ฮอยอัน (Hoi An) เป็นเมืองคิวท์สุดน่ารัก ด้วยเอกลักษณ์ที่ทั่วทั้งเมือง อาคาร บ้านเรือนเป็นสีเหลืองมัสตาร์ดสดใส แต่ยังงดงามด้วยกลิ่นอายความเป็นเมืองเก่าที่ไม่ว่าก๊อตจะเดินไปทางไหนในเมืองก็ดูสวยงาม ซึ่งการมาเที่ยวฮอยอันนั้น เราจะได้พักผ่อนแบบสโลวไลฟ์ที่มาพร้อมกับร้านรวงอย่างร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ที่ซ่อนความกิ๊บเก๋ภายใต้ฉากเมืองเก่าได้อย่างแนบเนียน รวมถึงได้เรียนรู้วัฒนธรรมและเห็นวิถีชีวิตเมืองแห่งการประมงกันแบบใกล้ชิดกับการล่องเรือตะกร้าในทริปนี้อีกด้วย บอกเลยว่ามาเที่ยวฮอยอัน (Hoi An) แล้ว หลายคนจะต้องตกหลุมรักฮอยอันอย่างแน่นอน
แพลนเที่ยวฮอยอัน
มาเที่ยวฮอยอัน (Hoi An)ในทริปเวียดนามรอบนี้นั้น ตัวก๊อตเองนั้น จัดทริปเที่ยวมาแบบแพ็คมัด 3 เมืองยอดฮิต อย่างดานัง ฮอยอัน และ เว้ ใครที่กำลังแพลนเที่ยวทริปสามเมืองนี้อยู่ ลองอ่านรีวิวทั้งหมดจาก Hashcorner ในซีรีย์เวียดนามและตามรอยกันได้เลยน้า
วิธีการเดินทางไปเมืองฮอยอัน (Hoi An)
วิธีการเดินทางไปเมืองฮอยอัน (Hoi An) หลายคนส่วนมากน่าจะมาจากดานัง เนื่องจากสนามบินที่มีบินตรงจากไทยไปเวียดนามและใกล้เมืองฮอยอันมากที่สุด ก็คือเมืองดานังนั่นเอง ซึ่งวิธีการเดินทางหลักๆ คือ นั่งรถบัสร่วม, เหมารถส่วนตัว หรือแม้แต่การเรียก Grab ก็ได้ (แต่ราคาของ Grab ก็จะแพงและเหวี่ยงขึ้น-ลง ตามช่วงเวลาเหมือนบ้านเรา) ทีนี้ เราจะเดินทางไปยังไง แล้วแต่ความสะดวกสบายและกำลังทรัพย์ของแต่ละคนเล้ย แต่ถ้าให้คนก๊อตแนะนำล่ะก็ นี่จะแนะนำแบบจองออนไลน์เหมาส่วนตัวไปเลย เพราะเราสามารถจองวันและนัดเวลาได้แบบเป๊ะๆ ไม่ต้องมานั่งปวดหัวหารถหน้างานให้วุ่นวายแหละ ฮ่า
สำหรับการจองล่วงหน้าของก๊อตนั้น จากประสบการณ์ส่วนตัวคือก๊อตจองจาก Klook ซึ่งเมื่อเราจองและยืนยันแล้ว ทางคนขับรถก็จะ WhatsApp มาคอนเฟิร์มการมารับเราอีกที ดังนั้น ใครที่ไม่มี WhatsApp ในมือถือ แนะนำให้โหลดและสมัครล่วงหน้าไปเลยน้า แอพมันจะใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือเราเป็น ID หลัก ซึ่งคนขับรถสามารถแอดเราได้เลยจากการใส่เบอร์มือถือตอนเราจองนั่นเอง
- รถรับ-ส่งส่วนตัว ฮอยอัน <> ดานัง [จองผ่าน Klook]
- รถรับ-ส่งส่วนตัว ฮอยอัน > เว้, บานาฮิลล์ หรือดานัง [จองผ่าน Klook]
- รถรับ-ส่งส่วนตัว สนามบินดานัง > ฮอยอัน [จองผ่าน Klook] [จองผ่าน KKday]
- รถ Shuttle Bus รับ-ส่ง ฮอยอัน <> ดานัง [จองผ่าน KKday]
- รถ Shuttle Bus รับ-ส่ง ฮอยอัน <> บานาฮิลล์ [จองผ่าน Klook]
แนะนำที่พักและโรงแรมในฮอยอัน (Hoi An)
คนที่กำลังหาที่พักใน ฮอยอัน (Hoi An) อยู่ล่ะก็ ก๊อตจะแนะนำย่านที่พักให้ โดยก๊อตขอแบ่งแยกออกเป็นสองย่านสำหรับการเลือกที่พักในฮอยอัน คือ รอบบริเวณ เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) และย่านชายหาดของฮอยอันที่ถือเป็นแหล่งรวมรีสอร์ทตากอากาศอย่าง หาดอันบัง (An Bang Beach) และ หาดเชาได๋ (Cua Dai Beach) ซึ่งแต่ละย่านเค้าก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน ดังนั้น เลือกตามที่ตัวเองชอบและสะดวกได้เลย เลือกย่านได้แล้ว ก็ลองดูๆ โรงแรมที่ก๊อตแนะนำก็ได้ครับ อันนี้คัดมาให้แบบเริ่ดๆ แล้วว
🏨 ดูที่พักแนะนำในฮอยอัน (Hoi An) จาก Tripadvisor / Agoda / Booking.com
1. เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town)
การมาเที่ยวฮอยอันนั้น แน่นอนว่าการนอนในโรงแรมบริเวณรอบๆ เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) ในระยะเดินเข้ามาได้นั้น ถือว่าสะดวกมากที่สุดแล้ว ซึ่งที่พักแถวๆ นี้ก็คือเยอะมาก เพราะมันเป็นย่านที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวแทบจะทั้งหมดของฮอยอันแล้วแหละ
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (2,500 ++ บาท/คืน): Anantara Hoi An Resort / Allegro Hoi An / Little Riverside Hoi An
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมสบาย (1,200-2,500 บาท/คืน): Hoian Central Hotel / Laluna Hoi An Riverside Hotel & Spa / Lion King Hotel
- โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 1,200 บาท/คืน): MaiChi Villa Hoi An / Hoi An TNT Villa / Vinci Villa
ข้อมูลเที่ยวฮอยอัน (Hoi An) แบบแน่นปึ๊กแล้ว เริ่มเที่ยวฮอยอัน (Hoi An) กัน
DAY 1 : เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town)
วันแรกในฮอยอัน (Hoi An) อย่างแรกที่ควรทำเลยคือ การเดินชม เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) ซึ่งก๊อตเชื่อว่าหลายคนที่มาเที่ยวฮอยอันต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือการมาเดินเล่นชมเมืองเค้านี่แหละ ด้วยความที่เมืองเค้านั้นเป็นเมืองเก่าที่ประดับประดา และทาสีเหลืองไปทั่วทั้งเมือง การได้มาเดินเล่นท่ามกลางเมืองสีสันน่ารัก สองข้างทางที่เต็มไปด้วยอาคาร ร้านค้า ร้านขนม แบบที่ไม่ต้องเร่งรีบ อีกทั้งยังได้เห็นวิถีชีวิตจริงๆ ของผู้คนที่นี่ ก๊อตว่ามันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในการมาเที่ยวฮอยอัน (Hoi An) เลยน้า
โดยฮอยอัน (Hoi An) นั้น ถือว่าเป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำทูโบน (Thu Bon River) ห่างจากเมืองดานังมาทางตอนใต้ราวๆ 20 กิโลเมตร โดยฮอยอัน (Hoi An) จัดเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะแม่น้ำทูโบนที่เป็นที่ตั้งของเมืองนั้นไหลลงสู่ทะเลจีนตะวันออก อีกทั้งยังมีปากแม่น้ำที่ใหญ่ ทำให้ง่ายต่อการเดินเรือ และติดต่อค้าขายต่างๆ นั่นเอง
ในปี 1999 UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนเมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) ให้เป็นมรดกโลก โดยสถาปัตยกรรมภายในเมืองนั้น มีกลิ่นอายของวัฒนธรรมพื้นเมือง และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น และยุโรปที่ถูกสร้างผสมผสานเข้ากันไว้อย่างลงตัว และที่โดดเด่นเลยคือ เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) มีอาคารโครงไม้กว่า 1,100 แห่งที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้อย่างดี ซึ่งเค้าเคลมว่าตัวเค้าเองเป็นย่านไชน่าทาวน์ที่เก่าแก่เป็นอันดับ 3 ของโลกเลย
จากที่ได้ลองเดินเล่นไปตามเมืองนั้น ก็เออ! มีความคิวท์และขลังว่ะ เก่าแก่จริงๆ ด้วยความที่เมืองเก่าของเค้าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ทางเวียดนามเค้าเลยสงวนไม่ให้รถยนต์เข้ามาในเขตพื้นที่เมืองเก่าได้ แต่ยังอนุโลมให้ชาวบ้านสามารถขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาได้ตามช่วงเวลาที่เค้ากำหนด ซึ่งนโยบายนี้มันทำให้ฮอยอันถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเมืองปลอดรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย ดังนั้นใครคิดจะมาตามรอยเที่ยวเมืองเก่าฮอยอัน เตรียมใจมาก่อนเลยว่ารูทเที่ยวจะเน้นไปที่การเดินชมเมือง หรือปั่นจักรยานชิลๆ มากกว่า ซึ่งบรรยากาศของเมืองก็น่ารักหนุบหนับ สโลว์ไลฟ์แบบที่เดินเล่นไป ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านไปอย่างใกล้ชิดเล้ยย ใครที่เป็นสายเดิน เน้นส่องอาคาร บ้านเรือน ตึกเก่า ก๊อตบอกเลยว่ามาเดินเล่นในเมืองเก่าฮอยอัน ก็คือเดอะเบส เริ่ดสุดดด
Faifo Coffee
หลังจากก๊อตเดินเล่น เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) กันเปื่อยๆ จนพอใจแล้ว พวกเราเลยขอแวะพักหาอะไรเย็นๆ ดื่มให้หายเหนื่อยกันหน่อย โดยก๊อตเลือกไปที่ Faifo Coffee ร้านกาแฟสุดป๊อบที่โด่งดังมากที่สุดแห่งหนึ่งในฮอยอัน (Hoi An) แบบที่ว่าถ้าให้เสิร์จชื่อคาเฟ่ดังในเมือง 1 ใน 5 อันดับแรกจะต้องมี Faifo Coffee แน่นอน ตัวร้านเป็นอาคารเก่าแก่สูง 3 ชั้น มีไฮไลท์เด็ดคือ บริเวณชั้นดาดฟ้าที่ผู้คนเค้ามักมายืนถ่ายรูปออกไปให้เห็นวิวทั้งเมืองของฮอยอัน (Hoi An) สวยๆ นั่นเอง
สำหรับบรรยากาศภายในร้านนั้นจะเป็นโทนสีทอง-น้ำตาล มีที่นั่งเยอะ หลากหลายมุมในทุกชั้น สามารถรองรับลูกค้าได้สบายๆ ในส่วนของเครื่องดื่มนั้น ก๊อตว่ารสชาติค่อนข้างโอเค โดยเฉพาะกาแฟเวียดนาม หรือกาแฟมะพร้าวที่ถือเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ เมื่อเราได้จิบอะไรเย็นๆ ท่ามกลางเมืองฮอยอันที่มีกลิ่นอายความเก่าแก่แบบนี้ มันช่วยเสริมให้รสชาติของกาแฟดูกลมกล่อมขึ้นสุดๆ ไปเล้ยย แถมราคาของเครื่องดื่มก็ไม่แรงมาก ยิ่งประทับใจเข้าไปอีก ฮ่าๆ
