เมืองนากาโน่ (Nagano) ใครใคร่ชอบเที่ยวช่วงฤดูหนาวไปกับเมืองที่เต็มไปด้วยหิมะท่ามกลางผืนป่าและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ต้องมาเที่ยวที่นี่กันสักครั้ง ซึ่งเมืองนากาโน่ (Nagano) นั้นได้รับเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่น่าอยู่ที่สุดของญี่ปุ่นเลย แบบที่ว่าจังหวัดนากาโน่เนี่ยป๊อบมากทั้งในชาวญี่ปุ่น และชาวต่างชาติที่เค้าต้องการย้ายถิ่นฐานมาอยู่กันให้แซ่ด ยิ่งใครที่ยังไม่เคยมีโมเม้นต์น่ารักๆ กับหิมะมาก่อน ก๊อตแนะนำว่าลองมาเที่ยวเมืองนี้ดู เพราะช่วงหน้าหนาวของเค้านั้น ทั่วทั้งเมืองนั้นต่างขาวโพลนไปด้วยหิมะราวกับเราเที่ยวอยู่ในทุ่งมาชเมลโล่ที่หนุบหนับหัวใจ มองไปทางไหนก็อยากจะกระโจนเข้าใส่ไปหมด
สำหรับรีวิว เมืองนากาโน่ (Nagano) นี้ มันคือรีวิวเวอร์ชั่นโร้ดทริปเที่ยวญี่ปุ่นหน้าหนาวของก๊อต ที่ต่อเนื่องมาจากรีวิวคารุอิซาวะ (Karuizawa) เผื่อใครยังไม่ได้อ่านให้รีบไปหาอ่านด่วนเลย ซึ่งการขับรถมาเที่ยวที่นากาโน่ (Nagano) ของเรานั้น จะเป็นการมาตามเก็บ 2 ที่เที่ยวดังๆ ที่ปังสุดในหน้าหนาวหิมะโพลนแบบนี้ คือ การไปดูลิงหน้าแดงแช่ออนเซ็นสุดชิลท่ามกลางอากาศหนาวๆ กันที่สวนลิงหิมะ Snow Monkey Park (Jigokudani Yaen Koen) ก่อนจะปิดท้ายด้วยการไปเดินชมความโอ่อ่าของอุโมงค์ต้นสนซีดาร์ยักษ์อายุกว่า 800 ปี พร้อมสักการะเทพเจ้าแห่งความแข็งแกร่งกันที่ศาลเจ้าโทงาคุชิ โอคุชะ (Togakushi Shrine Okusha – Main Shrine) ที่เค้าว่ากันว่าเป็นหนึ่งใน 5 ศาลเจ้าที่สำคัญมากที่สุดบนบนภูเขาโทกาคุชิ (Mount Togakushi) อีกด้วยนะ
โดยส่วนตัวก๊อตนั้น นากาโน่ (Nagano) เป็นอีกเมืองที่น่าเที่ยวมาก ยิ่งใครที่ไม่เคยเห็นหิมะมาก่อนในชีวิตด้วยแล้วล่ะก็ นี่เชียร์ขาดใจว่าให้ลองมาเที่ยวเมืองนี้กันดู หิมะคือฟู่ฟ่องปกคลุมไปแทบทุกพื้นที่ในเมืองเลยแหละ ใครที่ขับรถออกมาจากคารุอิซาวะ (Karuizawa) แล้วอยากให้มาเที่ยวต่อที่เมืองนี้กันดู มันดีงามมากเว้ย แต่ยังไม่ต้องเชื่อก๊อตมากก็ได้ อยากให้ลองเลื่อนอ่านรีวิวกันก่อน
รู้จักกับเมืองนากาโน่ (Nagano)
เผื่อใครยังไม่รู้ว่า เมืองนากาโน่ (Nagano) เค้าเป็นเมืองหลวงของจังหวัดที่มีชื่อเดียวกันว่า ‘นากาโน่’ (Nagano) โดยข้อมูลในปีพ.ศ.2549 มีจำนวนประชากรราวๆ 370,000 ซึ่งเมืองเค้าตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดนากาโน่ (Nagano) ภูมิทัศน์ของเมืองห้อมล้อมไปด้วยภูเขามากมาย ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะกับการมาเที่ยวที่เมืองนี้เลยคือฤดูหนาวที่เริ่มกันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ไล่ยาวมาจนถึงต้นเดือนมีนาคม เพราะอากาศภายในเมืองนั้นจะเย็นถึงขั้นติดลบเลยก็มี ส่วนอุณหภูมิในฤดูกาลอื่นๆ ตลอดทั้งปีของเมืองนั้นจะอยู่ราวๆ 12 องศา ซึ่งถือว่าเป็นอากาศที่ดี ทำให้คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติพากันมาเที่ยวพักผ่อนกันที่เมืองนี้อยู่แทบจะตลอดทั้งปี
