นิกโก้ (Nikko) เมืองเล็กๆ ในจังหวัดโทชิงิ (Tochigi) ของญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของธรรมชาติที่กว้างใหญ่และความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังด้วยศาลเจ้าและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสมบัติของชาติของญี่ปุ่นอีกด้วย หรือจะเป็นสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสามสะพานที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นก็ตั้งอยู่ที่เมืองนี้ด้วยเช่นกัน
โดยทริปนี้ก๊อตจะไปเที่ยวนิกโก้ (Nikko) กัน 2 วัน 1 คืน แบบสโลว์ไลฟ์ เน้นเข้าวัดดื่มด่ำไปกับกลิ่นอาย และมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมโบราณ ที่คงอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดีมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ก๊อตยังพาทุกคนไปเที่ยวธรรมชาติ โดยพาเข้าไปยังอุทยานแห่งชาตินิกโก้ (Nikko National Park) ดูเหล่าน้ำตกมากมาย ที่ต่างได้ชื่อว่าสวยสับระดับท็อปของประเทศญี่ปุ่นกันเลยเชียวล่ะ ทริปนี้จะเป็นอย่างไงบ้าง ตามก๊อตไปอ่านรีวิวเต็มได้เล้ย
มาทำความรู้จักกับนิกโก้ (Nikko) กันก่อน
เคยได้ยินสุภาษิตของญี่ปุ่นกันไหม ที่เค้าบอกว่า อย่าพูดว่า ‘Kekkō’ (งดงาม) จนกว่าจะได้เห็นนิกโก้ (Nikko) เมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์กว่า 1,200 ปี และเติบโตมาจากรากฐานของศาสนาที่งดงาม จนทำให้ผู้คนในเมืองเค้าเลื่อมใส และอนุรักษ์เกี่ยวกับทางศาสนาเอาไว้เป็นอย่างดีเสมอมา
อย่างที่ก๊อตจะพาไปดูเลยคือสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) สะพานไม้โบราณสีแดงที่ถูกกำหนดให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1999 อีกด้วย นอกจากนี้ในเมืองยังมีศาลเจ้าดังอย่างศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) ศาลเจ้าที่นอกจากจะได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติของชาติแล้ว ยังโด่งดังด้วยประตูโยเมมง (Yomeimon) ประตูที่ได้รับการตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราและสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นอีกด้วย
ยังไม่หมดเท่านั้น นิกโก้ (Nikko) ยังมีน้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นตั้งอยู่ด้วย นั่นคือน้ำตกเคงอน (Kegon Falls) น้ำตกที่มีความสูง 97 เมตร เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางธรรมชาติที่เปรียบดั่งเป็นตัวแทนของเมือง อีกทั้งยังมีน้ำตกยูดากิ (Yudaki Falls) น้ำตกที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยการไหลของน้ำที่แตกเป็นแฉกแยกไปตามรอยของภูเขา ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ถือเป็นน้ำตกยอดฮิตที่ผู้คนเค้าต้องมาเยือนสักครั้ง
และที่ฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวเลย คือ การมาดูวิวบนทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) หนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุด ที่ผู้คนเค้านิยมขึ้นมาดูวิวทั่วทั้งเมืองของนิกโก้ (Nikko) แบบสุดลูกหูลูกตากันเยอะมาก แถมยังได้เห็นภูเขานันไต (Mount Nantai) หนึ่งใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ครบเครื่องเรื่องเที่ยวอีกเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นเลย ใครที่ชื่นชอบการเที่ยวเน้นดูวิถีชีวิตผู้คน สัมผัสไปกับกลิ่นอายความเก่าแก่ เที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ไม่เร่งรีบ นิกโก้ (Nikko) เป็นอีกเมืองที่ก๊อตแนะนำมาก ว่าควรมาสักครั้งในชีวิต
แพลนเที่ยวนิกโก (Nikko)
สำหรับแพลนเที่ยวนิกโก้ (Nikko) จริงๆ เราสามารถมาเที่ยวแบบ One Day Trip ได้นะ แต่ถ้าจะให้ดีก๊อตแนะนำว่าให้มานอนค้างที่นี่สักคืน เพราะเราจะได้ตามเก็บที่เที่ยวได้ครบทั้งวัดและธรรมชาติในอุทยานแห่งชาตินิกโก้นั่นเองน โดยวันแรกนั้นก๊อตขับรถยิงตรงยาวมาจากโตเกียว เหลือเวลาครึ่งวันก็เก็บที่เที่ยวทั้งวัดและศาลเจ้าในเมือง จากนั้นวันที่สอง ก็ออกไปตามเก็บที่เที่ยวธรรมชาติรอบนอกในอุทยานนั่นเอง ใครอยากตามรอยแบบก๊อต เที่ยวตามนี้ได้เลยน้า
วิธีการเดินทางมาเที่ยวนิกโก้ (Nikko)
วิธีเดินทางมาเที่ยวนิกโก้ (Nikko) เราสามารถเดินทางได้หลายวิธีเลย ซึ่งก๊อตจะยึดการเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่โตเกียว (Tokyo) เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยว หรือคนไทยที่บินมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น มักจะบินมาลงที่โตเกียว (Tokyo) จากนั้นค่อยเริ่มออกเที่ยวตามเมืองต่างๆ สำหรับการเดินทางมาที่นิกโก้ (Nikko) นั้น ก็สะดวกมากๆ เพราะเค้ามีขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม โดยก๊อตได้รวมเอาวิธีการเดินทางทั้งหมดมาไว้ให้ตามด้านล่างนี้เลย ใครชอบแบบไหน ถนัดทางใด จิ้มตามนี้ได้เล้ยย
วิธีการเดินทางจาก โตเกียว (Tokyo) <-> นิกโก้ (Nikko)
- รถไฟ (⭐️ แนะนำ): วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่แนะนำสำหรับไปเที่ยวนิกโก้ด้วยรถสาธารณะ โดยเค้าจะมีอยู่สองบริษัทรถไฟทคือ JR และ Tobu ถ้าจะให้ก๊อตแนะนำคือ อยู่ที่ว่าเราสะดวกขึ้นสถานีไหน เพราะทั้งสองบริษัทออกเดินทางจากโตเกียวในสถานีที่แตกต่างกัน รวมถึงมีถือพาสรถไฟอะไรหรือเปล่านั่นเอง
- Tobu Railway: เดินทางออกจาก สถานีโทบุ-อาซากุสะ (Tobu-Asakusa Station) โดยขบวนรถไฟด่วน Limited Express SPACIA จะใช้เวลา 2 ชั่วโมง ราคา 3,050 เยน (~785 บาท) และอีกตัวเลือกขบวนรถไฟที่ถูกกว่าครึ่งนึง ราคา 1,400 เยน (~360 บาท) แต่ใช้เวลามากกว่า 30-60 นาที โดยปลายจะไปลงที่สถานีโทบุ-นิกโก้ (Tobu-Nikko Station) * วิธีนี้ สามารถใช้ Nikko Pass ไป-กลับจากโตเกียวได้ 1 รอบ (ถ้าขึ้น Limited Express ด้วย Nikko Pass ต้องจ่ายเงินเพิ่ม)
- Japan Railway (JR)
- จากสถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) สามารถขึ้น JR/Tobu Limited Express ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ราคา 4,090 บาท (~1,050 บาท) * วิธีนี้สามารถใช้พาส JR Tokyo Wide Pass, JR East Nagano Niigata Area Pass, JR East Tohoku Area Pass และ JR East South Hokkaido Pass ขึ้นได้ทั้งหมด แต่ JR Pass แบบทั่วประเทศ และ Nikko Pass ไม่สามารถใช้ได้
- จากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) หรือ สถานีอูเอโนะ (Ueno Station) สามารถขึ้นรถไฟชินคันเซนสาย JR Tohoku Shinkansen ไปยังสถานีอุสึโนะมิยะ (Utsunomiya Station) และเปลี่ยนสายไปที่สถานีนิกโก้ (JR Nikko Station) ใช้เวลาประมาณ 100 นาที ราคา 5,000-5,500 เยน (~1,280-1,400 บาท) * วิธีนี้สามารถใช้ JR Pass ได้
- แท็กซี่: นั่งแท็กซี่จาก โตเกียว (Tokyo) โดยสามารถเรียกรถได้จากทุกที่ในเมืองได้เลย การนั่งแท็กซี่มาที่นิกโก้ (Nikko) ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการจราจรในช่วงเวลานั้นๆ แต่ราคาจะสูงมาก อยู่ที่ 40,000-50,000 เยน (~10,300-12,860 บาท)
