teamLab Botanical Garden Osaka หากใครแพลนมาเที่ยวโอซาก้า (Osaka) ประเทศญี่ปุ่น ก๊อตอยากให้ลองมาตามเก็บ teamLab Botanical Garden Osaka ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากทีม TeamLab โดยความพิเศษของที่นี่คือเค้าเป็นนิทรรศการศิลปะในรูปแบบ Immersive Art ที่จัดแบบเอาท์ดอร์ภายในสวนพฤกษศาสตร์ที่ก๊อตบอกเลยว่าเริ่ดไม่แพ้ที่ teamLab Planets TOKYO ในโตเกียวเลยแหละ โดยความเก๋ของที่นี่นั้นจะเป็นงานที่จัดเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น บอกเลยว่าแสง สี เสียงจัดเต็มสุด แถมคอนเซ็ปต์ที่เค้าอิงศิลปะเข้ากับธรรมชาติก็ผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ออกมาเป็นผลงานโคตรล้ำที่ชวนตื่นตาตื่นใจแบบที่ว่าก๊อตเดินส่องได้ทั้งคืนเลยจริงๆ
สำหรับใครที่มาเที่ยวงาน teamLab Botanical Garden Osaka ก๊อตแนะนำให้เรามาตั้งแต่งานเค้าเปิด และเผื่อเวลาเข้าชมไว้เยอะๆ เลย เพราะผลงานด้านในเค้ามีหลากหลายโซนให้เราได้ชมกันแบบเยอะมาก เรียกได้ว่าเดินกันจนเริ่มเมื่อยกันเลยทีเดียว อย่างก๊อตเองนั้น ใช้เวลากับที่นี่ตั้งแต่เปิดจนถึงปิดเลยล่ะ ยิ่งถ้าใครที่ชอบดูงานอะไรแบบนี้และยิ่งเป็นคนชอบถ่ายรูปอีก รับรองว่าไม่ผิดหวัง
- รีวิวเต็ม โอซาก้า (Osaka) 5 วัน 25 ที่เที่ยว
- รีวิวเต็ม Universal Studios Japan (USJ) ละเอียด รู้เรื่องมากที่สุด
- โรงแรมและที่พักแนะนำในโอซาก้า (Osaka)
- ส่วนลด Klook / ส่วนลด Agoda
รู้จัก teamLab Botanical Garden Osaka
teamLab Botanical Garden Osaka คือนิทรรศการศิลปะดิจิทัลถาวรของทาง teamLab ทีมงานศิลปะที่โดดเด่นด้วยการสร้างสรรค์ศิลปะจัดวาง หรือ Installation Art โดยใช้เทคโนโลยีหลายอย่างทั้งโปรเจ็คเตอร์ แสง และวัตถุต่างๆ มาประกอบรวมกัน โดยผลงานที่โอซาก้านั้น เค้าจะจัดอยู่ภายใน สวนพฤกษศาสตร์นากาอิ (Nagai Botanical Garden) โดยมีแนวคิดที่ต่างออกไปจากเมืองอื่น ที่ต้องการให้คนได้สำรวจว่าธรรมชาติและงานศิลปะแบบควบคู่กันได้อย่างไรโดยที่เราและผู้จัดนั้นไม่ต้องไปทำลายธรรมชาตินั่นเอง
สำหรับ สวนพฤกษศาสตร์นากาอิ (Nagai Botanical Garden) ที่เป็นสถานที่การจัดแสดงผลงาน teamLab Botanical Garden Osaka เค้าคือสวนสาธารณะที่เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1944 ในฐานะสวนสาธารณะในเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโอซาก้า โดยมีทะเลสาบขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางของสวน รายล้อมไปด้วยพืชพรรณที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลตลอดทั้งปี และในปัจจุบันนี้สวนแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของนกป่าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น นกเหยี่ยวและนกฮูก ซึ่งถือได้ว่าเป็นนกที่อาศัยอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร แสดงให้เห็นว่า สวนพฤกษศาสตร์นากาอิ (Nagai Botanical Garden) นั้นแม้จะเกิดขึ้นมาจากฝีมือของมนุษย์ แต่ก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติที่ทั้งคนและสัตว์สามารถมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