เมืองนากาโน่ (Nagano) เป็นหนึ่งในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องอุตสาหกรรมการเกษตร โดยมีผักและผลไม้ส่งออกอย่าง แอปเปิ้ลฟูจิ องุ่นเคียวโฮ ลูกพีช ลูกแพร์ ข้าว หน่อไม้ฝรั่ง และเห็ด อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตเห็ดเอโนคิทาเกะรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนี้เมืองเค้ายังเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของความงดงามของดอกกุหลาบ ซึ่งในแต่ละปีจะมีการจัดเทศกาลดอกกุหลาบขึ้นถึง 2 ครั้ง โดยภายในจะมีการจัดแสดงดอกกุหลายหลายพันต้นให้ได้มาดูกันด้วย และด้วยความที่ เมืองนากาโน่ (Nagano) เคยเป็นสถานที่ในการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อปี ค.ศ.1998 จากการที่เมืองเค้าตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งเล่นสกีหลายแห่งนั่นเลย นั่นเลยทำให้เมืองนี้เค้าเติบโตแบบก้าวกระโดด และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับเล่นสกีที่นับเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ช่วยให้เมืองเค้าพัฒนามากขึ้นกว่านอกจากอุตสาหกรรมเกษตรเลยทีเดียว
ดังนั้นกิจกรรมที่ห้ามพลาดเลยเมื่อมาเที่ยวที่ เมืองนากาโน่ (Nagano) ในฤดูหนาว ที่อยากให้มาลองกันคือการมาเล่นสกี แต่ถ้าใครไม่อยากแอดว๊านซ์ขั้นนั้นก็มาเที่ยวชิลๆ ดูน้องลิงแก้มแดงแช่ออนเซ็นที่มีที่นี่ที่เดียวในโลกแบบก๊อตได้นะ ส่วนเรื่องธรรมชาติและความงดงามอื่นๆ ภายในเมืองเค้านั้นนี่ไม่ขอเถียงเลย เพราะสวยจิ๊งง สวยจับใจ ซึ่งนากาโน่เองเค้าก็มีที่เที่ยวธรรมชาติอีกเยอะมากๆ ที่นอกเหนือจากรีวิวนี้ ใครที่มีโอกาสมาเที่ยวที่นี่ก็อยากให้ลองสำรวจธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของจังหวัดนี้กันดูเน้อ
แพลนโร้ดทริปเที่ยวญี่ปุ่น
จังหวัดนากาโน่ (Nagano) – ชิซุโอะกะ (Shizuoka)
บอกกันก่อนว่า ทริปนี้เราเที่ยวกันแบบโร้ดทริป เช่ารถขับเที่ยวกันเอง โดยเราเริ่มต้นเช่ารถจากคารุอิซาวะ (Karuizawa) ขี้นไปนากาโน่ (Nagano) ขับไหลลงมายังเมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) ชิซึโอะกะ (Shizuoka) และคาบสมุทรอิสุ (Izu Peninsular) ที่มีไฮไลท์เด็ดอย่างการมาดูดอกซากุระสายพันธุ์คาวาซึ (Kawazu) ที่บานเร็วที่สุดในญี่ปุ่นกันตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีด้วย ใครอยากตามรอยเที่ยว สามารถตามแพลนเที่ยวโรดทริปด้านล่างได้เลย ก๊อตทำตารางมาให้แล้ว จะตามแพลนนี้ทั้งหมดก็ได้ หรือจะปรับเปลี่ยนตามความชอบก็ไม่ว่ากัน ฮ่าา
วัน | แพลนเที่ยว | เมืองที่นอน |
1 | เมืองคารุอิซาวะ (Karuizawa) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองนากาโน่ (Nagano) |
