เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเจริญและพีคที่สุดของจีน เพราะที่นี่เป็นเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจ การเงิน และการค้าที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของจีน โดยพัฒนาจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ จนเติบโตมาเป็นมหานครที่คึกคัก อีกทั้งยังเป็นเมืองตั้งต้นอันดับแรกๆ ของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจีนเป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งรีวิวนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยว เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) แบบครอบคลุมทุกสาย จะสายชิล สายช้อป สายธรรมชาติ ไปจนถึงสายลักชู บอกเลยว่ารีวิวนี้มีให้ตามรอยครบจบ ซึ่งแต่ละสถานที่นั้นก๊อตคัดมาให้แล้วว่าเริ่ด และต้องมาเยือนให้ได้
- รีวิวเต็ม เซี่ยงไฮ้ (Osaka) ครบจัดเต็ม 35 ที่เที่ยว
- รีวิวเต็ม Shanghai Disneyland ละเอียด รู้เรื่องมากที่สุด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในเซี่ยงไฮ้ (Shanghai)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
รู้จักกับ เซี่ยงไฮ้ (Shanghai)
เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) เมืองที่มีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปกว่า 1,000 ปีที่แล้ว โดยเริ่มแรกพื้นที่ตรงนี้เป็นเพียงเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ และเป็นศูนย์กลางการผลิตฝ้ายและสิ่งทอต่างๆ และด้วยทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ที่อยู่ริมแม่น้ำแยงซี (Yangtze River) ทำให้บริเวณนี้กลายมาเป็นท่าเรือที่สำคัญสำหรับการค้าในท้องถิ่นในยุคสมัยนั้น จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 ภายหลังสนธิสัญญานานกิง (Treaty of Nanking) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1842 เป็นจุดสิ้นสุดของสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1839-1842) ส่งผลให้เมืองเริ่มมีการค้ากับต่างประเทศ ทำให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา เข้ามาก่อตั้งนิคมต่างๆ อยู่ภายใน เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) จนเมืองได้รับการพัฒนาให้กลายมาเป็นท่าเรือการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญในช่วงเวลานั้น
ซึ่งการเติบโตของ เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ยังคงดำเนินมาเรื่อยๆ มีการสร้างย่านต่างๆ ขึ้นมา รวมถึงเป็นที่รู้จักในด้านวัฒนธรรมที่คึกคัก อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านการเงิน การค้า เทคโนโลยี และนวัตกรรม มากไปกว่านั้น เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ยังได้ชื่อเป็นหนึ่งในท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ของจีน ที่ใครมาเที่ยวจีนครั้งแรก ควรค่าแก่การมาเยือนเป็นที่สุด
วิธีการเดินทางมายัง เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) จากสนามบิน
สำหรับการเดินทางมายัง เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) จาก สนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้ ผู่ตง (Shanghai Pudong International Airport) เราสามารถเดินทางได้หลายช่องทางเลย ไม่ว่าจะเป็น Airport Bus, Taxi, รถไฟใต้ดิน และรถไฟความเร็วสูง Maglev
รถไฟความเร็วสูง Maglev
สำหรับการเข้าเมืองด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ก๊อตแนะนำให้เราเลือกขึ้นรถไฟความเร็วสูง Shanghai Maglev Train ซึ่งสามารถนั่งเข้าเมืองมาลงที่สถานี Longyang Road Station ได้ภายในเวลาแค่ 8 นาที จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อเข้าไปยังใจกลางเมือง โดยทั้งหมดจะใช้เวลาเดินทางอยู่ที่ 30-40 นาที ซึ่งวิธีนี้มันประหยัดเวลามากกว่าการนั่งรถไฟใต้ดินเข้าเมืองเพียงอย่างเดียว ที่ใช้เวลา 60 นาทีขึ้นไป ถือเป็นวิธีเดินทางเข้าเมืองที่ก๊อตคิดว่าตอบโจทย์คนที่รีบและอยากทำเวลา แต่หากใครชิลๆ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเวลาอะไร ก็สามารถนั่งรถไฟใต้ดิน หรือนั่ง Airport Bus ได้เลย อันนี้จะประหยัดเงินไปเยอะมาก แต่เรื่องเวลาจะยาวนานกว่านั่นเอง
⚡️ Shanghai Maglev Train ถือเป็นรถไฟ Maglev แบบพาณิชย์ที่เร็วที่สุดในโลกตอนนี้ สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 501 กม./ชม. โดยราคาตั๋วของรถไฟ Shanghai Maglev Train ราคาขาเดียว 50 หยวน / ราคาไป-กลับ 80 หยวน ซื้อได้จากเคาท์เตอร์หน้าสถานที Shanghai Maglev Train หรือถ้าใครอยากซื้อผ่านทางออนไลน์ จิ้มที่นี่เพื่อซื้อผ่าน Trip.com ได้เลย
รถรับส่งส่วนตัวจากสนามบิน <-> ตัวเมืองเซี่ยงไฮ้
สำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสบายแบบจองรถส่วนตัวรับ-ส่ง มาแบบล่วงหน้า โดยมีรถหลากหลายแบบ หลากหลายขนาดให้เลือกตั้งแต่รถเก๋งปกติ ไปจนถึงรถบัสที่สามารถขึ้นได้ถึง 35 คน ก๊อตแนะนำให้เราจองจาก Klook หรือ KKday ได้เลย [ดูรายละเอียดและจองผ่าน Klook] / [ดูรายละเอียดและจองผ่าน KKday]
ที่เที่ยวใน เซี่ยงไฮ้ (Shanghai)
- ร็อกบันด์ (Rock Bund)
- Luneurs
- โบสถ์ยูเนี่ยน (Union Church)
- อดีตสโมสรพายเรือ (Former Rowing Club)
- สะพานไวไปตู (Waibaidu Bridge)
- คลองหงโขว่ (Hongkou Gang)
- นอร์ทบันด์กรีนแลนด์ (North Bund Green Land)
- 1000 Trees
- อู่คังแมนชั่น (Wukang Mansion)
- ถนนอู่คัง (Wukang Road)
- % Arabica Wukang Road