แน่นอนว่าความตั้งใจของเราและชาวแก๊งคงหนีไม่พ้น การขึ้นมาถ่ายรูปสวยๆ บนดาดฟ้าร้านเค้า ซึ่งจากมุมของร้านนั้นเราสามารถถ่ายเห็นเมืองฮอยอัน (Hoi An) ได้แบบพาโนราม่าเลย ภาพที่ได้ออกมาสวยสับ ได้เห็นผู้คนเดินไปเดินมาบนท้องถนน รวมถึงได้เห็นตึกรามบ้านช่องสีเหลืองๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ บอกเลยว่าโคตรดีย์ โดยเวลาที่กก๊อตแนะนำให้มาคือช่วงบ่ายแก่ๆ ไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน ก๊อตว่าสองช่วงเวลานี้ มู้ดและแสงกำลังสวย ถ่ายรูปยังไงก็ออกมาเป๊ะปัง ฟีลละมุนๆ สุดเล้ย
สรุปแล้ว Faifo Coffee ถือเป็นร้านกาแฟที่บรรยากาศดีมากที่สุดแห่งหนึ่งของฮอยอัน ที่นั่งเยอะ แม้ช่วงนักท่องเที่ยวมาเยอะ แต่ก็มีที่นั่งเพียงพอ สำหรับเครื่องดื่มนั้นก๊อตว่าราคากันเองไม่แรงเลย ส่วนรสชาติก็ถูกปาก กาแฟคือดีย์ ถูกใจสายคาเฟ่แน่นอน และที่ก๊อตเลิฟเลยคือวิวบนดาดฟ้า ที่เราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวเมืองฮอยอัน (Hoi An) แบบ 360 องศา แบบสโลว์ไลฟ์ เหมาะมานั่งพักผ่อน ก่อนไปลุยเที่ยวต่อสุดๆ
Mot Hoi An
เดินออกมาไม่ไกลจาก Faifo Coffee จะมีอีกหนึ่งร้านเครื่องดื่มดังไม่แพ้กันคือ Mot Hoi An – Herbal Tea ร้านขายเครื่องดื่มสมุนไพรฉ่ำๆแบบตะโกน เพราะเค้าเล่นเอาวัตถุดิบ และเหล่าสมุนไพรต่างๆ มาตั้งเรียงรายให้เห็นกันอยู่หน้าร้าน พร้อมกับคนขายที่ตักน้ำสดๆ เทลงแก้วขายกันแบบไม่หยุดหย่อน ซึ่งร้านนี้เค้าเป็นร้านฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวฮอยอันเลยแหละ
Mot Hoi An ขึ้นชื่อในเรื่องของน้ำสมุนไพรสกัดกันสดๆ แบบที่คนทำเค้ามายืนทำให้เห็นใกล้ๆ บอกให้โลกรู้ไปเลยว่าชั้นใช้สมุนไพรแท้ๆ นะโว้ยย โดยเมนูดังที่เค้าว่ามาแล้วจะต้องสั่งคือ ‘น้ำดอกบัว’ ที่ทางร้านเค้าสกัดออกมาจากดอกบัวสดๆ ตัวก๊อตเองไม่ได้ลองชิม แต่เพื่อนก๊อตได้ลองหลายเมนูเลยล่ะ! ในส่วนของรสชาติที่ฟังจากเพื่อนเล่านั้น ต่างก็บอกว่าโอเคเลย ได้อยู่~
ส่วนตัวก๊อตไม่ได้ลองนั้น ด้วยความที่ร้านมันโอเพ่นแบบเราสามารถมองเห็นเค้าตักน้ำเทลงแก้วกันตรงหน้า จังหวะเทน้ำสมุนไพรลงแก้วแบบเร็วๆ แล้วน้ำสมุนไพรมันหกไหลลงมือแล้วไหลกลับลงหม้ออีกรอบ ด้วยความที่ก๊อตรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ นี่ก็เลยขอเปลี่ยนเป็นการยืนดูเพื่อนกินแทนแล้วกัน ยังไงใครมาเที่ยวฮอยอันแล้วก็ลองแวะเวียนมาก่อนได้ ซึ่งที่นี่เป็นอีกร้านดังที่เค้าบอกห้ามพลาด แต่นี่พลาดไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรนะ 555555555
ตลาดกลางคืนฮอยอัน (Hoi An Night Market)
ตะวันเริ่มคล้อย ไฟของเมืองเก่าฮอยอันเริ่มเปิดแสง ใครอยากได้ฟีลเดินตลาดยามค่ำคืน และหาอะไรกินกรุบกริบ แนะนำให้มาที่ ตลาดกลางคืนฮอยอัน (Hoi An Night Market) ที่เดินข้ามสะพานมายังฝั่งตรงข้าม ที่เมื่อไหร่ที่พระอาทิตย์กำลังเริ่มคล้อย ฝั่งตลาดกลางคืนจะถูกเปลี่ยนมู้ดบรรยากาศให้ฟีลแตกต่างเหมือนอยู่กันคนละโลกกับเมื่อตอนกลางวันมาก เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยแสงสีจากร้านค้า ร้านขายของฝาก และเหล่าสตรีทฟู้ดมากมาย ที่ตั้งเรียงรายอยู่เต็มสองข้างทางแล้ว เราจะได้เห็นแสงไฟอันสลวยสวยงามจากตัวสะพาน โคมไฟต่างๆ จากเรือที่ล่องอยู่ในแม่น้ำทูโบน (Thu Bon River) รวมถึงไฟประดับตกแต่งบนตึกสีเหลืองสดใสจากฝั่งเมืองเก่าฮอยอันอีกด้วย
สำหรับ ตลาดกลางคืนฮอยอัน (Hoi An Night Market) นั้น เปิดตั้งแต่ประมาณ 5 โมงเย็น ลากยาวไปจนสามสี่ทุ่มเลย โดยเค้าจะตั้งอยู่บริเวณถนน Tran Quy Ca และ Bach Dang ที่เต็มไปด้วยแผงขายของมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนมท้องถิ่น, งานฝีมือ, ของที่ระลึก, เครื่องประดับ, เสื้อผ้า, รองเท้า และอีกสารพัดอย่างที่พร้อมจะพาเราล้มละลายได้ ซึ่งตลาดที่นี่นั้น พ่อค้าแม่ค้าเค้าจะมาเปิดแผงขายกันราวๆ 3 แถว และจะมีช่องให้เราเดินดูของได้สองฝั่ง ฟีลเหมือนเดินไนท์ มาร์เก็ตบ้านเรานั่นล่ะ
