เว้ (Hue) เมืองมรดกโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย โดยรอบนี้เราไปเที่ยวเว้กันแบบ 2 วัน 1 คืน โดยก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวตามแลนด์มาร์คประวัติศาสตร์ชื่อดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Minh mang Tomb), พระราชวังเว้ (Imperial Citadel Hue) รวมถึงไปถ่ายรูปชิลๆ กันที่หมู่บ้านทำธูป Co Hoa สุดชิคกันแบบจัดเต็ม บอกเลยว่ารอบนี้แน่นทั้งข้อมูลและรูปแบบเริ่ดๆ เล้ย
สำหรับการมาเที่ยวเว้ (Hue) ในทริปเวียดนามรอบนี้ ตัวก๊อตเองนั้น จัดทริปเที่ยวมาแบบแพ็คมัด 3 เมืองยอดฮิต อย่างดานัง ฮอยอัน และ เว้ ใครที่กำลังแพลนเที่ยวทริปสามเมืองนี้อยู่ ลองอ่านรีวิวทั้งหมดจาก Hashcorner ในซีรีย์เวียดนามและตามรอยกันได้เล้ย
มารู้จักเว้ (Hue) กันก่อนเร้วว
เว้ (hue) เมืองมรดกโลก ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ จัดว่าเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวของเวียดนามที่ได้รับความนิยมล้นหลาม เพราะเป็นแหล่งรวมโบราณสถานที่มีอยู่จำนวนมาก จนยูเนสโก้ (UNESCO) ยูเนสโก้ประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี 1993 ทำให้เศรษฐกิจของเมืองเติบโตมาจากการท่องเที่ยวเป็นหลัก นอกจากนี้เว้ (Hue) ยังเคยเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนมาจนถึงปี 1945 อีกด้วย เรียกได้ว่าใครที่ชอบเที่ยวเมืองเก่า หลงใหลในประวัติศาสตร์และโบราณสถานต่างๆ พลาดไม่ได้ เพราะอะไรที่ว่าเก่าแก่ในเวียดนามนั้น อยู่ที่เมืองนี้เยอะม๊ากกก
นอกจากนี้เว้ (Hue) ยังอยู่ติดกับแม่น้ำหอม แม่น้ำที่เค้าว่ากันว่าในอดีตนั้น แม่น้ำทั่วทั้งสายจะส่งกลิ่นหอมหวานไปด้วยกลิ่นของดอกไม้ จากสวนผลไม้ที่ปลูกอยู่ต้นสายของแม่น้ำ ยิ่งใครมาเที่ยวเว้ในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงตุลาคมนะ บอกเลยว่าเป็นช่วงที่แม่น้ำจะส่งกลิ่นหอมของดอกไม้ได้มากทื่สุด ถึงแม้กาลเวลาล่วงผ่าน มีการทำอุตสาหกรรม และการเดินเรือที่มากขึ้น ส่งผลให้กลิ่นหอมของดอกไม้เหล่านั้นจางหายไป แต่ชื่อของ ‘แม่น้ำหอม’ ก็ยังเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเว้ (Hue) เช่นเคย
ยังไม่หมดเท่านั้น ก๊อตเชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยเห็นหมวกกรวยที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเวียดนามผ่านตามาบ้างแล้วอย่างแน่นอน จะบอกว่าที่เว้ (Hue) นั้น มีหมู่บ้านที่ชื่อ Tay Ho เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เค้าทำหมวกทรงกรวยส่งขาย และดังระดับประเทศเลยน้า
สำหรับใครที่มาเที่ยวเว้ (Hue) บอกเลยว่าเมืองนี้ที่เที่ยวเพียบ ก๊อตว่ามันเหมาะกับคนที่ชื่นชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ ชอบเดินดูโบราณสถานและเมืองเก่า นี่ว่ามาเว้ (Hue) จะต้องตกหลุมรัก เราจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับพระราชวังเก่า โบราณสถาน สุสานจักรพรรดิ และวัดอีกมากมาย และยังมีย่านธุรกิจและที่พักอาศัยน่ารักๆ ให้เราได้ไปเที่ยวชม ท่ามกลางบรรยากาศสงบเรียบง่ายๆ ที่ก๊อตเชื่อว่ามาแล้วจะต้องแฮปปี้กลับบ้านแน่นอน จะไปที่ไหนบ้างมาตามรอยไปเที่ยวด้วยกันเลย
แพลนเที่ยว เว้ (Hue)
วัน | สถานที่เที่ยว เว้ (Hue) |
1 | 1. สุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Minh mang Tomb) 2. หมู่บ้านทำธูป Co Hoa |
2 | 3. พระราชวังเว้ (Imperial Citadel Hue) 4.วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) 5.วัดตูเหียว (Tu Hieu Pagoda) |
ส่วนลด OTA | ส่วนลด Klook ส่วนลด Agoda ส่วนลด Booking ส่วนลด Expedia ส่วนลด Hotels |
เดินทางจากดานัง (Da Nang) มายังเว้ (Hue)
