นิวยอร์ก (New York City) ในที่สุดมหากาพย์เที่ยวอเมริกาคนเดียวครั้งแรกในชีวิตของก๊อตก็ปล่อยเมืองใหม่แล้วจ๊า ฮิ้วว ปรบมือกันเร้ววว ฮี่ๆ บอกก่อนเลยว่านิวยอร์กเป็นเมืองในฝันของก๊อตเลยนะ แบบตั้งเป้าเอาไว้ในชีวิตเลยว่า ‘ชีวิตนี้ต้องมาเหยียบที่กลางไทม์สแควร์ (Times Square) สักครั้ง’ แน่นอนว่า รีวิวนี้เราได้มาเหยียบเป็นที่เรียบร้อยแล้วจ๊า ซึ่งทริปเที่ยวอเมริกานี้ มันเป็นอีกทริปที่ก๊อตไปมาตั้งแต่ช่วงปี 2021 ที่นี่ไปคนเดียว และเที่ยวยาวๆ ถึง 48 วันเลย
ซึ่งการมาเที่ยวที่นิวยอร์ก (New York City) ก๊อตจะพาทุกคนไปตามเก็บแลนด์มาร์ค ที่เที่ยวต่างๆ กันแบบจัดเต็ม ตลอดระยะเวลา 8 วัน ทั้งไปดูตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ไปถ่ายรูปชิคๆ ที่สะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) ไปเดินเล่นในย่านดัมโบ้ (DUMBO) สุดคูล และถ้าใครได้อ่านข้อมูลหรือรีวิวเมืองนี้ผ่านตามาแล้วบ้าง จะเห็นได้เลยว่า นิวยอร์ก (New York City) นั้นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ระดับตัวท็อปในทุกแขนงแบบเวิลด์คลาสอยู่เต็มเมืองเลย ไม่ว่าจะเป็น The Met, MoMa, American Museum of Natural History และ The National September 11 Memorial Museum และยังมีที่อื่นๆ อีกเพียบ แบบที่สายมิวเซียมมาเมืองนี้แล้ว ไม่อยากไปไหนกันต่อเลยเด้อ
นอกจากนี้ นิวยอร์ก (New York City) ยังเป็นเมืองที่มีตึกสูงระฟ้าตั้งอยู่เยอะมาก ซึ่งนี่ก็ไปตามเก็บวิวมุมสูงจากหลากหลายตึกมาฝากให้ได้ชมกัน บอกเลยว่าสกายวิวของที่นี่คือนัมเบอร์วันในใจ ที่แม้เวลาจะผ่านมาแค่ไหน ก๊อตก็ยังยกให้วิวของนิวยอร์ก (New York City) เป็นที่หนึ่งเสมอมา เกริ่นกันมาขนาดนี้ มาตามอ่านรีวิวเต็มๆ ไปด้วยกันเร้วว นี่ตั้งใจเขียนมาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังอยากก้าวขาออกจาก Comfort Zone และพาตัวเองไปเที่ยว ไปพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ มาเที่ยวนิวยอร์ก (New York City) ไปด้วยกันนะครับ
ทริปอเมริกาครั้งแรก #อเมริกาคนเดียว
ในที่สุดก๊อตก็ได้มาเที่ยวอเมริกากับเค้าสักที นี่คือการเที่ยวอเมริกาครั้งแรกของก๊อต และยังเป็นการเที่ยวคนเดียวอีกด้วย ตื่นเต้นสุดๆ ทริปนี้ก๊อตไปเที่ยวมาทั้งหมด 48 วัน เริ่มตั้งแต่ Chicago - San Francisco - Paciffic Coast Highway Road Trip (Monterey, Carmel-By-The-Sea, Big Sur, Morro Bay, Santa Barbara) - Los Angeles - San Diego - Joshua Tree National Park - Death Valley National Park - Yosemite National Park - Washington D.C. - New York City เป็นการเที่ยวแบบจัดเต็มมาก ก๊อตแบ่งรีวิวไว้ทั้งหมด 15 EP ด้วยกัน ใครที่กำลังแพลนว่าจะไปเที่ยวอเมริกาก็สามารถเที่ยวตามก๊อตได้เลยเด้อ
EP.0 - USA Travel 101 กำลังเขียน
EP.0 (2) – 8 เหตุผล ทำไมต้องไปเที่ยวอเมริกาซักครั้งในชีวิต
EP.1 - Chicago
EP.2 - San Francisco กำลังเขียน
EP.3 - Pacific Coast Highway : Monterey + Carmel-By-The-Sea กำลังเขียน
EP.4 - Pacific Coast Highway : Big Sur กำลังเขียน
EP.5 - Pacific Coast Highway : Morro Bay + Santa Barbara กำลังเขียน
EP.6 - Los Angeles
EP.7 - Universal Studios Hollywood
EP.8 - Disneyland Park
EP.9 - Disney California Adventure Park
EP.10 - San Diego กำลังเขียน
EP.11 - Joshua Tree National Park
EP.12 - Death Valley National Park กำลังเขียน
EP.13 - Yosemite National Park กำลังเขียน
EP.14 - Washington D.C. กำลังเขียน
EP.15 - New York City
แพลนเที่ยวนิวยอร์ก (New York City)
มาทำความรู้จักนิวยอร์ก (New York City / NYC) กันก่อน
ก่อนจะไปเที่ยวนิวยอร์กกันแบบจัดเต็ม 8 วัน เรามาทำความรู้จักกับมหานครนิวยอร์ก (New York City) กันก่อน หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ‘นิวยอร์ก’ นั้นเคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอเมริกาในปี ค.ศ. 1785-1790 ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปที่ฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) และที่สุดท้ายกับ วอชิงตัน ดีซี (Washinton D.C.) ในปี ค.ศ. 1800 ซึ่ง จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาในช่วงที่นิวยอร์กเป็นเมืองหลวงอีกด้วย นอกจากนี้รัฐนิวยอร์กเองยังเป็นรัฐที่มีคนอาศัยอยู่มากเป็นที่สุดอันดับ 4 ของประเทศ รองมาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐเท็กซัส และรัฐฟลอริดา และเพียงแค่เมืองนิวยอร์ก (New York City) เองอย่างเดียวก็มีประชากรคิดเป็น 40% ของทั้งหมดในรัฐนี้แล้ว และแน่นอนว่านิวยอร์กเองยังยิ่งใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจในการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก คือมีทั้งวอลสตรีท (Wall Street) ที่เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ อีกด้วยน้า