2 | เมืองนากาโน่ (Nagano) – สวนลิงหิมะ Snow Monkey Park (Jigokudani Yaen Koen) – ศาลเจ้าโทงาคุชิ โอคุชะ (Togakushi Shrine Okusha – Main Shrine) | เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) |
3 | เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) |
4 | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองฟูจิโนมิยะ (Fujinomiya) |
5 | เมืองชิซุโอะกะ (Shizuoka) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | อิสุตะวันตก (West Izu) |
6 | เมืองอิสุตะวันตก (West Izu) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองชิโมดะ (Shimoda) |
7 | เมืองคาวาซึ (Kawazu) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองอิโตะ (Ito) |
8 | เมืองอิโตะ (Ito) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | เมืองอาตามิ (Atami) |
9 | เมืองอาตามิ (Atami) อ่านรีวิวเต็ม คลิก | – |
ส่วนลด OTA | ส่วนลด Klook ส่วนลด Agoda ส่วนลด Booking ส่วนลด Expedia ส่วนลด Hotels |
วิธีมาเที่ยวนากาโน่ (Nagano) ด้วยรถสาธารณะ
สำหรับคนที่ไม่ได้ขับรถเที่ยวเองแบบก๊อต วิธีเดินทางมาเที่ยวที่นากาโน่ (Nagano) เราสามารถเดินทางได้หลายวิธีเลย ซึ่งก๊อตจะยึดการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่โตเกียว (Tokyo) เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยว หรือคนไทยที่บินมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นที่มาเที่ยวโซนนี้ มักจะบินมาลงที่โตเกียว (Tokyo) จากนั้นค่อยเริ่มออกเที่ยวตามเมืองต่างๆ สำหรับการเดินทางมาที่นากาโน่ (Nagano) นั้น ก็สะดวกมากๆ เพราะเค้ามีขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม โดยก๊อตได้รวมเอาวิธีการเดินทางทั้งหมดมาไว้ให้ตามด้านล่างนี้ ใครชอบแบบไหน ถนัดทางใด จิ้มตามนี้ได้เล้ยย
วิธีการเดินทางจากโตเกียว (Tokyo) <-> นากาโน่ (Nagano)
- รถไฟ (⭐️⭐️ แนะนำ) : การเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่ก๊อตแนะนำมากที่สุดสำหรับไปเที่ยวนากาโน่ (Nagano) แล้ว เนื่องจากใช้เวลาเดินทางไม่นาน เพราะนากาโน่ (Nagano) มีรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็น (Shinkansen) ที่สามารถนั่งตรงมาได้เลยจากโตเกียว ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1.20-1.40 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับราคาตั๋วเที่ยวเดียวแบบไม่มีพาสจะอยู่ที่ 8,000 เยน (~2,000 บาท) ใครมีพาสสามารถใช้ Japan Rail Pass [ซื้อผ่าน Klook] และ JR East Nagano Niigata Area Pass [ซื้อผ่าน Klook] เพื่อขึ้นชินคันเซนได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มเติม