- ถนนอันฟู (Anfu Road)
- ซินเทียนตี้ (Xintiandi)
- China Art Museum
- ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Pedestrian Road)
- Pop Mart Store
- ห้องสมุดซีคาเว่ย (Zikawei Library)
- โบสถ์เซนต์อิกเนเชียส (St.Ignatius Cathedral)
- เทียนจื่อฝาง (Tianzifang)
- เดอะ บันด์ (The Bund)
- Bund Sightseeing Tunnel
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะผู่ตง (Pudong Art Museum)
- เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์ (Shanghai Disneyland)
- วัดจิ้งอาน (Jing’an Temple)
- ย่านลู่เจียจุ่ย (Lujiazui)
- เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ (Shanghai tower)
- Shanghai Natural History Museum
- Starbucks Reserve Shanghai Roastery
- M50 Creativity Space
- ตลาดอี้หยวน (Yuyuan Market) + สวนอี้หยวน (Yuyuan Garden)
- New Harbour Service Apartments
- Hotel Chalet Shanghai
- Toy Story Hotel
- Shanghai Disneyland Hotel
- Shanghai Deco Hotel Pudong
แนะนำที่พักในเซี่ยงไฮ้ (Shanghai)
คนที่กำลังหาที่พักใน เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) อยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปนอนย่านไหนดี เพื่อให้ตอบโจทย์การเที่ยวของตัวเองมากที่สุด ก๊อตจะแนะนำย่านที่พักให้ โดยขอแบ่งแยกออกเป็นย่านต่างๆ ตามนี้เลย ซึ่งแต่ละย่านเค้าจะมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป รวมถึงราคาที่พักที่เหวี่ยงขึ้นลงตามแต่ละพื้นที่อีกด้วย ยังไงทุกคนลองดูตามที่ก๊อตแนะนำก่อนได้ พยายามคัดมาให้แล้ว
⚡️ดูแนะนำที่พักและโรงแรมในเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ฉบับเต็ม คลิกที่นี่
#1 ย่านเดอะบันด์ (The Bund) หรือ หาดไว่ทัน (Waitan) สำหรับสายลักชูตัวท็อป
ย่านเดอะบันด์ (The Bund) หรือ หาดไว่ทัน (Waitan) ใครที่อยากสัมผัสกับบรรยากาศของตึกรามบ้านช่องสไตล์ยุโรปท่ามกลางวิวริมแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu River) พร้อมมองเห็นวิวสกายไลน์ไอคอนิกของเซี่ยงไฮ้ฝั่งตรงข้ามในย่านผู่ตง (Pudong) ย่านเดอะบันด์ (The Bund) คือเดอะเบสแบบที่สุด อีกทั้งตรงนี้ยังมีแหล่งช้อปปิ้ง และร้านอาหารที่ราคาดีย์งามรสชาติอร่อยเหาะอยู่อีกเพียบ บอกเลยว่าการเข้าพักย่านนี้เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทั้งหมดที่ก๊อตเล่ามาเลย
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (10,000 ++ บาท/คืน): The Peninsula Shanghai / Fairmont Peace Hotel / Waldorf Astoria Shanghai on the Bund
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมถึงได้ (4,000-10,000 บาท/คืน): Jinjiang Metropolo Hotel Classiq – Bund Circle Shanghai
#2 ย่านจตุรัสประชาชน (People’s Square) + ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Road Pedestrian Street) สำหรับสายช้อป และคนมาเที่ยวเซี่ยงไฮ้ครั้งแรก
สำหรับ ย่านจตุรัสประชาชน (People’s Square) ใครชอบบรรยากาศของย่านที่คึกคักและอยากมาช้อปปิ้ง แนะนำย่านนี้เลย เพราะนอกจากจะมีพื้นที่สาธารณะให้ใช้ร่วมกันแล้ว ย่านแห่งนี้ยังตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Road Pedestrian Street) ถนนช้อปปิ้งยาวกว่า 5 กิโลเมตร ที่สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยห้างและช็อปตั้งเรียงรายอยู่เป็นดอกเห็ด ใครที่เน้นมาช้อปปิ้งสารพัดหลากหลายแบรนด์ ทั้งแฟชั่น เทคโนโลยี ร้านอาหาร คาเฟ่ และทุกอย่างในการช้อปปิ้ง ตรง ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Road Pedestrian Street) มีครบหมดแบบจบปิ๊งเลย แถมโรงแรมในย่านนี้ยังมีหลากหลายให้เราเลือกพักตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงโรงแรมตัวท็อปลักชูเลยทีเดียว ส่วนเรื่องการเดินทางก็สบายอีกตามเคย เพราะย่านนี้เค้ามีรถไฟใต้ดินสถานีพีเพิล สแควร์ (People’s Square Station) ที่เราสามารถเดินทางไปได้เกือบทุกที่ในเซี่ยงไฮ้ได้แบบสบายอีกด้วย
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (6,000 ++ บาท/คืน): The Shanghai EDITION / Shanghai Marriott Hotel City Centre / JW Marriott Shanghai at Tomorrow Square
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมถึงได้ (3,000-6,000 บาท/คืน): Radisson Blu Hotel Shanghai New World / Grand Central Hotel Shanghai
- โรงแรม / โฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): Green Court Serviced Apartment / Campanile Shanghai Huaihai / Jin Jiang Pacific Hotel
#3 ย่านผู่ตง (Pudong) สำหรับสายลักชู เที่ยวแลนด์มาร์คดัง
หากถามหาย่านศูนย์กลางทางการเงินของเซี่ยงไฮ้ ต้องปักหมุดมาที่ ย่านผู่ตง (Pudong) เลย โดยย่านแห่งนี้นมีกลิ่นอายของความทันสมัยและเป็นแหล่งการค้าของเซี่ยงไฮ้ มีไวบ์ความเป็นเมืองสมัยใหม่จัดๆ โด่งดังมาจากวิวของสกายไลน์เมืองที่ยืนหนึ่งไม่แพ้ใคร นอกจากนี้ยังมีแลนด์มาร์คดังอย่าง เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ (Shanghai Tower) และ หอไข่มุก (China Shanghai Oriental Pearl) ตั้งอยู่ภายในย่านนี้ด้วย ด้วยความที่เป็นย่านธุรกิจทางการเงินแบบนี้ ที่นี่เลยเต็มไปด้วยโรงแรมระดับตัวท็อปๆ ของเซี่ยงไฮ้ พร้อมกับห้างหรู และร้านอาหารดังๆ ใครอยากพักท่ามกลางฟีลเมืองจ๋าๆ ก๊อตแนะนำย่านนี้เลย ซึ่งการเดินทางใน ย่านผู่ตง (Pudong) นั้น สามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟใต้ดินสาย 2 (สีเขียว) นิยมใช้นั่งจากสนามบินผู่ตงเข้ามายังเมืองย่านผู่ตง, สาย 6 (สายสีชมพู) เน้นใช้เดินทางภายในย่านผ่านแลนด์มาร์คดังต่างๆ นอกจากนี้ยังนิยมนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากบนแม่น้ำหวงผู่อีกด้วย