จากความอุดมสมบูรณ์ของ สวนพฤกษศาสตร์นากาอิ (Nagai Botanical Garden) นำมาสู่งาน teamLab Botanical Garden Osaka นิทรรศการที่ได้รับอิทธิพลมาจากต้นไม้และนกที่อาศัยอยู่ภายในสวน ซึ่งเค้าตั้งใจให้เห็นภาพว่าหากธรรมชาติของสวนยั่งยืนผลงานศิลปะที่จัดแสดงอยู่ภายในก็จะยั่งยืนควบคู่กันไปด้วย แต่หากวันหนึ่งที่สัตว์ป่าและต้นไม้หายไปนั้น งานศิลปะเหล่านี้ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน ราวกับว่าทั้งสองสิ่งต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน แยกกันไม่ได้นั่นเอง โดยการดำรงอยู่ของงานศิลปะภายใน teamLab Botanical Garden Osaka จึงไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกด้วย
เรียกได้ว่า teamLab Botanical Garden Osaka เป็นเสมือนพื้นที่ศิลปะที่รวบรวมเอาผู้คน ต้นไม้ ป่า ทะเลสาบ ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน ออกมาเป็นผลงาน Immersive Art ที่โคตรเท่ที่ล้วนแล้วแต่เผยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งผู้คน ศิลปะ และสิ่งแวดล้อม ที่หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปนั้น ก็คงจะเรียกว่าเป็น teamLab Botanical Garden Osaka ไม่ได้อย่างแน่นอน โดยภายในเค้าจัดแสดงออกเป็นทั้งหมด 14 โซน ซึ่งรีวิวนี้ก๊อตจะพาทุกคนไปเที่ยวครบทั้งหมดเลยล่ะ
วิธีการเดินทางมาที่ teamLab Botanical Garden Osaka
รถไฟ: วิธีที่สะดวกที่สุดในการมาที่นี่คือรถไฟ โดยสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้กับ teamLab Botanical Garden Osaka มากที่สุดคือ สถานีนากาอิ (Nagai Station) ซึ่งสามารถเดินทางมาตามนี้ได้เลย
- โดยรถไฟใต้ดิน (Osaka Metro):
- สถานีนากาอิ (Nagai Station): ให้ขึ้นรถไฟสายมิโดสุจิ (Midosuji Line) Osaka Metro Chuo Line มาลงที่สถานีนากาอิ (Nagai Station) จากนั้นเดินประมาณ 15 นาทีก็จะถึง teamLab Botanical Garden Osaka
> ซื้อพาสบัตรรถไฟใต้ดินแบบเดินทางไม่จำกัด (Osaka Metro Pass) 1 วัน หรือ 2 วัน [ซื้อผ่าน Klook] / [ซื้อผ่าน KKday]
ซื้อบัตรเข้า teamLab Botanical Garden Osaka
สำหรับใครที่อยากมาเดินดูผลงานศิลปะกันที่ teamLab Botanical Garden Osaka และไม่อยากเสียเวลาไปต่อคิวซื้อบัตรที่หน้างาน ที่นอกจากจะต้องเผื่อเวลารอคิวซื้อบัตรแล้ว นั่นหมายถึงเวลาที่เราจะได้เดินส่องบรรยากาศภายในนั้นจะลดลงไปอีกด้วย ดังนั้น ก๊อตแนะนำให้ซื้อบัตรเข้าชมผ่านทาง Klook หรือ KKday มาก่อนเลย โดยราคาบัตร teamLab Botanical Garden Osaka จะอยู่ที่ประมาณ 1,800 เยน (~424 บาท) ซึ่งข้อดีของการซื้อบัตรมาก่อนนั้น คือเราจะได้ในราคาที่ถูกกว่าซื้อหน้างานอีกด้วยนา
