ข้ามถนนมาจากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Natural History Museum) ก็ถึงแล้วกับ พิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย แอนด์ อัลเบิร์ต (Victoria and Albert Museum – V&A) ซึ่งเมื่อเราเดินตึกเข้าก็ชอบแล้วแแหละ คาเฟ่ด้านหน้ากับตัวตึกของพิพิธภัณฑ์นั้นโคตรล้ำ มีความตัดกันในความโมเดิร์นและความคลาสสิคแบบเก๋ไก๋มาก เอ้อ
ความเจ๋งของ พิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย แอนด์ อัลเบิร์ต (Victoria and Albert Museum – V&A) ก็ไม่น้อยหน้านะเว้ย ที่นี่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ทางด้านศิลปะประยุกต์และการออกแบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีชิ้นงานมากกว่า 2.27 ล้านชิ้น และที่เจ๋งสุดคือ มีการแสดงชิ้นงานศิลปะของไทยเราด้วย
จากตอนแรกที่คิดว่า V&A จะเป็นพิพิธภัณฑ์งาน Contemporary Arts ล้วน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะเออ เค้ามาแบบรวมๆหลายแขนงมาก อย่างเช่นคอลเล็คชั่นชิ้นงานศิลปะตั้งแต่ ยุคคลาสสิค (Classical Antiquity) ที่ถือว่ามีเยอะและใหญ่ที่สุดนอกประเทศอิตาลี และยังมีชิ้นงานจากทุกยุคทุกสมัยทั่วโลก ทั้งสถาปัตนกรรม ภาพถ่าย ภาพวาด รูปปั้น หนังสือ เครื่องเซรามิค เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอ หรือแม้แต่แฟชั่นที่รวมเอาคอลเล็คชั่นในตำนานของแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกอีกด้วย
ในส่วนของคอลเล็คชั่นเอเชียตะวันออกนั้น ก็มีชิ้นงานของประเทศไทยตั้งแต่ยุคสุโขทัยจนถึงรัตโกสินทร์ ที่เน้นเป็นรูปปั้นพระพุทธรูปในทุกยุค รวมถึงยังมีคอลเล็คชั่น ‘Art of The Bankok Court’ ซึ่งสิ่งของในพระบรมศานุวงศ์ ตั้งแต่ปี 1782-1910 มาจัดแสดงโชว์ที่ V&A อีกด้วยแหละ ส่วนตัวคิดว่าในเมืองไทยยังหาดูสิ่งของพวกนี้ได้ยากเลย นอกจากนี้เค้ายังมีพระพุทธรูปแบบพม่ามาแสดงด้วย เลอค่ามาก
สำหรับสายติสท์ร่วมสมัย งาน Contemporary Arts เค้าก็มีเยอะ แต่ส่วนมากมักจะเป็นนิทรรศกาลหมุนเวียนมากกว่า ซึ่งแต่ละงานก็เจ๋งๆนะเออ อันนี้ต้องลองเข้าไปในเว็บ V&A กันเอง ว่าช่วงที่เราไปเที่ยวนั้น มีงานไหนแสดงอยู่บ้าง ซึ่งมีทั้งฟรีและเสียเงินเด้อ
เสร็จจากการดูพิพิธภัณฑ์เหนื่อยๆ นี่แนะนำให้เรามานั่งเล่นชิลๆ พักเหนื่อยตรงแถว The V&A Garden Cafe นะ บรรยากาศคือโคตรดีย์ มีคนเยอะแยะเค้ามานั่งเล่นกันเต็ม คือเพลินมากกกก นี่นั่งอยู่นานเพื่อพักตาจากงานศิลปะหลากหลายพันล้านชิ้นในวันนี้ 55555555555
ถนนรีเจนท์ (Regent Street)
เรามาเริ่มเดินเล่นดูของและช้อปปิ้งกันบ้างเนอะ โอ้ย หลังจากจบมิวเซียมทุกหนทุกแห่งของวันนี้แล้ว เราจะมาเดินเปื่อยช้อปปิ้งกันที่ ถนนรีเจนท์ (Regent Street) ซึ่งนี่ขอเกริ่นก่อนว่าถนนช้อปปิ้งที่ลอนคือมีเยอะและหลายแห่งมาก ที่ดังๆก็มี ถนนรีเจนท์ (Regent Street), ถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) และยังมีแถวตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) อีก และสำหรับ ถนนรีเจนท์ (Regent Street) นั้นจะเน้นแบรนด์หรูมากกว่าอ็อกฟอร์ด และอีกอย่างคือตึกเค้าตรงนี้คือสวยม๊าก คือถ้าใครไม่ใช่ขาช็อปก็มาเดินเล่นชมความสวยงามก็ได้เว้ย // นี่ก็ไม่ได้ซื้อของเหมือนกัน ตังค์ไม่มี เน้นเดินเล่นชมเมืองเปื่อยๆ จนค่ำเลย 55555
นอกจากถนนหลักแล้ว แนะนำให้เดินลัดเลาะตามซอยที่ขนานกับ ถนนรีเจนท์ (Regent Street) ด้วยนะ จะบอกว่าบาร์ และร้านค้าหลบซ่อนตามซอยเยอะมาก เผลอๆ บรรยากาศตามซอยเล็กคือดีกว่าถนนใหญ่อีก โคตรชอบ!
