Isle of Skye หรือ เกาะสกาย ถือเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายคนที่ใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวมาก เพราะแลนด์สเคปที่นี่ที่ถือว่าสวยมากที่สุดแห่งหนึ่งอังกฤษเลยก็ว่าได้เลยเหอะ ทั้งภูเขาทรงแปลกประหลาดที่เหมือนเราหลุดเข้าไปยังหนังเอเลี่ยน “The Old Man of Storr (ดิโอลด์แมน ออฟ สตอรร์)” ที่หนังหลายเรื่องเคยมาถ่ายทำที่นี่กันแล้วนั่นเอง
ใครที่ได้มาเที่ยวที่นี่ ก๊อตว่า 99% คือเช่ารถและขับรถเที่ยวกันเนอะ บอกเลยว่า Road Trip นี้สนุกสนาน อีกทั้งก๊อตยังแนะนำให้เราเตรียมตัวเดินเทรลกันด้วย เพราะเส้นทางเทรลเค้าโคตรสวยด้วยความอลังการของธรรมชาติ และยังเป็นไฮไลท์หลักที่สุดของที่นี่อีกด้วยนาจา เอาเป็นว่า เกริ่นเว่อร์มาขนาดนี้แล้ว มาตามอ่านกันเลยดีกว่า! 555555
รีวิว เที่ยวอังกฤษ + แพลนเที่ยวอังกฤษ
สำหรับการไปเที่ยวอังกฤษรอบนี้ ถือเป็นการเที่ยวอังกฤษรอบที่สองหลังจากรอบแรก ภายในหนึ่งเดือนแค่นั้นเอง คือจะเรียกบ้าก็ว่าบ้า เพราะครั้งแรกไปแล้วรู้สึกยังไม่เต็มอิ่ม แถมไปแค่ลอนดอนที่เดียว มารอบสองรอบนี้เลยจัดเต็มชุดใหญ่เลยจ้าแม่ ใช้เวลาทั้งหมด 11 วัน 10 คืน โดยเราจะบินไป-กลับไทย จากลอนดอน และไปเที่ยวยังเมืองต่างๆ ตั้งแต่ ยอร์ค (York) เอดินบะระ (Edinburgh) อินเวอร์เนสส์ (Inverness) เกาะสกาย (Isle of Skye) บาธ (Bath) และจัดเต็มก่อนกลับไทยที่ ลอนดอน (London) นั่นเอง ใครที่อยากตามรอยอะไรแบบนี้ ดูแพลนแบบละเอียดด้านล่างเลยจ้า ทำมาเป็นตารางให้แล้วจ้าา
รีวิวประเทศอังกฤษ ทั้งหมดของ Hashcorner
1. รีวิว ยอร์ค (York) คลิก
2. รีวิว เอดินบะระ (Edinburgh) คลิก
3. รีวิว อินเวอร์เนสส์ (Inverness) คลิก
4. รีวิว เกาะสกาย (Isle of Skye) คลิก
5. รีวิว บาธ (Bath) คลิก
6. รีวิว ลอนดอน (London) #1 คลิก
7. รีวิว ลอนดอน (London) #2 คลิก
เริ่มเที่ยวกันดีกว่า!
วันที่ 01 เกาะสกาย (Isle of Skye)
ถ้าใครที่อ่านรีวิวเที่ยวอังกฤษของก๊อตมาทั้งหมด หรือได้ดูแพลนเที่ยวอังกฤษของก๊อตมาคร่าวๆ แล้ว อาจจะรู้ว่าวันนี้คือวันที่ก๊อตขับรถมาจากเมืองอินเวอร์เนสส์ (Inverness) และได้แวะเที่ยวทั้ง ปราสาทเออคูฮาร์ท (Urquhart Castle) และ ปราสาทอีเลียนโดนัน (Eilean Donan Castle) มาก่อนช่วงเช้า ซึ่งก๊อตเองได้ทำรีวิวแยกในส่วนนี้ไว ถ้าใครอยากอ่านรีวิว สามารถคลิกอ่าน รีวิวอินเวอร์เนสส์ (Inverness) ได้เล้ย
เสร็จจากปราสาททั้งสอง ก๊อตก็ได้ขับรถต่อไปยัง เกาะสกาย (Isle of Skye) เพื่อเที่ยวต่อในรีวิวนี้นั่นเอง โดยเมืองที่เราจะลงหลักปักฐานในการนอนคืนนี้นั้นจะอยู่ที่ เมืองพอร์ทรี (Portree) ซึ่งถือเป็นเมืองที่ค่อนข้างที่จะครบถ้วนสมบูรณ์ในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด ไมว่าจะเป็นร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และความครึกครื้นของเมืองนะจ๊ะ สำหรับเรื่องที่พักในเมืองพอร์ททรี (Portree) ที่ก๊อตเลือกนั้น สามารถเลื่อนลงอ่านท้ายสุดของรีวิวนี้ได้เลย ที่พักอันนี้คือปังสุดในราคาดีงามที่อยากแนะนำมากที่สุดของทริปอังกฤษนี้เลยจ่ะแม่จ๋า