- รถบัส : สำหรับคนสายประหยัดและสายอยากนั่งยาวๆ ต่อเดียวถึง การเดินทางด้วยรถบัสเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีมากสำหรับไปเที่ยวนากาโน่ (Nagano) แต่อยากให้รู้ไว้นิดนึงว่า รถบัสขาออกน่ะตรงเวลาเป๊ะ แต่เวลาถึงจุดหมายปลายทางอาจจะเลทกว่าตารางเวลาที่เค้าแจ้งไว้จากสาเหตุจราจรที่ไม่แน่นอนเนอะ โดยใครที่ไม่รู้จะจองรถบัสจากที่ไหน ก๊อตแนะนำให้เข้าไปเช็คที่จากเว็บ Willer Express ได้เลย เค้าจะมีรถบัสให้บริการหลายเที่ยวต่อวันมาก ราคาเริ่มต้นต่อเที่ยวอยู่ที่ 2,300 เยน (~575 บาท) โดยรอบเช้าสุดที่ก๊อตไปดูมามีตั้งแต่ 6.45 น. สามารถมาขึ้นได้ที่สถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) และไปลงที่สถานีนากาโน่ (Nagano Station) ได้เลย
- เช่ารถขับ (⭐️⭐️แนะนำ) : ใครที่เน้นสะดวก ไม่อยากเสียเวลารอขึ้นรถสาธาณะ วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางเลยคือการเช่ารถขับที่เราสามารถเช่ารถจากเมืองไหนในญี่ปุ่นก็ได้แล้วแต่เราจะสะดวก โดยข้อดีของการเช่ารถคือเราสามารถขับเที่ยวไปไหนก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องมาเสียเวลารถสาธารณะ และไม่ต้องเดินเยอะอีกด้วย แต่ทั้งนี้ การเช่ารถก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายของทริปเราที่จะสูงขึ้นมากแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่ารถต่อวันเอย (เฉลี่ย 2,000 บาท/วัน) ค่าน้ำมัน และค่าทางด่วนที่แพงม๊ากกก แต่ถ้าใครชอบเที่ยวแบบโร้ดทริปแต่จ่ายได้ บอกเลยว่าเช่ารถเที่ยวนั้นคือสนุกที่สุดแล้ววว
เริ่มต้นเที่ยวที่นากาโน่ (Nagano) กั้นน
สวนลิงหิมะ Snow Monkey Park (Jigokudani Yaen Koen)
พาไปเที่ยวบ่อออนเซ็นของคนกันมาเยอะแล้ว มาถึงคิวของบ่อออนเซ็นของเจ้าลิงเจี๊ยกๆ กันบ้าง อ่านไม่ผิดหรอกจ๊า ใครที่เคยเห็นรูปของน้องลิงหน้าแดงๆ ขนสีน้ำตาลฟูฟ่องกำลังนั่งแช่อยู่ในบ่อออนเซ็นด้วยท่วงท่าฟินๆ สบายๆ ท่ามกลางเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะมาแล้วล่tก็ จะบอกว่าน้องๆ ที่เห็นเค้าอยู่ที่เมืองนากาโน่ (Nagano) นี่เอง ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นออนเซ็นที่เดียวในโลกที่ให้ลิงมาลงแช่เล่นแบบนี้เลยนะ
สำหรับคนที่ขับรถมาเที่ยวกันเองแบบก๊อตนั้น ให้นำรถมาจอดตรงบริเวณก่อนถึงทางขึ้นสวนลิงได้เลย โดยเค้าจะจัดที่จอดรถให้นักท่องเที่ยวจอดได้ฟรี จากประสบการณ์ตรงที่ก๊อตไปมาด้วยความที่สวนลิงหิมะแห่งนี้เป็นไฮไลท์หลักของเมืองนากาโน่ (Nagano) นักท่องเที่ยวคือเยอะมาก และหาที่จอดได้ยากมากเช่นกัน ดังนั้นวางแผนกันดีๆ ถ้าเรายิ่งมาเช้าได้มากเท่าไหร่คือยิ่งดีเลย
พอจอดรถเรียบร้อยแล้ว เราจะยังไม่ถึงตัวออนเซนน้องลิงนะ แต่เราต้องเดินเท้าต่อเข้ามาด้านในสวนผ่านเส้นทางเล็กๆ เลียบขึ้นไปยังเขาด้านบน ระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร สามารถเดินได้แบบชิลๆ สบายๆ เลยแหละ แต่ที่อยากแนะนำคือเราต้องระวังเรื่องพื้นลื่นด้วยนะ เพราะเราไปกันช่วงหน้าหนาวและพื้นบางจุดมันแข็งและเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว แถมสองข้างทางยังปกคุลมไปด้วยหิมะขาวๆ รายล้อมไปด้วยป่าสนสูงใหญ่ ดังนั้น เราควรที่จะต้องเลือกรองเท้าดีๆ สำหรับเดินบนหิมะหรือน้ำแข็งด้วย นอกจากนี้ควรเตรียมเสื้อกันหนาวมาให้แน่นหนาเพราะอากาศตรงนั้นโคตรหนาว ยิ่งใครมาช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม ยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะเป็นช่วงที่หนาวจัดๆ อุณหภูมิอาจติดลบได้เลยแหละ