สำหรับนักท่องเที่ยวแบบเรา ใครที่มานิวยอร์กก๊อตเชื่อว่าหลายคนนั้นอยากมาดูความยิ่งใหญ่ของเมือง และตึกสูงบ้านเค้า เพราะที่นี่เหมือนแหล่งรวมตึกสูงที่เคยเป็นตำนานครองแชมป์ตึกสูงที่สุดในโลกเอาไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นตึกในตำนานอย่าง ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) ที่ตอนนี้กลายเป็นตึกไอคอนิคของป๊อปคัลเจอร์อเมริกา และยังเคยเป็นตึกสูงที่สุดในโลกยาวนานกว่า 40 ปี นอกจากนี้ นิวยอร์กเค้ายังมีพิพิธภัณฑ์ระดับโลก และสวนสาธารณะอย่างเซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) ทุกอย่างที่บอกมานี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในเมืองนิวยอร์กทั้งหมดเลยเว้ย
หลายคนคงนึกมู้ดของนิวยอร์กออกในมุมที่แสง สี เสียง ที่โคตรจัดจ้าน ราวกับทั้งมหานครไม่เคยหลับใหล ซึ่งมันก็จริงแหละ 5555 คือนิวยอร์กมันฟู่ฟ่า โออ่าไปแทบทุกตารางเมตร แต่เชื่อก๊อตเถอะว่าการมาเที่ยวนิวยอร์กจริงๆ มันมีหลายอย่าง หลายมู้ดที่ซ่อนเอาไว้ให้เราได้มาเที่ยวและค้นหา ซึ่งเสน่ห์ของนิวยอร์กที่ก๊อตว่าต่างออกไปจากเมืองอื่นๆ ในอเมริกาค่อนข้างมาก เพราะนอกจากมันจะอลังการฟู่ฟ่าแล้ว นิวยอร์กเองยังมีเรื่องเล่า มีเรื่องราวประวัติศาสตร์จากยุคสมัยในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ที่มาแล้วอยากจะกลับมาเที่ยวซ้ำๆ ให้หนำใจกันไปเลย ว่าความกันมาเยอะแล้ว เรามาเที่ยวนิวยอร์กไปด้วยกันเถอะน้าา!
การเดินทางภายในเมืองนิวยอร์ก (New York City)
การเดินทางภายในนิวยอร์ก วิธีที่ง่ายที่สุดเลยก็คือ การใช้รถไฟใต้ดินหรือ Subway ในเมืองของเค้านี่แหละ ซึ่งรถไฟใต้ดินของนิวยอร์ก ถือเป็นระบบรถรางที่เก่าแก่และใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีทั้งหมด 26 สาย แบ่งสายเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลข และตัวรถไฟใต้ดินเค้ายังเปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์อีกด้วย เรียกได้ว่า การเที่ยวนิวยอร์กของก๊อตในรอบนี้ คือใช้รถไฟใต้ดินล้วนๆ เลย
ราคาค่าโดยสาร Subway / รถเมล์ และบัตร MTA MetroCard
การขึ้น Subway และรถเมล์ในนิวยอร์กนั้น เราต้องใช้ MTA MetroCard ซึ่งเราสามารถซื้อแบบ Pay-Per-Ride MetroCard (เสียเงินเป็นเที่ยว) ได้ ซึ่งบัตรนี้มันจะเป็นบัตรแบบเติมเงินได้ โดยค่าธรรมเนียมออกบัตรจะอยู่ที่ $1 และสามารถเติมเงินได้เรื่อยๆ โดยค่าโดยสารเค้าจะคิดเป็นรายเที่ยว เที่ยวละ $2.75 โดยหนึ่งเที่ยวที่เสียเงินไปในครั้งแรกนั้น เราสามารถต่อรถไฟใต้ดินสายอื่น หรือรถเมล์ได้ฟรีภายในเวลา 2 ชั่วโมงได้ด้วย
และที่แปลกของ Pay-Per-Ride MetroCard มันสามารถใช้ได้สูงสุด 4 คนในการ์ดเดียว (เอ้อ แปลกมาก) ก็คือ เมื่อคนแรกรูดบัตรเข้าไปแล้ว ให้ส่งต่อบัตรมายังคนต่อมาเพื่อรูดเข้าได้อีก 3 คน ซึ่งความดีงามของมันคือ ถ้าเราใช้บัตรร่วมกัน เราสามารถประหยัดเงินค่าธรรมเนียมออกบัตรใหม่ได้สูงสุด $3 เล้ย 5555
อีกเรื่องที่อยากบอกคือ มันจะมีบัตรอีกแบบคือ Single Ride MetroCard ที่ซื้อเพื่อขึ้นรถ Subway แบบใช้แล้วทิ้งเลย อันนี้ คือโดยสารจะอยู่ที่ $3 ซึ่งแพงกว่าแบบบัตรเติมเงิน Pay-Per-Ride MetroCard นะ ซึ่งก๊อตแนะนำว่า ให้เราซื้อแบบบัตรเติมเงินดีกว่า เพราะโดยรวมแล้วมันถูกกว่าซื้อแบบ Single แน่นอน
Unlimited MetroCards
สำหรับคนที่คิดว่าต้องเดินทางด้วย Subway เยอะม๊าก เค้าก็มีตัวเลือกบัตรโดยสารแบบ Unlimited MetroCards ให้เราเลือกใช้ทั้งแบบ รายอาทิตย์ และรายเดือนด้วย ทั้งนี้ ก๊อตจะขอพูดเฉพาะแบบรายอาทิตย์ ถ้าใครที่เที่ยวในนิวยอร์กภายใน 7 วัน แล้วต้องขึ้น Subway มากกว่า 12 แนะนำให้ซื้อบัตร Unlimited MetroCards ได้เลย ซึ่งราคาบัตรเค้าจะอยู่ที่ $33 และใช้ได้แบบไม่จำกัดทั้ง Subway และรถเมล์ (ยกเว้น JFK AirTrain, Express buses และ PATH trains)
ใช้พาสต่างๆ สำหรับเที่ยวนิวยอร์ก คุ้มกว่า!