สะพานเก่าสลิกัคฮัน (Sligachan Old Bridge)
กว่าจะขับรถมาถึงเกาะสกายนี่ บอกเลยว่าค่อนข้างบ่ายแก่มากแล้วแหละ เมื่อข้ามสะพานสกายบริดจ์ (Skye Bridge) เข้าสู่เกาะสกายมาเรียบร้อยแล้ว จุดแรกที่ได้แวะลงจอดพักเหนื่อยคือ สะพานเก่าสลิกัคฮัน (Sligachan Old Bridge) ที่อยากให้ลงมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายกัน พร้อมดูวิวสวยๆ ของแม่น้ำและภูเขาด้านหลังกันเด้อ ประเด็นคือตรงนี้สวยโคตร ถ่ายรูปออกมาคือฟิน แถมยังมีตำนานเรื่องเล่าและยังมีความเชื่อหนึ่งในการทำให้เราสวยสะพรั่งไม่เสื่อมคลายด้วย (งู้ยยย 😂)
สะพานเก่าสลิกัคฮัน (Sligachan Old Bridge) นี่ถูกสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1810-1818 แล้วแหละ เรียกวว่าค่อนข้างมากทีเดียว เพราะมีอายุมากกว่า 200 ปีแล้ว ซึ่งสะพานเก่านี้ไม่ได้ถูกใช้งานในการสัญจรไปมาด้วยรถยนต์ เพราะเค้าสร้างสะพานอันใหม่ขนาบข้างมาใช้แทนเรียบร้อย ทีนี้ สะพานเก่าสลิกัคฮัน (Sligachan Old Bridge) ก็เลยกลายเป็นสะพานที่เราสามารถเดินเล่นดูวิวได้อย่างสบายใจชะเอิงเอย 5555
เรื่องเล่า สะพานเก่าสลิกัคฮัน (Sligachan Old Bridge)
ตำนานเรื่องเล่าและความเชื่อของที่นี่นั่นก็คือ เมื่อก่อนในดินแดนของเกาะสกายนั้น มีนักรบหญิงผู้แข็งแกร่งแห่งสกอตแลนด์ ชื่อว่า Scáthach โด่งดังไปทั่วทุกสารทิศ จนกระทั่งได้ยินไปถึงหูของนักรบชายผู้แข็งแกร่งแห่งไอร์แลนด์ Cúchulainn เมื่อได้ยินก็อยากลองของอยากชนะ ก็เลยข้ามน้ำ ข้ามทะเลมายังเกาะสกายเพื่อปราบเซียน และดูว่าใครแกร่งกว่ากัน ตำนานเค้าบอกเลยว่า สู้กันดุเดือดจนดินแด่นสั่นสะเทือนจนกลายเป็นหุบเขาและภูเขาต่างๆในดินแดนเกาะสกายแห่งนี้เลยแหละ จนเมื่อลูกสาวของ Scáthach กลัวจนร่ำไห้ที่แม่น้ำตรงนี้เพราะมีโอกาสน้อยมากที่แม่นางจะชนะ จนนางฟ้าตัวน้อยได้ยินเข้า เลยมาปรากฎตัว และให้นางเอาหัวจุ่มน้ำเพื่อล้างหน้า หลังจากนั้นนางก็รู้ได้ถึงวิธีที่จะหยุดสงครามนี้
หลังจากนั้น ลูกสาวก็รีบกลับบ้าน ระหว่างทางก็เก็บสมุนไพรและถั่วต่างๆ เพื่อไปทำอาหารที่บ้านของแม่และให้กลิ่นอาหารโชยออกไป เมื่อทั่งคู่ได้กลิ่นอาหาร เพิ่มเติมด้วยความเหนื่อยและหิวจากการต่อสู้ เค้าเลยได้เข้าไปในบ้านและได้รับประทานอาหารที่ลูกสาวนางได้เตรียมไว้ให้ ซึ่ง Cúchulainn ได้กลายเป็นแขกบ้านของ Scáthach ไปโดยปริยาย และในความที่เป็นแขกบ้านแขกเรือนกัน ตามมารยาทแล้ว “You can’t fight someone who has hosted you… Ever” นั่นหมายความว่าเราจะไม่สู้กับคนที่เคยให้เราอยู่อาศัยนั่นเอง การต่อสู้เลยจบโป๊ะ เออ 5555