- รถบัส
- Tobu Bus รถบัสที่ให้บริการรถโดยสารสายตรงจากสถานีอาซากุซะ (Asakusa Station) ในโตเกียวไปยังนิกโก้ (Nikko) โดยรถบัสออกวันละหลายเที่ยว สามารถเช็คเวลาก่อนเดินทางได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.15 ชั่วโมง ค่ารถบัสอยู่ที่ประมาณ 2,000-2,500 เยน (~520-650 บาท) ต่อคน ขึ้นอยู่กับประเภทของรถบัสที่เลือก
- JR Bus Kanto รถบัสที่ให้บริการรถโดยสารสายตรงจากสถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) ในโตเกียว (Tokyo) ไปยัง Nikko โดยรถบัสออกวันละหลายเที่ยวเช่นกัน สามารถเช็คเวลาก่อนเดินทางได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.45 ชั่วโมง ค่ารถบัสอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 เยน (~520-770 บาท) ต่อคน ขึ้นอยู่กับประเภทของรถบัสที่เลือก
- เช่ารถขับ (⭐️⭐️ แนะนำ): ใครที่เน้นสะดวก ไม่อยากเสียเวลารอขึ้นรถสาธาณะ วิธีที่ดีที่สุดในการเดินทางเลยคือการเช่ารถขับ ซึ่งเราสามารถเช่าจากเมืองไหนในญี่ปุ่นก็ได้ เค้าจะเอารถมาส่งเราและสามารถขับเที่ยวได้ตามใจชอบได้เลย
การเดินทางในนิกโก้ (Nikko)
- เช่ารถขับ 🚗: สำหรับตลอดทั้งทริปเที่ยวในนิกโก้ (Nikko) นี้ ก๊อตเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวกัน ซึ่งเราเช่ากันมาจากโตเกียว แล้วขับมาที่นิกโก้ (Nikko) เลย โดยแพลนเที่ยวทั้งหมดในทริปนี้จึงเป็นการขับรถเที่ยวกันเอง ซึ่งข้อดีของการเช่ารถมา คือเราสามารถกำหนดเวลาจะไปสถานที่ต่างๆ ได้ตามชอบ จะกลับออกมาตอนไหนก็ไม่ต้องกลัวรอบรถหมด หรือถ้าไปถึงที่เที่ยวไหนแล้วเราเข้าดูไม่ได้ ก็สามารถเปลี่ยนไปเที่ยวที่อื่นได้ทันที ไม่ทำให้เสียเวลา
- รถเมล์ 🚌: การเที่ยวนิกโก้ด้วยรถเมล์นั้นเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด และสะดวกมากที่สุดในตัวเลือกที่มีในราคาที่ไม่แรง โดยใครที่กำลังแพลนเที่ยวนิกโก้ด้วยรถเมล์ เค้าจะมีบริษัทรถเมล์ที่ชื่อว่า Tobu Bus หลายสายในนิกโก้ โดยจะมีสายหลักที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นคือ สาย World Heritage Sightseeing Bus (W) ที่วนลูปอยู่ใจกลางเมืองนิกโก้ จากสถานีรถไฟ JR Nikko Station และ Tobu-nikko Station ไปยังแถวศาลเจ้า ซึ่งสายนี้เป็นสายรถเมล์ที่มาถี่มากที่สุด ทุกๆ 15 นาที แต่ถ้าเป็นสถานที่เที่ยวที่ตั้งห่างไกลออกไปหน่อย Tobu Bus เองเค้าจะมีหลายสายให้เราขึ้นได้อีก แต่ความถี่เค้าจะไม่ได้เยอะมาก ซึ่งบางสายอาจจะออกทุกๆ 1 ชั่วโมงเลย ดังนั้น ใครจะมาบัสก็ควรวางแผนเวลาให้ดีก่อนเด้อ เพราะเวลาค่อนข้างสตริคมากเลยแหละ
⚡️ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมทั้งหมด รวมถึงพาสเกี่ยวกับรถเมล์ Tobu ก๊อตแนะนำให้ดูที่เว็บทางการเค้าเลย คลิก
แนะนำที่พักและโรงแรมในนิกโก้ (Nikko)
คนที่กำลังหาที่พักใน นิกโก้ (Nikko) อยู่ล่ะก็ ก๊อตจะแนะนำย่านที่พักโดยขอแบ่งแยกออกเป็น 3 ย่าน โดยย่านที่สะดวกที่สุดในการเดินทาง คือ ย่านสถานีรถไฟ Nikko Station / Tobu-Nikko Station และ ย่านศาลเจ้านิกโกโทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) รวมถึงอีกหนึ่งย่านสำหรับคนที่อยากพักสงบๆ แบบที่พักออนเซนที่ตั้งอยู่ไกลออกมาแถวๆ ย่านทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) ซึ่งแต่ละย่านเค้าก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกัน ดังนั้น เลือกตามที่ตัวเองชอบและสะดวกได้เลย เลือกย่านได้แล้ว ก็ลองดูๆ โรงแรมที่ก๊อตแนะนำก็ได้ครับ อันนี้คัดมาให้แบบเริ่ดๆ แล้วว
🏨 ดูที่พักแนะนำในนิกโก้ (Nikko) จาก Tripadvisor / Agoda / Traveloka / Trip.com / Expedia / Booking.com
1. ย่านสถานีรถไฟ JR Nikko Station และ Tobu-Nikko Station
สำหรับคนที่เน้นความสะดวก ไม่ยากลากกระเป๋าเดินทางขึ้นรถเมลล์หรือต่อรถอื่นๆ ให้เมื่อยตุ้ม ย่านรอบๆ สถานีรถไฟ JR Nikko Station และ Tobu-Nikko Station ถือเป็นย่านที่สะดวกที่สุดในนิกโก้ เพราะสองสถานีรถไฟนี้เป็นเส้นทางเราเดินทางเชื่อมต่อกับโตเกียว รวมถึงตัวเราเองยังขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวในจุดต่างๆ ในนิกโก้ได้แบบสะดวกอีก นอกจากนี้ ย่านนี้เองยังมีร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ เยอะด้วยนะ ถ้าใครที่มาเที่ยวนิกโก้แบบเดินทางด้วยรถสาธารณะ ย่านนี้คือดีที่สุดและถือว่าราคาถูกที่สุดในทุกย่านเลย คอนเฟิร์ม!
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
- โรงแรมตัวท็อปของย่าน (4,000+ บาท/คืน): Nikko Station Hotel Classic
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมสบาย (2,000-4,000 บาท/คืน): Nikko Guesthouse Sumica / Nikko Station Hotel II
- โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 2,500 บาท/คืน): Nikko Park Lodge Tobu Station
2. ย่านศาลเจ้านิกโกโทโชกู (Nikko Toshogu Shrine)
สำหรับคนที่ขับรถเที่ยวแบบก๊อต อยากได้ความสงบ ใกล้ที่เที่ยวหลักอย่างศาลเจ้านิกโกโทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) ก๊อตแนะนำให้มาพักย่านนี้แทนเพราะถือว่าเป็นจุดที่สะดวกม๊าก ขับรถไปไหนก็ง่ายมากเลยแหละ แต่ถ้าใครที่เดินทางด้วยรถสาธารณะแล้วอยากเขยิบออกมาหน่อยจะมาพักย่านนี้ก็ได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่เราต้องนั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟ JR Nikko Station และ Tobu-Nikko Station ประมาณ 15 นาที นาจา
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
- โรงแรมตัวท็อปลักชู-บูทีค (10,000+ บาท/คืน): Okunoin Hotel Tokugawa / Fufu Nikko / Nikko Kanaya Hotel
- โรงแรมดี ราคาเอื้อมสบาย (5,000-10,000 บาท / คืน): Akarinoyado Villa Revage / Fairfield by Marriott Tochigi Nikko / Stay Nikko Guesthouse
- โรงแรมและโฮสเทลราคาถูก ดีและคุ้มค่า (ต่ำกว่า 5,000 บาท/คืน): Turtle Inn Nikko annex Hotori-an / Nikko Cottage FU-SHA
3. ย่านทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji)
สำหรับคนขับรถเที่ยว อยากอยู่แบบเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติอย่างภูเขาและเห็นวิวทะเลสาบ นี่แนะนำให้มาพักแถวๆ ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) บอกเลยว่าทะเลสาบที่นี่สวยมากกก แถมยังขับรถไปเที่ยวสถานที่เที่ยวใกล้ๆ อย่าง น้ำตกเคงอน (Kegon Falls) และเหล่าน้ำตกอื่นๆ ได้ง่ายอีก อย่างไรก็ตาม ที่พักย่านนี้เป็นฟีลรีสอร์ท-เรียวกังลักชู ยังไงลองคลิกดูก่อนได้ว่าชอบมั้ย ถ้าชอบคือจัดไป ไปเที่ยวแล้วไปให้สุดเด้อ 55555
ที่พักและโรงแรมแนะนำ
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชู (25,000+ บาท/คืน): The Ritz-Carlton Nikko (The Ritz-Carlton แห่งแรกในโลกที่มีออนเซน มีทั้ง outdoor / indoor และ private onsen)
- โรงแรมตัวท็อป-ลักชูรองลงมา (10,000-25,000 บาท / คืน): Hotel Kojoen / Hatago Nagomi / Chuzenji Kanaya Hotel
มานิกโก้ (Nikko) ควรซื้อ Nikko PASS ไหม?