ใครที่เป็นสายกิน ก๊อตบอกเลยว่ามาถูกที่แล้ว เพราะตรงตลาดเต็มไปด้วยของกินเยอะมาก เราจะได้เห็นอาหารท้องถิ่นแบบละลานตาไปหมด เช่น พิซซ่าเวียดนาม, เนื้อย่างเสียบไม้ (หมู กุ้ง ปลาหมึก กบและไก่), มันฝรั่งม้วนไส้กรอก, ขนมมะพร้าว, ข้าวเหนียวกล้วยย่าง (กล้วย, กะทิ, และข้าวเหนียวห่อใบตอง) และเจ๊ซุป (พุดดิ้งรสหวานอ่อนๆ ใส่ผลไม้ ผัก ถั่ว เมล็ดพืช ข้าวเหนียว และแป้งมัน ราดด้วยกะทิ) ที่แต่ละอย่างมาในราคาเบาๆ มาก แบบกินไปเลย ซื้อไปเลย โดยไม่ต้องมานั่งเสียดายเงินเลย ส่วนรสชาติก็เริ่ด ได้กินอาหารเวียดนามแบบออริจิเลยนะเว้ยย ดีไม่ไหว
สำหรับไฮไลท์ของตลาดนอกจากจะมีของขายเยอะแล้ว ตรงทางเข้าก่อนถึงตัวตลาดจะมีร้านขายโคมไฟตั้งเป็นแผงอยู่ ซึ่งแต่ละร้านเองเค้าจะเอาโคมไฟมาเปิดเรียงรายแข่งกันกัน ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมไปยืนถ่ายรูปเล่นบริเวณหน้าร้าน ซึ่งตรงนี้เราสามารถขอเค้าถ่ายรูปได้เลย พร็อพพร้อม เก้าอี้ก็พร้อม บอกเลยว่ารูปนั้นสวยปังและถือเป็นรูปซิกเนเจอร์ของฮอยอันที่พลาดไม่ได้เลยจริง สำหรับการถ่ายรูปตรงร้านโคมไฟ คนขายเค้าจะเก็บเงินเรานิดๆ หน่อยๆ ประมาณ 15,000-20,000 ดอง (~20-30 บาท) ด้วยน้า
ล่องเรือในแม่น้ำทูโบน (Thu Bon River Cruise)
อิ่มหนำสำราญแล้ว อย่าลืมไปล่องเรือใน แม่น้ำทูโบน (Thu Bon River) กันด้วยนะเอ้อ โดยเค้าบอกกันว่าแม่น้ำสายนี้ สวยงามมากที่สุดในเวียดนาม อีกทั้งยังมีความสำคัญในทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ตลอดจนประวัติศาสตร์ของฮอยอัน (Hoi An) มาอย่างเนิ่นนาน โดย แม่น้ำทูโบน (Thu Bon River) นั้น มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาหง็อกลินห์ บนระดับความสูงเริ่มต้น 2,598 เมตร โดยมีอีกชื่อที่ผู้คนท้องถิ่นเรียกกันว่า ‘Kuadai’ ซึ่งในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้น แม่น้ำสายนี้มีความสำคัญกับเมืองฮอยอัน ( Hoi An) อย่างมาก ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำสายนี้ที่ไหลลงสู่ทะเลจีนตะวันออก อีกทั้งมีปากแม่น้ำที่ใหญ่ ง่ายต่อการเดินเรือและติดต่อค้าขาย ส่งผลให้ แม่น้ำทูโบน (Thu Bon River) กลายเป็นจุดหมายปลายทางการค้าระหว่างประเทศ และยังเป็นจุดแวะพักเรือสินค้าจำนวนมากที่เตรียมมุ่งหน้าสู่ประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งมันส่งผลดีต่อคนท้องถิ่นในขณะนั้น ที่เค้าสามารถค้าขายและส่งออกหรือนำเข้าสินค้าได้อย่างง่ายดาย
ปัจจุบันนี้ ใครมาเที่ยวฮอยอัน (Hoi An) หนึ่งในลิสต์ห้ามพลาดเลยคือการมาล่องเรือชมวิวเมืองเก่าฮอยอันในอีกมุมหนึ่งจาก แม่น้ำทูโบน (Thu Bon River) โดยเค้าจะนับราคาแบบเหมาต่อลำ ซึ่งราคาจะต่างกันออกไป แล้วแต่เราจะต่อราคาเก่งแค่ไหน ฮ่าๆ แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะหาทางขึ้นไม่ได้ด้วยนะ เพราะจะมีคนเดินมาคอยถาม และเสนอราคาให้เราอยู่ตลอดข้างทาง ซึ่งเราสามารถต่อรองราคาและเลือกเจ้าที่ถูกใจได้เลย รับรองว่ามีให้เลือกเยอะแบบตาลายเลยเชียวล่ะ แต่ถ้าใครที่ไม่อยากปวดหัว อยากจะจองออนไลน์ สามารถจองผ่าน Klook ได้เหมือนกัน [จองผ่าน Klook]
สำหรับระยะทางที่เค้าจะพาเราล่องเรือไป-กลับ นั้นจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที ซึ่งข้อดีของการมาล่องเรือชมเมืองของเค้านั้น คือการที่เราจะได้ได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองในยามค่ำคืนที่มู้ดแปลกตาออกไป แถมสองข้างทางยังได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำแบบระยะใกล้ชิดอีกด้วย ยิ่งตกดึกมากเท่าไหร่ จำนวนคนที่มาล่องเรีอก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยเรือแต่ละลำเค้าจะมีโคมไฟติดอยู่ พอคนมาล่องเยอะๆ ทั่วทั้งแม่น้ำจะกลายเป็นทะเลโคมแดงไปเลยล่ะ ถือเป็นภาพที่สวยงามและติดตามาก อยากให้ทุกคนมาเห็นเองกับตาจริงๆ
DAY 2 : Cong Caphe
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ในฮอยอันด้วยการออกไปหาอะไรดื่มกันสักหน่อย ก่อนไปลุยเที่ยวต่อ ซึ่งก๊อตไม่พลาดที่จะไป Cong Caphe คาเฟ่ชื่อดังของเวียดนามที่มีสาขาอยู่แทบจะทุกหัวมุมเมือง โดยร้านเค้าเปิดมาตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งสาขาแรกนั้นเป็นแค่ร้านกาแฟเล็กๆ ตั้งอยู่บนถนน Trieu Viet Vuong ซึ่งเป็นถนนคาเฟ่เก่าแก่ของฮานอย โดยชื่อร้านของเค้า คำว่า ‘Cong’ หรือเขียนแบบภาษาเวียดนามว่า ‘Cộng’ มาจากคำแรกของชื่อทางการของประเทศเวียดนาม นั่นคือ CỘNG HOÀ XÃ HỘI CHỦ NGHĨA VIỆT NAM (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) นั่นเอง