> ซื้อบัตร teamLab Botanical Garden Osaka [ซื้อผ่าน Klook คลิก] / [ซื้อผ่าน KKday คลิก]
มาเริ่มเที่ยว teamLab Botanical Garden Osaka ด้วยกันเล้ยย
โซนที่ 1: Life is Continuous Light – Bald Cypress + Resonating Crape Myrtles
รูทการเดินเที่ยวชมผลงานศิลปะภายใน teamLab Botanical Garden Osaka ก๊อตจะเดินไปตามเส้นทางที่เค้ากำหนดให้ไปทีละโซนเลยนา เริ่มจาก Life is Continuous Light – Bald Cypress โซนแรกที่พอเราเดินพ้นประตูสวนเข้ามาด้านในจะเจอกับต้นไซเปรสขนาดใหญ่เรียงรายอยู่สองข้างทางที่เชื่อมทางเข้าสวนไปสู่ทะเลสาบโออิเคะ (Oike Lake) ความกรุ๊งกริ๊งของโซนนี้คือทุกย่างก้าวที่เราเดินกันนั้น แสงไฟตามต้นไซเปรสก็จะเจิดจ้าขึ้นตามการเคลื่อนไหวของเรา ท่ามกลางเสียงเพลงคลอเคลียชวนให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจ ซึ่งหากใครมาเที่ยวหลายๆ คน ลองเดินไปยืนกันคนละจุดดู แสงไฟที่สาดส่องผ่านต้นไซเปรสขึ้นมาก็จะไล่ตามหลังแต่ละคนไปด้วย ซึ่งแสงไฟที่สว่างจ้าตามการเคลื่อนไหวนั้นเค้าไม่ได้เปิดเฉยๆแต่เพื่อตอกย้ำให้คนที่เข้ามาดูได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของผู้อื่นในพื้นที่เดียวกันมากขึ้นไปด้วยนั่นเอง
เดินไปต่อกันที่ Resonating Crape Myrtles ที่ตั้งอยู่เลียบทะเลสาบรายล้อมไปด้วยต้นยี่เข่ง (Crape myrtle) ที่หากเรามาในช่วงที่น้องออกดอกนั้น ทั่วทั้งบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยดอกยี่เข็งสีชมพูสดใสบานสะพรั่งกันเลยเชียว โดยโซนนี้เค้าคงคอนเซ็ปต์เดียวกับโซนแรกที่เราเดินผ่านเข้ามาเลยนา แสงไฟพรึ่บพรั่บจะสว่างจ้าขึ้นตามจังหวะก้าวเท้าเดินเข้าไปตามเส้นทางเดินเล็กๆ ท่ามกลางเสียงดนตรีที่ชวนให้รู้สึกจิตใจสงบและเพลินไม่น้อยเลย นี่จินตนาการไปว่าถ้าตัวเองมาในช่วงที่ดอกยี่เข็งเค้าบานฉ่ำแล้วเล่นล้อไปกับแสงไฟคงเป็นภาพที่สวยงามมากๆ แน่นอน
โซนที่ 2-3: Resonating Microcosms in the Common Camellia Garden – Liquified Light Color, Sunrise and Sunset และ Resonating Microcosms in the Common Camellia Garden – Solidified Light Color, Sunrise and Sunset
Resonating Microcosms in the Common Camellia Garden – Liquified Light Color, Sunrise and Sunset และ Resonating Microcosms in the Common Camellia Garden – Solidified Light Color, Sunrise and Sunset แม้ชื่อทั้ง 2 โซนเค้าจะย๊าวยาว แต่เป็นโซนที่ก๊อตชอบม๊ากกก ซึ่งทั้งสองโซนนี้เค้าจัดแสดงไข่เรืองแสงที่ตั้งเรียงรายอยู่ในสวนดอกคามิเลีย (Camellia Garden) ซึ่งจะมีทั้งไข่แบบขุ่น และไข่สีใสๆ ให้เราได้มาส่องไข่ดูความวิบๆ วับๆ กัน