สำหรับคนที่ไม่ได้ถือพาส JR ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วอยากเที่ยวนิกโก้ (Nikko) แบบสะดวกและประหยัดกว่าเดิม ก๊อตแนะนำให้เราซื้อ Nikko Pass เพื่อใช้เดินทางเที่ยว เพราะมันคลุมตั้งแต่รถไฟของ Tobu ไป-กลับจากสถานีโทบุ-อาซากุสะ (Tobu-Asakusa Station) ในโตเกียว รวมถึงครอบคลุมการใช้ขึ้นรถเมล์ของบริษัท Tobu ได้ทั้งหมดแบบไม่มีจำกัดจำนวนครั้งด้วย ซึ่งถือว่าค่อนข้างดีและโอเคเลย สำหรับ Nikko Pass จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Nikko Pass All Area และ Nikko Pass World Heritage Area
- Nikko Pass All Area (⭐️ แนะนำ): ราคา 4,600 เยน (~1,180 บาท) ใช้ได้ 4 วันติดต่อกัน [ซื้อผ่าน Klook] [ซื้อผ่าน KKday]
- รถไฟ Tobu ไป-กลับจาก สถานีโทบุ-อาซากุสะ (Tobu-Asakusa Station) ในโตเกียว 1 รอบ (* หากขึ้น Limited Express ต้องจ่ายเงินเพิ่ม)
- รถเมล์ทั้งหมดของ Tobu Bus ครอบคลุม โซนมรดกโลกศาลเจ้าและวัดทั้งหมด รวมถึงพื้นที่อื่นอย่างโซนทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji), คินุกาวะออนเซน (Kinukawa Onsen) และ ยูโมโตะ ออนเซน (Yumoto Onsen)
- ล่องเรือในทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji)
- Nikko Pass World Heritage Area: ราคา 2,120 เยน (~545 บาท) ใช้ได้ 2 วันติดต่อกัน [ซื้อผ่าน Klook] [ซื้อผ่าน KKday]
- รถไฟ Tobu ไป-กลับจาก สถานีโทบุ-อาซากุสะ (Tobu-Asakusa Station) ในโตเกียว 1 รอบ (* หากขึ้น Limited Express ต้องจ่ายเงินเพิ่ม)
- รถเมล์ทั้งหมดของ Tobu Bus ครอบคลุม โซนมรดกโลกศาลเจ้าและวัดทั้งหมด
เริ่มเที่ยวนิกโก้ (Nikko) กั้นน
DAY 1: สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge)
ขับรถยิงยาวมาจากโตเกียว ในที่สุดก็มาถึงนิกโกแล้วเว้ย! จุดแรกที่ก๊อตขอมาปักแลนด์มาร์คนิกโก้ (Nikko) ที่คนส่วนใหญ่ต้องนึกถึงเป็นอันดับแรกนี่ต้องยกให้กับ สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) เลย สะพานสีแดงที่พาดผ่านแม่น้ำรายล้อมไปด้วยต้นไม้มากมาย ถือเป็นหนึ่งในที่เที่ยวสุดฮิตของนิกโก้ที่นักท่องเที่ยวนิยมชมชอมมาถ่ายรูปคู่กับเจ้าสะพานนี้เยอะมาก โดยสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) ได้รับขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1999 แถมยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสามสะพานที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ร่วมกับสะพาน คินไตเคียว (Kintaikyo) ที่เมืองอิวะคุนิ (Iwakuni) ในจังหวัดยะมะงุชิ (Yamaguchi) และ สะพานไม้โบราณซารุฮาชิ (Saru-hashi Bridge) ที่เมืองโอสึกิ (Otsuki) ในจังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) อีกด้วย
โดยสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) ถูกสร้างขึ้นในปี 1636 ตามตำนานเล่าว่า บริเวณที่ตั้งของสะพานนั้น แต่เดิมไม่มีสะพาน มีเพียงแม่น้ำที่ไหลผ่านที่นี่เท่านั้น พระสงฆ์โชโดะ หัวหน้านักบวชองค์แรกของนิกโก้มาเจอกับสถานที่แห่งนี้ ท่านเลยได้ขอพรแก่เทพแห่งภูเขาช่วยดลบันดาลให้สามารถข้ามแม่น้ำแห่งนี้ได้ จากนั้นก็มีงูสองตัวปรากฏตัวขึ้น และกลายร่างเป็นสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) ขึ้นมา
โดยสะพานแห่งนี้ถูกสร้างด้วยไม้และสีแดงที่เราเห็นนั้นมาจากยางไม้สีแดงที่เค้าทาเคลือบเอาไว้ โดยตัวสะพานมีความยาว 28 เมตร กว้าง 8 เมตร แต่เดิมเค้าไม่อนุญาตให้ผู้คนเดินขึ้นมาบนตัวสะพานนะ จนมาถึงช่วงปลายปี 1990 ที่เค้าได้ซ่อมบำรุงสะพานมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น ทางเมืองเค้าก็เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเดินเล่นบนสะพานได้
ใครไคร่อยากไปเดินเล่นบนสะพาน เราสามารถเข้าไปเดินได้นะเอ้อ แต่ก๊อตบอกก่อนว่าใครจะขึ้นไปนั้น เค้ามีเก็บค่าขึ้นสะพานด้วย ตัวก๊อตเองไม่ได้ขึ้นไปนะ แต่ก๊อตจะมาตรงสะพานหลักที่ถนนวิ่งผ่าน แล้วถ่ายรูปจากตรงนี้เพื่อให้เห็นวิวของ สะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) ที่อยู่ด้านหลังแทน แกร บอกเลยว่านี่เป็นอีกมุมที่ถ่ายรูปสวยมาก เหมาะกับคนที่ไม่เน้นเดินชมวิวบนสะพาน แต่เน้นถ่ายรูปสวยว่าตัวฉันมาถึงนิกโก้แล้ว วิวสะพานสุดอลังจากตรงนี้คือสวยจริงแบบไม่จก ยิ่งช่วงที่ก๊อตมานั้นเป็นฤดูใบไม้แดง คือยอมใจว่ามันสวยจริงๆ เอ้อ
วัดนิกโก้ะซัง รินโนจิ (Nikkosan Rinnoji Temple)
ถ่ายรูปและส่องสะพานกันเสร็จแล้ว เราสามารถเดินข้ามถนนขึ้นมาอีกฝั่งเพื่อเดินต่อไปยัง วัดนิกโก้ะซัง รินโนจิ (Nikkosan Rinnoji Temple) ได้เลย อย่างที่บอกไป ช่วงเวลาที่ก๊อตไปนั้นเป็นช่วงใบไม้แดงพอดี สองข้างทางระหว่างที่เราเดินขึ้นไปนั้น เต็มไปด้วยใบไม้สีแดงสดที่สวยงามมาก นี่ก็เดินไปแวะถ่ายรูปเล่นไปตลอดทาง ได้รูปมู้ดสวยๆ เพียบเลย
สำหรับ วัดนิกโก้ะซัง รินโนจิ (Nikkosan Rinnoji Temple) นั้น แต่เดิมรู้จักกันในชื่อ วัดชิฮอนริวจิ (Shihonryuji Temple) ถูกสร้างขึ้นในปี 766 โดยพระสงฆ์โชโดะ หัวหน้านักบวชองค์แรกของนิกโก้ ซึ่งทำเลของวัดในช่วงเวลานั้น ถือว่าตั้งอยู่ในที่ห่างไกล อารมณ์แบบโดดเดี่ยวมาก แต่นี่ก็เป็นเหตุผลให้เวลาต่อมา มีเหล่าพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ ที่ต้องการแสวงหาความสันโดษมาขอจำวัดอยู่ด้วย ซึ่งวัดแห่งนี้กลายเป็นฐานสำคัญสำหรับการฝึกนักพรตในหมู่พระนิกายเท็นได ซึ่งช่วงเวลานั้น นิกายเท็นไดนี้ถือเป็นนิกายที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดอีกด้วย