สำหรับการเดินทางมายังเมืองเว้ (Hue) ก๊อตว่าหลายคนน่าจะเดินทางมาจากเมืองดานัง (Da Nang) เหมือนก๊อต เนื่องจากดานังนั้นเป็นที่ตั้งของสนามบินที่อยู่ใกล้ที่สุดที่มีไฟล์ทบินจากไทยนั่นเอง ดังนั้น ใครที่บินมาลงดานัง ก๊อตแนะนำ 2 ตัวเลือก คือแบบรถลีมูซีนร่วม และแบบเหมารถส่วนตัว โดยระยะเวลาเดินทางจาก ดานัง มายังเว้ นั้น จะอยู่ราวๆ 2 ชั่วโมงเน้อ
ตัวเลือก #1: นั่งรถลีมูนซีนร่วม – อันนี้เป็นรถตู้แบบดีที่รวมผู้โดยสารหลายคน(หรือกลุ่ม) ไปในรถคันเดียว สำหรับคนที่มาเที่ยวคนเดียว หรือ 2-3 คน นั่งแบบนี้คือคุ้มสุด เพราะตกคนละสองร้อยกว่าบาทเอง สามารถจองจาก Klook ได้เลย
ตัวเลือก #2: เหมารถส่วนตัวพร้อมคนขับ – เหมาะสำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว การจองรถแบบเหมาส่วนตัวคือสะดวกที่สุดแล้วแหละ เลือกเวลาได้ เลือกสถานที่รับ-ส่งได้ ซึ่งราคาก็จะสูงหน่อย อยู่ที่ราวๆ 1,700-2,000 ต่อเที่ยว ถ้าใครมากัน 3-5 คน เอาแบบนี้ก็ได้ ถือว่าซื้อความสะดวก สามารถซื้อจาก Klook ได้เลย
การเดินทางภายในตัวเมืองเว้ (Hue)
สำหรับนักท่องเที่ยวแบบเรา การเดินทางเที่ยวในเวียดนามคือไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่สำหรับการเที่ยวด้วยรถสาธารณะ เพราะรถเมล์ต่างๆ บ้านเค้าไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่เล้ย ดังนั้น ที่ก๊อตแนะนำเลยก็คือตามนี้เล้ย
1. เช่ามอเตอร์ไซค์ขับ – คนที่ขับรถมอไซค์ได้ แล้วอยากลุยๆ หาที่เช่ามอไซค์แล้วขี่เที่ยวเองโลด อันนี้คือประหยัดสุด และง่ายที่สุดแล้ว สำหรับการเช่ามอไซค์ในเวียดนามนั้น ส่วนมากจะใช้แค่พาสปอร์ตก็เช่าได้แล้ว ง่ายเกิ้น แต่นี่อยากบอกทุกคนนิดนึงว่า ก่อนจะตกลงเช่า รับรถแล้วขี่ออกไป ลองเช็คสภาพมอเตอร์ไซค์ซักนิด ทดสอบเบรคต่างๆ เพราะนี่เคยเจอมา ตัวสภาพรถคือแย่มาก ขับรถออกไปแล้วพึ่งมารู้กลางทางว่าเบรคไม่ดี กระจกมองข้างหลวมแทบจะหลุด บลาๆ ซึ่งมันอันตรายมาก อย่าลืมว่าเราขับรถต่างประเทศ ไม่ใช่ในประเทศไทย เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา มันไม่สนุกเลย
2. เรียก Grab – สำหรับสายนั่งแท็กซี่ ส่วนตัวไม่ค่อยอยากให้เรียกแท็กซี่จากข้างถนนเท่าไหร่ เพราะมีความที่เราจะโดนโก่งราคาสูงมาก เพื่อความเซฟและสามารถตัดบัตรเครดิตได้ นี่แนะนำให้เราเรียก Grab แทน สบายใจกว่าเยอะแหละ สำหรับการเที่ยวเว้ของก๊อตรอบนี้คือใช้ Grab อย่างเดียวเลย
3. เช่ารถพร้อมคนขับแบบส่วนตัว – สำหรับคนชอบความสะดวกสบายขั้นสุด หรือมากันหลายคนซัก 3-4 คน การเหมารถพร้อมคนขับแบบส่วนตัวคือสบายสุดจริงๆ และถ้ามากันหลายคน และวางแพลนไปเที่ยวกันหลายที เผลอๆ คือถูกกว่าเรียก Grab แบบหลายเที่ยวอี๊ก โดยราคาเหมารถจะอยู่ที่ราวๆ 1,000 บาท (สำหรับครึ่งวัน) และ 1,600 บาท (สำหรับเต็มวัน) สามารถจองจาก Klook ได้เลย
ข้อมูลเที่ยวเว้ (Hue) ปึ๊กแล้ว มาเริ่มเที่ยวกัน
DAY 1 : สุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Mausoleum of Emperor Minh Mang)
วันแรก เรามาเริ่มเที่ยวเว้ (Hue) กันที่ สุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Mausoleum of Emperor Minh Mang) ซึ่งก๊อตเรียก Grab ให้มาส่งที่นี่เลย เนื่องจากตัวสุสานนั้นค่อนข้างอยู่ใกล้ออกมาจากใจกลางเมืองราวๆ 12 กิโลเมตร โดยสุสานแห่งนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มที่เที่ยวโบราณสถานของเมืองเว้ (Hue) ที่ต้องเสียเงินซื้อบัตรเข้าชม โดยราคาค่าบัตรจะอยู่ที่ 150,000 ดอง (~220 บาท) ต่อคนแหละ
สำหรับ สุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Mausoleum of Emperor Minh Mang) นั้น เป็นสุสานของจักรพรรดิองค์ที่ 2 ของราชวงศ์เหงียน และพระโอรสลำดับที่ 4 ของ จักรพรรดิซาลอง โดยตัวสุสานนั้นเริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1840 โดยจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (King Minh Mang) ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ 1 ปี และพระเจ้าเถี่ยวตรี (King Thieu Tri) รัชทายาทของพระองค์ได้ดำเนินการสร้างต่อจนแล้วเสร็จในปี 1843
จักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Minh mang) ทรงเป็นผู้คุมการสร้างนครจักรพรรดิด้วยตนเอง และทรงมีทัศนคติแบบลัทธิขงจื๊อ แถมยังได้รับการยกย่องจากประชาชนในขณะนั้น เพราะทรงต่อต้านการเข้าครอบครองของฝรั่งเศส
สุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Mausoleum of Emperor Minh Mang) ได้รับการขนานนามว่าเป็นสุสานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์เหงียนเลยนะ โดยด้านในมีสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด 40 แห่ง ตั้งแต่ พระราชวัง วัด ศาลา และอื่นๆ อีกมากมาย โดยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนั้นถูกยกย่องในเรื่องของการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น และธรรมชาติของเมืองเว้ (Hue) ที่เข้ากันได้อย่างงดงามและลงตัวแหละ ซึ่งอันนี้คือเรื่องจริง เพราะจากที่เที่ยวเว้ (Hue) มารอบนี้ สุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Mausoleum of Emperor Minh Mang) ถือเป็นโบราณสถานที่สวยที่ในเมืองเว้ของทริปนี้แล้ว
รูทการเดินชม สุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Mausoleum of Emperor Minh Mang) นั้น เราสามารถเดินเข้ามาแล้วตรงยาวผ่านศาลาและอาคารต่างๆ จนสุดด้านในที่เป็นหลุมฝังพระศพ โดยเราจะได้เห็นทั้งซุ้มประตู Dai Hong Mon ที่ถูกเปิดออกแค่ครั้งเดียวเมื่อครั้งที่นำพระศพจักรพรรดิ์เข้ามายังสุสาน รวมถึงเหล่าบรรดาโขลงช้าง ฝูงม้าม้า พลรบ ทหารอยู่ในชุดเวียดนามโบราณ และขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง ซึ่งเป็นผลงานจากช่างฝีมือหลายคนเลย
ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังหลุมพระศพนั้น เรายังจะได้ผ่านทั้งหอไบ๋ดิงห์ (Bi Dinh Pavilion) ที่มีศิลาจารึกที่พระเจ้าเถี่ยวตรี (King Thieu Tri) ได้สลักประวัติของจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Minh mang) ไว้ และยังมีวัดซุงอัน (Sung An Temple) ที่ตั้งอยู่ถัดไป สร้างไว้เพื่อให้บรรดาราชวงศ์และเชื้อพระวงศ์มาสักการะบูชาองค์จักรพรรดิ หรือราชินีที่สิ้นพระชนม์ตามประเพณีของเวียดนามนั่นเอง
เดินถัดมาอีกหลัง เป็นพระตำหนักมินห์เลา (Minh Lau Pavilion) พระตำหนักขนาด 2 ชั้น ที่มุงด้วยหลังคาชั้นละ 4 มุม โดยบริเวณทางเข้าชั้นแรกของพระตำหนักมีเสาโอเบลิสก์สีเทาขนาดใหญ่ตั้งขนาบข้างซ้าย-ขวาสื่อถึงอำนาจของจักรพรรดิ นอกจากนี้ที่ตั้งของพระตำหนักแห่งนี้ยังอยู่บนยอดของระเบียงสามชั้น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังสามประการในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็น สวรรค์ ดิน และมนุษย์ โดยบริเวณด้านหลังของพระตำหนักจะมีสวนดอกไม้อายุยืนสายพันธุ์ต่างๆ ปลูกอยู่ด้วย ใครอยากชื่นชมบรรยากาศสวยๆ ของสวนดอกไม้เค้าก็สามารถเดินออกไปดูได้ ซึ่งก๊อตจะบอกว่า จากวิวมุมสูงบนพระตำหนักที่เรายืนอยู่นี้ สามารถมองลอดผ่านออกไปเห็นสุสานของจักรพรรดิที่อยู่เนินด้านล่างได้อีกด้วย
เมื่อเราเดินลงจากพระตำหนักมินห์เลา (Minh Lau Pavilion) เราต้องเดินข้ามสะพานหินที่ทอดผ่านทะเลสาบเติ๊น เหงียต (Tan Nguyet) ทะเลสาบที่มีน้ำใสแจ๋วจนสามารถมองลอดผ่านลงไปเห็นสาหร่ายใต้น้ำได้เลย โดยสะพานหินที่ก๊อตข้ามมานั้น เป็น 1 ใน 3 สะพานหินที่เป็นทางเชื่อมสู่หลุมฝังพระศพของจักรพรรดิ ซึ่งคนทั่วไปเค้าจะให้ข้ามได้แค่ 2 สะพานเท่านั้น ซึ่งอีกหนึ่งสะพานที่สร้างด้วยหินอ่อนเฉพาะ เค้าสงวนเอาไว้สำหรับกษัตริย์ ที่ใน 1 ปี จะใช้งานแค่ครั้งเดียวเนื่องในวาระการจากไปของจักรพรรดินั่นเอง