เที่ยวลอนดอน วันที่ 3
ตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden)
ตื่นเช้ามาในวันที่สดใส วันนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะชิลๆ เดินดูของช้อปปิ้งเบาๆ เพราะจะเป็นสุดท้ายของการเที่ยวลอนดอนพร้อมแพ็คกระเป๋ากลับไทยนั่นเอง โดยเริ่มแรกเราจะมากันที่ ตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) ที่ถือเป็นตลาดชิคๆ ที่มีทุกอย่างให้เราเลือกซื้อทั้งช็อปที่เป็นแบรนด์เสื้อผ้า รองเท้า สกินแคร์ และอีกหลายๆ อย่าง รวมถึงคาเฟ่ และร้านอาหารหลากหลายร้านมาก นอกจากนี้ ความเก๋ไก๋ของ ตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) เค้ายังมีโซนขายของเก่า และของมือสองให้เราเดินดูแบบเพลินๆ ด้วย บอกเลยว่าดีมากกกก
ส่วนตัวก๊อตคิดว่า ตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) คือย่านช้อปปิ้งที่ดีสุดในบรรดาช้อปปิ้งสตรีทในลอนดอนทั้งหมดเลยนะเออ อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ เพราะที่นี่มีครบทุกร้านในหลากหลายประเภทและครบทุกไลฟสไตล์จริงจังมาก คือ ไม่ว่าเราจะมากับใคร ชอบอะไรแบบไหน ที่นี่ตอบโจทย์ทุกคนหมดอ่ะ คือดีจริงๆเว้ย โคตรแนะนำ
ไฮไลท์เด็ดของตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) คือ แอปเปิ้ลมาร์เก็ต (Apple Market) ที่ดูจากชื่อแล้ว อาจจะคิดว่าขายผลไม้ ซึ่งเมื่อก่อน ตรงนี้เค้าก็เคยเป็นแหล่งขายผักผลไม้จริงๆ จนปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นโซนที่คนโลคอลเค้ามาตั้งแผงขายงานคราฟท์และงานดีไซน์กัน ใครชอบความ Fleamarket ในสไตล์ลอนดอน สามารถมาเที่ยวซื้อของได้ วันอังคาร-วันจันทร จะเป็นตลาดขายงานแฮนด์เมด งานปริ้นท์ จิวเวอร์รี่ งานคราฟท์ต่างๆ ส่วนวันจันทร์นั้นจะขายของเก่า งานสะสมต่างๆ นาจา
และนอกจากร้านขายของที่เยอะมากแล้ว ที่ ตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) เค้ามีลานพลาซ่าตรงกลางหน้าโบสถ์เซนต์พอล ที่หลายคนมักจะมาทำการแสดงเปิดหมวกด้วยนะ ซึ่งที่นี่เค้าดังเรื่องนี้มาก ที่หลายๆคนที่มีความสามารถจะมาจับจองพื้นที่แสดงความสามารถของตัวเองกัน ใครเปื่อย ใครเอื่อย อยากชิลๆ ก็มานั่งดูได้เก๋ๆ
ไชน่าทาวน์ (China Town)
เดินมาจาก ตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) นี่มาเดินเที่ยว ไชน่าทาวน์ (China Town) ต่อ เพราะแถวนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารถูก และแน่นอนว่าถูกปากคนเอเชียอย่างเราแน่นอน ฮ่าๆ ซึ่งบรรยากาศของไชน่าทาวน์ (China Town) ในลอนดอนนั้นก็น่ารักตามแบบฉบับจีนๆนะเออ ตึกสีสันสดใสและมักจะเป็นสีแดง ตกแต่งด้วยไฟ LED วิบวับเว่อร์ และที่ขาดไม่ได้ที่ทำให้ย่านนี้ดูเป็นจีนมากขึ้น คือการห้อยโคมแดง และมีซุ้มประตูจีน ซึ่งถ่ายรูปออกมาคือสวยนะเว้ย 555555