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (6,000 ++ บาท/คืน): The Ritz-Carlton Shanghai, Pudong / Mandarin Oriental Pudong, Shanghai / Park Hyatt Shanghai
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมถึงได้ (3,000-6,000 บาท/คืน): Pudong Shangri-La / InterContinental Shanghai Pudong
- โรงแรม / โฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): Novotel Shanghai Atlantis / The Eton Hotel
#4 ย่านวัดจิ้งอาน (Jing’an Temple) สำหรับสายรักสงบ เที่ยววัดเก่าแก่ประจำเมือง
หากใครที่อยากพักในย่านเก่าแก่ที่ผสมผสานเข้ากับความเป็นเมืองใหม่ในบรรยากาศที่เงียบสงบขณะเดียวกันก็ดูคึกคักไปพร้อมๆ กัน อีกหนึ่งย่านที่แนะนำเลยก็คือ ย่านวัดจิ้งอาน (Jing’an Temple) แน่นอนว่าชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าอยู่ในระแวกของวัดจิ้งอาน (Jing’an Temple) วัดดังและเก่าแก่มากที่สุดในเซี่ยงไฮ้ โดยย่านนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และสถานบันเทิงที่เปิดกันแบบยุบยับม๊าก ในส่วนของการเดินทางเค้ามีรถไฟใต้ดินสาย 2 สถานีวัดจิ้งอาน (Jing’an Temple Station) อยู่ภายในย่าน ทำให้ง่ายต่อการเดินทางไปเที่ยวรอบๆ เมืองได้อีกด้วย
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู-บูทีค (6,000 ++ บาท/คืน): Jing An Shangri-La, West Shanghai / The PuLi Hotel and Spa
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมถึงได้ (3,000-6,000 บาท/คืน): Swissotel Grand Shanghai / Paramount Gallery Hotel
- โรงแรม / โฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 3,000 บาท/คืน): Hotel Equatorial Shanghai / Holiday Inn Express Shanghai Jiading Industry Park
ข้อมูลแน่นแล้ว มาเริ่มเที่ยว เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) กันเล้ยย
ร็อกบันด์ (Rock Bund)
หากใครมาเที่ยวเซี่ยงไฮ้ หนึ่งในย่านที่เที่ยวที่ต้องมาเลยก็คือ ร็อกบันด์ (Rock Bund) พื้นที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของ เดอะบันด์ (The Bund) โดยที่นี่เค้าเคยเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลอังกฤษ ในยุคอาณานิคมช่วงศตวรรษที่ 19 ทำให้เป็นสถานที่สำคัญในช่วงที่เซี่ยงไฮ้พัฒนาเมืองจนกลายมาเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ
ซึ่งอาคารที่เราเห็นกันอยู่นี้ เดิมทีเป็นอาคารเก่าแก่หลายสิบหล้งที่ถูกออกแบบมาในสไตล์นีโอคลาสสิกและอาร์ตเดโคที่สะท้อนถึงอิทธิพลของสถาปัตยกรรมยุโรป ก่อนจะมีโครงการปรับปรุงพื้นที่ภายใต้แนวคิด ‘สังคมแห่งผู้สร้างสรรค์’ โดยได้ทำการบูรณะและปรับเปลี่ยนอาคารมาเปิดเป็นหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ ร้านกาแฟ และร้านค้าลักชู จนทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งในหมู่คนเซี่ยงไฮ้และนักท่องเที่ยวนั่นเอง
ความดีงามของ ร็อกบันด์ (Rock Bund) คือไม่ว่าเราจะเดินถ่ายรูปมุมไหนก็ให้ไวบ์ออกมาเหมือนอยู่ยุโรป ด้วยรูปทรงของอาคารที่มีเอกลักษณ์ บวกกับสีสันโทนอิฐของแต่ละอาคารเข้าไป แค่เราไปแกล้งๆ เซลฟี่ ถ่ายรูปแบบไม่ได้ตั้งใจ รูปที่ได้มันกลับสวยสับมากบอกเลย เป็นอีกหนึ่งจุด Instagrammable spot ที่ต้องมาเลย
นอกจากนี้ เค้ายังมีช็อปบูทีคดีๆ อย่าง Aesop แบรนด์เสื้อผ้าจีน ไปจนถึงร้านกาแฟอย่าง ARABIKA อยู่อีกด้วย ใครอยากละลายทรัพย์หรือหิ้วของกลับไปฝากคนที่บ้าน เดินในนี้คือช็อปกระจายแน่นอน
Luneurs
Luneurs ร้านเบเกอรี่ฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ในร็อกบันด์ (Rock Bund) ภายใต้สโลแกนน่ารักๆ ว่า ‘Grams of Joy’ ที่จอยตั้งแต่บรรยากาศของร้าน ไปจนถึงอาหารล้วนคิดมาเพื่อสร้างความสุขให้กับลูกค้าทั้งสิ้น โดยของเด็ดคือไอศกรีมหลากรสที่ตั้งเรียงรายให้ได้เห็นกันแบบละลานตา หรือจะเป็นบรันช์หลากหลายเมนูที่ทำกันสดใหม่และเสิร์ฟแบบวันต่อวัน แต่ที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ ขนมปังและขนมอบของร้านได้เชฟฝีมือดีของฝรั่งเศสซึ่งเป็นแชมป์โลกในด้านนี้มารังสรรค์ให้ได้ลิ้มรสอีกด้วย
บรรยากาศด้านในร้านเป็นฟีลโฮมมี่ๆ มีบาร์ขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยไอศกรีม ขนม และเค้ก โดยด้านหลังเป็นครัวที่เค้ากำลังขะมักเขม้นทำอาหารออกมาเสิร์ฟลูกค้า ส่วนโซนที่นั่งแบ่งเป็นสัดส่วนมีทั้งมุมโต๊ะ เก้าที่เป็นส่วนตัวเหมาะกับคนมาเป็นกรุ๊ปใหญ่ รวมถึงมีโซนที่นั่งชิลๆ ท่ามกลางการตกแต่งด้วยขวดไวน์ ต้นไม้ และของปุ๊กปิ๊กน่ารักๆ อีกด้วย
ซึ่งมาถึงคาเฟ่จะไม่ลิ้มรสเครื่องดื่มเค้าก็คงไม่ใช้ โดยก๊อตได้สั่งมาทั้งกาแฟอย่าง Green Bean Latte เมนูลาเต้นัวๆ ที่ด้านล่างใส่เป็นถั่วเขียวต้มเล็กๆ มาด้วย และอีกเมนูคือ Yuzu Longjing Soda ซึ่งก็คือยูสุโซดารสเปรี้ยวหวานกำลังดี โดยทั้งสองเมนูนั้นดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่าสุดๆ เอาเป็นว่าใครที่มาเดินร็อกบันด์ (Rock Bund) แล้วอยากหามุมนั่งพัก จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ไปจนถึงหาอะไรรองท้อง ก๊อตแนะนำ Luneurs เลย เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ไวบ์ดีมาก ยิ่งบริเวณหน้าร้านของเค้านะ ถ่ายรูปออกมาจึ้งใจสุด