ซึ่งพอเราเดินข้ามสะพานมาแล้ว จะเจอเข้ากับบันไดขนาดใหญ่ที่มีราวบันไดเป็นรูปมังกรเลื้อยคดเคี้ยวไปมาอย่างสวยงาม ก่อนจะเจอเข้ากับสุสานของจักรพรรดิ ที่มีลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ยกสูงจากพื้นปกติ โดยมีกำแพงสูงรายล้อมสุสานเอาไว้ ซึ่งในส่วนนี้เค้าจะไม่ได้เปิดให้เราเข้าไปเดินชมข้างใน แต่เราสามารถเดินเล่นถ่ายรูปอยู่รอบๆ นอกได้เลย
สำหรับช่วงที่ก๊อตไปนั้นอากาศค่อนข้างร้อนเลย ใครจะมาแนะนำให้โบกกันแดดมาแน่นๆ และพกร่มมาด้วยก็จะดีมาก โดยรวมของ สุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Mausoleum of Emperor Minh Mang) สำหรับก๊อตนั้นถือว่าดีเลยแหละ หออาคารต่างๆ คือมีอะไรให้ดูเยอะมาก ทั้งสถาปัตยกรรมของเค้าที่มันอยู่ท่ามกลางธรรมชาติก๊อตต้อยกนิ้วให้ในเรื่องความสวย และดีกว่าโบราญสถานอื่นๆ ของเวียดนามที่ก๊อตเคยไปมา ใครที่ชื่นชอบเที่ยวโบราณนี่ไม่อยากให้พลาดเลย
หมู่บ้านทำธูป Co Hoa
นั่งรถออกมาจากสุสานจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Mausoleum of Emperor Minh Mang) ไปต่อกันที่ หมู่บ้านทำธูป Co Hoa หนึ่งในสถานที่ยอดฮิตที่ใครมาเมืองเว้ (Hue) จะต้องมาถ่ายรูปกับดงธูปสีสันสดใส ใครมาที่นี่บอกเลยว่านอกจากจะได้รูปเริ่ดๆ กลับบ้านแล้ว ยังจะได้เรียนรู้วิธีการทำธูปแบบใกล้ชิดจากคนเวียดนามท้องถิ่นอีกด้วย
โดยหมู่บ้าน Co Hoa หรือชื่อเต็มๆ ว่า Làng hương Thủy Xuân – Cô Hoa ตั้งอยู่บนถนน Huyen Tran Cong Chuaใกล้กับสุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก (Tu Duc Tomb) ประมาณ 7 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของใจกลางเมืองเว้ (Hue) ตามคำบอกเล่าของช่างฝีมือในหมู่บ้าน บอกว่าการทำธูปหอมในเว้นั้นมีขึ้นตั้งแต่ 700 ปีก่อนในช่วงสมัยของราชวงศ์เหงียน และแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านมานานแค่ไหน หมู่บ้านธูป Co Hoa ยังคงได้รับการอนุรักษ์และสืบสานการทำธูปจากรุ่นสู่รุ่นมาเสมอ
โดยธูปที่ผลิตจากหมู่บ้านแห่งนี้เค้าได้รับความนิยมอย่างมากเลยนะ เนื่องจากขั้นตอนการทำธูปของคนในหมู่บ้านนั้นมีความพิถีพิถัน ทำให้ธูปที่ผลิตจากที่นี่มีกลิ่นหอมอ่อนโยน แถมยังไม่มีสารเคมี เรียกได้ว่าธูปแต่ละดอกนั้นผ่านขั้นตอนการผลิตกันอย่างวิจิตรบรรจง เพื่อรักษากลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ ซึ่งคนที่เค้าซื้อธูปจากที่นี่ไป ก็ไม่ได้นำไปใช้แค่ในพิธีต่างๆ เท่านั้นนะ เค้ายังมีการเอาไปใช้เป็นเครื่องหอมเพื่อบรรเทาความเครียดได้อีกด้วย ถ้าถามว่าโด่งดังเบอร์ไหน ก๊อตบอกเลยว่าธูปจากหมู่บ้าน Co Hoa ส่งขายกันทั่วเวียดนามเล้ยย
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
สำหรับธูปแบบดั้งเดิมจะมีสีพื้นฐานสองสี คือ สีน้ำตาลและสีแดง แต่ตอนนี้เค้าได้มีการทำธูปสีอื่นๆ เพิ่มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีเขียว สีม่วง หรือจะเป็นสีชมพู เพื่อให้สินค้าสะดุดตาลูกค้ามากขึ้น กับความคัลเลอร์ฟูลของธูปที่แผ่กระจายออกราวกับดอกไม้หลากสี ด้วยเหตุนี้ ที่นี่เลยกลายเป็นจุดป็อปสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบแวะเวียนกันมาถ่ายรูปนั่นเองซึ่ง
เมื่อเราขับรถเข้าไปยังถนนในหมู่บ้านนี้ ร้านธูปคือตั้งเรียงรายเยอะมาก แถมหลายๆ ร้านเองก็กวักมือเรียกให้เราแวะเวียนเพื่อเข้าไปถ่ายรูปและซื้อธูปเค้านี่แหละ ซึ่งการเลือกร้านธูปถ่ายรูปนั้น แล้วเราลองดูการจัดวางของแต่ละร้านได้เลย ถูกใจร้านไหนที่วางสวย ถ่ายรูปแล้วต้องปัง ก็จอดร้านนั้นได้เลยเด้อ ซึ่งการเข้าไปถ่ายรูปนั้น คือฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าให้ดี ก็อุดหนุนซื้อธูปของชาวบ้านเค้าหน่อย เพราะเรามาถ่ายรูปในร้านเค้าแล้ว ก็ซื้อเป็นของฝากกลับไปใช้ที่บ้านก็ไม่เสียหายน่าา