เดินมาไม่นานทิวทัศน์ของต้นสนถูกแทนที่ด้วย หมู่บ้านจิโกคุดานิ วัลเลย์ (Jigokudani Valley) หมู่บ้านออนเซ็นเล็กๆ ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์กลายๆ ว่าเราเดินทางเข้าใกล้กับสวนลิงหิมะเข้าไปทุกที โดยหมู่บ้านของเค้าจะตั้งเรียงรายไปตามแนวหุบเขาและมีแม่น้ำไหลตัดผ่าน ล้อมรอบไปด้วยป่าสนและหิมะที่ให้ความรู้สึกเหมือนหมู่บ้านถูกธรรมชาติโอบกอดเอาไว้เลย ซึ่งระหว่างทางเดินจากหมู่บ้านไปยังสวนเราจะเริ่มเห็นน้องลิงนั่งอยู่ตามสองข้างทาง เอ้อ มันใกล้แล้วที่เราจะได้เห็นฝูงน้อง 5555
หลังจากเราเดินดื่มด่ำไปกับบรรยากาศสองข้างทางพร้อมกับมือที่เย็นจนซีดหมดแล้ว 5555 ในที่สุดเราก็มาถึง สวนลิงหิมะ (Snow Monkey Park / Jigokudani Yaen Koen) กันสักที โดยสวนแห่งนี้เปิดให้เข้ามาตั้งแต่ปีค.ศ. 1964 พื้นที่ของสวนเป็นส่วนหนึ่งของของอุทยานแห่งชาติโจชินเอ็ตสึ โคเง็น (Joshinetsu Kogen) ตั้งอยู่ในหุบเขาจิโกคุดานิ (Jigokudani) ที่มีความหมายว่า ‘หุบเขานรก’ จากการที่บริเวณของหุบเขาที่นี่ยังคงมีไอน้ำและน้ำพุร้อนที่ออกมาจากรอยแยกเล็กๆ ตามพื้นดินอยู่เสมอ
บรรยากาศของจริงที่ก๊อตเห็นคือ บ่อออนเซ็นน้องไม่ได้มีขนาดไม่ใหญ่ โดยตัวบ่อตั้งอยู่ริมหุบเขาที่มีแม่น้ำเล็กๆ ไหลผ่านและทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน มีควันสีขาวจากน้ำพุร้อนลอยฟุ้ง โดยในบ่อก็มีเจ้าลิงหน้าแดงๆ หลายสิบตัว นั่งแช่ออนเซ็นกันเป็นกลุ่มก้อน อยู่ในท่ากอดกันบ้างหรือบางตัวก็นั่งอยู่ตัวเดียวแบบฟินๆ
โดยลิงหน้าแดงที่เราเห็นกันอยู่เนี่ย น้องคือ ‘ลิงกังญี่ปุ่น (Japanese Macaques)’ เป็นหนึ่งในลิงพื้นเมืองของญี่ปุ่นที่โดดเด่นด้วยใบหน้าแดงจ๋าเหมือนกินมะเขือเทศมาแล้วทั้งสวน โดยน้องลิงที่อยู่บนนี้กว่า 70% เป็นตัวเมียด้วยนะ จากที่เรายืนมองน้องแช่ออนเซ็นอยู่เนี่ย ข้อควรระวังเลยคืออย่าเข้าไปใกล้ลิงมาก ห้ามให้อาหาร หรือพยายามแตะตัวลิง และที่สำคัญที่นี่ก็เพิ่งรู้มาเช่นกัน เค้าไม่แนะนำให้เราไปจ้องตาลิงด้วยนะ เพราะลิงมันอาจเข้าใจว่าเรากำลังหาเรื่องแล้วเข้ามาทำร้ายเราได้ เอ้อ อย่าเผลอไปสบตาเค้านานเชียว
สำหรับคนจะมาเที่ยว เค้ามีค่าเข้าชมด้วย ผู้ใหญ่ราคา 800 เยน (200 บาท) เด็กอายุ 6-17 ปี ราคา 400 เยน (100 บาท) ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เข้าชมฟรี โดย สวนลิงหิมะ Snow Monkey Park (Jigokudani Yaen Koen) จะเปิดให้เค้าตั้งแต่ 08.30-17.00 น. และอย่าลืมวางแพลนเที่ยวกันให้ดี เพราะเราต้องเผื่อเวลาเดินเข้า-ออกด้วยเด้อ เพราะอย่างตัวก๊อตเองรวมเวลาตั้งแต่จอดรถ เดินเข้าไปข้างใน ดูลิง จนถึงเดินกลับลงมาใช้เวลารวมๆ คือครึ่งวันอยู่นะ เพราะฉะนั้นก็จัดแพลนเวลามาเที่ยวที่นี่กันให้ดีด้วยเน้ออ