สำหรับคนที่ต้องการเก็บที่เที่ยวในนิวยอร์กเยอะๆ โดยเฉพาะพวกเหล่าพิพิธภัณฑ์ หรือจุดชมวิวบนตึกดังต่างๆ ที่ราคาตั๋วเข้าชมแต่ละที่ โดยเฉพาะจุดชมวิว Observation Deck นั้นแพงม๊าก ซึ่งถ้าใครอยากเก็บแลนด์มาร์คเยอะในราคาที่ประหยัดกว่าปกติ ก๊อตแนะนำให้เราซื้อพาสเหมาเที่ยวจะถูกกว่ามากกก ซึ่งในนิวยอร์กเองนั้น มีพาสหลายตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Go City All-Inclusive Pass และ Klook Pass โดยแต่ละแบบก็จะมีแพ็คเกจแตกต่างกันออกไป ซึ่งอันนี้ เราต้องมาดูแพลนเที่ยวตัวเองกันก่อนว่าจะมีไปไหนบ้าง จากนั้นค่อยไปแมชเข้ากับพาส ว่าเราเหมาะกับพาสไหน และประหยัดกว่าการซื้อบัตรแยกเดี่ยวๆ ไหม ซึ่งอันนี้ก๊อตแนะนำให้เราทำตารางเปรียบเทียบกันเองเลย เพราะแน่นอนว่าแพลนแต่ละคนไม่เหมือนกันเนอะ
Go! New York Pass: All-Inclusive (เหมาเป็นวัน คุ้มสำหรับคนเน้นเก็บที่เที่ยวมากที่สุด – ก๊อตใช้พาสนี้ในรีวิวนี้)
สำหรับคนที่เน้นอยากเก็บแลนด์มาร์คเยอะ โดยเหมาเป็นวันตามที่เราต้องการ ก๊อตขอแนะนำ Go! New York Pass: All-Inclusive เลย ซึ่งพาสนี้เค้าก็จะมีเหมาวันตั้งแต่ 1 วัน จนถึงแบบ 10 วัน โดยไม่จำกัดจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวที่เราต้องการจะเข้า ซึ่งพาสนี้เหมาะกับคนที่อยากเข้าที่เที่ยวให้เยอะมากที่สุด เน้นเอาคุ้ม โดยพาสนี้เค้ารวมที่เที่ยวไฮไลท์มาหมดทั้งพิพิธภัณฑ์ จุดชมวิวบนยอดตึกชื่อดัง และที่เที่ยวรวมถึงทัวร์อื่นๆ อีกเยอะมาก
- 💵 ราคาบัตร Go! New York Pass: All-Inclusive: 1 วัน ($142) / 2 วัน ($170) / 3 วัน ($206) / 4 วัน ($238) / 5 วัน ($265) / 7 วัน ($301) / 10 วัน ($332) *บางช่วงมีส่วนลดด้วย เช่น Black Friday
- 🏛 ที่เที่ยวแลนด์มาร์คดังที่อยู่ในพาส: Empire State Building, Top of the Rock Observatory, Edge, 9/11 Memorial & Museum, Big Bus Hop On Hop Off, American Museum of Natural History, MoMA และอื่นๆ อีกมากมาย ดูทั้งหมดที่นี่
- 🎫 การซื้อพาส: สามารถซื้อ Go! New York Pass: All-Inclusive ผ่านเว็บ Go City ได้เท่านั้น คลิกที่นี่
ตัวอย่างความประหยัดของพาส Go! New York Pass: All-Inclusive
สำหรับรีวิวนิวยอร์กที่อ่านกันอยู่ในหน้านี้ ก๊อตได้ซื้อและใช้พาส Go! New York Pass: All-Inclusive เป็นหลักในการเที่ยวแหละ โดยซื้อมาแบบ 5 วัน เหมาๆ ซึ่งตอนนั้นได้มาในราคาที่เค้าลดราคาเหลือแค่ $217 เท่านั้นเอง แถมตอนที่ก๊อตไปเที่ยว พาสนี้ยังมีใช้เข้า Metropolitan Museum of Art (The Met) ได้ด้วย แต่ปัจจุบันนี้ พาสเค้าตัด The Met ออกไปแล้ว
นี่จะบอกว่า เท่าที่ก๊อตใช้ Go! New York Pass: All-Inclusive คือคุ้มมากกกก สามารถดูตารางคำนวณของก๊อตด้านล่างได้เลย จากราคาเต็มประมาณราวๆ $372 (~13,400 บาท) จ่ายพาสจริงแค่ $217 (~7,800) ประหยัดไปกว่า 41% หรือประมาณ $155 (~5,580 บาท) เลย ถือว่าเยอะมากน้าา ดังนั้น คนที่คิดว่าจะซื้อ ลองคำนวณดูก่อนว่ามันคุ้มมั้ยงี้
Go! New York Pass: All-Inclusive | 5 Days / $217 |
ราคาปกติ | |
American Museum of Natural History | $23.00 |
The Museum of Modern Art (MOMA) | $25.00 |
The Metropolitan Museum of Art (The Met) * ตอนนี้ไม่รวมอยู่ในพาสแล้ว | $25.00 |
Solomon R. Guggenheim Museum | $25.00 |
Empire State Building Observatory | $45.73 |
Top of the Rock™ Observation Deck | $41.37 |
The Edge | $41.37 |
9/11 Memorial & Museum | $28.00 |
One World Observatory | $44.65 |
Whitney Museum of American Art | $25.00 |
Landmarks Cruise by Circle Line | $22.00 |
Fotografiska NYC | $26.00 |
ราคารวมปกติ | $372.12 |
Save % | 41% |
Save $ | $154.57 |
Klook Pass: New York (เน้นที่อยากไป ซื้อตามจำนวนที่เที่ยว)
สำหรับ Klook Pass: New York นั้น ถือเป็นโปรดักส์ใหม่ของ Klook ที่เค้าทำมาใหม่โดยรวบตึงเอาที่เที่ยวยอดนิยมมายำรวมกลายเป็นพาสที่ลดราคามากกว่าเดิม ซึ่ง Klook Pass เค้าจะเป็นการซื้อแบบนับจำนวนที่เที่ยวที่เราจะไป โดยมีตั้งแต่ 2-4 ที่เที่ยว โดยมีระยะเวลาในการใช้อยู่ที่ 30 วัน หลังจากที่ซื้อ ซึ่งพาสนี้เหมาะกับคนที่ต้องการความยืดหยุ่น รู้ว่าตัวเองมีแพลนจะไปไหน และอยากไปเฉพาะที่อยากไป โดยยังได้ส่วนลดแบบคุ้มๆ อยู่
(ปล. ตอนที่ก๊อตไปเที่ยวนิวยอร์กนั้น Klook เค้ายังไม่มีพาสแบบนี้มาแหละ แต่จากที่ดูแล้ว Klook พาสถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี และส่วนลดเค้าก็ยังมีมาโปรประจำเดือนมาให้เราใช้ลดท็อปอัพทุกเดือนแบบจุกๆ อีกด้วย)
- 💵 ราคาบัตร Klook Pass: New York (ราคามีการเปลี่ยนตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน): 2 ที่เที่ยว (2,400 บาท) / 2 ที่เที่ยว (3,373 บาท) / 4 วัน (4,509 บาท)