จากตำนานนี้ เค้าเลยบอกว่า การเอาหัวจุ่มน้ำที่แม่น้ำตรง สะพานเก่าสลิกัคฮัน (Sligachan Old Bridge) จะทำให้เราสวยสะพรั่งตลอดไป ความสวยในที่นี้เค้าบอกว่ามันแล้วแต่คนจะแปลความเนอะ บางคนอาจจะหมายถึงรูปร่างหน้าตา แต่บางอาจจะหมายถึงความสวยจากภายใน อันนี้ก็ลองแปลความและอธิษฐานกันได้เลย ใครอยากลองก็สามารถไปนั่งอยู่ริมขอบแม่น้ำแล้วเอาหน้าจุ่มน้ำลงไปซัก 7 วินาที จากนั้นปล่อยให้แห้งโดยที่เราไม่เช็ด เค้าบอกว่า นั้นคือการได้รับพลังความสวยงามเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ฮ่า // อันนี้แล้วแต่วิจารณญาณแต่ละคนเนอะ ใครสายมูอยากลองก็ลองได้เล้ย 55555 (แต่ก๊อตไม่ได้ทำ)
นีสท์พอยท์ (Neist Point)
ตอนแรกที่เสร็จจาก สะพานเก่าสลิกัคฮัน (Sligachan Old Bridge) คือลังเลมากว่าจะยังไงต่อไปดี เพราะจริงๆแล้วเมืองพอร์ทรี (Portree) ก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้แล้วแหละ ตามแพลนเดิมนั้นคือกะจะเข้าเมืองแล้วนอนพักต่อเลย แต่ตอนนั้นมันก็เหลือเวลาอีกซักประมาณเกือบๆ 2 ชั่วโมงกว่าที่พระอาทิตย์จะตกดิน นี่เลยรีบขับรถไปยังจุดที่อยากไปมากที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะสกาย (Isle of Skye) แถมยังไกลโคตรๆ เพราะมันตั้งอยู่อยู่ริมขอบปลายสุดทางด้านซ้ายของเกาะสกาย ที่นั่นคือ นีสท์พอยท์ (Neist Point) นั่นเองงง
หมดอายุ: 11-11-2024
หมดอายุ: 11-11-2024
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ระยะเวลาการขับรถจาก สะพานเก่าสลิกัคฮัน (Sligachan Old Bridge) ไปยัง นีสท์พอยท์ (Neist Point) ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ เส้นถนนมีความยากพอสมควร เพราะ 60% ของถนนนั้นเป็นเลนเดียวแคบๆ ที่แยกออกมาจากถนนใหญ่ และต้องคอยขับรถเบี่ยงตามจุดหลบตลอดทางหากมีรถขับสวน ซึ่งนี่โคตรตื่นเต้นตอนขับเส้นนี้ เพราะรถเราที่เช่ามานั้นค่อนข้างใหญ่ด้วยแหละ 5555
กว่าจะถึง นีสท์พอยท์ (Neist Point) ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบเหมือนกัน แถมพระอาทิตย์ก็กำลังจะตกแล้วด้วยแหละ นี่เลยรีบวิ่งเข้าไปด้านเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกและดูวิวหอประภาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของ นีสท์พอยท์ (Neist Point) อันโด่งดัง ระหว่างทางเราก็ได้จะเห็นภูเขาริมทะเลสวยๆ และน้องแกะที่กำลังเดินเล่นและกินหญ้าประปรายตามทาง
ทั้งหมดทั้งมวลคือสวยโคตรๆ คือคุ้มค่าแก่การขับรถมามากแน่อน ส่วนช่วงเวลาที่แนะนำให้มา คือตอนพระอาทิตย์ตกนี่แหละ คือพีคที่สุดแล้วเด้อ ก๊อตนี่อยู่จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเลย ตอนกลับมายังที่จอดรถนี่คือต้องเอาไฟโทรศัพท์มาส่องทางอ่ะ ฮ่า