แต่ถ้าใครมาถึงนี่แล้ว อยากได้รูปฟีลคนเวียดนามแบบออริจิ ร้านเค้าก็มีชุดสไตล์เวียดนามให้เราเช่ามาใส่มาถ่ายรูปในดงรูปได้อีกด้วย โดยราคาเช่าชุดจะอยู่ประมาณ 50,000 ดอง (~75 บาท) เท่านั้น อันนี้ก๊อตแนะนำเลยสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป เพราะคนในพื้นที่เค้าน่ารักมากก แบบเชียร์เก่ง ขายเก่ง แถมยังให้เราถ่ายรูปมุมไหนก็ได้ตามใจชอบแบบไม่จำกัดเวลาจนกว่าจะพอใจ บอกเลยว่าราคาเช่าชุดหลักสิบ บริการหลักล้านนน ใครมาเที่ยวเว้ (Hue) อย่าลืมมาถ่ายรูปสวยๆ กับธูปหลากสีกันด้วยน้า รูปที่ได้กิ๊บเก๋เป็นเวียดนามสุดๆ ไปเลยย ส่วนถ้าใครมาถึงที่นี่แล้ว อยากจะลองทำธูปหอมติดไม้ติดมือกลับบ้านเค้าก็มีช่างมาสอนทำ ฟีลแบบได้เวิร์ช้อปทำธูปไปพร้อมๆ กับเที่ยวเลยเชียวล่ะ ยังไงลองถามเจ้าของร้านเค้าได้เลย
DAY 2 : พระราชวังเว้ (Imperial Citadel Hue)
วันที่สอง ก๊อตตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อไปเที่ยวที่ พระราชวังเว้ (Imperial Citadel Hue) พระราชวังเก่าแก่ที่ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ตั้งแต่ปี 1993 โดยมีการออกแบบคล้ายคลึงกับพระราชวังต้องห้ามของจีน ถือเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญมากที่สุดและต้องมาให้ได้ เมื่อมาเที่ยวเมืองเว้ (Hue) เลยนะ
สำหรับการเข้าไปชม พระราชวังเว้ (Imperial Citadel Hue) เราจะต้องเสียค่าเข้า 200,000 ดอง (~300 บาท) เพื่อเข้าชมด้านใน สามารถซื้อจากซุ้มขายบัตรด้านหน้าได้เลย ส่วนใครที่ซื้อบัตรแบบคอมโบแบบเหมาๆ เข้าหลายสถานที่ท่องเที่ยว ก็สามารถยื่นบัตรตรงประตูเพื่อเข้าไปชมได้เล้ย ส่วนใครที่อยากซื้อออนไลน์ เราสามารถซื้อผ่าน Klook ได้เช่นกันนะ [ซื้อบัตรเข้าชมพระราชวังเว้ ผ่าน Klook]
สำหรับประวัติ พระราชวังเว้ นี่ต้องขอย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เวียดนามเกิดกบฏไตเซิน และเหงียน อันห์ (NguyÁn Ánh) ได้รวมชาติเวียดนามสำเร็จในปี 1789 และได้สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิซาลอง (Emperor Gia Long) จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์เหงียน (และยังเป็นราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม) พร้อมทั้งยกเมืองเว้ (Hue) ขึ้นเป็นเมืองหลวงของเวียดนามกว่า 140 ปีเลย มีเมืองหลวงแล้ว ก็ต้องมีพระราชวังด้วย ท่านจักรพรรดิเลยออกคำสั่งให้สร้างพระราชวังเว้ (Hue) นี้ขึ้นในปี 1804 โดยใช้พระราชวังต้องห้ามของจีนมาเป็นต้นแบบ และยังใช้แรงงานมากกว่าหลายพันคนในการสร้างป้อมปราการที่มีกำแพงล้อมรอบ และคูน้ำยาวประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งการก่อสร้างก็กินเวลายาวนานจนแล้วเสร็จในการปกครองของจักรพรรดิ์มิงห์หม่าง (Emperor Minh mang) โดยพระราชวังเว้ (Hue) นั้น ถือเป็นโครงสร้างที่ใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนามสมัยใหม่เลยทีเดียว
สิ่งที่ก๊อตชอบมาที่สุดของพระราชวังเว้ ก็คืออาคารซุ้มประตูด้านหน้า ที่ถือเป็นหน้าเป็นตาของเว้มากที่สุดนี่แหละ ก๊อตเชื่อว่าทุกคนที่ไปเที่ยว เราจะเห็นนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวเวียดนามที่เค้าจะแต่งชุดอ่าวหญ่ายมาถ่ายรูปกัน เอ้อ ซึ่งมันน่ารักนะ ใครที่อยากมาเที่ยวแล้วให้อิน แถมยังถ่ายรูปสวยมากขึ้น อาจจะลองหาเช่าชุดอ่าวหญ่ามาใส่เล่นก็ได้