สิ่งที่ห้ามพลาดของวัดนี้ก็คืออาคารหลัก ซันบุตซึโด (Sanbutsudō) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาคารที่มีโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในนิกโก้ ภายในอาคารมีรูปปั้นสูงกว่า 8 เมตร ของพระอมิตาภะปิดทอง, เจ้าแม่กวนอิมพันแขน (Senju Kannon) และเจ้าแม่กวนอิมหัวม้า (Batō Kannon) ซึ่งเทพเจ้าเหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาของภูเขาคามิสามแห่งของนิกโก้ ได้แก่ภูเขานันไต, ภูเขาเนียวโฮ และภูเขาทาโร่ โดยผู้คนที่นี่เค้าก็จะนิยมมาสักการะเพื่อเสริมสิริมงคลกัน ใครที่ต้องการจะเข้ามาในอาคารหลักนี้ เราต้องเสียเงินค่าเข้าด้วยนะ โดยราคาจะอยู่ที่ 400 เยน (~100 บาท)
ด้านหลังอาคารหลัก เค้ายังมี สวนโชโยเอ็น (Shoyoen) สวนญี่ปุ่นขนาดย่อมๆ ที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนที่ฮิตมาก บริเวณสวนจะมีเหล่าต้นเมเปิ้ลรายล้อมสระน้ำ ซึ่งช่วงฤดูใบไม้แดงนั้นใบของต้นเมเปิ้ลจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเลย นอกจากนี้ในสระน้ำยังมีปลาคราฟตัวบิ๊กเบิ้มมากมาย แสดงถึงการถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี น้องๆ น่ารักสุขภาพดีกันมาก นอกจากนี้ บริเวณข้างๆสวน เค้าจะมีร้านรวงขายเครื่องรางตั้งอยู่ ใครเป็นสายมูก็อย่าลืมแวะไปดูกันได้ จะเน้นเครื่องรางที่ช่วยเรื่องอะไรเป็นพิเศษ สามารถถามกับคนขายเค้าได้เลย จะความรัก สุขภาพ หน้าที่การงาน มีหม๊ดด
ยังไม่หมดเว้ยแกร ด้านหลังของอาคารหลักจะเจอกับ ศาลเจ้าคมโยอิน อินาริ (Komyoin Inari Shrine) ศาลเจ้าเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหลืบ โดยศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพอินาริ (Inari) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเกษตรที่มีหมาป่าเป็นสื่อกลางที่ใช้สื่อสารกับเทพนั่นเอง
โดยรวมแล้วจากที่ก๊อตใช้เวลาเดินเล่นอยู่ใน วัดนิกโก้ะซัง รินโนจิ (Nikkosan Rinnoji Temple) สักพักใหญ่เลยแหละ ก๊อตยกให้ที่นนี่เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้ได้มาเรียนรู้ และยังได้ดื่มด่ำไปกับสถาปัตยกรรม และความเป็นมาทางเรื่องศาสนาอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นวัดที่ถ่ายรูปสวย มีสวนญี่ปุ่นให้ได้ชื่นชม แนะนำเลยว่าต้องมาโดยเฉพาะสายวัดสายบุญ เพราะนอกจากวัดนี้แล้ว เรายังสามารถเดินไปยังศาลเจ้าต่อไปที่ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่สำคัฐมากที่สุดในนิกโก้เลยทีเดียว โดยระหว่างทางเดินยาวๆ สองข้างทางเค้าเต็มไปด้วยใบไม้แดง บรรยากาศคือร่มรื่นและสงบมากเลย
ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine)
แน่นอนว่าใครมาเที่ยวนิกโก้ (Nikko) จะต้องมาที่ ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของนิกโก้เค้าด้วย ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสมบัติของชาติของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยภายในศาลเจ้ามีประติมากรรมกว่า 5,100 ชิ้นเลยทีเดียว ที่นี่ถือเป็นศาลเจ้าที่ต้องมาให้ได้เมื่อมาเที่ยวนิกโก้เลยนะ
ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) นั้น สร้างขึ้นในปี 1617 เพื่ออุทิศให้กับโทกูงาวะ อิเอยาซุ (Tokugawa Ieyasu) ผู้ก่อตั้งโชกุนโทกูงาวะ (Tokugawa) มีบทบาทสำคัญในการรวมญี่ปุ่นเป็นหนึ่งเดียวและเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย โดยเค้าได้ขึ้นเป็นโชกุนในสมัยเอโดะ (ปี 1603-1867) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของญี่ปุ่นโบราณ อีกทั้งยังขับเคลื่อนเมืองไปสู่จุดหมายในฐานะมหานครที่มีชื่อเสียงระดับโลกเช่นเดียวกับโตเกียวอีกด้วย โดย 1 ปีหลังจากที่โทกูงาวะ อิเอยาซุ (Tokugawa Ieyasu) เสียชีวิตลง ได้มีการยกย่องเค้าให้เป็นเทพโทโชไดกนเก็น (Tosho Daigongen) เทพแห่งแสงตะวันออกผู้ยิ่งใหญ่ โดยมีการตั้งศาลเจ้าสาขา Tokugawa Ieyasu กระจายไปทั่วญี่ปุ่น โดยภายในของ ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) มีหลุมฝังศพของโทกูงาวะ อิเอยาซุ (Tokugawa Ieyasu) ตั้งอยู่ด้วย
เมื่อเราเริ่มเคลื่อนตัวมาถึงบริเวณพื้นที่ศาลเจ้า สิ่งแรกที่สะดุดตาก่อนเลยคือ เจดีย์สีแดงสูง 5 ชั้น โดยจำนวนชั้นเค้าก็มีความหมายจากการเปรียบเสมือนองค์ประกอบของการดำรงอยู่ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุ (ความว่างเปล่า) โดยเจดีย์ 5 ชั้นนี้ เคยถูกไฟไหม้จนวอดในช่วงปี 1650 และถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 1818 ภายในเจดีย์จะมีเสาชินบาชิระอยู่ตรงกลางห้อยลงมาจากโซ่ เพื่อช่วยลดความเสียหายจากแผ่นดินไหวนั่นเอง
จากเจดีย์ 5 ชั้น ให้เราเดินต่อมายังอาคารหลักที่อยู่ด้านในของเค้า นี่อยากบอกว่า บรรยากาศภายในศาลเจ้าสวยงาม และยิ่งใหญ่มาก คือมันมีความขลังและเก่าแก่สุดๆ สำหรับคนที่อยากมาขอพร ที่ศาลเจ้าแห่งนี้จะขึ้นชื่อในเรื่องการมาสักการะเพื่อขอพรเรื่องการแต่งงาน การตั้งครรภ์ และการคลอดทารกให้ปลอดภัยนั่นเอง ใครที่กำลังคิดอยากขอเรื่องเหล่านี้ ลองมาขอได้น้า
