พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History หรือ AMNH) เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ทางด้านสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งถ้าใครที่เป็นแฟนหนังของ Night at the Museum ยิ่งต้องมา เพราะฉากต่างๆ และสิ่งมีชีวิตที่เราที่เห็นว่าอยู่ดีๆ ก็มีชีวิตขึ้นมาตอนกลางคืนนั้น เค้าได้แรงบันดาลใจมาจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมถึงในหลายๆ ฉากที่เราเห็นในหนังนั้นเค้าก็มาถ่ายทำที่นี่อีกด้วย โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก ซึ่งก๊อตต้องบอกก่อนเลยว่า นิวยอร์กนั้นเป็นอีกเมืองในอเมริกาที่มีพิพิธภัณฑ์มากมายให้เราได้เข้าชม ใครที่เป็นมิวเซียมเนิร์ดนี่ คือมาถูกเมืองมาก เพราะที่นี่เค้ามีพิพิธภัณฑ์ระดับตัวท็อปในทุกแขนงแบบเวิลด์คลาสอยู่เต็มเมืองเลยแหละ ดังนั้นรีวิวนี้ก๊อตเลยจะพาทุกคนไปส่องสัตว์ ดูสิ่งมีชีวิตต่างๆ ท่ามกลางธรรมชาติในหลากหลายรูปแบบชนิดที่ว่าดูจบแล้วต้องมีคนอยากมาตามรอยกันบ้างแหละ
รู้จักพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History)
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History หรือ AMNH) ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ.1869 โดย Albert S. Bickmore ที่ได้รับความร่วมมือจากเหล่าคนดังและผู้มีอำนาจในสมัยนั้น ทั้งบริษัทให้บริการทางการเงินอย่าง J. P. Morgan, นักกฏหมายแอนดรูว์ ฮาสเวลล์ กรีน (Andrew Haswell Green) รวมไปถึงประธานาธิบดีคนที่ 26 ของสหรัฐอเมริกา ธีโอดอร์ โรสเวลต์ (Theodore Roosevelt) โดยเดิมที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่เซ็นทรัลพาร์ค (Central Park) ต่อมาในปีค.ศ. 1876 เริ่มมีคนเข้ามาเยี่ยมชมภายในพิพิธภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นกว่าล้านคนต่อปี ทำให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในปีค.ศ.1877 พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History หรือ AMNH) ได้ขยับขยายและย้ายไปอยู่ที่จัตุรัสแมนฮัตตันจนถึงปัจจุบัน
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History หรือ AMNH) ยังได้ชื่อว่าเป็นสถาบันทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมที่โดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำหน้าที่เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของมนุษย์ โลก ธรรมชาติ และจักรวาลผ่านโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และการศึกษาข้อมูลต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ รวมไปถึงนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียนที่จัดแสดงกันอยู่ภายในตลอดทั้งปีเลย
วิธีการเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History)
รถไฟไต้ดิน Subway : วิธีที่สะดวกที่สุดในการมาที่นี่คือรถไฟใต้ดิน ซึ่งสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) มากที่สุดจะมีอยู่ 2 สาย คือสาย B (ขึ้นได้เฉพาะวันธรรมดา) และ สาย C (ขึ้นได้ทุกวัน) : นั่งมาลงที่สถานี 81st Street Station จากนั้นให้เดินต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 2 ช่วงตึก ใช้เวลาเดินประมาณ 3-5 นาที
ค่าเข้าและการซื้อบัตร พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History)
หากใครแพลนมาเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) เราจะต้องซื้อตั๋วเข้ามาเด้อ ซึ่งราคาตั๋วสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป หากซื้อเองจากเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ ราคาสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ $28 (~960 บาท) ส่วนเด็กอายุ 3-12 ปี อยู่ที่ $16 (~550 บาท) แต่ส่วนตัวก๊อตซื้อมาจาก KLOOK ซึ่งนี่แนะนำมาก เพราะมันซื้อง่าย มาเป็น e-Ticket ใช้แสกนหน้าทางเข้าได้เลย อีกทั้งในบางช่วงที่เค้ามีโปรโมชั่นเราอาจจะได้ตั๋วที่ราคาถูกลง แถมยังไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าคิวซื้อหน้างานอีกด้วย
> ซื้อบัตร American Museum of Natural History [ดูราคาและซื้อผ่าน KKday] / [ดูราคาและซื้อผ่าน KKday]
> เช็คส่วนลด Klook ประจำเดือน คลิก / เช็คส่วนลด KKday ประจำเดือน คลิก
ไปเที่ยว American Museum of Natural History ด้วยกันเร้ว
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) ภายในเค้ามีคอลเล็คชั่นเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตมากกว่า 33 ล้านชิ้นไม่ว่าจะเป็น โครงกระดูกนก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์น้ำ ไปจนถึงการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ วัตถุโบราณจากประเทศต่างๆ รวมถึงเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ในการล่าสัตว์ และอื่นๆ อีกเพียบ แต่ที่ว้าวมากก็คือ คอลเล็คชั่นต่างๆ ที่เห็นเค้าจัดแสดงนั้น ถือเป็นเพียง 3% จากคอลเล็คชั่นทั้งหมดเท่านั้น บอกเลยว่าถ้ามาที่นี่แล้วกะจะมาเดินดูคอลเล็คชั่นของต่างๆ ให้ครบถ้วนนั้น วันเดียวนี่ว่าไม่พอแน่นอน
สำหรับไฮไลท์แรกที่พลาดไม่ได้เลย คือโมเดลวาฬสีน้ำเงิน (Blue Whale) ขนาดยักษ์ ที่ยาวกว่า 28 เมตร น้ำหนักประมาณ 9,500 กิโลกรัม ซึ่งตั้งโชว์อยู่ในโถง Hall of Ocean Life รวมถึง ไททันโนซอรัส (Patagotitan Mayorum) ที่มีขนาดลำตัวยาวกว่า 37 เมตร น้ำหนักประมาณ 70 ตัน จัดว่าเป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยขุดค้นพบกันเลย ทั้งหมดที่ว่านี้ก็มีให้ได้มาดูกันอย่างใกล้ชิดใน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) เลยจ๊า
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) บริเวณภายในค้าจะแบ่งห้องจัดแสดงออกเป็นหลายโซนมาก เริ่มตั้งแต่บริเวณด้านหน้าประตูขายตั๋วในห้องโถงอนุสรณ์ของธีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodore Roosevelt) ประธานาธิบดีคนที่ 26 ของอเมริกา เราจะเจอกับโครงกระดูกไดโนเสาร์บาโรซอรัส (Barosaurus) ที่ประกอบขึ้นมาจากโครงกระดูกจริง และสูงที่สุดในโลก ซึ่งกำลังอยู่ในท่าทางปกป้องลูกๆ จากจากอัลโลซอรัส (Allosaurus) ไดโนเสาร์นักล่านั่นเอง
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
นอกจากนี้ ที่นี่เค้ายังมีโซนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (Mammal Halls) ที่จัดอยู่ใน Akeley Hall of African Mammals โดยไฮไลท์หลักของห้องนี้ที่ต้องมาดูเลย คือ ฝูงช้างขนาดยักษ์จำนวน 8 ตัว ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ใจกลางห้องจัดแสดง รายล้อมไปด้วยตู้กระจกจำนวน 28 ตู้ ที่ภายในจำลองสัตว์ป่าท่ามกลางภูมิประเทศอันหลากหลายบนโลกเราเอาไว้ ทั้ง ช้างแอฟริกา สิงโตแอฟริกัน กอริลลา นกกระจอกเทศ แรดดำ และสัตว์อื่นๆ ที่เค้าจำลองขึ้นมาแบบเหมือนจริงมาก เหมือนยันเส้นขน ดีเทลคือละเอียดยิบยับสุดๆ โดย สำหรับฉากหลังที่ใช้จัดแสดงอยู่ในตู้กระจกนั้น เป็นฉากที่สร้างขึ้นใหม่อิงมาจากการภาพร่าง และภาพถ่ายสังเกตการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ทำให้ฉากหลังมันดูใกล้เคียงกับสถานที่จริงเอามากๆ อันนี้บอกเลยว่าโคตรดี สัตว์ที่เราเห็นในตู้โชว์นั้นคือเหมือนจริงสุด