- 🏛 ที่เที่ยวแลนด์มาร์คดังที่อยู่ในพาส: Empire State Building, Top of the Rock Observatory, Edge, 9/11 Memorial & Museum, Big Bus Hop On Hop Off, LEGOLAND® New York, MoMA และอื่นๆ อีกมากมาย ดูทั้งหมดที่นี่
- 🎫 การซื้อพาส: สามารถซื้อ Klook Pass: New York ผ่านเว็บ Klook ได้เท่านั้น คลิกที่นี่
ตัวอย่างความประหยัดของพาส Klook Pass: New York
Klook Pass: New York * อิงราคาหน้าเว็บ Klook ณ วันเขียนรีวิว | 3 ที่เที่ยว / 3,373 บาท |
ราคาปกติ | |
9/11 Memorial & Museum | 1,085 บาท |
Empire State Building Observatory | 1,727 บาท |
Top of the Rock™ Observation Deck | 1,575 บาท |
ราคารวมปกติ | 4,387 บาท |
Save % | 23% |
Save $ | 1,014 บาท |
ข้อมูลเที่ยวนิวยอร์กเบื้องต้นแน่นปึ๊กแล้ว มาเริ่มเที่ยวกันเล้ย
DAY 1 : พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History)
ต้องบอกก่อนเลยว่า นิวยอร์กเป็นอีกเมืองในอเมริกาที่มีพิพิธภัณฑ์มากมายให้เราได้เข้าชม ใครที่เป็นมิวเซียมเนิร์ดนี่ คือมาถูกเมืองมาก เพราะนิวยอร์กเองที่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ระดับตัวท็อปในทุกแขนงแบบเวิลด์คลาสอยู่เต็มเมืองเลยแหละ โดยที่แรกที่ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวคือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History หรือ AMNH) หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ทางด้านสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งถ้าใครที่เป็นแฟนหนังของ Night at the Museum ยิ่งต้องมา เพราะฉากต่างๆ และสิ่งมีชีวิตที่เราที่เห็นว่าอยู่ดีๆ ก็มีชีวิตขึ้นมาตอนกลางคืนนั้น เค้าได้แรงบันดาลใจมาจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมถึงในหลายๆ ฉากที่เราเห็นในหนังนั้นเค้าก็มาถ่ายทำที่นี่อีกด้วย
ก๊อตจะบอกว่า พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) เค้ามีคอลเล็คชั่นเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตมากกว่า 33 ล้านชิ้นเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น โครงกระดูกนก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์น้ำ ไปจนถึงการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ วัตถุโบราณจากประเทศต่างๆ รวมถึงเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ในการล่าสัตว์ และอื่นๆ อีกเพียบ แต่ที่ว้าวมากก็คือ คอลเล็คชั่นต่างๆ ที่เห็นเค้าจัดแสดงนั้น ถือเป็นเพียง 3% จากคอลเล็คชั่นทั้งหมดเท่านั้น บอกเลยว่าถ้ามาที่นี่แล้วกะจะมาเดินดูคอลเล็คชั่นของต่างๆ ให้ครบถ้วนนั้น วันเดียวนี่ว่าไม่พอแน่นอน
สำหรับไฮไลท์แรกที่พลาดไม่ได้เลย คือโมเดลวาฬสีน้ำเงิน (Blue Whale) ขนาดยักษ์ ที่ยาวกว่า 28 เมตร น้ำหนักประมาณ 9,500 กิโลกรัม ซึ่งตั้งโชว์อยู่ในโถง Hall of Ocean Life รวมถึง ไททันโนซอรัส (Patagotitan Mayorum) ที่มีขนาดลำตัวยาวกว่า 37 เมตร น้ำหนักประมาณ 70 ตัน จัดว่าเป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยขุดค้นพบกันเลย
บริเวณภายในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History หรือ AMNH) เค้าจะแบ่งห้องจัดแสดงออกเป็นหลายโซนมาก เริ่มตั้งแต่บริเวณด้านหน้าประตูขายตั๋วในห้องโถงอนุสรณ์ของธีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodore Roosevelt) ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของอเมริกา เราจะเจอกับโครงกระดูกไดโนเสาร์บาโรซอรัส (Barosaurus) ที่ประกอบขึ้นมาจากโครงกระดูกจริง และสูงที่สุดในโลก ซึ่งกำลังอยู่ในท่าทางปกป้องลูกๆ จากจากอัลโลซอรัส (Allosaurus) ไดโนเสาร์นักล่านั่นเอง
นอกจากนี้ ที่นี่เค้ายังมีโซนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammal Halls) ที่จัดอยู่ใน Akeley Hall of African Mammals โดยไฮไลท์หลักของห้องนี้ที่ต้องมาดูเลย คือ ฝูงช้างขนาดยักษ์จำนวน 8 ตัว ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ใจกลางห้องจัดแสดง รายล้อมไปด้วยตู้กระจกจำนวน 28 ตู้ ที่ภายในจำลองสัตว์ป่าท่ามกลางภูมิประเทศอันหลากหลายบนโลกเราเอาไว้ ทั้ง ช้างแอฟริกา สิงโตแอฟริกัน กอริลลา นกกระจอกเทศ แรดดำ และสัตว์อื่นๆ ที่เค้าจำลองขึ้นมาแบบเหมือนจริงมาก เหมือนยันเส้นขน ดีเทลคือละเอียดยิบยับสุดๆ โดย สำหรับฉากหลังที่ใช้จัดแสดงอยู่ในตู้กระจกนั้น เป็นฉากที่สร้างขึ้นใหม่อิงมาจากการภาพร่าง และภาพถ่ายสังเกตการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ทำให้ฉากหลังมันดูใกล้เคียงกับสถานที่จริงเอามากๆ อันนี้บอกเลยว่าโคตรดี สัตว์ที่เราเห็นในตู้โชว์นั้นคือเหมือนจริงสุด