ใครที่กินขนม เติมพลังและถ่ายรูปกันฉ่ำใจแล้ว ตรงข้ามกับร้าน Luneurs ยังมีมุมตึกสวยๆ ที่เหมือนหลุดมาจากยุโรปให้เราได้มาเก็บภาพกันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีจุด Tourist Information ซึ่งจะเป็นบล็อกเล็กๆ ที่ด้านในมีประวัติของพื้นที่เดอะบันด์ รวมถึงมีของที่ระลึกอย่างพวกเสื้อ ภาพถ่าย ภาพวาด เข็มกลัด ไปจนถึงของปุ๊กปิ๊กน่ารักที่เหมาะซื้อฝากและเก็บเป็นที่ระลึกนั่นเอง
โบสถ์ยูเนี่ยน (Union Church)
หากใครที่เที่ยวใน ร็อกบันด์ (Rock Bund) แบบจุใจแล้ว ก๊อตแนะนำให้เดินต่อมาเรื่อยๆ จะมี โบสถ์ยูเนี่ยน (Union Church) อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวสุดฮิตของเหล่าพี่สาวจีนที่เค้านิยมมาถ่ายรูปลงโซเชียลกันแบบแตกแตน
โดย โบสถ์ยูเนี่ยน (Union Church) ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1849 โดยกลุ่มชาวอังกฤษและชาวอเมริกันที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศ เพื่อรองรับชาวต่างชาติที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นในเซี่ยงไฮ้ โดยอาคารหลังปัจจุบันที่เราเห็นอยู่นี้ สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1886 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่มีลักษณะเด่นด้วยหลังคาลาดชัน โค้งแหลม ผสมผสานเข้ากับหน้าต่างกระจกสีที่มีขนาดสูงทำให้แสงธรรมชาติส่องเข้าไปภายในโบสถ์ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีหอระฆังขนาดใหญ่ที่มองเห็นมาแต่ไกล
แต่ก๊อตต้องบอกก่อนว่า นี่ไม่ได้เข้าไปสำรวจด้านในนะ โดยเรายืนถ่ายรูปกันอยู่บริเวณรอบนอกเท่านั้น โดยภายในโบสถ์ยังคงเปิดใช้งานและมีผู้คนมาทำพิธีอยู่สม่ำเสมอ จึงเรียกได้ว่า โบสถ์ยูเนี่ยน (Union Church) เป็นเหมือนศูนย์กลางทางศาสนาคริสต์ที่สำคัญสำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้เลยก็ว่าได้
อดีตสโมสรพายเรือ (Former Rowing Club)
ตรงข้ามกับ โบสถ์ยูเนี่ยน (Union Church) มีมุม Instagrammable spot ที่ก๊อตแนะนำให้ข้ามถนนมาถ่ายรูปเล่นมาก โดยที่นี่คือ อดีตสโมสรพายเรือ (Former Rowing Club) ซึ่งจะเป็นอาคารอิฐสีแดงตั้งตระหง่านอยู่ริมถนน โดยจุดที่ถ่ายรูปปังเลยจะเป็นบริเวณสระว่ายน้ำเก่าที่ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีน้ำอยู่ในสระแล้ว และเราสามารถเดินลงไปถ่ายรูปเล่น หรือเซลฟี่ได้ตามชอบได้เลย
สำหรับ อดีตสโมสรพายเรือ (Former Rowing Club) ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เน้นย้ำถึงกีฬาและชีวิตทางสังคมในยุคอาณานิคมของเมือง ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1863 ในช่วงยุคอาณานิคมของเซี่ยงไฮ้ กระทั่งเมืองนี้กลายมาเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่เจริญรุ่งเรือง สโมสรแห่งนี้ก็พลอยคึกคักไปด้วย จนเมื่อปี ค.ศ. 1905 ได้มีการสร้างอาคารหลังปัจจุบันของสโมสรขึ้นมาในสไตล์นีโอคลาสสิก และวิกตอเรียน โดยอาคารนี้มีหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นลำธาร ทำให้สมาชิกของสโมสรในขณะนั้นสามารถมานั่งชมวิวสวยๆ ได้
แต่พอเข้าปี ค.ศ. 1949 กิจกรรมของสโมสรพายเรือก็ลดลง อาคารหลังนี้จึงถูกปรับเปลี่ยนมาใช้งานอย่างอื่น แต่ถึงอย่างนั้นความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอาคารก็ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ แถมเค้ายังอนุรักษ์ดูแลเอาไว้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งจุดที่ถ่ายรูปปังมากคือลงไปเดินอยู่ในสระเปล่า แล้วเดินถ่ายตามมุมสระให้เห็นฉากหลังของเมืองเซี่ยงไฮ้ บอกเลยว่ารูปที่ได้ดูมินิมอลแต่มีอะไรมาก
สะพานไวไปตู (Waibaidu Bridge)
สะพานไวไปตู (Waibaidu Bridge) สะพานเหล็กเก่าแก่ที่ยาว 106 เมตร สร้างข้ามลำธารซูโจว (Suzhou Creek) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1908 โดยเค้าไม่ได้เป็นเพียงสะพานธรรมดาๆ เท่านั้นนะ แต่ยังมีสตอรี่เรื่องราวการสร้างที่น่าประทับใจมาก เพราะที่นี่เป็นสะพานที่ชาวจีนเค้าร่วมแรงร่วมใจช่วยกันสร้างขึ้นมา เนื่องจากในช่วงเวลานั้น อังกฤษยังคงปกครองประเทศ แล้วพวกสะพานข้ามฟากจะมีกฏออกมาว่าข้ามได้เฉพาะคนอังกฤษเท่านั้น นั่นเลยเป็นที่มาของการสร้าง สะพานไวไปตู (Waibaidu Bridge) เพื่อให้ชาวจีนได้ใช้ข้ามฟากนั่นเอง
ซึ่งปัจจุบันนี้สะพานก็อยู่คู่กับเมืองและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยความเริ่ดของการมาเดินบน สะพานไวไปตู (Waibaidu Bridge) คือวิวระหว่างสองฝั่งสะพานที่นอกจากจะมองเห็นลำธารที่ไหลเอื่อยๆ รายล้อมไปด้วยเมืองและตึกสูงแล้ว อีกฝั่งยังสามารถมองออกไปเห็นวิวของหอไข่มุก (Oriental Pearl Tower) ได้อีกด้วย บอกเลยว่าถ่ายรูปบนนี้กิ๊บเก๋มาก
คลองหงโขว่ (Hongkou Gang)
อีกหนึ่งจุดที่ถ่ายรูปออกมาได้ปุ๊กปิ๊กน่ารักมากในเซี่ยงไฮ้ ก๊อตยกให้กับ คลองหงโขว่ (Hongkou Gang) เค้าเลย โดยในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ที่นี่ถือเป็นคลองที่มีบทบาทและหน้าที่สำคัญกับเซี่ยงไฮ้ในฐานะเมืองท่า โดยเป็นเส้นทางสำหรับเรือและอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้คนเข้าและออกจากเมืองนั่นเอง