สำหรับบรรยากาศของร้านก็จะเป็นฟีลสีเหลือง-น้ำตาล ที่ยังเป็นเอกลักษณ์ของฮอยอัน ด้านในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก และเพิ่มกลิ่นอายความเป็นเวียดนามจ๋าๆ ด้วยหมอน และเบาะรองนั่งสีแดงลายดอกไม้ที่วางตกแต่งไปตามเก้าอี้แทบจะทุกตัวในร้าน ซึ่งเค้ามีที่นั่งเยอะ หลายมุมให้ได้เลือกนั่งตามชอบ
เครื่องดื่มที่ก๊อตสั่งมาลองนั้น คือ กาแฟนมมะพร้าว (Coconut Coffee) ที่ถือเป็น Signature ของร้านนี้ บอกได้เลยว่า อร่อยมากกกกก มันมีความหอมของกาแฟที่เข้ากันดีกับมะพร้าว ที่พอดื่มแล้วให้รสชาติหวานมัน และมีความขมหน่อยๆ เป็นสองรสชาติที่กลมกล่อมมาก แบบอร่อยลืม ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นเฟรชมาก เป็นหนึ่งในเมนูที่ก๊อตโปรดปรานตอนที่ไปเที่ยวที่นั่นเลย ใครคอกาแฟแต่อยากดื่มอะไรที่ติดหวานมันหน่อยนะ ก๊อตแนะนำเมนูนี้เลย นี่ติดใจมากกกก เลิฟกาแฟนมมะพร้าวขั้นสุดดดด
สรุปแล้ว Cong Caphe เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ก๊อตแนะนำว่าควรมา ใครที่ชื่นชอบกาแฟนี่พลาดไม่ได้ ก๊อตขอเชียร์กาแฟนมมะพร้าวขาดใจ เพราะมันอร่อยมาก โคตรอร่อย แต่ถ้าใครไม่ใช่คอกาแฟ สามารถลองสั่งเป็นแบบช็อกโกแลตนมมะพร้าว ชาเขียวนมมะพร้าว หรือจะลองเป็นโกโก้นมมะพร้าวดูได้น้า เค้ามีเมนูให้เลือกหลากหลายเลย แถมราคาไม่แรงมาก อยู่ในระดับที่คุ้มค่ากับรสชาติและปริมาณ การันตีใครมาลองแล้วไม่มีผิดหวังแน่นอน ฮี่ๆ
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)
อีกหนึ่งแลนด์มาร์ค ที่เมื่อเราเดินเล่นในเมืองเก่าฮอยอันแล้วจะต้องเห็นก็คือ Cau Temple (Chùa Cầu) หรืออีกชื่อ Lai Vien Kieu ซึ่งก็คือ สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) ที่คนไทยรู้จักกันนั่นเอง โดยสะพานแห่งนี้นั้นตั้งโดดเด่นมายาวนานกว่า 400 ปี สร้างโดยพ่อค้าชาวญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 โดยผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบเวียดนามดั้งเดิมเข้ากับกลิ่นอายแบบญี่ปุ่น โดยในปี 1653 ภายในสะพานนั้นได้มีการสร้างเจดีย์เพิ่มเติมขึ้นเข้ามาอีกด้วย ซึ่งก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเล่ากันว่า ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแห่งที่หลายคนเค้ามาทำพิธีกรรมทางศาสนากันด้วย
สำหรับที่มาที่ไปของสะพานนั้น ตามตำนานบอกว่ามีสัตว์ทะเลชื่อ Namazu (เรียกอีกอย่างว่า Cu) มีหัวอยู่ในอินเดีย ลำตัวอยู่ในเวียดนาม และปากอยู่ในดินแดนอาทิตย์อุทัย (ญี่ปุ่น) ซึ่งผู้คนเค้าก็เชื่อกันว่าสัตว์ทะเลตัวนี้เป็นสัตว์ร้ายที่ทำให้เกิดน้ำท่วมและแผ่นดินไหว เค้าเลยสร้างสะพาน Cau Temple (Chùa Cầu) หรือ สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) ขึ้นมา โดยมีจินตนาการว่าสะพานนี้เสมือนเป็นดาบ ที่จะคอยทำให้ต้าวสัตว์ร้ายตัวนี้มันเชื่องและไม่สร้างภัยพิบัติให้กับพื้นที่แห่งนี้นั่นเอง
สะพาน Cau Temple (Chùa Cầu) แม้ว่าจะถูกสร้างด้วยชาวญี่ปุ่น แต่กลับมีสถาปัตยกรรมเป็นแบบเวียดนามดั้งเดิม ตัวสะพานมีความยาว 18 เมตร โดดเด่นตรงที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เต็มไปด้วยลวดลายแกะสลักอย่างประณีตในสไตล์ดั้งเดิม และมุงด้วยหลังคากระเบื้องเซรามิกแบบเว้าและนูนที่มีเอกลักษณ์ บริเวณปลายสะพานแต่ละด้านจะมีรูปปั้นไม้ของสุนัขอยู่ด้านหนึ่ง และลิงอยู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งตามที่เล่าต่อกันมานั้นบอกว่า สะพานแห่งนี้ก่อสร้างในปีลิงและสิ้นสุดในปีสุนัขนั่นเอง