เมื่อเราเข้ามายังด้านในของพระราชวังแล้ว สิ่งที่ห้ามพลาดมากที่สุดเลยก็คือ พระตำหนักไท่ฮัว (Thai Hoa Palace) ที่ถือเป็นพระตำหนักหลักที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่แรกในสมัยจักรพรรดิซาลอง (Emperor Gia Long) และยังถือเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจตระกูลเหงียน ที่ใช้เป็นสถานที่ทำพิธีสำคัญต่างๆ ด้วย ซึ่งน่าเสียดายที่ว่าเค้ากำลังซ่อมแซมและบูรณะอยู่ และทำกันยาวนานมากด้วย ซึ่งเค้าซ่อมมาตั้งแต่ปลายปี 2021 แต่คาดว่าจะบูรณะเสร็จในปี 2025 เลยทีเดียว ใครที่มาเที่ยวช่วงระหว่างนี้ ก็คือเข้าไม่ได้นาจา คลุมโปงปิดอยู่ ฮือ
นี่อยากจะบอกว่า พระราชวังเว้ (Imperial Citadel Hue) ที่เราเห็นในปัจจุบันนี้เป็นพระราชวังที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่หลายส่วนนะเพราะพระราชวังเค้าได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและได้รับความเสีหายมาจากหลายเหตุการณ์มาก ทั้งถูกโจมตีในช่วงสงครามอินโดจีน ครั้งที่ 1 ระหว่างเวียดมินห์กับฝรั่งเศสที่เสียหายอย่างหนัก และยังมาโดนพังอีกรอบในสงครามเวียดนาม ระหว่างเวียดนามเหนือกับอเมริกา โดยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดกว่า 160 หลังในพระราชวังเว้ เหลือรอดแค่ 10 หลังเท่านั้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลย เมื่อเราเดินเข้าไปเที่ยวด้านในของพระราชวัง เราจะเห็นพื้นที่ว่างเปล่าและซากปรักหักพังที่เยอะพอสมควร ซึ่งเวียดนามเองเค้าก็บูรณะและสร้างใหม่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ลูกหลานเค้าได้เห็นมรดกต่อไปแหละ
อีกไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ บริเวณท้องพระโรงที่มีสีแดงสด ตัดกับลวดลายศิลปะจีนสีทองสุดวิจิตร ถือเป็นอีกหนึ่งมุมยอดฮิตสำหรับการถ่ายรูปที่นี่เลยแหละ อีกอย่างที่อยากให้เดินดูระหว่างทางก็คือภาพถ่ายต่างๆ ของเวียดนามสมัยก่อน ที่เค้าจะเอามาแปะติดตามกำแพงยาวไปเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้ดีมาก คือเราจะได้เห็นภาพและเข้าใจความเป็นเวียดนามมากยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง
บอกเลยว่า พระราชวังเว้ (Hue) เค้าใหญ่โตมาก ถ้าจะให้เดินดูแบบละเอียดๆ วันเดียวก็คือไม่หมดจริง ด้านในเค้าก็จะมีอาคารหลายหลังที่เรายังเดินชมได้ รวมถึงมีพิพิธภัณฑ์ให้เราได้เดินเข้าไปดูด้านในด้วย ซึ่งที่นี่เองถือเป็นหนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากและควรค่าแก่การมาสัมผัสกับบรรยากาศของจริงที่สุดเลยแหละ
วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda)
ไปต่อกันกับหนึ่งสถานที่เที่ยวสำคัญของเว้ (Hue) ที่สามารถมาเที่ยวต่อได้ง่ายๆ จาก พระราชวังเว้ (Imperial Citadel Hue) ก็คือ วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) วัดพุทธที่เก่ามากที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม อีกทั้งยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของเวียดนามในยุคหลังเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังถูกยกให้เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในเมือง โดยที่นี่ถูกสร้างขึ้นตามตำนานความเชื่อเพื่อความเป็นสิริมงคล และความเป็นสุขของประชาชนในเมืองนี้อีกด้วยนะ
วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) นั้น เราสามารถเข้าชมได้ฟรีเลย สำหรับคนที่อยากดูพระอาทิตย์ตก เค้าบอกกันว่าที่นี่ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกกับแม่น้ำหอมที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งของเว้อีกด้วยนะ