แต่ในปัจจุบันนี้ คลองหงโขว่ (Hongkou Gang) ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเส้นทางคมนาคมหลักอีกต่อไปนะ รัฐบาลเค้าได้มีการปรับปรุงและฟื้นฟูพื้นที่โดยรอบของคลองให้กลายมาเป็นสถานที่อันเงียบสงบ มีการทำทางเดินเลียบคลองไปพร้อมๆ กับอาคารที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันน่ารักๆ ท่ามกลางวิวของหอไข่มุก (Oriental Pearl Tower) และตึกเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ (Shanghai Tower) เป็นฉากหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้เลยทำให้ คลองหงโขว่ (Hongkou Gang) เหมาะกับการมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด
นอร์ทบันด์กรีนแลนด์ (North Bund Green Land)
ที่เซี่ยงไฮ้นอกจากจะมีความเป็นเมืองฟู่ฟ่าแล้ว ที่นี่เค้ายังมีสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวอยู่เยอะมาก และที่ก๊อตพาทุกคนมาจะเป็น นอร์ทบันด์กรีนแลนด์ (North Bund Green Land) สวนสาธารณะริมน้ำที่ใครเคยส่องรีวิวเซี่ยงไฮ้แล้วเจอสวนเขียวๆ มีไข่สีเงินขนาดใหญ่พร้อมภาพวิวของแม่น้ำและหอไข่มุก (Oriental Pearl Tower) ด้านหลัง ก๊อตจะบอกว่าเค้าคือสวนสาธารณะที่นี่นั่นเอง
นอร์ทบันด์กรีนแลนด์ (North Bund Green Land) ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu River) เป็นสวนสาธารณะบนเนื้อที่ 250 ไร่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากความพยายามของเซี่ยงไฮ้ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง โดยเค้าได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่เขตอุตสาหกรรมเดิมให้กลายมาเป็นเขตริมน้ำที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนและทำกิจกรรมกลางแจ้งจนได้ออกมาเป็นสวนสาธารณะนั่นเอง
ภายในสวนนั้นร่มรื่นไปด้วยสีเขียวๆ ของพืชพันธุ์ และสีสันอันน่ารักสดใสของดอกไม้นานาชนิด สอดแทรกไปด้วยทางเดินที่เราสามารถมาวิ่งออกกำลังกาย หรือเดินทอดน่องชมธรรมชาติได้ รวมถึงยังมีมุมที่นั่งให้ได้มาปิกนิกหรือพักผ่อนกันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะสาธารณะและประติมากรรม ซึ่งเค้าได้ผสมผสานธรรมชาติให้เข้ากับวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว โดยจุดที่เป็นไฮไลท์เลยคือบริเวณไข่สีเงินที่ตั้งอยู่ท่ามกลางไม้ประดับมากมาย โดยคนเค้านิยมมาถ่ายรูปกันตรงนี้มาก เพราะมันสามารถมองเห็นวิวเส้นขอบฟ้าเมืองและตึกสูงได้นั่นเอง ใครที่อยากหลบหลีกความวุ่นวายจากเมืองมานั่งชิลๆ ให้ธรรมชาติฮีลใจ ไม่มีที่ไหนตอบโจทย์เราได้เท่ากับ นอร์ทบันด์กรีนแลนด์ (North Bund Green Land) อีกแล้ว
1000 Trees
อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสุดเก๋ที่ตอนนี้กลายเป็นจุดฮิตถ่ายรูปของเหล่า Instagrammer ก่อนกับ 1000 Trees ตึกที่ผสมผสานเข้ากับต้นไม้ในดีไซน์ที่เว่อร์วังที่โด่งดังในเหล่าคนจีนและนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยที่นี่โดดเด่นด้วยการออกแบบจาก Thomas Heatherwick สถาปนิกชาวอังกฤษชื่อดัง ซึ่งความโดดเด่นของ 1000 Trees คือการผสมผสานต้นไม้มากกว่า 1,000 ต้นและพันธุ์พืชต่างๆ ที่ปลูกอยู่ในกระถางขนาดใหญ่บนเสาจำนวนมากของอาคาร จนให้ความรู้สึกเหมือน ‘ป่าลอยฟ้า’ หรือภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้อันเขียวขจี และตึกนี้ถือเป็นอีกงานศิลปะทางด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น เพราะเราจะได้ดื่มด่ำไปกับวิวของตึกที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติได้อย่างแนบเนียน
สำหรับจุดที่ก๊อตคิดว่าถ่ายรูปปังจะเป็นบริเวณสะพานที่เราต้องเดินห่างออกจากตัวตึกออกมาเล็กน้อย ซึ่งวิวจากบนนี้เราจะได้ภาพของ 1000 Trees แบบเก็บครบทั้งตึก อีกทั้งยังมองเห็นเหล่าต้นไม้มากมายได้แบบเต็มสายตา ส่วนอีกมุมหากใครยังมีเอเนอจี้เหลือๆ ลองเดินลัดเลาะลงสะพานเพื่อข้ามไปยังทางเดินเลียบแม่น้ำฝั่งตรงข้ามได้เลย บริเวณนั้นจะถ่ายเห็นภาพของลำธารซูโจวที่อยู่เบื้องหน้า คั่นกลางเอาไว้ด้วย 1000 Trees โดยมีท้องฟ้าเป็นฉากหลัง ซึ่งส่วนตัวก๊อตคิดว่าถ่ายมุมไหนก็ได้ภาพสวยสับไม่แพ้กัน ใครที่ชื่นชอบงานออกแบบ หรือหลงใหลในสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ต้องมาเก็บเข้าลิสเลยเด้อ
อู่คังแมนชั่น (Wukang Mansion)
อู่คังแมนชั่น (Wukang Mansion) อาคารที่พักอาศัยที่ถือหนึ่งในแลนด์มาร์คดังของเซี่ยงไฮ้ ที่ไม่ว่าคนจีน หรือนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างก็พากันแห่แหนมาเช็คอินที่นี่กันแทบไม่ขาดสาย โดยที่นี่นั้น เดิมทีชื่อว่า อพาร์ทเม้นท์นอร์มังดี (Normandie Apartment) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1924 จากการออกแบบของ László Hudec สถาปนิกชาวฮังการี-สโลวักที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ก่อนจะได้รับการตั้งชื่อใหม่ตามชื่อของถนนอู่คัง และกลายเป็น อู่คังแมนชั่น (Wukang Mansion) มาจนถึงปัจจุบันนี้
สำหรับดีไซน์ของ อู่คังแมนชั่น (Wukang Mansion) ได้รับอิทธิพลมาจากสไตล์เรอเนสซองส์ และอาร์ตเดโคของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคที่เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษปี 1900 โดยตัวอาคารมีรูปร่างสามเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ สร้างด้วยอิฐ และตั้งอยู่ใจกลางแยกขนาดใหญ่ บริเวณชั้นแรกของอาคารเปิดเป็นร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ไปจนถึงบาร์และคาเฟ่ ส่วนชั้นบนขึ้นไปยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คน