เริ่มจาก Resonating Microcosms in the Common Camellia Garden – Liquified Light Color, Sunrise and Sunset หรือก๊อตขอเรียกย่อๆ ว่า “น้องไข่ขุ่น” แล้วกันนา น้องเค้าเป็นไข่ที่เราสามารถเดินเข้าไปจับ แตะ หรือลองผลักเบาๆ ดูได้ ซึ่งความน่ารักของเค้าคือ เวลาที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป น้องไข่ขุ่นนี้จะเรืองแสงออกมาได้ด้วยตัวเค้าเองถึง 57 เฉดสี ซึ่งเค้าก็ปรับเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามจังหวะเพลง ลม ฝน หรือเวลาที่มีคนมาผลักหรือสัมผัส ซึ่งพอมีไข่ใบหนึ่งเรืองแสงสีไหนออกมา ไข่ที่อยู่รอบๆ เค้าก็จะตอบสนองแล้วเปล่งแสงออกมาเหมือนกันสะท้อนเป็นไฟสว่างไสวไปตามต้นไม้ที่เอาจริงๆ ดูรวมๆ แล้วน้องน่ารักอยู่นา แต่เหมือนก๊อตยืนอยู่ท่ามกลางไข่เอเลี่ยนเลย 555555
มาถึงคิวของ Resonating Microcosms in the Common Camellia Garden – Solidified Light Color, Sunrise and Sunset ที่ก๊อตขอตั้งชื่อสั้นๆ ให้เค้าว่า “น้องไข่ใสเรืองแสง” ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วขำก็ไม่ว่ากัน เพราะนี่ตั้งตามที่เห็นเลย 55555 โดยกลไกการทำงานของน้องไข่ใสก็เหมือนน้องไข่ขุ่นนั่นแหละ แต่โซนนี้เราไม่สามารถเข้าไปสัมผัสตัวน้องไข่เค้าได้ ทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น แต่ความเท่ขั้นกว่าของเค้าคือ น้องไข่ใสนั้นสามารถเรืองแสงและเปลี่ยนเฉดสีได้ถึง 61 สีเลยแกร๊ ทีนี้ก็ว้าวุ่นยืนดูกันจนตาแฉะเลยเชียว
โซนที่ 4: Sculptures of Dissipative Birds in the Wind
Sculptures of Dissipative Birds in the Wind ส่วนตัวก๊อตยกให้ผลงานชิ้นนี้เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของนิทรรศการนี้เลย ด้วยประติมากรรมขนาดยักษ์สี่เหลี่ยม 3 ชิ้นที่ตั้งเอียงกันไปคนละองศาภายใต้คอนเซ็ปต์ที่เค้าต้องการสื่อให้เห็นถึงชีวิตที่ไม่ได้ถูกกำหนดโดยขอบเขตทางกายภาพ แต่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องกับสภาพแวดล้อม ซึ่งได้มีการจำลองพื้นที่รอบๆ ผลงานให้เป็นเหมือนเกาะรายล้อมไปด้วยต้นไม้แหล่งที่อยู่อาศัยของนกและแมลง ซึ่งผลงานของเค้านั้นก็มีนกบินเข้าออกอยู่จริงๆ เลยแกร คือเหมือนโซนนี้เป็นการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะท่ามกลางธรรมชาติที่ยั่งยืนควบคู่กันไป