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ศาลเจ้าโทงาคุชิ โอคุชะ (Togakushi Shrine Okusha – Main Shrine)
ออกจากสวนลิงหิมะเราก็ขับรถย้อนกลับมาอีกฝั่งที่ ศาลเจ้าโทงาคุชิ โอคุชะ (Togakushi Shrine Okusha – Main Shrine) ตรงส่วนของ Main Shrine ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่สุดท้ายที่เรามาเที่ยวกันในเมืองนากาโน่ (Nagano) โดยศาลเจ้าแห่งนี้ถือศาลเจ้าที่สำคัญมากที่สุดในบรรดาทั้งหมด 5 ศาลเจ้าบนเส้นทางภูเขาโทกาคุชิ (Mount Togakushi) ที่ตั้งอยู่ตามบริเวณเชิงเขาห่างกันออกไป โดยเค้าบอกว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งความแข็งแกร่ง ซึ่งคนเค้านิยมมาขอพรในเรื่องของความโชคดี ให้สมหวังทุกความปราถนา รวมไปถึงขอในเรื่องพละกำลังในการเล่นกีฬาอีกด้วย
โดยตำนาน ศาลเจ้าโทงาคุชิ โอคุชะ (Togakushi Shrine Okusha – Main Shrine) ที่บอกว่าเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งความแข็งแกร่งนั้น เค้ามีเรื่องตำนานเรื่องเล่าว่า ในอดีตมีเทพอามาเทราสึ (Amaterasu) เทพีแห่งดวงอาทิตย์ได้พาตัวเองเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำและปิดประตูหินทับเอาไว้อย่างแน่นหนา (ตรงบริเวณที่ตั้งของศาลเจ้าในปัจจุบัน) เนื่องจากเสียใจและโกรธที่น้องชายของเธอ (เทพซูซาโนโอะ) นั้นทำตัวไม่ดี ด้วยความที่เธอเป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์ เมื่อเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ โลกทั้งใบก็เข้าสู่ความมืดมิด ทั้งมนุษย์เองก็เดือดร้อน เหล่าพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ล้มตาย เหล่าทวยเทพองค์อื่นๆ ต่างก็พากันหารือและทำทุกวิถีทางเพื่อให้เทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์ออกมาจากถ้ำ บ้างก็ว่าเทพต่างๆ ได้มาแสดงระบำ ร้องรำทำเพลงจนทำให้เทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์แอบออกมาดู ระหว่างนั้นเทพแห่งความแข็งแกร่งก็ได้ขว้างประตูหินดังกล่าวทิ้งไป ทำให้ทั้งโลกกลับมาสดใสอีกครั้ง
สำหรับ ศาลเจ้าโทงาคุชิ โอคุชะ (Togakushi Shrine Okusha – Main Shrine) เป็นศาลเจ้าที่อยู่ด้านในสุดของเส้นทางจากทั้ง 5 ศาลเจ้า ซึ่งการจะเข้าไปด้านในนั้นเราจะต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร เส้นทางจะเริ่มจากเสาโทริอิเข้าไปจนถึง ‘ประตูซุยชินมง (The Zuishinmon Gate)’ ประตูสีแดงมุงหลังคา และผ่านเหล่าต้นสนซีดาร์ยักษ์อายุกว่า 800 ปี ตั้งเรียงรายเข้าไปราวกับอุโมงค์ต้นไม้ยักษ์ ซึ่งไฮไลท์ของการมาเที่ยวในฤดูหนาวก็คือ ความขาวโพลนที่ปกคลุมทุกสิ่งตรงหน้าทั้งต้นไม้และธรรมชาติรอบกาย รวมถึงอุโมงค์ต้นสนยักษ์ที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับตัวคนที่เดินอยู่ตรงทางระหว่างกลางแล้วคือเล็กจิ๊ดเดียว ซึ่งที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวไฮไลท์ของนาโน่ที่ทุกอยากมาเห็นความงามท่ามกลางหิมะของที่นี่กันแหละ