เมื่อเสร็จจาก นีสท์พอยท์ (Neist Point) ก็ขับรถกลับไปยัง เมืองพอร์ทรี (Portree) ที่เราจะพักกันในคืนนี้ ซึ่งถ้าใครกลับมืดๆ พระอาทิตย์ลับฟ้าแล้วแบบก๊อต แนะนำให้ขับอย่างระมัดระวัง และอย่าซิ่งเว้ย เพราะอย่างที่บอกไปคือ ทางแคบมากๆ และตลอดเส้นทางไม่ได้มีไฟเลียบถนนนะจ๊ะ ดังนั้น ขับกันดีๆ และขับกันอย่างปลอดภัยด้วย
วันที่ 02 เกาะสกาย (Isle of Skye)
สำหรับวันที่ 2 ของการเที่ยวเกาะสกาย (Isle of Skye) นั้น เป็นวันแห่งการเดินเทรลและเทรคกิ้งอย่างแท้จริง ใครที่เป็นสายชอบเดินและสำรวจธรรมชาติแบบก๊อตนี่ คือแนะนำมากๆ เพราะทั้งหมดของวันนี้ที่ก๊อตไป ถือเป็นไฮไลท์ที่สุดของเกาะสกาย (Isle of Skye) เลยก็ว่าได้เหอะ ซึ่งรูทการเที่ยวและขับรถของเรานั้น จะวนลูปเป็นวงกลมโดยเริ่มจากเมืองพอร์ทรี (Portree) และวนไปตามแหลมทรอทเทอร์นิช (Trotternish Peninsula) ตามภาพแผนที่ด้านล่างนี้เลย
ตัวก๊อตเองคือขับรถเที่ยววนซ้ายเนอะ เริ่มต้นตั้งแต่ The Fairy Glen (เดอะ แฟรี่เกล็น) > The Quiraing (เดอะ เควียแรง) > Mealt Falls (น้ำตกมีลท์) และสุดท้ายที่ The Old Man of Storr (ดิโอลด์แมน ออฟ สตอรร์) จุดที่จะหนักๆของการเดินเทรลและเทรคกิ้งคือ The Quiraing และ The Old Man of Storr นะจ๊ะ ความโหดไม่ได้มาก แต่ต้องใช้ความอึดนิดหน่อย
ดังนั้นก่อนที่เราจะมาเที่ยว แนะนำให้เราเตรียมตัวให้ดีๆ ใครไปฤดูไหน เช็คด้วยนะเว้ย เพราะบางเดือนอย่างเช่นฤดูหนาวนั้นมีหิมะ และอาจจะไม่เหมาะต่อการมาเดินเทรลและเทรคกิ้งนะจ๊ะ ส่วนรีวิวนี้ที่ก๊อตไปเที่ยวนั้น ก๊อตไปช่วงเดือนปลายเดือนกุมภาพันธ์เน้อ
The Fairy Glen (เดอะ แฟรี่เกล็น)
ที่แรกกับ The Fairy Glen นั้น เหมือนการวอร์มอัพเดินเล่นชิลๆ ก่อนที่จะไปจัดหนักจัดเต็มกับ The Quiraing นั่นเอง โดยที่นี่เค้าก็เปรียบเสมือนเป็น The Mini-Quiraing ขนาดเล็กด้วยนะ เพราะรูปร่างหน้าตาของภูเขานั้นคล้ายกัน แต่มีขนาดย่อส่วนลงมามากในระยะที่เราเดินเล่นได้หมดภายในเวลาแปปเดียว
ความเก๋ของ The Fairy Glen คือ มันมีลานหญ้าสีเขียวที่มีเส้นรูปวาดทรงเกลียววนๆ พร้อมหินที่วางตามเส้นประหนึ่งจุดนี้เหมือนเป็นสถานที่ทำพิธีกรรมไรซักอย่าง ซึ่งจะบอกว่า นี่คือสิ่งที่มนุษย์นักท่องเที่ยวได้สร้างและทำขึ้นแหละ ไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่ดันกลายเป็นสัญลักษณ์เบาๆ ของที่นี่ไปสะงั้น เอ้อ มันก็น่ารักดี 5555 // แต่จริงๆ เค้าบอกว่า อย่าเอาหินไปวางตามเส้นเพิ่มอีกนะ เพราะคนท้องถิ่นจริงๆ แล้วเค้าไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เด้อ