โดยความล้ำของผลงานชิ้นโบแดงนี้คือเมื่อเวลาที่นก หรือสิ่งมีชีวิตบินผ่านไปรอบๆ แสงที่ถูกฉายอยู่บนประติมากรรมทั้งสามก็จะพริ้วไหวตามไปด้วย อารมณ์เหมือนผลงานทั้งหมดคือผิวน้ำ ที่ยามใดไม่มีสิ่งรบกวนก็นิ่งสงบ แต่พอมีสิ่งเร้ามากระตุ้นไม่ว่าจะเป็นคน ฝนตก ลมพัด ไปจนถึงนกที่โบยบินผ่าน ผิวน้ำที่เคยนิ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นที่ลู่ไหวไปตามสิ่งเหล่านั้น ซึ่งส่วนตัวก๊อตมองว่าภาพที่ฉายไปบนชิ้นงานแล้วทำให้ชวนนึกถึงภาพดังอย่าง The Starry Night ของแวนโก๊ะ มีความเกลียวๆ พริ้วไหวคล้ายกัน เป็นอีกโซนที่เลิฟเลย แม้ว่าบรรยากาศรอบๆ จะโคตรมืดแต่บอกเลยอันนี้ดูเพลินตาสุดๆ
โซนที่ 5: Forest of Autonomous Resonating Life – Eucalyptus
Forest of Autonomous Resonating Life – Eucalyptus อีกโซนสุดคิวท์ที่ไม่บอกว่าอยู่ในสวนยูคาลิปตัน นี่จะคิดว่าตัวเองอยู่ในโลกแฟนตาซีที่ไหนสักแห่ง ภาพของลูกบอลยักษ์เรืองแสงหลากสีสันสุดคัลเลอร์ฟูลที่ขนาดสูงท่วมหัววางเรียงรายอยู่ใต้ต้นยูคาลิปตันที่ใบพริ้วไหวไปกับสายลมท่ามกลางเสียงเพลงชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและตื่นเต้นไปในคราเดียวกัน
บริเวณนี้เป็นเหมือนป่าแห่งชีวิตที่สะท้อนแสงไฟหลากสี ทั้งส้ม ม่วง ชมพู เขียว เหลือง แดง ซึ่งลูกบอลแต่ละลูกนั่นก็จะเปล่งประกายแสงออกมาได้อย่างอิสระ โดยเราสามารถเดินฝ่าน้องเค้าเข้ามาและเล่นกับลูกบอลได้เลย เมื่อใดที่มีคนเดินผ่านแล้วสัมผัสผิวของน้อง ลูกบอลในบริเวณนั้นก็จะเรืองแสงไปในโทนสีเดียวกัน ซึ่งสีที่เปล่งประกายออกมาก็จะสลับสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ว่าเข้ามาพร้อมกัน 5 คน แล้วลูกบอลรอบๆ ตัวแต่ละคนจะเกิดเป็นสีเดียวกันทั้งหมดนา คือสีมันจะโทนเดียวเฉพาะในจุดที่เรายืน ซึ่งเวลานั้นก๊อตอาจจะได้โทนสีแดง แต่เพื่อนที่ยืนห่างออกไปได้สีเขียวแบบนี้ก็ได้ มันเป็นเหมือนโซนที่ทำให้เราตระหนักและรับรู้ถึงการมีตัวตนของคนอื่นร่วมด้วย หรือใครจะเปรียบเทียบสีสันของลูกบอลเป็นตัวตนของมนุษย์เราอย่างที่ก๊อตมองก็ได้ ต่างสีสันก็เหมือนกับผู้คนหลากหลายประเภท แม้จะดูไม่เข้ากัน แต่สุดท้ายก็สามารถอยู่ร่วมกันได้นั่นเอง
ถ้าคิดว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ เลี้ยงกาแฟก๊อตซักแก้วได้นะครับ 😆💙
จะได้มีแรงใจทำรีวิวออกมาให้ทุกคนได้อ่านเรื่อยๆ ครับ
โซนที่ 6: Concrete and Abstract – Secondary Forest Entrance + Spatial Calligraphy in the Forest – One Stroke และ Universe of Fire Particles in the Forest – Secondary Forest
ไปต่ออย่าแผ่วกันที่โซน Concrete and Abstract – Secondary Forest Entrance ที่อยู่บริเวณทางเข้าผืนป่าที่เรียกว่า ‘นาไง ซาโตยามะ (Nagai Satoyama)’ หนึ่งในโซนที่เราจะต้องเดินไปตามเส้นทางที่มืดตึ๊บ โดยมีเพียงแสงเลเซอร์สีเขียวๆ ที่สาดเข้ามาพาดผ่านตัวเราและต้นไม้ เกิดเป็นภาพแบนที่อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกัน ทั้งที่ตัวก๊อต ต้นไม้ รวมไปถึงทางเดินและสภาพแวดล้อมอื่นๆ นั้น ไม่ได้ตั้งอยู่ในระนาบเดียวกันเลยก็ตาม แต่เค้าทำหลอกตาเราได้เนียนกริ๊บ ซึ่งไวบ์โซนนี้ตอนเดินดูอยู่ชวนให้นึกถึงฉากในหนังแอคชันเวลาที่เราต้องทำภารกิจแล้วต้องหลบแสงเลเซอร์ เพราะถ้าเราโดนแสงเมื่อไหร่ เราจะถูกจับได้เสียก่อน หรือบางเรื่องก็โดนเลเซอร์ตัดฉึ่บแยกร่างออกไปเลยก็มี เดินไปก้าวไหนก็ห้ามความคิดนี้ไม่ได้จริงๆ 555555