แต่สำหรับใครที่ชอบดูสัตว์ดึกดำบรรพ์ ฟอสซิล และโครงกระดูกไดโนเสาร์ให้เดินมาที่ ห้องโถงฟอสซิล (Fossil Halls) ซึ่งที่นี่เค้าจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งนะ คือฝั่ง David H. Koch และฝั่ง Lila Acheson Wallace ที่จัดแสดงตั้งแต่สัตว์ดึกดำบรรพ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สูญพันธ์ุไปแล้ว จนถึงโครงกระดูกไดโนเสาร์ขนาดจริง
ภายในจะมีโซนที่ชื่อ Paul and Irma Milstein Hall ที่จัดแสดงช้างแมมมอธ (Mammoths) มาสโทดอน (Mastodon) อูฐ และสัตว์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ ซึ่งสัตว์เหล่านี้ต่างได้สูญพันธ์ุไปแล้วเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ การล่าโดยมนุษย์ และโรคติดเชื้อ ซึ่งสัตว์ทั้งหมดที่จัดแสดงอยู่นห้องโถงนี้เกิดขึ้นหลังจากการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์เน้อ บอกเลยว่าโมเดลแต่ละตัวสมจริงมากก
ส่วนใครที่อยากดูพวกสัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำ หรือเหล่าสัตว์เลื้อยคลานที่นี่เค้าก็มีห้องโถงนก สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่เราจะได้เรียนรู้ไปกับเหล่านกสายพันธุ์ต่างๆ จาก 12 แห่งทั่วโลก ซึ่งในนิวยอร์กเองนั้น มีนกมากกว่า 400 สายพันธ์ุอาศัยอยู่เลย
นอกจากสัตว์ต่างๆ แล้ว ที่นี่เค้ายังมีคอลเลคชั่น แนววิทยาศาสตร์ และเหล่าดาวเคราะห์ต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่ใน ห้องโถงวิทยาศาสตร์โลกและดาวเคราะห์ (Earth and Planetary Sciences) ที่ภายในเต็มไปด้วยอุกกาบาต แร่ธาตุ และอัญมณีหายาก ซึ่งมีข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์ระบุเอาไว้ด้วยว่า หิน แร่ธาตุเหล่านี้ เป็นเหมือนเบาะแสเกี่ยวกับต้นกำเนิดของระบบสุริยะของเราเลยใครที่อยากค้นหาคำตอบว่าโลกเราเกิดขึ้นมายังไง แนะนำมาดูกันได้น้า
และจากที่ก๊อตเล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นแค่บางส่วนและบางโซนจากคอลเล็คชั่นทั้งหมดที่เค้ามีในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) เท่านั้นน้า อย่างที่ก๊อตบอกไป วันเดียวเดินดูกันไม่หมดแน่ๆ มันยิ่งใหญ่ชะมัดเลย สำหรับใครที่ชอบแนวนี้มากๆ แล้วจะมาตามรอยล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆ แล้วมาสิงอยู่ในนี้นานๆ ได้เลย สำหรับก๊อตแล้วชอบที่นี่มาก อย่างตู้กระจกที่เค้าจำลองสัตว์ต่างๆ ก๊อตประทับใจสุดๆ ยิ่งพวกฉากหลังที่สถานที่มันดูเหมือนของจริงมากๆ เวลาดูแล้วรู้สึกเหมือนกำลังดูภาพโปสการ์ดเลย เหมือนก๊อตได้เห็นสัตว์เหล่านี้เค้ามีชีวิตจริงๆ นี่เลยขอยกให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ใครใคร่รักในการดูสัตว์ต่างๆ อยากให้ลองมาสักครั้ง บอกเลยว่า ไม่เสียดายค่าเข้าอย่างแน่นอน
Museum of Modern Art (MoMA)
ถ้าใครเป็นสายอาร์ต ร้อยทั้งร้อย ก๊อตเชื่อว่าทุกคนต้องรู้จัก Museum of Modern Art หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า MoMA โดย MoMA ที่นิวยอร์กนั้น จัดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์อารต์ต้นแบบและมีอิทธิพลในแขนงศิลปะมากแห่งหนึ่งของโลกเลยนะ โดยเค้าเปิดมาแล้วกว่า 93 ปี เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมงานศิลปะในสมัยใหม่ที่ได้รับการยกย่องว่าทรงคุณค่ามากที่สุดของศิลปะสมัยใหม่ในทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น งานสถาปัตยกรรม, ภาพวาด, งานปั้น ภาพถ่าย รวมถึงงานภาพยนต์ต่างๆ ราวๆ 200,000 ชิ้น อีกทั้ง MoMA ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมหนังสือทรงคุณค่ากว่า 300,000 เล่ม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับหนังสือศิลปิน วารสาร รวมทั้งไฟล์งานจากศิลปินมากกว่า 70,000 ผลงานรวมอยู่ไว้ในที่เดียวเลย
ย้อนกลับไปในช่วงปี 1928 ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ Modern Arts กำลังเป็นที่นิยม โดยคุณนาย Abby Aldrich Rockefeller และเพื่อนๆ ของเธอ ได้แก่ Lillie P. Bliss และ Mary Quinn Sullivan ได้ขอเช่าพื้นที่ภายในตึก Heckscher บนเกาะในแมนฮัตตัน (Manhattan) เพื่อจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ MoMa ขึ้นมาเมื่อพิพิธภัณฑ์เปิดทำการแล้ว ปรากฏกว่าได้รับผลตอบรับเกินคาด จน MoMA กลายเป็นพิพิธภัณฑ์อาร์ตชั้นแนวหน้าของอเมริกา ที่เป็นแหล่งรวบรวมศิลปะสมัยใหม่ในยุโรปเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีผลงานเลอค่าจากศิลปินชื่อดังระดับตำนานอย่าง Van Gogh, Gauguin, Cézanne, Seurat และศิลปินอื่นๆ ที่เราควรค่าแก่การมาดูของจริงสักครั้งในชีวิตเลย