สำหรับ วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) นั้น ถูกสร้างขึ้นในปี 1601 ในยุคของราชวงค์เหงียนฮวาง (Nguyen Hoang) ผู้เป็นเจ้าครองเมืองทวนหัว (Thuận Hóa) ในสมัยนั้น ตามตำนานเล่าว่า ระหว่างที่พระเจ้าเหงียนฮวางได้ออกเดินทางเยี่ยมไปตามหัวเมืองต่างๆ พระองค์ได้เจอกับคนท้องถิ่น ซึ่งเค้าเล่าให้ฟังว่า มีหญิงชราคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันในชื่อ ‘เทียนมู่’ สวมชุดสีแดง-ฟ้า นั่งเช็ดแก้มอยู่ตรงภูเขา ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับวัดนี้ในปัจจุบัน โดยเที่ยนมู่ ได้บอกกับคนท้องถิ่นว่า จะมีผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่จะมาสร้างเจดีย์ขึ้นบริเวณนี้ แล้วประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข และประเทศชาติจะรุ่งเรือง เมื่อเจ้าครองเมืองได้ยินแบบนี้ ก็เลยสั่งให้ก่อสร้างเจดีย์และวัดเทียนมู่แห่งนี้ขึ้นมาตามตำนานเพื่อบ่งบอกว่า ตัวเค้าเองนี่แหละคือผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ตามตำนานที่เล่าขานมาจากชาวบ้านนั่นเอง
จุดไฮไลท์ของที่นี่เลยก็คือ เจดีย์เทียนมู่ ที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของจีนและความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายานผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยเจดีย์เทียนมู่ ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเว้มาตั้งแต่ปี 1710 โดยตัวเจดีย์ถูกออกแบบให้เป็นรูปทรง 8 เหลี่ยม ทั้งหมด 7 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นจะหมายถึงภพชาติต่างๆ ของพระพุทธเจ้า สำหรับบริเวณทางด้านซ้ายของเจดีย์เป็นที่ตั้งของศิลาจารึกระฆังสำริดขนาดใหญ่เรียกว่า Dai Hong Chung ที่สูงถึง 2.5 เมตร หนักประมาณ 3 ตัน เค้าว่ากันว่าตีระฆัง 1 ครั้งได้ยินไปไกลถึง 10 กิโลเมตรเล้ยย อลังการเว่อร์
อีกหนึ่งไฮไลท์ของวัดเจดีย์เทียนมู่ที่เลื่องชื่อเลยคือ รถออสตินสีฟ้า รถยนต์ที่ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้ โดยมีประวัติว่าพระภิกษุทิกกวางหยก วัย 73 ปี เจ้าอาวาสวัดเทียนมู่ได้ใช้รถคันนี้เป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียมที่มีการโกงราษฎร รวมถึงการบังคับเหล่าคนนับถือพุทธให้มานับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก โดยความว้าวของเหตุการณ์ครั้งนี้คือ มีคนเล่ากันว่า (ไม่รู้จริงมั้ยนะ) หัวใจของพระภิกษุทิกกวางหยก ไม่ถูกเผาไปพร้อมกับร่างกายและกระดูกด้วย นี่บอกก่อนเลยว่า เหตุการณ์นี้คือดังมากทั่วโลก จากภาพถ่ายที่พระภิกษุที่นั่งกลางถนนและเผาตัวเองแหละ ใครที่อยากเห็นรูปก็ลองเสิร์จกูเกิ้ล ‘Thich Quang Duc The Burning Monk’ ซึ่งเราจะเห็นภาพที่มีรถออสตินอยู่ด้านหลัง ซึ่งรถคันนี้แหละ ได้ถูกนำมาเก็บไว้ในสถูปทองคำวัดเทียนมู่ มาจนถึงปัจจุบันเลย
สำหรับก๊อต วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) ถือเป็นอีกหนึ่งวัดสำคัญในเว้ที่ต้องมาแหละ เพราะนอกจากจะมาเที่ยวได้ง่ายแล้ว บรรยากาศของวัดเองก็ดีมากกก ไม่ว่าจะเป็นวิวแม่น้ำหอมที่เราเห็นได้จากตัววัด รวมทั้งองค์เจดีย์และอาคารต่างๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเวียดนาม เลอค่าแบบนี้ก็ต้องใส่เข้ามาในแพลนด้วยแหละ
วัดตูเหียว (Tu Hieu Pagoda)
ปิดท้ายการเที่ยวเว้ (Hue) กันที่ วัดตูเหียว (Tu Hieu Pagoda) ดินแดนทางพุทธศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม และเป็นวัดที่มีเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดอีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหาที่สถานที่เงียบสงบเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย และต้องการหาสถานที่ในการพักผ่อนสำหรับยึดเหนี่ยวจิตใจ