ส่วนอีกอันที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่คือเขาเล็กๆ ที่หน้าตาเหมือนปราสาท ซึ่งภูเขานี้ก็มีชื่อเล่นกับเค้าด้วยว่า ‘Castle Ewen’ ส่วนตัวก๊อตแนะนำให้ปีน เพราะมันปีนได้แบบโคตรง่ายในระยะเวลา 5 นาที เมื่อขึ้นไปด้านบนนั้น เราจะเห็นท็อปวิวในบริเวณของ The Fairy Glen ทั้งหมดด้วย ถือว่าดีเลยทีเดียวเชียว
The Quiraing (เดอะ เควียแรง) – เทรล 6.5 กิโลเมตร / 4 ชั่วโมง
มาถึงของจริงที่ก๊อตคิดว่าน่าจะหนักที่สุดของทริปเกาะสกาย (Isle of Skye) วันนี้แล้วแหละ The Quiraing (เดอะ เควียแรง) โดยนี่เป็นแทร็คเดินเทรลระยะทางประมาณ 6.5 กิโมเลตร ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ถ้าใครเป็นคนที่เดินเดินเรื่อยๆ ไม่ได้ขายาวแบบฝรั่ง ก๊อตแนะนำให้เผื่อเวลาไปประมาณ 5 ชั่วโมงได้เลย เพราะแทร็คนี้ค่อนข้างไกลเอาเรื่อง แต่ความยาวนี้ ก็แลกมาด้วยความสวยงามมากที่สุดของเกาะสกายเช่นเดียวกัน เอ้อก็ต้องยอมแล้วป๊ะ // เอาเป็นว่า ก่อนจะเดิน อย่าลืมพกน้ำขวดใหญ่ซักขวดติดตัวไปด้วยเน้อ เพราะเดินนาน ระยะทางไกล มีน้ำคืออุ่นใจนะจ๊ะ
การเดินแทร็ค The Quiraing นั้น มันจะเดินไปและเดินกลับ โดยทางที่แนะนำอย่างเป็นทางการนั้นคือจะเดินตามทางเลียบภูเขาชันไปเรื่อยๆ เราจะได้เจอรูปร่างหินสวยๆ เยอะมาก จากนั้นเราจะลงไปเดินยังหุบเขานิดหน่อยก่อนจะขึ้นเข้าอีกครั้งจนสุดปลายทาง จากนั้นค่อยย้อนกลับบนที่ราบสูงภูเขากลับมายังจุดเริ่มต้นนั่นเอง // รายละเอียดข้อมูล แผนที่ และการเดินเทรลทั้งหมด แนะนำให้กดดูเว็บ Walkhighlands ที่นี่ มีครบทุกอย่าง
ประเด็นคือ ตอนที่ก๊อตได้ไปเดิน The Quiraing นั้น ตอนแรกก็ดูข้อมูลไปบ้างแล้วแหละ แต่พอไปเดินจริงคือก๊อตเดินไปถึงสุดปลายทางเรียบร้อยแล้วและเห็นทางเดินที่ขึ้นไปยังที่ราบสูงแล้วด้วย แต่ตอนนั้นคือลืมและไม่รู้ตัวเองว่าถึงปลายทางแล้ว และยังไม่รู้ว่าทางเดินที่วกกลับมาขึ้นเนินที่ราบสูงนั้นคือทางกลับ (ตอนนั้นคิดว่ามันเป็นทางเดินต่อไปเรื่อยๆ และเห็นคนเดินต่อกันไปด้วยนี่แหละ) ด้วยความกังวลว่าตอนนั้นคือตอนบ่ายสายๆ และกลัวไปเดิน The Old Man of Storr ไม่ทัน เพราะจะมืดและเดินไม่ได้ซะก่อน นี่ก็เลยเลือกเดินกลับทางเดิมทั้งหมด
โอ้ยยย นี่อยากจะโขกหัวตัวเอง สรุปก็คือ ก๊อตเดินไปสุดปลายทางและเดินกลับทางเดิม และวิวเดิมนั่นเองซึ่งโคตรเสียดาย ฮือ เอาเป็นว่าเดี๋ยวก๊อตจะชี้จุดในรูปว่าตรงไหนคือปลายทางที่เราสามารถเดินกลับอีกทางที่เป็นที่ราบสูงของเส้นทางนี้เน้อ แนะนำให้ดูแผนที่เว็บ Walkhighlands ประกอบด้วยเนอะ
ช่วง 1/2 แรก คือเราจะเดินบนทางเดินเล็กๆ ที่อยู่บนภูเขาลาดชัน คือมันชันมากจริงๆนะเว้ย ฝั่งด้านซ้ายทางเดินคือชันสูง สามารถมองเห็นวิวยอดเขาสวยๆได้ใกล้ ส่วนด้านขวาคือทางลาดชันที่ตัวก๊อตเองคิดว่า ถ้าเผลอกลิ้งตกลงไปคือต้องสาหัสสากรรจ์แน่นอน คือมันเสียวมากเว้ย บางช่วงคือทางแคบมาจนต้องเอามือซ้ายจับยึดกับเข้าไว้เลยแหละ 5555555 // แต่ก็ต้องยอมว่า วิวทางด้านฝั่งขวานั้นคือภาพของเกาะสกายในแบบพาโนรามาที่สวยมากแบบนอนตายตาหลับเลยมึ้งง