และร้านที่ก๊อตมากินตลอดทุกครั้งที่มาลอนดอน คือ Four Seasons อีกแล้ว เพราะจากรอบที่แล้วกินเป็ดร้านนี้ไปแล้วติดใจมากถึงกับกินหลายรอบเว่อร์ มาลอนดอนรอบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมากินอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็มากินที่สาขาไชน่าทาวน์ (China Town) นี่แหละ คิวไม่มี เข้าไปกินได้เลย สั่งมาทั้งเป็ดทั้งหมูแดง โดยรวมคือราคาไม่แรง กินอิ่มมากกกก ส่วนตัวคิดว่าว่า เป็ดที่นี่อร่อยกว่าที่ไทยมากกกกก ต้องมากินนะเว้ย ที่ลอนดอนคือออริจินอลของจริงจ่ะ
ถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street)
สุดท้ายเรามาเดินเล่นช้อปปิ้งกันต่อ (วันช้อปปิ้งที่แท้ทรู) ที่ ถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) โดยเราสามารถเดินทะลุย่านโซโห (Soho) หรือจะเดินเลียบถนนรีเจนท์ (Regent Street) เพื่อมายังถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) ก็ได้ ทุกทิศทุกทางก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนเลย ขอแค่ให้เดินขึ้นทิศเหนือ เดินทางไหนก็ถึง เพราะถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) ในส่วนของช้อปปิ้งสตรีทนั้นโคตรยาวววว 55555
ฟีลลิ่งของ ถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) ก็จะแตกต่างจาก ตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) ที่ว่า ช้อปปิ้งสตรีทที่นี่ค่อนข้างเน้นแบรนด์มาก มาครบทั้ง Fast Fashion Brand (Topshop / Topman, H&M, Zara, Uniqlo, Pull&Bear, Bershka และอีกเยอะแยะ) ทุกแบรนด์ของ Fast Fashion ที่อังกฤษ แนะนำให้ซื้อที่นี่ได้เลย ราคาถูกกว่าๆไทยแน่นอน ยกเว้นแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Uniqlo, Muji นี่ เมืองไทยถูกกว่าจ้าแม่ ส่วนแบรนด์ที่แนะนำให้ดูคือ Topman / Topshop เพราะแบรนด์นางเป็นของอังกฤษนี่แหละ ดีย์อยู่ แต่เหมือนช่วงหลังๆ ก็ดรอปลงไปเยอะ
ส่วนใครที่อยากช้อปแบบราคาประหยัด แต่ได้ของที่คุณภาพ นี่อยากแนะนำร้าน PRIMARK ที่ถือเป็นร้านใหญ่ ฟีลแนวเสื้อผ้าโลตัสบ้านเรา (แต่ PRIMARK สวยกว่ามาก) ซึ่ง PRIMARK ที่ ถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) ก็ใหญ่อลังการ มีถึง 3-4 ชั้นเลยมั้งน่ะ เสื้อผ้าคือเยอะมาก นอกจากนี้ยังมีพวกของใช้ในบ้าน และยังมีสกินแคร์แบรนด์ตัวเองได้ ส่วนตัวนี่ว่า ไปซื้อเสื้อผ้าเรียบๆ ไว้ใส่อยู่บ้าน คือดีย์ ของคุณภาพโอเคเลยนาาา
เรื่องรองเท้านี่ มีบางรุ่นที่ถูกกว่า และหาไม่ได้ในไทยนะเออ ที่ถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) มีทั้ง Nike และ Adidas แต่ร้านที่อยากแนะนำให้ไปคือร้าน JD Sports (ที่พึ่งมาเปิดในไทยไม่กี่ปีนี้) ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า JD Sports มาจากอังกฤษ ที่รวมทุกแบรนด์ของ Sportwears และของเค้าค่อนข้างที่จะคัดมาแล้วด้วย อันนี้คือดีย์จริง และบางที นางชอบเอาหลายๆรุ่นมาลดด้วย นี่เลยชอบมาก แนะนำเลย