แต่สำหรับใครที่ชอบดูสัตว์ดึกดำบรรพ์ ฟอสซิล และโครงกระดูกไดโนเสาร์ให้เดินมาที่ ห้องโถงฟอสซิล (Fossil Halls) ซึ่งที่นี่เค้าจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งนะ คือฝั่ง David H. Koch และฝั่ง Lila Acheson Wallace ที่จัดแสดงตั้งแต่สัตว์ดึกดำบรรพ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สูญพันธ์ุไปแล้ว จนถึงโครงกระดูกไดโนเสาร์ขนาดจริง
ภายในจะมีโซนที่ชื่อ Paul and Irma Milstein Hall ที่จัดแสดงช้างแมมมอธ (Mammoths) มาสโทดอน (Mastodon) อูฐ และสัตว์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ ซึ่งสัตว์เหล่านี้ต่างได้สูญพันธ์ุไปแล้วเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ การล่าโดยมนุษย์ และโรคติดเชื้อ ซึ่งสัตว์ทั้งหมดที่จัดแสดงอยู่นห้องโถงนี้เกิดขึ้นหลังจากการสูญพันธ์ของไดโนเสาร์เน้อ บอกเลยว่าโมเดลแต่ละตัวสมจริงมากก
ส่วนใครที่อยากดูพวกสัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำ หรือเหล่าสัตว์เลื้อยคลานที่นี่เค้าก็มีห้องโถงนก สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่เราจะได้เรียนรู้ไปกับเหล่านกสายพันธุ์ต่างๆ จาก 12 แห่งทั่วโลก ซึ่งในนิวยอร์กเองนั้น มีนกมากกว่า 400 สายพันธ์ุอาศัยอยู่เลย
นอกจากสัตว์ต่างๆ แล้ว ที่นี่เค้ายังมีคอลเลคชั่น แนววิทยาศาสตร์ และเหล่าดาวเคราะห์ต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่ใน ห้องโถงวิทยาศาสตร์โลกและดาวเคราะห์ (Earth and Planetary Sciences) ที่ภายในเต็มไปด้วยอุกกาบาต แร่ธาตุ และอัญมณีหายาก ซึ่งมีข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์ระบุเอาไว้ด้วยว่า หิน แร่ธาตุเหล่านี้ เป็นเหมือนเบาะแสเกี่ยวกับต้นกำเนิดของระบบสุริยะของเราเลยใครที่อยากค้นหาคำตอบว่าโลกเราเกิดขึ้นมายังไง แนะนำมาดูกันได้น้า
และจากที่ก๊อตเล่ามาทั้งหมดนั้นเป็นแค่บางส่วนและบางโซนจากคอลเล็คชั่นทั้งหมดที่เค้ามีในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) เท่านั้นน้า อย่างที่ก๊อตบอกไป วันเดียวเดินดูกันไม่หมดแน่ๆ มันยิ่งใหญ่ชะมัดเลย สำหรับใครที่ชอบแนวนี้มากๆ แล้วจะมาตามรอยล่ะก็ ก๊อตแนะนำให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆ แล้วมาสิงอยู่ในนี้นานๆ ได้เลย สำหรับก๊อตแล้วชอบที่นี่มาก อย่างตู้กระจกที่เค้าจำลองสัตว์ต่างๆ ก๊อตประทับใจสุดๆ ยิ่งพวกฉากหลังที่สถานที่มันดูเหมือนของจริงมากๆ เวลาดูแล้วรู้สึกเหมือนกำลังดูภาพโปสการ์ดเลย เหมือนก๊อตได้เห็นสัตว์เหล่านี้เค้ามีชีวิตจริงๆ
และนี่ก็คือการเที่ยวในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) ของก๊อตทั้งหมดที่พยายามไล่เก็บมาให้เยอะที่สุดเท่าที่ไหว 55555 เพราะของจริงเยอะม๊ากก นี่ยกให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ใครใคร่รักในการดูสัตว์ต่างๆ อยากให้ลองมาสักครั้ง บอกเลยว่า ไม่เสียดายค่าเข้าอย่างแน่นอน