ช่วงนี้มันจะมีภูเขาสองจุดที่สวยเอาเรื่อง มันจะมีภูเขาขนาดใหญ่ฝั่งขวาเรียกว่า “Prison” ที่รูปร่างของภูเขานั้นเหมือนปราสาทคล้ายเหมือนคุก อีกจุดหนึ่งที่สวย จะอยู่ทางด้านซ้ายไม่ไกลกัน ตรงนี้เค้าจะเรียกว่า “The Needle” ที่เป็นเสาหินหลายอันตั้งเหมือนเป็นเข็ม รูปร่างของทั้งสองภูเขานี่ คือเหมือนตัวเองหลุดไปในหนังฟิกชั่นวิทยาศาสตร์เว่อร์ โคตรชอบบบ
ไอ้เขา “Prison” อ่ะ ตอนที่ก๊อตเดินเทรลอยู่นั้น มีฝรั่งปีนขึ้นไปด้านบนด้วย ด้วยความบ้าของตัวเอง แต่ไม่ยอมดูสภาพรองเท้าที่ตัวเองใส่อยู่ เห็นเค้าปีนกันก็อยากปีนบ้าง พอปีนไปหน่อยคือแทบจะลื่นตกเขาตาย เพราะพื้นมันเป็นทรายร่วนที่ลื่นโคตรๆ ใครจะทำอะไร ดูรองเท้าตัวเองด้วยเด้อ ตอนนั้นก๊อตใส่ Adidas Ultraboost ไป ซึ่งมันเป็นรองเท้าวิ่ง (แต่มันใส่เดินสบายมากกก) จริงๆ มันควรต้องใส่รองเท้าปีนเขา หรือรองเท้าเดินเทรลที่พื้นเท้ามีลูกดอกในการยืดเกาะพื้นเนอะ
อีกครึ่งทางหลังก็จะเป็นทางเดินที่ขนาบข้างด้วยภูเขาสูงๆ ซึ่งแตกต่างกับเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง เดินไปเรื่อยๆ อยู่ซักพักก็จะถึงสุดปลายทางที่เห็นวิวสุดลูกหูลูกตา ตรงนี้แหละก็จะเป็นทางวกกลับที่เราสามารถเดินกลับบนเนินที่ราบสูงเพื่อกลับไปยังลานจอดรถได้ ส่วนไอ้ก๊อตเองนั้น ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เดินกลับทางเดิมจ้า โคตรเสียดาย 55555
เนี่ยยย .. รูปด้านล่างนี้คือทางวนที่เดินขึ้นที่ราบสูงฝั่งขวาเพื่อเดินกลับไปยังลานจอดรถได้ ซึ่งตอนนั้นก๊อตไม่รู้ โคตรเสียดาย หากใครที่เดินมาตรงนี้แล้ว ให้เดินวนขึ้นเนินเลยจ้า เห็นตัวคนเล็กๆในรูปป่ะ นั่นแหละ โคตรสวย // กว่าจะถึงลานจอดรถก็เหนื่อยแต่ก็สนุกมาก นี่ก็นั่งพักเหนื่อยซักพักก่อนจะรีบขึ้นรถเพื่อขับไปยัง The Old Man of Storr เพราะมันจะเริ่มเย็นล้าววว กรี๊ดดด
Mealt Falls (น้ำตกมีลท์)
ก่อนจะไปเดินเทรลที่ The Old Man of Storr เราขอแวะดู Mealt Falls (น้ำตกมีลท์) กันก่อน ซึ่งตรงนี้เราจะไม่ได้เดินอะไร แต่แค่เข้าไปดูจุดชมวิวที่เราสามารถเห็นน้ำตก Mealt Falls ที่ไหลมาจากทะเลสาบมีลท์ (Loch Mealt) จากฝั่งตรงข้ามถนนนั่นเอง ความพิเศษของน้ำตกนี้ก็คือ เป็นน้ำตกที่ไม่ค่อยเหมือนน้ำตกทั่วไปที่มักจะไหลลงแม่น้ำ แต่น้ำตกที่นี่คือไหลลงทะเลไปเลยจ้า ฮ่าๆ และอีกอันที่สวยพีคคือ ทัศนียภาพทั้งหมดของที่นี่ที่เป็นหน้าผาสูงกับทะเลด้านล่าง ตรงนี้เค้าเรียกว่า คิลท์ร็อค (Kilt Rock) โดยหน้าผานี้ก็วางตัวเป็นคอลัมน์สวยงามแบบอลังการเลยทีเดียว ดีนะเว้ย แวะมาดูวิวสวยๆ ก่อนไปเดินเทรลต่อ 55555
The Old Man of Storr (ดิโอลด์แมน ออฟ สตอรร์) – เทรล 4.5 กิโลเมตร / 2 ชั่วโมง