ด้วยความวิจิตรงดงามของสะพาน ทำให้ที่นี่ผู้คนเค้าชอบมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันเยอะมาก อีกทั้งยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาดสายเลย ส่วนตัวก๊อตแล้ว ชอบความที่เวลาเราเดินผ่านมันให้กลิ่นอายความประณีตในแบบญี่ปุ่น และได้ดื่มด่ำไปกับสถาปัตยกรรมแบบเวียดนามแท้ๆ ได้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งจุดในฮอยอันที่ก๊อตแนะนำให้มาเดินเล่นดูได้น้า
Ba Mu Temple Gate
เดินมาแวะเที่ยวกันต่อที่ Ba Mu Temple Gate กับประตูวัดโบราณที่มีอายุกว่า 400 ปี โดยที่นี่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริเวณถนน Hai Ba Trung ไม่ไกลจากสะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) มากนัก เราสามารถเดินต่อมาได้เลย ภายในนั้นจะมีประตูทางเข้า 3 ประตู ซึ่งจะนำไปสู่พื้นที่สักการะ 2 แห่งของอาคาร ที่เค้าอุทิศให้กับเทพธิดาผู้ให้ความมั่งคั่งและความปลอดภัย, ผู้พิทักษ์สวรรค์ 36 องค์ (ภายในมีรูปปั้นผู้พิทักษ์สวรรค์ตั้งอยู่ 36 องค์) และนางผดุงครรภ์ 12 คน ซึ่งชาวบ้านเค้าเชื่อกันว่ามาคอยช่วยให้คุณแม่คลอดลูกได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยป้องกันภัยจากความชั่วร้ายได้ ทำให้คนท้องถิ่นในเมืองนี้ เค้านิยมพาเด็กๆ มาไหว้ขอพร ประมาณว่าขอให้ชีวิตมีความสุข สงบ และสุขภาพดี
สำหรับประวัติของ Ba Mu Temple Gate เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1626 ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งเดิมนั้นไม่ได้อยู่ในบริเวณปัจจุบัน แต่ด้วยสภาพอากาศและสงครามในสมัยนั้น ทำให้ตัววัดเหลือเพียงประตูทางเข้าเท่านั้น อาคารส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายไปเกือบทั้งหมด จนกระทั่งรัฐบาลได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ในปี 1848 และในปี 1922 โดยใช้งบประมาณไปกว่า 5.3 พันล้านดง (7,600,000 บาท) ในการบูรณะประตูทางเข้า และมีการจัดสวน รวมถึงตกแต่งไฟส่องสว่าง แปลงดอกไม้ และสนามหญ้าเพื่อให้ที่นี่กลับมาเป็นสถานที่เที่ยวให้กับเมืองอีกครั้ง ซึ่งความยิ่งใหญ่ในอดีตของ Ba Mu Temple Gate นั้นเคยถูกจัดให้เป็นหนึ่งในวัดที่สมบูรณ์แบบในเรื่องของสถาปัตยกรรมสไตล์เวียดนามคลาสสิก ที่ปัจจุบันนี้มีปรากฏให้เห็นได้ในเจดีย์และวัดหลายแห่งทั่วประเทศเวียดนามอีกด้วย
ไฮไลท์มุมถ่ายรูปห้ามพลาดเลย คือบริเวณตรงประตูของเค้าที่มีฉากหลังเป็นต้นไม้เขียวๆ เข้ากันกับบริเวณด้านหน้าที่รายล้อมไปด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ ที่เวลาเรายินถ่ายรูปจะได้มุมที่ตัวประตูมันสะท้อนลงบนผิวน้ำพอดี เป็นอีกมุมฮิตของทุกคนที่มาเยือนที่นี่เลยก็ว่า โดยก๊อตเองก็มาถ่ายรูปแค่จุดนี้เท่านั้นเน้อ เราไม่ได้เข้าไปข้างในกันน้า
โดยรวมแล้วใครที่ชื่นชอบสถานที่เที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ อยากเห็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณของเวียดนาม ก๊อตแนะนำว่ามาได้น้า โดยรวมมู้ดดีเลย มีความเก่าแก่แต่อลังการเอาเรื่อง ก๊อตแนะนำเล้ยย
92 Station Restaurant & Cafe
เดินต่อมาที่ 92 Station Restaurant & Cafe ร้านอาหารและคาเฟ่ที่ตั้งอยู่บนถนน Tran Phu ใจกลางฮอยอัน (Hoi An) อีกหนึ่งร้านดังที่มี Rooftop สูงให้เราได้ขึ้นมาถ่ายรูปบนดาดฟ้าท่ามกลางบรรยากาศสุดน่ารักของวิวฮอยอัน โดยที่นี่เค้าโดดเด่นในเรื่องของอาหารเวียดนามดั้งเดิม และอาหารตะวันตก อีกทั้งยังมีเมนูค็อกเทลสูตรเฉพาะจากทางร้านคอยให้บริการบนชั้นดาดฟ้าอีกด้วย
สำหรับบรรยากาศร้าน 92 Station Restaurant & Cafe ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก และมีภาพวาดศิลปะมากมายแขวนไว้ตามผนังของร้านให้ได้ดูกันเพลินๆ บวกกับโคมไฟ และพื้นกระเบื้องที่มีกลิ่นอายความเป็นเวียดนามเข้าไปด้วยแล้ว ก๊อตยกให้ 92 Station Restaurant & Cafe เป็นอีกหนึ่งร้านที่ใครอยากสัมผัสความเป็นเวียดนามแบบออริจิห้ามพลาดเลย
ไฮไลท์เด็ดของที่นี่เลยก็คือ ชั้นดาดฟ้าของเค้าที่เราสามารถขึ้นมาเดินดูวิวรอบๆ ของฮอยอัน (Hoi An) ได้แบบพาโนราม่า โดยไม่มีอะไรมากีดขวางเลย ซึ่งบนดาดฟ้านี้เค้าจะมีซุ้มไม้ อารมณ์เหมือนโรงเตี๊ยมในหนังกำลังภายใน ตั้งขายเครื่องดื่ม และค็อกเทลที่การันตีว่าเป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน แน่นอนว่ารสชาติก็ต้องเริ่ดไม่แพ้ใคร รายล้อมไปด้วยโต๊ะ-เก้าอี้ไม้ ตัวยาว และสาระพัดดอกไม้ที่ทางร้านเค้าเอามาห้อยประดับตกแต่งเอาไว้ เสริมให้บรรยากาศมันดูชิลๆ เหมาะกับการมานั่งพักผ่อน หย่อนใจเป็นที่สุด ยิ่งถ้าใครนั่งลากยาวไปจนถึงตอนกลางคืน เราจะได้เห็นวิวเมืองสีเหลืองถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟหลากสี บรรยากาศจะโรแมนติกโคตรๆ เลย