⚡️เอ้อ สรุปแล้ว ถนนอ็อกฟอร์ด (Oxford Street) ก็ถือเป็นเป็นช้อปปิ้งสตรีทที่มีช็อปครบแบรนด์จริง และยังเป็นแบรนด์ที่หลายคนเข้าถึงได้ด้วย ซึ่งจะต่างจากที่ ถนนรีเจนท์ (Regent Street) ที่เป็นแนวหรูหน่อยๆ กับ ตลาดโคเวนท์การ์เดน (Covent Garden) ที่เป็นแนวชิคๆ เอาเป็น การช้อปปิ้งที่ลอนดอน ถือว่าเป็นเมืองที่ช้อปสนุกนะเว้ย และหลายอย่างที่เป็นแบรนด์ฝรั่งอยู่แล้ว ก็ถูกกว่าเมืองไทยเกือบทุกอัน สรุปคือ เยิฟฟฟ มาก ♥️
ที่เที่ยวในลอนดอนยังไม่หมด
นี่ยังมีรีวิวลอนดอนของครั้งแรกด้วยนะจ๊ะ คลิกที่รูปโลด ♥️
ลอนดอนที่ไปครั้งแรกก็ไปเยอะเอาเรื่อง ซึ่งมีอีกหลายที่ที่อยากให้ไปตามรอยด้วย นั่นคือ Warner Bros. Studio Tour London – The Making of Harry Potter, Emirates Stadium – Arsenal FC, The Shard, St. Paul’s Cathedral, Westminster Bridge และ Bicester Village คือเยอะมากกกกก ต้องอ่านนะเว้ย คลิกเลย
กิจกรรมยอดฮิตอื่นๆ ในลอนดอน (London)
นอกจากรีวิวเที่ยวลอนดอนอันนี้ที่สามารถตามรอยเที่ยวได้แบบเก๋ไก๋แล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นอีกเยอะแยะให้เราเที่ยวเนอะ ถ้าให้ง่ายก็ลองดูกิจกรรมยอดฮิตในลอนดอนกันได้เล้ย คัดมาแล้วให้แล้วแบบจุกๆจ้า
ที่พักในลอนดอน
La Suite West Hotel London
สำหรับที่พักที่ก๊อตได้พักในครั้งนี้คือ La Suite West Hotel London ซึ่งอยู่ในย่าน Bayswater ใกล้ๆกับ Hyde Park ถ้าให้พูดถึงเรื่องโลเคชั่นของโรงแรม จากสิบคะแนน นี่ให้เกินสิบคะแนนอีก เพราะย่าน Bayswater นั้นเต็มไปด้วยของกิน โดยมีร้านอาหารและซุปเปอร์มาร์เก็ตเยอะมากบนถนนเส้นนี้ โดยเฉพาะ ร้านเป็ดย่าง Four Seasons ที่อร่อยมาก กรี๊ดด คือบอกเลยว่าไม่อดตาย แถมยังสะดวกด้วยรถไฟใต้ดินสองสถานีคือ สถานี Bayswater และ Queensway นะแจ๊ะ รถไฟสามสายผ่านตรงนี้เลยเด้อ
มาที่ La Suite West Hotel London กันบ้าง โรงแรมนี้ถือเป็นโรงแรมหรูในย่านนี้ เรื่องของที่พักคือดีอยู่ เตียงนอนสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกครบ จะขัดใจก็เรื่องของการออกแบบตู้เสื้อผ้า ที่ทำดีไซน์แปลกๆ เปิดหลายทบหลายต่อ สำหรับห้องน้ำคือเริ่ด ตกแต่งด้วยหินอ่อน สวยหรูเว่อวังอลังการ แต่อ่างอาบน้ำดันมีที่กั้นกระจกสั้นมาก อาบทีน้ำกระเด็นกระจายเปียกเต็มพื้นเล้ย
ส่วนอาหารเช้า แนะนำว่าไปกินข้างนอกดีกว่า เพราะร้าอาหารของโรงแรมเป็นแบบ Vegan โดยอาหารเช้าไม่มีอะไรเลย มีแต่ขนมปังและซีเรียลที่โคตรไม่สมราคาอ่ะ เอาจริง อย่าซื้อแล้วไปกินด้านนอกจ้า รีวิวแบบตรงไปตรงมามาก 55555555
สรุปรีวิวโรงแรม La Suite West Hotel London คือ โลเคชั่นดีมาก ห้องพักโอเค นอนสบายและหรูหราดีย์ มาพักไม่ผิดหวังนะ แค่อย่าซื้ออาหารเช้าของโรงแรมแล้วไปกินข้างนอกคือดีย์จ้า
ราคาห้องพักเริ่มต้น 7,000 บาท/คืน ดูเรทและจอง ลา สวีท เวสต์ ไฮด์พาร์ค (La Suite West – Hyde Park) สามารถคลิกลิงค์ด้านล่าง เพื่อดูเรทราคาและจองผ่าน OTA ที่ชอบได้เลย
ดูเรทและจองผ่าน Agoda ดูเรทและจองผ่าน Booking ดูเรทและจองผ่าน Expedia ดูเรทและจองผ่าน Trip ดูเรทและจองผ่าน Hotels
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