ด้วยหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ของ อู่คังแมนชั่น (Wukang Mansion) ทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของเซี่ยงไฮ้ โดยจุดถ่ายรูปสุดป๊อบจะอยู่บริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามของอาคาร ที่จะมีอยู่ด้วยกันสองฝั่งใหญ่ๆ โดยจากทั้งสองฝั่งนี้เราสามารถถ่ายรูปโดยมีฉากหลังเป็นอู่คังแมนชั่น (Wukang Mansion) ทั้งหลังได้นั่นเอง แต่บอกก่อนว่าทั้งสองจุดนี่ฮอตมาก หากใครมาสายๆ ก๊อตบอกเลยว่ากว่าจะได้มุมปลอดผู้คนนั้น ต้องรอจังหวะกันยกใหญ่เลย แต่นี่แนะนำว่ายังไงก็ต้องมา มันเป็นเหมือนแลนด์มาร์คประจำเมืองที่ถ่ายรูปอัพลงโซเชียลแล้วคนรู้ได้เลยว่าเราอยู่เซี่ยงไฮ้ แถมรูปที่ถ่ายออกมายังอลังการสุดๆ อีกด้วย
ถนนอู่คัง (Wukang Road)
เดินเลียบมาจาก อู่คังแมนชั่น (Wukang Mansion) จะเป็นที่ตั้งของ ถนนอู่คัง (Wukang Road) ที่หากใครหันหน้าเข้าหาอาคาร ตัวถนนจะอยู่ฝั่งซ้ายมือ โดยที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สวยงามและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ ที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 1907 เดิมทีถนนสายนี้มีชื่อว่า ‘Route Ferguson’ ตามชื่อ John Calvin Ferguson นักศึกษาชาวแคนาดา ผู้มีส่วนสนับสนุนการศึกษาสมัยใหม่ในประเทศจีน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1943 ถนนสายนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น ถนนอู่คัง (Wukang Road) ตามชื่อเมืองอู่คังในมณฑลเจ้อเจียงที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมทั้งได้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ตามสองฝั่งของถนนให้กลายมาเป็นเขตที่อยู่อาศัยของครอบครัวชาวจีนที่มั่งคั่ง ไปจนถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ภายในประเทศ
เสน่ห์ของ ถนนอู่คัง (Wukang Road) คือบริเวณริมสองฝั่งของถนนเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ปกคลุมสร้างร่มเงาให้ความรู้สึกร่มรื่นและเงียบสงบ ทางเท้าถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีให้เดินเที่ยวชมบรรยากาศได้อย่างสบายๆ ตัวบ้านเรือนและอาคารที่ก๊อตเดินผ่านยังคงถูกอนุรักษ์ และคงสภาพเอาไว้อย่างงดงาม โดยอาคารเก่าแก่หลายหลังได้รับการออกแบบในสไตล์ยุโรป รวมทั้งมีสถาปัตยกรรมอาร์ตเดโค เรอเนสซองส์ และนีโอคลาสสิกอยู่ด้วย ใครที่ชอบงานออกแบบมาเดินเล่นบนถนนสายนี้บอกเลยว่าตื่นตาตื่นใจตลอดเส้นทางแน่นอน
นอกจากบรรยากาศคลาสิกๆ แล้ว ตามสองฝั่งของ ถนนอู่คัง (Wukang Road) ยังมีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก งานคราฟ คาเฟ่ ไปจนถึงร้านอาหารตั้งอยู่ด้วย คือเราสามารถมาเดินช้อปได้แบบเพลินๆ เลยล่ะ ส่วนอาคารที่ยังคงเป็นที่พักอาศัยนั้นจะมีรั้วกั้นมิดชิด ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของเหล่านักเขียน นักการเมือง และบุคคลสำคัญทางวัฒนธรรม
โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลให้ ถนนอู่คัง (Wukang Road) ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งอนุรักษ์วัฒนธรรม รวมถึงอาคาหลายแห่งได้รับการคุ้มครองโดยทางการเซี่ยงไฮ้ไปเป็นที่เรียบร้อย ใครที่อยากมาเดินปล่อยใจจอยๆ แบบไม่ต้องเร่งรีบ เมื่อยก็แวะคาเฟ่ มีแรงก็เดินช้อปต่อ ในมู้ดสงบๆ ส่วนตัวก๊อตคิดว่า ถนนอู่คัง (Wukang Road) ตอบโจทย์มาก
% Arabica Wukang Road
เดินเล่นมาสักพัก ก๊อตเลยแวะขอชาร์จแบตตัวเองด้วยการหากาแฟดีๆ ดื่มสักแก้วกันก่อน โดยที่ ถนนอู่คัง (Wukang Road) เค้ามี % Arabica Wukang Road ซ่อนตัวอยู่ภายในของโครงการ Ferguson Lane ด้วยนะ ใครที่กลัวหาไม่เจอ สามารถปักหมุดชื่อร้านในแมพแล้วเดินตามมาได้เลย
โดย % Arabica Wukang Road เป็นเครือข่ายร้านกาแฟที่มีต้นกำเนิดในเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งโดยเคนเนธ โชจิ ซึ่งสาขาที่ ถนนอู่คัง (Wukang Road) นั้น จะเป็นร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ด้านในสุด Ferguson Lane บริเวณหน้าร้านเป็นลานไม้กว้างๆ ติดกับกำแพงที่ประดับประดาไปด้วยใบไม้สีเขียว โดยมีโลโก้ของแบรนด์ติดโชว์หราตามสไตล์ของ % Arabica นั่นเอง
จากบริเวณหน้าร้านสามารถมองทะลุเข้าไปเห็นบาร์สำหรับชงเครื่องดื่มได้แบบชัดเจน โดยบรรยากาศภายในร้านพอเราก้าวเท้าเข้ามาจะให้ความโฮมมี่ๆ อบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ท่ามกลางไฟสีส้มนวลๆ โดยสาขาที่นี่เค้าจะไม่ได้มีโต๊ะให้นั่งเยอะมากนะ จะเป็นบาร์ยาวให้เรามานั่งเรียงกัน และอีกมุมจะเป็นเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ติดกับผนังให้นั่งชิลๆ เท่านั้น ซึ่งใครที่อยากพักเมื่อยแล้วมานั่งดื่มกาแฟก๊อตแนะนำที่นี่เลย มู้ดสงบๆ กับกาแฟหอมๆ รสชาติดีงาม บอกเลยว่าฮีลใจและเติมพลังให้เรามีแรงไปเที่ยวต่อได้อีกยาวๆ
ถนนอันฟู (Anfu Road)
สำหรับสายฮิป สายชิลทั้งหลาย หากอยากกิน เที่ยว ช้อป ตามแบบฉบับคนเก๋ให้มาที่ ถนนอันฟู (Anfu Road) ต่อได้เลย เพราะที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่มีความฮิปปี้ ทว่าเรียบโก้ดูดี มีร้านค้า แบรนด์ดังของพี่จีน คาเฟ่ ร้านขายขนม ไปจนถึงร้านบูติกอยู่เพียบ
โดย ถนนอันฟู (Anfu Road) ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในช่วงเวลาของเขตสัมปทานฝรั่งเศส ซึ่งกินเวลาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 ไล่ยาวไปจนถึงปี ค.ศ. 1943 เดิมทีถนนสายนี้มีชื่อว่า ‘Route Tenjin’ ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากญี่ปุ่น แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงช่วงเขตสัมปทานฝรั่งเศสสิ้นสุดลง ถนนสายนี้จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ถนนอันฟู (Anfu Road) โดยได้นำเอาเอกลักษณ์ของจีนดั้งเดิมมาใช้ให้มากขึ้น ซึ่งในช่วงเวลานั้นตามสองฝั่งของถนนเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับชาวต่างชาติและชาวจีนผู้มั่งคั่ง แต่ต่อมาก็ค่อยๆ พัฒนาจนกลายมาเป็นถนนที่ผสมผสานระหว่างบ้านเรือน แหล่งธุรกิจ และร้านค้าขนาดเล็กเข้าไว้ด้วยกันอย่างเช่นทุกวันนี้