โดยรวมแล้ว 92 Station Restaurant & Cafe เป็นร้านอาหาร และคาเฟ่ที่มีครบจบในที่เดียว ร้านเค้าบรรยากาศดี มีความเป็นเวียดนามจ๋าแบบออริจิ อีกทั้งยังมีวิวดาดฟ้าที่สูงกว่า Faifo Coffee ที่เราไปมาก่อนหน้านี้ ใครที่อยากเห็นวิวเมืองฮอยอัน (Hoi An) แบบเต็มๆ ตาจึงไม่ควรพลาดร้านนี้ด้วยประการทั้งปวง ที่สำคัญราคาอาหารและเครื่องดื่มก็อยู่ในระดับพอดีที่รับไหว เพราะฉะนั้นควรมากัน มาถ่ายรูปเล่นบนดาดฟ้าก็คุ้มค่าแล้ว
วัดขงจื๊อฮอยอัน (Confucius Temple)
ไปต่อกันที่ วัดขงจื๊อฮอยอัน (Confucius Temple) อีกหนึ่งวัดสำคัญในฮอยอัน ที่สร้างขึ้นในปี 1961 เพื่อเป็นเกียรติแก่การเรียนรู้ และเป็นสถานที่ที่คอยให้ความรู้กับคนรุ่นหลัง เกี่ยวกับการศึกษาในท้องถิ่น รวมถึงเหล่าประเพณีต่างๆ ซึ่งที่นี่นั้นมีการทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จนกระทั่งในปี 2005 ได้มีการซ่อมแซมอละบูรณะวัดขงจื๊อฮอยอัน (Confucius Temple) และโครงสร้างสถาปัตยกรรมบริเวณโดยรอบวัดให้กลับมางดงามใกล้เคียงกับของเดิมอีกครั้ง
ซึ่งก่อนที่เราจะเดินเข้าไปถึงตัวอาคารหลักนั้นนั้น จะต้องเดินผ่านสะพานครึ่งวงกลมข้ามสระบัว ก่อนจะมาเจอกับเสาสูง 2 คู่ และแท่นตรงกลางที่สร้างด้วยเซรามิคลวดลายสวยงาม เป็นที่ตั้งของ ‘Long ma phi ha do’ สัตว์ในตำนาน ซึ่งพอเดินเลยเข้ามาจะเจอเข้ากับตัวอาคารหลักที่สร้างด้วยไม้เป็นหลัก ตัวหลังคามุงกระเบื้องหยิน-หยาง แบบดั้งเดิม ตรงสันของหลังคา และจั่วหลังคานั้นมีลวดลายศิลปะประดับเอาไว้มากมาย โดยด้านหน้าทางเข้าของอาคารหลักนั้นจะมีประตู 3 บาน ที่มีแผ่นกระดานจารึกชื่อพระธาตุ และประดับไปลวดลายพระธรรมเทศนาของขงจื๊อ
พอเราเดินเข้ามาภายในอาคารหลักนั้น จะเจอเข้ากับโถงใหญ่ที่เค้าใช้เป็นที่ในการบูชาขงจื๊อ ซึ่งเป็นนักปรัชญาและนักการเมืองที่เกิดในสมัยชุนชิว(春秋)เมื่อ 551 ปีก่อนคริสตกาลในสมัยเป็นหลัก ตามประวัติเล่าว่าขงจิ๊อนั้นสูงถึง 2 เมตรเลย เรียกได้ว่าเป็น ‘ผู้สูงใหญ่’ อย่างแท้จริง จนมีคำร่ำลือกันว่ากำลังแขนของขงจื๊อนั้น แข็งแรงยิ่งนัก ภายในอาคารหลักเลยจะมีแท่นบูชาขงจื๊อตั้งเอาไว้ โดยมีฉากด้านหลังเป็นภาพวาดขนาดใหญ่ติดอยู่บนผนัง รายล้อมไปด้วยลวดลายตัวอักษรจีน และของตกแต่งที่ออกไปทางสไตล์จีนซะส่วนใหญ่ ซึ่งมันไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า วัดขงจื๊อฮอยอัน (Confucius Temple) ผู้คนเค้านิยมมาขอพร หรือมาไหว้ขอสิ่งใดกัน แต่ถ้าจะให้ก๊อตเดาคงเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาอย่างแน่นอน
และด้วยความที่วัดเค้าโดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรม มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ในปี 2013 วัดขงจื๊อฮอยอัน (Confucius Temple) ได้รับการยอมรับให้เป็นโบราณวัตถุประจำจังหวัด จากคณะกรรมการของ Quang Nam อีกด้วย ใครที่ชอบโบราณสถาน เป็นแฟนของขงจื๊อ อย่าลืมจดลิสต์วัดนี้เข้าไปในแพลนเที่ยวด้วยยย
ล่องเรือตะกร้าฮอยอัน (Hoi An Basket Boat)
กิจกรรมสุดท้ายที่ก๊อตมากันคือการมาล่องเรือตะกร้า หรือ Hoi An Basket Boat ที่ไม่มาลองเหมือนมาไม่ถึงฮอยอัน โดยไฮไลท์ของการล่องเรือตะกร้าคือเราจะได้นั่งบนเรือที่เค้าทำมาจากไม้ไผ่ที่สานเข้าด้วยกัน มีลักษณะครึ่งวงกลม ตรงกลางของเรือพาดด้วยแคร่ไม้ไผ่สำหรับให้ผู้โดยสารนั่ง เสน่ห์ของการนั่งเรือตะกร้าคือการได้ลอยผ่านแม่น้ำท่ามกลางสวนมะพร้าวขนาดใหญ่ ที่เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านกันแบบใกล้ชิด ระดับที่ว่ามีคนมาทอดแหให้ดูกันตรงหน้าเลยย