ตัวก๊อตเองไม่ได้เดินเข้าไปจนถึงตัวศาลเจ้าหลักด้านใน เพราะจริงๆ แล้ว จุดที่ก๊อตอยากมาถ่ายรูปและได้เห็นกับตาตัวเองคือตรง ‘ประตูซุยชินมง (The Zuishinmon Gate)’ และ อุโมงค์ต้นสนซีดาร์ พอจากตรงนี้ก็คือคอมพลีทสำหรับก๊อตแล้ว จากตรงนั้น ตอนแรกคิดว่าจะเดินต่อไปจนถึงศาลเจ้าแหละ แต่เนื่องจากตอนนั้นมันใกล้ค่ำเต็มที แถมหิมะก็เริ่มตกหนักมากขึ้น นี่ก็เลยตัดสินใจหยุดแล้วเดินย้อนกลับออกมา ซึ่งหากเราเดินจากประตูซุยชินมงขึ้นไปจนสุดปลายทาง เราจะเห็นศาลเจ้าหลักตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาสูงชันของภูเขาโทงาคุชิ โดยจะมีแบรคกราวน์เป็นยอดเขาสูงตระหง่านอยู่ด้วยนั่นเอง จะว่าไปแล้วก็เสียดายนะเนี่ย ที่ไม่ได้เดินต่อ 55555555
ถ้าหากใครเป็นสายบุญเข้าศาลเจ้า จะตามรอยต่อบนเส้นทางภูเขาโทกาคุชิ (Mount Togakushi) กับอีก 4 ศาลเจ้าก็ได้นะเอ้อก๊อตเอาชื่อมาฝากไว้ด้วย เริ่มจากศาลเจ้าโฮโคชะ (Hokosha Shrine), ศาลเจ้าฮิโนมิโคชะ (Hinomikosha Shrine), ศาลเจ้าชูชะ (Chusha Shrine) และศาลเจ้าคุซุริวชะ (Kuzuryusha Shrine) ใครที่มีเวลาเหลือๆ ก็ลองเดินสำรวจกันได้ ซึ่งถ้าเราอยากจะไปเก็บให้ครบทั้ง 5 ศาลเจ้านั้น อาจจะต้องใช้เวลาเดินสำรวจขั้นต่ำๆ ราว 2-3 ชั่วโมงเลย ทั้งนี้ ใครมาช่วงฤดูหนาวแนะนำให้มาเดินกันตั้งแต่หัววันก็จะดีมาก เพราะที่นี่เป็นอีกสถานที่เที่ยวหนึ่งที่ใช้เวลาเดินไป-กลับ ร่วมชั่วโมงได้ แถมเรายังต้องเดินท่ามกลางดงหิมะอีกด้วย ซึ่งบางจุดมันไม่ได้ราบเรียบเดินคล่องตัวขนาดนั้น ดังนั้น การแต่งตัวเพื่อป้องกันความหนาว รวมถึงรองเท้าสำหรับเดินกลางหิมะนั้นสำคัญ ซึ่งก๊อตอยากให้ทุกคนเตรียมตัวไว้ด้วยนะเอ้อ
หลังจากเราเดินย้อนกลับออกมาถึงลานจอดรถ ก๊อตกับเพื่อนๆ ก็ขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) กันต่อทันที ถึงตรงนี้แล้วเป็นอันจบ 1 วันในการเที่ยวที่นากาโน่ (Nagano) เอาจริงๆ ก๊อตว่าตัวเองมีเวลาอยู่เมืองนี้น้อยไป จริงๆ เมืองเค้ามีสถานที่เที่ยวอื่นๆ อยู่อีกมากมายเลยนะ เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับมาเที่ยวช่วงฤดูหนาวมาก อากาศหนาวสะใจ หิมะตกกันไม่เว้นวัน แถมธรรมชาติของเมืองเค้าก็อุดมสมบูรณ์สุดๆ ใครที่ยังไม่เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเจอหิมะ อยากให้ลองปักหมุดมาเที่ยวที่นี่ดู ยิ่งช่วงเดือนพฤศจิกายน ไล่ยาวมาถึงต้นเดือนมีนาคม เป็นช่วงแนะนำให้มาเที่ยวเลย เพราะทุกคนจะได้เห็นหิมะกันแบบฉ่ำๆ และได้ถ่ายรูปกันจนเมมเต็มเลยเชียวล่ะ
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2023
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