ระหว่างทางเดินที่เรามุ่งหน้าไปยังอาคารของหลักของศาลเจ้า อยากให้ลองสังเกตด้านซ้ายจะมีคอกม้าศักดิ์สิทธิ์ที่มีการแกะสลักรูป ลิง 3 ตัวที่อยู่ในท่าปิดหู ปิดตา และปิดปาก โดยเป็นสัญลักษณ์ถึงความฉลาด การได้ยิน พูด และไม่เห็นสิ่งชั่วร้าย ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นนั่นเอง และที่เค้าใช้รูปลิงนั้นเพื่อแสดงถึงช่วงของการดำรงอยู่ของมนุษย์ พร้อมภูมิปัญญาในแต่ละขั้น ซึ่งเจ้าลิงทั้ง 3 ตัวนี้จะเป็นตัวที่ช่วยสอนเด็กที่มาเยือนที่นี่ให้หลีกเลี่ยงสิ่งเลวร้ายในชีวิต ด้วยการรู้จักควบคุมการมอง ควบคุมการพูด และควบคุมการฟังของตัวเองนั่นเอ๊ง
ยังไม่หมดเท่านั้นนะเว้ย นี่อยากบอกว่ารูปแกะสลักของเหล่าสัตว์ต่างๆ ในศาลเจ้าแห่งนี้คือมีเยอะมาก โดยอันที่สะดุดตาก๊อตมากคือ คิริน (Kirin) ที่คนไทยหลายคนอาจจะได้เห็นเจ้าคิริน (Kirin) จากฉลากของเบียร์คิรินของญี่ปุ่นนั่นแหละ คือตัวเดียวกั๊นน ภายในของ ศาลเจ้านิกโกโทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) เค้าก็มีเจ้าคิริน (Kirin) อยู่ทั้งหมดราว 49 ตัวกระจายไปตามจุดต่างๆ ทั้งรูปปั้น ภาพ หรือแม้แต่รูปแกะสลักบริเวณประตูโยเมมง (Yomeimon) ก็ยังมีอีกด้วย ซึ่งเจ้าตัวคิริน (Kirin) นั้น ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข เมื่อบ้านเมืองสงบสุข การเมืองเรียบร้อย เจ้าคิริน (Kirin) ก็จะปรากฏตัว โดยเค้าจะมีลำตัวเป็นกวาง กีบเท้าแบ่งเป็น 2 ส่วน มีหางเป็นวัว ส่วนหัวเป็นหมาป่ามีเขา เป็นสัตว์ที่ว่ากันว่าไม่เคยทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เลย ถือเป็นสัตว์อีกตัวที่ก๊อตชอบมากเลยแหละ
นอกจากนี้ ด้านขวาขอหอศาลเจ้าหลักใน ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) ยังมีหอแมวหลับ (Sleeping Cat) ที่มีผลงานที่โดดเด่นเลย คือ เนะมุริเนะโกะ (Nemuri-neko) หรือแมวนอนหลับ งานแกะสลักไม้ที่มีชื่อเสียงโดยอาจารย์ฮิดาริ จินโกโร่ (Hidari Jingoro) ผู้ที่หลงใหลในแมวถึงขนาดปลีกวิเวกมาศึกษา ปั้น และแกะสลักแมวไม้ที่มีลักษณะเหมือนจริงในรูปทรงต่างๆ กว่า 8 เดือน โดยมีเป้าหมายที่จะต้องแกะสลักแมวให้ได้เหมือนจริง ข้างในเราเลยจะได้เห็นผลงานแกะสลักแมวของเค้าหลากหลายผลงาน
นอกจากนี้ ด้านในที่เราต้องเดินขึ้นต่อไปอีกจากหอแมวหลับ เค้าจะมีศาลเจ้าด้านในอีกชั้นที่เป็นที่ตั้งของสุสานของโทกูงาวะ อิเอยาซุ (Tokugawa Ieyasu) อีกด้วย นี่อ่ะเสียดายมากที่ก๊อตเข้าไปดูด้านในไม่ทัน เพราะเค้าปิดโซนนี้ตั้งแต่ 4 โมงเย็นเลย คือปิดเร็วม๊าก และปิดก่อนใครเพื่อนเลย ใครจะมาโซนนี้ก๊อตแนะนำให้มาเข้าอันนี้ก่อนเล้ย
สุดท้ายกับไฮไลท์ของศาลเจ้าแห่งนี้ต้องยกให้กับหอศาลเจ้าหลักที่มี ประตูโยเมมง (Yomeimon) หรือเรียกอีกชื่อว่า ฮิกุราชิโนะมง (Higurashi-No-Mon) ประตูด้านหน้าที่ได้รับการตกแต่งประดับประดาไปด้วยงานแกะสลักเด็ก ผู้ใหญ่ และสัตว์ในตำนานกว่า 508 ชิ้น ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นเอกของช่างในสมัยเอโดะ ซึ่งถือเป็นประตูที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลยล่ะ ส่วนด้านในของหอหลักจะเป็นที่สักการะวิญญาณของอิเอยาซุ (Ieyasu) และอีกบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอย่าง โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) ผู้รวมประเทศญี่ปุ่น และ มินาโมโตะ โยริโทโมะ (Minamoto Yoritomo) อีกด้วย
โดยรวมแล้วศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าที่ทรงคุณค่ามาก มีการทำนุบำรุงดูแลมาอย่างดี ผลงานแกะสลักคือสวยสดงดงามที่เราต้องมาเห็นของจริงด้วยตาตัวเอง ส่วนตัวก๊อตเองชอบที่นี่มากเลย เสียดายที่เรามาเย็นไปหน่อย ไม่งั้นคงได้เดินสำรวจมากกว่านี้แหละ นี่เดินจนเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากศาลเจ้าเลยนะเอ้ออ 55555
DAY 2: จุดชมวิวที่ลุ่มเซนโจกาฮาระ (Senjogahara Marshland Observation Deck)
สำหรับวันที่สองของการเที่ยวนิกโก้ (Nikko) ก๊อตนั้นจะไปเที่ยวด้านในอุทยานแห่งชาตินิกโก้ (Nikko National Park) โดยแพลนเที่ยวตอนแรกของวันนี้คืออัดแน่นด้วยที่เที่ยวเยอะมาก แต่ด้วยวันนั้นที่ก๊อตไปนิกโก้นั้น คือหมอกลงจัดขั้นสุด แบบหมอกลงจนมองไม่เห็นถนนหนทางจนเหมือนตัวเองอยู่ในหนังเรื่อง The Mist เป๊ะ 555555
ด้วยความที่หมอกเยอะ ทำให้แพลนเที่ยวก๊อตต้องปรับเปลี่ยนตอนหน้างานไปเยอะเลย อย่างตอนแรกตั้งใจว่าจะมาขึ้น กระเช้าลอยฟ้าอะเคจิไดระ (Akechidaira Ropeway Observation Deck) ก็ไม่สามารถขึ้นได้ พอจะขับเข้ามาดู น้ำตกเคงอน (Kegon Falls) มองสภาพหมอกตอนนั้นแล้วก็คือมองไม่เห็นน้ำตกแน่นอน ดังนั้น ก๊อตเลยแก้ปัญหาด้วยการขับรถเข้าไปเที่ยวด้านในสุดของอุทยานกันก่อน แล้วค่อยขับย้อนกลับมาลุ้นที่น้ำตกและกระเช้าลอยฟ้าอีกครั้ง ว่าหมอกจะหายมั้ย จะได้เห็นน้ำตกที่เค้าว่าสวยที่สุดในญี่ปุ่นกันไหม หมอกเจ้าปัญหาเราจะอยู่หรือไป มาลุ้นกั๊นนน แงงง
ที่แรกที่ก๊อตขับรถมาเลยก็คือ จุดชมวิวที่ลุ่มเซนโจกาฮาระ (Senjogahara Marshland Observation Deck) ที่เค้ามีลานจอดรถขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีร้านค้า ร้านขายของตั้งเรียงรายให้เราได้เลือกซื้อของฝากหรือแม้แต่ของกินอีกด้วย พอจอดรถเสร็จเราก็เดินเท้ากันเข้ามาที่ ที่ลุ่มเซนโจกาฮาระ (Senjogahara Marshland Observation Deck) โดยที่นี่เค้าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำและเป็นทุ่งหญ้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และมีการค้นพบว่ามีพืชกว่า 100 สายพันธ์ุเติบโตอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำ รวมถึงยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่เหมาะสมกับนกน้ำอีกด้วย