อีกหนึ่งที่ไฮไลท์ของ เกาะสกาย (Isle of Skye) นี่ขอยกให้กับ The Old Man of Storr เลยแหละ เพราะนี่ถือเป็นสถานที่ทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเกาะสกาย (Isle of Skye) และแน่นอนว่า ทุกคนต้องมาที่นี่แบบห้ามพลาดเลยนะเว้ย นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมนี่ต้องรีบออกมาจาก The Quiraing ก่อน เพราะกลัวพระอาทิตย์จะตกดินแล้วอดมาเดินที่นี่นั่นเอง
The Old Man of Storr คือกลุ่มหินยอดแหลมที่มีชื่อเสียงมากกกก ของสกอตแลนด์แหละ โดยจะมียอดที่สูงสุดที่ของกลุ่มเรียกว่า “The Old Man” โดยมีความสูงอยู่ที่ 50 เมตร และกลุ่มหินด้านหลังจะเรียกว่า “Storr” นั่นเอง ที่นี่ใช้เป็นที่ถ่ายหนังก็หลายเรื่องนะเออ เพราะเมื่อเราได้ไปอยู่ ณ ตรงนั้น คือเหมือนอยู่ในดาวเอเลี่ยนมาก คือถ้ามียานอวกาศบินมานี่คือเชื่อแล้ว 55555
ระหว่างเราเดินเทรลด้านบน นอกจากกลุ่มหินยอดแหลมสวยๆ แล้ว ฝั่งตรงข้ามเราจะได้เห็นทะเล Sound of Raasay รวมถึงแผ่นดินใหญ่ของสกอตแลนด์ด้วยเด้อ ล้ำค่ามากมึ้ง
ทางเดินมาหลายทางมาก แต่หลายคนเค้าเดินมุ่งหน้าผ่านกลุ่มหิน The Old Man of Storr เพื่อไปยังจุดชมวิวด้านขวาๆ ที่เหมือนเป็นที่ราบเนินสูง ตอนแรกนี่ก็จะเดินตรงดิ่งไปเหมือนกัน แต่ด้วยความที่โคตรเย็นมากแล้ว อีกทั้งแฟนก๊อตที่เคยมาเดินแล้วรอบนึงบอกว่า ทางเดินมันเปลี่ยนไป เมื่อก่อนเค้าจะเข้าไปยังกลุ่มหินยอดแหลมกัน นี่เลยตัดสินใจไม่ไปทางด้านขวาเพื่อขึ้นดูวิวแล้ว ขอปีนขึ้นไปเดินตรงพวกแนวเขาดีกว่า ซึ่งนี่ก็ตัดสินใจไม่ผิด คือมันสวยมากกกกกกก และที่นี่คือที่ที่ประทับใจมากที่สุดของทริปสกอตแลนด์เลยก็ว่าได้ (ไม่แปลกใจตัวเอง เพราะเป็นสายธรรมชาติ 5555)
ใครที่พอมีเวลาเดิน ไม่ได้เร่งรีบเหมือนที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว นี่ยังแนะนำให้เดินไปยังด้านขวาที่เป็นที่ราบสูงเพื่อดูวิวก่อนเนอะ ตรงนั้นจะเห็นวิวภาพกว้างของ The Old Man of Storr ทั้งหมด รวมถึงทะเล Sound of Raasay และแผ่นดินใหญ่สกอตแลนด์ด้วย จากนั้นค่อยเดินมายังบริเวณกลุ่มหินยอดแหลม แล้วค่อยเดินกลับเด้อ
ส่วนตัวก๊อตคิดว่า ทางเดินที่นี่ไม่ยากเลย เดินแบบเรื่อยๆ เปื่อยๆ แบบชิลๆได้เลย ทางไม่ได้หวาดเสียวเหมือน The Quiraing ที่ด้านขวาแทบจะกลิ้งตกภูเขางี้ ใครที่กลัวว่าจะเดินไม่ได้ บอกเลยว่าเดินได้ทุกคน แถมธรรมชาติยังสวยระดับเวิลด์คลาสด้วยนะเออ หลังจากเดินเสร็จ นี่ก็ขับรถกลับที่พักอย่างแฮปปี้เลย 💙
วันที่ 03 กลับลอนดอน
สำหรับวันที่ 3 เกาะสกาย (Isle of Skye) ของก๊อตนั้น คือการขับรถกลับไปยัง เมืองเอดินบะระ (Edinburgh) เพื่อคืนรถที่เราเช่ามา ซึ่งระยะทางทั้งหมดอยู่ที่ 380 กิโลเมตร เวลาใน Google Map บอกใช้เวลาขับรถประมาณ 5 ชั่วโมง แต่พอเอาเข้าจริง นี่ใช้เวลาขับรถประมาณ 6 ชั่วโมงกว่าแน่ะ บอกเลยว่าเป็นการขับรถที่เหนื่อยโคตร ซึ่งนี่ก็ต้องกราบขอบคุณแฟนที่พาขับรถกลับอย่างปลอดภัย งื้อ