ซึ่งบรรยากาศของ ถนนอันฟู (Anfu Road) จะต่างออกไปจากถนนอู่คัง (Wukang Road) ที่เราเพิ่งเดินผ่านมา โดยที่นี่จะมีความคึกคักและมีเหล่าวัยรุ่นชาวจีน รวมถึงนักท่องเที่ยวมาเดินเตร็ดเตร่อยู่มากมาย ร้านค้า คาเฟ่ที่เปิดจะมีความชิคๆ คูลๆ ดูทันสมัยวัยรุ่นจ๋ามากกว่า ดังนั้นใครที่ชอบไวบ์เหมือนเดินสยามบ้านเรามาแล้วน่าจะชอบกัน แต่ต้องบอกก่อนว่าตึกอาจจะไม่ฟู่ฟ่าเท่า เพราะเค้ายังเป็นถนนที่หลงเหลือกลิ่นอายความเก่าแก่ของอาคารและสิ่งปลูกสร้างเอาไว้ได้เป็นอย่างดีเลย
ซินเทียนตี้ (Xintiandi)
ซินเทียนตี้ (Xintiandi) ถือเป็นอีกหนึ่งย่านที่ป๊อบสุดๆ เพราะนอกจากทำเลจะตั้งอยู่ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้แล้ว ที่นี่ยังได้รับฉายาว่าเป็นย่านหรูหราหมาเห่าที่รวบรวมร้านค้า ร้านอาหาร และความบันเทิง ไปจนถึงสารพัดแบรนด์ลักชูเอาไว้มากมาย ซึ่งกว่าจะมาเป็น ซินเทียนตี้ (Xintiandi) อันยิ่งใหญ่นี้ เราต้องย้อนกลับไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เดิมทีที่นี่ชื่อว่า ย่านซื่อขุเหมิน (石库门) ที่ภายในย่านมีลักษณะของอาคารสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างความเป็นจีนกับตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน จนเข้าสู่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 อาคารหลายหลังในย่านแห่งนี้เริ่มทรุดโทรมลง
จนกระทั่งย่างเข้าสู่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 รัฐบาลเซี่ยงไฮ้เค้าก็ปิ้งไอเดียพัฒนาเมืองและอนุรักษ์อาคารที่ทรุดโทรมของย่านไปด้วย โดยเค้าได้พัฒนาและปรับปรุง ย่านซื่อขุเหมิน มาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1999 ก่อนจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2001 และได้เปลี่ยนชื่อย่านมาเป็น ซินเทียนตี้ (Xintiandi) อย่างที่เราคุ้นเคยในทุกวันนี้ สำหรับอาคารสวยๆ ที่เราได้ชื่นชมอยู่นี้ ถูกออกแบบโดย Benjamin Wood สถาปนิกชาวอเมริกัน ที่ไม่เพียงแค่ออกแบบรูปทรงของอาคารเท่านั้น แต่เค้ายังช่วยวางเลย์เอาต์ของย่านผ่านพื้นที่การใช้งานออกเป็น 2 โซน ได้แก่ South Block โซนที่ออกแบบทันสมัย มาพร้อมร้านค้าปลีกนานาชาติ โรงภาพยนตร์ และร้านอาหาร และอีกส่วนคือ North Block โซนอาคารแบบสถาปัตยกรรม Shikumen (ซิกเหมิน) ดั้งเดิมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้นั่นเอง
สำหรับบรรยากาศภายในย่านนั้นช่วงที่ก๊อตไปนั้น เค้าจะเป็นอาคารที่มีความจีนผสมเข้ากับยุโรป ตั้งเรียงรายเป็นบล็อกให้ได้เดินสำรวจและเดินทะลุออกหากันได้ง่ายๆ ซึ่งอาคารที่อยู่ภายในนั้นจะมีทั้งที่เปิดเป็นบาร์ คาเฟ่ ร้านอาหาร ไปจนถึงช็อปแบรนด์ลักชูที่ส่วนใหญ่เน้นขายสกินแคร์กันเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Cle de Peau Beaute, Dior, Le Labo และอื่นๆ อีกมากมาย แบบที่ว่าหลุดเข้ามาแล้วเดินกันยาวๆ ไม่มีเมื่อยเลย เอาเป็นว่าใครที่เป็นสายช้อปแบรนด์เนม อยากได้พวกสกินแคร์ปังๆ ก๊อตว่าย่านนี้มาแล้วมีล้มละลายแน่นอน
China Art Museum
China Art Museum คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะจีนในเซี่ยงไฮ้ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า China Art Palace เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยมิวเซียมเค้าตั้งอยู่ใน China Pavilion ศาลาหลังใหญ่สูง 63 เมตร ออกแบบในสไตล์ Dougong แบบดั้งเดิมของจีน โดดเด่นด้วยการทาสีแดง ที่สื่อถึงโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง ตัวศาลามีเอกลักษณ์ด้วยโครงสร้างเป็นชั้นๆ แสดงถึงมงกุฎจีนแบบดั้งเดิม โดยถูกสร้างขึ้นครั้งแรกสำหรับงาน Shanghai World Expo ในปี ค.ศ. 2010 ซึ่งพอจบงานไป เค้าก็ได้เนรมิตภายในศาลาให้กลายมาเป็น China Art Museum และเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2012 โดยนี้มุ่งหวังที่จะให้ความรู้แก่ผู้คนเกี่ยวกับการพัฒนาศิลปะจีนสมัยใหม่ พร้อมทั้งเฉลิมฉลองมรดกทางศิลปะจีนแบบดั้งเดิมอีกด้วย
สำหรับภายในของ China Art Museum มีผลงานศิลปะจัดแสดงเอาไว้เยอะมาก ทั้งศิลปะจีนสมัยใหม่ นิทรรศการประวัติศาสตร์ และศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติ ที่อยู่ตามห้องจัดแสดงให้เราได้เดินส่องกันจนหนำใจ นอกจากนี้ยังมีผลงานอีกหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดหมึก การประดิษฐ์ตัวอักษร และประติมากรรม ตลอดจนนิทรรศการหมุนเวียนที่นำเสนอศิลปะระดับนานาชาติรวมอยู่ด้วย โดยส่วนใหญ่ผลงานที่จัดแสดงเน้นไปในช่วงเวลาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ไล่ยาวมาจนถึงถึงปัจจุบัน
ซึ่งส่วนตัวก๊อตหลังจากที่ได้เดินส่องผลงานกันจนหนำใจแล้ว นี่ประทับใจที่นี่มาก เพราะผลงานที่จัดแสดงอยู่มันอยู่ในช่วงเวลาที่ก๊อตทันและได้รับรู้ อย่างเรื่องราวบ้านเมืองเค้า ที่ถูกนำมาเสนอผ่านภาพจิตรกรรม หลายๆ ภาพในนั้น มันเข้าถึงง่าย ทำให้เดินดูกันได้เพลินๆ นี่ว่าใครที่ชอบงานอาร์ตอยู่แล้ว เข้ามาที่นี่คืออยู่ได้เป็นชั่วโมง แถม China Art Museum ยังเข้าฟรีด้วยนะ คือเริ่ดไม่ไหว
ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Pedestrian Road)