ถ้าหากถามก๊อตว่าว่าทำไมเราต้องมา MoMA สักครั้ง ด้วยความที่ก๊อตเรียนทางด้านดีไซน์มา และได้เห็นภาพของผลงานดังที่จัดแสดงเอาไว้อยู่ภายในและได้ผ่านหูผ่านตามาตอนในช่วงสมัยเรียน นี่ก็เลยปักธงในใจเอาไว้เลยว่า เราจะต้องมา MoMA เพื่อมาตามดูผลงานดังๆของจริงสักครั้ง พอได้มาเยือนจริงๆ นี่เลยตื่นเต้นมาก เพราะเราได้เจอผลงานหลายชิ้นงานเลย ไม่ว่าจะเป็นงานสาดสีของ แจ็กสัน พอลล็อก (Jackson Pollock) ศิลปินชาวอเมริกันยุคศตวรรษที่ 20 ที่เค้าชอบถ่ายทอดพลังอารมณ์แนว Abstract Expressionism ผ่านการหยด สาด หรือเทสีลงบนผ้าใบ จากจิตสำนึกของศิลปินเค้านั่นเอง ซึ่งที่ MoMA เองก็มีผลงานหลายชิ้นของเค้าที่นำมาจัดแสดงอยู่เยอะมาก
นอกจากงาน Abstract Expressionism แล้ว อีกงานที่ต้องมาดูเลยคืองาน Pop Art จาก แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) ผู้ที่เป็นทั้งศิลปิน ผู้กำกับและผลิตภาพยนตร์ชาวอเมริกัน ที่มีผลงานอย่าง ‘Campbell’s Soup Cans’ (1962) กับภาพกระป๋องซุปแคมป์เบลล์สจำนวน 32 ภาพ ที่แตกต่างกันด้วยรสชาติต่างๆ ที่แอนดี้เค้าได้กินเจ้าซุปกระป๋องตัวนี้เป็นอาหารกลางวันกว่า 20 ปี และอีกหนึ่งผลงานที่ดังมากที่สุดอย่าง ‘Gold Marilyn Monroe’ (1962) ผลงานภาพงานซิลก์สกรีนของจริง ที่เราสามารถมาดูที่ MoMA ได้อีกด้วย
สำหรับไฮไลท์ที่ก๊อตอยากให้ทุกคนได้มาเห็นของจริงด้วยตาสักครั้งคือภาพออริจิของ ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค (Vincent Willem van Gogh) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ จิตรกรชาวดัตช์ หนึ่งในผู้มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ที่สร้างสรรค์งานศิลป์กว่า 2,100 ชิ้นในเวลาเพียง 10 กว่าปีเท่านั้น ซึ่งในจำนวนผลงานทั้งหมดของเค้าเป็นภาพสีน้ำมัน 860 ชิ้น โดยเป็นภาพภูมิประเทศ ภาพนิ่ง ภาพคนเหมือน และภาพเหมือนตนเองที่โด่งดังและสร้างชื่อเสียงให้กับแวนโก๊ะอย่างมาก ซึ่งผลงานโดยรวมของเค้านั้น มีเอกลักษณ์ด้วยสีสันที่จัดจ้าน รวมถึงลายเส้นจากปลายพู่กันที่ฉวัดเฉวียนแฝงไปด้วยอารมณ์อันหลากหลายของศิลปินร่วมอยู่ด้วย
สุดท้ายที่ต้องมาดูเลยเมื่อมา MoMA คือการมาชมนิทรรศการย้อนอดีตของพาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ (Pablo Ruiz Picasso) จิตรกรระดับโลกที่สร้างสรรค์ผลงานมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 จากนิตยสารไทม์ ซึ่งที่นี่เค้าจัดแสดงผลงานของเค้าเอาไว้ให้เราได้เข้าชมอยู่หลายชิ้นเลย แฟนๆ ที่ชื่นชอบผลงานชื่อก้องโลกแบบนี้ ก๊อตบอกเลยว่าห้ามพลาด
เอาล่ะ! ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือส่วนหนึ่งในผลงาน และนิทรรศการถาวรต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่ใน MoMA นอกจากผลงานต่างๆ ที่ก๊อตบอกมาทั้งหมดนี้ ที่ MoMA ยังมีนิทรรศการหมุนเวียน และนิทรรศการถาวรอื่นๆ อีกมากมาย จนกลายเป็นต้นแบบพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ทรงอิทธิพลต่อพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ที่เกิดมาในยุคหลังอีกด้วย ใครที่ชอบงานศิลปะร่วมสมัย งานศิลปะสมัยใหม่ สายอาร์ตทั้งหลาย สักครั้งในชีวิตอยากให้ได้มา MoMA กันสักครั้งจริงๆ บอกกเลยว่ามาที่นี่แล้วไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน
มหาวิหารเซนต์แพทริก (St. Patrick’s Cathedral)
ต้องบอกก่อนว่า มหาวิหารเซนต์แพทริก (St. Patrick’s Cathedral) นั้นก๊อตไม่ได้เดินเข้าไปชมด้านในของเค้าตอนนั้นก็งงเหมือนกันว่าทำไมไม่เข้าไปด้านในนะ แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ นี่จะบอกว่า ที่นี่ถือเป็นวิหารที่สวยที่สุดในนิวยอร์กที่ควรต้องมา โดยวิหารเค้ามาในสไตล์นีโอ-โกธิค ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือเลยทีเดียว ใครที่อยากจะเข้าไปชมความงาม สามารถเดินเข้าได้เล้ย ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าใครที่อยากรู้ลึกรู้จริง ก็ซื้อ Self-audio tour เค้าได้ในราคา $8 แหละ
สำหรับ มหาวิหารเซนต์แพทริก (St. Patrick’s Cathedral) ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1858 และเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1879 หรือประมาณ 140 กว่าปีมาแล้ว โดยตัววิหารนั้นมียอดแหลมสูงประมาณ 100 เมตร ห่อหุ้มด้วยหินอ่อนสีขาว ด้านในโบสถ์จะมีรูปปั้นพระแม่มารีอุ้มพระเยซู และรูปปั้นพระแม่มารีอุ้มพระเยซูหลังจากถูกตรึงไม้กางเขน ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1906 ที่ทรงคุณค่ามาก ด้วยความเก่าแก่และยิ่งใหญ่ของมหาวิหารนี้ ที่นี่ถูกประกาศให้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครที่มาเที่ยวนิวยอร์ก เดินเล่นแถว 5th Avenue ก็มาลองเที่ยวด้านในกันได้