ลุ่มเซนโจกาฮาระ (Senjogahara Marshland Observation Deck) ครอบคลุมที่ราบสูงระหว่างทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) และ ยูโมโตะ ออนเซ็น (Yumoto Onsen) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดปีนเขาที่ดีที่สุดในอุทยานแห่งชาตินิกโก้ (Nikko National Park) ในช่วงเดือนตุลาคม ที่เป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ทุ่งหญ้ากว้างๆ ตรงนี้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมแดง และต้นสนที่อยู่รายล้อมจะกลายเป็นสีเหลืองทองอร่าม เป็นบรรยากาศที่งดงามมากๆ ของปีเลย
สำหรับกิจกรรมส่วนใหญ่ที่คนเค้านิยมมาทำกันคือการมาเดินเทรลศึกษาธรรมชาติ ที่ใช้เวลาเดินราว 2-3 ชั่วโมง โดยจะมีสะพานเดินตัดเข้าไปในทุ่งหญ้าลุ่มน้ำได้ แต่นี่พยายามเดินหาตัวสะพานแล้ว แต่หาไม่เจอ ก็เลยเลยอดเดินสะงั้น 555555555
จะได้ก็แต่เดินตรงจุดชมวิวแทน ซึ่งมันจะมีทั้งแพลตฟอร์มดูวิว รวมถึงมีสะพานไม้เล็กๆ ระยะทางสั้นๆ ให้เราได้เดินดูบรรยากาศของพื้นที่ลุ่มน้ำแบบแนวกว้างรอบนอกแทน แต่จะว่าไป จุดนี้ก็ถ่ายรูปสวยเหมือนกันน้าเอ้อ แถมยังบรรยากาศสงบ เหมาะมายืนชมนก ชมไม้ชิลๆ เลยล่ะ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนที่ตั้งใจมาชมบรรยากาศ เน้นถ่ายรูปสวยๆ แต่ไม่อยากเหนื่อยเดินเทรลได้ดีเลย
ทะเลสาบยูโนะ (Yuno Lake)
ปักหมุดกันต่อกับที่เที่ยวต่อไปคือ น้ำตกยูดากิ (Yudaki Falls) ซึ่งก๊อตเองก็ขับรถกันมาตามหมุดเลย แต่ Google Map ดันพาเรามาที่ ทะเลสาบยูโนะ (Yuno Lake) ที่ถือเป็นต้นน้ำของน้ำตกยูดากิ (Yudaki Falls) แทนซะงั้น ด้วยความที่ไม่อยากเสียเที่ยว แถมตรงทะเลสาบตรงนี้เองก็สวย อะ .. จอดรถลงไปถ่ายรูปหน่อยก็ได้เอ้อ
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
ทะเลสาบยูโนะ (Yuno Lake) ตั้งอยู่ในภูมิภาคโอคุนิกโกะ (Okunikko) ของนิกโก เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟมิตซูดาเกะ (Mount Mitsudake) ที่กั้นแม่น้ำยูกาวะ (Yugawa River) เอาไว้ ที่นี่มีความสูงประมาณ 1,478 เมตร (4,849 ฟุต) ทำให้เป็นหนึ่งในทะเลสาบที่มีวิวทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาด เนื่องจากรายล้อมไปด้วยภูเขา และปกคลุมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม อีกทั้งยังมีต้นสนมากมายให้บรรยากาศลึกลับพิศวง ซึ่งเราสามารถเดินเล่นเรียบบนชายฝั่งทะเลสาบได้เลย เค้าทำเป็นเส้นทางเดินง่ายๆ เลย ใช้เวลาเดินรอบๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินได้ทั่วเลย
ไม่ไกลจากทะเลสาบยูโนะ (Yuno Lake) ขึ้นไปทางตอนเหนือ จะมีเมืองออนเซ็นบรรยากาศดีๆ ตั้งอยู่ นั่นคือเมืองยูโมโตะ ออนเซ็น (Yumoto Onsen) เมืองแห่งออนเซ็นชื่อดังที่ตั้งอยู่ด้านหลังของอุทยานแห่งชาตินิกโก้ (Nikko National Park) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยโบราณในเรื่องของบ่อน้ำพุร้อนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ซึ่งภายในเมืองนั้นเค้าจะมีสถานที่ให้แช่ออนเซ็นแบบสาธารณะ รวมถึงมีโรงแรมให้เช่าเพื่อแช่แบบส่วนตัวได้อีกด้วย แต่ก๊อตไม่ได้ขับรถขึ้นไป อยากแนะนำทุกคนเฉยๆ เผื่อใครมีเวลาเหลือแล้วอยากไปเที่ยวต่อ ซึ่งตัวก๊อตนนั้น เราอยู่ชมวิว ถ่ายรูปเล่นรอบๆ ทะเลสาบก็พอแล้ว
น้ำตกยูดากิ (Yudaki Falls)
สำหรับ น้ำตกยูดากิ (Yudaki Falls) นั้น จากทะเลสาบยูโนะ (Yuno Lake) เราต้องขับรถย้อนกลับมา เพราะจุดชมวิวน้ำตกเค้าจะอยู่ด้านล่าง ซึ่งเค้ามีลานจอดรถโดยเสียค่าจอดรถเหมาเป็นคันอยู่ที่ 500 เยน (130 บาท) ต่อคัน
น้ำตกยูดากิ (Yudaki Falls) ถือเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยและโด่งดังติด 1 ใน 5 อันดับของน้ำตกในนิกโก้ (Nikko) และเป็นน้ำตกที่สูงเพียง 70 เมตร และยาวเพียง 110 เมตรเท่านั้น แต่เสน่ห์ของที่นี่ แม้จะไม่ได้เป็นน้ำตกยิ่งใหญ่อลังการ แต่เค้ามีเอกลักษณ์ที่ก๊อตชอบมากเลยคือการไหลของน้ำตกที่ตกกระทบลงตามโขดหิน ที่เค้าจะไหลเป็นแง่งๆ แยกออกมาเป็นสองข้าง ซึ่งของจริงมันสวยมากกก โดยเราสามารถมายืนถ่ายรูปกับน้ำตกให้ได้บรรยากาศใกล้ๆ ได้บริเวณจุดชมวิวที่เค้าทำเอาไว้อย่างดี ซึ่งจากมุมนี้เราจะได้เห็นน้ำตกที่ไหลลงมาแบบเต็มตาเลย
สำหรับใครที่อยากมาตามรอยน้ำตกยูดากิ (Yudaki Falls) แนะนำว่าให้มาในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่เราจะได้ดื่มด่ำไปกับฤดูใบไม้ร่วง และอีกช่วงคือกลางเดือนพฤษภาคม ที่ทั่วทั้งบริเวณจะเต็มไปด้วยดอกอาซาเลีย ดอกโรสเบย์ และดอกไม้อื่นๆ ที่บานสะพรั่ง แต่งแต้มสีสันให้กับน้ำตกได้เป็นอย่างดี ใครมาเที่ยวนิกโก้ (Nikko) อยากให้มาที่นี่ด้วย ธรรมชาติดีไม่ไหว
น้ำตกริวซู (Ryuzu Falls)
ต้องบอกว่าการเที่ยวน้ำตกสวยๆ ในนิกโก้ (Nikko) นี่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่เลย เราขับรถย้อนกันมาต่อที่ น้ำตกริวซู (Ryuzu Falls) น้ำตกที่ตั้งอยู่ในแม่น้ำยูกาวะ (Yugawa) ที่ไหลต่อลงสู่ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) โดยคำว่า ‘ริวซู’ (Ryuzu) แปลความหมายได้ว่า ‘หัวมังกร’ โดยเค้าเอามาตั้งเป็นชื่อน้ำตกเพราะลักษณะของน้ำตที่นี่คล้ายกับหัวมังกรนั่นเอง