ตัดมาที่โซนตั้งอยู่ติดกันก็คือ Spatial Calligraphy in the Forest – One Stroke โซนที่เหมือนก๊อตได้กระโดดเข้าไปในโลกจินตนาการที่เหมือนเราได้หลุดเข้าไปอยู่ในผืนผ้าใบที่กำลังมีศิลปินตวัดฝีแปรงไปมาอยู่รอบๆ บรรยากาศของผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ตั้งลดหลั่นกันไปท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงสว่างสีขาวที่ฉวัดเฉวียนไปมาอยู่ในอากาศ ราวกับมีใครสักคนกำลังวาดบางสิ่งไปรอบๆ ทิศทางที่ก๊อตยืนอยู่มันสมจริงเหมือนเราเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของภาพศิลปะจริงๆ โดยคอนเซ็ปต์ของโซนนี้ที่เราเห็นฝีแปรงพาดผ่านไปมานั้น เค้ากำลังรังสรรค์ตัวอักษรขึ้นใหม่ในรูปแบบสามมิติที่คนดูจะได้สัมผัสไปถึงฝีแปรงที่ดูลุ่มลึก รวดเร็ว และทรงพลัง ทำให้สมจริงเหมือนมีศิลปินตวัดฝีแปรงผ่านร่างกายไปเลยนั่นแหละ
สำหรับโซนต่อไปอย่าง Universe of Fire Particles in the Forest – Secondary Forest ใครที่อยากเติมความโชติช่วงร้อนแรงเข้าสู่ร่างกาย มาได้ที่โซนนี้เลย ซึ่งเค้าคือ “เปลวไฟแห่งอนุภาคจักรวาลแห่งไฟในป่า” เปลวไฟโปรเจคเตอร์สามมิติที่เมื่อเราจ้องมองแล้วเหมือนไฟจริงสุดๆ ด้วยขนาดมหึมาที่กำลังลุกโชติช่วงเปล่งแสงสีส้มแดงพวยพุ่งอยู่บนผืนผ้าสีขาวโปร่งๆ โดยความกิ๊บเก๋ของไฟดวงนี่ก็คือ หากใครดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Distributed Fire มาด้วย เวลาเข้าไปดูผลงานนี้ใกล้ๆ ให้เปิดแอปแล้วเอากล้องไปจ่อได้เลย เปลวไฟที่อยู่ตรงหน้าจะถูกเก็บเอาไว้ในโทรศัพท์ของเรา เหมือนเราได้นำผลงานชิ้นนี้กลับไปกับเราด้วยนั่งเองจ๊า
Pillars that Dance with the Wind
ปิดท้ายกันด้วยโซน Pillars that Dance with the Wind ผลงานศิลปะภายใต้โครงสร้างที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ด้วยท่อลมโบกที่มีลักษณะเหมือนเสาหลากสีสันที่กำลังโบกสะบัดปลิวไปตามแรงลม โดยเปล่งประกายแสงไฟออกมาท่ามกลางเสียงดนตรีที่มีจังหวะจริงจังเหมือนเป็นลานเต้นรำเล็กๆ ที่ชวนให้คนดูอยากลุกขึ้นไปเต้นตาม ซึ่งใครที่อยากนั่งพักชิลๆ โซนนี้เค้ามีแพลตฟอร์มให้มานั่งจอยม่วนกรุบอยู่ใกล้ๆ หรือมานั่งพักขาหลังจากที่เดินกันมาสักพักใหญ่ๆ ด้วยนา แต่บอกก่อนว่าใครที่มาวันฝนตก โซนนี้อาจจะไม่เปิดให้เข้าชมกันนา เพราะเค้าเน้นปลิวไปตามลม แต่สู้ฝนไม่ไหวจริงๆ