หลังจากคืนรถที่เอดินบะระ (Edinburgh) เสร็จ ก็นั่งรถไฟกลับลอนดอน (London) ต่อเลย ใช้เวลานั่งรถไฟอีกประมาณ 6 ชั่วโมง สรุปทั้งหมดวันนี้คือการเดินทางอย่างเดียวเล้ยยยย เหนื่อยเอาเรื่องมาก แต่เพราะเวลามาเที่ยวน้อย มันก็ต้องแบบนี้แหละ 55555555555 ซึ่งทั้งหมดนี้แหละคือ เกาะสกาย (Isle of Skye) ของก๊อตนั่นเอง 😆 // ใครที่มีเวลาเยอะกว่านี้ก็อาจจะเที่ยวเกาะสกาย (Isle of Skye) ต่อ หรือขับรถไปยังเมืองอื่นๆ ระหว่างทางแบบค่อยๆไปก็ได้เนอะ จะได้ไม่เหนื่อยมากนาจา
ที่พักในเกาะสกาย (Isle of Skye)
Piper’s Hut / Airbnb
สำหรับที่พักในเกาะสกาย (Isle of Skye) ที่ก๊อตเลือกนั้น จะอยู่ในเมืองพอร์ทรี (Portree) เนอะ ซึ่งเมืองนี้ถือเป็นเมืองที่ใหญ่และครึกครื้นมากที่สุดของแหลมทรอทเทอร์นิช (Trotternish Peninsula) แล้วแหละ มีทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารเยอะแยะอยู่ นอกจากนี้เรายังสามารถขับรถเที่ยวตามสถานที่หลักๆ เป็นวงกลมได้ง่ายมากที่สุดอีกด้วย นักท่องเที่ยวเกือบจะ 90% เค้าก็เลยเลือกที่จะพักเมืองนี้กันนั่นเอง
สำหรับที่พักที่ก๊อตเลือกในเมืองพอร์ทรี (Portree) นั้น ก๊อตเลือกเป็นที่พักแบบ Airbnb มีชื่อว่า Piper’s Hut ที่เหมือนบ้านพักเล็กๆ ที่สร้างอยู่ติดกับเจ้าของบ้าน ด้านในแบ่งพื้นที่ออกเป็นห้องนอน หัวครัว และห้องน้ำแบบดีมากกก ซึ่งบอกเลยว่าบ้านพักเค้ากระทัดรัด แต่จัดสรรพื้นที่ใช้สอยได้คุ้มมากที่สุด ด้านในมีทั้งโซฟานั่งเล่น โต้ะทานข้าว เตียงนอน และมีห้องครัวเล็กๆ ดีไซน์โมเดิร์นสีแดง-เมทัลลิก พร้อมห้องอาบน้ำอย่างดี ทุกอย่างคือดีมาก อุปกรณ์พร้อมสุด แต่เราซื้อของดิบมาจากซุปเปอร์ เราสามารถทำอาหารกินที่นี่ได้สบายเลย ที่เก๋คือ เค้ามีเครื่องทำกาแฟ Nescafe Dolce Gusto พร้อมให้แคปซูลแบบจัดเต็มด้วยอ่ะ ด้วยความที่นี่เป็นคอกาแฟมาก เลยเลิฟมากเวอร์
ส่วนตัวก๊อตเอง คิดว่า Piper’s Hut เป็นหนึ่งในที่พักแบบ Airbnb ที่ดีที่สุดที่เคยพักมาในระดับราคาที่คุ้มค่าสุดๆ โดยราคาตอนนั้นที่ก๊อตจองได้คือตกคืนละ 4,000 บาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ค่อนข้างโอเคเลย แถมตัวที่พักยังแยกชัดเจนกับบ้านโฮสอีกด้วย ซึ่งอันนี้ดีมากๆ สำหรับคนที่ต้องการความส่วนตัวนั่นเอง ที่พักนี้แนะนำสุดๆ
ดูเรทและจองผ่าน Airbnb ส่วนลด Airbnb 1,000 บาท สำหรับการจองครั้งแรกราคาห้องพักเริ่มต้น 4,000 บาท/คืน ดูเรทและจอง Taigh Katie – Airbnb สามารถจองลิงค์ผ่าน Airbnb คลิกที่นี่ | สำหรับคนที่ไม่เคยจอง Airbnb มาก่อน สามารถคลิกสมัครผ่านลิงค์นี้ เพื่อรับส่วนลด 1,000 บาทได้เลย
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