บริเวณที่ตั้งของน้ำตกริวซู (Ryuzu Falls) เค้าทำเป็นลานจอดรถและมีร้านค้าและร้านอาหารให้คนมาแวะพักรถและเที่ยวดูน้ำตกไปด้วย ซึ่งใครจะมาเที่ยว น้ำตกริวซู (Ryuzu Falls) ก๊อตแนะนำให้ไปเดินดู 2 จุดนี้ คือ ทางเดินฝั่งขวาของร้านขายอาหารที่เราสามารถเดินเลียบแม่น้ำยูกาวะ (Yugawa) ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเค้าจะมีลานจุดชมวิว น้ำตกริวซู (Ryuzu Falls) แบบใกล้ๆ ได้เห็นน้ำตกไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ยิ่งถ้าใครมาช่วงใบไม้แดง ก๊อตบอกเลยว่าเป็นช่วงที่สวยมากที่สุดของการเที่ยวนิกโก้เลย
ใครเต็มอิ่มจากจุดชมวิวนี้แล้ว ก๊อตแนะนำให้เราเดินกลับลงมาทางร้านอาหารที่เราสามารถเข้าไปนั่งกินข้าวท่ามกลางวิวของน้ำตกที่ไหลลงมาผ่านตรงหน้าได้เลย ซึ่งตอนนั้นที่ก๊อตไปก็ประจวบเหมาะเพราะเที่ยงพอดี เราเลยแวะกินข้าวดูวิวน้ำตกตรงนี้ไปเลย ซึ่งก๊อตก็ได้สั่งเป็นคัตสึด้ง พร้อมกับดังโงะเสียบไม้น่ารักๆ ซึ่งรสชาติอาหารเค้าถือว่าอร่อยถูกปากเลย แถมราคาเค้ายังดีเป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์เราอีกด้วย แต่ที่ประทับใจสุดคือการได้นั่งกินข้าวท่ามกลางวิวหลักล้านของน้ำตกริวซู (Ryuzu Falls) ตรงหน้านี่แหละที่อยากจะบอกเลยว่า วิวแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นาจา แนะนำเลยสำหรับใครที่อยากมาเปลี่ยนบรรยากาศมื้อเที่ยงให้กลายเป็นมื้อที่พิเศษ คือต้องมาลองเล้ยย
น้ำตกเคงอน (Kegon Falls)
กินข้าวเสร็จแล้ว ถึงคิวที่เราจะต้องขับรถกลับเข้ามาในเมืองเพื่อมาดู น้ำตกเคงอน (Kegon Falls) น้ำตกที่สวยมากที่สุด ถึงขั้นติดท็อป 3 ของประเทศญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว ซึ่งก๊อตคาดหวังมากว่าเรากลับมาช่วงบ่ายแบบนี้หมอกน่าจะจางหายไปบ้างแล้ว แต่พอขับเข้ามาถึง แกร หมอกหนาทึบเหมือนตอนเช้าเป๊ะๆ ตัวก๊อตเองเลยตัดสินใจไม่ได้จ่ายเงินเข้าไป เพียงแต่เดินไปดูจุดชมวิวฟรีก่อนว่ามันจะเห็นน้ำตกมั้ย ซึ่งผลลัพธ์ก็คือหมอกหนาแบบที่เรามองไม่เห็นน้ำตก ได้ยินแค่เสียงน้ำไหลซู่ซู่ๆ ของน้ำตกเท่านั้น คืออยากจะกรี๊ดดดด
สำหรับใครที่มาเที่ยวในวันที่ฟ้าเปิด บอกเลยว่าที่นี่มันเป็นสวรรค์ของคนรักน้ำตกเลยเชียว โดยน้ำตกเคงอน (Kegon Falls) นั้น ไหลต่อมาจากทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) บนแม่น้ำไดยะ (Daiya River) ที่เส้นทางน้ำถูกเปลี่ยนโดยการไหลของลาวาจากการะเบิดของภูเขาไฟในสมัยก่อน โดยน้ำตกเคงอน (Kegon Falls) มีความสูงกว่า 97 เมตร (318 ฟุต) โดยความพิเศษของที่นี่คือเค้ามีน้ำตกเล็กๆ ถึง 12 แห่ง ที่มันไหลออกมาจากรอยแตกของภูเขาที่เกิดจากการไหลของลาวาอีกด้วย
และแม้ว่ารอบนี้อากาศจะไม่เป็นใจ อดได้เห็นความยิ่งใหญ่ของน้ำตกเคงอน (Kegon Falls) ซึ่งนี่แอบเสียดายมากกกก แต่ก๊อตเองก็สัญญากับตัวเองว่า ถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวนิกโก้อีกรอบ เราจะต้องกลับมาซ่อมใหม่เพื่อกลับมาดู น้ำตกเคงอน (Kegon Falls) อีกรอบแน่นอนว้อยยย
ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji)
พออดดู น้ำตกเคงอน (Kegon Falls) ก๊อตก็เลยขับรถไปที่ ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) ก่อนจะที่เราจะขับรถขึ้นเขาไปยังด้านอีกต่อหนึ่งกับจุดชมวิวสองแห่ง และความบ้าบอคือ ก๊อตขับรถออกมาจากตัวเมืองตรงน้ำตกแปปเดียวไม่ถึง 5 นาทีเท่านั้น ความหมอกตรงทะเลสาบคือหายหมด ตรงนี้ฟ้าคือแจ่มใสแบบงงๆ เหมือนมันแบ่งเขตแยกดินแดนชัดเจนเลย โอ้ย เจ็บจี๊ดๆ ในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ 5555
ก่อนที่ก๊อตจะขับรถขึ้นเขาไป ใครพอมีเวลาเหลือ ก๊อตแนะนำให้เราจอดรถแวะถ่ายรูปเล่นริมทะเลสาบซักหน่อย เพราะวิวตรงนี้คือสวยเอาเรื่องมากๆ ได้เห็นภูเขานันไต (Mount Nantai) ขนาดใหญ่ มีเรือแล่นผ่าน แถมมู้ดยังดีมากเพราะมีหมอกปุดๆ เบาๆ เพราะมันอยู่ติดกับพื้นที่ที่หมอกลงนั่นเอง 555555
ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) เค้ามีอีกชื่อว่า ‘ทะเลสาบแห่งความสุข’ เกิดจากภูเขานันไต (Mount Nantai) ปะทุระเบิดขึ้นมา แล้วลาวานั้นดันไปบล็อกการไหลของแม่น้ำเดิม จนเกิดกลายเป็นแอ่งน้ำและเกิดเป็นทะเลสาบแห่งนี้ตรงบริเวณเชิงเขาเมื่อ 20,000 ปีก่อน โดยในปี ค.ศ. 782 นักบวชชื่อโชะโด (Shodo) และกลุ่มของพวกเค้าได้ปีนภูเขานันไต (Mount Nantai) เพื่อแสวงบุญโดยการหาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับบูชาเทพโอคุนินูชิ (Okuninushi / 大国主) ที่ถือเป็นเทพหลักประจำศาลเจ้าฟูทาระซัง (Futarasan Shrine) ที่เค้าก่อตั้งขึ้นมาและตั้งอยู่ใจกลางนิกโก้นั่นเอง สำหรับ ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) เป็นหนึ่งในทะเลสาบธรรมชาติที่อยู่สูงที่สุดในญี่ปุ่นบนระดับความสูง 1,269 เมตร โดยเค้ามีเส้นทางเดินป่ารอบทะเลสาบยาวถึง 25 กิโลเมตรเลย
ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) ก่อนที่เราจะไปเที่ยวตามจุดต่างๆ ของทะเลสาบ สำหรับคนที่ขับรถมาแบบก๊อต นี่แนะนำให้เราขับรถเล่นรอบทะเลสาบและแวะถ่ายรูปเล่นกันซักหน่อย เพราะวิวแต่ละจุดของทะเลสาบคือสวยมาก โดยเฉพาะตรงทางขึ้นไปยังจุดชมวิวทะเลสาบชูเซ็นจิ (Chuzenji Lake Observation Deck) คือสวยเอาเรื่องมากๆ เพราะเราจะได้เห็นภูเขานันไต (Mount Nantai) ขนาดใหญ่ มีเรือแล่นผ่าน แถมมู้ดยังดีมากเพราะมีหมอกปุดๆ เบาๆ โผล่มาให้เห็นอีกด้วย นี่ถ่ายรูปกันสะบัดได้ภาพสวยๆ เพียบเลย
จุดชมวิวทะเลสาบจูเซ็นจิ (Chuzenji Lake Observation Deck)