DAY 2 : Metropolitan Museum of Art (THE MET)
ตัดภาพมาวันที่สอง ถ้าถามว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาคือที่ไหน? เราต้องยกให้ THE MET หรือ Metropolitan Museum of Art ในนิวยอร์กเค้าเลย เพราะที่มีคอลเล็คชั่นชิ้นงานศิลปะกว่า 2 ล้านชิ้น ซึ่งบางชิ้นนั้นมีอายุมากกว่า 5,000 ปีเลยทีเดียว โดยคอลเล็คชั้นต่างๆ ที่อยู่ภายในนั้นเค้าได้รวบรวมผลงานมาจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นชิ้นงานจากยุโรป อียิปต์ อิสลาม เอเชีย แอฟริกา รวมถึงชิ้นงานอเมริกันตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตลอดจนถึงยุคปัจจุบันที่ถูกจัดแสดงเอาไว้ เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะตัวท็อปที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้
และด้วยความที่ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารศิลปะโกธิคแบบดั้งเดิม ด้านหน้าตึกและภายในโถงหลักเป็นศิลปะ Beaux-Arts สไตล์ฝรั่งเศส ที่นี่เลยถูกเปรียบเทียบว่าเป็นพระราชวังสาธารณะแห่งเมืองนิวยอร์กอีกด้วย
THE MET นั้นสร้างขึ้นโดย จอห์น เจย์ (John Jay) ในปีค.ศ. 1870 ร่วมกับทนายความชาวอเมริกัน นักธุรกิจ นักการเงิน และเหล่าศิลปินที่หลงใหลในงานศิลปะแบบเดียวกัน โดยทั้งหมดตั้งใจว่าจะทำให้ THE MET เป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงงานศิลปะ และตั้งใจที่จะเผยแพร่งานศิลปะและการศึกษาเกี่ยวกับศิลปะไปถึงคนอเมริกาให้เห็นถึงแนวคิดใหม่ๆ รวมถึงได้สัมผัสกับงานศิลปะที่มีอายุมาอย่างยาวนานอีกด้วย
โดยในปีค.ศ. 1872 THE MET ได้เปิดให้คนภายนอกได้เข้าชมเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากผู้คนเป็นอย่างมาก จนในปัจจุบัน THE MET มีผู้เข้าชมติดท็อประดับโลกเลย
มาเริ่มดูภายในพิพิธภัณฑ์กันเลย เริ่มจากโซนศิลปะถาวรอย่างโซนภาพวาดและภาพพิมพ์ที่จัดแสดงเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ เริ่มจากภาพวาดกว่า 21,000 ภาพ, ภาพพิมพ์ 1.2 ล้านภาพ และหนังสือภาพประกอบ 12,000 เล่ม ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นทั้งในยุโรปและอเมริกา โดยชิ้นงานต่างๆ มีอายุตั้งแต่ประมาณ 1,400 ปีก่อนมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ทำให้ THE MET โดดเด่นในเรื่องงานศิลปะเกี่ยวกับภาพวาดและภาพพิมพ์มากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
อีกโซนที่สำคัญ ควรค่าที่ต้องเข้ามาดู คือโซนศิลปะยุคอียิปต์ ที่มีรูปปั้นวัตถุโบราณจากอียิปต์กว่า 26,000 ชิ้น ตั้งแต่ยุค Paleolithic จนถึงสมัยโรมัน (ประมาณ 300,000 ปีก่อนคริสตกาล–ศตวรรษที่ 4) หนึ่งในนั้น มีรูปปั้นฮิปโปโปเตมัสเซรามิกดินควอตซ์สีน้ำเงินที่คนอียิปต์เชื่อว่าเป็นสัตว์ที่อันตรายที่สุดสำหรับผู้เดินทางในน้ำด้วย และที่เป็นไฮไลท์สุดของฝั่งอียิปต์เลยคือ วัดอียิปต์ที่สมบูรณ์มากที่สุดที่ถูกแสดงในโลกฝั่งตะวันตกกับ ‘The Temple of Dendur’ ที่ถูกสร้างขึ้นแถวแม่น้ำไนล์ และมีอายุมากกว่า 2,000 ปีเลย
และใครที่เป็นสายอาร์ตชอบงานศิลปะยุคโรมัน คุณมาถูกที่แล้วจ้า เพราะ THE MET มีโซนศิลปะกรีกและโรมัน ที่จัดแสดงชิ้นงานมากกว่า 30,000 ชิ้น ตั้งแต่ยุคหินใหม่ (ประมาณ 4500 ปีก่อนคริสตกาล) รวมไปถึงงานศิลปะจากหลากหลายวัฒนธรรม ที่เราจะได้เห็นผ่านผลงานอันหลากหลายตั้งแต่ อัญมณีแกะสลักขนาดเล็ก รูปปั้นขนาดใหญ่เกินจริง งาช้าง กระดูก เหล็ก ตะกั่ว อำพัน ไปจนถึงพวกประติมากรรมต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่มีให้ดูกันจนตาลาย บอกเลย
เดินดูยุคโรมันกันจนฉ่ำใจแล้ว คนเอเชียอย่างชาวเรา จะพลาดโซนศิลปะเอเชียไม่ได้ บอกเลยว่าที่นี่เค้ารวบรวมไว้เยอะมากกว่า 35,000 ชิ้น นับตั้งแต่สหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงศตวรรษที่ 21 เรียกได้ว่าคอลเล็คชั่นของเอเชียเหล่านี้เป็นเป็นการรวบรวมชิ้นงานศิลปะที่มากที่สุดและครอบคลุมมากที่สุดในโลก ซึ่งคอลเล็คชั่นบางอย่าง ตัวก๊อตเองก็เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกที่นี่เลย แต่นี่แอบเสียดายโซนเอเชียเป็นโซนที่คนเข้ามาดูน้อยมากเลย นี่เดินเพลินๆ เงียบๆ อยู่แค่ไม่กี่คนเอง แต่งานศิลปะ พวกวัตถุโบราณก็เป็นของที่ต่างก็หาดูได้ยากทั้งนั้นมันดีมากเลยเว้ย แนะนำให้เข้ามาดูกันเยอะๆ