ในทางประวัติศาสตร์วัดตูเหียว (Tu Hieu Pagoda) ถูกสร้างโดย จักรพรรดิตึ ดึ๊ก (King Tu Duc) ลูกชายของพระเจ้าเถี่ยวตรี (King Thieu Tri) โดยชื่อของวัดแห่งนี้ มีความหมายว่า ’ความกตัญญูกตเวที’ สืบเนี่องมาจากที่ จักรพรรดิตึ ดึ๊ก (King Tu Duc) เคยได้ยินเรื่องราวของพระนัท ดินห์ (Nhat Dinh) ผู้ก่อตั้งเจดีย์ตูเหียว (Tu Hieu Pagoda) ที่ถึงแม้จะเป็นพระ แต่ก็เป็นลูกชายที่กตัญญูที่คอยเตรียมอาหารให้แม่ที่กำลังป่วยโดยไม่คำนึงถึงความคิดเห็นของผู้คนในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจว่าทำไมพระต้องมาดูแลสีกา ด้วยเหตุนี้ เค้าเลยเชื่อกันว่านี่อาจเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อวัดว่า วัดตูเหียว (Tu Hieu Pagoda) นั่นเอง
สำหรับใครที่เข้ามาบริเวณภายในวัด อย่างแรกเลยที่ก๊อตเชื่อว่าทุกคนจะต้องสัมผัสได้ คือ ธรรมชาติที่ร่มรื่นปกคลุมไปทั่วบริเวณ อีกทั้งยังมีคูน้ำไม่ใหญ่มากห้อมล้อมเอาไว้ยิ่งเสริมให้พื้นที่ภายในวัดดูสงบ อารมณ์แบบเดินเล่นแล้วรู้สึกเย็น สบายใจมาก
ใครมาวัดตูเหียว (Tu Hieu Pagoda) ก๊อตแนะนำว่าให้ลองเดินหาดูประตูทางเข้าทั้ง 3 ประตู ที่รูปทรงงดงาม ลักษณะเป็นโดมโค้งสองระดับ และมุงหลังคาตกแต่งเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจง รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มู้ดมันจะต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย เหมือนเราได้พักจากความวุ่นวายด้านนอกวัด และได้พักกาย พักใจ ก่อนไปลุยเที่ยวเมืองอื่นกันต่อ ใครชอบเที่ยวแบบสงบๆ แนะนำเล้ย อยาก
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ วัดตูเหียว (Tu Hieu Pagoda) เป็นหนึ่งในวัดที่ก๊อตว่ามันเหมาะมาดูทิวทัศน์ธรรมชาติและอนุสรณ์สถาน บรรยากาศแบบโบราณที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว สำหรับใครที่อยากมาฟังพระเทศน์นะ แนะนำให้มาช่วงเวลาเวลา 10.00 น. และ 16.00 น. จะเป็นเวลาที่มีพระมาเทศน์เน้อ อย่าลืมเช็คเวลาก่อนมาให้ดีด้วยน้า
โดยตัวก๊อตและเพื่อนๆ เราก็เดินถ่ายรูปกันเล่นภายในวัดไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบอะไรและสิ่งหนึ่งที่ก๊อตสังเกตุได้เลยคือ พระที่นี่เค้าเดินเบามากก แบบเวลาท่านเดินสวนไปมานะ แทบไม่ได้ยินเสียงเดินเลย 55555 เอาเป็นว่าส่วนตัวก๊อตชอบวัดตูเหียว (Tu Hieu Pagoda) เลยแหละ ฟีลมันสงบจริงๆ เป็นความสงบที่ไม่ใช่แค่บรรยากาศนะ แต่มันสงบตั้งแต่ใจเราที่ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบภายในวัดกันเลยเชียวล่ะ
และนี่ก็คือที่เที่ยวทั้งหมดที่ก๊อตไปเที่ยวเว้ (Hue) มาเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน สำหรับก๊อตแล้ว เมืองนี้มันเป็นมากกว่าเมืองท่องเที่ยว แต่ยังมีชื่อเสียงจากโบราณสถานที่มีอยู่ทั่วเมือง จนได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยบางสถานที่ของเค้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง การประท้วง ที่นับว่าเป็นสถานการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเวียดนามอีกด้วย ส่วนตัวก๊อตว่าเว้ (Hue) เป็นเมืองที่สวย ร่มรื่นม๊ากก คือไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ฟีลมันเหมือนธรรมชาติรอต้อนรับอยู่เสมอ อีกอย่างผู้คนที่นี่ก็น่ารักมากกกกกก เป็นกันเองสุด ใครมาเวียดนามก็อยากให้หาเวลามาเที่ยวดูนะ ประวัติศาสตร์สำคัญๆ ของเวียดนามก็เริ่มต้นจากเมืองนี้เน้ออ
รีวิวเที่ยวเวียดนาม ยังมีอีกเยอะเลยน้า
เวียดนาม ถือเป็นประเทศหนึ่งที่ก๊อตไปเที่ยวบ่อยมาก และไปแทบจะทุกปีเลยแหละ มีตั้งแต่สมัยเที่ยวคนเดียวตอนแรกเริ่มเป็นบล็อกเกอร์ จนถึงตอนนี้ที่เริ่มแก่แล้ว ฮื้ออ เอาล่ะ สำหรับใครที่กำลังหารีวิวเที่ยวเวียดนาม ลองดูต่อกับลิสเมืองอื่นๆ ด้านล่างนี้ได้เล้ย
1. ฮานอย (Hanoi)
2. ฮานอย คาเฟ่ (Cafe Hopping Hanoi)
3. ดาลัด (Da Lat)
4. บานาฮิลล์ (Bana Hills)
5. ฮอยอัน (Hai An)
6. เว้ (Hue)
7. ซาปา (Sapa) ปี 2017
8. เว้ ฮอยดัน ดานัง (Hue, Hoi An, Da Nang) ปี 2017
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