นอกจากนนี้ใน teamLab Botanical Garden Osaka เค้ายังมีผลงานอีกสองโซนติดกันที่เราสามารถเดินชมได้ ไม่ว่าจะเป็น Floating Resonating Lamps on Oike Lake – Fire โคมไฟระยิบระยับที่เปิดอยู่ท่ามกลางทะเลสาบโออิเคะ (Oike Lake) หรือจะเป็น Field of Light Color – Muhlenbergia Capillaris ทุ่งหญ้ากว้างๆ ที่เราสามารถเดินเล่นไปตามจังหวะของแสง สี เสียงได้เช่นกัน บอกเลยว่าแต่ละโซนนั้นจัดเต็มทั้งแสงไฟ และเสียงเพลงสุดๆ แบบที่เดินแล้วเพลินตาจนไม่อยากกลับออกไปกันเลยทีเดียว
สรุปเลย teamLab Botanical Garden Osaka เป็นอีกหนึ่งงานศิลปะที่ใครมาเที่ยวที่เมืองโอซาก้า (Osaka) แล้วชื่นชอบการมาดูผลงานศิลปะอิมเมอร์ซีฟระดับโลกให้มาที่นี่ได้เลย ก๊อตรับรองว่าไม่มีผิดหวังแน่นอน ผลงานศิลปะที่อยู่ภายในท่ามกลางสวนแบบเอาท์ดอร์นั้นมีให้เราได้ดูกันเต็มอิ่มจุใจมาก อย่างก๊อตไปตั้งแต่เค้าเปิดและอยู่ยาวๆ จนถึง 3 ทุ่ม ทุกอย่างมันคุ้มค่าคุ้มราคาไปหมดเลย และที่ชอบมากที่สุดของงาน teamLab ที่นี่ก็คืองานแบบเอาท์ดอร์ที่หาดูได้ยากและเป็นความท้าทายของผู้สร้างสรรค์ผลงานทั้งแสงและสิ่งแวดล้อมรอบตัวนั่นเอง นั่นเลยทำให้ที่นี่นั้นดูมีความพิเศษและมีลูกเล่นเยอะมาก โดยเฉพาะกับธรรมชาติของสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ ดังนั้น ใครอยากดูผลงานใหม่ๆ ของ teamLab ต้องมาที่โอซาก้าเลย แต่บอกก่อนว่า teamLab Botanical Garden Osaka เปิดให้เข้าเฉพาะตอนกลางคืนและเผื่อเวลาไว้เยอะๆ หน่อย เพราะผลงานเค้าเยอะและใช้เวลาเอาเรื่องอยู่เหมือนกันเด้อ
อ่านรีวิวเมืองนี้จบแล้ว
อ่านรีวิวเมืองอื่นในญี่ปุ่นต่อกันเลย 🤗
ญี่ปุ่นเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่นี่รู้สึกว่า ไปกี่ครั้งก็ไม่น่าเบื่อ ไปแล้วไปอีกได้ตลอด และยังประเทศที่ตัวเองตั้งมิชชั่นว่า อยากจะเก็บให้หมดทั่วประเทศ ฮ่าา เอาเป็นว่า HASHCORNER นี่ก็มีรีวิวญี่ปุ่นให้อ่านและตามรอยเยอะพอสมควร ทั้งหมดนับแล้วเกือบ 50 รีวิวแล้ว เยอะโคตร ใครที่มีแพลนไปเมืองไหนในญี่ปุ่นที่มีชื่อเมืองตามลิสด้านล่าง สามารถคลิกลิงค์อ่านต่อได้เล้ย
ภูมิภาคคันโต (Kanto Region)
1. รีวิว โตเกียว (Tokyo)
2. รีวิว โตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland)
3. รีวิว โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
4. รีวิว Harry Potter: Warner Bros. Studio Tour Tokyo
5. รีวิว โยโกฮาม่า (Yokohama)
6. รีวิว คามาคุระ (Kamamura)
7. รีวิว นิกโก้ (Nikko)
8. รีวิว ฮาโกเน่ (Hakone)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคันไซ (Kansai Region)
9. รีวิว โอซาก้า (Osaka)
10. รีวิว Universal Studios Japan (USJ)
11. รีวิว เกียวโต (Kyoto)
12. รีวิว นารา (Nara)
13. รีวิว โกเบ (Kobe)
14. รีวิว ฮิเมจิ (Himeji)
15. รีวิว อิเสะ-ชิมะ (Ise-Shima) กำลังเขียน
16. รีวิว อิกะ อุเอโนะ (Iga Ueno) กำลังเขียน