ส่วนคอลเล็คชั่นอื่นๆ ใน THE MET ก็จะมีตั้งแต่พวกอาวุธและชุดเกราะโบราณ, เครื่องดนตรี, เครื่องแต่งกาย, ศิลปะแอฟริกา, ศิลปะอเมริกา, ศิลปะตะวันออก,ศิลปะอิสลาม, ศิลปะยุคกลาง-สมัยใหม่-ร่วมสมัย และอื่นๆ อีกมากมาย แถมเค้ายังมีนิทรรศการหมุนเวียนให้ได้ดูอยู่เรื่อยๆ อย่างตอนที่ก๊อตไปนั้น (กลางปี 2021) เป็นช่วงที่เค้าจัดนิทรรศการภาพวาดแนวเหนือจริง หรือ เซอร์เรียลลิซึม (Surrealism) กับเหล่าภาพวาดที่มันดูไม่สมเหตุสมผล โดยศิลปินเค้าได้นำเอาความไม่เข้ากันของสิ่งของ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่พบเจอ มาผสมผสานออกมาให้กลายเป็นสิ่งใหม่ที่ชวนให้เราได้ขบคิดและนึกตามผลงานเหล่านั้นไปด้วย โดยนิทรรศการหมุนเวียนเหล่านี้เค้าจัดสลับสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ
ก๊อตยกให้ THE MET เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ครบถ้วน และมีผลงานจัดแสดงอยู่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลย สายอาร์ตต้องมา อย่างก๊อตเองที่เรียนสายอาร์ตมา พอได้มายืนอยู่ท่ามกลางพิพิธภัณฑ์ระดับโลกแบบนี้ มันเหมือนดินแดนสวรรค์มาก นี่ไม่อยากกลับเลย 5555
Solomon R. Guggenheim Museum
ไม่ไกลจาก Metropolitan Museum of Art (THE MET) ยังมีอีกหนึ่งมิวเซียมอาร์ตที่ต้องมาเลยคือ Solomon R. Guggenheim Museum หรือที่คนส่วนมากเรียกสั้นๆ ว่า ‘กุกเกนไฮม์ (Guggenheim) ที่นี่เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ดังมากที่สุดในโลก ถึงแม้ขนาดความใหญ่และคอลเล็คชั่นงานอาร์ตของเค้าจะไม่อลังการงานสร้างเหมือน THE MET แต่สถาปัตยกรรมของตึกมิวเซียมเค้าก็ดังแบบปัง โดดเด่นท่ามกลางเมืองนิวยอร์คในสไตล์โมเดิร์น ซึ่งได้สถาปนิกอเมริกันชื่อดังอย่าง Frank Lloyd Wright มาออกแบบมิวเซียมที่นี่ให้ ซึ่งเค้าสเก็ทแบบมากกว่า 700 แผ่น แถมช่วงสร้างเสร็จใหม่ๆ ยังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าตึกนั้น หน้าตาเหมือนขนม Hot Cross Buns (ขนมปังที่เค้านิยมทำและกินกันในช่วงเทศกาลอีสเตอร์) ที่ย่อยไม่ได้อีกต่างหาก แต่ท้ายที่สุด ที่นี่ก็ผ่านร้อนผ่านหนาว และกลายเป็นผลงานอีกหนึ่งชิ้นของ Frank Lloyd Wright ที่โด่งดังมากที่สุด และยังได้พิสูจน์ความเจ๋ง จนได้รับถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ‘The 20th-Century Architecture of Frank Lloyd Wright’ จาก UNESCO อีกด้วย ไม่ปังคือทำไม่ได้นะเออ
สำหรับ พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ (Guggenheim Museum) นั้นมีอยู่ทั้งหมด 4 แห่งทั่วโลกตอนนี้ โดยที่แรกก็คือที่นิวยอร์ค ตามมาด้วยที่เมืองเวนิส (Venice) ประเทศอิตาลี เมืองบิลบาโอ (Bilbao) ประเทศสเปน และล่าสุดที่กำลังสร้างอยู่คือที่อาบูดาบี (Abu Dhabi) ที่คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2025 นี้นั่นเอง โดยผลงานส่วนใหญ่ที่แสดงที่กุกเกนไฮม์ (Guggenheim) นั้น จะเป็นแนว Impressionist, Post-Impressionist, Modern และ Contemporary Art ใครที่เป็นสายนี้ก็มาเดินเล่นดูกันได้เลย
ใครที่มาเที่ยวที่นี่ สำหรับคนที่ถือพาส Go! New York Pass หรือ New York CityPASS สามารถเดินลิ่วเข้าไปได้เลย แต่ถ้าใครไม่มีพาส เราสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้ผ่าน Klook หรือ KKday ซึ่งการซื้อออนไลน์จะถูกกว่าหน้าเคาท์เตอร์ที่ $25 น้า
เอาจริง ตอนที่ก๊อตไปและเดินอยู่ในมิวเซียมนั้น นี่รู้สึกนึกถึงหอศิลป์กรุงเทพ (BACC) เว่อร์ ด้วยความที่การออกแบบรูทการชมนิทรรศการเค้านั้นจะเดินวนเป็นวงกลมนั่นเอง โดยช่วงนั้นที่ก๊อตไป เค้ามีจัดนิทรรศการ Vasily Kandinsky: Around the Circle ของ วาซีลี คันดินสกี (Wassily Kandinsky) ศิลปินชาวรัสเซีย ที่หลายคนยกย่องเค้าให้เป็นผู้ริเริ่มผลงานสไตล์ Abstract ในช่วงศตวรรษที่ 20 ผ่านเส้นสายรูปทรงอินทรีย์ รูปทรงโค้ง และเส้นต่างๆ ที่สะท้อนอารมณ์และจิตวิญญาณภายในของเจ้าตัวนั่นเอง
ใครที่เป็นสายโมเดิร์นอาร์ต หรือศิลปะร่วมสมัย การมาเดินเล่นชมผลงานที่ Solomon R. Guggenheim Museum ถือว่ามาแล้วไม่ผิดหวัง แนะนำให้มาเลย เพราะนอกจากงานศิลปะที่เราจะได้ดูแล้ว ระหว่างการเดินชมผลงาน เรายังได้ซึมซับและชื่นชมความสวยงานของสถาปัตยกรรมของตัวตึกไปด้วยนั่นเอ๊ง
Top of The Rock / Rockefeller Center
ก๊อตว่าหลายคนต้องเคยเห็นภาพความยิ่งใหญ่ของวิวเมืองนิวยอร์กซักครั้งผ่านอินเทอร์เน็ตหรือแม้แต่หนังดังหลายเรื่อง บอกเลยว่าภาพที่เราเห็นผ่านตาว่าสวยแล้ว แต่ของจริงคือสวยแบบน้ำตาไหลยิ่งกว่ามากกก อย่างสกายไลน์นิวยอร์กนี่ คือที่สุดของความยิ่งใหญ่ ซึ่งห้ามพลาดเลยกับการมาขึ้นตึกสูงเพื่อดูวิวสกายไลน์ โดยการมาเที่ยวนิวยอร์กรอบนี้ ก๊อตได้ไปเก็บ Observation Deck ทั้งหมด 4 ที่ด้วยกัน โดยที่แรก ที่เราจะไปกันคือ Top of The Rock จุดชมวิวชั้น 70 ของ ตึก Rockefeller ที่ก๊อตยกให้เป็นจุดชมวิวเมื