มาช้อปกันที่ ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Pedestrian Road) ถนนการค้าเส้นหลักเส้นหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนช้อปปิ้งที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า ถนนเส้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของถนนหนานจิง (Nanjing Road) ที่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1845 ก่อนจะกลายเป็นถนนการค้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง โดยตอนแรกผู้คนเรียกถนนเส้นนี้ว่า ‘พาร์คเลน’ และเปลี่ยนมาเป็นชื่อ ถนนหนานจิง (Nanjing Road) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งภายในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ถนนหนานจิงตะวันออก (Nanjing East Road) ตั้งอยู่ใกล้กับเดอะบันด์ (The Bund) โดยเป็นที่ตั้งของบริษัทต่างชาติ ธนาคาร และร้านค้าระดับไฮเอนด์มากมาย ถัดมาจะเป็นถนนหนานจิงตะวันตก (Nanjing West Road) ซึ่งถูกพัฒนาในภายหลังและกลายเป็นที่ตั้งร้านค้าหรู โรงแรม และตึกระฟ้าสมัยใหม่
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
โดยในปี ค.ศ. 1999 ถนนบางส่วนของ ถนนหนานจิงตะวันออก (Nanjing East Road) ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นถนนคนเดินเพื่อรองรับนักช้อปและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นแบบพุ่งปรี๊ด โดยถนนส่วนนี้เรียกกันว่า ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Pedestrian Road) นั่นเอง ซึ่งมีระยะทางทอดยาวจากเดอะบันด์ (The Bund) ไปจนถึง People’s Square ทีนี้คนเค้าก็นิยมมาช้อปปิ้งที่นี่กันสะพัด เพราะเป็นแหล่งรวมตั้งแต่สินค้าทั่วไป แบรนด์ฮิตๆ ของจีน ไปจนถึงห้างที่เต็มไปด้วยช้อปลักชู คือมีให้ช้อปครบทุกบัตเจตกันเลยล่ะ
บรรยากาศตลอดทั้งสายล้วนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ซึ่งเค้าปิดถนนให้เราเดินช้อปกันแบบจริงจังมาก ตามสองฝั่งของถนนเรียงรายไปด้วยตึกสูงมากมาย ท่ามกลางป้ายไฟที่เปิดใส่กันแบบพรึ่บพรั่บ โดยที่ช็อปก็มีให้เราส่องแบบละลานตาสุดๆ อย่างแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดีทั้ง H&M, Zara หรือ Uniqlo ที่นี่ก็มีให้เลือกช้อปเพียบ ซึ่งราคาไม่ได้ต่างจากบ้านเรามากนัก แต่พวกคอลเลกชันของผู้หญิงเค้ามีให้เลือกหลากหลายมาก นอกจากนี้ใครที่หิวๆ ใน ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Pedestrian Road) ก็มีฟาสต์ฟู้ด ไปจนถึงร้านอาหารนานาชาติ และอาหารจีนขายอีกด้วย จะมากินมื้อค่ำที่นี่ก็ได้นะ ถือเป็นถนนที่จะกิน จะช้อป ก็ครบครันในที่เดียวเลย
Pop Mart Store สาขาถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Pedestrian Road)
หากใครที่กำลังตามสะสมอาร์ตทอย หรือเป็นสาวกนักจุ่มที่ ถนนคนเดินหนานจิง (Nanjing Pedestrian Road) ยังมี Pop Mart Store อยู่ด้วยนะ โดยสาขาที่นี่ถือเป็นสาขาแฟล็กชิพสโตร์ของ Pop Mart ที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง โดยสโตร์ของเค้าจะเป็นตึกสองชั้นที่ตั้งอยู่ริมถนน สังเกตได้จากตัว Skullpanda ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ด้านบนอาคาร หากเจอน้องเค้านั่นหมายความว่าเรามาถึงที่หมายแล้ว
ความเริ่ดของ Pop Mart Store ที่นี่ คือนอกจากจะขายสินค้าทั่วไปและยอดฮิตของเค้าอย่าง Molly, Dimoo และ Skullpanda แล้ว มันยังรวมของเล่นรุ่นพิเศษ และรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ไปจนถึงฟิกเกอร์สุดพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะที่นี่เท่านั้นอยู่ด้วย ซึ่งจากที่ก๊อตไปมาและเดินวนอยู่ในนั้นร่วมชั่วโมง พวกคอลเลกชันบ้านเค้าจะมีความหลากหลายกว่า บางอย่างก๊อตไม่เห็นมีขายในบ้านเราด้วย ส่วนราคาจะไม่ได้ต่างกันมาก อย่างกล่อมจุ่มถูกกว่าบ้านเรา 20-50 บาทประมาณนี้ แต่งาน 400% ต่างๆ ราคาน่ารักมาก และที่เลิฟเลยคือพวก POP BEAN เพราะที่นี่มีให้หยิบกันแบบเว่อร์วังมาก เอาเป็นว่าใครเป็นสาวก Pop Mart มาเซี่ยงไฮ้ให้พุ่งตัวมาสาขานี้ได้เลย
ห้องสมุดซีคาเว่ย (Zikawei Library)
มานั่งอ่านหนังสือชิลๆ กันที่ ห้องสมุดซีคาเว่ย (Zikawei Library) หนึ่งในห้องสมุดที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ที่เพิ่งเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา สำหรับอาคารที่ตั้งของห้องสมุดนั้น ถูกก่อสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 2013 โดยได้รับการออกแบบจาก เดวิด ชิปเปอร์ฟิลด์ (David Chipperfield) สถาปนิกชื่อดังระดับโลก ซึ่งแรกเริ่มเค้าต้องการทำให้ที่นี่เป็นร้านหนังสือสูง 3 ชั้น ท่ามกลางรูปแบบของสถาปัตยกรรมตะวันตก แต่ในระหว่างการสร้าง ได้เกิดปัญหาเรื่องทุนในการก่อสร้างขึ้นมา ทำให้อาคารหลังนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไป
กระทั่งทางการของเค้าเล็งเห็นว่า อาคารหลังนี้มันไปต่อได้ จึงได้มอบหมายให้พัฒนาและสร้างต่อ โดยรอบนี้ได้ บริษัทสถาปนิกวูโทเปีย แล็บ (Wutopia Lab) มาเป็นผู้รับผิดชอบงาน ซึ่งทางทีมสถาปนิกได้ทำการอนุรักษ์โครงสร้างต่างๆ ด้านนอกของอาคารเอาไว้ พร้อมทั้งได้เพิ่มหน้าต่าง ประตูที่ทำจากกระจกมากยิ่งขึ้น แต่ท่ีเป็นไฮไลท์เลย คือบริเวณโถงตรงกลางด้านในที่เค้าทำเป็นโถงสูงเปิดโล่ง มาพร้อมโต๊ะอ่านหนังสือตัวยาว 30 เมตร รายล้อมไปด้วยชั้นหนังสือขนาดมหึมา ซึ่งถือเป็นจุดป๊อบของที่นี่ ทั้งจากผู้คนที่ชอบมานั่งอ่านหนังสือ รวมไปถึงเหล่านักท่องเที่ยวที่มักจะมาถ่ายภาพมุมนี้กันนั่นเอง