17. รีวิว อะซุกะ (Asuka) กำลังเขียน
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูบุ (Chubu Region)
18. รีวิว คานาซาวะ (Kanazawa)
19. รีวิว ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
21. รีวิว ทาคายาม่า (Takayama)
21. รีวิว คาวากุจิโกะ (Kawaguchigo)
22. รีวิว สวนสนุก Fuji-Q Highland
23. รีวิว ยามานากะโกะ (Yamanakako)
24. รีวิว ชิซึโอกะ (Shizuoka)
25. รีวิว อิซุ (Izu) กำลังเขียน
26. รีวิว คาวาซึ (Kawazu)
27. รีวิว อิโต (Ito) กำลังเขียน
28. รีวิว อาตามิ (Atami)
29. รีวิว คารุอิซาวะ (Karuizawa)
30. รีวิว นากาโน่ (Nagano)
31. รีวิว มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคคิวชู (Kyushu Region)
32. รีวิว ฟุกุโอกะ-ดาไซฟุ (Fukuoka-Dazaifu)
33. รีวิว นางาซากิ (Nagasaki)
34. รีวิว ยูฟูอิน (Yufuin)
35. รีวิว คุมาโมโตะ (Kumamoto)
36. รีวิว ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso)
37. รีวิว ทาคาชิโฮ (Takachiho)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa Region)
38. รีวิว โอกินาว่า (Okinawa)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido Region)
39. รีวิว ซัปโปโร (Sapporo)
40. รีวิว โอตารุ (Otaru)
41. รีวิว อาซาฮิกาวะ-บิเอะ (Asahikawa-Biei)
42. รีวิว อะบาชิริ-คุชิโระ (Abashiri-Kushiro)
43. รีวิว ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
⸺⸺⸺⸺
ภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku Region)
44. รีวิว ฮิโรชิม่า (Hiroshima)
45. รีวิว เกาะมิยาจิม่า (Miyajima)
46. รีวิว โอคายาม่า-คุราชิกิ (Okayama-Kurashiki)
⸺⸺⸺⸺
แนะนำโรงแรม / พาสรถไฟ
47. แนะนำที่พักในโตเกียว (Tokyo)
48. แนะนำที่พักในโอซาก้า (Osaka)
48. แนะนำที่พักในเกียวโต (Kyoto)
49. แนะนำที่พักในฟุกุโอกะ (Fukuoka)
50. แนะนำที่พักในนิกโก้ (Nikko)
51. เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อ JR PASS
ส่วนลดจองโรงแรมจาก Agoda, Expedia, Booking และบัตรสวนสนุก ตั๋วรถไฟ กิจกรรมท่องเที่ยวจาก Klook และ KKday ปี 2025
⚡️ สำหรับใครที่กำลังจะจองที่พักและหาส่วนลดจองโรงแรมอยู่ ลองดูตามลิงค์ด้านล่างได้เลย มีทั้ง Agoda, Expedia, Booking รวมถึง Hotels.com ด้วย ประหยัดไปได้อีกเกือบ 10-20% ใช้ได้กับโรงแรมทั่วโลก
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเว็บไซต์จองโรงแรมพวกนี้ มีส่วนลดท็อปอัพจากบัตรเครดิตเพิ่มเกือบทุกธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต Citibank, KBANK, SCB, Krungsri, KTC, Bangkok Bank, UOB และ TMB หรือแม้แต่ส่วนลดจากค่ายมือถืออย่าง AIS, DTAC หรือ True ซึ่งส่วนลดพวกนี้จะเปลี่ยนตลอดทุกเดือน และเก๊าก็อัพเดทให้ตลอดเวลาเน้อ 🧡