สำหรับจุดชมวิว ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) บนภูเขาที่ก๊อตคิดว่าควรค่าแก่การไปนั้นมีอยู่ 2 จุด โดยจุดแรกก็คือ จุดชมวิวทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji Lake Observation Deck) ซึ่งเป็นจุดชมวิวขนาดใหญ่แบบไม่ต้องใช้ความพยายาม เพราะเมื่อเราจอดรถก็คือสามารดูวิวทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) แบบพาโนรามาได้เลย ซึ่งวิวเค้าก็สวยเอาเรื่องอยู่นาา แต่ด้วยความที่จุดชมวิวนี้มันไม่ได้อยู่สูงมากเท่าไหร่ มันก็อาจจะมีต้นไม้ กิ่งไม้บล็อกวิวซะหน่อย คือยังไม่ได้เห็นแบบเต็มตานั่นแหละ 555555
จุดชมวิวฮันเก็ตสึยามะ (Hangetsuyama Observation Deck)
แต่ถ้าใครชอบความท้าทายและอยากเสียเหงื่อหน่อยๆ ฟีลอยากเดินเทรลสำรวจธรรมชาติ และขึ้นไปสูงจากจุดชมวิวตะกี้ ก๊อตแนะนำให้เราขับรถเข้ามาสุดทางขึ้นเขา เราจะเจอกับลานจอดรถขนาดใหญ่ที่เราจะเห็นวิวภูเขาสลับซักซ้อนซึ่งถือเป็นอีกมุมอันซีนของนิกโก้เขาเลย คือดีแบบดีมาก
ส่วนจุดชมวิวที่เราพูดถึงนั้น จุดชมวิวฮันเก็ตสึยามะ (Hangetsuyama Observation Deck) จะอยู่บนเขาในทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) ซึ่งเค้าจะมีเส้นทางให้เราได้เดินเทรลขึ้นไปโดยใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ซึ่งเค้าเป็นเส้นทางตามธรรมชาติ ที่ไต่ระดับขึ้นมาบนภูเขา และระหว่างทางเราจะได้ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติ และได้ดูวิวสองข้างทางแบบไม่มีเบื่อเลย ถ้าใครที่ชอบเดินเทรลหรือเดินป่า ก๊อตแนะนำเลยว่าเดินขึ้นมาเถอะ มันดี๊ดีย์
พอเราเดินขึ้นมาถึงจุดชมวิวด้านบนเราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์แบบกว้างใหญ่ขึ้นมากกก คือมันมองเห็นไปหมดแทบจะทั้ง ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) เลยอีกทั้งยังได้เห็น ภูเขานันไต (Mount Nantai) ลูกเบ้อเร่อตรงหน้า ซึ่งถ้าใครที่มาช่วงเดือนตุลาคมไปจนถึงพฤศจิกายน ที่นี่จะสวยงามไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี ความงดงามของเค้านี่ทำให้ที่นี่กลายเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวสุดฮิตของนักท่องเที่ยวเลยล่ะ เสียดายไปนิดที่ก๊อตมาเที่ยวช้าไปหน่อย ต้นไม้ใบไม้ที่เห็นคือก็คือสีน้ำตาลแก่ไปแล้วแหละ 555555
ก๊อตแนะนำเลยสำหรับที่อยากดูวิวอลังๆ แบบนี้ เส้นทางเดินเทรลเค้าถือว่าเดินไม่ยากเลย แม้จะไต่ระดับไปตามความสูงของภูเขาแต่ก็ไม่ได้ชันเบอร์นั้น มีเส้นทางชัดเจน ยิ่งตอนที่ก๊อตเดินขึ้นมาถึงด้านบนแล้วไม่มีคนคนอื่นเลย บรรยากาศมันเป็นส่วนตัว และสงบมากๆ ถามว่าขึ้นมาแล้วคุ้มค่าไหม บอกเลยคุ้มค่าแน่นอน ได้ชาเลนจ์ตัวเองและสนุกไปอีกแบบ ถือเป็นการจบทริปนิกโก้ที่ได้แบบดิบดีเลย
ที่พักในนิกโก้ (Nikko)
Nikko Stay (Airbnb)
บอกก่อนว่าทริปนี้ก๊อตไปกันทั้งหมด 4 คน และเราอยากได้ที่พักที่เป็นบ้านมากกกว่า การมาเที่ยวนิกโก้รอบนี้ ก๊อตเลยจองบ้านใน Airbnb มาที่ชื่อว่า Nikko Stay บ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ ที่สามารถพักได้สูงสุดถึง 8 คน และที่สำคัญที่นี่อยู่กลางเมืองนิกโก้ ใกล้กับตรงสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น อีกทั้งบริเวณโดยรอบยังรายล้อมไปด้วยมินิมาร์ทที่สะดวกสบายต่อการหิวยามดึกมากจริงๆ 555555
ทำเลที่พักว่าดีแล้ว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในบ้านพักก็จัดเต็ม มีครบครันไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ จาน ชาม ช้อน ซ่อม มีให้หมดยันตู้ซักผ้า น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจานเลย ซึ่งมันสะดวกกับชีวิตเรามาก แถมห้องพักเค้าก็ห้องใหญ่ นอนหลับสบาย เฟอร์นิเจอร์สะอาด คือฟีลเหมือนอยู่บ้านคนญี่ปุ่นแบบ 100%
โดยค่าเช่าที่ก๊อตได้ในช่วงที่ไปนั้น อยู่ที่คืนละ 4,950 บาท ซึ่งหาร 4 ออกมาแล้วถือว่าคุ้มค่า คุ้มราคามากเมื่อเทียบกับราคาโรงแรมในช่วงที่ก๊อตไป เพราะต้องบอกก่อนว่าโรงแรมในนิกโก้ค่อนข้างแพงหูฉี่เลยเน้อ ซึ่งข้อดีของการพัก Airbnb ที่เป็นบ้านพักแบบนี้ คือเราได้ในสิ่งที่โรงแรมไม่ได้ให้ อย่างเช่นตู้ซักผ้างี้ ถ้านอนโรงแรมก็ต้องเสียเงินซักแล้ว อีกทั้งยังมีที่จอดรถ Wi-fi ที่เร็วมากกก ใครมานิกโก้ (Nikko) ก๊อตแนะนำเลย เตียงนอนสบายมากกก ฮ่าๆ
สรุปการเที่ยวนิกโก้ (Nikko)
และนี่ก็คือการเที่ยวนิกโก (Nikko) ของก๊อตหลังจากได้กลับมาเที่ยวญี่ปุ่นในรอบหลายปี ซึ่งก๊อตยกให้ที่นี่เป็นเมืองที่คุ้มค่ากับการมาเที่ยวมาก คือถ้าเรามาเที่ยววันเดียวอาจจะตามเก็บได้แค่วัด หรือโซนน้ำตก อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แนะนำว่าให้มานอนค้างที่นี่สักคืน ในส่วนของการเดินทางก๊อตอยากให้เช่ารถขับกันเองมากกว่า อย่างรถเมล์ในเมืองใช้เวลารอต่อรถค่อนข้างนาน ยิ่งในสถานที่เที่ยวฮิตๆ นะ กว่าจะออกกันในแต่ละรอบ มันเสียเวลามากก ก๊อตอยากให้เอาเวลาส่วนต่างเก็บไปเที่ยวมากกว่า
เที่ยวนิกโก้รอบนี้ ก๊อตแอบเสียดายมากที่เราไม่ได้ไปขึ้น กระเช้าลอยฟ้าอะเคจิไดระ (Akechidaira Ropeway Observation Deck) และได้เห็น น้ำตกเคงอน (Kegon Falls) จากมุมสูงกัน แต่แม้รอบนี้พลาด รอบหน้าตั้งเป้าแล้วว่าจะกลับมาแก้ตัวใหม่ และจะมาเดินเทรลในสถานที่อื่นๆ เพิ่มด้วย บอกเลยว่า นิกโก้ (Nikko) เป็นเมืองที่ครบรส ที่เที่ยวเยอะ ธรรมชาติสวยงาม น้ำตกนี่สวยแบบตะโก๊นนน ส่วนเรื่องวัด และเหล่าสถาปัตยกรรมก็อลังการ แบบอวยขนาดนี้ จะไม่มาตามรอยจริงๆ มันดีมากเล้ยย
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