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าการสัญจรทางน้ำด้วยตะกร้านั้น ถือเป็นวัฒนธรมและเป็นเอกลักษณ์ของเวียดนามมาก โดยเฉพาะเวียดนามกลางโซนนี้ โดยเค้ามีเรื่องเล่าถึงต้นกำเนิดของเรือตะกร้าว่ามีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ในช่วงที่เวียดนามตกเป็นประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศส ที่เก็บภาษีทุกอย่างรวมถึงเรือด้วย ชาวประมงเค้าเลยสร้างเรือตะกร้าขนาดเล็กขึ้นมา เพื่อลดหรือจนถึงขั้นไม่จ่ายค่าธรรมเนียมภาษีกันเลยทีเดียว ชาวประมงเค้าเลยออกแบบเรือทรงกลมให้มีความยืดหยุ่นแต่ยังมีประโยชน์ต่อได้ ซึ่งด้วยขนาดของมันนั้น ทำให้สามารถเข้าไปในแม่น้ำสายเล็กๆ ได้ ทำให้ง่ายต่อการหาอาหารอีกด้วย
🧺✨สำหรับการมาเที่ยวล่องเรือตะกร้าที่ฮอยอันนั้น เราจะซื้อทัวร์ (รวมรถรับ-ส่ง) จากโรงแรมที่เราพักก็ได้ ราคานั้นก็จะเหวี่ยงหรือโขกกันแล้วแต่โรงแรม หรือถ้าใครที่อยากได้ราคาที่แน่นอน จะซื้อล่องเรือตะกร้าจาก Klook หรือ KKday เอาก็ได้ ราคาจะอยู่ราวๆ ~120-180 บาทต่อคนเท่านั้นเอง ส่วนวิธีการไปนั้น ด้วยความที่มันอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองเก่าฮอยอันประมาณ 20 นาที ดังนั้น การเรียก Grab ไปยังท่าเรือนั้นสะดวกที่สุดแหละ > ซื้อบัตรล่องเรือตะกร้า [ซื้อผ่าน Klook] [ซื้อผ่าน KKday]
สำหรับระยะเวลาที่เค้าจะพาเราพายเล่นไปตามแม่น้ำนั้นอยู่ที่ 40 นาที ซึ่งเค้าก็จะพาเราพายไปตามเส้นทางธรรมชาติในสวนมะพร้าวของเค้า โดยความสนุกของการล่องเรือตะกร้ามันอยู่ที่ ตามจุดต่างๆ ระหว่างทาง เราจะเจอทั้งคนเวียดนามที่จะพายเรือตะกร้าโชว์แบบเฟี้ยวๆ ด้วยการหมุนติ้วเป็นวงกลมด้วยความเร็วสูง ซึ่งนักท่องเที่ยวแบบเราๆ สามารถลงไปนั่งในเรือกับคนพายได้ด้วยนะเว้ย ความเร็วในการพายขึ้นลงบอกเลยชวนเวียนหัวได้ เพราะเพื่อนก๊อตได้ลองไปนั่งสัมผัสมาแล้ว บอกเลยว่ามีอ้วก 55555555
ล่องออกมายังปลายแม่น้ำหน่อยๆ ความเซอร์ไพรส์คือ เค้ามีเวทีลอยน้ำที่ชาวบ้านเค้ามาร้องเพลงเหมือนกับอยู่ในคอนเสิร์ตกลางน้ำกันแบบนั้นเล้ย ซึ่งเค้าร้องเพลงกันแบบจริงจังมาก แถมนักท่องเที่ยวอย่างเราสามารถลงจากเรือของตัวเองไปร่วมจอยบนเวทีของเค้าได้ด้วยนะ ไมค์และลำโพงเค้าพร้อม แถมยังมีคนดูเยอะแยะอีก คือแบบตลกมากกกกก นี่อย่างชอบ 5555555555555
บอกเลยว่าใครที่ชอบกิจกรรมแนวแอดเวนเจอร์ ฟีลชมธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนเวียดนามที่ตลกโปกฮาหน่อยๆ ต้องมาลองนั่งเรือตะกร้าอันนี้แบบจริงจังนะเว้ย จากที่ก๊อตได้ไปล่องเรือและสัมผัสมานั้น คือเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิตมากทั้งกับคอนเสิร์ตกลางน้ำ ความหมุนเรือตะกร้าโชว์แบบแทบอ้วก รวมถึงกิจกรรมของชาวประมงที่เค้ามาโชว์หว่านแหให้ดูอี๊ก ซึ่งสีสันมันก็อยู่ที่เราได้เห็นวิถีชีวิตของเค้าแบบใกล้ชิด ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ปิดทริปเที่ยวฮอยอัน (Hoi An) ของก๊อตได้แบบฉ่ำๆ และสมบูรณ์แบบเลย อยากให้ทุกคนมาลองกันสักกครั้ง มันสนุกจริงๆ
และนี่ก็คือทริปเที่ยวฮอยอัน (Hoi An) แบบ 2 วัน 1 คืนของก๊อต บอกได้เลยว่าใครที่ชอบเที่ยวเมืองเก่า เมืองโบราณที่มีเอกลักษณ์แบบคิวท์ๆ ไม่ควรพลาดกับเมืองนี้ บรรยากาศของเมืองเก่าฮอยอันสีเหลืองสดใส ท่ามกลางความสโลวไลฟ์ และวิถีชีวิตของผู้คนที่ต่างก็เรียบง่าย มันทำให้ทุกที่ที่ก๊อตไปมาในเมืองนั้นเหมือนไม่ได้มาแค่เที่ยว แต่เหมือนได้มาเรียนรู้วัฒนธรรม ได้กินกับอาหารเวียดนามที่อร่อยถูกปากมาก กาแฟมะพร้าวคือเดอะเบสที่ลืมไม่ลง 55555 เอาเป็นว่าทั้งหมดนี้จะดีจริงสมคำโม้ของก๊อตหรือเปล่านั้น อยากให้ทุกคนได้มาลองสัมผัสด้วยตัวเองกันน้า
รีวิวเที่ยวเวียดนาม ยังมีอีกเยอะเลยน้า
เวียดนาม ถือเป็นประเทศหนึ่งที่ก๊อตไปเที่ยวบ่อยมาก และไปแทบจะทุกปีเลยแหละ มีตั้งแต่สมัยเที่ยวคนเดียวตอนแรกเริ่มเป็นบล็อกเกอร์ จนถึงตอนนี้ที่เริ่มแก่แล้ว ฮื้ออ เอาล่ะ สำหรับใครที่กำลังหารีวิวเที่ยวเวียดนาม ลองดูต่อกับลิสเมืองอื่นๆ ด้านล่างนี้ได้เล้ย
1. ฮานอย (Hanoi)
2. ฮานอย คาเฟ่ (Cafe Hopping Hanoi)
3. ดาลัด (Da Lat)
4. บานาฮิลล์ (Bana Hills)
5. ฮอยอัน (Hai An)
6. เว้ (Hue)
7. ซาปา (Sapa) ปี 2017
8. เว้ ฮอยดัน ดานัง (Hue, Hoi An, Da Nang) ปี 2017
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